ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Santazia

    ลำดับตอนที่ #7 : วิชาการต่อสู้สุดระทึก

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 54





                   “ ฟรานตื่นได้แล้ว ”

                    เฟรริลเขย่าก้อนรูปร่างประหลาดที่ขดกลมอยู่ใต้ผ้าห่ม เจ้าก้อนนั้นขยับเล็กน้อย มีเสียงงึมงำรอดออกมา

                    “ ฟรานตื่นเถอะจะสายแล้ว คาบแรกเป็นวิชาการต่อสู้ อาจารย์ที่สอนเขาเป็นคนตรงเวลามาก ถ้าใครมาสายจะถูกลงโทษ ”

                    เฟรริลทั้งเขย่าทั้งดึงผ้าห่ม ยิ่งดึงเจ้าก้อนกลมยิ่งขมวดผ้าห่มแน่น เฟรริลถอนใจ มือกอดอก ทำหน้าหมดหวังที่จะปลุกเจ้าตัวขี้เซาให้ตื่น

                    “ เฟรริลเจ้าถอยออกมา ข้าจัดการเอง ”

                    เซฮันริลเดินเข้ามาที่ปลายเตียง ใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์แต่บรรยากาศรอบตัวให้ความรู้สึกเหมือนมีจิตสังหารแผ่กระจายออกมา เฟรริลถอยออกมาข้างหลังในใจเป็นห่วงฟรานคิดอยากจะห้ามไม่ให้เซฮันริวใช้วิธีรุนแรงเกินไปแต่อีกใจก็อยากให้ฟรานรีบตื่นสักที เฟรริลจึงได้แต่ยืนเงียบไม่เข้าไปห้ามปล่อยให้เซฮันริวใช้วิธีของเขาจัดการ

                    ในมือเซฮันริวมีประกายไฟแปลบปลาบ เกิดสายฟ้าสายใหญ่ฟาดลงมาที่เตียงของฟราน

                    “ จ๊าก!

                    เจ้าก้อนกลมใต้ผ้าห่มกระเด้งพรวดกระโจนลงไปนอนตีลังกาอยู่บนพื้นเท้าชี้ฟ้า ฟรานยันตัวลุกขึ้นผมเผ้ากระเซิงปรกใบหน้า ร้องโอดโอยเจ็บแปลบไปทั่วตัว เซฮันริวมองฟรานอย่างเย็นชา เขาทำเสียงหึ และพูดขึ้นว่า

                    “ ข้าไปรอที่ห้องเรียน ”

                    เซฮันริวมองฟรานด้วยสายตาทิ่มแทง ก่อนจะเดินออกจากห้อง ปล่อยให้ฟรานร้องตะโกนด่าอย่างหัวเสียอยู่กับพื้นแบบนั้น

                    “ เจ้าบ้านั่น! ไม่เห็นต้องทำอะไรรุนแรงขนาดนั้น ปลุกดีๆไม่เป็นเหรอไง โอย เจ็บชะมัด ”

                    “ เฟรริลปลุกเจ้าเป็นล้านรอบแล้วมั้ง เจ้าก็ยังไม่ยอมตื่น ”

                    เลออนเนลพูดค่อนขอด มองฟรานอย่างระอา แล้วหันไปส่องกระจกดูความเรียบร้อยของชุดอีกครั้ง

                    “ เฟรริล เจ้ารีบไปเหอะ ปล่อยเจ้าขี้เซาไว้นี่แหล่ะ เดี๋ยวเจ้าไปเรียนสายพอดี ”

                    เลออนเนลคว้ากระเป๋าสะพายบ่าเตรียมออกจากห้อง

                    “ ไม่เป็นไร เจ้าไปก่อนเถอะ ข้าจะไปพร้อมกับฟราน ”

                    เฟรริลยิ้มบาง ในใจอดห่วงฟรานไม่ได้ ถ้าเกิดปล่อยทิ้งไว้คนเดียวในห้อง กลัวว่าจะคลานกลับขึ้นไปนอนบนเตียงต่ออีก

                    โฮๆ เฟรริลเจ้าเป็นคนดีจริงๆ มีเพียงเจ้าคนเดียวที่เป็นห่วงข้า ไม่เหมือนเจ้าเพื่อนแล้งน้ำใจสองคนนั่น ที่ทิ้งข้าหนีไปเรียนก่อน

                    “ เฮ้อ ข้าไปก่อนนะ แล้วเจอกันที่ห้องเรียน ”

                    เลออนเนลถอนหายใจที่เฟรริลห่วงอะไรไม่เข้าท่า เด็กหนุ่มมองเพื่อนอย่างเป็นห่วงที่อาจต้องเข้าเรียนสายตั้งแต่วิชาแรกเพราะเจ้าตัวขี้เซาที่ชื่อว่า ฟราน

                    เมื่อเสียงประตูปิดลง เฟรริลหันไปถามฟรานอย่างเป็นห่วง เด็กหนุ่มมองสำรวจรอบตัวฟรานเหมือนพี่ชายกำลังตรวจดูบาดแผลของน้องชายที่เล่นซุกซนกลับมา

                    “ เป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า ”

                    ฟรานมองเฟรริลซึ้งตาแป๋วเหมือนเด็กน้อยมองอ้อนผู้ใหญ่

                    “ ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว แค่รู้สึกคันๆ ”

                    “ แน่ใจนะว่าเจ้าไม่มีแผลหรือเจ็บตรงไหนอีก ”

                    เฟรริลซักเหมือนพี่ที่ห่วงน้องชาย

                    “ ไม่มีแล้วจริงๆ ”

                    ความรู้สึกบางอย่างผุดขึ้นมาในใจฟราน มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างที่ฟรานเคยสัมผัสจากลุงจิน

                    “ อะ...เอ่อ ข้าไปอาบน้ำก่อนนะ ”

                    “ เอ๊ะ! ตาเจ้า!

                    เฟรริลจ้องตาฟราน สีหน้าแปลกใจ

                    “ ตาข้า มีอะไรงั้นเหรอ ”

                    ฟรานลูบตาตัวเอง

                    “ สีตาเจ้า? ”

                    เฟรริลเลิ่กคิ้วขึ้น ทำหน้าประหลาดใจ

                    “ หา!

                    ฟรานรู้แล้วว่าตัวเองลืมสิ่งสำคัญไป เขาแกล้งเอามือขยี้ตาแล้วรีบใช้เวทเปลี่ยนสีตาให้เป็นสีน้ำตาล เฟรริลเอียงคอมอง ดวงตาสีฟ้าใสจับจ้องการกระทำของฟรานอย่างสงสัย

                    “ สีตาข้า มีอะไรผิดปกติเหรอ? ”

                    ฟรานเอามือออกแกล้งถามหน้าซื่อ แต่ใจหล่นที่ไปที่ตาตุ่ม

                     เกือบไปแล้ว เฟรริลจะผิดสังเกตรึเปล่าหวา?

                    เฟรริลจ้องมองตาของฟรานเหมือนพยายามมองหาสิ่งผิดปกติ สีตาที่ไม่ใช่สีน้ำตาลเหมือนที่เขาเห็นทุกทีแต่เป็นสีชมพู!

                    เมื่อเห็นชัดๆแล้วว่าตาของฟรานเป็นสีน้ำตาลเหมือนที่เห็นทุกครั้ง เฟรริลจึงพูดขึ้นว่า

                    “ เอ่อ...ไม่มีอะไร ข้าคงตาฝาดไปเอง ”

                    ฟรานยิ้มแห้ง คว้าผ้าเช็ดตัวแล้วรีบเดินเข้าห้องน้ำอย่างเร็ว ดวงตาสีฟ้าใสจ้องมองฟรานอย่างครุ่นคิด

                   

                    ฟรานคาบขนมปังทาเนยวิ่งหน้าตั้งแบบไม่คิดชีวิต เฟรริลวิ่งตามห่างอยู่หลายก้าวและดูเหมือนจะยิ่งถูกทิ้งห่างออกไปอีก สีหน้าท่าทางออกอาการว่าเหนื่อยหอบเต็มที่ จากวิ่งเปลี่ยนเป็นเดินตาม สุดท้ายไม่ไหวเด็กหนุ่มเอาหลังพิงกำแพงพักหายใจ

                    ฟรานรู้สึกเสียงฝีเท้าของอีกคนหายไป เด็กหนุ่มหันกลับมามองเห็นเฟรริลนั่งหมดสภาพอยู่กับพื้น พวกเขาวิ่งวนหาห้องเรียนมาเกือบสามสิบนาที! แต่ก็ยังไม่เจอ! อีกห้านาทีจะเข้าเรียนแล้ว!

                    เฟรริลรู้สึกผิด ไม่น่าปล่อยให้ฟรานวิ่งนำไปก่อน ตัวเขาเองก็ผิดด้วยที่ไม่สามารถเรียกฟรานให้หยุดได้ ไม่งั้นคงไม่กลายเป็นเด็กน้อยหลงทางวิ่งวนทั่วปราสาทหาห้องเรียนไม่เจอแบบนี้ ถ้าเขาเดินนำซะตั้งแต่ตอนแรกป่านนี้คงนั่งรออาจารย์อยู่ในห้องเรียนไปแล้ว ไม่ต้องมานั่งใจตุ้มๆต่อมๆลุ้นระทึกว่าจะหาทางไปถึงห้องเรียนทันมิทันแหล่ให้ระทึกใจเล่นแบบนี้หรอก

                    “ เฟรริลอีกห้านาทีจะเข้าเรียนแล้ว ไม่ใช่เวลามานั่งพักนะ ”

                    ฟรานวิ่งย้อนกลับมา น้ำเสียงร้อนรน เฟรริลเหลือบมองเพื่อนถอนหายใจทำหน้าปลงตก

                     อีกห้านาที! ต่อให้รู้ว่าห้องเรียนอยู่ไหนตอนนี้ก็คงสายสถานเดียว  และยิ่งหลงไม่รู้ทิศรู้ทางไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของปราสาทแบบนี้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหาห้องเรียนให้เจอเลย แค่จะหาทางออกไม่รู้ว่าวันนี้จะเจอหรือเปล่า! ถ้าฟรานไม่รีบวิ่งจนไม่ดูทิศดูทางเรื่องคงไม่กลายเป็นแบบนี้หรอก

                    เฟรริลมองไปตามทางเดินยาวที่ไม่รู้ว่ามันไปถึงไหน สองฟากมีแต่กำแพงและกำแพง! พวกเขาวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดไม่รู้กี่ขั้นต่อกี่ขั้น ผ่านห้องโถงใหญ่ ผ่านทางเดินที่มีแต่รูปั้นและชุดเกราะ วิ่งเข้าห้องโน้นทะลุห้องนี้ จนท้ายสุดหลุดเข้ามาในทางเดินสลัวๆ ที่มีเพียงกำแพงและคบไฟ ถ้าเฟรริลไม่เหนื่อยซะจนทรุดลงไปนั่งกับพื้น ฟรานคงพาวิ่งหลงไปอยู่ในที่ที่ไม่มีใครหาพวกเขาเจอก็เป็นได้! สุดท้ายพวกเขาก็อาจหิวตายจนเหลือแต่โครงกระดูกโดยที่ไม่มีใครมาพบ!

                    ปราสาทแซงเคอร์มีห้องมากมายทั้งที่ใช้งานและไม่ใช้งาน ทั้งที่ไม่เป็นความลับและเป็นความลับ ทางเดินหลายสายวกวนสลับซับซ้อน คดเคี้ยว เหมือนเขาวงกต จนบางทีคนที่แม้จะคุ้นเคยเส้นทางก็มีหลงกันได้

                    เฟรริลลุกขึ้น เขาเดินเข้าไปคว้าแขนฟรานลากกลับไปทางเดิม เฟรริลกำแขนฟรานแน่นชนิดที่ว่าไม่สามารถดิ้นหลุดไปได้ ฟรานถูกลากกึ่งวิ่งกึ่งเดินหน้าเหวอตกใจหน่อยๆที่จู่ๆเฟรริลก็ลากเขาไปโดยไม่พูดไม่จา หรือว่าหมอนี่จะโกรธที่เขาพาวิ่งหลงทางจนเข้าเรียนสาย เอ่อ...จะเรียกว่าสายก็คงไม่ได้ ต้องเรียกว่าโดดเรียนแบบไม่ตั้งใจ ด้วยเหตุผลที่ว่าหลงทางแบบกู่ไม่กลับ ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาใครใช้ให้สร้างทางซะวกวนคดเคี้ยวมากมายขนาดนั้น บันไดก็เยอะ ทางแยกก็แยะ ยิ่งรีบๆด้วยมันก็หลงกันได้ล่ะน่า

                    ฟรานหาข้ออ้างแก้ตัวน้ำขุ่นๆ เด็กหนุ่มเหลือบมองเฟรริลเป็นระยะ หมอนั่นยังไม่ยอมปริปากพูดกับเขาสักคำ หรือว่าจะโกรธเขาแล้วจริงๆ ไม่น๊า!

                    ฟรานหน้าถอดสี ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นจริง เฟรริลโกรธเขาที่เป็นต้นเหตุทำให้เข้าเรียนสายจนไม่ยอมพูดด้วย ตีตัวออกห่างไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้อีก ถ้าถึงขั้นตัดความสัมพัน์ความเป็นเพื่อนเลยล่ะ 

                    โฮๆ ม่ายน๊า! ถ้าขืนเป็นแบบนั้นก็แย่ดิ ข้าไม่ยิ่งทำภารกิจยากขึ้นหรอกเรอะ! แล้ว...ข้าไม่อยากเสียเพื่อนดีๆอย่างเฟรริลด้วย ทั้งใจดี ดูแลเก่ง ( ดีกว่าเจ้าเพื่อนแล้งน้ำใจสองคนนั้นอีก )  แถมเป็นเจ้าชายด้วย จะหาเพื่อนดีๆแบบนี้ได้ที่ไหน! ฮือๆ เฟรริลข้าขอโทษ ข้าไม่น่ารีบจนไม่ฟังที่เจ้าห้ามเลย ไม่งั้นป่านนี้คงได้นั่งสบายๆรออาจารย์อยู่ในห้องแล้ว ฮือๆ เฟรริลข้าขอโทษ

                    ฟรานคิดเตลิดฟุ้งซ่าน มองเฟรริลแววตาสำนึกผิด

                    “ เฟรริลข้าขอโทษ คือว่า... ”

                    ฟรานหน้าจ๋อย เอ่ยเสียงอ่อย นึกหาเหตุผลมาเป็นข้ออ้างดีๆที่ฟังขึ้น เฟรริลหยุดเดินหันกลับมามอง ฟรานเกือบเบรกไม่ทันอีกคืบเดียวก็จะชนเฟรริล ดวงตาสีน้ำตาลสบเข้ากับดวงตาสีฟ้าใสที่จ้องตรงมาไม่กระพริบ ฟรานเกาห้วแก้เก้อ หัวเราะแห้ง เสมองไปทางอื่น แต่ในใจถูกความรู้สึกผิดโจมตีใส่อย่างไม่ยั้ง เนื้อสมองที่ไม่ค่อยได้ใช้งานกำลังถูกเค้นให้คิดหาเหตุผลดีๆที่พูดกับเฟรริลแล้วจะทำให้เฟรริลหายโกรธ

                    “ เฟรริลข้าขอโทษ คือ...คือว่า ถ้าข้าฟังที่เจ้าพูดพวกเราคงไม่หลงทางแบบนี้ เป็นความผิดของข้าเอง ข้ายอมรับผิด ข้าขอโทษ เพราะฉะนั้นอย่าโกรธข้าเลยนะ ”

                    ฟรานกุมมือเฟรริล ทำหน้าทำตาน่าสงสาร เหมือนเด็กที่ยอมรับผิดออดอ้อนให้ผู้ใหญ่ยกโทษให้ เฟรริลยิ้มน้อยๆ มองฟรานด้วยแววตาที่อบอุ่น

                    “ ข้าไม่ได้โกรธเจ้าสักหน่อย ”

                    “ จริงเหรอ? แล้วทำไมเจ้าไม่พูดกับข้าเลยล่ะ จู่ๆก็ลากข้าไปไม่พูดไม่จา นึกว่าเจ้าโกรธข้าแล้วซะอีก ”

                    “ นั่นก็เพราะว่า ข้ากำลังคิดทบทวนเส้นทางที่พวกเราผ่านมา และเส้นทางไปห้องเรียนแล้วข้าก็รู้แล้วว่าต้องไปทางไหน เลยรีบลากเจ้าไป ขอโทษนะ ที่ลากเจ้ามาโดยไม่ได้บอกอะไรก่อน เลยทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ”

                    “ อะ...เอ่อ ไม่ใช่ คือ...คือว่า เจ้าจะขอโทษข้าทำไม เจ้าไม่ได้ผิดสักหน่อย เอ่อ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ ที่เจ้าบอกว่า รู้ทางไปห้องเรียนแล้วจริงเหรอ ”

                    “ ใช่ แต่ว่าคงเข้าเรียนสายนิดหน่อย เอ่อ...คงสายมากนิดหน่อย ”

                    “ ไม่เป็นไรจะสายมากสายน้อยก็สายอยู่ดี รีบไปกันเหอะ ”

                    ฟรานจูงมือเฟรริลเดินนำหน้า พอนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งพาเพื่อนเดินหลงมาหยกๆ เลยหันไปยิ้มแห้งหลีกทางให้ เฟรริลไม่รอช้าคว้าข้อมือฟรานพาเดินไปตามทางที่นึกไว้ในสมอง

                   

                    “ พวกเจ้าหลงทางอยู่เหรอ? ”

                    น้ำเสียงใสนุ่มนวลดังขึ้นข้างหลังฟรานและเฟรริล ทั้งสองหยุดกึกและหันกลับไปมองพร้อมกัน ริมฝีปากบางแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น ใบหน้างดงามหมดจดได้รูปไม่ว่าจะมองสักกี่ครั้งก็ยังคงชวนให้เคลิบเคลิ้มน่าหลงใหล ผมสีฟ้ายาวถึงเอวตัดกับเสื้อคลุมยาวสีขาวตามแบบฉบับของนักเวทให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้ายามสดใส

                    “ อาจารย์เรสเซอเรล ”

                    เฟรริลร้องเรียกดีใจ สีหน้าที่กำลังกลัดกลุ้มแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

                   

                    “ เจ้าชายเฟรริล ”

                    เรสเซอเรลโค้งทำความเคารพ เฟรริลโค้งเล็กน้อยตอบรับ

                    “ สวัสดีครับอาจารย์เรสเซอเรล อาจารย์ครับพวกเรากำลังหลงทาง ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะบอกทางลัดที่สั้นที่สุดไปยังห้องเรียนวิชาการต่อสู้ได้ไหมครับ ”

                    เฟรริลพูดรวบรัดตรงประเด็น น้ำเสียงราบเรียบ ท่าทางสุขุมเยือกเย็น ผิดกับสถานการณ์ตอนนี้ที่มันบีบคั้นหัวใจให้ระทึกเล่น เหลืออีกสองนาทีจะเข้าเรียนแล้ว! ฟรานใจตุ้มๆต่อมๆสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เหงื่อเม็ดเบ้งผุดขึ้นทีละเม็ด ทีละเม็ด

                    “ ได้สิ ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง ”

                    เรสเซอเรลยิ้มละไม มองทั้งสองอย่างเอ็นดู คฑาเวทด้ามยาวสูงเท่าตัวคนปรากฏขึ้นในมือของเรสเซอเรล ลูกแก้วบนหัวคฑาส่องแสงสีขาวนวล วงแหวนเวทสีทองปรากฏขึ้นใต้เท้าพวกเขา เกิดแสงสว่างเจิดจ้าเข้าโอบล้อมทั้งสามคน เมื่อแสงนั้นจางหายไปพวกเขาไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้นแล้ว


                    ทั้งสามปรากฏตัวหน้าประตูไม้บานคู่ห้องหนึ่ง ฟรานมองบริเวณรอบๆอย่างสนใจ

                    “ ขอบคุณมากครับอาจารย์ที่กรุณาพาพวกข้ามาส่ง ”

                    เฟรริลโค้งขอบคุณ ฟรานเห็นดังนั้นเลยรีบทำตามเช่นกัน เรสเซอเรลค้อมศีรษะรับเล็กน้อย เขายิ้มละไมมองทั้งสองด้วยแววตาอบอุ่น

                    “ ไม่เป็นไร พวกเจ้ารีบเข้าไปเถอะ ”

                    “ ครับ ”

                    ฟรานและเฟรริลตอบรับพร้อมกัน

                    ห้องเรียนวิชาการต่อสู้เป็นห้องโถงกว้าง มีสแตนที่นั่งติดกำแพงฟากหนึ่ง เฟรริลและฟรานเปิดประตูเข้าไปสิ่งแรกที่พวกเขามองหาก่อนเลยคือ อาจารย์โชคดีที่อาจารย์ยังไม่มา ไม่งั้นพวกเขาไม่รอดเป็นแน่ จากนั้นดวงตาทั้งสองคู่จึงมองหาเพื่อนร่วมห้องสองคน เซฮันริวและเลออนเนล เห็นเด็กหนุ่มผมสีทรายโบกมือไปมาเรียกพวกเขา เฟรริลยิ้มละไมเดินเข้าไปหาเลออนเนลที่นั่งอยู่บนชั้นสอง

                    เสียงคุยจ้อกแจ้กหยุดลงชั่วขณะ ดวงตาทุกคู่หันไปจับจ้องเด็กหนุ่มผมทองสองคนที่กำลังเดินมายังสแตน จากนั้นเสียงคุยเริ่มดังระงมอีกครั้งอย่างกับนกกระจอกแตกรัง

                    ดูคนนั้นสิ ใช่เจ้าชายเฟรริลหรือเปล่า

                    เด็กสาวกลุ่มหนึ่งชี้มือชี้ไม้มาทางเฟรริล จ้องมองด้วยแววตาสนอกสนใจใคร่รู้

                    คนไหน คนไหน

                    เสียงเด็กสาวอีกคนดังขึ้นอย่างตื่นเต้น เอียงคอมองสนใจ ตาเป็นประกาย

                    คนผมสั้นน่ะ

                    เด็กสาวที่นั่งข้างๆชี้ไปที่เฟรริล แสดงอาการตื่นเต้นมากกว่าใครเพื่อน ถ้ากรี๊ดได้คงกรี๊ดลั่นไปแล้ว

                    แล้วคนผมยาวล่ะ หน้าตาคล้ายๆกันนะ

                    เด็กสาวผมแดงมองฟรานแววตาสงสัย

                    นั่นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ

                    เพื่อนสาวที่นั่งข้างๆแย้งเสียงหลง ดูยังไงก็ผู้หญิงชัดๆ ทั้งรูปร่างที่บอบบาง ใบหน้าได้รูปงดงามหมดจดน่ารักในแบบฉบับที่สาวๆหลายคนใฝ่ฝันอยากจะครอบครอง

                    แต่คนผมสั้นก็หน้าตาสะสวยน่ารักเหมือนกันนะ ใช่เจ้าชายแน่เหรอ?

                    เด็กสาวผมแดงแย้งกลับ จ้องมองใบหน้าเฟรริลอย่างเพ่งพินิจพิเคราะห์

                    “ นั่นดิ ดูยังไงก็เหมือนผู้หญิง ใช่เจ้าชายจริงๆเหรอ ”

                    เด็กสาวผมน้ำตาลหน้าตาจิ้มลิ้มเสริม จากสายตาของเธอไม่ว่าจะมองมุมไหนก็เหมือนผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ยกเว้นหน้าอกที่แบน แต่อาจจะเป็นพวกซ่อนรูปก็ได้

                    น่าจะใช่นะ ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าชายมีหน้าตาน่ารักสะสวยเหมือนเด็กผู้หญิง ผมสั้นประมาณบ่า  

                    เพื่อนสาวที่นั่งข้างๆเด็กสาวผมแดงออกอาการปลื้มสุดๆ ฟังจากน้ำเสียงดูเหมือนเธอจะชอบเจ้าชายเฟรริลเอามากๆ ถ้ามีชมรมแฟนคลับเจ้าชายเฟรริลเธอคงได้วิ่งแจ้นไปสมัครเป็นคนแรกชัวร์

                    “ นี่ๆรู้ไหม เมื่อก่อนเจ้าชายเคยไว้ผมยาว แต่ถูกคนทักว่าเป็นเด็กผู้หญิงบ่อยๆเลยตัดผมสั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีคนเข้าใจผิดอยู่เหมือนเดิม ”

                    เด็กสาวผมสีมะกอกเอามือป้องปากทำเสียงกระซิบทำเหมือนเรื่องที่พูดเป็นความลับกลัวใครจะได้ยิน เพื่อนสาวอีกสี่คนเงี่ยหูฟัง แต่ละคนทำตาโตออกอาการประมาณว่าเป็นเรื่องที่ไม่เคยรู้มาก่อน เด็กสาวที่นั่งข้างๆเด็กสาวผมแดงหน้าแดงระเรื่อน้องๆแอปเปิ้ล เธอหลับตาจินตนาการถึงเจ้าชายเฟรริลแบบที่ไว้ผมยาว แล้วบิดตัวไปมาอย่างปลื้มสุดๆ

                    “ เจ้ารู้ได้ยังไง ”

                    เด็กสาวผมแดงถามหน้าตาสงสัยใคร่รู้สุดๆ เด็กสาวอีกสามคนจ้องมองเป็นตาเดียวอยากรู้ด้วยเหมือนกัน

                    “ ข้ามีแหล่งข่าววงในที่เชื่อถือได้ ”

                    เด็กสาวผมสีมะกอกทำน้ำเสียงแบบมีลับลมคมใน ทำให้คนฟังออกอาการอยากรู้มากขึ้นไปอีก

                    “ ใครอ่ะ ”

                    เพื่อนสาวทั้งสี่เข้ามารุมล้อมส่งสายตาทำสีหน้าอ้อนวอนสุดฤทธิ์สุดเดช

                    “ ความลับ ”

                    เด็กสาวผมสีมะกอกเชิดหน้ายักคิ้วเหล่มองแบบคนถือไพ่เหนือกว่า

                    “ ชิ ”

                    เด็กสาวทั้งสี่คนทำเสียงไม่พอใจ ค้อนเพื่อนตาแทบเหลือก ก่อนจะวงแตกกลับไปนั่งที่ของตัวเอง

                    “ แล้วคนผมยาวล่ะ หน้าตาออกจะคล้ายๆกันนะ เป็นพี่น้องกับเจ้าชายหรือเปล่า ”

                    เด็กสาวผมแดงตั้งข้อสังเกต

                    “ นั่นดิ จะว่าคล้ายก็คล้ายนะ แต่คนผมยาวให้ความรู้สึกสวยกว่ายังไงไม่รู้ ”

                    เพื่อนสาวที่นั่งข้างๆคนที่ปลื้มเจ้าชายเฟรริลสุดๆมองฟรานตั้งแต่หัวจรดเท้าและอดพูดถึงออกไปในแนวชื่นชมไม่ได้

                    “ ไม่น่าจะใช่นะ อาณาจักรนี้มีเจ้าชายแค่สองพระองค์เท่านั้นคือเจ้าชายเฟรเอลกับเจ้าชายเฟรริล ”

                    เด็กสาวผมสีมะกอกแย้งน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ

                    “ แล้วผู้หญิงผมยาวคนนั้นใครอ่ะ ”

                    เด็กสาวผมแดงมองฟรานอย่างสงสัย สีหน้าเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม

                    “ ไม่รู้ดิ คงเป็นคนหน้าเหมือนที่เขาเรียกว่าแฝดคนละฝามั้ง ”

                    เด็กสาวผมสีมะกอกยักไหล่สันนิษฐานตามความคิดของตน เพื่อนสาวอีกสี่คนพยักหน้าเห็นด้วย อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้ ในโลกนี้มีสิ่งแปลกประหลาดตั้งหลายสิ่งที่คนเรายังไม่รู้ วันดีคืนดีอาจเจอคนหน้าเหมือนโผล่พรวดมาอยู่ตรงหน้าก็เป็นได้ หรือบางทีอาจจะเคยเดินผ่านแต่เราไม่เคยสังเกตก็เป็นได้ โอกาสที่จะเจอคนหน้าเหมือนอาจจะหนึ่งในร้อย ในพัน หรือในล้าน หรืออาจจะไม่เจอเลย แต่ถ้าได้เจอจะถือว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายล่ะเนี่ย  หรืออาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย

           

                    “ อืม อาจจะใช่ ”

                    “ ถ้าเจ้าชายไว้ผมยาวก็คงจะน่ารักเหมือนผู้หญิงคนนั้นละมั้ง ”

                    เด็กสาวที่ปลื้มเจ้าชายเฟรริลสุดๆจินตนาการจนออกอาการเคลิบเคลิ้ม คนอื่นพลอยจินตนาการตามไปด้วย

                    “ นั่นสิ ”

                    “ อ้ะ! มาแล้ว มาแล้ว ”

                    เด็กสาวผมน้ำตาลร้องเสียงหลงท่าทางตื่นเต้นสะกิดเพื่อนให้หันไปดู

                    “ ยิ่งมองใกล้ๆยิ่งน่ารักเนอะเหมือนเด็กผู้หญิงเลย ”

                    เด็กสาวผมแดงกระซิบเพื่อนข้างๆ เธอพยักหน้าเห็นด้วย ดวงตาจับจ้องไม่กระพริบเหมือนกำลังบันทึกภาพให้ติดแน่นในสมอง

                    “ ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารักเนอะ ข้าก็อยากหน้าตาสะสวยน่ารักเหมือนเขาบ้าง ”

                    เด็กสาวผมน้ำตาลหน้าตาจิ้มลิ้มพูดถึงฟรานอย่างชื่นชมแต่ก็อดอิจฉาเล็กๆไม่ได้

                    “ เอ๊! ผู้หญิงเขาให้ใส่กางเกงได้ด้วยเหรอ ตามกฎระเบียบแล้วเขาให้ใส่กระโปรงนี่นา ”

                    เด็กสาวผมแดงร้องขึ้นแปลกใจ เพื่อนทั้งสี่คนหันไปมองเป็นตาเดียวและพยักหน้าเห็นด้วย อดสงสัยไม่ได้

                    “ อ๊ะ! จริงด้วย ”

                    “ ผู้หญิงที่พวกเจ้าพูดถึงชื่อฟราน เขาเป็นผู้ชาย ”

                    เลออนเนลที่นั่งฟังอยู่นานพูดไปกลั้นหัวเราะไป สุดท้ายเขากลั้นขำไม่อยู่เลยปล่อยก๊ากหัวเราะจนท้องคัดท้องแข็ง น้ำตาเล็ด เซฮันริวทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่าย มองพวกเขาแววตาเย็นชา สีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเคย จนฟรานตั้งฉายาให้ว่าคุณชายน้ำแข็ง เวลาอยู่ใกล้หมอนี่ ขนมันมักพร้อมใจกันลุกเกรียวเกิดอาการหนาวๆพิกลทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าหนาว แล้วหมอนี่รักสะอาดและความเป็นระเบียบสุดๆแต่ไม่ถึงขั้นหนุ่มเจ้าสำอางหรอกนะ เสื้อผ้าเรียบกริบไม่มีรอยยับสักรอย เตียงถูกจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยหลังตื่นนอน เสื้อผ้าที่ใช้แล้วจะเอาใส่ตะกร้าไว้ พูดง่ายๆรอบๆพื้นที่ของหมอนั่น เอ่อ...ต้องบอกว่ารอบบริเวณเตียงของหมอนั่นสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยสุดๆเมื่อเทียบกับฟรานและเลออนเนลที่รกระเกะระกะ  เสื้อผ้าที่ใช้แล้วจะกองๆไว้ข้างเตียง ส่วนเรื่องเตียงฟรานดีหน่อยที่พอตื่นแล้วยังพับเก็บผ้าห่มจัดหมอนให้เข้าที่ถึงมันจะลวกๆหน่อยก็เถอะ แต่เลออนเนลเหรอ ผ้าห่มกับหมอนมันอยู่ยังไงก็อยู่ยังงั้น หมอนอยู่ทางผ้าห่มอยู่ทาง พอหมอนั่นตื่นนอนได้ก็ดีดตัวถอดเสื้อผ้าคว้าผ้าเช็ดตัวไม่สนใจสายตาเพื่อนๆว่าจะเป็นตากุ้งยิงหรือเปล่า

                    ยิ่งเฟรริลไม่ต้องพูดถึงเลยหมอนั่นเป็นเจ้าชายโดยกำเนิดยังไงก็ต้องถูกฝึกเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะความเป็นระเบียบเรียบร้อยหรือความสะอาด เฟรริลน่ะไม่แพ้เซฮันริวเลยแต่ก็เจ้าระเบียบน้อยกว่าออกจะทำตัวสบายๆด้วยซ้ำ

                    “ เห! ไม่จริงน่า!

                    เด็กสาวทั้งห้าคนอุทานเสียงหลงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ

                    “ ออกจะสวยน่ารักขนาดนั้นจะเป็นผู้ชายได้ไง ”

                    หญิงสาวอีกสี่คนพยักหน้าเห็นด้วย ไม่มีทางเป็นไปได้ ผู้ชายอะไรจะรูปร่างบอบบางจนผู้หญิงหลายคนยังอิจฉา แถมมีหน้าตาที่หญิงสาวหลายคนใฝ่ฝันอยากจะเป็นเจ้าของ

                    “ งั้นพวกเจ้าลองถามเจ้าตัวเองดิ ”

                    เลออนเนลชักสีหน้าไม่พอใจ เขาจะโกหกไปทำไมก็ในเมื่อเขาเนี่ยแหล่ะเป็นเพื่อนร่วมห้องกับเจ้าหน้าสวยผมยาวที่พวกเธอพูดถึง

                    “ เฮ้ย ฟรานสาวๆกลุ่มนี้มีเรื่องอยากจะถามเจ้า ”

                    เลออนเนลตะโกนบอกฟรานทั้งๆที่ห่างกันแค่บันไดขั้นเดียว! ฟรานคิ้วมุ่นหันไปมองกลุ่มเด็กสาวห้าคนที่นั่งอยู่ชั้นแรก ดวงตาทั้งห้าคู่สบเข้ากับดวงตาสีน้ำตาลอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำเอาเด็กสาวทั้งห้าเกิดอาการเก้อเขินอายหน้าแดงอย่างกับลูกแอปเปิ้ล จ้องมองเขาชนิดที่ไม่อาจละสายตาได้โดยไม่รู้ตัว ทั้งๆที่ยังไม่รู้เลยว่าเป็นผู้หญิงหรือชายกันแน่ หรือเป็นเพราะรูปลักษณ์ของออร์แลนไทล์ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นต่างก็ต้องหลงใหลจนไม่อาจถอนสายตาได้!       

                    “ พวกเธออยากรู้ว่าเจ้าเป็นหญิงหรือชาย ”

                    เลออนเนลจงใจพูดเสียงดัง ไม่สิ ต้องเรียกว่าตะโกนมากกว่าทั้งๆที่อยู่ห่างกันแค่บันไดขั้นเดียว! ฟรานรู้สึกอายหันไปมองไม่สบอารมณ์เอามากๆ เขาไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าหมอนี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอเลออนเนลทำแบบนี้ยิ่งทำให้ไม่ถูกชะตามากขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่าตัว!

                    อยู่ห่างกันแค่นี้ทำไมต้องตะโกนด้วย หรือจงใจแกล้งข้าให้อายเล่นหรือไง

                    ฟรานบ่นพึมในใจ เลออนเนลอมยิ้มเอามือปิดปากไม่ให้หลุดขำ เฟรริลมองทั้งสองทอดถอนใจ เขาเดินเข้าไปหาหญิงสาวกลุ่มนั้น และพูดขี้นว่า

                    “ ถึงฟรานจะน่ารักแบบเด็กผู้หญิง แต่เขาก็เป็นผู้ชายร้อยเปอร์เซ็นต์ ”

                    เฟรริลส่งยิ้มหวาน เด็กสาวกลุ่มนั้นใจแทบหยุดเต้น หน้าแดงระเรื่อ ออกอาการคล้ายจะเป็นลม เจ้าชาย! เจ้าชายตัวเป็นๆ! ส่งยิ้มให้พวกเธอ แถมอยู่ใกล้แค่เอื้อมมือ โอย! ใจแทบละลาย ต้องเอาเรื่องนี้ไปเม้าส์ให้นักเรียนหญิงหออื่นฟัง พวกนั้นต้องอิจฉาแน่ๆ โอ๊ย! ต้องใช้โชคขนาดไหนนะ ถึงได้ใกล้ชิดกับเจ้าชายขนาดนี้

                    “ เฟรริลทางนี้ๆ ข้าจองที่เอาไว้ให้เจ้าแล้ว ”

                    เลออนเนลกวักมือเรียกและชี้ไปยังที่นั่งตรงกลางระหว่างเขากับเซฮันริวที่ว่างอยู่ที่หนึ่ง

                    หนอย! เจ้าบ้านั่นจองที่เผื่อเฟรริลแต่ไม่จองที่เผื่อข้า ช่างแล้งน้ำใจจริงๆ เจ้าก็ด้วยเซฮันริวน่าจะจองที่เผื่อข้าด้วยก็ดี ข้าเป็นเพื่อนร่วมห้องพวกเจ้านะ

                    ฟรานมองค้อนทั้งไม่สบอารมณ์และน้อยใจหน่อยๆ ทั้งๆที่เขาเป็นเพื่อนร่วมห้องที่ต้องใช้ชีวิตด้วยกันถึงสี่ปีเชียวนะ ช่วยเห็นเขาเป็นเพื่อนหน่อยเหอะ

                    เฟรริลหันไปมองฟราน สีหน้าเป็นห่วง คงห่วงความรู้สึกฟรานกลัวว่าถ้าทิ้งให้ฟรานไปหาที่นั่งคนเดียวทั้งๆที่มาด้วยกันแถมเป็นเพื่อนร่วมห้องกันด้วย ฟรานอาจจะรู้สึกน้อยใจก็เป็นได้ เฟรริลเลยตัดสินใจจะไปนั่งกับฟราน และพูดกับเลออนเนลว่า

                    “ ขอบคุณนะที่จองที่ให้ เดี๋ยวข้าไปนั่งกับฟราน ปล่อยให้ฟรานไปนั่งคนเดียวคงไม่ดีหรอก

                    เฟรริล เจ้าเป็นคนดีจริงๆ ห่วงความรู้สึกข้าด้วย ไม่เหมือนเจ้าเพื่อนแล้งน้ำใจสองคนนั่น ข้าไม่นับพวกเจ้าเป็นเพื่อนแล้ว เชอะ!

                    ฟรานมองเฟรริลด้วยแววตาสุดซึ้ง แต่ก็อดที่จะมองค้อนสองเพื่อนสุดน่ารักน่าถีบไม่ได้ ฟรานทำหน้างอนแก้มป่อง ถึงใจจะคิดเหมือนไม่สนใจใยดี แต่ในส่วนลึกก็รู้สึกน้อยใจนิดๆ ถึงสองคนนั้นจะทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน แต่แค่เฟรริลห่วงใยเขาแค่นี้ก็นับว่าเกินพอแล้ว ได้คนระดับเจ้าชายมาคอยห่วงใยเชียวนะ ใครจะโชคดีเหมือนเขาในโลกนี้ไม่มีแล้ว!

                    เฟรริลและฟรานเดินไปนั่งแถวแรกด้านซ้ายสุดแถวเดียวกับห้าสาวจอมเม้าส์ แต่มีเด็กหนุ่มจากหอตะวันตกสามคนนั่งคั่นกลาง ทำให้สาวๆกลุ่มนั้นมองอย่างเสียดายที่ไม่ได้นั่งใกล้ชิดกับเจ้าชายในฝัน

                    ในแต่ละคาบวิชาของปีหนึ่ง นักเรียนแต่ละหอจะเรียนรวมกันเหมือนอย่างในคาบวิชาการต่อสู้หอตะวันออกจะเรียนรวมกับหอตะวันตก แล้วแต่ว่าหอไหนจะถูกจับเรียนพร้อมกับหอไหนในแต่ละวิชานั้นๆ ที่ไม่ได้จัดให้เรียนพร้อมกันทั้งสี่หอก็เพราะจำนวนนักเรียนนั้นมีมากอาจจะทำให้อาจารย์ดูแลไม่ทั่วถึง

                    บุรุษรูปร่างสูงใหญ่เดินเข้ามายืนอยู่กลางห้อง เขาไล่มองนักเรียนแต่ละคนด้วยแววตาดุดันน่ากลัวที่พร้อมสังหารคนได้ทุกเมื่อ! สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์กอปรกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาอย่างรุนแรง ทำให้บรรยากาศภายในห้องที่ดูสบายๆ มีเสียงพูดคุยจ้อกแจ้กแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงัดและตึงเครียดย่างฉับพลัน

                    ฟรานสีหน้าเคร่งเครียดจับตาดูการเคลื่อนไหวทุกฝีก้าวอย่างระแวง เพราะคนคนนี้คือคนที่คิดจะฆ่าเขาเมื่อตอนทดสอบที่ผ่านมา!

                    หมอนั่น มาทำอะไรที่นี่ คงไม่ใช่.....

                    “ อาจารย์คาลเลสเตอร์ เป็นอาจารย์ประจำวิชานี้ ”

                    “ ห๊า!

                    ฟรานร้องเสียงหลง หันไปมองเฟรริลตาโตหน้าตื่นเหมือนถูกผีหลอก

                    “ หมอนั่นน่ะนะ!

                    “ ใช่ ”

                    เฟรริลคิ้วมุ่น ดวงตาสีฟ้าใสมองฟรานสีหน้าข้องใจ

                    “ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น มีอะไรหรือเปล่า? ”

                    “ อะ...เอ่อ ไม่มีอะไร แค่ตกใจนิดหน่อยที่คนน่ากลัวแบบนั้นมาเป็นอาจารย์วิชานี้ ข้าแค่ไม่ค่อยชอบอ่ะ ”

                    ไม่ถูกชะตาเลยต่างหาก เจ้าบ้านั่นคิดจะฆ่าข้า แถมดันมาเป็นอาจารย์วิชาการต่อสู้อีก ต้องเจอคนที่ต้องการฆ่าตัวเองทุกวันแบบนี้ ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว!

                    ฟรานสะดุ้งเฮือก รู้สึกเย็นวาบไปทั่วตัว เขาหันขวับกลับไปสบเข้ากับดวงตาอันดุดันและคมกริบราวใบมีดที่สามารถทะลุทะลวงเข้าถึงความนึกคิดของผู้ถูกมอง ดวงตาสีเขียวคู่นั้นจ้องเขาเขม็งแบบศัตรูคู่อาฆาตที่มีความแค้นมานานนับปี! ฟรานจ้องตอบกลับไปอย่างไม่กลัวเกรง แต่ในใจลึกๆก็อดหวั่นๆไม่ได้ ด้วยเพราะหมอนั่นเก่งเกินกว่าที่ฟรานจะเป็นคู่ต่อสู้ด้วยได้!

                    เฟรริลคงรู้สึกถึงบรรยากาศอึมครึมชวนกดดัน เขามองฟรานและคาลเลสเตอร์สีหน้าไม่สบายใจ เลยถามฟรานอย่างห่วงใย

                    “ มีอะไรหรือเปล่า เห็นเจ้ากับอาจารย์คาลเลสเตอร์จ้องมองกันอย่างน่ากลัว จนข้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตกันมาก่อน  ”             

                    “ ไม่มีอะไร เจ้าคิดมากไปเปล่า ข้ากับอาจารย์ไม่ได้เป็นศัตรูกันซะหน่อย ข้าแค่...  ”

             

                    “ เจ้าหนุ่ม! ได้เวลาเรียนแล้วมัวคุยอะไรอยู่ ไม่รู้จักคำว่ามารยาทหรือยังไง!

                    คำพูดของฟรานถูกขัดจังหวะด้วยน้ำเสียงทรงพลังและดุดัน คาลเลสเตอร์ใช้สายตามองฟรานเหมือนเขาทำความผิดร้ายแรง!

                    เฮ้ย! งี้มันหาเรื่องกันชัดๆนี่หว่า เฟรริลก็คุยด้วยไหงมาลงที่ข้าคนเดียว หมอนี่คงไม่คิดหาวิธีกำจัดข้าอยู่หรอกนะ!

                    “ ขอโทษครับ ”

                    ฟรานทำหน้าสลดเหมือนเด็กสำนึกผิด แต่ในใจกำลังด่าระงมโมโหอยู่ไม่น้อย

                    “ เจ้า ออกมานี่ ”

                    คาลเลสเตอร์สั่งฟรานน้ำเสียงเยียบเย็น ดวงตาฉายแววมุ่งร้าย รอบตัวเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่แผ่กระจายออกมาทำให้บรรยากาศโดยรอบชวนให้รู้สึกอึดอัดและกดดันมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม!

                    ฟรานมองคาลเลสเตอร์นิ่ง ลังเลที่จะออกไป ความกังวลทวีความรุนแรงจนรู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ออก

                    ฟรานยังคงนั่งนิ่งนานซะจนคาลเลสเตอร์หมดความอดทน เขาเรียกฟรานอีกครั้งด้วยน้ำเสียงตะคอกดุดันชักสีหน้าไม่พอใจอย่างที่สุด เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกต้องลุกขึ้นเดินเข้าไปหาอย่างจำยอม มือที่กำแน่นเย็นชื้นด้วยเหงื่อ เฟรริลมองแผ่นหลังฟรานที่ห่างออกไปรู้สึกห่วงและกังวลอย่างบอกไม่ถูก

                    สายตาทุกคู่จับจ้องฟรานเป็นจุดเดียว มีบางเสียงดังขึ้นมาเบาๆพอจับใจความได้ว่า ไม่รอดแน่ ’ ‘ ขอให้ไปดีนะเพื่อน ’ ‘ ไม่น่าเล๊ย! ดันไปทำให้จอมโหดไม่พอใจ ’ ‘ ลาก่อนเจ้าหน้าสวย ข้าดีใจนะที่ได้เป็นเพื่อนกับเจ้าถึงแม้จะวันเดียวก็เหอะประโยคหลังเป็นของเลออนเนล เขาทำเสียงเศร้า ตีหน้าสลด แต่ในใจแอบสะใจอยู่ไม่น้อย เซฮันริวปรายตามองอย่างเบื่อหน่าย  สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เช่นเคย

                     ฟรานยืนเผชิญหน้า ดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองคาลเลสเตอร์อย่างไม่กลัวเกรง แต่ในใจกลับเต้นรัวเร็วเหมือนตีกลอง มือซ้ายเลื่อนไปจับด้ามดาบ เตรียมพร้อมรับการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว

                     ฟรานขยับถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างระแวงเมื่อเห็นคาลเลสเตอร์ขยับเข้ามาใกล้ สายตาจับจ้องเหมือนเหยื่อที่กำลังหยั่งดูเชิงศัตรู

                    “ ตั้งท่า ”

                    “ ห๊ะ!

                    เสียงโลหะกระทบกันเกิดประกายไฟแปลบปลาบ ฟรานชักดาบออกมาได้ทันก่อนคมดาบของคาลเลสเตอร์จะถึงคอเพียงเสี้ยววินาที!

                    เด็กหนุ่มดันดาบของฝ่ายตรงข้ามกลับไป แล้วดีดตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว ทิ้งระยะห่างพอควรเพื่อตั้งท่าเตรียมจู่โจมพร้อมรับมือ ทว่าเมื่อมองกลับไปกลับไม่พบคาลเลสเตอร์!

                    หมอนั่นหายไปไหน!

                    ฟรานสะดุ้งเฮือกรู้สึกถึงจิตสังหารอันรุนแรงที่แผ่พุ่งทางด้านหลัง เขาเบี่ยงตัวหลบพร้อมยกดาบขึ้นรับดาบของอีกฝ่ายที่ฟาดลงมาด้วยพละกำลังมหาศาล ฟรานถูกซัดกระเด็นร่างบางกลิ้งไถลครูดไปกับพื้น ยังไม่ทันที่เขาจะยันตัวลุกขึ้น คาลเลสเตอร์กลับมาปรากฏอยู่เหนือตัวเขา!

                    เร็ว! เร็วมาก!

                    คาลเลสเตอร์ฟาดดาบกลางอากาศพร้อมปล่อยคลื่นพลังลูกใหญ่เข้าใส่ฟรานด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ชนิดที่ว่าไม่ยอมปล่อยให้เหยื่อหนีรอดไปได้!

                    เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นพื้นบริเวณนั้นกลายเป็นหลุมลึก เศษหินปลิวว่อนกระจายไปทั่ว ฝุ่นควันคละคลุ้งเป็นม่านหมอกทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ว่าบริเวณที่คลื่นพลังเข้าปะทะมีสภาพเป็นยังไงรวมทั้งฟราน!

                    นักเรียนทุกคนใจหายวาบหน้าซีด นักเรียนหญิงบางคนเอามือปิดตาไว้ไม่กล้าดูตัวสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัว บางคนชะเง้อคอมองลุ้นระทึกว่าฟรานจะมีสภาพเป็นยังไง บางคนพนันกันว่าเด็กหนุ่มผู้โชคร้ายจะรอดหรือเดี้ยงกันแน่!

                    เฟรริลวิ่งเข้าไปหาฟรานสีหน้าเป็นห่วงไม่สนคำห้ามปรามของเพื่อนๆ ในมือถือคฑาเวท ลูกแก้วเวทยังคงส่องแสงสีขาวนวล

                    ฝุ่นควันจางหายไปแล้วเผยให้เห็นพื้นที่กลายเป็นหลุมวงแหวนขนาดใหญ่! ฟรานนั่งหมดแรงหน้าซีดอยู่ในพื้นที่เล็กๆตรงกลางของหลุมที่ถูกเกราะเวททรงโดมครอบเอาไว้ เกราะเวทที่เฟรริลสร้างขึ้นได้ทันเส้นยาแดงผ่าแปดก่อนที่คลื่นพลังจะปะทะกับร่างบาง เฟรริลจึงรอดพ้นจากการถูกสังหารโดยเจตนา!

                    “ ฟราน!

                    เฟรริลหน้าตื่นพุ่งตัวเข้าไปยืนหน้าฟรานขวางคาลเลสเตอร์ที่กำลังฟาดดาบเข้าใส่เด็กหนุ่มที่อยู่ในเกราะเวทด้วยเร็วความเร็วชั่วพริบตา!

                    “ อาจารย์!

                    คาลเลสเตอร์ยั้งดาบไว้ดีดตัวกลับอย่างเร็ว ชักสีหน้าไม่พอใจ ตะคอกออกไปน้ำเสียงไม่สบอารมณ์

                    “ เจ้าชาย ท่านไม่ควรพรวดพราดเข้ามาขวางการทดสอบแบบนี้ ”

                    เฟรริลคิ้วมุ่น สีหน้าเคร่งเครียด นักเรียนบนสแตนใจหายวาบไม่คิดว่าเจ้าชายอย่างเฟรริลจะทำอะไรที่บ้าระห่ำเสี่ยงอันตรายขนาดนี้!

                    “ เท่าที่ข้าเห็น มันรุนแรงเกินกว่าที่จะเรียกว่าเป็นการทดสอบได้นะครับ ”

                    เฟรริลแย้งกลับไปอย่างสุภาพทว่าใบหน้าบ่งบอกว่าไม่พอใจเป็นอันมาก เด็กหนุ่มยังคงยืนขวางไม่มีทีท่าว่าจะขยับออก

                    “ เจ้าชาย มันเป็นการทดสอบ ข้าแค่อยากจะวัดฝีมือนักเรียนก็เท่านั้น แต่ที่ผลมันออกมาเป็นแบบนี้ก็เพราะความไม่เอาไหนของเจ้านั่น มีฝีมือแค่นั้นแต่ดันอุตส่าห์สอบเข้ามาได้ ”

                    คาลเลสเตอร์ทำเสียงหึ มองฟรานอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะหันหลังเดินไปยังสแตน นักเรียนทุกคนพร้อมใจกันขนลุกเกรียวถอยหลังกรูดโดยพร้อมเพรียง

                    เฟรริลนิ่งเงียบไม่อยากสาวความต่อ เด็กหนุ่มหันไปหาฟรานร้องอย่างตกใจ

                    “ ฟราน! เจ้าเลือดออก!

                    ฟรานมองสำรวจตัวเอง ที่แขนและขาเต็มไปด้วยรอยถลอกมีเลือดไหลซึมออกมา เฟรริลมองฟรานสีหน้าเต็มไปด้วยความห่วงใย มือเรียวบางวางอยู่เหนือบาดแผล ลำแสงสีขาวนวลแผ่กระจายครอบคลุมทั่วบาดแผล ไม่นานนักบาดแผลต่างๆก็หายไปจนหมดไม่เหลือร่องรอยใดๆไว้

                    “ เจ็บตรงไหนอีกหรือเปล่า ”

                    เฟรริลจับฟรานหมุนรอบทิศ ดวงตาสีฟ้าใสไล่มองสำรวจทั่วตัวเผื่อว่าอาจจะมีบาดแผลหลงเหลืออยู่

                    “ ไม่มีแล้วล่ะ ขอบใจมากนะ ”

                    ฟรานมองตาแป๋วเหมือนเด็กๆ ทำสายตาซึ้งๆ ความรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของเฟรริลมันเอ่อล้นออกมาอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่เฟรริลเป็นถึงเจ้าชายแต่กลับเอาตัวเข้ามาบังเสี่ยงชีวิตช่วยเขาซึ่งเป็นแค่เพื่อนคนสามัญธรรมดาที่รู้จักเพียงแค่วันเดียว และไม่ได้มีความสำคัญอะไรเลย

                    เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน ข้าต้องเป็นฝ่ายปกป้องเจ้าชายดิ ไม่ใช่ให้เจ้าชายปกป้องข้า! ไม่ได้ๆ จะให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ได้ ขืนเรื่องนี้รู้ไปถึงหูหัวหน้าหน่วยองครักษ์จอมโหดนั่น มีหวังถูกตัดคอเสียบประจาน! โทษฐานเป็นกบฎแหง!

                    ฟรานยิ่งคิดยิ่งฟุ้งซ่านเตลิดไปไกล มือกอดอกขนลุกเกรียวหนาวสะท้านทั่วตัว เฟรริลหน้าตื่นคิดว่าฟรานยังมีบาดแผลหลงเหลืออยู่ รีบจับตัวเขาพลิกดูไปทั่ว ฟรานหน้าเหวอ ละล่ำละลักรีบบอกว่าไม่เป็นไร เฟรริลทำหน้าไม่เชื่อ ฟรานต้องย้ำอีกครั้งบวกกับทำหน้าจริงจัง เฟรริลจึงยอมเชื่อและปล่อยมือ

                    การกระทำเมื่อกี้ทั้งหมดอยู่ในสายตาของคาลเลสเตอร์โดยตลอด เขามองทั้งสองสีหน้าไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันหน้าไปทางสแตนเขาเหลือบมองฟรานด้วยแววตาชิงชังซึ่งฟรานก็ดันสบตาเข้าพอดี จากเดิมก็เกลียดอยู่แล้วยิ่งเป็นแบบนี้ยิ่งเกลียดเข้าไปใหญ่ ฟรานจัดให้คาลเลสเตอร์อยู่ในทำเนียบศัตรูหมายเลขหนึ่ง!     

                    “ วันนี้พอแค่นี้ เลิกเรียนได้ ”

                    น้ำเสียงอันดังและทรงพลังของคาลเลสเตอร์ยังคงทำให้นักเรียนหลายๆคนขวัญกระเจิดกระเจิง ถึงแม้บางคนจะเคยเจอคาลเลสเตอร์เป็นครั้งที่สองแล้วก็ตาม!

                    “ อะ...อาจารย์ครับ ตอนบ่ายมีเรียนไหมครับ ”

                    เด็กหนุ่มผมเทาตัวสูงเก้งก้างถามน้ำเสียงตะกุกตะกัก เขายืนขึ้นยกมืออันสั่นเทาขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆ

                    “ ไม่มี ”

                    คาลเลสเตอร์ตะคอกกลับไปสีหน้าไม่สบอารมณ์เอามากๆ เด็กหนุ่มคนที่ถามรีบนั่งลงตัวแข็งทื่อโดอัตโนมัติ จากนั้นไม่มีใครกล้าที่จะถามอะไรอีก ต่างปิดปากสนิทไม่แม้จะมองสบตา

                    คาลเลสเตอร์เดินผ่านฟรานและเฟรริล เขาเหลือบมองฟรานด้วยแววตาเหยียดหยันและชิงชัง ฟรานมองกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้าน คาลเลสเตอร์หัวเราะหึและเดินออกประตูไปตามมาด้วยเสียงปิดประตูที่ดังสนั่นจนฝุ่นผงร่วงกราวลงมา

                    “ เจ้าบ้าฟรานเลิกอ้อนเฟรริลได้แล้ว เห็นแล้วน่าหมั่นไส้ ”

                    เลออนเนลเดินมาหาพร้อมคำพูดกวนบาทา ทำหน้าทำตากวนโอ๊ยน่ากระทืบ ผิดกับเซฮันริวที่เดินมาข้างๆยังคงทำหน้าเย็นชาไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม

                    “ จะบ้าเรอะไง! ข้าไม่ได้อ้อนเฟรริลสักหน่อย ”

                    ฟรานเถียงกลับ รู้สึกฉุนกึกที่ถูกกล่าวหาลอยๆไม่เป็นความจริง เลออนเนลทำเป็นเมินไม่สนใจและหันไปพูดกับเฟรริล

                    “ เจ้าเองก็ทำอะไรบ้าระห่ำเกินไป ถ้าเกิดเจ้าโหดคาลเลสเตอร์ยั้งมือไม่ทัน อะไรจะเกิดขึ้น เจ้าเป็นถึงเจ้าชายนะ เรื่องเล็กมันอาจกลายเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นคอขาดบาดตายเลยก็ได้ ”

                    “ ถ้าข้าไม่เข้าไปห้าม ฟรานอาจบาดเจ็บยิ่งกว่านี้ก็ได้ ”

                    เฟรริลแย้งไม่เห็นด้วย ทำหน้าตาจริงจังแต่ถึงอย่างนั้นมันกลับดูน่ารักมากกว่าไม่เห็นเหมือนกับคนที่กำลังพูดอย่างจริงจัง

                    “ เจ้าบ้านั่นก็ต้องมีฝีมือพอตัวเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว ไม่งั้นจะสอบผ่านเข้ามาได้ไง ”

                    เลออนเนลเหลือบมองฟรานด้วยหางตา น้ำเสียงออกแนวประชดค่อนขอด

                    “ มันก็จริง แต่ว่า... ”

                    เฟรริลเอ่ยเสียงอ่อย มันก็จริงอย่างที่เลออนเนลพูดมา แต่ว่ามันก็อดห่วงไม่ได้นี่นา

                    “ เรื่องนั้นช่างเถอะ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าเคยไปมีความแค้นกับอาจารย์คาลเลสเตอร์มางั้นเหรอ ”

                    เซฮันริวพูดขัดขึ้น แล้วหันไปถามฟรานอย่างข้องใจ

                    “ จะไปมีได้ไง เจอกันแค่สองครั้งเนี่ยนะ ครั้งแรกตอนสอบเข้าครั้งล่าสุดก็เมื่อกี้ ”

                    ฟรานมองค้อนเถียงเสียงหลง เขายันตัวลุกขึ้นเฟรริลเข้ามาช่วยพยุง เลออนเนลส่งสายตามองฟรานอย่างหมั่นไส้

                    “ งั้นทำไมถึง... ช่างเถอะ ”

                    เซฮันริวตัดบทเองดื้อๆ สร้างความสงสัยให้กับคนรอฟังเป็นอันมาก ถึงฟรานจะพยายามถามกี่ครั้งว่าจะพูดอะไรต่อ เซฮันริวก็เอาแต่นิ่งเงียบ และเดินจากไปโดยไม่สนใจคำเรียกของฟราน


           ...........................................................................................................................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×