ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Santazia

    ลำดับตอนที่ #6 : เพื่อนร่วมห้อง

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 54





                      พิธีปฐมนิเทศนักเรียนใหม่จัดขึ้นในหอประชุมใหญ่ นักเรียนต่างทยอยเข้ามานั่งจนเกือบเต็ม มีบางส่วนยังคงลงทะเบียน และบางส่วนเดินอ้อยอิ่งอยู่ข้างนอก

                    ฟรานวิ่งหน้าตั้งมาลงทะเบียนเป็นคนสุดท้าย เขาปาดเหงื่อโล่งอกที่ทันเวลา เด็กหนุ่มหันซ้ายหันขวามองดูบริเวณโดยรอบอย่างตื่นตาตื่นใจ บริเวณโถงทางเดินหน้าประตูทางเข้าหอประชุมถูกออกแบบมาอย่างวิจิตรบรรจงตามสไตล์ปราสาทโบราณ เสาแต่ละต้นแกะสลักลวดลายอย่างสวยงาม บนเพดานโค้งสลักเป็นลวดลายดวงดาวบนท้องฟ้า และมีโคมไฟคริสตัลลอยอยู่กลางอากาศสะท้อนแสงแดดที่ส่องมากระทบเป็นสีรุ้ง

                    “ ท่านนายพลจินนาเอล ”

                    ลุงจินสะดุ้งหันไปมองยังทิศทางของเสียงเรียก นานมากแล้วที่ไม่มีใครเรียกเขาแบบนี้ ตั้งแต่ที่เขาลาออกจากกองทัพ!

                     ชายหนุ่มรูปงามผมยาวสีทองเดินตรงเข้ามาหาลุงจิน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ดูจากบุคลิกและเสื้อผ้าที่สวมใส่คงไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน!

                    “ เจ้าชายเฟรมิล ”

                    ลุงจินเรียกชื่อชายหนุ่มที่ยืนตรงหน้า พร้อมกับโค้งคำนับทำความเคารพ

                    “ ท่านนายพล ไม่ได้พบท่านเสียนาน สบายดีไหม ”

                    “ ข้าน้อยสบายดีตามประสาคนแก่ล่ะพะยะค่ะ ”

                    เจ้าชายแย้มสรวลเล็กน้อย ลุงจินหัวเราะเบาๆอย่างสุภาพ

                    “ ลุงจิน ข้าลงทะเบียนเสร็จแล้ว ข้าเข้าหอประชุมก่อนนะ ”

                    ฟรานวิ่งเข้ามาหาลุงจิน เด็กหนุ่มหันไปมองชายหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างๆลุงจินแววตาสงสัยใคร่รู้

                    “ ฟราน ท่านผู้นี้คือ เจ้าชายเฟรเอล พระเชษฐาของเจ้าชายเฟรริล  

                    “ สะ...สวัสดีครับ เอ้ย! พะยะค่ะ ”

                    ฟรานรีบโค้งทำความเคารพ กล่าวทักทายตะกุกตะกักน้ำเสียงตื่นเต้น เพิ่งเคยเจอเจ้าชายตัวเป็นๆเป็นครั้งแรกเด็กหนุ่มไม่รู้ว่าควรพูดยังไงจนพูดผิดพูดถูก พอรู้สึกตัวก็อายหน้าแดง ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น

                    แย่แล้ว! พูดผิดพูดถูกไปแบบนั้น จะโดนเหมือนคราวก่อนไหมอ่ะ ยิ่งเป็นเจ้าชายด้วย! เจ้าชายจะคิดว่าข้าแสดงกิริยาไม่สุภาพหรือเปล่าอ่ะ ฮือๆๆๆ ทำไงดี!

                    ฟรานเริ่มขวัญเสีย พาลนึกถึงเหตุการณ์คราวก่อนที่ดันพูดออกไปโดยไม่ยั้งคิด ใช้คำที่ไม่สุภาพกับเจ้าชายเฟรริล เจ้าชายที่ตนเองต้องคุ้มครอง ทำให้หัวหน้าหน่วยองรักษ์สั่งสอนเขาจนเลือดตกยางออก โชคดีที่แผลไม่ลึกมาก  แค่ย้อมคอเสื้อเป็นสีแดงไปจนถึงบริเวณอก!

                    “ ไม่ต้องมากพิธีหรอก เงยหน้าขึ้นเถอะ ”

                    ฟรานเงยหน้าขึ้นช้าๆ ในใจยังคงหวั่นๆ กลัวว่าจะถูกลงโทษ แต่พอเห็นสีหน้าเรียบเฉยไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆของเจ้าชายที่เบือนหน้าไปทางลุงจิน ฟรานรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่งแต่ก็ยังไม่วางใจ

                    ไม่แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยแบบนี้ก็ไม่รู้สิว่าเจ้าชายคิดอะไรอยู่  เจ้าชายจะโกรธไหมอ่ะ พูดผิดๆถูกๆไปแบบนั้นกับเจ้าชายด้วย ฮือๆๆๆ

                    ฟรานกลัวจนขวัญเสีย กลัวจะถูกลงโทษเหมือนคราวที่แล้วหรืออาจจะหนักกว่า!

                    “ หลานท่านหรอ? ”

                    เจ้าชายหันไปถามลุงจิน ดวงตาสีฟ้าจ้องมองฟรานนิ่ง สีหน้ายังคงเรียบเฉย ทำให้ฝ่ายถูกจ้องมองเดาไม่ออกเลยว่าเจ้าชายกำลังคิดอะไร

                    หรือว่า! กำลังคิดหาวิธีลงโทษข้าอยู่หรอ! ฮือๆๆๆ ลุงจินช่วยด้วย!

                    ฟรานร้องโวยวายในใจก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ตัวเริ่มสั่นเทิ้มเล็กน้อยอย่างหวาดกลัว

                    “ พะยะค่ะ ต้องขอประทานอภัยที่หลานกระหม่อมแสดงกิริยาที่ไม่สุภาพออกไป ”

                    ลุงจินโค้งตัวขอโทษแทนฟรานที่ใช้คำพูดไม่เหมาะสม เด็กหนุ่มเองก็รีบทำเช่นเดียวกับลุงจินพร้อมกับเอ่ยขอโทษน้ำเสียงตะกุกตะกักแผ่วเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบ

                    “ ไม่เป็นไร ข้าไม่ใส่ใจเรื่องแค่นั้นหรอก ”

                    เจ้าชายเอ่ยเสียงเรียบ ดวงตาสีฟ้ายังคงจ้องมองฟรานไม่วางตา

                    “ หืม? หลานท่านหน้าตาเหมือนน้องชายข้าราวกับฝาแฝด แต่ต่างกันตรงที่...  

                    สีหน้าเรียบเฉยของเจ้าชายแปรเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจ เจ้าชายมองฟรานอย่างเพ่งพินิจ คนถูกมองก้มหน้างุดรู้สึกประหม่า

                    “ สีตากับความยาวผม หากตาเด็กคนนี้เป็นสีฟ้าและผมยาวประบ่า ข้าคงคิดว่าหลานท่านเป็นน้องชายข้าแน่ ”

                    เจ้าชายแย้มสรวลเล็กน้อย มองฟรานอย่างเอ็นดู เด็กหนุ่มยังคงก้มหน้างุดไม่กล้ามองหน้าเจ้าชายเหมือนเดิม

                    “ ชื่อฟรานสินะ เจ้าคือคนที่ได้รับภารกิจนี้ ”

                    “ ครับ เอ้ย! ขอรับ อะ...พะยะค่ะ ”

                    โอ๊ย! ตอบผิดๆถูกๆอีกแล้ว พอตื่นเต้นแล้วเป็นแบบนี้ทุกที

                    ฟรานบ่นตัวเอง หงุดหงิดกับนิสัยแบบนี้ที่แก้ไม่หาย พอตื่นเต้นทีไรจะเป็นแบบนี้ทุกที และคู่สนทนาเป็นเจ้าชายด้วย แถมต้องใช้คำราชาศัพท์ที่เขาไม่รู้เรื่องเลย ยิ่งตื่นเต้นพาลให้พูดผิดพูดถูกไปกันใหญ่

                    “ ฝากน้องชายข้าด้วย ”

                    “ อะ...เอ่อ...พะยะค่ะ ”

                    ฟรานเงยหน้าขึ้นมองเจ้าชาย น้ำเสียงที่เอ่ยประโยคนั้นกับเขามันเต็มไปด้วยความคาดหวัง การฝากฝังและความห่วงใยของพี่ชาย

                     ขอให้นักเรียนทุกคนเข้าหอประชุมได้แล้วค่ะ พิธีปฐมนิเทศกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ

                    ประกาศอีกครั้ง  ขอให้นักเรียนทุกคนเข้าหอประชุมได้แล้วค่ะ พิธีปฐมนิเทศกำลังจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ

                    เสียงประกาศเรียกนักเรียนเข้าหอประชุมดังขึ้น ฟรานหน้าตื่นนึกขึ้นได้ว่าต้องเข้าพิธีปฐมนิเทศ

                    “ ลุงจินข้าต้องไปแล้ว ไปก่อนนะ ”

                    ฟรานหันไปบอกลาลุงจิน แล้วหมุนตัวไปทางเจ้าชาย

                    “ อะ...เอ่อ ข้าน้อยขอลาครับ เอ้ย! พะยะค่ะ ”

                    ฟรานโค้งทำความเคารพ ก่อนจะหันหลังวิ่งหน้าตั้งเข้าหอประชุมเป็นคนสุดท้ายก่อนเจ้าหน้าที่จะปิดประตูเพียงไม่กี่วินาที!

                    สุดท้ายข้าก็ยังพูดผิดอยู่อีก เฮ้อ!       

                    ฟรานบ่นตัวเองในใจ พลางหันซ้ายหันขวามองหาที่ว่าง

                    “ ท่านจินนาเอล ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่าน เชิญตามข้ามา ”

                    สีหน้าเจ้าชายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม น้ำเสียงจริงจังผิดกับตอนแรก ลุงจินคิ้วมุ่นรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

                    “ พะยะค่ะ ”

                    ลุงจินตอบรับก่อนจะเดินตามเจ้าชายเข้าไปในส่วนลึกของโรงเรียน

                   

                    ฟรานเดินมาเรื่อยๆจนมาเจอแถวที่นั่งที่มีคนนั่งอยู่เพียงคนเดียว เด็กหนุ่มเดินเข้ามานั่งข้างๆคนคนนั้น แล้วหันไปทักทายด้วยน้ำเสียงร่าเริง

                    “ สวัสดีข้าชื่อฟราน ยินดีที่ได้รู้จักนะ ”

                    เด็กหนุ่มผมทองที่ถูกทักหันหน้ามาทางฟราน พอได้เห็นหน้าเต็มๆฟรานถึงกับช็อกตาค้างตัวแข็งทื่อ

                    ดะ...ดอปเปล! เฮ้ย! ไม่ใช่ นะ...นั่น เจ้าชายที่เราต้องคุ้มครองนี่!

                    ถึงได้ว่าแถวนี้ทั้งแถวไม่มีใครนั่ง เพราะเจ้าชายนั่งอยู่นี่เอง จะว่าไปข้านั่งตรงนี้จะดีหรอ? แต่ทำไงได้ล่ะก็มันไม่มีที่แล้วนี่ ช่างเหอะนั่งไปแล้ว และอีกอย่างภารกิจก็เริ่มแล้วด้วย ต้องคอยอยู่ใกล้เจ้าชายตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง แบบนี้ก็ดีเหมือนกันเจ้าชายอยู่ในสายตาจะได้เฝ้าระวังได้ง่ายหน่อย

                    “ ข้าชื่อเฟรริล ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน ”

                    เฟรริลยิ้มละไม ดวงตาสีฟ้ากลมโตจ้องมองฟราน ใบหน้าที่เมื่อตะกี้มีรอยยิ้มประดับอยู่ที่มองดูแล้วให้ความรู้สึกสบายๆเป็นกันเอง กลับแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจ

                    “ เจ้านี่เอง! ที่เป็นดอปเปลแกงเกอร์ของข้า!

                    ใครเป็นดอปเปลของเจ้ากัน! แต่...เอ...เจ้าก็เชื่อเรื่องดอปเปลเหมือนกับข้าเหรอนี่? แสดงว่าเราต้องมีนิสัยคล้ายๆกันแน่เลย ค่อยยังชั่วหน่อย อาจจะเข้ากับเจ้าชายได้ง่ายและสนิทกันเร็วก็ได้ อิอิ

                    “ ข้าไม่ใช่ดอปเปลแกงเกอร์นะ ”

                    “ ขอโทษด้วยที่ข้าพูดอะไรเสียมารยาท ข้านี่แย่จังที่กล่าวหาคนอื่นแบบนี้ ”

                    เฟรริลสีหน้าสลดรู้สึกผิด เด็กหนุ่มก้มหัวขอโทษ ฟรานตกใจหน้าซีดรีบจับหน้าเฟรรีลเงยขึ้น ขืนมีใครมาเห็นเข้าว่าเจ้าชายก้มหัวขอโทษเขาล่ะก็ มีหวังหัวหลุดจากบ่าแหงม!

                    “ อะ...เอ่อ มะ...ไม่เป็นไร มันไม่ใช่เรื่องเสียมารยาทอะไรหรอก ข้าเองก็เคยคิดเหมือนเจ้าเลย ”

                    จะไม่ให้คิดแบบนั้นได้ไงอ่ะ จู่ๆก็เจอคนที่หน้าตาเหมือนตัวเองเปี๊ยบ พี่น้องก็ไม่ใช่ ถ้าไม่ให้คิดว่าเป็นดอปเปลแกงเกอร์ก็แปลกแล้ว แต่...เอ แล้วคนอื่นจะคิดเหมือนกันแบบนี้ไหมอ่ะ?

                    ฟรานหันซ้ายหันขวาโล่งอกที่ยังไม่มีใครสังเกตเห็น ไม่งั้นล่ะก็...เฮ้อ!..ไม่อยากจะคิด

                    ตอนแรกฟรานคิดว่าเจ้าชายน่าจะเป็นพวกเหย่อหยิ่ง จองหอง ถือยศถือเจ้าตามสไตล์คนมียศศักดิ์ แต่เจ้าชายตัวเป็นๆที่นั่งข้างๆเขา จริงๆแล้วกลับเป็นคนดีแถมนิสัยดีเป็นกันเองเกินคาด หน้าตาก็น่ารัก นิสัยก็ดี แถมรวยอีกต่างหาก ไม่ว่าใครก็คงหลงรักกันทั้งนั้น แม้แต่ฟรานเองก็รู้สึกชอบเจ้าชายขึ้นมานิดๆ เอ...แบบนี้ที่เขาเรียกว่ารู้สึกถูกชะตาหรือเปล่านะ?

                    “ จริงหรอ? พวกเรานี่คิดอะไรคล้ายๆกันเนอะ หน้าตาก็เหมือนกัน นิสัยก็อาจจะเหมือนกันด้วย แต่เสียอย่างเดียวที่ไม่ใช่พี่น้องกัน ไม่งั้นคงได้ทำเรื่องสนุกหลายๆอย่างด้วยกันแน่  

                    เฟรริลยิ้มน้อยๆ ฟรานรู้สึกว่ารอยยิ้มนี้ผิดกับรอยยิ้มในตอนแรกที่ดูร่าเริงสดใส แต่รอยยิ้มนี้มันเหมือนกับแฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยเสียใจในบางสิ่ง

                      พิธีปฐมนิเทศสิ้นสุดลงในช่วงเที่ยง นักเรียนปี 4 ที่เป็นหัวหน้าหอพักประจำหอพักทั้งสี่ออกมายืนหน้าเวที ในมือแต่ละคนมีกระดาษรายชื่อนักเรียนปี 1 ที่อยู่ในหอพักที่ตนเองดูแลอยู่      

                    โรงเรียนแซงเคอร์เป็นระบบโรงเรียนประจำ หลักสูตรการเรียนสี่ปี นักเรียนทุกคนต้องอยู่หอพักตลอดสี่ภาคการศึกษา

                    หอพักนักเรียนแบ่งออกเป็นสี่หอ ได้แก่ หอเหนือ หอใต้ หอตะวันออก และหอตะวันตก หอพักนักเรียนเป็นอาคารแบบปราสาทโบราณขนาดย่อมสี่ชั้นตั้งอยู่ทั้งสี่ทิศของตัวปราสาทซึ่งเป็นอาคารหลัก มีทางเชื่อมระหว่างอาคารทั้งสอง บริเวณโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยผืนป่า และทุ่งดอกไม้หลากหลายพันธุ์ ด้านหลังที่ติดเทือกเขามีแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่เชื่อมออกสู่แม่น้ำสายหลัก

                    ในแต่ละหอพักมีนักเรียนแต่ละชั้นปียี่สิบห้าคน โดยชั้นปีที่หนึ่งจะพักอยู่ชั้นหนึ่ง ชั้นปีที่สองพักอยู่ชั้นสอง ชั้นปีที่สามพักอยู่ชั้นสาม และชั้นปีที่สี่พักอยู่ชั้นสี่

                    มีอาจารย์ประจำหอพักละหนึ่งคน และมีหัวหน้าหอพักซึ่งเป็นนักเรียนชั้นปีที่สี่ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยภายในหอพัก

                     ในแต่ละห้องพักมีจำนวนนักเรียนไม่เท่ากันขึ้นอยู่กับจำนวนนักเรียนหญิงและนักเรียนชาย บางห้องอาจจะพักสี่คน สามคน หรือสองคน แต่จะไม่มีใครที่ได้พักห้องเดี่ยว

                    นักเรียนชายปีสี่ที่อยู่หัวแถวก้าวออกมาข้างหน้าหนึ่งก้าว และประกาศก้องด้วยเสียงอันดังและทรงอำนาจ บวกกับบุคลิกที่ดูนิ่งขรึมยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นไปอีก

                    “ ขอต้อนรับน้องใหม่ทุกคนสู่โรงเรียนแซงเคอร์ ข้าชื่อแซนเฟล เป็นประธานนักเรียนและหัวหน้าหอตะวันออก ”

                    “ ข้าชื่อแรนดัล เป็นหัวหน้าหอใต้ ”

                    ชายหนุ่มผมน้ำตาลที่ยืนถัดจากแซนเฟลแนะนำตัวเองอย่างร่าเริงพร้อมรอยยิ้มกว้าง ถัดมาเป็นหญิงสาวหน้าตาน่ารัก รูปร่างบอบบาง เธอยืดตัวตรงและพูดขึ้นว่า

                    “ ข้าชื่อรินลิเวียร์ เป็นหัวหน้าหอเหนือ ”

                    น้ำเสียงของเธอดูห้าวหาญและเข้มแข็งขัดกับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูอ่อนหวานและบอบบาง

                    คนสุดท้ายเป็นหญิงสาวลักษณะห้าวๆ เธอพูดแนะนำตัวเองด้วยเสียงอันดังไม่แพ้ประธานนักเรียน

                    “ ข้าชื่อฟอร์เลนอร์ เป็นหัวหน้าหอตะวันตก ”

                    เมื่อหัวหน้าหอทั้งสามแนะนำตัวเสร็จ แซนเฟลจึงพูดต่อ

                    “ ทุกคนจะได้รับบัตรนักเรียนซึ่งระบุชื่อหอพัก ใครอยู่หอไหนให้เดินมาหาหัวหน้าหอพักหอนั้น ”

               

                    นักเรียนปีหนึ่งทยอยกันเดินลงมาไปหาหัวหน้าหอพักที่ตนเองอยู่

                    ฟรานดูบัตรของตัวเองแล้วชะโงกดูของเฟรริล เด็กหนุ่มทำตาโต น้ำเสียงดีใจ

                    “ เห เจ้าอยู่หอตะวันออก หอเดียวกับข้านี่ ดีจัง ”

                    รู้อยู่แล้วล่ะว่าอยู่ห้องเดียวกัน เนียนถามไปแบบนั้นแหล่ะเพื่อไม่ให้ผิดสังเกตข้านี่ก็แสดงเก่งเหมือนกันน๊า อิอิ

                    ฟรานแอบยิ้มในใจให้กับความสามารถอันแนบเนียนของตน

                    “ จริงหรอ! ดีจัง ถ้าได้อยู่ห้องเดียวกันก็คงจะดี ”

                    เฟรริลยิ้มแป้นน่ารักอย่างกับเด็กๆ บ่งบอกว่าดีใจสุดๆ สีหน้าคาดหวังอยากให้เป็นแบบนั้น ฟรานพยักหน้าเออออตามประมาณว่าเห็นด้วย

                    ได้อยู่ห้องเดียวกันล้านเปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว ขืนไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันข้าก็ทำงานลำบากแย่ดิ แต่...เอ...ทำไมหมอนั่นถึงดีใจขนาดนั้นนะ?

                    ฟรานคิ้วมุ่นจ้องมองแผ่นหลังเฟรริลงงๆสงสัยขณะที่เดินลงไปหาหัวหน้าหอตะวันออก เหมือนเฟรริลจะรู้สึกตัวว่าถูกจ้องมอง เด็กหนุ่มหันขวับมาอย่างกะทันหัน สายตาของทั้งคู่ประสานกันพอดี ฟรานที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยถึงกับสะดุ้งโหยงก้าวถอยหลังจนเกือบชนคนที่เดิมตามหลังมา

                    เฟรริลเอียงคอมองฟรานแบบเด็กๆสีหน้างุนงง เด็กหนุ่มเอ่ยถามฟรานอย่างสงสัย

                    “ มีอะไรหรือเปล่า ข้ารู้สึกเหมือนเจ้าจ้องข้าอยู่เลย ”

                    ฟรานยิ้มแห้ง สายตาล่อกแล่กไม่กล้าสบตาเฟรริล หัวสมองที่ไม่ค่อยได้ใช้งานกำลังประมวลหาคำแก้ตัวที่น่าจะฟังขึ้นแบบสมเหตุสมผลหน่อยๆ

                    “ อะ...เอ่อ ไม่มีอะไร แค่คิดอะไรเพลินๆเลยเผลอจ้องหลังเจ้าน่ะ ขอโทษนะ ถะ...ถ้าทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ ”

                    เฟรริลยิ้มน้อยๆ พลางส่ายหน้า ฟรานเผลอจ้องรอยยิ้มนั้นอย่างไม่รู้ตัว มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

                    “ ไม่เป็นไรหรอก ข้าแค่สงสัยเลยถามไปแบบนั้นเอง เจ้าอย่าได้คิดมากนะ ”

                    น้ำเสียงเฟรริลดูเป็นกังวลกลัวฟรานจะคิดมาก เด็กหนุ่มมองฟรานอย่างเป็นห่วง

                    “ อื้อ ข้าไม่ได้คิดมากหรอก อย่ากังวลไปเลย ”

                    ฟรานเห็นสีหน้าของเฟรริล เลยตอบกลับไปด้วยหน้าตาและน้ำเสียงที่ร่าเริง พร้อมกับส่งยิ้มแป้นไปให้

                    จริงๆแล้วก็อยากจะถามอยู่หรอกนะว่าทำไมดีใจถึงขนาดนั้น แต่ไม่เอาดีกว่า  ขืนถามไปแบบนั้นถ้าเกิดเจ้าชายคิดว่าเป็นการเสียมารยาท แล้วพาลไม่คุยกับข้าถึงขั้นเลิกคบเลย งี้ก็แย่อ่ะดิ ข้าคงทำงานได้ยากหนักขึ้นไปอีก

                    ฟรานคิดเตลิดไปไกลขณะรอเช็คชื่อกับหัวหน้าหอตะวันออก

                    เมื่อหัวหน้าหอเช็คชื่อสมาชิกใหม่ครบทุกคน จึงเดินนำทางพาไปยังบ้านหลังใหม่ที่นักเรียนปีหนึ่งทุกคนต้องใช้ชีวิตร่วมกันตลอดสี่ปี

                    หอตะวันออกที่ฟรานและเฟรริลต้องเข้าไปพัก ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของตัวปราสาทหลักซึ่งเป็นอาคารเรียน ทั้งสองอาคารมีทางเดินเชื่อมถึงกัน สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้ากว้างสลับกับทุ่งดอกไม้หลากหลายพันธุ์นานาสีสัน และมีต้นไม้ใหญ่แซมบ้างประปราย ด้านหลังหอถูกโอบล้อมด้วยผืนป่าที่มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นกันอย่างแน่นขนัด บางวันอาจจะเห็นกระต่ายป่าตัวน้อยออกมาวิ่งเล่นซุกซน ถ้าโชคดีหน่อยก็อาจจะเห็นลูกกวางที่พลัดหลงกับแม่เดินหลงเข้ามาแถวบริเวณหอพัก

                    ตัวหอพักเป็นรูปทรงปราสาทโบราณขนาดสี่ชั้น ทุกห้องมีระเบียงกว้างทรงโค้ง นักเรียนหญิงพักอยู่ทางปีกซ้ายของอาคาร ส่วนนักเรียนชายพักอยู่ทางปีกขวา

                    หอตะวันออกมีนักเรียนหญิงสิบคนและนักเรียนชายสิบห้าคน

                    แซนเฟลแจกกุญแจห้องพักตามที่ระบุในใบรายชื่อ นักเรียนหญิงได้พักห้องละสองคน ส่วนนักเรียนชายมีห้องหนึ่งพักสี่คนและสามคนส่วนที่เหลือพักห้องละสองคน

                    เฟรริลรับกุญแจมาซึ่งสลักหมายเลขห้องหนึ่งศูนย์ห้า เด็กหนุ่มมองกุญแจที่อยู่ในมือฟราน ใบหน้ายิ้มกว้างดีใจแบบเด็กๆ     

                    “ เจ้าก็อยู่ห้องหนึ่งศูนย์ห้า! ดีจัง พวกเราได้อยู่ห้องเดียวกัน ”

                    ก็แหงดิ ขืนไม่อยู่ห้องเดียวกับเจ้าข้าก็ทำงานลำบากแย่สิ

                    แต่...ทำไมหมอนี่ถึงได้ดีใจขนาดนี้อ่ะ อยากจะถามเหมือนกัน แต่ไม่กล้าอ่ะ

                    ฟรานยิ้มกลับไป แกล้งทำเป็นเหมือนเพิ่งรู้ว่าอยู่ห้องเดียวกัน

                    “ จริงเหรอ? ”

                    ต้องแสดงให้สมบทบาทหน่อยเดี๋ยวเจ้าชายจะผิดสังเกต อืม...จะว่าไปข้าก็เป็นดาราเจ้าบทบาทได้นะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

                    “ ใช่ นี่ไง ”

                    เฟรริลยื่นกุญแจห้องให้ดู ฟรานแกล้งทำเป็นตาโตตื่นเต้นดีใจ

                    “ จริงด้วย!

                    “ อื้อ ดีจังเลย ”

                    เฟรริลยิ้มกว้างดีใจสุดๆเหมือนได้ของที่ถูกใจ ฟรานเลยยิ้มเออออตามไปด้วย

                    ห้องหนึ่งศูนย์ห้าอยู่สุดทางเดินทางปีกขวาของหอพัก บนประตูไม้มะฮอกกานีมีตัวเลขโลหะเงิน 105 ติดอยู่

                    เฟรริลเปิดประตูเข้าไป ในห้องมีเด็กหนุ่มสองคนอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มผมดำยาวกำลังจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ ที่อยู่ปลายเตียงริมสุดตรงข้ามฝั่งประตู ส่วนอีกคนกำลังนอนกลิ้งเกลือกไปมาบนเตียงข้างๆอย่างสบายอารมณ์ ข้าวของวางอยู่ข้างเตียงระเกะระกะ เด็กหนุ่มผมดำมองเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยหางตาแบบไม่สบอารมณ์ พลางถอนหายใจอย่างระอา

                    ในห้องมีเตียงสี่เตียงวางเรียงกันฝั่งหน้าต่างคั่นด้วยโต๊ะหนังสือ ที่ปลายเตียงมีตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่สี่ตู้วางเรียงกันติดกำแพง สองเตียงขวามือฝั่งระเบียงถูกเด็กหนุ่มสองคนยึดไปแล้ว เหลืออีกสองเตียงฝั่งประตูที่ยังว่างอยู่ เฟรริลเลือกเตียงที่ติดกับประตู เตียงถัดมาเลยเป็นของฟราน

                    เด็กหนุ่มผมสีทรายดีดตัวลุกจากเตียงทักทายเพื่อนใหม่ที่จะกลายเป็นเพื่อนร่วมห้องตลอดสี่ปีอย่างร่าเริง

                    “ สวัสดี ข้าชื่อเลออนเนล พวกเจ้าล่ะชื่ออะไรกันบ้าง ”

                    เฟรริลยิ้มละไมให้กับเพื่อนใหม่ และพูดทักทายอย่างเริงร่า

                    “ ข้าชื่อเฟรริลส่วนนี่ก็... ”

                    เฟรริลผายมือไปทางฟรานกำลังจะแนะนำเขา กลับถูกขัดจังหวะโดยเลออนเนลที่ร้องขึ้นอย่างตกใจ

                    “ เฮ้ย! ผู้หญิงนี่! ทำไมผู้หญิงถึงมาอยู่ที่นี่ อย่าบอกนะว่า...อยู่ห้องนี้อ่ะ ”

                    เฟรริลและฟรานมองหน้ากันเลิ่กลั่ก งงเป็นไก่ตาแตก

                    ผู้หญิง? ในห้องนี้มีผู้หญิงด้วยเหรอ? ที่เห็นก็มีผู้ชายตัวเป็นๆตั้งสี่คน แล้วจะมีผู้หญิงที่ไหนล่ะ หรือว่า...

                    “ ผู้หญิงที่ไหน? ”

                    เฟรริลถามคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจที่เลออนเนลพูด จะมีผู้หญิงได้ไงก็ในเมื่อที่ยืนอยู่ตรงนี้เป็นผู้ชายทั้งแท่งทั้งสองคน

                    “ ก็นั่นไง ผู้หญิงที่ยืนข้างๆเจ้า ”

                    เลออนเนลชี้มือไปที่ฟราน

                    “ ข้าเหรอ? ”

                    ฟรานชี้ตัวเอง เลออนเนลพยักหน้าหงึกๆ  ฟรานทำตาปริบๆ รู้สึกเซ็งอย่างบอกไม่ถูก

                    อีกแล้วเหรอ หน้าข้ามันหวานเหมือนผู้หญิงหรือไงนะ! ถึงมีคนเข้าใจผิดตั้งสองครั้งแล้ว!

                     เฟรริลมองทั้งสองคนพอจะเข้าใจแล้วว่าผู้หญิงที่เลออนเนลพูดหมายถึงใคร

                    “ ทำไมเจ้าถึงคิดว่าฟรานเป็นผู้หญิงล่ะ ”

                    “ อ้าว หน้าสวยซะขนาดนั้น ถ้าไม่ใช่ผู้หญิงแล้วเป็นอะไรล่ะ ”

                    เลออนเนลพูดรัวเร็วซะจนแทบจับใจความไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาของเฟรริล เพราะเขาฟังทันทุกคำพูด!

                    เลออนเนลทำหน้างง ไม่เข้าใจทำไมเฟรริลถึงถามแบบนั้น ก็เห็นๆอยู่หน้าสวยขนาดนั้นจะให้เป็นผู้ชายได้ไง

                    “ ฟรานเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิง ”

                    เฟรริลแก้ต่างแทนฟราน ฟรานรู้สึกซาบซึ้งใจเพื่อนรักที่มองออกว่าเขาเป็นผู้ชาย ไม่เหมือนกับเจ้าบ้านี่ที่มีตาแต่ไร้แวว มาหาว่าเขาเป็นผู้หญิงทั้งๆที่หน้าตาออกจะแมนเลิศเลอเพอร์เฟคซะขนาดนี้

                    เฟรริลเจ้าเป็นคนดีจริงๆ มีเพียงเจ้าคนเดียวที่มองว่าข้าเป็นผู้ชาย ฮือๆ ข้ารักเจ้าที่สุดเลย อยากโดดกอดสักทีหนึ่ง ไม่เอาดีกว่า ขืนทำอย่างงั้นมีหวังได้โดนข้อหาทำมิดีมิร้ายเจ้าชายอ่ะดิ

                    “ จะเป็นไปได้ไง ผู้ชายอะไรหน้าสวยเหมือนผู้หญิง ”

                    เลออนเนลเถียงเสียงแข็งยังไม่ยอมเชื่อ เฟรริลถอนหายใจ

                    “ งั้นข้าจะพิสูจน์ให้ดู ”

                    เฟรริลหันไปทางฟราน ยิ้มแห้งทำหน้าเหมือนคน กำลังจะทำความผิด

                    “ ขอโทษนะ ”

                    ฟรานมองเฟรริลงงๆ ยังไม่ทันได้ถามอะไร ก็...

                    ปับ!

                    เฟรริลตบหน้าอกฟรานเบาๆ คนถูกกระทำหน้าเหวอสองข้างแก้มแดงระเรื่อ ดวงตาสีน้ำตาลมองคนกระทำตาโตหน้าตื่น

                    เลออนเนลจ้องหน้าอกฟรานที่แบนราบอย่างกับไม้กระดาน สีหน้าบ่งบอกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

                    “ ข้ายังไม่อยากเชื่ออยู่ดี ถึงจะไม่มีหน้าอกก็เถอะ แต่ผู้ชายอะไรจะหน้าสวยอย่างกับผู้หญิง ตัวก็อ้อนแอ้นบอบบาง ”

                    เลออนเนลไล่มองฟรานตั้งแต่หัวจรดเท้า คนถูกมองชักสีหน้าไม่ค่อยพอใจ รู้สึกไม่ถูกชะตาอย่างแรง

                    “ ถ้าฟรานเป็นผู้หญิงจะยอมให้ข้าทำแบบนี้หรือเปล่า ”

                    “ เอ่อ...ก็ไม่นะ แต่ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ”

                    สีหน้าเลออนเนลบ่งบอกชัดเจนว่ายังไม่อยากเชื่อเท่าไหร่

                    “ ถ้างั้นข้าจะถอดเสื้อฟรานพิสูจน์ไปเลยว่าเขาเป็นผู้ชายจริงๆ ”

                    “ เฮ้ย! ไม่เอานะ ”

                    ฟรานถอยหลังกรูดติดประตูสองมือกำเสื้อแน่น หัวเด็ดตีนขาดยังไงฟรานก็ไม่ยอมให้เฟรริลถอดเสื้อเขาออกเป็นอันขาด ถึงเป็นผู้ชายเหมือนกันก็เถอะ แต่จะทำแบบนี้มันไม่ดีนะเฟร้ย! ยิ่งเจ้าเป็นเจ้าชายด้วย หากมีข่าวแพร่ออกไปว่าเจ้าชายถอดเสื้อเพื่อนร่วมห้องเพื่อพิสูจน์ว่าเป็นหญิงหรือชาย มันจะเอ่อ.....เอาเป็นว่ามันไม่ดีแล้วกัน!

                    “ ฮะ...เฮ้ย! ไม่ต้องๆ ข้าเชื่อแล้วก็ได้ ข้ายังไม่อยากนอนฝันร้ายไปตบอดชีวิต ”

                    “ ก็ดีเหมือนกัน จะได้พิสูจน์ไปเลยว่าเจ้าหน้าหวานตัวบอบบางเป็นผู้ชายจริงๆ มาข้าช่วยถอด หึหึ ”

                    เลออนเนลย่างสามขุมเข้าไปหาฟรานเหมือนนักล่ากำลังย่องเข้าไปหาเหยื่อตัวน้อยที่ตัวสั่นระริกด้วยความกลัวและหมดทางหนี มือข้างหนึ่งดันประตูไว้ทำให้ฟรานเปิดออกไปไม่ได้ ฟรานรีบวิ่งแจ้นไปฝั่งตรงข้ามหน้าตื่นเหงื่อเริ่มแตก

                    “ เฮ้ย! อย่าทำแบบนั้นนะ ข้าเป็นผู้ชายจริงๆ ผู้ชายบ้าอะไรจะเสียงห้าวขนาดนี้ ถ้าข้าเป็นผู้หญิงจริงต้องถูกส่งไปอยู่ฝั่งผู้หญิงแล้วเซ่ จะมาทำบ้าอะไรที่หอพักฝั่งชาย ”

                    ฟรานร้องโวยวายลั่น พลางหันไปทางเฟรริลขอความเชื่อเหลือ เฟรริลมองกลับมาอย่างรู้สึกผิดและละอายใจที่พูดอะไรเกินกว่าเหตุจนทำให้เพื่อนเดือดร้อน

                    “ ไม่เห็นจะเสียงห้าวเลย เสียงออกจะน่ารักด้วยซ้ำ ”

                    เลออนเนลยิ้มเจ้าเล่ห์แกมโกง มองฟรานเหมือนนักล่าที่มองเหยื่ออันโอชะ เฟรริลหน้าเสียรีบวิ่งไปยืนหน้าฟรานขวางเลออนเนล

                    “ พอแค่นั้นเถอะ ข้ายืนยันได้ว่าฟรานเป็นผู้ชายจริงๆ อย่าทำถึงขั้นนั้นเลย ”

                    “ เจ้าเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าถ้าข้าไม่เชื่อให้ถอดเสื้อเจ้านั่นพิสูจน์น่ะ ถ้าไม่ทำแบบนั้นข้าก็คงไม่เชื่อหรอกว่าเจ้านี่เป็นผู้ชายจริงๆ หึหึ ”

                    เลออนเนลก้าวไปหาอย่างช้าๆ ทั้งสองคนได้แต่ขยับถอยทีละก้าว เฟรริลหันไปมองฟรานหน้าจ๋อยรู้สึกผิดจนไม่อาจให้อภัยตนเองได้ ที่พูดมากเกินกว่าเหตุจนทำให้เพื่อนเดือดร้อน

                    โป๊ก!

                    แอ้ก!

                    “ โอ๊ย! เจ็บชะมัด เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย!

                    เลออนเนลกุมหัวตรงที่ถูกเด็กหนุ่มผมดำเขกเต็มแรง หันไปมองเคืองๆน้ำตาเล็ด

                    “ เลิกเล่นบ้าๆสักที เห็นแล้วมันน่ารำคาญ แค่นี้ก็มองไม่ออกหรือไงว่าเจ้าหน้าหวานนั่นเป็นหญิงหรือชาย ”

                    เด็กหนุ่มผมดำพูดเสียงเยียบเย็น ดวงตาสีม่วงอมเงินที่มองเลออนเนลเต็มไปด้วยความเย็นชา

                    “ ข้ารู้แล้วว่าเจ้านั่นเป็นผู้ชายตอนที่เฟรริลตบที่หน้าอกอ่ะ ข้าไม่ได้คิดจะถอดเสื้อเจ้าหน้าหวานจริงๆหรอก แค่อยากแหย่เล่นเท่านั้นเอง ”

                    เลออนเนลพูดเสียงอ่อยไม่กล้าสบตา รู้สึกเหมือนมีรังสีอำมหิตแผ่ออกมาจากเด็กหนุ่มผมดำ เด็กหนุ่มผมดำจ้องเลออนเนลนิ่งก่อนจะหันไปทางเฟรริลและฟรานสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์

                    “ เจ้าก็เหมือนกันแนะนำอะไรไม่เข้าท่า ”

                    เฟรริลหน้าสลดความรู้สึกผิดถาโถมเข้าใส่เป็นทวีคูณ

                    “ ข้าขอโทษ ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรแนะนำอะไรแบบนั้น จนทำให้เจ้าเดือดร้อน ขอโทษนะฟราน ขอโทษ ”

                    เฟรริลก้มหัวขอโทษฟราน เด็กหนุ่มหน้าเหวอตกใจรีบจับหน้าเฟรริลเงยขึ้นแทบไม่ทัน และพูดขึ้นว่า

                    “ ไม่เป็นไร เจ้าไม่ได้ทำผิดอะไรนี่จะขอโทษข้าทำไม ”

                    “ แต่ว่าข้าทำให้เจ้า... ”

                    ฟรานส่ายหน้าและพูดขัดขึ้นว่า

                    “ ข้าก็บอกแล้วไงว่าเจ้าไม่ได้ทำผิดอะไร ลุงข้าชอบแกล้งข้าแบบนี้บ่อยๆ ถ้าเจ้ายังขืนโทษตัวเองและขอโทษข้าไม่หยุดแบบนี้ ข้าจะโกรธเจ้าจริงๆด้วย ”

                    ฟรานทำสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังจนเฟรริลไม่กล้าที่จะขัดคำพูดของฟราน ได้แต่ตอบรับเสียงอ่อยในลำคอ ด้วยความรู้สึกที่ยังคงรู้สึกผิดอยู่ดีถึงฟรานจะบอกว่าตัวเขาไม่ได้ทำผิดอะไรก็เถอะ

                    ขืนปล่อยให้เจ้าชายก้มหัวขอโทษข้าไม่หยุดละก็ แถมยังมีพยานปากเอกตั้งสองคน ถ้าเจ้าพวกนี้เอาไปป่าวประกาศข้างนอก หัวข้ามีหวังหลุดจากบ่าแหงม!

                    ฟรานยิ่งนึกก็ยิ่งหนาวสะท้านไปทั่วตัว

                    เด็กหนุ่มผมดำจ้องมองเฟรริลและฟรานนิ่ง สีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

                    “ เจ้าสองคนเป็นพี่น้องกันเหรอ? ”

                    “ ใช่ๆ ข้ากำลังจะถามอยู่พอดีเห็นพวกเจ้าหน้าตาเหมือนกัน ”

                    เด็กหนุ่มผมดำหันขวับมามองเลออนเนลด้วยสายตาเย็นชาและทิ่มแทง คนถูกมองหัวเราะแห้งและเสมองไปทางอื่นไม่กล้าสบตา

                    “ เอ่อ... ”

                    “ พวกเราไม่ใช่พี่น้องกันหรอกแค่คนหน้าเหมือนน่ะ เอ...ที่เขาเรียกว่าแฝดคนละฝาล่ะมั้ง ฮ่าๆๆ ”

                    ฟรานชิงตอบตัดหน้า เฟรริลพยักหน้าน้อยๆยืนยัน สีหน้าเศร้าลงเล็กน้อย

                    “ ถ้าพวกเราเป็นพี่น้องกันได้ก็คงจะดี ”

                    เฟรริลยิ้มเศร้า ฟรานมองเฟรริลงงๆคงมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับเฟรริล พอพูดถึงเรื่องพี่น้องทีไรหมอนี่จะมีอาการแบบนี้ทุกที หรือว่าเฟรริลก็มีน้องชายแล้วเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นกับเขา หรือว่า...

                    ไม่ๆ ข้าคิดอะไรฟุ้งซ่านอีกแล้วเนี่ย อยากจะถามอยู่หรอก แต่ถ้าเกิดไปสะกิดแผลเข้า แล้วทำให้เฟรริลเศร้าหนักไปกว่าเดิมก็แย่อ่ะดิ ไม่เอาดีกว่า ถ้าเกิดเฟรริลอยากเล่าก็คงจะเล่าออกมาเองแหล่ะ การไปละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคนอื่นมันคงไม่เหมาะสม ยิ่งเป็นเจ้าชายด้วย ไม่ดีๆ เอาไว้ให้เจ้าตัวเล่าเองดีกว่า

                    ฟรานคิดดังนั้นเลยเก็บเรื่องสงสัยที่อยากจะถามไว้ในใจ

                    “ งั้นเหรอ แสดงว่าเจ้าหน้าหวานไม่ใช่เจ้าชาย แต่เป็นเจ้าที่เป็นเจ้าชายเฟรริลสินะ ”

                    “ จะ...เจ้า เอ้ย! ท่านเป็นเจ้าชายเหรอ ถึงได้ว่ารู้สึกคุ้นๆชื่ออยู่ ”

                    เลออนเนลหน้าตื่น พูดตะกุกตุกักอย่างตกใจ

                    “ ใช่ ”

                    เฟรริลตอบเสียงเรียบพร้อมกับยิ้มละไมให้

                    “ การใช้คำพูดธรรมดาสามัญชนกับเจ้าชายคงเป็นการไม่เหมาะสม ข้าควรจะใช้คำราชาศัพท์สินะ ”

                    เด็กหนุ่มผมดำมองเฟรริลนิ่ง ใบหน้ายังคงไร้อารมณ์เช่นเดิม เฟรริลยิ้มน้อยๆ มองคู่สนทนาด้วยแววตาอบอุ่นและพูดขึ้นว่า

                    “ ไม่ต้องหรอก ข้าอยากให้พวกเจ้าปฏิบัติกับข้าเหมือนเพื่อนธรรมดาคนหนึ่ง ข้าอยากใช้ชีวิตในโรงเรียนนี้เหมือนคนธรรมดาสามัญทั่วไป พูดกับข้าเหมือนพูดกับคนอื่นเถอะ ไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์อะไรพวกนั้นหรอก ”

                    จริงดิ ข้าลืมไปเลยต้องใช้คำราชาศัพท์พูดกับเจ้าชาย เล่นใช้คำพูดแบบชาวบ้านๆกับเจ้าชายซะงั้น

    แต่โชคดีที่เจ้าชายเป็นคนสบายเป็นกันเอง ไม่ถือยศถือเจ้า ไม่งั้นข้าคงไม่รอดมายืนตรงนี้แหง อาจโดนลงโทษไปแล้วก็ได้ โทษฐานใช้คำพูดไม่เหมาะสมเผลอๆอาจโดนข้อหาหมิ่นพระเกียรติเจ้าชายอีกเหมือนกับครั้งที่แล้ว ดีนะที่เจ้าหัวหน้าองครักษ์ไม่อยู่ตรงนี้ด้วย ไม่งั้น...เฮ้อ ไม่อยากจะคิด

                    ฟรานนึกย้อนกลับไปถึงเรื่องคราวที่แล้วที่ดันใช้คำพูดไม่เหมาะสมพูดถึงเจ้าชายต่อหน้าหัวหน้าหน่วยองครักษ์ ทำเอาเขาเย็นวาบทั่วตัว รู้สึกเจ็บแปลบที่แผลบริเวณไหล่ซึ่งตอนนี้เหลือร่องรอยเพียงเส้นบางเส้นเล็กๆ

                    “ ก็ดี ข้าไม่ถนัดใช้คำราชาศัพท์สักเท่าไหร่ แล้วข้าก็ไม่ชอบพวกเหย่อหยิ่งถือยศถือศักดิ์ ”

                    เด็กหนุ่มผมดำตอบเสียงเรียบ ใบหน้าเย็นชาไร้อารมณ์เหมือนเดิม

                    “ ข้าก็ด้วย ศัพท์ยากๆพวกนั้นข้าใช้ไม่เป็นหรอก พูดธรรมดาแบบนี้เป็นกันเองกว่าตั้งเยอะ ”

                    เลออนเนลยิ้มระรื่น น้ำเสียงสดใส เฟรริลยิ้มกว้างดีใจที่ได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นอีกสองคน เป็นเพื่อนที่จะปฏิบัติกับเขาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆทั่วไป

                     ตั้งแต่เกิดมาเฟรริลยังไม่เคยมีเพื่อนจริงๆสักคน แต่ละคนที่เข้ามาล้วนแล้วแต่หวังผลประโยชน์จากตำแหน่งเจ้าชายของเขา ไม่มีใครคิดที่จะคบกับเฟรริลด้วยความจริงใจโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนสักคน แต่เพื่อนสามคนนี้อาจจะแตกต่างก็เป็นได้ โดยเฉพาะฟรานที่เฟรริลรู้สึกถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็น และพูดคุยกับเขาอย่างเป็นกันเองซึ่งไม่เคยมีใครพูดแบบนี้กับเขามาก่อน เวลาที่เฟรริลพูดคุยกับฟรานมันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

                    “ ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเจ้าเลย เจ้าชื่ออะไร ”

                    เฟรริลถามเด็กหนุ่มผมดำด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม คนถูกถามจ้องมองเฟรริลนิ่ง สีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเดิม

                    “ ข้าเคยถามเจ้านั่นแล้ว แต่ก็ไม่ยอมตอบแถมมองข้าด้วยแววตาน่ากลัวอีก ดวงตาหมอนั่นเหมือนสามารถมองทะลุทะลวงเข้าสู่จิตใจคนถูกมองได้ยังไงก็ไม่รู้ หรือข้าจะคิดไปเอง ”

                    เลออนเนลกระซิบบอกเฟรริล ใช้เสียงเบาที่สุดที่คิดว่าเด็กหนุ่มผมดำจะไม่ได้ยิน แต่หารู้ไม่ว่าเด็กหนุ่มผมดำได้ยินทุกคำพูด ดวงตาสีม่วงอมเงินจ้องมองเลออนเนลเขม็ง แววตาเย็นชา ทำเอาเลออนเนลหันไปหลบหลังเฟรริลแอบมองอย่างหวาดๆ

                    ข้าว่าเจ้าไม่ได้คิดไปเองหรอก ข้าก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน เวลาที่หมอนั่นมองมา ข้ารู้สึกเหมือนถูกอ่านใจได้ยังไงไม่รู้ คนแบบนี้ข้าไม่ขอเป็นศัตรูด้วยเป็นอันขาด!

                    ฟรานกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รู้สึกเสียวสันหลังวาบอย่างบอกไม่ถูก

                    “ ข้าชื่อเซฮันริว เป็นปีศาจ ”

                    “ หา!

                    ฟรานและเลออนเนลร้องออกมาพร้อมกันเสียงหลงตกใจ ยกเว้นเฟรริลที่ยิ้มร่าดีใจเหมือนเด็กที่ตอบปัญหาถูก

                    “ เจ้าเป็นปีศาจจริงๆด้วยเหมือนที่ข้าคิดไว้เลย ”

                    “ เจ้ารู้? ”

                    สีหน้าไร้อารมณ์ของเซฮันริวแปรเปลี่ยนเป็นความแปลกใจอย่างเห็นได้ชัด

                    เจ้าหน้าตายนี่ทำสีหน้าแบบอื่นก็เป็นด้วย

                    ฟรานคิดในใจ จ้องมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเซฮันริวอย่างสนอกสนใจ

                    “ ก็...ไม่ค่อยแน่ใจนักหรอก ข้าแค่รู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวเจ้ามันเย็นยะเยือกเหมือนปีศาจที่ข้ารู้จักคนหนึ่ง ข้าก็เลยเดาว่าเจ้าอาจจะเป็นปีศาจก็ได้ ”

                    เฟรริลตอบแววตาใสซื่อ สีหน้าแปลกใจของเซฮันริวเมื่อกี้กลับสู่สภาพหน้าตายไร้อารมณ์เหมือนเดิม

                    “ ทำไมข้าถึงดูไม่ออกเลยล่ะ ”

                    เลออนเนลพูดขึ้นแปลกใจ เซฮันริวหันขวับมาส่งสายตาทิ่มแทงให้เลออนเนล เด็กหนุ่มผู้ถูกมองหลบฉากไปอยู่หลังเฟรริล แอบชำเลืองมองไม่กล้าสบตาด้วย

                    “ ข้าปกปิดไอเวทไว้แล้วเจ้าจะรู้ได้ไง ”

                    น้ำเสียงของเซฮันริวเยือกเย็นชวนให้คนฟังรู้สึกหนาวสะท้านขนลุกซู่ไปทั่วตัว

                    “ เจ้าไม่เห็นต้องปกปิดไอเวทเลยนี่ ในโรงเรียนนี้ไม่มีการแบ่งแยกเรื่องชนเผ่าซะหน่อย ไม่ว่าชนเผ่าไหนก็สามารถเข้าเรียนได้ ”

                    เฟรริลถามคิ้วมุ่น เซฮันริวถอนหายใจ เดินมานั่งที่เตียงของตนและพูดขึ้นว่า

                    “ เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าปีศาจไม่เป็นที่ต้อนรับของมนุษย์บางกลุ่ม ข้าแค่อยากทดสอบดูหน่อยว่าเพื่อนร่วมห้องที่ข้าต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยจะมีปฏิกิริยายังไงเมื่อรู้ว่าข้าเป็นปีศาจ ”

                    “ แล้วถ้าพวกเรารังเกียจเจ้าล่ะ ”

                    “ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่เป็นแบบนั้น แค่มองแวบแรกก็รู้แล้ว ”

                    โหยหมอนี่อ่านใจได้จริงๆด้วย

                    ฟรานคิดเตลิดไปไกล มันจะเป็นจริงอย่างที่เขาคิดหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

                    แต่ก็จริงอย่างที่เซฮันริวพูด พวกเขาไม่ได้เกลียดพวกปีศาจ และไม่มีเหตุผลที่ต้องเกลียดด้วย ไม่เหมือนมนุษย์บางกลุ่มที่เกลียดด้วยเหตุผลเพียงเพราะนิสัยของพวกเขาที่เย็นชาไร้หัวใจไม่สนใจชีวิตผู้อื่นนอกจากตนเอง ไร้ความเมตตา โหดเหี้ยม และเห็นแก่ตัว

                    สำหรับพวกเขาไม่ว่าจะเป็นชนเผ่าไหน ไม่ว่าจะนิสัยอย่างไร ก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้

                   ........................................................................................................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×