ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Santazia

    ลำดับตอนที่ #4 : การทดสอบที่เกือบถึงตาย

    • อัปเดตล่าสุด 2 ก.ค. 54





                   เมื่อครบกำหนดเวลาหนึ่งชั่วโมง  กระดาษคำตอบและกระดาษคำถามของผู้เข้าสอบทุกคนหายวับไปในทันที ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่อยู่ในอาการนิ่งอึ้ง อ้าปากค้าง บางคนกำลังเขียนอยู่ พอกระดาษหายวับไป ก็ตกอยู่ในอาการยกปากกาค้างนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ บางคนถึงกับร้องโวยวายว่าทำข้อสอบไม่ทัน

                    ข้อสอบหนึ่งร้อยข้อให้เวลาหนึ่งชั่วโมง! ใครมันจะไปทำทัน ยกเว้นพวกอัจฉริยะ!

                    กลุ่มคนที่ร้องโวยวายว่าทำข้อสอบไม่ทันบ่นพึม พวกเขาหันไปมองกลุ่มคนที่มีเป็นส่วนน้อยนั่งยิ้มอย่างมั่นใจว่าตอบถูกทุกข้อ และดูเหมือนว่าจะทำทันทุกข้อด้วย แน่นอนก็เจ้าพวกนี้มันหัวกะทินี่!

                    และยังมีกลุ่มคนส่วนหนึ่งที่เป็นส่วนน้อยยิ่งกว่าส่วนน้อยถึงขั้นล้มฟุบกับโต๊ะสติหลุดลอยไปหลังผ่านสงครามดงข้อสอบหนึ่งร้อยข้อ ฟรานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาอยากจะร้องไห้ แทบจะทำข้อสอบไม่ได้เลย ไม่สิ!ต้องบอกว่าได้ทำมากกว่า!

                    ข้อสอบอะไรยากชะมัด!

                    ฟรานคอตกใจห่อเหี่ยว หนทางที่จะได้ภารกิจค่าจ้างงามไว้ในกำมือช่างดูห่างไกลขึ้นทีละน้อย

                    โฮๆๆๆ ข้ายังไม่อยากกลายสภาพเป็นขอทานน๊า!

                    ฟรานสูดลมหายใจเข้าลึก ตั้งสติใหม่ แววตาเป็นประกายฮึดสู้เพื่อเงินค่าจ้างอันมหาศาล

                    ด่านต่อไปต้องทำคะแนนให้ได้! ถึงแม้จะมีพลังเวทน้อยนิด เอ่อ...น้อยเสียยิ่งกว่านิดก็เถอะ

                    พอพูดถึงพลังเวท ฟรานรู้สึกหดหู่ขึ้นมาอีก ครั้นรู้สึกตัวเขาสลัดไล่ความคิดที่บั่นทอนกำลังใจทิ้ง ต่อให้พลังเวทมันน้อยนิดแค่ไหนเขาจะพยายามเค้นมันออกมาอย่างสุดกำลัง อย่างน้อยถ้าเขาทำเต็มที่แล้วผลลัพธ์ที่ได้มันสุดห่วยจริงๆ เขาก็ยังรู้สึกภูมิใจที่ได้ทำเต็มที่และไม่รู้สึกเสียใจในภายหลัง

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบประจำกลุ่มเดินนำผู้เข้าสอบผ่านประตูที่อยู่หน้าห้องติดกำแพงด้านซ้ายเพื่อไปยังห้องสอบส่วนต่อไป พวกเขาเดินไปตามโถงทางเดินยาวประมาณ 5 นาทีก็มาหยุดอยู่หน้าประตูไม้บานคู่ขนาดยักษ์ บนกำแพงเหนือประตูมีข้อความสลักอยู่ อ่านได้ใจความว่า

                    Ares lotel avioyg elle rit taria  

                    ความหมายของประโยคนี้คือ พลังอยู่ที่ใจ 

                    มันคงเป็นคำขวัญหรือประโยคปลุกใจอะไรสักอย่าง

                    ฟรานคิดขณะเหลือบมองข้อความนั้น

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบประจำกลุ่มเคาะประตูสามครั้งเป็นสัญญาณเช่นเดิม ประตูบานเขื่องค่อยๆเปิดออกเองจนสุด ภายในนั้นเป็นห้องรูปทรงครึ่งวงกลม ที่เพดานเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวที่คอยให้แสงสว่างภายในห้อง แน่นอนมันเป็นของที่ทำขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ ฝั่งตรงข้ามมีประตูไม้บานเล็กซึ่งน่าจะเป็นทางออกไปยังห้องสอบส่วนสุดท้าย ที่พื้นตรงกลางห้องมีวงแหวนเวทอักขระแปลกตา

                    ด้านขวาของวงแหวนเวทมีคนคนหนึ่งยืนรอต้อนรับกลุ่มผู้เข้าสอบอยู่ เอ่อ...ที่เรียกว่าคนคนหนึ่ง เพราะไม่รู้จะใช้สรรพนามเรียกคนผู้นั้นว่ายังไง ในเมื่อไม่สามารถชี้ชัดลงไปได้ว่าคนคนนั้นเป็นหญิงหรือชาย! กลัวถ้าเรียกผิดไปอาจได้ยินเสียงอะไรแตกดังเพล้งๆเป็นแน่! ที่บอกว่าไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าคนผู้นั้นเป็นหญิงหรือชาย ก็เพราะคนคนนั้นมีใบหน้าที่งดงามหมดจดได้รูป ผิวนวลขาวผุดผ่อง แก้มขาวอมชมพู มองแล้วชวนให้เคลิบเคลิ้มน่าหลงใหล ผมสีฟ้าที่ยาวถึงเอวช่างตัดกับเสื้อคลุมยาวสีขาวตามแบบฉบับของนักเวท ช่วยขับให้สีผมเด่นชัดขึ้นแถมยิ่งทำให้บุคคลผู้นั้นดูสว่างเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ ริมฝีปากบางเผยอยิ้มเล็กน้อย  รอยยิ้มนั้นช่างดูสดใสและอบอุ่น ท่าทางคนผู้นั้นจะต้องเป็นคนใจดีเป็นแน่!

                    ผู้เข้าสอบทั้งหญิงและชายมองบุคคลผู้นั้นแววตาเคลิบเคลิ้มหลงใหล พวกเขากำลังตกอยู่ในภวังค์ความงดงามราวกับเทพของคนคนนั้น

                    บุคคลซึ่งถูกผู้เข้าสอบทั้งกลุ่มลงประชามติแล้วว่าต้องเป็นเทพจำแลงกายมาแน่ เห็นพวกเขายืนแข็งทื่อแววตาหยาดเยิ้มมองตรงมาที่ตนทุกคู่ เขาจึงปรบมืออย่างดังทีนึงเรียกสติของผู้เข้าสอบทุกคนกลับมาและกล่าวต้อนรับพวกเขาสู่ห้องสอบส่วนที่สองอย่างเป็นทางการ

                    “ ขอต้อนรับผู้เข้าสอบทุกคนสู่การสอบในส่วนที่สอง ”

                    แม้แต่น้ำเสียงก็ยังใสไพเราะก้องกังวานดั่งระฆังแก้ว ยิ่งดึงให้สติของผู้เข้าสอบทุกคนกลับเข้าสู่ภวังค์ความงดงามอีกครั้ง ผู้ที่ถูกยัดเยียดว่าเป็นเทพจำแลงกายมากระแอมหนึ่งทีเพื่อเรียกสติผู้เข้าสอบกลับมาอีกครั้ง แต่ก็ยังมีบางคนที่หลงอยู่ในภวังค์ความงดงามแบบกู่ไม่กลับ!

                    “ การทดสอบในส่วนนี้ไม่ยากเท่าส่วนแรก เป็นแค่การทดสอบวัดปริมาณและระดับพลังเวทธรรมดาเท่านั้น เป็นการทดสอบเพื่อดูว่าพวกเจ้ามีพลังเวทในระดับไหน ในส่วนนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติพอที่จะเข้าเรียนในแซงเคอร์หรือไม่และเป็นตัวตัดสินว่าพวกเจ้าเหมาะที่จะเรียนทางด้านไหนเมื่อขึ้นปีสอง ”

                    ทดสอบระดับพลังเวท!

                    คำๆนี้ทำให้ฟรานหลุดจากภวังค์ความงามของเทพจำแลงกายโดยสมบูรณ์

                    พลังเวทมีเท่าขี้ผง! แถมห่วยขั้นเทพแบบสุดๆ จะเอาพลังอะไรที่ไหนไปทดสอบล่ะเหวยยย แว้กกก!

                    ฟรานโวยวายในใจ มือกุมขมับ สีหน้าวิตก พยายามคิดหาวิธีที่จะรีดเค้นพลังเวทสุดน้อยยิ่งกว่าน้อยๆๆๆนิดออกมาให้ได้มากพอที่จะใช้ในการทดสอบ ยิ่งคิดเหงื่อยิ่งแตกพลั่ก หน้าเริ่มซีด

                    ไม่มี! ไม่มีวิธีไหนที่จะทำได้เลย! พลังเวทเท่าขี้ผงแค่นั้น ต่อให้มีวิธีก็คงไม่สามรถรีดพลังเวทออกมาได้มากหรอก ก็ในเมื่อแต่เดิมมันก็มีติดตัวอยู่แค่นั้นนี่! เฮ้อ!

                    หมดสิ้นหนทาง! ฟรานคอตกหน้าห่อเหี่ยว ด่านที่แล้วก็ทำข้อสอบไม่ได้ ด่านนี้ก็หมดหวังตั้งแต่ยังไม่เริ่มสอบ!

                    โฮๆๆๆๆ เงินจำนวนมหาศาลกำลังบินจากไปแล้ว ฮือๆๆๆ

                    ฟรานได้แต่ร่ำร้องในใจกับอนาคตอันมืดมนที่กำลังจะชวดเงินรางวัลซึ่งจะช่วยให้เขาและลุงจินหลุดพ้นจากสภาพอดอยากที่มันได้มาเยือนถึงหน้าประตูบ้านแล้ว!

                    “ การทดสอบง่ายๆ ไม่มีอะไรยาก แค่พวกเจ้าเข้าไปยืนตรงกลางวงแหวนเวทนี่ ”

                    นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังวงแหวนเวทที่อยู่ข้างๆเขา สายตาทุกคู่หันไปมองตามและจับจ้องอย่างสนใจ

                    “ เมื่อพวกเจ้าเข้าไปยืนในนั้นแล้ว วงแหวนเวทจะเริ่มทำงานตรวจวัดปริมาณพลังเวทในตัวของแต่ละคน ว่ามีอยู่เท่าไหร่และอยู่ในระดับไหน ตอนที่วงแหวนเวททำงานจะเกิดลมหมุนวนรอบตัว พวกเจ้าไม่ต้องตกใจไป มันไม่มีอันตรายอันใด ”

                    ดวงตาสีทองสังเกตผู้เข้าสอบแต่ละคน เขาแย้มยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ

                    “ มีใครสงสัยอะไรไหม?

                    “ เอ่อ... ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลยกมือขึ้นช้าๆแบบกล้าๆกลัวๆ

                    “ ขะ...ขอโทษนะครับ อะ...เอ่อ...ท่านเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายครับ ”

                    “ ... ”

                    ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด แต่ละคนนิ่งอึ้งตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีใครกล้าถามคำถามแบบนี้ ถึงแม้ทุกคนอยากจะถามว่าคนคนนั้นเป็นหญิงหรือชายใจแทบขาด แต่ก็ดีเหมือนกัน! เพราะพวกเขาก็อยากรู้ว่าเทพจำแลงกายผู้นั้นเป็นหญิงหรือชายกันแน่!

                    คนถูกถามผู้ถูกยัดเยียดให้เป็นเทพจำแลงกายแย้มยิ้มน้อยๆ ทำเอาผู้เข้าสอบทุกคนใจเต้นโครมครามเหมือนจะทะลุออกมานอกอก เด็กสาวยืนเอียงไปเอียงมาทำท่าจะเป็นลม บางคนถึงกับสติหลุดเข้าสู่ภวังค์แห่งความงดงามอีกครั้ง! ฟรานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น! เขาไม่อาจถอนสายตาจากสิ่งงดงามที่อยู่ตรงหน้าไปได้!

                    “ ไม่ว่าใครที่พบเจอข้าก็ถามแบบนี้ ”

                    “ อะ...เอ่อ ขะ...ขอโทษครับ ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลน้ำเสียงลนลานรีบขอโทษ มันคงเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างมากที่ถามแบบนั้น เขาก้มหน้างุดรู้สึกผิด

                    คนคนนั้นหัวเราะเบาๆ พลางเดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มคนนั้น มือเรียวบางวางลงบนศีรษะของเขาอย่างนุ่มนวลและลูบแผ่วเบาอย่างอ็นดู เด็กหนุ่มผมน้ำตาลเงยหน้าขึ้นมองพลันดวงตาสบเข้ากับดวงตาสีทองของคนคนนั้น เด็กหนุ่มรู้สึกหน้าร้อนผ่าวเขารีบหลุบตาต่ำก้มหน้างุดก้มซะจนตัวงออย่างกับกุ้ง ถ้ามีกระเป๋าหน้าท้องเขาคงรีบมุดเข้าไปอยู่ในนั้นแน่!

                    “ มันไม่ใช่เรื่องเสียมารยาทอะไร อย่าได้คิดมากเลย ”

                    เด็กหนุ่มพยักหน้าหงึก ตัวโอนเอนคล้ายจะเป็นลม!

                    “ อืม พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นหญิงหรือชายล่ะ ”

                    ผู้ถูกยัดเยียดให้เป็นเทพจำแลงกายหันไปถามกลุ่มผู้เข้าสอบ ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาทุกคนยืนแข็งทื่อก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา

                    “ อะ...เอ่อ หญิงหรือเปล่าคะ?

                    เด็กสาวที่ยืนข้างๆฟรานตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง หน้าเธอแดงระเรื่อเหมือนมะเขือเทศสุกปลั่ง คนคนนั้นส่ายหน้า ริมฝีปากบางแย้มยิ้มให้เธอด้วยความเอ็นดู

                    “ ข้าเป็นชาย ”

                    เกิดเสียงฮือฮาขึ้น บางคนถึงกับอุทานออกมาว่า ไม่อยากจะเชื่อ ’ ‘ หน้าสวยกว่าผู้หญิงอีก!’ ส่วนใหญ่คิดว่าเขาเป็นผู้หญิง และมีอีกส่วนน้อยที่ไม่กล้าระบุลงไปได้ชัดเจนว่าเขาเป็นหญิงหรือชาย ซึ่งฟรานก็เป็นหนึ่งในนั้น ผู้เข้าสอบทุกคนพร้อมเพรียงลงมติในใจอย่างเป็นเอกฉันท์ว่า ชายหนุ่มผู้นั้นงดงามเหนือยิ่งกว่าหญิงสาว! ’

                    ใบหน้าละอ่อนแบบนั้นอายุน่าจะอายุพอๆกับพวกเขา ผู้เข้าสอบทุกคนคิดแบบนั้น เหมือนเจ้าหน้าที่คุมสอบประจำกลุ่มจะเดาความคิดของพวกเขาได้ เขาก้มตัวเอามือป้องปากกระซิบบอกเบาๆ

                    “ ท่านเรสเซอเรล ปีนี้อายุครบสามสิบแล้วล่ะ ”

                    “ ห๊า!

                    ผู้เข้าสอบทั้งสามสิบคนอุทานขึ้นพร้อมกัน สีหน้าของแต่ละคนบ่งบอกว่าตกใจและคาดไม่ถึง ชายหนุ่มผู้ซึ่งงดงามยิ่งกว่าหญิงสาวมีใบหน้าละอ่อนราวกับเด็กหนุ่มอายุสิบแปดสิบเก้า กลับมีอายุที่แท้จริงถึงสามสิบปี!


                   
    ผู้เข้าสอบทั้งหมดหันไปมองเรสเซอเรลเป็นตาเดียว ชายหนุ่มส่งยิ้มอบอุ่นกลับไป

                    “ เอาล่ะ เอาล่ะ เรื่องของข้าพักไว้เท่านี้ก่อน ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไรเกี่ยวกับการทดสอบ ข้าจะเริ่มทำการทดสอบเลย ”

                    เรสเซอเรลเดินกลับไปยืนในตำแหน่งเดิม ไล่ดูรายชื่อผู้เข้าสอบที่อยู่ในมือ

                    “ ฮาลตัน ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลคนที่ถามคำถามว่าเรสเซอเรลเป็นหญิงหรือชายก้าวออกมาข้างหน้า ใจเขาเต้นโครมคราม สีหน้ากังวลไม่น้อย

                    “ ไม่ต้องกังวล ไม่มีอะไรน่ากลัว แค่เข้าไปยืนเฉยๆในวงแหวนเวทเท่านั้น ”

                    น้ำเสียงเรสเซอเรลช่างดูนุ่มนวลและอบอุ่น เป็นน้ำเสียงที่ใครได้ฟังจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย หายกังวลเหมือนสามารถปัดเป่าความกังวลใจหรือความกลัวไปได้

                    ฮาลตันก้าวเข้าไปยืนตรงกลางวงแหวนเวท เขาสูดลมหายใจลึกเตรียมพร้อมรับการทดสอบ

                    “ พวกเจ้าเห็นข้อความที่สลักบนกำแพงเหนือประตูทางเข้าไหม?

                    “ เห็นครับ/ค่ะ ”

                    “ รู้ไหมว่าแปลว่าอะไร ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ถูกเรียกชื่อให้ออกไปเป็นคนแรกยกมือขึ้น เรสเซอเรลหันไปยิ้มให้และพยักหน้าให้เขาตอบ

                    “ อาเรส โลเทล อาวิยอง เอล ริท ทาเรีย ความหมายคือ พลังอยู่ที่ใจครับ ”

                    เรสเซอเรลยิ้มอย่างพอใจ และกล่าวชมเด็กหนุ่มว่าเก่งมาก ฮาลตันหน้าแดงระเรื่อ ก้มหน้างุด

                    “ ใช่ อย่างที่ฮาลตันบอก อาเรส โลเทล อาวิยอง เอล ริท ทาเรีย หมายถึง พลังอยู่ที่ใจ เป็นคำขวัญประจำแผนกวิชาเวท ใจก็เป็นเหมือนบ่อเกิดแห่งพลัง หากเรามีใจที่จะต่อสู้หรือพยายามทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จย่อมมีพลังที่จะทำสิ่งเหล่านั้นได้สำเร็จแน่นอน ทุกอย่างอยู่ที่ใจ จงเชื่อมั่น!

                    ผู้เข้าสอบทุกคนพยักหน้า ริมฝีปากบางยิ้มน้อยๆทำเอาพวกเขาแทบหลอมละลายให้กับรอยยิ้มนั้น

                    “ เอาล่ะ เรามาเริ่มการทดสอบกันดีกว่า ”

                    คฑาเวทด้ามยาวสูงเท่าตัวคนปรากฏขึ้นในมือของเรสเซอเรล ลูกแก้วบนหัวคฑาส่องแสงสีขาวนวลวงแหวนเวทเริ่มเรืองแสงสีทอง เกิดลมหมุนวนรอบตัวฮาลตัน เส้นผมสีน้ำตาลพลิ้วไหวเสื้อผ้าโบกสะบัดตามแรงลม ฮาลตันกลืนน้ำลายเอื๊อก กำมือแน่นหลับตาปี๋

                    ไม่นานนักเพียงแค่ชั่วอึดใจทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพปกติ ฮาลตันค่อยๆลืมตา สายตาสบเข้ากับดวงตาสีทองพอดีและรอยยิ้มชวนให้หลงใหล เด็กหนุ่มหน้าแดงหลุบตาต่ำโดยอัตโนมัติ

                    “ พลังเวทเจ้าใช้ได้เลยทีเดียว เจ้าคงจะเข้าเรียนสาขาวิชาเวทสินะ ”

                    “ คะ...ครับ ”

                    ฮาลตันตอบน้ำเสียงอู้อี้ ยังคงก้มหน้าไม่กล้าสบตาดวงตาสีทองคู่สวย

                    “ การทดสอบพลังเวทเสร็จแล้วล่ะ เจ้าไปยืนรอเพื่อนๆด้านข้างก่อน ”

                    “ ครับ ”

                    ฮาลตันเดินออกจากวงแหวนเวทไปยืนพิงกำแพงฝั่งประตูทางออก เขารอดูการทดสอบพลังเวทของเพื่อนคนอื่นอย่างสนใจ

                    “ คนต่อไป ดิลแรนดอล ”

                    เด็กหนุ่มผมสีชาหัวยุ่งๆเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนเดินเข้าไปยืนอยู่ตรงกลางวงแหวนเวท และทุกอย่างก็เกิดขึ้นเหมือนเดิม ลูกแก้วบนหัวคฑาส่องแสง วงแหวนเวทเรืองแสงสีทอง จากนั้นเกิดลมหมุนรอบตัวเด็กหนุ่ม

                    การทดสอบดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนมาถึงคนสุดท้าย ฟรานเข้าไปยืนตรงกลางวงแหวนเวท เขารู้สึกกลัวถึงขั้นวิตก มือเย็น หน้าซีด วงแหวนเวทเริ่มทำงาน เกิดลมหมุนวนรอบตัว ฟรานสูดลมหายใจลึก กำมือแน่นพยายามรีดเค้นพลังเวทที่มีอยู่น้อยนิดออกมา 

                    เรสเซอเรลจ้องมองฟรานคิ้วมุ่น ปกติพลังเวทของคนทั่วไปจะไหลเวียนอยู่ทั่วร่าง ถ้ามีปริมาณมากจะเห็นเป็นลำแสงสีขาวเส้นใหญ่จนถึงสว่างทั่วร่าง ถ้ามีน้อยจะเห็นเป็นลำแสงสีขาวเส้นเล็กๆจนถึงเล็กยิ่งกว่าเส้นด้าย แต่สำหรับฟรานไม่เห็นลักษณะอย่างที่ว่าเลยไม่ว่าจะเป็นลำแสงเส้นขนาดไหนก็ตาม ดวงตาสีทองสะดุดอยู่ที่ตาทั้งสองข้างของฟราน มีกลุ่มก้อนแสงสีขาวก้อนเล็กๆกระจุกรวมตัวอยู่ 

                    เวทจำแลงกาย! แต่เปลี่ยนเฉพาะที่ตา! หรือว่า...

                    เรสเซอเรลครุ่นคิด พินิจพิเคราะห์ฟรานอยู่นาน ความคิดแวบนึงแล่นเข้ามาในสมอง

                    ไม่น่าจะเป็นไปได้! ก็ในเมื่อ... 

                    ความคิดนั้นสะดุดลงและถูกดึงดูดความสนใจไปเมื่อเห็นบางอย่างในตัวฟรานปรากฏขึ้น มันเป็นอักขระเวทโบราณที่ไม่น่าจะมีคนใช้เป็นแล้วในปัจจุบัน! มีเส้นแสงสีขาวเส้นบางเล็กๆเส้นหนึ่งคล้ายควันจางๆไหลออกมาจากอักขระเวทนั่น  เรสเซอเรลตัองใช้พลังเพ่งมองถึงจะเห็น เพราะมันเบาบางมากจนแทบจะเป็นอากาศธาตุ

                    ใครกันที่ทำแบบนี้? ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร?

                    “ ท่านเรสเซอเรลขอรับ มีอะไรผิดปกติอย่างนั้นหรือขอรับ ”

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบประจำกลุ่มเห็นว่าการทดสอบของฟรานนานจนผิดปกติ เขาอดสงสัยไม่ได้จึงเดินเข้าไปถาม

                    “ อืม ข้าแค่สงสัยอะไรนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก ”

                    น้ำเสียงที่ตอบแผ่วเบาดูเลื่อนลอย สายตายังคงจับจ้องฟราน สีหน้าเต็มไปด้วยความครุ่นคิด

                    เด็กคนนี้เป็นใครกัน!

                    “ ท่านเรสเซอเรลขอรับ เวลาในการสอบของส่วนนี้หมดแล้วขอรับ ”

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบประจำกลุ่มเตือนเรื่องเวลา เขากลัวว่าจะทำให้การสอบในส่วนสุดท้ายเสร็จล่าช้ากว่าที่กำหนด

                    “ ขอโทษที ขอโทษที ข้ามัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย ”

                    แสงในลูกแก้วบนหัวคฑาดับลง ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพปกติ ฟรานลืมตาขึ้น เขากำมือแน่นซะจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อจนเป็นรอยแดง ฟรานสงสัยทำไมการทดสอบของเขาถึงนานกว่าคนอื่น มีอะไรผิดปกติหรือเปล่าหรือว่าท่านเรสเซอเรลตรวจไม่พบพลังเวทของเขาเลยใช้เวลาตรวจหาอยู่นาน

                    แย่แน่! แย่แน่ๆ! ถ้าเป็นยังงั้น ข้าอาจไม่ผ่านเกณฑ์ โอกาสที่จะสอบเข้าแซงเคอร์ได้แทบเป็นศูนย์เลยอ่ะดิ! ว้ากกก! โฮๆ เงินของข้า!

                    ฟรานเริ่มคิดฟุ้งซ่าน คาดเดาไปต่างๆนาๆ สีหน้าบ่งบอกถึงความวิตกกังวลสุดขีด!

                    “ การทดสอบในส่วนที่สองจบลงแต่เพียงเท่านี้ ขอให้ทุกคนโชคดีกับการสอบส่วนสุดท้าย ”

                    ผู้เข้าสอบทุกคนโค้งทำความเคารพและกล่าวขอบคุณ เจ้าหน้าที่คุมสอบประจำกลุ่มเดินนำพาพวกเขาไปยังห้องสอบส่วนสุดท้าย

                    ฟรานรู้สึกเหมือนถูกใครบางคนจ้องมอง เขาหันกลับไปพลันสบเข้ากับดวงตาสีทอง เรสเซอเรลส่งยิ้มให้เขา รอยยิ้มนั้นไม่ว่าเห็นสักกี่ครั้งมันก็ทำให้คนที่ได้เห็นแทบหลอมละลายซะทุกที ฟรานโค้งทำความเคารพให้หนึ่งทีก่อนจะเดินตามผู้เข้าสอบคนอื่นไป

                    เจ้าเป็นใครกันแน่!

                    ฟรานหันกลับไปเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง พลันได้ทันเห็นสายตาของเรสเซอเรลที่ยังคงมองมาที่เขาก่อนประตูจะปิดลง เขาแน่ใจว่าดวงตาคู่นั้นมองตรงมาที่เขาจริงๆและไม่ได้คิดไปเอง ฟรานรู้สึกว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในแววตาคู่นั้น อะไร?...บางอย่าง? หรือเขาคิดไปเอง?

                    คราวนี้พวกเขาใช้เวลาถึงสิบนาทีกว่าจะเดินมาถึงหน้าประตูห้องสอบส่วนสุดท้าย บนกำแพงเหนือประตูเหล็กกล้าบานคู่มีข้อความประโยคหนึ่งสลักอยู่

                    Lue elle ayya em rit ya

                    “ จงหาญกล้าและเสียสละ ”

                    ฟรานเอ่ยคำพูดนั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกคุ้นเคยกับประโยคนี้เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน
         

                    เสียงเคาะประตูสามครั้งดังขึ้นเหมือนเคยตามมาด้วยประตูที่เปิดออกเอง ภายในนั้นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ น่าจะใหญ่กว่าห้องสอบส่วนแรกถึงห้าเท่า! ตรงกลางห้องมีเวทีหินสี่เหลี่ยมขนาดยักษ์สูงเท่าตัวคน!

                    จะใหญ่ไปไหนเนี่ย!

                    ฟรานคิดในใจ ขณะมองสำรวจทั้งห้องและเวทีอย่างตื่นตาตื่นใจ

                    ผู้เข้าสอบทุกคนตกอยู่ในอาการตื่นตะลึงกับความใหญ่โตมโหฬารของห้องและเวที มันใหญ่โตชนิดที่ว่าจุบ้านหลังโตๆได้ทั้งหลัง! เสียงฮือฮา เสียงพูดคุยดังระงมสะท้อนก้องทั่วทั้งห้อง

                    “ เงียบ!

                       ผู้เข้าสอบทุกคนหุบปากรูดซิปปิดสนิทโดยพร้อมเพรียง บรรยากาศโดยรอบกลับเข้าสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง พวกเขารู้สึกขนลุกเกรียวหนาวสะท้านเหมือนมีใครแผ่จิตสังหาร! สายตาทุกคู่เลื่อนไปมองตามทิศทางของเสียงและจับจ้องอยู่ที่บุรุษผู้หนึ่งซึ่งยืนอยู่ริมขอบเวที เขาส่งสายตาราวกับจะเจี๊ยนใครก็ตามที่ยังกล้าอ้าปากส่งเสียงคุยต่อ! สีหน้าเรียบเฉยเย็นชาไร้อารมณ์ แววตาดุดันไร้เมตตาพร้อมสังหารคนได้ทุกเมื่อ! ฉายชัดบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยแห่งกาลเวลา ไม่ว่าใครที่พบเห็นก็อยากหลีกหนีไปให้ไกลหรือมีเรื่องข้องแวะกับบุรุษผู้นี้ให้น้อยที่สุด! 

                    บุรุษผู้นั้นกราดมองผู้เข้าสอบทีละคน แววตาอันคมกริบเหมือนจะมองทะลุอ่านความคิดของแต่ละคนออก พวกเขารีบหลุบตาต่ำโดยอัตโนมัติ บางคนถึงกับตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว

                    ฟรานรู้สึกว่าเหมือนมีจิตสังหารแผ่พุ่งมาที่เขา พอเด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นพลันสบเข้ากับแววตามาดร้ายของบุรุษผู้นั้น ดวงตาสีเขียวเข้มจ้องมองเขาราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาตมานานนับปี ฟรานจ้องตอบกลับไปคิ้วมุ่น

                    ข้าเคยไปสร้างความแค้นอะไรไว้รึไง ทำไมจ้องอย่างกับอยากให้ข้าตายซะตอนนี้! เหมือนกับว่าถ้าฆ่าข้าด้วยสายตาได้คงทำไปแล้ว!

                    ฟรานครุ่นคิด สีหน้าวิตก  คิ้วมุ่นเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็นปม

                    หรือข้าจะคิดไปเอง?

                    “ ข้าชื่อคาลเลสเตอร์ เป็นผู้คุมสอบในการทดสอบส่วนสุดท้าย ”

                    ด้วยเสียงอันทรงพลังของคาลเลสเตอร์ทำให้ฟรานหลุดออกจากภวังค์ห้วงความคิด เขาสลัดความคิดฟุ้งซ่านนั้นไปแล้วหันไปตั้งใจฟังสิ่งที่คาลเลสเตอร์จะพูดต่อ

                    “ การทดสอบในส่วนนี้เป็นการทดสอบทางด้านไหวพริบและพละกำลัง กติกาไม่มีอะไรมาก แค่พวกเจ้าสู้กับข้าภายในเวลาสิบนาที ถ้าพวกเจ้ายังสามารถยืนอยู่บนเวทีได้หรือสามารถทำให้ข้าตกจากเวทีได้ ถือว่าสอบผ่าน แต่ถ้าพวกเจ้าตกจากเวทีก่อนครบสิบนาที การสอบจะสิ้นสุดลงทันทีและถือว่าพวกเจ้าไม่ผ่าน! มีใครสงสัยอะไรไหม!

                    คาลเลสเตอร์มองผู้เข้าสอบทีละคน ส่วนใหญ่สีหน้าเคร่งเครียดวิตกกังวล เสียงบ่นพึมดังระงมประมาณว่า เวลาตั้งสิบนาที! ให้สู้กับคนที่ดูเหมือนพร้อมฆ่าคนโดยไม่ลังเลเนี่ยนะ! ’ ดูท่าหมอนี่น่าจะแข็งแกร่งน่าดู แล้วใครมันจะไปสู้ได้ล่ะเนี่ย! ’ สิบนาทีนานไปไหม! ’ แต่ก็มีเป็นส่วนน้อยของส่วนน้อยที่ดูมั่นอกมั่นใจเชื่อมั่นในฝีมือตัวเองเต็มเปี่ยม ฟรานมองคาลเลสเตอร์รู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก ไม่ใช่กังวลเพราะกลัวว่าจะสู้ไม่ได้ ยิ่งเรื่องใช้กำลังของถนัดนัก แต่มันเป็นเพราะสายตาที่จ้องมองฟราน มันเป็นสายตาแบบที่ใช้จ้องมองเหยื่อพร้อมที่จะขย้ำให้ตาย! 

                    “ เงียบ!

                    น้ำเสียงแข็งกร้าวและดุดันทำเอาเสียงนกกระจอกแตกรังเงียบสนิท ผู้เข้าสอบทุกคนปิดปากแน่น สายตาทุกคู่มองไปที่คาลเลสเตอร์

                    “ ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไร ข้าจะเริ่มการสอบเลย ”

                    ผู้เข้าสอบส่วนใหญ่กลืนน้ำลายเอื๊อก หน้าซีด เหงื่อแตกพลั่ก เด็กหนุ่มคนที่จะถูกเรียกชื่อเป็นคนแรกกำมือแน่น สูดลมหายใจลึกเตรียมพร้อม

                    “ ฮาลตัน ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลก้าวขึ้นเวทีอย่างมาดมั่น แววตามุ่งมั่นพร้อมรับการทดสอบ

                    “ พวกเจ้าเห็นข้อความที่สลักบนกำแพงเหนือประตูทางเข้าไหม ”

                    น้ำเสียงอันทรงพลังและแข็งกร้าวทำเอากลุ่มผู้เข้าสอบสะดุ้งเฮือก ดวงตาสีเขียวอันคมกริบจ้องมองพวกเขาเขม็ง ความหวาดกลัวแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ผู้เข้าสอบบางคนตัวสั่นก้มหน้างุดไม่กล้าสบตา ฟรานรู้สึกเหมือนคาลเลสเตอร์ส่งแววตามาดร้ายมาให้เขาแวบหนึ่ง เมื่อเห็นทุกคนยังนิ่งเงียบคาลเลสเตอร์จึงถามย้ำประโยคเดิมอีกครั้ง แต่คราวนี้ดังและแข็งกร้าวกว่าเดิม ดูเหมือนเขาจะเริ่มหงุดหงิด ผู้เข้าสอบรีบพยักหน้าตอบรับโดยอัตโนมัติอย่างพร้อมเพรียง เด็กสาวบางคนหน้าซีดตัวสั่นทำท่าจะเป็นลม

                    “ รู้ไหมว่าแปลว่าอะไร?

                    ฮาลตันยกมือทันที แต่คาลเลสเตอร์ทำเป็นไม่สนใจ เขามองตรงไปที่ฟราน

                    “ เจ้าเด็กหนุ่มคนนั้นตอบมา ”

                    ผู้เข้าสอบมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เด็กหนุ่มคนไหน? ในกลุ่มนี้มีเด็กหนุ่มตั้งยี่สิบคน ฮาลตันที่ถูกเมินหน้าจ๋อยสนิท เขาเอามือลงก้มหน้างุด รู้สึกผิดหวังหน่อยๆ

                    “ เจ้าหนุ่มผมยาวสีทองที่ยืนท้ายแถวตอบมา!

                    คาลเลสเตอร์ชี้นิ้วไปที่ฟราน ทุกคนหันไปมองเป็นตาเดียว ฟรานหน้าเหวอตั้งตัวไม่ทันที่อยู่ๆก็ถูกเรียกให้ตอบทั้งๆที่ไม่ได้อยากจะตอบ

                    “ อะ...เอ่อ จงหาญกล้าและเสียสละครับ ”

                    ฟรานตอบตะกุกตะกักไม่เต็มเสียง คาลเลสเตอร์จ้องฟรานเขม็ง แววตาเชือดเฉือนเหมือนอยากให้ฟรานตายซะเดี๋ยวนั้น ฟรานรู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่พุ่งมาที่เขา เด็กหนุ่มองกลับไปคิ้วมุ่น ไม่เข้าใจว่าทำไมหมอนั่นถึงมองเขาด้วยแววตามาดร้ายแบบนั้น!

                    “ รู้ความหมายของมันไหม ”

                    น้ำเสียงเยียบเย็นแฝงความนัยบางอย่าง ฟรานรู้สึกสังหรณ์ใจเหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดี เด็กหนุ่มคิ้วมุ่นมองคาลเลสเตอร์ระแวงสงสัย

                    “ ให้รู้จักกล้าที่จะทำในสิ่งที่สมควรทำ และรู้จักเสียสละไม่เห็นแก่ตัวครับ ”

                    คาลเลสเตอร์มองฟรานนิ่ง เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นสายตาที่มองมาที่ตน มันเป็นแววตาของการดูถูกเหยียดหยันและชิงชัง!

                    ข้าเคยไปสร้างความแค้นอะไรไว้หนักหนาหรือไงกันนะ! ถึงได้มองข้าด้วยสายตาแบบนั้น

                    ฟรานครุ่นคิดคิ้วมุ่น สายตามองตอบกลับไปอย่างไม่สะทกสะท้านและกลัวเกรง

                    คาลเลสเตอร์ทำเสียงหึในลำคอ เขาละสายตาจากฟรานหันไปหากลุ่มผู้เข้าสอบ และพูดขึ้นว่า

                    “ ใช่ ที่เจ้าหนุ่มนั่นพูดมามันก็ถูก ”

                    คาลเลสเตอร์ปรายตามองมาที่ฟราน และพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

                    “ แต่จะมีสักกี่คนที่จะกล้าหาญยอมสละตนเองเพื่อส่วนรวม ที่แน่ๆในนี้มีแล้วหนึ่งเพราะความเห็นแก่ตัวจะนำความพินาศมาสู่ทุกชีวิต!  ”

                    คราวนี้คาลเลสเตอร์จ้องฟรานเขม็งเต็มสองลูกตา เด็กหนุ่มรู้สึกตนเองเหมือนถูกกล่าวโทษในสิ่งที่ตนไม่ได้ทำ เพราะอะไรกัน? หรือคิดมากจนฟุ้งซ่านเกินไปหน่อย!

                    “ เอาล่ะ! เสียเวลามามากแล้วเริ่มการสอบได้!

                    คาลเลสเตอร์พูดด้วยเสียงอันดังตามแบบฉบับของเขา ผู้สมัครสอบบางคนที่ยังไม่ชินสะดุ้งโหยงใจหายวาบ ฟรานรู้สึกกังวลมากขึ้น เรื่องไม่ดีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามา? บางอย่างที่อาจถึงชีวิต!

                    การทดสอบได้เริ่มขึ้น คาลเลสเตอร์กำดาบในมือมั่น ดีดตัวพุ่งเข้าใส่ฮาลตันอย่างรวดเร็วโดยที่เด็กหนุ่มยังไม่ทันได้ตั้งตัว เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ฝุ่นลอยฟุ้งกระจายตรงจุดที่เกิดการปะทะ คาลเลสเตอร์ดีดตัวออกจากลุ่มฝุ่นเหล่านั้น เขาแสยะยิ้มอย่างพอใจ

                    กลุ่มฝุ่นควันถูกแรงลมพัดกระจาย เผยให้เห็นร่างเด็กหนุ่มที่ยังมีชิ้นส่วนครบสามสิบสองอยู่ในเกราะเวททรงโดม ในมือกำคฑาเวทแน่น ลูกแก้วบนหัวคฑาส่องแสงสีฟ้านวล ฮาลตันยกคฑาเวทขึ้นพร้อมร่ายเวทโจมตี กลุ่มผู้เข้าสอบยืนมองกันตื่นตะลึง มีเสียงฮือฮาเป็นระยะ บางคนส่งเสียงเชียร์เป็นกำลังใจ เด็กสาวบางคนไม่กล้าดูการต่อสู้เอามือปิดตาแน่น บางคนถึงกับกลัวจนตัวสั่นลงไปนั่งกับพื้นหน้าซบเข่าไม่แม้จะเหลือบไปมองการต่อสู้เลยสักนิด

                    เวลาสิบนาทีผ่านไป การทดสอบจบลง ฮาลตันยังคงยืนอยู่บนเวที เด็กหนุ่มดูอ่อนล้าและเหนื่อยหอบ คาลเลสเตอร์เดินเข้ามาหาและประกาศให้ฮาลตันผ่านการทดสอบ เด็กหนุ่มยิ้มกว้างดีใจโค้งคำนับขอบคุณ เขาถอนใจโล่งที่ผ่านการทดสอบในส่วนสุดท้าย

                    “ สำหรับคนที่สอบเสร็จแล้วให้กลับบ้านได้ ออกทางประตูด้านหลังเวที ”

                    คาลเลสเตอร์ชี้ไปยังประตูที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูทางเข้า

                    “ อีกสามวันให้มาดูประกาศผลสอบที่บอร์ดหน้าโรงเรียน มีใครสงสัยอะไรไหม?

                    คาลเลสเตอร์กวาดมองผู้เข้าสอบโดยรอบ เมื่อเห็นว่าทุกคนนิ่งเงียบไม่มีทีท่าว่ามีข้อสงสัยอันใด เขาจึงพูดขึ้นต่อ

                    “ เมื่อไม่มีใครสงสัยอะไร ข้าจะเริ่มการทดสอบคนต่อไป ”

                    คาลเลสเตอร์หันไปทางฮาลตัน มืออันหนาใหญ่และแข็งกร้านตบลงบนบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ เบาแบบชนิดที่ว่าเด็กหนุ่มรู้สึกเจ็บแปลบที่ไหล่

                    “ เจ้าทำได้เยี่ยมมาก ”

                    ฮาลตันโค้งคำนับกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินลงเวที คาลเลสเตอร์ดูรายชื่อที่อยู่ในมือ เขาเรียกชื่อผู้เข้าสอบคนถัดไปด้วยเสียงอันดังและทรงพลังเหมือนเคย

                    “ ดิลแรนดอล ”

                    เด็กหนุ่มผมสีชาหัวยุ่งๆเหมือนคนเพิ่งตื่นนอนก้าวขึ้นเวที ตัวสั่นท่าทางหวาดกลัว เขากลืนน้ำลายเอื๊อกเตรียมรับการทดสอบ

                    การทดสอบดำเนินต่อไปจนมาถึงคนสุดท้าย ฟรานก้าวขึ้นเวทีความกังวลเพิ่มมากขึ้น ความไม่สบายใจแน่นเต็มอก สีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่ได้กังวลกลัวว่าจะสู้ไม่ได้แต่มันเป็นความกังวลที่รู้สึกถึงอันตรายกำลังใกล้เข้ามา!


                   
    ฟรานโค้งทำความเคารพ ยังไม่ทันได้ชักดาบหรือตั้งท่าเตรียมสู้ คาลเลสเตอร์พุ่งโจมตีฟาดดาบใส่เขา เด็กหนุ่มเบี่ยงตัวหลบได้ทันแต่ก็ได้แผลที่แขนขวายกขึ้นกันเป็นทางยาว เลือดสีแดงสดไหลซึมย้อมแขนเสื้อเป็นสีแดงฉาน มือขวาชุ่มไปด้วยเลือดที่ไหลเป็นทางลงมา ความเจ็บแปลบแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูเซลล์

                    ฟรานดีดตัวไปตั้งหลักอยู่อีกฝั่งตรงข้ามกับที่คาลเลสเตอร์ยืนอยู่ มือขวาเจ็บแปลบจนแทบจะกำดาบไม่ไหว ฟรานต้องเปลี่ยนมาใช้มือซ้ายที่ไม่ถนัด ความเจ็บแปลบเพิ่มมากขึ้นจนมันแล่นไปทั่วร่าง มือขวาขยับไม่ได้! หรือว่า...

                    “ ท่านใช้ยาพิษ? ”

                    ฟรานมองคาลเลสเตอร์สีหน้าตื่นตะลึง มันเป็นแค่การทดสอบเพื่อเข้าเรียนไม่ใช่รึไง แล้วทำไมถึงขนาดต้องใช้ยาพิษ!

                    “ รู้ตัวแล้วงั้นเรอะ ใช่! ดาบเล่มนี้ทายาพิษไว้ มันเป็นยาพิษที่ทำให้ชา อวัยวะภายในจะหยุดทำงาน ไร้สีไร้กลิ่น ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ มันจะสลายไปเมื่ออวัยวะภายในหยุดทำงานและเซลล์ของเหยื่อตายหมด! ข้าเอาไว้ใช้กับเจ้าโดยเฉพาะ!

                    คาลเลสเตอร์กระชับดาบในมือแน่น น้ำเสียงแข็งกร้าว สีหน้าเยือกเย็น แววตาดุดันพร้อมสังหารคนได้ทุกเมื่อ!

                    ฟรานคิ้วมุ่นสีหน้าเคร่งเครียดนี่มันไม่ใช่การทดสอบแล้ว! ดูจากจิตสังหารที่แผ่ออกมาและสายตาที่จ้องมองเขา เจ้านั่นคิดจะฆ่าเขาจริงๆ!

                    “ ทำไม? นี่มันเป็นแค่การทดสอบไม่ใช่เรอะ ทำไมต้องทำถึงขนาดนี้!

                    “ เพราะเป็นเจ้า! เพราะเจ้ายังมีชีวิตอยู่ จงรู้แค่นี้แล้วตายซะ!

                    คาลเลสเตอร์ดีดตัวพุ่งเข้าใส่ฟราน เสียงโลหะกระทบกัน เกิดประกายไฟแปลบปลาบ ฟรานถูกซัดกระเด็นจนตกเวที เด็กหนุ่มเอาดาบปักพื้นเวทีได้ทันและดีดตัวกลับขึ้นมายืนบนเวทีได้ใหม่ คาลเลสเตอร์ไม่ปล่อยให้ฟรานได้ตั้งตัว เขาฟาดดาบปล่อยคลื่นพลังลูกใหญ่เข้าใส่ ฟรานดีดตัวหลบได้ทันแล้วพุ่งเข้าโจมตี คาลเลสเตอร์เอาดาบรับไว้ได้ เขาสวนกลับอย่างรวดเร็วจนฟรานหลบไม่ทัน คมดาบแทรกผ่านเข้าไปในเนื้อ ของเหลวสีแดงสดไหลทะลักออกจากรอยแยกของเนื้อตั้งแต่ช่วงอกจนถึงเอว!

                    แรงปะทะทำให้ฟรานลอยกระเด็นไปกระแทกกำแพงหิน เด็กหนุ่มเอาดาบปักกำแพงยึดร่างเอาไว้ได้ไม่งั้นเขาคงร่วงตกกระแทกพื้นตายจากระดับความสูงหลายร้อยเมตรเป็นแน่! 

                    
     ฟรานหอบหายใจตัวโยน ตาเริ่มพร่ามัวเพราะเสียเลือดไปมาก เสื้อผ้าชุ่มโชกไปด้วยเลือด ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้นทั่วทุกอณูในร่างจนสติเริ่มลางเลือน มือที่จับดาบสั่นเทาอย่างคุมไม่อยู่ บาดแผลแค่นี้ไม่ทำให้แรงกายของฟรานหมดได้ หนักกว่านี้เขาก็เคยมาแล้ว แต่มันเป็นเพราะเขาได้รับพิษทำให้กำลังกายอ่อนลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้แรงกายกำลังจะหมดลงแต่แรงใจยังคงเต็มเปี่ยม ฟรานหายใจลึกรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อจบการต่อสู้นี้ภายในการโจมตีครั้งเดียว! การทดสอบแปรเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ที่หมายเอาชีวิต! ถ้าการโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ล้มเหลว ไม่อาจจัดการกับเจ้าหมอนั่นได้ เขาคงต้องเป็นฝ่ายถูกฆ่า!

                    ฟรานรู้สึกถึงจิตสังหารเข้ามาใกล้ เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดวงตาเบิกกว้าง คาลเลสเตอร์ลอยอยู่เหนือหัวเขา เจ้านั่นฟาดดาบปล่อยพลังคลื่นลูกใหญ่เข้าใส่ฟราน เด็กหนุ่มไม่อาจตั้งรับหรือหนีได้ทัน หรือต่อให้หนีจากตรงนั้นได้ก็ไม่พ้นรัศมีการโจมตี! ฟรานดึงดาบออกจากกำแพงปล่อยให้ร่างร่วงลงสู่พื้น เขาหันดาบมารับการโจมตีจากคลื่นพลังที่ใกล้เข้ามา อย่างน้อยก็ขอพยายามจนเฮือกสุดท้ายเผื่อมันจะมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น!

                   

                    เกิดเสียงระเบิดจากแรงปะทะดังสนั่น ฟรานค่อยๆลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองยังไม่ตาย! รอบตัวเขาถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองบาง

                    เวทเกราะคุ้มกัน! ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นจริงๆ มีคนมาช่วยข้าแล้ว

                    ฟรานลิงโลดดีใจ น้ำตาแทบไหลที่รอดตายหวุดหวิด เอ่อ...แต่ก็รอดตายแป๊ปเดียว อีกเดี๋ยวพิษคงเข้าสู่หัวใจ ไม่ช้าเขาก็ต้องตายอยู่ดี คิดถึงตรงนี้อาการดีใจแบบสุดๆแปรเปลี่ยนเป็นเศร้าสลดในทันที!

                    “ คาลเลสเตอร์! เจ้าทำบ้าอะไร! นี่มันการทดสอบไม่ใช่การต่อสู้ที่เอาถึงชีวิต!

                    เรสเซอเรลตะคอกอย่างเดือดดาล สีหน้าโกรธขึงแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังงดงามอยู่ดี ฟรานคิดขณะเงยหน้ามองผู้ที่มาช่วยเขา

                    คาลเลสเตอร์มองกลับสีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์ เก็บอาการโมโหที่กำจัดฟรานไม่สำเร็จ!

                    “ หึ ข้าทำอะไรน่ะหรอ? ก็กำลังทำการทดสอบอยู่ เจ้าดูก็น่าจะรู้นี่ ”

                    คาลเลสเตอร์ตอบกลับน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ มองฟรานด้วยสายตาทิ่มแทง ถ้าสามารถฆ่าฟรานได้ด้วยสายตา เขาคงทำโดยไม่รีรอ

                    “ ทดสอบหรอ! เจ้าเรียกการกระทำแบบนี้ว่าทดสอบหรอ!

                    น้ำเสียงเรสเซอเรลแหลมสูงด้วยความโกรธ ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็ง คาลเลสเตอร์มองกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน เขากอดอกและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

                    “ ใช่! เจ้าเด็กนี่เก่งจะตาย ถ้าข้าทำเป็นทีเล่นทีจริงก็เท่ากับเป็นการดูถูกฝีมือ ก็เลยต้องสู้เต็มกำลัง ”

                    อย่าไปเชื่อมันนะ! เจ้านี่คิดจะฆ่าข้าจริงๆ!

                    “ งั้นหรอ? แต่ที่ข้าเห็นเจ้ากำลังจะฆ่าเด็กคนนี้!

                    เรสเซอเรลแคลงใจ ยังไม่ปักใจเชื่อในคำพูดของคาลเลสเตอร์ เพราะคำพูดกับการกระทำและสิ่งที่เกิดขึ้นมันคนละเรื่องกันเลย!

                    “ หึ! ทำไมข้าต้องฆ่าเจ้าเด็กนี่ด้วย มันก็แค่การทดสอบที่อาจมีพลาดพลั้งกันได้เมื่อสู้กันอย่างสุดฝีมือ ”

                    มันไม่ใช่การทดสอบ! เจ้าคิดจะฆ่าข้า!

                    ฟรานเถียงในใจเพราะไม่มีแรงแม้แต่จะขยับปาก เลือดยังคงไหลทะลักออกมาเป็นสาย พิษเริ่มแผ่กระจายไปทั่ว ฟรานเริ่มรู้สึกชาเกือบทั่วทั้งตัว อาการชาบวกกับอาการเจ็บแปลบที่เพิ่มทวีคูณผสมปนเปไปหมดทำเอาเด็กหนุ่มแทบน้ำตาร่วง           

                    “ เรสเซอเรล ถ้าเจ้าไม่รีบรักษาเจ้าเด็กนั่น มันคงตายเพราะเจ้าไม่ใช่เพราะข้าแล้วล่ะ หึ!

                    คาลเลสเตอร์ปรายตามองฟรานแววตาอาฆาต ก่อนจะหมุนตัวหันหลังเดินจากไปอย่างรวดเร็ว

                    เรสเซอเรลมองดูฟรานสีหน้าตื่น เขาสำรวจบาดแผลโดยละเอียดอย่างรวดเร็ว มือเรียวบางทั้งสองข้างวางเหนือร่างฟราน เกิดแสงสีขาวนวลเข้าห่อหุ้มทั่วร่าง เรสเซอเรลส่งยิ้มให้ เขาพูดกับฟรานด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและห่วงใย

                    “ ไม่ต้องกลัวข้าจะรักษาบาดแผลให้หายโดยไม่ให้เหลือร่องรอยแผลเป็นใดๆ ”

                    เรสเซอเรลยิ้มให้อย่างอบอุ่น สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เด็กหนุ่มพยักหน้า เอ่ยขอบคุณเสียงแผ่วเบาแทบจะเป็นเสียงกระซิบ

                    บาดแผลต่างๆหายจนหมดไม่เหลือร่องรอยอะไรทิ้งไว้จริงๆรวมทั้งอาการถูกพิษด้วย! คงเป็นเพราะพลังในการรักษาอันน่าตื่นตะลึงราวปาฏิหารย์ที่ช่วยสลายพิษไปด้วยพร้อมกับรักษาบาดแผล

                    “ มีเจ็บตรงไหนอีกไหม?

                    เรสเซอเรลมองสำรวจทั่วร่างของฟราน ชายหนุ่มยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จับหน้าฟรานหันซ้ายหันขวาสำรวจหาบาดแผลที่อาจหลงเหลืออยู่ เด็กหนุ่มหน้าแดงระเรื่อ ใจเต้นโครมคราม การได้เห็นใบหน้าชายหนุ่มรูปงามที่งามเลิศเหนือยิ่งกว่าสตรีใกล้ๆแบบนี้ ยิ่งทำให้รู้ว่าใบหน้าเขานั้นช่างงดงามเนียนใสไร้ร่องรอยใดๆ ที่บอกว่างดงามยิ่งกว่าสตรีนั้นมันถูกต้องแล้ว!

                    “ อะ..เอ่อ ขะ...ข้า ไม่เป็นอะไรแล้วครับ ”

                    เด็กหนุ่มตอบตะกุกตะกักก้มหน้างุด ไม่กล้าสบตาคู่สวยที่จ้องมองเขาอย่างห่วงใย เรสเซอเรลยิ้มบางให้ฟราน

                    “ จริงหรอ? ”

                    ฟรานพยักหน้าตอบรับ

                    “ ดีจริงๆ เจ้าลุกไหวไหม ”

                    “ คะ...ครับ ”

                    เรสเซอเรลช่วยพยุงฟรานลุกขึ้น พอเด็กหนุ่มก้าวขาออกเดินเกิดรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาฉับพลัน ทำให้เสียหลักเซถลาไปข้างหน้า เรสเซอเรลพุ่งเข้าไปคว้าตัวฟรานได้ทันไม่งั้นเขาคงได้ลงไปนอนจูบพื้นเป็นแน่! ถึงแม้บาดแผลจะหายแล้วแต่กำลังกายดูเหมือนยังไม่ฟื้นกลับมาเต็มที่บวกกับที่เขาโดนพิษอีก ทำให้เขาแทบไม่มีแรงเดินด้วยตัวเอง เรสเซอเรลจึงช่วยพยุงฟรานออกมาส่งด้านนอกซึ่งประตูทางออกนั้นมันเชื่อมกับทางเดินที่ออกไปยังบริเวณที่ตั้งเต็นท์ที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้ผู้ปกครองหรือผู้ติดตามได้นั่งรอ

                    ลุงจินเห็นฟรานถูกหิ้วออกมา เขารีบวิ่งถลาเข้าไปดูอาการหลานชายอย่างเป็นห่วง เห็นเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด ลุงจินหน้าซีดสีหน้าเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม

                    “ เกิดอะไรขึ้น! ทำไมเจ้าถึงอยู่ในสภาพนี้!

                    “ อะ...เอ่อ ก็แค่สู้กันหนักมือไปหน่อย แล้วข้าดันเกิดพลาด เลยได้แผลมานิดหน่อย ”

                    แผลนิดหน่อยอะไรกัน! เสื้อผ้าถูกย้อมเป็นสีเลือดเนี่ยนะ!

                    ลุงจินหรี่ตามองประมาณว่าไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ฟรานหน้าตื่นรีบหาเหตุผลมาอ้าง กลัวว่าถ้าลุงจินรู้ความจริงอาจทำให้ลุงจินเดือดร้อน และเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง ฟรานอยากสืบเรื่องนี้ให้แน่ชัดด้วยตัวเอง บางทีมันอาจจะเกี่ยวข้องกับชาติกำเนิดของเขาก็เป็นได้

                    “ ตะ...แต่ ข้าไม่เป็นไรแล้ว ได้ท่านเรสเซอเรลช่วยรักษาบาดแผลให้ เหลือก็แค่ไม่ค่อยมีแรงเพราะดันสู้ซะสุดกำลังเกินไปหน่อย แหะๆๆๆ ชะ...ใช่ไหมท่านเรสเซอเรล ”

                    ฟรานหันไปหาแนวร่วมเพราะตอนนี้สีหน้าลุงจินบ่งบอกเลยว่ายังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เรสเซอเรลหันไปมองฟรานคิ้วมุ่นไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องโกหก ฟรานขยิบตาส่งสัญญาณขอร้องให้ช่วยเออออตามเขาไปก่อน เรสเซอเรลมองนิ่ง เขาถอนหายใจแล้วหันไปส่งยิ้มให้ลุงจิน รอยยิ้มนั้นยังคงชวนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลเหมือนเดิม ลุงจินมองนิ่งเหมือนถูกรอยยิ้มนั้นสะกดจนไม่อาจละสายตาไปได้ หน้าของลุงจินออกแดงๆเล็กน้อย

                    “ เป็นจริงตามที่เด็กคนนี้พูด ท่านอย่าได้คิดมากอันใดเลย นี่เป็นเพียงแค่การทดสอบ มิใช่การต่อสู้จริง อาจมีการพลาดพลั้งบ้างซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ”

                    ด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลและสีหน้าจริงใจของเรสเซอเรล ทำให้ลุงจินจำต้องเชื่ออย่างเสียไม่ได้แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์!

                     ....................................................................................................................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×