ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Santazia

    ลำดับตอนที่ #3 : บททดสอบแห่งแซงเคอร์

    • อัปเดตล่าสุด 25 มิ.ย. 54





                  เด็กหนุ่มสาวจำนวนมากนับร้อยคนยืนอออยู่หน้าตึกรูปทรงคล้ายกล่องสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก มีบันไดยาวขนานตัวตึกทอดลงมา 3 ขั้น ที่หน้าประตูไม้บานโค้งขนาดใหญ่มีชายหนุ่มอายุน่าจะราวๆสักยี่สิบห้าสวมเสื้อโค๊ทยาวสีขาวยืนมองเจ้าหน้าที่ที่กำลังเช็คชื่อผู้เข้าสอบ เขากำลังรอเจ้าหน้าที่เหล่านั้นเช็คชื่อเสร็จเพื่อจะได้เริ่มทำการสอบคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในแซงเคอร์ สถานที่ทดสอบคือภายในตึกรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยมแห่งนี้ซึ่งตั้งอยู่ในป่าข้างโรงเรียน ที่นี่อนุญาตให้เข้าได้เฉพาะผู้ที่เข้าสอบคัดเลือกและผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ผู้ปกครองหรือผู้ติตามคนอื่นจะต้องไปรอในเต็นท์ที่ทางโรงเรียนจัดเตรียมไว้ให้

                    ฟรานวิ่งมาถึงเป็นคนสุดท้าย เขาหอบตัวโยนปาดเหงื่อที่ไหลย้อยเต็มหน้า มืออีกข้างเซ็นต์ชื่อเข้าสอบ เมื่อฟรานเซ็นต์ชื่อเสร็จเจ้าหน้าที่คุมสอบจึงส่งสัญญาณว่าผู้เข้าสอบมาครบกันทุกคน ชายหนุ่มที่ยืนหน้าประตูไม้บานโค้งซึ่งเป็นหัวหน้าผู้คุมสอบบอกให้ผู้เข้าทดสอบทุกคนหยุดคุยและอยู่ในความสงบ เขาก้าวออกมาข้างหน้าสามก้าว ดวงตาสีอเมทิสต์กวาดมองผู้เข้าสอบแต่ละคน สายตาอันคมกริบที่ดูเย็นชาและเยือกเย็นของเขาทำเอาผู้ที่ถูกจ้องมองรู้สึกหนาวสะท้านไปทั่วร่าง เหมือนกับถูกมองทะลุทะลวงเข้าสู่ก้นบึ้งของจิตใจ

                    “ ขอต้อนรับผู้เข้าสอบทุกคน การสอบจะแบ่งเป็น 3 ส่วน ”

                    ชายหนุ่มกล่าวน้ำเสียงเรียบแต่ทรงพลังน่าเกรงขาม เขามองผู้เข้าสอบโดยรอบ เมื่อเห็นว่าสายตาทุกคู่จ้องมาที่ตนและกำลังตั้งใจฟังจึงอธิบายต่อ

                    “ ส่วนแรกจะเป็นการทดสอบด้านสติปัญญา มีเวลาให้หนึ่งชั่วโมงในการทำข้อสอบ คำถามจะเกี่ยวกับความรู้รอบตัว ความรู้เฉพาะด้านและเชาว์ปัญญา ”

                    “ ขอโทษครับ ”

                    เด็กหนุ่มผมน้ำตาลที่ยืนหน้าสุดยกมือขึ้น ชายหนุ่มซึ่งถูกขัดจังหวะปรายตามองลงมา ดวงตาสีอเมทิสต์อันเยียบเย็นจ้องมองลึกเข้าไปในดวงตาสีเขียวของเด็กหนุ่มเหมือนกำลังอ่านใจ ทำเอาเด็กหนุ่มรีบหลุบตาต่ำด้วยไม่กล้าสบตา

                    “ มีอะไร?

                    ชายหนุ่มเอ่ยถามเสียงเรียบแต่ทว่าน้ำเสียงกลับดูทรงพลังและมีอำนาจ ทำเอาคนถูกถามรู้สึกเย็นวาบขนลุกไปทั่วตัว

                    “ เอ่อ...ความรู้เฉพาะด้านนี่คืออะไรหรอครับ ”

                    เด็กหนุ่มถามเสียงอ่อยๆไม่ชัดถ้อยชัดคำ ชายหนุ่มจ้องเขานิ่ง ยิ่งเห็นแบบนั้นเด็กหนุ่มยิ่งทำตัวลีบให้เล็กที่สุด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากแทรกแผ่นดินหนีเพื่อหลบสายตาเยียบเย็นคู่นั้น

                    “ ความรู้เฉพาะด้าน ”

                    ชายหนุ่มหยุดครู่หนึ่ง เขาปรายตามองผู้เข้าสอบแต่ละคน ก่อนจะอธิบายต่อ

                    “ คือความรู้ในด้านที่เราถนัดไม่ว่าจะเป็นวิชาเวทหรือวิชาดาบ ข้อสอบความรู้เฉพาะด้านจะแบ่งออกเป็นสองส่วนคือวิชาเวทมนตร์และวิชาดาบ ใครถนัดด้านไหนก็เลือกทำด้านนั้น หรือจะทำทั้งสองส่วนก็ได้ คะแนนส่วนนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่เอาไปใช้ร่วมในการตัดสินว่าพวกเจ้าเหมาะที่จะเรียนด้านไหนเมื่อขึ้นปีสอง แต่ก่อนที่จะถึงขั้นนั้นพวกเจ้าต้องสอบเข้าให้ได้ซะก่อน ”

                    ดวงตาสีอเมทิสต์ไล่มองสังเกตอาการผู้เข้าสอบแต่ละคน ส่วนหนึ่งมืสีหน้ามั่นใจเต็มที่ว่าสามารถทำข้อสอบได้ อีกส่วนหนึ่งมีสีหน้าหวั่นๆกลัวทำข้อสอบได้คะแนนไม่ค่อยดี และส่วนสุดท้ายที่ดูเหมือนจะมีจำนวนน้อยที่สุดทั้งสีหน้าและอาการบ่งบอกว่า ตายแน่นอน! ’ ‘ ไม่รอดพันเปอร์เซ็นต์ ’ ‘ ทำข้อสอบไม่ได้แน่อะไรประมาณนั้น ฟรานก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น เขาหน้าถอดสี เหงื่อเริ่มแตก เรื่องที่ต้องใช้สมองเขาไม่ถนัดเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องที่ต้องใช้แรงน่ะหรอขอให้บอก ของถนัดเลยเชียว

                    หนทางสอบเข้าแซงเคอร์ของฟรานเริ่มมืดมน ด่านแรกก็เจอของหนักซะแล้ว ดันเจอเรื่องที่ไม่ถนัดขั้นเทพอีก ด่านนี้คงหมดหวังร้อยเปอร์เซ็นต์ ลองเป็นแบบนึ้คงได้แต่ต้องเต็มที่กับอีกสองด่านที่เหลือ ฟรานทอดถอนใจสีหน้าเริ่มเครียด

                    ชายหนุ่มที่ยืนอยู่หน้าประตูไม้บานโค้งบอกให้ผู้เข้าสอบหยุดคุย ด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังและดูน่าเกรงขาม ทำให้บรรยากาศโดยรอบกลับสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง ดวงตาสีอเมทิสต์กวาดมองโดยรอบ เมื่อเห็นผู้เข้าสอบทุกคนมองมาที่ตนและอยู่ในอาการตั้งใจฟัง เขาจึงเริ่มอธิบายต่อ

                    “ การทดสอบส่วนที่สอง จะเป็นการทดสอบทางด้านพลังเวท ในส่วนนี้จะเป็นตัวชี้วัดว่าพวกเจ้าเหมาะที่จะเรียนทางด้านไหน และมีคุณสมบัติพอที่จะเข้าเรียนในแซงเคอร์หรือไม่ ”

                    ผู้เข้าสอบต่างส่งเสียงฮือฮา บางคนทำท่ายืดอกมั่นใจเต็มเปี่ยมในพลังเวทของตน บางคนหน้าซีดท่าทางกระวนกระวายกลัวจะไม่ผ่าน ฟรานดูท่าจะอาการหนักสุด เขาลมแทบจับเมื่อรู้ว่าการทดสอบส่วนที่สองคืออะไร เขาจะเอาพลังเวทที่ไหนไปใช้ในการสอบยิ่งพลังเวทห่วยขั้นเทพแบบนี้ไม่มีทางที่เขาจะผ่านการทดสอบส่วนนี้ไปได้เลย แย่แล้วแย่แน่ๆ หนทางที่จะได้ภารกิจนี้ไว้ในกำมือดูท่าจะมืดมนถึงขั้นสิ้นหวังซะแล้ว!

                    โฮๆ ถ้าชวดภารกิจนี้ละก็ถึงขั้นเปลี่ยนสถานะจากนักดาบรับจ้างกลายเป็นขอทานเลยนะ โอ้วว! ม่าย

                    ฟรานร้องโอดครวญในใจ สติกำลังจะแตกเมื่อเจอการทดสอบสุดหินที่เขาไม่ถนัดสักอย่าง ทำไมเขาไม่เกิดเป็นอัจฉริยะให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยนะ!

                    “ เงียบ!

                    คำเดียวทำให้ทั้งบริเวณนั้นที่กลายเป็นนกกระจอกแตกรังเงียบกริบ ทุกคนหุบปากโดยอัตโนมัติ ชายหนุ่มมองผู้เข้าสอบแต่ละคนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าเริ่มหมดความอดทน เมื่อเห็นว่าทุกคนปิดปากสนิท ชายหนุ่มจึงเริ่มอธิบายการทดสอบส่วนสุดท้าย

                    “ การทดสอบส่วนสุดท้าย จะเป็นการทดสอบทางด้านไหวพริบและพละกำลัง ด่านนี้ไม่มีอะไรยาก แค่เอาชนะคู่ต่อสู้ให้ได้ ส่วนกติกาจะต้องทำยังไงเอาไว้ไปฟังอธิบายในสนามสอบ ”

                    “ คะแนนสอบในแต่ละส่วนคือ 100 คะแนนดังนั้นคะแนนเต็มคือ 300 คะแนน เกณฑ์การสอบผ่านคือ 50 เปอร์เซ็นต์ ใครได้ต่ำกว่านี้ถือว่าไม่ผ่าน  ใครมีอะไรสงสัยเชิญถามได้ ”

                    ดวงตาสีอเมทิสต์กวาดมองผู้เข้าสอบแต่ละคน เมื่อเห็นว่าทุกคนนิ่งเงียบไม่มีใครถามอะไร เขาจึงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่คุมสอบสองคนเปิดประตูไม้บานโค้งด้านหลังเขา

                    “ ในเมื่อไม่มีใครสงสัยอะไร ข้าขอเริ่มการสอบ ณ.บัดนี้ ”

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบ 10 คนเดินออกมายืนเป็นแถวหน้ากระดานอยู่หน้ากลุ่มผู้เข้าสอบ ชายหนุ่มผู้ซึ่งอธิบายการสอบเมื่อสักครู่เอ่ยขึ้นเสียงเรียบทว่ากลับก้องกังวานยิ่งนัก

                    “ เราได้แบ่งผู้เข้าสอบออกเป็น 10 กลุ่มๆละ 30 คน ตามลำดับเลขประจำตัวผู้สมัครสอบ ซึ่งผู้เข้าสอบแต่ละคนจะได้รับป้ายหมายเลขประจำตัวในตอนลงทะเบียนสมัครสอบ ใครที่ยังไม่ได้ติดป้ายหมายเลขประจำตัวขอให้ติดไว้ที่หน้าอกขวา ”

                    มีหลายคนที่ยังไม่ได้ติดป้าย ต่างควานหาป้ายแล้วติดตามที่ชายหนุ่มคนนั้นบอก ฟรานเองก็ง่วนหาป้ายให้วุ่นทั่วตัว ตอนแรกเขาใจหายวาบที่หาจนทั่วแล้วหายังไงก็หาไม่พบ เขาหน้าถอดสีเหงื่อแตกพลั่ก ฟรานกลัวว่าถ้าหาป้ายไม่เจออาจอดเข้าสอบ โชคดีที่เขานึกได้ว่ากระเป๋าเสื้อลับด้านในยังไม่ได้หา กระเป๋าเสื้อลับด้านในฟรานมักจะเอาไว้ใส่ของที่สำคัญมากๆ เขาล้วงเข้าไปและพบว่ามันอยู่ในนั้นจริงๆ ฟรานถอนใจอย่างโล่งอก และติดมันไว้อย่างดีที่อกเสื้อด้านขวาแบบชนิดที่ว่าไม่ให้หลุดไปได้

                    เมื่อเจ้าหน้าที่จัดกลุ่มผู้เข้าสอบเสร็จเรียบร้อย พวกเขาจึงส่งสัญญาณไปยังหัวหน้าผู้คุมสอบซึ่งก็คือชายหนุ่มที่ได้อธิบายการสอบไปเมื่อสักครู่ เขาตรวจดูความเรียบร้อยก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

                    “ หลังประตูไม้บานนี้จะมีประตูอีก 10 ประตู โดยกลุ่มที่ 1 จะเข้าประตูหมายเลข 1 กลุ่มที่ 2 จะเข้าประตูหมายเลข 2 กลุ่มไหนเลขอะไรให้เข้าประตูเดียวกับหมายเลขนั้น มีใครสงสัยอะไรไหม ”

                    ผู้เข้าสอบทุกคนนิ่งเงียบ สีหน้าและท่าทางบ่งบอกว่าพร้อมสอบเต็มที่ แต่ก็มีบางคนเริ่มหน้าซีด กระวนกระวายกลัวจะสอบไม่ผ่าน  แน่นอนหนึ่งในนั้นย่อมมีฟรานรวมอยู่ด้วยซึ่งเก่งแต่วิชาดาบเพียงอย่างเดียวส่วนพลังเวทนั้นห่วยขั้นเทพ! ยิ่งเรื่องที่ต้องใช้สมองแล้วละก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแย่ซะยิ่งกว่าแย่ แย่กว่าเรื่องใช้กำลังซะอีก!

                    หัวหน้าผู้คุมสอบกวาดมองผู้เข้าสอบแต่ละคนจนเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครถามอะไรอีก เขาจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบแต่ยังคงก้องกังวานเหมือนเดิม

                    “ ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไร ให้กลุ่มแรกเข้าไปก่อน จากนั้นตามด้วยกลุ่มที่สอง และกลุ่มต่อๆมาตามลำดับ ”

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบที่ประจำกลุ่มหนึ่งเดินนำพวกเขาพาเข้าไปในประตูหมายเลข 1 และตามด้วยกลุ่มต่อมาตามลำดับ ฟรานอยู่ในกลุ่มสุดท้ายและเป็นคนสุดท้ายของแถวเพราะเขาดันมาลงทะเบียนสมัครสอบเป็นคนสุดท้ายเลยได้เลขประจำตัวท้ายสุด

                    เมื่อถึงคิวกลุ่มสุดท้ายที่ฟรานอยู่เจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มเดินนำพวกเขาผ่านประตูไม้บานโค้ง ภายในนั้นเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมจัตุรัสค่อนข้างมืดสลัว มีคบไฟลอยอยู่ที่แต่ละมุมห้อง กำแพงฝั่งตรงข้ามประตูมีรูปภาพขนาดใหญ่สูงเท่าตัวคนแขวนอยู่ ด้วยความมืดสลัวทำให้มองไม่ออกว่าเป็นภาพอะไร ใต้ภาพมีข้อความสลักอยู่แต่มันเป็นภาษาที่ฟรานไม่รู้จักเลยไม่รู้ว่าข้อความนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร บางทีมันอาจเป็นคำจารึกหรือคำอธิบายภาพนี้ก็ได้มั้ง? ฟรานได้แต่เดาเรื่อยเปื่อย

                    กำแพงทั้งสองด้านมีประตูฝั่งละ 5 บาน บนประตูแต่ละบานมีป้ายทองเหลืองที่สลักหมายเลขตั้งแต่ 1-10 ติดอยู่ ประตู 9 บานที่ 9 กลุ่มก่อนหน้าเข้าไปถูกล็อค เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปและมันจะถูกปลดล็อคเมื่อทั้งสิบกลุ่มเข้าไปเป็นที่เรียบร้อย ประตูที่พวกเขาจะต้องเข้าไปอยู่ในสุดฝั่งขวาเมื่อหันหน้าเข้ากำแพง บนประตูบานนั้นมีป้ายทองเหลืองสลักเลข 10 ติดอยู่ เจ้าหน้าที่คุมสอบเปิดประตูบานนั้นและเดินนำพวกเขาเข้าไป ทางข้างในเป็นบันไดหินเวียนลงสู่ชั้นใต้ดิน บนกำแพงมีคบไฟลอยอยู่เป็นระยะ มันสว่างพอแค่เห็นทางเดินเท่านั้น

                    ใช้เวลาเกือบห้านาทีกว่าจะลงไปถึงด้านล่าง เบื้องล่างเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ มีเสาหินขนาดใหญ่ที่แกะสลักลวดลายค้ำยันเพดานโค้งไว้ ทางเดินเป็นหินก้อนสี่เหลี่ยมที่มีขนาดไล่เลี่ยกันถูกนำมาจัดเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบ พวกเขาเดินต่อไปสักพักก็มาหยุดอยู่หน้าประไม้โค้งบานคู่ขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มเคาะประตูเป็นสัญญาณสามครั้ง ประตูไม้บานคู่ค่อยๆเปิดออกเองส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เมื่อประตูเปิดออกกว้างจนสุด เจ้าหน้าที่คุมสอบผายมือให้ผู้เข้าสอบเดินเข้าไป ภายในนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว มีคบไฟนับสิบๆดวงลอยอยู่บนเพดานทำให้ห้องสว่างไม่มืดสลัวเหมือนกับทางเดินที่ผ่านมา

                    มีเก้าอี้และโต๊ะไม่มีลิ้นชักที่เป็นไม้จำนวน 30 คู่จัดเรียงเป็นแถว 5 แถวห่างกันแถวละ 6 ตัว ที่โต๊ะแต่ละตัวจะมีหมายเลขประจำตัวผู้เข้าสอบแปะไว้ เจ้าหน้าที่ที่คุมสอบในห้องนั้นมีทั้งหมด 5 คนรวมเจ้าหน้าที่ประจำกลุ่มด้วย เจ้าหน้าที่หนึ่งในนั้นเรียกให้ผู้เข้าสอบนั่งประจำโต๊ะที่มีหมายเลขประจำตัวของตนเอง ฟรานเดินไปที่โต๊ะด้านขวาสุดตัวสุดท้าย เขานั่งลงมือเย็น หน้าซีด เหงื่อแตกพลั่กทั้งๆที่อากาศภายในห้องกำลังเย็นสบาย ฟรานสติจะแตกเมื่อเห็นข้อสอบ มันเป็นข้อสอบบรรยาย! เขายิ่งไม่ถนัดเรื่องที่ต้องใช้สมองอยู่ด้วย! งานนี้ไม่รอดแน่! ว้ากๆๆๆๆ! ฟรานกุมขมับโวยวายในใจสติจะแตกรำไร

                    “ ข้อสอบมี 2 ชุด ชุดนึงเป็นกระดาษคำถามอีกชุดเป็นกระดาษคำตอบ ให้เขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบ ห้ามขีดเขียนอะไรลงในกระดาษคำถาม หากข้อไหนเขียนตอบลงในกระดาษคำถามจะถือว่าข้อนั้นไม่ได้ตอบและไม่ได้คะแนน มีเวลาหนึ่งชั่วโมงในการทำข้อสอบ เมื่อหมดเวลากระดาษคำถามและกระดาษคำตอบจะถูกเก็บโดยจะหายไปทันที ขอเตือนไว้ก่อนสำหรับใครที่คิดจะทุจริตหากถูกจับได้นอกจากจะถูกยกเลิกการสอบทั้งหมดแล้วจะไม่มีสิทธิ์เข้าสอบที่นี่ได้อีกรวมทั้งที่อื่นๆด้วย เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดทุจริตเป็นอันขาดเพราะไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิธีไหนไม่มีวันที่จะรอดพ้นสายตาพวกข้าไปได้ มีใครสงสัยอะไรไหม?

                    เจ้าหน้าที่คุมสอบที่ดูมีอายุมากสุดที่ยืนอยู่ตรงกลางหน้าห้องอธิบายเสียงดังจนก้องไปทั่วทั้งห้อง เขาไล่มองผู้เข้าสอบแต่ละคน เมื่อเห็นปฎิกิริยานิ่งเงียบรวมทั้งบางคนความสนใจทั้งหมดจดจ่ออยู่ที่ข้อสอบแล้ว เขาจึงส่งสัญญาณให้เจ้าหน้าที่เริ่มจับเวลาและเอ่ยขึ้นว่า

                    “ ถ้าไม่มีใครสงสัยอะไร เริ่มทำข้อสอบได้!


                ..............................................................................................................................................................................................


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×