ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Santazia

    ลำดับตอนที่ #11 : ผจญกองทัพโครงกระดูก

    • อัปเดตล่าสุด 28 ธ.ค. 54


     

                   ตุ้บ!

                    เสียงของหนักๆหล่นกระแทกพื้นตามมาด้วยเสียงอะไรบางอย่างกำลังกลิ้งฝ่าพงหญ้า พร้อมกับเสียงร้องลั่นป่าของใครบางคน

                    “ แว้กกก!!!

                    “ โอ๊ย!

                    เลออนเนลยันตัวลุกนั่งมือกุมหัวที่ปูดเกือบจะเท่าลูกมะนาวน้อยๆ ดูเหมือนว่าตอนกลิ้งตกจากเนินเขาเมื่อกี้หัวคงกระแทกกับอะไรบางอย่าง

                    ทำไมพื้นมันนิ่มๆ

                    เด็กหนุ่มนั่งขย่มบนสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นพื้น มันนุ่มนิ่มน่านั่งจริงๆ

                    “ โอ๊ย! เจ้าบ้าเลิกขย่มได้แล้ว มันหนักนะเฟ้ย รีบๆลงไปจากตัวข้าสักที ”

                    “ เหวอ!

                    เลออนเนลดีดตัวกระโดดลุกพรวดตกใจ เพ่งฝ่าความมืดและหมอกที่ลงจัดไปยังสิ่งที่เขาคิดว่าเป็นพื้น เจ้าสิ่งนั้นขยับลุกนั่งตัวงอ

                    “ เจ้าขี้เซา!

                    “ ข้าไม่ได้ชื่อขี้เซา!

                    ฟรานเอามือกุมท้อง หน้าบิดเบี้ยว เขาทั้งเจ็บทั้งจุกจากการถูกวงแหวนเวทเคลื่อนย้ายพามาปล่อยกลางอากาศที่ไหนสักแห่งในป่าหมอกสีเงินก่อนจะกลิ้งตกจากเนินเขาแล้วถูกเลออนเนลกลิ้งทับแถมยังถูกเจ้าเพื่อนสุดรักปานจะตีกันตายนั่งขย่มบนท้องซะเต็มแรงอย่างสนุกอีก

                    “ ขะ...ขอโทษ เป็นอะไรไหม ”

                    เลออนเนลหน้าสลด เข้าไปช่วยพยุงฟราน ตอนแรกฟรานก็โกรธอยู่หรอกแต่พอได้ยินคำขอโทษอย่างสำนึกผิด อารมณ์โกรธในตอนแรกก็มลายหายไปหมด

                    “ ดีขึ้นแล้ว ขอบใจนะ ”

                    “ มะ...ไม่เป็นไร ”

                    เลออนเนลถอนใจโล่งอก นึกว่าจะกลายเป็นฆาตกรฆ่าคนโดยไม่เจตนาซะแล้ว 

                    “ ที่นี่ที่ไหน ทำไมหมอกเยอะขนาดนี้ แทบมองทางข้างหน้าไม่เห็น ”

                    ฟรานหันซ้ายหันขวา ไม่ว่าจะหันไปทางไหนก็มีแต่หมอกกับหมอกและความมืด แหงนมองไปข้างบนก็มีแต่เงาทะมึนซึ่งน่าจะเป็นของต้นไม้ใหญ่ที่ขึ้นอย่างแน่นขนัด แทบไม่มีช่องให้แสงจันทร์ส่องลงมาถึงยังพื้นเบื้องล่าง ทำให้ทัศนวิสัยการมองเห็นแทบจะเป็นศูนย์

                    “ ปะ...ป่าหมอกสีเงิน ”

                    เลออนเนลตอบเสียงสั่น เขยิบเข้าไปใกล้จนตัวติดฟราน มือทั้งสองข้างเกาะแขนฟรานแน่น เด็กหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมองโดยไม่พูดอะไร เขาเพ่งมองโดยรอบอย่างระวัง มือกุมดาบแน่นเตรียมพร้อมรับการจู่โจมที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

                    “ เจ้ากลัวความมืดเหรอ? ”

                    “ ข้าไม่ได้กลัวสักหน่อย!

                    เลออนเนลเถียงกลับ แต่มือกลับยิ่งบีบแขนฟรานแน่น

                    “ งั้นเหรอ แล้วทำไมเจ้าเกาะแขนข้าซะแน่น ”

                    ฟรานเหล่มอง ภาพที่เห็นเป็นเงาดำๆแต่ก็ยังพอเห็นเป็นรูปร่างคน

                    “ ข้ากลัวว่าเจ้าจะพลัดหลงกับข้า เลยต้องจับเอาไว้ เจ้ามันเป็นประเภทหลงทางขั้นเซียนอยู่ด้วย ”

                    เลออนเนลยิ่งเบียดชิดติดฟรานมากขึ้นพอได้ยินเสียงอะไรดังแม้กระทั่งเสียงลมพัดใบไม้

                    “ เจ้ารู้ได้ไงว่าข้าเป็นพวกชอบหลงทาง!

                    ฟรานรู้สึกเคืองนิดๆ ที่ถูกกล่าวหาลอยๆโดยไม่มีหลักฐาน เอ่อ...ถึงจะเคยหลงทางบ้าง แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่เลออนเนลพูดสักหน่อย ครั้งล่าสุดก็แค่พาเฟรริลหลงทาง เอ้ย...พาไปสำรวจทางเดินรอบโรงเรียนก่อนจะเข้าเรียนวิชาการต่อสู้เบื้องต้น

                    “ แว้กกก!!! สะ...เสียง มะ...มีอะไรอยู่ตรงนั้น!

                    เลออนเนลกระโดดหลบอยู่หลังฟราน เอาเขาเป็นที่กำบัง ฟรานชักดาบออกมาทันทีพร้อมกับเพ่งมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดัง

                    “ เลออนเนลตั้งสติหน่อย ”

                    ฟรานเตือนเพื่อนที่เป็นคู่หูที่ไม่อยากจะเป็นคู่หูด้วยที่เอาแต่เกาะแขนทั้งสองข้างของเขาแน่น

                    “ ปล่อยแขนข้าสักที ข้าสู้ไม่ถนัด เจ้าก็ชักดาบออกมาเตรียมตัวได้แล้ว ”

                    เลออนเนลยังคงเกาะแขนเขาแน่น ศีรษะพิงกับแผ่นหลังบาง

                    “ หรือว่าเจ้ากลัว ”

                    โดนดูถูกขนาดนี้มีหรือที่ความกลัวจะเอาชนะความโกรธได้ เลออนเนลปล่อยแขนฟรานทันที ชักดาบออกมาตั้งท่าเตรียมพร้อมมายืนด้านข้างฟราน

                   “ ข้าไม่ได้กลัว!

                    เลออนเนลเถียงกลับเสียงเขียว

                    “ งั้นเหรอ ”

                    ฟรานลากเสียงยาวไม่คิดจะเชื่อ สายตายังคงสอดส่องโดยรอบ

                    “ เออดิ ”

                    เลออนเนลตอบกลับเสียงขุ่น พยายามจะขยับออกห่างจากฟรานอีกหน่อยแต่ขาดันไม่ยอมขยับ เขารู้สึกเจ็บใจนิดๆที่ความกลัวดันมีมากกว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรี

                    ฟรานขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงต่อจึงนิ่งเงียบและเพ่งมองโดยรอบอย่างระวัง ก่อนจะถอนใจยาวอย่างโล่งอกแต่ก็ไม่ซะทีเดียว

                    “ ข้าคิดว่าคงเป็นแค่เสียงลม แต่ก็ไม่ควรประมาท ”

                    “ งั้นเหรอ ค่อยยังชั่ว นึกว่าจะเป็นสัตว์ร้ายซะอีก ”

                    เลออนเนลแทบเข่าอ่อน ถอนใจโล่งอก ถ้าต้องเจอกับสัตว์ร้ายจริงๆ เขาก็ไม่รู้ว่าจะสู้ได้หรือเปล่า เพราะสัตว์ทุกตัวที่อาศัยในป่าแห่งนี้ล้วนขึ้นชื่อว่าดุร้ายและอันตรายทั้งนั้น แม้แต่อาจารย์บางคนยังยอมรับเลยว่ารับมือยาก

                    “ บ้าชะมัด มืดก็มืด มองอะไรก็ไม่เห็น มีแต่หมอกเต็มไปหมด แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตอนนี้อยู่ส่วนไหนของป่า ”

                    ฟรานบ่นพึมเพ่งมองไปข้างหน้าทั้งๆที่ทัศนวิสัยการมองเห็นเกือบจะเป็นศูนย์ พอเลออนเนลได้ยินแบบนั้นถึงกับใจห่อเหี่ยว เห็นเลขศูนย์ของการสอบครั้งแรกลอยมาแต่ไกล

                    โฮกกกก!!!

                    “ ว้ากกก!!!

                    ฟรานผลักเลออนเนลพ้นจากการถูกโจมตีของสัตว์ร้ายที่พุ่งเข้ามาโดยไม่รู้ตัว เลออนเนลล้มกลิ้งไปไกลจากสัตว์ร้าย มันจึงเบนความสนใจมาที่ฟรานซึ่งอยู่ใกล้กว่า ฟรานเพ่งมองเห็นเพียงลูกตาสีแดงฉานดุจเลือดอยู่บนเงาดำซึ่งน่าจะเป็นหัวยื่นออกมาจากเงาดำขนาดสูงใหญ่กว่าตัวฟราน มันส่งเสียงคำรามลั่นที่ทำให้เด็กหนุ่มเกือบปลิวกระเด็น สัตว์ร้ายพุ่งเข้าโจมตีฟรานอย่างรวดเร็วผิดกับขนาดตัวที่ใหญ่มโหฬาร ฟรานหลบเกือบไม่ทัน มันเร็วเกินกว่าที่เขาคาดคิด

                    สัตว์ร้ายมันหันกลับมากระโดดเข้าโจมตีฟรานด้วยความเร็วเหลือเชื่อยิ่งกว่าตอนแรก ฟรานเอี้ยวตัวหลบรอดพ้นจากคมเขี้ยวแหลมยาวหวุดหวิด มันไม่ปล่อยให้ฟรานมีโอกาสตั้งตัวกลับมาเป็นฝ่ายโจมตีมันได้ เด็กหนุ่มทำได้เพียงแค่หลบให้พ้นคมเขี้ยวมันซึ่งก็ยากเต็มกลืน

                    เจ้าบ้านั่น หายไปไหน

                    “ ว้ากกกก!!!

                    “ เลออนเนล!

                    หรือว่า...เจอสัตว์ร้ายอีกตัว!

                    ฟรานหยุดชะงักเผลอมองหาเลออนเนล ไม่ทันระวังตัวเปิดโอกาสให้สัตว์ร้ายจู่โจมเข้าถึงตัว เด็กหนุ่มถูกบางสิ่งคาดว่าน่าจะเป็นหางฟาดใส่จนลอยกระเด็น ร่างบางร่วงหล่นกระแทกพื้นและกลิ้งไถลไปอีกกว่าสิบเมตร พร้อมกับเสียงโลหะกระทบหินที่ดังห่างออกไปเกินกว่าที่เขาจะเอื้อมถึง

                    เด็กหนุ่มทั้งเจ็บและจุกจนแทบลุกไม่ขึ้น ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วร่าง เขาควานหาดาบอย่างร้อนรน เงาดำมหึมาพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้ง อย่างรวดเร็ว ฟรานกระโดดหลบได้ทันเส้นยาแดงหวิดเกือบถูกกระทืบจมดิน

                    อาการปวดแปลบทำให้เขาเคลื่อนไหวช้าลง เงาดำหันมาโจมตีเขาด้วยความเร็วน่าทึ่งชนิดไม่ให้พักหายใจ ฟรานที่ไร้ซึ่งดาบคู่ใจจึงทำได้เพียงกระโดดหลบให้พ้นวิถีโจมตี ทว่าครั้งนี้ร่างบางกลับล้มลงมีอะไรบางอย่างพันขาไว้

                    แย่แล้ว!

                    เงาดำอยู่เหนือร่างฟรานเพียงแค่คืบ! เขาดิ้นรนสุดชีวิตเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการ ทว่า...

                    ไม่ทันแล้ว! ตายแน่!!!

                    กี๊ซซซซซ!!!!

                    จู่ๆสัตว์ร้ายตัวนั้นที่กำลังจะพรากชีวิตฟรานกลับร้องโหยหวนและวิ่งหนีหายเข้าไปในความมืด ฟรานนั่งหน้าซีดตัวเย็นมองตาปริบๆมึนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                    โฮๆ รอดแล้ว เกือบตายแน่ะ

                    แต่ว่า...มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงหนีไปแถมยังร้องลั่นเหมือนถูกทำร้าย

                    ฟรานนิ่งคิดกับสิ่งที่คงไม่มีวันรู้คำตอบ ยิ่งคิดก็ยิ่งงงและยิ่งไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มเลยเลิกคิดแล้วตั้งหน้าควานหาดาบท่ามกลางความมืดสนิทและหมอกหนาทึบ

                    อยู่ไหน มันน่าจะอยู่แถวนี้นี่?

                    อ๊ะ! เจอแล้ว

                    มือฟรานไปโดนใบดาบพอดีซึ่งมันนอนสงบนิ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่ฟรานอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ ทั้งๆที่ตอนแรก มันน่าจะกระเด็นไปไกล?

                    ฟรานเอาดาบใส่เข้าปลอก แต่แล้วกลับเบิกตาโตเหมือนนึกอะไรบางอย่างที่สำคัญออก

                    เลออนเนล! เจ้านั่นหายไปไหนแล้ว!

                    “ เลออนเนล อยู่ไหน ถ้ายังไม่ตายตอบด้วย ”

                    เสียงฟรานสะท้อนก้องท่ามกลางความมืด และกลับสู่ความเงียบสนิทอีกครั้ง

                    “ เลออนเนล ”

                    ฟรานตะโกนสุดเสียง แต่ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมามีเพียงความงียบสงัด เขาถอนใจยาว หันมองโดยรอบที่มีแต่ความมืดและหมอกหนาทึบ

                    คงยังไม่ถูกสัตว์ร้ายกินไปหรอกนะ

                    ฟรานเริ่มร้อนใจและเป็นห่วงถึงแม้จะไม่ค่อยถูกกันแต่ยังไงก็เป็นเพื่อนที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันถึงสี่ปี

                    มืดขนาดนี้คงบอกไม่ได้ว่าเสียงร้องมาจากทิศทางไหน ฟรานหันซ้ายหันขวาลังเลไม่รู้จะเริ่มออกตามหาจากทางไหน แต่แล้วเขาก็นึกถึงสิ่งที่ลุงจินเคยสอน

                    “ ลุงจินบอกให้เดินตามดาวเหนือ ดาวเหนือขึ้นทิศเหนือ? แล้วดวงไหนมันดาวเหนือล่ะเนี่ย? แล้ว...ทิศเหนือมันอยู่ไหนอ่ะ โอ๊ย! ไม่รู้แล้วไปทางนี้ละกัน ”

                    ฟรานเดินดุ่ยๆหายเข้าไปในความมืด

                   

                    เสียงแหวกพงหญ้าและเสียงของมีคมตัดผ่านหญ้าดังขึ้นเป็นระยะ ฟรานโผล่พ้นออกมาอย่างยากลำบาก ทั้งตัวเต็มไปด้วยเศษหญ้า ฟรานหันซ้ายหันขวาถอนใจหมดหวังที่จะหาตัวคู่หูจำเป็นเจอในสภาพที่มองอะไรแทบไม่เห็น

                    เจ้าบ้านั่นอยู่ไหนนะ

                    ถ้าไม่ติดว่าต้องออกไปให้ได้ทั้งคู่ ข้าไม่คิดตามหาเจ้าหรอก ไม่อยากเล๊ย เสียเวลาจริงๆ

                    ถึงปากจะบอกยังงั้นแต่การกระทำมันกลับบ่งบอกว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตาค้นหาอย่างจริงจังแกมห่วงหน่อยๆ

                    ป่านี่มันอะไรกัน มีแต่หมอกกับหมอก หรือคงเพราะแบบนี้เลยได้ชื่อว่า ป่าหมอกสีเงิน

                    แล้วมัน...สีเงินตรงไหน?

                    ลมพัดมาสายหนึ่งแรงพอทำให้ไม้ใหญ่ไหวเอน เปิดช่องให้แสงจันทร์ส่องลงมาสู่พื้นเบื้องล่าง กระทบกับสายหมอกสะท้อนเป็นสีเงินยวง รับกับเส้นผมสีเงินประกายดุจแสงดาวที่พลิ้วไหวอ่อนโยนดั่งหยอกล้อเล่นกับสายลม ขับให้ร่างบางดูสว่างคล้าย แสงจันทร์บนท้องนภาที่ส่องแสงนำทางยามมืดมิด ช่างงดงามราวกับเทวดาบนสรวงสวรรค์ มันเป็นภาพชวนมองให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลจนยากละสายตา

                    แบบนี้เองเหรอ แปลกดีแหะ

                    ฟรานมองดูภาพโดยรอบก่อนที่ทุกอย่างจะกลับเข้าสู่ความมืด

                    ผ้า?

                    ฟรานจับหัวที่มีแต่เส้นผม พลันใจหายวาบ

                    หายไปแล้ว! ตอนไหน?

                 เด็กหนุ่มครุ่นคิดนึกย้อนกลับไป ก่อนที่จะถูกเคลื่อนย้ายด้วยวงแหวนเวทเคลื่อนย้ายมันก็ยังอยู่ หรือว่า...

                    จะปลิวไปตอนกำลังเคลื่อนย้าย แต่..ไม่น่าจะเป็นไปได้

                    หรือว่า...ตอนที่ร่วงลงพื้นแล้วกลิ้งตกจากเนิน

                    โธ่ จะย้อนกลับไปหาก็ไม่รู้ว่ามาจากทางไหนอีก

                     เฮ้อ เซ็ง ขืนเป็นแบบนี้จะออกไปที่โล่งที่แสงจันทร์ส่องถึงก็ไม่ได้ หาทางออกไปจากที่นี่ก็ไม่ได้ แถมยังต้องตามหาเจ้าบ้านั่นอีก ถึงจะหาตัวหมอนั่นและทางออกเจอก็ยังออกไปจากที่นี่ไม่ได้จนกว่าจะเช้า แต่ก็ทำแบบนั้นไม่ได้เพราะเจ้าโหดคาลเรสเตอร์ดันตั้งเงื่อนไขให้กลับไปยังจุดนัดพบก่อนพระอาทิตย์ขึ้น

                    โอ๊ย! แล้วข้าจะทำไงเนี่ย

                    ฟรานบ่นพึมสติจะแตกคิดหาหนทางไม่ออก ถ้าเขาไม่ทำผ้าพันคอหายสถานการณ์คงไม่ลงเอยด้วยความยุ่งยากขนาดนี้

                    เฮ้อ ทำไมข้าต้องเกิดเป็นออร์แลนไทด์ด้วย

                    ไม่ดิ! ทำไมมนุษย์ต้องล่าออร์แลนไทด์ต่างหาก ถ้าไม่มีความคิดวิปริตจิตผิดปกติที่ชอบสะสมของแปลกหรือเอาไว้ดูเล่น ออร์แลนไทล์คงไม่ถูกล่า ข้าก็ไม่ต้องหลบซ่อนปกปิดตัวตนแบบนี้

                    ยิ่งคิดพาลให้ยิ่งเคือง ฟรานยังคงเดินต่อไปอย่างไร้จุดหมายด้วยอารมณ์สุดเซ็ง

                    เด็กหนุ่มชะงักฝีเท้า กวาดตามองโดยรอบอย่างระวัง มือกำด้ามดาบมั่น เมื่อได้ยินเสียงพุ่มไม้ไหวดังห่างไม่ไกล

                    “ ใครน่ะ!

                    เสียงพุ่มไม้ไหวพร้อมกับเสียงฝีเท้าเหมือนวิ่งดังเข้ามาใกล้ ฟรานชักดาบออกตั้งท่าพร้อมโจมตี

                    “ ข้าถามว่าใคร!

                    เกิดเสียงโลหะกระทบกันแทนคำตอบ ฟรานผลักดาบกลับไป ดีดตัวถอยห่างเพื่อตั้งหลัก ฝ่ายตรงข้ามพุ่งเข้าใส่ไม่รอช้าพร้อมกับเสียงของมีคมแหวกอากาศ ทั้งสองผลัดกันรุกผลัดกันรับปะทะกันฝีมือสูสี

                    คาลเรสเตอร์?

                    ฟรานเอี้ยวตัวหลบรู้สึกถึงไอเย็นของโลหะผ่านหน้าห่างเพียงคืบ ท่ามกลางความมืดมิดที่แทบมองอะไรไม่เห็น ทำให้การต่อสู้เป็นไปสุดยากลำบาก ไม่เห็นทั้งหน้าศัตรู อาวุธ และระยะการโจมตี ฟรานจึงได้แต่อาศัยสัญชาตญาณจับจิตสังหารของฝ่ายตรงข้ามที่แผ่ออกมากับเสียงการเคลื่อนไหว แล้วกะระยะและทิศทางที่อีกฝ่ายจะโจมตีเข้ามา

                    ไม่น่าจะเป็นไปได้ เจ้านั่นไม่ได้มีฝีมือดาบแค่นี้ ถ้าเป็นเจ้านั่นจริงข้าคงรับมือไม่ได้นานขนาดนี้ แต่คนคนนี้ฝีมือพอๆกับข้า หรือว่า...

                    โลหะกระทบกันอีกครั้งแรงพอทำให้เกิดประกายไฟแปลบปลาบสว่างพอที่จะทำให้เห็นเสี้ยวหน้าของอีกฝ่าย

                    เลออนเนล?

                    “ เลออนเนล! นั่นเจ้าใช่ไหม ”

                    ฟรานผลักกลับไปพร้อมดีดตัวถอยห่าง เสียงฝีเท้าของอีกฝ่ายหยุดชะงัก ฟรานตั้งท่าเตรียมโจมตีหากอีกฝ่ายไม่ใช่ตามที่เขาคิด

                    “ เจ้าขี้เซา นั่นเจ้าเหรอ? ”

                    เสียงอันคุ้นหูดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงฝีเท้าที่หยุดลงหน้าฟราน เด็กหนุ่มลดดาบลง ก่อนจะตอบกลับด้วยเสียงเคืองๆ

                    “ ข้าไม่ได้ชื่อขี้เซา หัดเรียกชื่อคนอื่นให้มันถูกหน่อย ”

                    “ เจ้าจริงๆด้วย เจ้าหายไปไหนมาเจ้าบ้า ปล่อยให้ข้าสู้กับสัตว์ร้ายคนเดียว ”

                    ฟรานเม้มปากแน่นอดโมโหไม่ได้ที่ถูกต่อว่า ทั้งๆที่เขาเองก็เกือบตาย แถมยังรีบออกตามหากลัวว่าเลออนเนลจะตกอยู่ในอันตราย เสียแรงไม่น่าเป็นห่วงเจ้าเพื่อนบ้านี่เลย

                    “ ข้าก็สู้กับสัตว์ร้ายเกือบไม่รอดเหมือนกัน ”

                    “ งั้นเหรอ ”

                    เลออนเนลหัวเราะแห้งกลบเกลื่อนที่ดันบ่นฟรานเป็นชุด

                    ชิ เจ้าบ้านี่ น่าโมโหจริงๆ

                    “ เจ้าพอจะรู้ทางออกไปจากที่นี่ไหม ”

                    เลออนเนลถามฟรานพร้อมกับจับแขนเขาแน่น ฟรานคิ้วมุ่นเล็กน้อย รู้สึกถึงแรงบีบอันสั่นเทาที่ต้นแขนที่กดลงมามากขึ้น

                    หมอนี่กลัวความมืดจริงๆด้วย

                    “ ไม่รู้เหมือนกัน มืดซะขนาดนี้แถมหมอกยังหนาทึบอีก แทบจะมองไม่เห็นอะไรเลยด้วยซ้ำ ”

                    “ เจ้านี่ไม่มีประโยชน์เลย ”

                    “ อะไรน๊า!

                    ฟรานสวนกลับอย่างสุดเคือง

                    “ ว้ากกก!!!

                    “ เฮ้ย! จะ...เจ้าจะมากะ..กอด ข้า แน่นทำไม หายใจไม่ออกเฟ้ย!

                    อารมณ์กรุ่นๆเมื่อกี้พลันหายไปพร้อมกับเสียงร้องลั่นตกใจของเลออนเนล ฟรานพยายามแกะมือเลออนเนลที่กอดเขาแน่นอย่างกับตุ๊กแก 

                    “ มะ...มีตัวอะไรจับขาข้าก็ไม่รู้ ”

                    เลออนเนลหลับตาปี๋ กอดฟรานแน่นตัวสั่นซบหน้ากับอกเขา ฟรานโน้มตัวลงเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลเพ่งมองฝ่าความมืดไล่มองไปยังจุดเกิดเหตุที่ขาของเลออนเนล

                 มือ? ทำไมมันขาวซีดเรืองแสงแปลกๆ  เหมือนโครงกระดูก?

                    “ แว้ก! มันโครงกระดูกจริงๆนี่หว่า!

                    ฟรานผงะถอยหลัง หน้าซีดเผือด เจ้าโครงกระดูกที่จับขาเลออนเนล เงยหัวกะโหลก ใช้เบ้าตาอันกลวงโบ๋ยังกะหลุมดำที่มีลูกไฟสีแดงลุกโชนจ้องมองพวกเขา มันเอียงคอ เอ่อ...หัวกะโหลกเล็กน้อย พร้อมกับแสยะยิ้มที่มีแต่กระดูกชวนขนลุกขนพองสยองขวัญ! สองคู่หูจ้องมองมันอย่างตื่นตระหนก

                    “ ว้ากกกก!!!

                    ฟรานและเลออนเนลแหกปากร้องลั่นวิ่งกระเจิงหนีป่าราบ เจ้าโครงกระดูกก็ไม่ยอมน้อยหน้าวิ่งมาราธอนตามไปติดๆ และยังมีโผล่ขึ้นมาจากดินอย่างกับดอกเห็ดนับสิบๆโครงวิ่งกรูไล่ตามทั้งสองคน

                    “ มันจะวิ่งตามมาทำม๊ายยย!!!

                    เลออนเนลวิ่งไปแหกปากร้องโวยวายลั่น กลัวจับจิตน้ำตาจะร่วง ลมจะจับอย่างกลัวสุดขีด ฟรานเองก็กลัวไม่แพ้กันหน้าซีดเผือด วิ่งหนีสุดชีวิตสุดฝีเท้าวิ่งเร็วแบบที่ไม่เคยทำได้มาก่อน

                    ทั้งคู่วิ่งหนีหน้าตั้งไม่ลืมหูลืมตาไม่สนด้วยซ้ำว่าวิ่งไปทิศไหน รวมทั้งบรรยากาศรอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีเงินทำให้ไม่สามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้สะดวก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องทิศทางเลยเป็นไปได้ยากด้วยซ้ำที่จะบอกได้ว่าตอนนี้อยู่ทิศไหนหรืออยู่ส่วนไหนของป่า

                    ฟรานเพ่งมองหลังเลออนเนลที่วิ่งนำหน้าอยู่ไม่ไกล ถ้าคลาดสายตาแม้เพียงนิดเดียวอาจได้พลัดหลงกันกลางป่าหมอก การจะหาตัวเจอคงเป็นไปได้ยากท่ามกลางหมอกสีเงินที่ลงจัดจนหนาทึบ

                    “ ว้ากกก!!!

                    ร่างของเลออนเนลร่วงลงไปพร้อมกับเสียงร้องลั่นต่อหน้าต่อตาฟราน ฟรานที่อยู่ห่างจากเลออนเนลเกือบหนึ่งช่วงแขนกระโจนออกไปคว้าคอเสื้อเพื่อนได้ทัน ทว่าพื้นด้านล่างกลับไม่ใช่พื้นดินแต่เป็นอากาศล้วนๆ ยังดีที่มือขวาของฟรานจับขอบเหวไว้ได้ทันไม่งั้นได้ตายคู่ร่างเละอย่างน่าอนาถแหงๆ

                    เกือบไป ข้ายิ่งไม่อยากตายพร้อมกับคนที่เกลียดขี้หน้าอยู่ด้วย

                    ฟรานถอนใจเฮือกอย่างโล่งอกที่รอดตายหวุดหวิดแล้วหันไปแหวใส่เจ้าเพื่อนจอมซุ่มซ่ามที่เกือบพาตายหมู่อย่างอนาถที่ห้อยต่องแต่งแถมดิ้นไปดิ้นมา พาลทำเอามืออีกข้างของฟรานที่เกาะขอบหน้าผาสั่นระริกที่ต้องรับภาระแบกน้ำหนักถึงสองคน แถมไอ้เจ้าบ้านั่นยังดิ้นไปดิ้นมาอีก 

                    “ เลออนเนล! เจ้าหยุดดิ้นซะที ข้าจะเกาะไม่ไหวอยู่แล้ว ”

                    “ หะ...หาย ใจ มะ...ไม่ ออก เสื้อ รัด...แค่กๆ ”

                    “ ห๊ะ!

                    ฟรานก้มลงมองหน้าตื่น คอเสื้อที่เขาจับมันร่นขึ้นจนรัดคอเลออนเนล ทำให้เขาหายใจไม่ออกและดิ้นไปดิ้นมาอย่างทรมาน

                    “ โทษที เจ้าจับมือข้าถึงไหมข้าจะได้ปล่อยคอเสื้อเจ้า ”

                    เลออนเนลไม่รอช้าเอื้อมมือทั้งสองข้างจับแขนฟรานแน่น ฟรานปล่อยคอเสื้อและจับแขนเลออนเนลไว้แน่นเช่นกัน

                    “ เจ้าใช้เวทลอยหรือเวทบินเป็นไหม ”

                    “ ไม่เป็นเฟ้ย ข้าเป็นนักดาบไม่ใช่นักเวท ”

                    เลออนเนลตะโกนกลับเสียงหลง

                    “ บ้าจริง ไม่มีประโยชน์เลยเจ้าน่ะ ”

                    “ ว่าไงน๊า!

                    เจ้าโครงกระดูกที่วิ่งไล่ทันพวกเขามาหยุดอยู่ตรงมือฟราน พร้อมกับกองทัพโครงกระดูกเกือบร้อย! มันฉีกยิ้ม เอ่อ...ฉีกกระดูกขากรรไกรทำท่าเหมือนแสยะยิ้ม ลูกไฟแดงเพลิงในเบ้าตากลวงโบ๋หรี่ลงพร้อมกับเงื้อดาบแทงมือฟราน

                    “ บ้าเอ๊ย! พวกมันจะเอาดาบแทงมือข้า เลออนเนลเกาะข้าแน่นๆ ”

                    “ ห๊ะ! ว้ากกก!!!

                    ฟรานปล่อยมือจากขอบหน้าผาเฉียดฉิวกับที่เจ้าโครงกระดูกแทงดาบลงมาแบบเส้นยาแดง ทั้งคู่ร่วงลงสู่หุบเหวลึกซึ่งถูกปกคลุมด้วยหมอกสีเงินหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นที่สิ้นสุด เลออนเนลหลับตาปี๋แหกปากร้องลั่นเสียงหลง มือทั้งสองเกาะแขนฟรานแน่น ในใจได้แต่ร้องว่า ตายแน่ๆสลับกับ ข้าไม่อยากตาย

                    ฟรานกำแขนเลออนเนลแน่นชนิดที่ว่าตุ๊กแกเรียกพี่ มือขวาชักดาบออกมาแล้วปักเข้ากับหน้าผาสุดกำลัง ดาบครูดกับหน้าผาหินเป็นทางยาวเกิดประกายไฟแปลบปลาบ ความเร็วดิ่งพสุธาของสองคู่หูค่อยๆลดลงแต่ก็ยังอยู่ในอัตราที่เร็วอยู่ดี

                    “ ฮือๆ ข้ายังไม่อยากตาย ”

                    “ เออ ข้าก็ไม่อยากตายเหมือนกัน เกาะข้าแน่นๆ อย่าปล่อยมือเด็ดขาด ”

                    ความเร็วของทั้งสองค่อยๆลดลงจนในที่สุดหยุดสนิท ฟรานเพ่งมองลงไปข้างล่าง พวกเขาห้อยต่องแต่งอยู่เหนือชะง่อนหินที่ยื่นออกมาเกือบเมตร

                    “ เลออนเนล พวกเรารอดแล้ว ข้างล่างมีชะง่อนหิน เจ้าโดดลงไปก่อน ”

                    “ ไหนๆ ”

                    “ ข้างล่าง เฮ้ย! ลืมตาดิ ”

                    เลออนเนลค่อยๆลืมตาเหลือบมองลงไปข้างล่าง เขาหน้าซีดกอดแขนฟรานแน่นมือสั่น

                    “ แว้กกก!!! สูงชะมัด ไม่เอาอ่ะข้ากลัว ”

                    “ เจ้าบ้า! สูงไม่ถึงเมตร รีบๆโดดลงไปเลย มือข้าจะเกาะดาบไว้ไม่ไหวแล้ว ”

                    “ ไม่อ๊าว! ข้ากลัวความสูง!

                    “ สูงแค่นี้เนี่ยนะ ”

                    “ เออดิ ”

                    “ เฮ้อ โดดลงไปทั้งๆหลับตาเนี่ยแหล่ะ ”

                    “ ม่ายอ๊าว!

                    “ งั้นข้าเหวี่ยงเจ้าลงไปเอง ”

                    “ ม่ายนะ! แว้กกก!

                    ฟรานปล่อยมือเหวี่ยงแขนไปมาจนมือเลออนเนลเลื่อนหลุดมาจนถึงมือ เขาจับมือเลออนเนลไว้

                    “ แว้ก! เจ้าบ้าฟรานอย่าปล่อยมือนะ!

                    “ เจ้าบ้าเลออนเนลพื้นมันอยู่ห่างจากเจ้าไม่เท่าไหร่แล้ว ”

                    “ จริงเหรอ ”

                    “ เออ ”

                    “ ตะ...แต่มันก็เสียวอยู่ดี ”

                    “ งั้นเจ้าก็หลับตาไม่ต้องมองลงไปข้างล่าง ข้านับหนึ่งถึงสามแล้วปล่อยมือ ”     

                    “ เดี๋ยว!

                    เลออนเนลร้องห้ามเสียงหลง แต่ฟรานไม่สนใจ เขาเริ่มนับ

                    “ หนึ่ง ”

                    “ เฮ้ย!

                    เลออนเนลหน้าซีด

                    “ สอง ”

                    “ ขอทำใจก่อน!

                    เหงื่อเริ่มผุดทั่วใบหน้า

                    “ สาม ”

                    เป็นไงเป็นกัน

                    เลออนเนลหลับตาปี๋ ทั้งสองปล่อยมือพร้อมกัน เลออนเนลลงสู่พื้นอย่างสวยงาม ในท่าเสียหลักหงายหลังล้มกลิ้งก้นกระแทกพื้น ส่วนฟรานเอาเท้ายันหน้าผาและดึงดาบออก ก่อนจะตีลังกาลงสู่พื้นยืนตัวตรงได้สวยงามสมบูรณ์แบบมากกว่าเลออนเนล

                    “ เจ้าบ้า ไหนบอกไม่สูงไง ”

                    เลออนเนลร้องโวยวายเสียงลั่น ท่าทางน่าจะเจ็บน่าดู

                    “ ก็ไม่สูงอ่ะดิ เจ้าลงไม่ดีเองต่างหาก ”

                    ฟรานเข้าไปช่วยพยุงเลออนเนลที่ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวเจ็บแปลบ เอามือคลำก้นป้อยๆอย่างน่าสงสาร

                    “ โอ๊ย! ข้อเท้าข้า ”

                    “ สงสัยจะแพลง ”

                    ฟรานจับข้อเท้าเลออนเนลอย่างเบามือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและสังเกตเห็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าไม่ไกลนัก

                    “ มีถ้ำด้วยไปพักในนั้นก่อน ”

                    ฟรานพยุงเลออนเนลเดินไปช้าๆและระมัดระวังให้กระทบกระเทือนข้อเท้าที่แพลงให้น้อยที่สุด เลออนเนลกระเพลกไปอย่างยากลำบาก สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บ มือกำไหล่ฟรานแน่น

                    “ มืดชะมัด มองอะไรแทบไม่เห็น ”

                    “ โอ๊ย!

                    เสียงเลออนเนลร้องลั่น ฟรานหยุดเดินแล้วรีบหันไปถามอย่างเป็นห่วง

                    “ เป็นอะไร เจ้าเจ็บตรงไหนอีกงั้นเหรอ ”

                    “ เจ้าบ้าเดินระวังหน่อยดิ ขาข้างที่แพลงมันไปกระแทก มันเจ็บนะเฟ้ย ”            

                    เลออนเนลแหวใส่เสียงสั่น ดูท่าจะเจ็บเอามาก

                    “ โทษที โทษที มันมืดจนมองแทบไม่เห็น ข้าจะระวังให้มากกว่านี้ เจ้าไม่เป็นไรแล้วนะ ”

                    ฟรานหน้าซีด เอ่ยขอโทษเสียงอ่อย

                    “ อือ ”

                    ฟรานเอามือคลำไปในความมืด เท้ากวาดพื้นหาที่เรียบๆเพื่อให้เลออนเนลได้นั่งพัก

                    “ ตรงนี้น่าจะพอนั่งได้ ”

                    ฟรานค่อยๆประคองเลออนเนลให้นั่งลง ก่อนจะใช้ผ้าเช็ดหน้าของตัวเองและของเลอเลออนเนลพันข้อเท้าข้างที่แพลงเพื่อล็อคข้อเท้าให้อยู่นิ่งๆและไม่ให้บวมมากขึ้นอย่างเบามือ

                    “ ข้อเท้าเจ้าบวมมาก ”

                    น้ำเสียงฟรานดูเป็นกังวลหลังจากตรวจดูโดยการคลำและปฐมพยาบาลขั้นต้นท่ามกลางความมืด

                    “ จะเป็นไรมากไหมอ่ะ ”

                    เลออนเนลจับแขนฟราน เขารู้สึกกลัวอยู่ไม่น้อย

                    “ ไม่น่าจะเป็นไรมาก แต่ก็ควรจะให้หมอตรวจโดยเร็วยิ่งดี ตอนนี้เจ้าไม่ควรขยับข้อเท้ามากไม่งั้นมันจะบวมมากขึ้น ”

                    “ มันไม่หักใช่ไหม ”

                    ฟรานขยับข้อเท้าเลออนเนลเบาๆ มีเสียงร้องโอ๊ยแผ่วเบาเหมือนรอดไรฟันออกมา

                    “ คิดว่าไม่ เจ้าปวดมากไหม ”

                    “ นิดหน่อย ”

                    เลออนเนลกำแขนฟรานแน่น กัดฟันพูด สีหน้าบิดเบี้ยว ฟรานวางข้อเท้าเลออนเนลอย่างเบามือ ก่อนจะนั่งลงข้างๆคู่หูจำเป็นหลังพิงผนังถ้ำ พลางเบือนหน้ามองออกไปนอกถ้ำ

                    สัตว์ร้ายตัวใหญ่ยักษ์นั่นมันอะไรกัน แถมยังมีโครงกระดูกพวกนั้นอีก ไหนบอกว่าจะไม่ส่งมาในที่ที่อันตราย นี่มันอันตรายถึงชีวิตชัดๆ

                   ชิ  ฝีมือเจ้านั่นแน่ ถ้าต้องการจะฆ่าข้า ก็ส่งข้ามาคนเดียว ไม่เห็นต้องให้คนอื่นติดร่างแหไปด้วย

                    หรือว่า...กลัวจะไม่เนียน กลัวคนอื่นจะรู้  เฮอะ

                    ถึงแม้ฟรานจะไม่ค่อยถูกกับเลออนเนล แต่เขาก็ไม่ต้องการให้ใครมาเดือดร้อนเพราะเขา แถมในใจลึกๆก็ห่วงเพื่อนร่วมห้องคนนี้โดยไม่รู้ตัว

                    “ เราควรจะรีบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ”

                    “ จะไปยังไง ข้างนอกก็มีกองทัพโครงกระดูกแถมยังมีสัตว์ร้ายอีก ”

                    ฟรานถอนใจยาว ศีรษะพิงกำแพง สายตาเหม่อมองไปไกล คิดหาหนทางรอดไม่ออก

                    บึ้ม!

                    เกิดเสียงคล้ายเสียงระเบิดพร้อมแสงสว่างวาบด้านนอกถ้ำ ฟรานลุกพรวดวิ่งออกไปดู ดวงไฟสีแดงดวงเล็กๆกำลังร่วงหล่นจากฟากฟ้า

                    พลุสัญญาณ!

                    ฟรานยืนมองนิ่งอึ้งจนกระทั่งท้องฟ้ากลับสู่ความมืดมิดอีกครา ในใจรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก

                    “ แว้กกก!!!

                    เสียงอันคุ้นเคยดังลั่นเข้ามาใกล้พร้อมกับร่างเงาดำกลิ้งไถลมาหยุดอยู่ข้างๆฟราน เด็กหนุ่มชักดาบออกมาตามสัญชาตญาณที่รับรู้ได้ถึงอันตราย

                    “ เลออนเนล นั่นเจ้าใช่ไหม ”

                    ฟรานถามยืนยันให้แน่ใจ พลางกวาดตามองเหมือนเหยื่อระวังศัตรู

                    “ เออ รีบหนีเร็ว!

                    ฟรานก้มลงพยุงเลออนเนลลุกขึ้นมาแต่สายตายังคงจับจ้องมองหาผู้มาเยือนอย่างประสงค์ร้าย

                    “ เกิดอะไรขึ้น ”

                    เกิดเสียงโลหะกระทบกันแทนคำตอบ ฟรานดึงเลออนเนลไปไว้ข้างหลังพ้นรัศมีคมดาบได้ทันก่อนที่มันจะผ่าร่างเลออนเนลออกเป็นสองซีก

                    ฟรานดันดาบฝ่ายตรงข้ามกลับไปพลันเบิกตาโตตื่นตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า โครงกระดูกเรืองแสงสีขาวนวลนับสิบๆตัวกำลังย่างสามขุมเข้ามาหาพวกเขาอย่างช้าๆ และมีอีกหลายสิบตัวกระโดดลงมาจากหน้าผาตามลงมาติดๆ ดวงตาสีแดงเพลิงในเบ้าตากลวงโบ๋ของพวกมันลุกโชนอย่างน่าสะพรึงกลัว

                    ฟรานข่มความกลัวกำดาบแน่นก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีโครงกระดูกสามตัวที่วิ่งเข้ามา ทั้งสามถูกคมดาบสีเงินฟันจนชิ้นส่วนแตกกระจาย โครงกระดูกสี่ห้าตัวที่อยู่ถัดมาต่างพากันกรูเข้าใส่ฟราน การโจมตีของพวกมันยังช้ากว่าฟรานอยู่หลายก้าวทำให้เขาสามารถกำจัดพวกมันเหลือแต่ชิ้นส่วนกระดูกกองอยู่ที่พื้นในเวลาไม่นาน ทว่า ชิ้นส่วนกระดูกเหล่านั้นกลับวิ่งมาต่อติดกันเป็นโครงกระดูกเหมือนเดิมในเวลาอันรวดเร็ว!

                    เด็กหนุ่มถึงกับผงะตื่นตะลึงในความสามารถที่ฆ่าไม่ตายของพวกมัน โครงกระดูกพวกนั้นแสยะยิ้มอย่างน่าสยดสยองก่อนจะวิ่งกรูเข้าใส่พวกเขาโอบล้อมเอาไว้ทุกทิศทุกทาง ฟรานฉุดเลออนเนลที่นั่งจุมปุ้กลุกขึ้นและถอยไปจนสุดขอบผา พวกมันหยุดวิ่งแล้วค่อยๆย่างสามขุมบีบวงล้อมกรอบเข้ามาใกล้มากขึ้นอย่างช้าๆ เหมือนนักล่าที่กำลังเล่นกับเหยื่อที่ไม่มีทางหนีรอดอย่างสนุกสนานก่อนที่จะถูกกิน

                    จะตีฝ่าวงล้อมไปก็ไม่ได้ ฆ่าก็ไม่ตายอีก แถมพวกมันมีอาวุธครบมือกันทุกตัว ถ้างั้นก็เหลือทางเดียว.....

                    ฟรานเหลือบมองไปด้านหลังที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืดและสายหมอกอันหนาทึบจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด

                    “ เลออนเนลกอดข้าแน่นๆ ”

                    “ อะไรนะ!

                    เลออนเนลร้องเสียงหลงสีหน้าตกใจแต่พอเหลือบไปเห็นฝูงโครงกระดูกที่กำลังใกล้เข้ามา มือทั้งสองรีบกอดฟรานแน่นจนตัวแนบชิดติดกันหน้าซบกับอกโดยไม่ต้องให้บอกย้ำ แขนเรียวบางของฟรานโอบรอบเอวเลออนเนลแน่น เขาสูดหายใจลึกก่อนกระโจนโดดลงจากหน้าผาทิ้งตัวลงสู่ความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด

                    โครงกระดูกพวกนั้นพากันวิ่งกรูและกระโดดตามลงไปติดๆ พร้อมกับคำรามบวกแสยะยิ้มสุดสยดสยอง

                    แย่แล้ว!

                                           ...........................................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×