ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    30 days for love : 30 วัน ชิ่งหารัก

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้น : เจ้าชายก็ตกระกำลำบากเป็นเหมือนกัน

    • อัปเดตล่าสุด 24 ส.ค. 53


                                    

                  คุณเคยเชื่อว่าเนื้อคู่มีอยู่จริงไหม?

                                    คุณเคยเชื่อในเรื่องรักแรกรึเปล่า?

                                                    และคุณเคยเชื่อในเรื่องรักแท้ไหม?

                    บางคนอาจจะเชื่อหรือไม่คิดจะเชื่อแต่สำหรับข้า ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องเหล่านี้เลยจนกระทั่งได้มาพบกับคนคนหนึ่ง เธอทำให้ข้ารู้ว่าเรื่องราวเหล่านี้มีอยู่จริง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เรื่องราวที่เป็นเหมือนดั่งนิทานซะที่ไหนเล่า! เป็นเหมือนดั่งนิยายตลกเคล้าโรแมนติกซะมากกว่า

                    เรื่องทั้งหมดเริ่มขึ้นในวันกลางฤดูใบไม้ผลิ ข้ากำลังหลบหนีการแต่งงานแบบคลุมถุงชน การแต่งงานที่ข้าเกลียดที่สุด! ท่านแม่ต้องการให้ข้าแต่งงานกับผู้หญิงที่ท่านเลือกให้ ผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้หน้าตาก็ไม่รู้จักแล้วใครจะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยได้เล่า การแต่งงานของคนสองคนต้องเกิดมาจากความรักสิไม่ใช่มาจากการบังคับ ข้าพยายามหาเหตุผลต่างๆนาๆมาทำให้ท่านแม่เปลี่ยนใจแต่ไม่ว่าจะทำยังไงท่านแม่ก็ยังคงยืนกรานเหมือนเดิมคือข้าต้องแต่งงาน ข้าถามหาเหตุผลและสิ่งที่ท่านแม่ตอบกลับมาทำเอาข้ายืนอึ้งมันเป็นเหตุผลง่ายๆที่ไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลยคือ ข้าถึงวัยอันควรที่ต้องแต่งงานแล้ว! แต่ข้าเพิ่งจะอายุยี่สิบเองนะ! จะหาห่วงมาผูกคอข้าซะงั้น! มีอะไรอีกตั้งหลายอย่างที่ข้าอยากจะทำ แถมข้ายังไม่ได้ทำตามความฝันเลยด้วย ความฝันของข้าน่ะหรอ? อืม...ข้าอยากจะเดินทางเที่ยวรอบโลกน่ะ อยากจะเห็นในสิ่งที่ข้าไม่เคยเห็น อยากจะเปิดโลกทัศน์ของตนเองให้กว้างขึ้น ข้าเลยไม่อยากแต่งงานตอนนี้และยิ่งต้องแต่งกับคนที่ไม่ได้รักด้วย เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม

                    ในเมื่อท่านแม่ไม่คิดเปลี่ยนใจและยังคงบังคับข้าอยู่แบบนี้ วิธีเดียวที่ข้าจะรอดพ้นจากการแต่งงานบ้าบอนี่ได้คือต้องหนีอย่างเดียว ข้าจึงตัดสินใจหนีออกจากวังในคืนนั้นและเดินเรื่อยมาจนถึงตอนนี้ เฮ้อ! ชีวิตมันน่าเศร้าอะไรอย่างงี้ เป็นเจ้าชายมีชีวิตแสนสุขสบายในวังอยู่ดีๆกลับต้องมาระหกระเหินตกระกำลำบาก ถ้าไม่ใช่เพราะต้องหนีการแต่งงานบ้าๆนั่นล่ะก็ข้าคงไม่ต้องมาเดินตากแดดตากลมกลางป่าแบบนี้หรอก ป่านนี้คงนอนกลิ้งไปมาบนเตียงแสนนุ่มในห้องยังไม่ตื่นด้วยซ้ำ

                    ข้าเดินต่อไปได้สักพักจู่ๆก็รู้สึกหน้ามืดตาทั้งสองข้างเห็นต้นไม้ข้างทางหมุนรอบตัว แล้วสติข้าก็ดับวูบลง ข้ารู้สึกตัวตื่นอีกทีก็พบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงในห้องที่ไม่คุ้นเคย ข้ายันตัวลุกขึ้นนั่งมองไปโดยรอบมันเป็นห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆไม่ใหญ่มาก ประตูห้องถูกเปิดออกหญิงวัยกลางคนเดินตรงมาหาข้าพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหมือนโล่งอก ตามมาด้วยหญิงสาวอายุน่าจะพอๆกับข้าเธอส่งสายตาเหมือนกับบอกว่าถ้าข้าหายดีแล้วก็รีบๆออกไปซะยังไงยังงั้นเลยแฮะ หน้าตาก็พอดูได้แต่สายตาไม่เป็นมิตรเอาซะเลย

                    “ รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ดีขึ้นหรือยัง ”   น้ำเสียงหญิงวัยกลางคนดูอ่อนโยนและถามข้าอย่างเป็นห่วง ข้าพยักหน้าแทนคำตอบ

                    “ ข้าเป็นอะไรไป แล้วที่นี่ที่ไหน ”  ข้าถามหญิงวัยกลางคนด้วยความสงสัย  เธอส่งยิ้มให้ข้าอย่างเอ็นดูพลางเอ่ยตอบ

                    “ เจ้าเป็นลมหมดสติอยู่กลางป่า หลานสาวข้าไปเจอเข้าเลยพาเจ้ามาที่บ้านข้า ”   ข้าเหลือบมองหญิงสาวที่ถูกเอ่ยถึง ยัยนั่นกำลังมองข้าอย่างไม่ค่อยพอใจไม่สิต้องเรียกว่าไม่ไว้วางใจมากกว่า เฮ้ย! แล้วทำไมต้องมองข้าแบบนั้นด้วย ยัยนั่นเป็นคนพาข้ามาที่นี่เองนะ

                    “ เจ้าชื่ออะไรล่ะ? อา...ขอโทษทีข้าควรจะแนะนำตัวเองก่อนสินะ ”   หญิงวัยกลางคนเอ่ยขอโทษน้ำเสียงเจือเสียงหัวเราะ ข้ายิ้มตอบกลับไปแต่สายตายังคงเหลือบมองยัยหลานสาวนั่นอย่างไม่ค่อยพอใจที่ถูกจ้องแบบนั้น

                    “ ข้าชื่อเพรวิส ส่วนนั่นหลานสาวข้า เอลิเน่ ”  หญิงวัยกลางคนหันไปมองหญิงสาวที่ยืนข้างๆ ยัยนั่นกระตุกยิ้มเย็นให้ข้าทีนึงแต่ยังคงจ้องมองข้าด้วยสายตาแบบเดิม

                    “ แล้วเจ้าล่ะ?  

                    “ เฟราเซียส ”   ข้าตอบกลับไป ดูเหมือนหญิงชราจะทำหน้าแปลกใจก่อนจะเอ่ยถามข้า

                    “ ชื่อเจ้าเหมือนชื่อของเจ้าชายเลยนะ ”   ก็ใช่อ่ะดิ ข้าเป็นเจ้าชายจริงๆนี่หว่าแต่ข้าไม่ได้พูดออกไปหรอกแต่กลับตอบสั้นๆน้ำเสียงเหมือนเพิ่งรู้

                    “ งั้นหรอ ”  แล้วข้าก็ยิ้มให้ทีนึง

                    “ ข้าคงต้องไปแล้ว ขอบคุณมากที่ช่วยข้าไว้ ”   ข้ากล่าวขอบคุณพลางล้วงหากระเป๋าเงินกะว่าจะให้เป็นสินน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่พวกเขาได้ช่วยข้าไว้ แต่ว่า...มันอยู่ไหนน่ะ? กระเป๋าเงินของข้า! ข้าล้วงกระเป๋ากางเกงทุกกระเป๋าควานหาจนทั่วตัวก็ไม่พบ พยายามนึกย้อนกลับไป

                    “ แย่ล่ะสิ! ดันลืมไว้ที่ห้อง ”   ข้าดันเผลอพูดออกมาคงจะดังพอที่ทำให้ทั้งสองคนหันมามองข้าอย่างสงสัย จนป้าเพรวิสอดถามข้าไม่ได้

                    “ มีอะไรรึเปล่า ”   ข้ามองป้าเพรวิสอย่างตื่นตระหนกและดันเผลอตอบออกไป

                    “ ข้าลืมเอากระเป๋าเงินมา ”  ข้าหน้าซีดตัวชาเย็นวาบ งานเข้าแล้วไง ข้าจะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกได้ยังไงไม่มีเงินติดตัวสักสตางค์แดงเดียว กลับวังก็ไม่ได้ขืนกลับไปได้โดยจับแต่งงานทันทีแน่ โอ้ว! ทำไมชีวิตมันน่ารันทดแบบนี้ ข้าเป็นเจ้าชายแต่ต้องมาตกระกำลำบากข้างนอกเนี่ยนะเพราะไอ้การแต่งงานบ้าๆนั่นถ้าไม่มีมันข้าก็คงไม่ต้องมาเจอเหตุการณ์แบบนี้หรอก ข้าหน้าเสียหนักกว่าเดิมยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้ม ในขณะที่ข้ากำลังจมปลักอยู่ในวังวนความคิดของตนเองมีมือมือหนึ่งมาจับที่ไหล่ข้าทำเอาข้าสะดุ้งเล็กน้อยและหลุดจากห้วงความคิด ข้าเงยหน้าขึ้นมองเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังยิ้มให้ข้า ป้าเพรวิสบีบไหล่ข้าเบาๆก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

                    “ ดูท่าเจ้าจะเป็นนักเดินทางสินะและคงกำลังเดือดร้อนด้วย ถ้าจะเดินทางโดยไม่มีเงินคงลำบากแย่ ถ้างั้นอยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้นะ ”

                  

                    ยัยหลานสาวหันไปมองป้าเพรวิสก่อนจะถามป้าของเธอชนิดไม่เกรงใจข้าเลยสักนิด

                    “ ป้าคะ จะให้หมอนี่อยู่ที่นี่เนี่ยนะเราไว้ใจเขาได้หรอ หมอนี่ก็หายดีแล้วควรจะรีบไล่ให้เขาไปซะ ที่สำคัญจะเชื่อคำพูดหมอนี่ได้แค่ไหนกันเขาอาจจะโกหกเพื่อหลอกเอาเงินเราก็ได้ ”   ข้าฟังแล้วรู้สึกจี๊ดขึ้นมาโมโหจนควันแทบออกหู หนอย! จะมากไปแล้วนะ หาว่าข้าโกหกจะมาหลอกเอาเงินพวกเจ้าเรอะ ข้าจะให้เงินพวกเจ้าเป็นการตอบแทนซะมากกว่า ถ้าข้าไม่ลืมหยิบกระเป๋าตังค์มาด้วยล่ะก็ ข้าจะโชว์ให้พวกเจ้าเห็นเลยว่าข้ามีเงินเยอะขนาดที่พวกเจ้าหาเงินทั้งชาติก็หาไม่ได้ ยัยผู้หญิงปากร้าย หน้าตาก็ไม่สวยยังมองโลกในแง่ร้ายอีกผิดกับป้าของเธอที่ทั้งอ่อนโยนและใจดี ผู้หญิงอะไรนิสัยแย่ชะมัด ป้าของเธอหันไปส่งสายตาตำหนิพลางบอกให้เธอขอโทษข้า หญิงสาวทำหน้าไม่พอใจสะบัดหน้าหนีเดินฮึดฮัดออกจากห้องและก่อนออกไปเธอหันควับส่งสายตาอาฆาตมาดร้ายมายังข้าทำเอาข้ารู้สึกเย็นวาบขนลุกอย่างบอกไม่ถูก เธอกระตุกยิ้มเย็นทีนึงก่อนจะปิดประตูเสียงดังสนั่นอย่างไม่สบอารมณ์ ป้าของเธอได้แต่ส่ายหน้ากับความเอาแต่ใจและการมองโลกในแง่ร้ายของหญิงสาว

                    “ ต้องขอโทษแทนหลานสาวด้วย เธอไม่ใช่คนนิสัยแย่แบบนั้นหรอก เพราะเหตุการณ์ในอดีตเลยทำให้เธอเป็นคนขี้ระแวงไปหน่อย ”   ไม่หน่อยล่ะมากถึงมากที่สุดเลยด้วยซ้ำข้าแอบเถียงอยู่ในใจ

                    “ ไม่เป็นไร ข้าไม่ถือสาหรอก ”   ใครว่าล่ะ ยัยผู้หญิงนิสัยเสียแบบนี้ต้องจับดัดนิสัยซะให้เข็ด ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าว่าข้าแบบนี้มาก่อน ถ้ายัยนั่นพูดแบบนี้กับข้าที่วังหลวงล่ะก็คงได้ถูกจับขังลืมแน่

                    “ ขอบใจจ้ะ ”   หญิงวัยกลางคนเอ่ยขอบคุณพลางยิ้มให้ข้าก่อนจะพูดต่อ

                     งั้นตกลงว่าเจ้าพักอยู่ที่นี่ไปสักพักก่อนพอหาเงินได้มากพอแล้วค่อยออกเดินทางต่อละกัน ”   

                    “ ก็คงงั้น ”   ข้าถอนหายใจให้ชีวิตในอนาคตอันใกล้ที่แสนจะรันทด

                    “ แต่ข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าพักฟรีหรอกนะ เจ้าต้องช่วยข้าทำงานเป็นการตอบแทน และถ้าเจ้าช่วยข้าทำงาน ข้าจะให้เงินค่าจ้างเป็นการตอบแทนเช่นกัน ”   ข้าเบิกตาโตมองหญิงวัยกลางคนอย่างคาดไม่ถึง จะให้เจ้าชายอย่างข้าทำงานเนี่ยนะตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยต้องทำอะไรสักอย่างมีพวกข้ารับใช้ทำให้หมด แล้วนี่เจ้าเป็นใครถึงกล้าสั่งให้ข้าทำงาน หญิงวัยกลางคนก็จ้องมองข้ารอคอยคำตอบ ข้าก็ได้แต่นั่งนิ่งเงียบไม่ตอบอะไรกลับไป

                    “ เจ้าคิดจะนั่งกินนอนกินในบ้านคนอื่นโดยที่ไม่คิดจะช่วยทำอะไรเลยงั้นหรอ อย่างงี้เห็นแก่ตัวชัดๆ ”   เสียงของยัยหลานสาวปากจัดดังขึ้นนอกประตูที่เปิดแง้มไว้ แล้วมันเปิดไว้แบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ออ! ยัยนั่นคงยืนฟังอยู่ข้างนอกตลอดเลยสินะ ยัยคนนิสัยเสีย

                    “ ก็ได้ ”   ข้าตอบตกลงทันที ข้าไม่ชอบให้ใครมาดูถูกและกล่าวหาว่าเห็นแก่ตัว ใครจะยอมให้มาหยามกันง่ายๆ ถ้าข้าคิดจะทำอะไรแล้วไม่มีคำว่าไม่สำเร็จ

                    จ๊อก จ๊อก จ๊อก

                    เสียงอะไรน่ะ โอยทำไมมันรู้สึกปวดท้องอย่างงี้ สายตาข้าเหลือบไปเห็นป้าเพรวิสกำลังยิ้มให้ข้าอย่างเอ็นดูพลางเอ่ยขึ้นอย่างห่วงใย

                    “ เจ้าคงไม่ได้กินอะไรมาเลยตั้งแต่เช้าสินะ ”   ข้าพยักหน้าน้อยๆ

                    “ นี่คงเป็นสาเหตุทำให้เจ้าเป็นลมหมดสติกลางป่า ”   ข้าได้แต่พยักหน้าหงึก

                    “ งั้นข้าจะไปทำอาหารมาให้ ตอนนี้เจ้าก็หลับพักผ่อนไปก่อน รอแป๊ปนึงนะ ”   ป้าเพรวิสยิ้มให้ข้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป

                    ข้าล้มตัวลงนอนพลางถอนหายใจอย่างเซ็งให้กับอนาคตอันมืดมนแสนลำเค็ญ ทำไมข้าต้องมาตกระกำลำบากอะไรขนาดนี้เนี่ย!

                   

    ...............................................................................................

                     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×