ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เธอ...คนสุดท้ายของหัวใจ

    ลำดับตอนที่ #1 : ลำดับตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.ค. 51


    ตอนที่ 1    
    เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นดึงความสนใจของหญิงสาวจากงานตรงหน้า  ทำให้หญิงสาวต้องละจากงานเพื่อมาดูโทรศัพท์ว่าใครเป็นคนโทรมา พอเห็นชื่อที่หน้าจอโทรศัพท์ก็รู้ว่าต้องมีเรื่องร้อนใจมาอีกแน่ 
     แพรพรรณคือชื่อที่หน้าจอเป็นที่สาวของหญิงสาวที่นามว่าแพรวาและสามารถทำให้เรื่องอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องเล็กพี่สาวของเธอก็สามารถทำให้เป็นเรื่องใหญ่ได้นี้คือคำนิยามของพี่สาวที่แสนดีและน่ารักของเธอ
    “ฮัลโหล....ว่าอย่างไรค่ะพี่พรรณ”   หญิงสาวรับโทรศัพท์หลังจากมองที่หน้าจอมือถือที่แล้วรู้ว่าเป็นใคร
    “แพรเธอต้องช่วยพี่นะ” เสียงร้อนรนของหญิงสาวดังมาพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้
    “ใจเย็น ๆ ค่ะที่พรรณจะให้น้องช่วยอะไรค่ะ” หญิงสาวถามกับไป
    “พ่อตากรนะซิ   แอบมารับตากรที่โรงเรียน”
    “ก็ไม่เห็นแปลกนี่ค่ะพ่อมารับลูกนะ”
    “เธอก็รู้แพรพี่ไม่อยากให้คุณใหญ่มายุ่งกับลูกพี่...เดี๋ยวก็ติดนิสัยแย่ ๆ จากเขามาใช้”
    “พี่พรรณค่ะอย่างไรเขาก็พ่อลูกกันนะค่ะ”
    “พี่ไม่สนใจ…แพรเธอไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ   พี่จะไปรับลูก” แพรแอบถอนหายใจ
    “แต่พี่พรรณค่ะ”
    “เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนี้ล่ะ ...มาขับรถให้พี่หน่อย”
    “ค่ะพี่พรรณเดี๋ยว แพรไปรับนะค่ะ”   แพรจบการสนทนาแล้วรีบเก็บกระเป๋าเพื่อไปรับพี่สาวเพราะรู้นิสัยพี่สาวพี่ไม่รับออกจากที่ทำงานมีหวังโทรมาตามทุก 5 นาทีเป็นแน่ 
    แพรวาหันกับมาก็ต้องประสานสายตา อยากรู้อยากเห็นของเพื่อนสาวที่เป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนของห้องเสื้อที่ทั้งสองลงขันทำกันมาตั้งแต่ช่วยกันออกแบบ ตัดเย็บและขายจนตอนนี้ถ้าเอ่ยชื่อ “P & T ดีไซน์”
    เป็นที่รู้จักของสังคมโฮโซพอสมควรอาจจะด้วยบารมีของแพรพรรณก็ได้เพราะแพรพรรณเป็นอดีตสะใภ้ใหญ่ของตระกูลกิจเจริญไพศาลที่เป็นที่รู้จักในแวดวงสังคมโฮโซแถมตระกูลกิจเจริญไพศาลยังขึ้นอันดับมหาเศรษฐีต้น ๆ ในเมืองไทยด้วย
    “ว่าไงจ๊ะ...แพรวาสุดสวยคราวนี้พี่พรรณมีเรื่องอะไรอีกล่ะ” ลูกตาลถามเพื่อนสาวหลังจากที่แพรวาวางโทรศัพท์
    “เรื่องน้องกร...แพรไปก่อนนะแล้วจะกับมาเล่าให้ฟังแล้วกัน” พูดเสร็จก็รีบคว้ากระเป๋าออกไปเพราะกลัวเสียเวลา 

     ระหว่างขับรถแพรนึกถึงครอบครัวของ พี่พรรณที่การแต่งงานต้องล้มไม่เป็นท่าของพี่สาวเพราะความเจ้าชู้ของพี่เขย   เธอไม่ค่อยจะรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวของพี่เขยมากนัก   รู้แต่ว่าครอบครัวของพี่เขยเป็นครอบครัวของนักธุรกิจที่ทำธุรกิจหลายอย่างมาก
      มีหุ้นส่วนในธุรกิจมากมายและรวยติดอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย    แพรพรรณและแพรวาเป็นพี่น้องที่อายุห่างกันพอสมควร   แพรพรรณอายุ 10 ขวบในขณะที่แพรวาเป็นเพิ่งเกิดด้วยอายุที่ห่างกัน  แพรพรรณจึงเหมือนเป็นแม่คนที่สองของแพรวาก็ว่าได้
    เพราะเมื่อแม่คลอดเธอออกมานั้นอายุมาแล้วร่างกายจึงไม่แข็งแรงพอแพรวาอายุได้ 2 ขวบแม่ก็เสียชีวิตแพรพรรณจึงรับหน้าที่ดูแลน้อง     หลังจากนั้นไม่นาน พ่อก็แต่งงานกับแม่หม้ายลูกติด   แพรพรรณและแพรวาจึงถูกละเลย 
     ทั้งสองคนจึงเรียนรู้ที่จะอยู่อย่างเงียบๆ มีหน้าทีทำอะไรก็ทำกันไป    แต่อยู่ในบ้านเดียวกันก็ต้องมีเรื่องให้ต้องทะเลาะกับลูกติดของแม่เลี้ยงอยู่ตลอดเวลา   แพรพรรณกับแพรวาเพิ่งจะมาแยกกันก็ตอนที่แพรพรรณต้องเข้ามาเรียนที่กรุงเทพ 
    แพรพรรณเรียนไปด้วยทำงานงานส่งตัวเองและน้องเรียนหนังสือ   แพรวาจึงรักพี่สาวตัวเองมากแต่ตอนที่แพรพรรณแต่งงานนั้น  แพรวายังเรียนไม่จบ   พี่สาวจึงเพียงแค่โทรมาบอกทางบ้านว่าจะแต่งงาน    ส่วนพ่อก็ทิฐิถือว่าลูกไม่เชิญแค่โทรมาบอกล่าวเฉย ๆ
    จึงมิได้ไปร่วมงานจึงทำให้เธอไม่ได้ไปร่วมงานด้วย   อีกทั้งเมียใหม่ของพ่อก็ชังยุแยงจึงทำให้รอยร้าวระหว่างพ่อลูกยิ่งขยายใหญ่ขึ้นนานวันเข้าจึงมิสามารถต่อกันได้ติด  เมื่อแพรวาเรียนจบโดยการส่งเสียของพี่สาว    แพรพรรณจึงไปรับมาอยู่ด้วยและซื้อบ้านเดี่ยวหลังเล็กๆ 
     ให้เธออยู่สัปดาห์หนึ่งจะมาสักสามวันกลัวน้องสาวจะเหงาแต่ก็ไม่เคยพาเธอไปที่บ้านของพี่เขย   ให้เหตุผลว่าไม่อยากให้เธอไปยุ่งกับครอบครัวของนั้น  เธอจึงไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวพี่เขยมากนัก   ชีวิตคู่ของพี่สาวเธอถือว่าสั้นมากไม่ถึง 2 ปีด้วยซ้ำไป
     ถึงตอนแพรพรรณเลิกกัน  แพรวาจึงรู้แค่ว่าพี่สาวกับพี่เขยมิสามารถไปด้วยกันได้     จึงตกลงหย่ากันแถมตอนที่เลิกแพรพรรณยังไม่ยอมบอกว่าตัวเองท้องเพราะกลัวว่าทางฝ่ายสามีจะไม่ยอมให้หย่า   เมื่อหย่าแล้วพอฝ่ายนั้นรู้เรื่องก็ปล่อยให้เลยตามเลยโดยไม่สนใจว่าลูกจะเป็นอย่างไร
       ตอนนี้เด็กชายสิทธิกรอายุ 4 ขวบแล้วทางฝ่ายปู่จะมาเยี่ยมบ้างเป็นบางครั้งไม่บ่อยนักแต่พ่อของน้องกรไม่เคยมาเลยพอกับมาโสดอีกครั้งก็ยิ่งทำตัวเพล์บอยมากขึ้นตามที่เธอได้ข่าวมา  แพรวากดแตรรถเพื่อเรียกพี่สาวไม่ถึง 5 นาที
     แพรพรรณก็เปิดประตูรั่วบ้านออกมาแล้วรีบขึ้นรถเพื่อจะไปโดยเร็ว
    “ทำไม่ช้านักละแพร” แพรพรรณต่อว่าทันที เมื่อเข้ามานั่งในรถเสร็จ
    “โธ่...พี่พรรณ ...แพรก็เร่งเต็มที่แล้วนะ” แพรวา โอดครวญทันทีเหมือนกัน
    “ขับเร็วหน่อยแล้วกัน” แพรพรรณนั่งหน้าตูมหันหน้าออกไปนอกรถ ยุติการสนทนาทันที
    รถขับเข้ามาในซอยของบ้านกิจเจริญไพศาล
    “ไม่เห็นมีบ้านคนเลยพี่พรรณ”
    “ตั้งแต่ปากซอยเข้ามาเป็นที่ดินของบ้านคุณใหญ่ทั้งนั้น...ตัวบ้านอยู่ข้างหน้านี่ล่ะ”
    “โอ้โฮ้...” ทั้งที่รู้มาบ้างแพรวายังอดตกใจไม่ได้กับความหรูหราและใหญ่โตของบ้านกิจเจริญไพศาล
     “รวยไปก็เท่านั้นละนะถ้าสันดานมันเลวเงินทองมันไม่ช่วยอะไรหรอกฉันจะบอกให้” แพรพรรณกล่าวด้วยเสียงที่ขมขื่น   แพรวาได้แต่หันมามองหน้าพี่สาวของตัวเองอย่างเห็นใจเพราะที่พี่พรรณต้องเลิกกับสามีก็เพราะความเจ้าชู้ไม่เลือกหน้าของสามี 
     แพรพรรณอาจจะรู้มาบ้างว่าสามีเจ้าชู้แต่ที่รับไม่ได้ก็คือจับได้ว่าสามีพาคนใช้มานอนในห้องนอนบนเตียงของตัวเองจึงทำให้ความอดทนสิ้นสุดลงจึงต้องหย่ากันในที่สุดแต่แพรพรรณก็ได้เงินมาก้อนใหญ่จากการหย่ากันครั้งนี้
     แถมทางบ้านกิจเจริญไพศาลยังส่งเสียเงินรายเดือนให้เป็นค่าใช้จ่ายหลานชายคนเดียวของตระกูลอีกด้วยเพราะฉะนั้นถึงแพรพรรณจะไม่ทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็สามารถอยู่ได้อย่างสบาย ๆ โดยไม่เดือดร้อน
    “พี่พรรณค่ะแพรว่าอย่างไรเขาก็พ่อลูกกันเราคงจะห้ามไม่ให้เขามาพบกันไม่ได้หรอกค่ะ”
    “พี่ไม่ได้ห้ามแต่น่าจะบอกกันบ้างซิว่าจะมารับไม่ใช่ทำแบบนี้...พี่ใจหายหมด”
    “นั้นไง...บ้านหลังสุดท้ายนั้นล่ะ”    แพรพรรณพูดไม่เกินจริงเลย   สำหรับบ้านของอดีตพี่เขยหลังใหญ่จนไม่น่าจะเรียกว่าบ้าน        ต้องเรียกว่าคฤหาสน์   ถึงจะเหมาะกว่า
    แพรวาบีบแตรรถก็มีคนมาเปิดประตูออกมามองพอเห็นหน้าแพรพรรณก็รีบเปิดประตูให้เข้ามาทันที
    “คุณใหญ่อยู่มั้ย” แพรพรรณถาม
    “อยู่ครับวันนี้อยู่กับครบเลย...เชิญคุณพรรณครับ”
    “ขอบใจ”    แพรพรรณกล่าว   แล้วหันมาสบสายตากับน้องสาว
    “มีอะไรยายแพรไม่ต้องกลัวน่า”                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                                             
    “ไปกันเถอะ”   แพรพรรณช่วยพร้อมกับเปิดประตูก้าวออกไปก่อน    แพรวาเดินตามพร้อมคิดในใจถ้าได้เล่นซ่อนหาสงสัยหากันตายเลยบ้านหลังนี้     เมื่อก้าวเข้ามาในห้องรับแขกสิ่งแรกที่แพรวาสัมผัสได้คือความเงียบสงบจนเกินไปของห้องรับแขก 
      ทั้งที่จริงแล้วมีบุคคลทั้งที่รู้จักและไม่รู้จักนั่งกันอยู่ในห้องรับแขกเต็มไปหมด 
    “คุณแม่…น้าแพร”   สิทธิกรเหลือบมาเห็นแม่และน้าสาวจึงตะโกนเรียกพร้อมทั้งวิ่งเข้ามาหา
    “สวัสดีค่ะคุณพ่อ”   แพรพรรณยกมือไหว้ประมุขของบ้านที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตรงกลางห้อง    แพรวายกมือไหว้โดยอัตโนมัติ
    “นั่งลงซิแม่พรรณ....ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”   แพรพรรณทรุดตัวลงนั่งพร้อมแพรวา
    “พรรณไม่ค่อยว่างนะค่ะ   ที่มานี้ก็จะมารับตากรกลับบ้านเห็นว่ามานานแล้ว”   แพรพรรณกล่าวตอบด้วยเสียงที่เย็น
    “ถ้าคุณพ่อคิดถึงหลานน่าจะโทรบอกพรรณนะค่ะ...พรรณจะพาหลานมากราบ   พรรณตกใจมากเลยที่ไปรับลูกที่โรงเรียนแล้วครูบอกว่ามีคนมารับกลับไปแล้วนี่พรรณก็ต่อว่าทางโรงเรียนนะค่ะที่ปล่อยเด็กมาง่ายๆ แบบนี้”
    “นี่ ๆ มันจะมากไปแล้วนะ   พรรณ ผมเป็นพ่อไปรับลูก ไม่ใช่คนอื่น”   สุรศักดิ์ หรืออดีตสามีของแพรพรรณขัดขึ้นมาก่อนที่แพรพรรณจะกล่าวจบ
    “ฉันไม่ได้พูดกับคุณน่ะ...คุณใหญ่”    แพรพรรณกล่าวตอบไปด้วยเสียงที่แข็งพอกัน
    “เอาล่ะพอทั้ง 2 คน…พ่อผิดเองที่ให้ตาใหญ่ไปรับหลานโดยไม่โทรบอกเธอ”   นายสุรชัยประมุขของบ้าน กิจเจริญไพศาลกล่าวห้ามก่อนที่จะเถียงกันไปใหญ่โตมากกว่านี้
     “แม่พรรณก็อย่าโมโหใช้แต่อารมณ์ให้มากนักเลยพ่อขอร้อง”
     “นั่นซิ...เรื่องแค่นี้ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”   เสียงมาจากผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างประมุขของบ้านเป็นคนพูดออกมา     แพรพรรณเปรยตามอง
    “ค่ะพรรณชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่แค่ไปรับลูกแล้วครูบอกว่ามีคนมารับไปแล้วแค่นั้นเองไม่ใช่เรื่องใหญ่เลยค่ะ”
    “พี่พรรณค่ะพอเถอะค่ะ”   แพรพรรณหันมามองน้องสาวแล้วจึงกล่าวแนะนำ
    “อ้อ...พรรณลืมแนะนำนี่ยายแพรน้องของพรรณค่ะ   แพรกราบคุณพ่อก่อนนะจ๊ะ” 
    “แล้วนี่คุณใหญ่,  คุณเล็ก , คุณนิด , คุณน้อย “  แพรวายกมือไหว้ตามลำดับที่พี่สาวแนะนำ
    “อ้อเนี่ยหรือจ๊ะน้องสาวเคยได้ยินแต่ซื่อเพิ่งเจอตัวจริงน่าตาน่ารักนะคุณพรรณ” คุณนิดกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะแหลมที่ฟังดูไม่ค่อยเข้าหูสักเท่าใดนัก
    “ค่ะเพราะอย่างนี่ล่ะค่ะพรรณเลยกลัวไม่ค่อยอยากจะพามาที่นี้ไงค่ะ...น้องสาวพรรณยิ่งอ่อนต่อโลกอยู่ด้วย”
    “พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรพรรณ”   สุรศักดิ์พูดขึ้นมาด้วยเสียงที่โมโห  
    “แล้วแต่จะคิดแล้วกันนะค่ะ” 
    “ยิ่งแก่ยิ่งพูดไม่รู้เรื่องนะเธอน่ะ”   เสียงคุณใหญ่อย่างไม่เกรงใจใคร
    “พอกันทีทั้งสองคน”    เสียงประมุขของบ้านดังขัดขึ้นมาก่อนที่เรื่องราวจะลุกลามไปใหญ่โต   แพรวารีบจับมือพี่สาวอย่างเตือนสติไว้ก่อน ที่เรื่องราวจะบานปลายมากไปกว่านี้   เธอมาบ้านนี่ครั้งแรกแล้วยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก  
     พลันหญิงสาวก็รู้สึกมีสายตาของใครคนหนึ่งกำลังมองเธออยู่หันหลังกลับไปมอง   จึงประสานกับสายตาคู่หนึ่งซึ่งมองมาที่เธอนี้ขนาดยังเห็นไม่ค่อยชัดเธอยังทำรู้สึกเอาเธอหนาว ๆ ร้อนๆ กับสายตาคู่นั้น   เสียงคุณสุรชัยเรียกสติของหญิงสาวกับมา                                                                           
     “มาแล้วหรือตารอง”   เสียงประมุขของบ้านกล่าวทัก
    “สวัสดีค่ะคุณรอง…แพรนี่คุณรอง”   แพรวายกมือไหว้โดยไม่กล้าประสานสายตาด้วยคนอะไรก็ไม่รู้ทำไม่ตาถึงดุอย่างนี้นะ   ทำเอาเราหายใจไม่ทั่วท้องเลย   ชายหนุ่มที่มาใหม่ยกมือขึ้นรับไหว้สายตาไม่ได้หันมองไปทางอื่นเลย
      นอกจากหน้ารูปไข่ตากลมโตปลายจมูกงอนงามรับกับปากรูปกระจับของหญิงสาวแล้ว   เขาบอกกับตัวเองได้เลยว่าทรงผมยาวสลวยเป็นมันเงางามรับกับรูปหน้าสวยมันชั่งดึงดูดสายตาเขานัก   สาว ๆ   ในวงสังคมต่างรู้กันดีว่าถ้าอยากให้เป็นที่สะดุดสายตาของนายสุรสีห์ 
     กิจเจริญไพศาลแล้วละก็ผมต้องดำยาวสลวยจะเรียกร้องความสนใจจากเขาได้ชะงักนัก
    “เอาล่ะไหน ๆ   ก็มากันพร้อมแล้ว    แม่พรรณหนูด้วยอยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนน่ะ”    โดยไม่ฟังคำตอบประมุขของบ้านหันไปพยักหน้ากับคุณน้อยแล้วเข็นเก้าอี้นำไปก่อน    โดยไม่สนใจใครในห้องอีกทุกคนในห้องเดินตามกันออกไป
    “ไปๆ ทานข้าวกันตารองทำงานมาเหนื่อย ๆ “   คุณนิดเดินตามไป   โดยไม่หันไปมองสองสาวที่อยู่ในห้องเลย
    “เชิญเลยครับ คุณพรรณ คุณแพร “   คุณเล็กเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในห้องจึงรับหน้าที่เชิญสองสาวตามเข้าไปในห้องอาหาร
    เมื่อเดินเข้าไปถึงทุกคนนั่งกันเรียบร้อยหมดแล้วคุณเล็กรับหน้าที่เลื่อนเก้าอี้ให้สาว ๆ  ทุกคนนั่งทานข้าวกันเงียบ ๆ ชวนให้น่าอึดอัดนักในความรู้สึกของแพรวา
    “น้องสาวทำการงานอะไรล่ะแม่พรรณ”   คุณสุรชัยเอ่ยปากถามทำลายความเงียบภายในห้องอาหาร
     “น้องสาวพรรณเป็นเจ้าของห้องเสื้อนะค่ะ”   แพรพรรณกล่าวยังไม่ทันจบก็มีเสียงหัวเราะแหลมขัดขึ้นมาก่อน                                                                                                                                                                                                                         
        “รับจ้างตัดเสื้อ”   สุชาดาพูดแทรกขึ้นมา     แพรวาเหลือบตาขึ้นมาจึงได้ทันได้เห็นรอยยิ้มที่มุมปากของของชายหนุ่ม   ถึงแม้จะแค่นิดเดียวแต่เธอก็สาบานได้ว่าได้เห็นชายหนุ่มยิ้มแน่นอน   สร้างความโมโหให้กับเธอเป็นอย่างมากถึงเธอจะเป็นแค่เจ้าของห้องเสื้อ
      แต่ก็ใช่ว่าใครจะมีสิทธิ์มาหัวเราะเยาะเธอกันนะ  เธอจึงตอบกลับไปว่า
    “ค่ะรับจ้างตัดเสื้อ   ถ้าคุณนิดอยากจะลองตัดเสื้อกับแพรก็เชิญน่ะค่ะร้านของแพรยินดีต้อนรับ”   หญิงสาวกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
    “คุณนิดคงจะหาไม่ยากหรอกค่ะก็ร้านของแพรเขาค่อนข้างจะมีชื่อเสียง ก็ร้าน “P & T ดีไซน์” น่ะค่ะคิดว่าคุณนิดคงเคยได้ยินชื่อมาบ้างน่ะค่ะ”   แพรพรรณกล่าวพร้อมเสียงหัวเราะ   แพรวารู้สึกได้ทันทีว่าตอนที่พี่สาวอยู่ที่นี้คงอยู่แบบต้องใช้ความพยายามอดทนอดกลั้น
    ต่อสิ่งรอบข้างอย่างมากมายเพียงใด    ฟังดูก็รู้ว่าสำหรับคุณนิดแล้วพี่สาวเธอไม่เป็นที่ต้อนรับของที่นี้เท่าใดนัก    ในที่สุดเวลาแห่งความอึดอัดของแพรวาก็จบลงเสียที่   เมื่อได้เวลากลับแพรพรรณจึงให้ลูกชายไปลาคุณปู่ 
    “กรกลับก่อนน่ะครับคุณปู่”   สิทธิกรกล่าวลาพร้อมยกมือไหว้ลาทุกคน
     “แล้วมาเยี่ยมปู่อีกน่ะตากร”   คุณสุรชัยคว้าหลานเข้ามากอดด้วยความคิดถึง
    “ต้องถามคุณแม่กับน้าแพรก่อนครับ”   สิทธิกรกล่าวยอย่างไร้เดียงสา
    “แล้วพรรณจะพามาน่ะค่ะคุณพ่อ…กราบคุณปู่ก่อนน้องกร”   แพรพรรณหันไปพูดกับลูกชาย
    “พรรณกลับน่ะค่ะคุณพ่อ...สวัสดีค่ะ”    พรรณยกมือไหว้พร้อมแพรวาแล้วหันหลังกลับ
    ถึงแม้แพรวาจะไม่ได้หันไปมองก็รู้สึกได้ว่าทุกคนยังคงมองมาที่พวกเธอทั้ง 3 คนตอนเดินมาที่รถ
    “ตารอง...ตามพ่อเข้ามาที่ห้องทำงานด้วยนะ”   คุณสุรชัยกล่าวเมื่อเห็นท้ายรถของอดีตลูกสะใภ้พ้นบริเวณบ้านไปแล้ว
    “ครับ...คุณพ่อ”   ชายหนุ่มเดินตามหลังประมุขของบ้านกิจเจริญไพศาลเข้าไป
     “เป็นอย่างไรบ้าง” หลังจากปิดประตูลงเรียบร้อยแล้วคุณสุรชัยหันมาถามลูกชายคนรองของตระกูล
    “งานวันนี้ไม่มีปัญหาครับ…”
    “พ่อไม่ได้ถามถึงงาน...พ่อถามถึงยายหนูแพรวา”   คุณสุรชัยขัดขึ้นมาก่อนที่ลูกชายจะกล่าวจบ
    “ว่าไงน่ะครับ”   ชายหนุ่มหันถามกลับด้วยความแปลกใจ
    “ก็พ่อเห็นแกมองยายหนูนั้น...อย่ามาปฏิเสธ   พ่อเห็นสายตาแกอย่านึกว่าคนแก่รู้ไม่ทันไอ้เสือ”   เมื่อคุณสุรชัยกล่าวจบเรียกรอยยิ้มบนหน้าของชายหนุ่มทันที
    “โธ่....คุณพ่อครับไม่มีอะไร”    ลูกชายโอดครวญ   น้อยคนนักที่จะได้ยินน้ำเสียงอย่างนี้ของลูกชายคนรองของบ้านกิจเจริญไพศาล
    “ฉันคงเชื่อถ้าฉันไม่ใช่พ่อแก”   ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนดักคอ
    “เอาเป็นว่าผมรู้สึกสะดุดตากับเขาก็เท่านั้น”
    “อย่าริไปรังแกเด็กเขาละ”   กล่าวจบก็ตามด้วยเสียงหัวเราะอย่างคนรู้เท่าทันกัน
    “โธ่...คุณพ่อ”    ผู้สูงวัยกว่าหัวเราะในลำคออย่างรู้ทัน
     “เอาเป็นว่าถ้ามีอะไรแล้วผมจะบอกคุณพ่อน่ะครับ”....                                                                                                                                                                                               “แล้วเรื่องที่พ่อให้ไปสืบเป็นอย่างไรบ้าง”   ผู้สูงวัยเปลี่ยนเรื่องคุยทันทีหลังจากลูกชายที่รู้ว่าคงไม่ได้ความจริงจากผูกชายเป็นแน่    คุณรองของตระกูลกิจเจริญไพศาลถอนใจด้วยความนักใจ
    “ผมกำลังสืบอยู่ครับ”  
     “ดีพ่ออยากรู้โดยเร็วที่สุด...เอาล่ะแกไปพักผ่อนเถอะ”   เมื่อลูกชายเดินออกจากห้องไปนายสุรชัยได้แต่ถอนใจอย่างหนักใจมาก   ตั้งแต่ภรรยาเสียนายสุรชัยก็เก็บตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยออกไปงานเลี้ยงเหมือนแต่ก่อนแถมยังปล่อยงานที่บริษัทให้ลูกๆ  ดูแล
      อาจจะเป็นความผิดของเขาเองก็ได้เมื่อนึกย้อนไปเขาคงไม่ยอมให้ลูกชายกับผู้หญิงที่เขารักมากที่สุดต้องมารับภาระของตระกูลแบบนี้   น้อยคนนักที่จะรู้ว่านายสุรสีห์เป็นลูกคนละแม่กับพี่น้องคนอื่นเพราะด้วยอายุที่ไล่กันมา    แม่ของสุรสีห์เป็นเลขานุการของเขาตอนที่เขายัง
    ดำรงตำแหน่งเป็นประธานอยู่แม่ของสุรสีห์เป็นผู้หญิงที่เรียบร้อยไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเขาระหว่างที่อยู่ด้วยกันความมาแตกก็ตอนเธอที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเสียชีวิตไปเขาจึงรับสุรสีห์มาเลี้ยงที่บ้าน    ตอนนั้นสุรสีห์อายุได้ 5 ขวบแล้ว    ดีแต่ว่าภรรยาของเขาไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น
    ให้ความเอ็นดูสุรสีห์ดีเหมือนลูกคนหนึ่งจึงให้ทุกคนในบ้านเรียกสุรสีห์ว่าคุณรอง     เขาจึงแพ้น้ำใจของภรรยาเพราะตั้งแต่คลอดลูกคนที่ 4 ภรรยาก็เจ็บป่วยมาเรื่อยด้วยโรคหัวใจ และเสียชีวิตในที่สุด        เขาเหมือนคนมีกรรมที่มีเงินตั้งมากมายแต่ไม่สามารถซื้อชีวิตของภรรยาคนใด
    ได้เลย หลังจากนั้นเขาก็ไม่คิดที่จะแต่งงานใหม่   ในชีวิตเขาถือว่าพอแล้วที่มีภรรยาที่ดีที่สุด  2 คนนี้    จะมีก็แต่ลูก ๆ เท่านั้นเพราะสุรศักดิ์หรือใหญ่และสุชาดาหรือนิดดูไม่ค่อยจะยอมรับสุรสีห์เท่าไดนัก   แต่ก็จนปัญญาเพราะตัวเองเรื่องบริหารงานนั้นสู้น้องไม่ได้เพราะลูกชายคนโตแม้
    อายุ 36  ปีแต่ก็ยังไม่มีความรับผิดชอบ    ส่วนสุทธิชัยหรือเล็กแล้วก็ตามแต่ก็ยังเอาแต่เที่ยวสนุกสนานไปวัน ๆ  ลูกสาว 2 คน  ของบ้าน  ยายนิดถึงจะแต่งงานไปแล้วก็ยังคงอาศัยอยู่ในบ้านและเอาสามีเข้ามาทำงานที่บริษัทด้วย   นายกิจจาลูกเขยนั่นฐานะทางบ้านแค่พอมีพอกิน 
     พอมาแต่งงานกับคุณนิดจึงเหมือนหนูตกถังข้าวสาร   นายสุรชัยไม่เคยห้ามปรามลูกว่าจะรักใครชอบใครถือว่าคนเราจะดีไม่ดีไม่ได้อยู่ที่บ้านร่ำรวยหรือเปล่า    เพราะถือว่าตนก็ไม่ได้รวยมาแต่กำเนิดก่อร่างสร้างตัวมาด้วยธุรกิจเล็ก ๆ มาก่อนที่จะร่ำรวยขนาดนี้  
      ลูกสาวสุทธิดาคนเล็กนั้นเป็นคนขี้โรคร่างกายไม่แข็งแรงมากนักจึงไม่ได้ออกไปทำงานที่บริษัทจึงทำหน้าที่ดูแลบ้านและพ่อซึ่งแก่แล้ว  การที่นายสุรชัยโอนงานทุก อย่างมาให้สุรสีห์เป็นผู้รับผิดชอบและตัดสินใจนั้นสร้างความไม่พอใจให้กับลูก ๆ คนอื่นพอสมควร แต่ก็ไม่กล้าที่จะโวยวายอะไร
    มากนักเพราะนายสุรชัยเป็นคนตัดสินใจ   นายสุรชัยถอนหายใจไม่รู้ว่าเขาจะได้อยู่ดูโลกอีกนานแค่ไหน

    หลังจากออกจากห้องของนายสุรชัยแล้วจึงเดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง    ห้องนอนของเขาแยกอยู่อีกฟากหนึ่งของบ้านไม่ปะปนกับพี่น้องคนอื่นเพราะเขาต้องการความสงบเมื่อเวลากลับมาถึงบ้านบางครั้งเขาต้องเอางานกลับมาทำจึงแยกส่วนออกมาเพื่อไม่ให้ใครรบกวน
     โดยส่วนตัวเขาก็กลับบ้านไม่บ่อยนักบางทีเขาก็นอนที่คอนโดที่ใกล้ที่ทำงานเพื่อสะดวกกับการทำงานเพราะบางครั้งเข้าต้องไปงานเลี้ยงจึงไม่อยากรบกวนคนใช้ที่ต้องมาคอยเปิดประตูรับซึ่งไม่ค่อยเป็นเวลาจึงนอนพักที่คอนโดจะได้สะดวก
     พอเข้ามาในห้องก็พบนายวิทที่ยืนผสมเครื่องดื่มมาให้อย่างรู้ใจเจ้านาย   เขาชอบดื่มก่อนนอนเพราะอยากจะหลับให้สนิทหลังจากที่ต้องเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เขาออกมานั่งเล่นที่นอกชาน   วิทนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟให้  สุรสีห์รับมาดื่ม
    “ขอบใจมากวิท…”   
    “จะรับอะไรเพิ่มอีกไหมครับเจ้านาย”    ถึงแม้สุรสีห์จะให้ความเป็นกันเองกับเขา    แต่วิทไม่เคยทำตัวเสมอนายเลย
    “ไม่แล้ว...นายจะไปพักผ่อนก็ได้นะ”     สุรสีห์เอ่ยปากอนุญาตให้ไปพัก  
    “ครับ”
    “อ้อวิทเดี๋ยว”    แต่ก่อนที่วิทจะเดินออกมา   สุรสีห์เรียกไว้
    “ครับเจ้านายมีอะไรจะใช้ผม”    วิทหันมาถาม
    “ช่วยสืบประวัติของน้องคุณพรรณให้หน่อยนะ”
    “คุณแพรวาหรือครับ”    วิทถามเพื่อความมั่นใจ
    “ใช่...ฉันต้องการรู้โดยเร็วที่สุดนะ”
    “ครับผม”
    “ขอบใจ...นายไปพักเถอะ”    หลังจากวิทออกไปแล้ว    เขามานั่งขำกับการกระทำของตัวเองนี่เขาเป็นอะไรไป   อายุก็เลยวัยรุ่นใจร้อนมาตั้งหลายปีแล้วยังจะมาทำอะไรเป็นเด็ก ๆ  แบบนี้อีก  ต้องโทษผู้หญิงคนนั้นถึงจะถูกตั้งแต่เขาก้าวเข้ามาในบ้านแล้ว
    ได้สบตากันแวบแรกเขาก็รู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจที่เต้นผิดปรกติไป     อาจจะเป็นลักษณะที่เห็นแวบแรกทำให้เขานึกถึงแม่ของเขาในความทรงจำที่เขาไม่เคยลืม     แม่เป็นผู้หญิงที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจเมื่อตอนเล็ก ๆ  เมื่อเขาโดนเพื่อนแกล้งร้องไห้วิ่งมาหาแม่    แม่เพียงแค่เป่าเบา ๆ   
     บริเวณแผลแล้วยิ้มให้เขาก็จะรู้สึกหายเจ็บแล้ว   แพรวาทำให้คิดแม่เขาไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเขา   อาการแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลยไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นผู้หญิงสวย   จะว่าเขาไม่ได้ยุ่งกับผู้หญิงนานแล้วก็ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยขาดแคลนผู้หญิงมาก่อนเลย 
     ไม่ว่าจะเป็นรูปสมบัติหรือทรัพย์สมบัติของเขาล้วนแต่เป็นดึงดูดให้พวกผู้หญิงวิ่งมาเสนอตัวให้เขากันทั้งนั้น จะว่าแพรวาไม่ใช่ผู้หญิงสวยเพราะสวยกว่านี้เขาก็เคยเจอมาแล้ว   อะไรทำให้เขาติดใจในตัวผู้หญิงคนนี้นักหนา   มาลองดูกันซิว่าระหว่างเรามันคืออะไรกันแน่แพรวา

    หลังจากกลับจากบ้านกิจเจริญไพศาลแล้ว    แพรวามิอาจข่มตาให้หลับลงได้ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมสายตาของเขาคนนั้น  เหตุการณ์อย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับหญิงสาวมาก่อน    หลับตาลงคราใดก็มองเห็นแต่ดวงตาคู่นั้น ดวงตาที่ดำสนิทเหมือนทะเลยามค่ำคืน
     ไม่อาจคาดเดาได้เลยจะเกิดอะไรขึ้นภายใต้ความมืดมิดนั้น  ระหว่างที่ทานมื้อค่ำถึงแม้เธอจะไม่ได้ยินคำพูดสักประโยคจากริมฝีปากคู่นั้นแต่เขาก็ทำเธอรู้ว่าไม่ใช่เขาไม่คิด  ทุกบทสนทนาบนโต๊ะอาหารนั้นมิได้รอดพ้นจากโสตประสาทของเขา 
      เขาได้ยินทุกคำพูดแต่เขาก็ไม่ได้ออกความคิดเห็นทุกอย่างดูเป็นปริศนาสำหรับเธอเหลือเกิน   นี่หรือคือผู้ชายที่กุมอำนาจทุกอย่างของตระกูลกิจเจริญไพศาลอย่างแท้จริงเพราะเท่าที่ฟังพี่พรรณพูดนั้นว่าคุณใหญ่นั้นไม่ได้เป็นทายาทที่สืบทอดกิจการของตระกูลกิจเจริญไพศาลเพราะความใจร้อน
    เหลาะแหละไม่เป็นโล้เป็นพาย  เจ้าชู้จนทำให้เสียงานหลายครั้ง  ส่วนคุณเล็กก็เจ้าสำราญ  เอาแต่กินกับเที่ยวไม่สนใจงาน   ส่วนคุณนิดก็แต่งงานแล้วให้สามีมาทำงานกับครอบครัวสามีคุณนิดชื่อกิจจา  ฟังเสียงพี่พรรณเห็นว่าไม่ค่อยได้ความสักเท่าไร ทุกอย่างต้องให้เมียตัดสินใจ
    คุณน้อยเป็นแม่บ้านดูแลทุกอย่างในบ้านและดูแลคุณสุรชัยจึงทำให้ภาระทุกอย่างตกอยู่ที่สุรสีห์บุตรชายคนรองเป็นผู้ดูแลและตัดสินใจทุกอย่างในบ้าน   เพราะอย่างนี้หรือเปล่านะจึงทำให้คุณสุรสีห์เป็นคนเงียบขรึมและวางตัวเป็นผู้ใหญ่จนทำให้ใครในบ้านเกรงใจทุกคน
     หญิงสาวนอนคิดไปเรื่อยเปื่อยจนเข้าสู่ห้วงนิทราและหลับไปในที่สุด

    ตอนที่  2
    เช้าวันอาทิตย์อาจเป็นวันหยุดของคนทั่วไป    แต่มิใช่สำหรับแพรวาเพราะหลานชายตัวดีไม่ยอมอยู่บ้านเด็ดขาดถ้าวันไหนที่เธออยู่บ้านหลานชายตัวดีเป็นต้องเรียกร้องให้พาไปเที่ยวที่นั้นที่นี้   เช้าวันนี้ก็เหมือนกันในขณะที่แพรวายังนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงก็ต้องตกใจ
    ตื่นเพราะเสียงร้องเรียกของหลานชายพร้อมทั้งเคาะประตูอยู่หน้าห้อง 
    “น้าแพรครับ...น้าแพร”
    “ครับน้องกร”   แพรวาขานรับทั้งที่ตายังปิดอยู่   
    “เปิดประตูให้น้องกรหน่อยครับ”
    “ครับรอเดี๋ยวครับ”    แพรวาเดินไปเปิดประตูแล้วกลับมาล้มตัวลงนอนที่เตียงต่อ
    “น้าแพรตื่นเถอะครับวันนี้วันอาทิตย์นะครับ”
    “ก็วันอาทิตย์ซิครับ...น้าแพรถึงยังไม่อยากตื่น”    แพรวากล่าวเสียงงัวเงีย
    “ตื่นเถอะครับ...น้าแพรพาน้องกรไปเที่ยวนะครับ...นะครับน้าแพร”    สิทธิกรก้มลงจูบไปทั่วไปหน้าของน้าสาวอย่างเอาใจ
    “ครับ”     แพรวาหัวเราะ
    “ครับก็ตื่นซิครับน้าแพร...ตื่นๆๆๆ”
    “ครับน้องกรไปอาบน้ำแล้วทานข้าวให้เรียบร้อยก่อนน้าแพรถึงจะพาไป”
    “ครับผม”    สิ้นเสียงน้องกรก็รีบวิ่งออกจากห้องเพื่อไปอาบน้ำ    แพรวาลุกจากที่นอนมาทั้งที่ยังไม่อยากจะตื่นเลย   แต่ก็อดที่จะตามใจหลานชายไม่ได้   จึงรีบลุกขึ้นไปเพราะถ้ายังไม่ลุกละก็หลานชายต้องมาปลุกอีกแน่
    “จะไปไหนกันจ๊ะน้าหลาน”
    “พาน้องกรไปดูหนังค่ะพี่พรรณ…ไปด้วยกันมั้ยค่ะ”    แพรวาเอ่ยชวนพี่สาว
    “ไม่ไปหรอกจ๊ะไปกันเถอะ”
    “งั้นแพรไปนะคะ”   แพรพรรณพยักหน้ารับรู้    แพรวามองหลานชายอย่างขำ ๆ ที่เด็กชายไม่ยอมหยุดพูดตั้งแต่ขึ้นรถมาแล้ว   มองดูสองข้างทางซักนั้นซักนี้ตลอดเวลาทำให้เธอไม่ได้สังเกตเลยว่ามีรถคันหนึ่งขับตามมาข้างหลัง

    “วิทรอพี่รองอยู่หรือจ๊ะ”   สุทธิดาถามเมื่อเห็นวิทนั่งอยู่คนเดียวที่สวนหน้าบ้าน
    “ครับคุณน้อย”    วิทตอบอย่างนอบน้อม   และทำท่าเหมือนอึดอัดที่จะคุยกับเธอ
    “จะไปไหนกันจ๊ะ...เดี๋ยวนี้เราไม่ค่อยได้เจอกันเลยนะ”
    “เจ้านายจะไปตีกอล์ฟครับ...คุณน้อยมีอะไรให้ผมรับใช้หรือเปล่า”    วิทถามพร้อมหลบสายตาของหญิงสาวที่มองมาอย่างตัดพ้อ
    “ทำไมน้อยต้องมีเรื่องให้รับใช้หรือวิทถึงจะคุยกับน้อยได้”   หญิงสาวพูดอย่างน้อยใจ
    “มิใช่ครับคุณน้อยอย่าเพิ่งเข้าใจผิด”
    “แล้วจะให้น้อยเข้าใจว่าอย่างไรจะให้เข้าใจว่าวิทหลบหน้าน้อยหรือว่ารังเกียจน้อยเสียจนไม่อยากคุยด้วย”    สุทธิดากล่าวอย่างน้อยใจ
    “โธ่คุณน้อยครับมันไม่ใช่อย่างงั้นนะครับ”
    “งั้นวิทบอกมาซิว่าจะให้น้อยเข้าใจว่าอย่างไร”
    “ผม...”   วิทก้มหน้าลงอย่างอึดอัดไม่รู้จะบอกกับหญิงสาวอย่างไรดี
     “คุยอะไรกันสองคน”    ก่อนที่จะคุยกันรู้เรื่อง   สุรสีห์เดินลงมาเสียก่อน
    “เปล่าค่ะ...พี่รองจะออกไปข้างนอกหรือค่ะ”    สุทธิดาพยายามบังคับเสียงมิให้สั่นทั้งที่มันยากเต็มที
    “จ๊ะ...น้อยมีอะไรหรือเปล่า”
    “เปล่าค่ะ...พี่รองจะกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้านหรือเปล่าค่ะ”
    “ทำไมจะมีอาหารอะไรพิเศษทำให้พี่ทานหรือจ๊ะ”    สุรสีห์ถามน้องสาวอย่างอารมณ์ดีแสร้งทำเป็นไม่เห็นอาการของน้องสาวกับคนสนิท
    “พี่รองอยากทานอะไรล่ะค่ะ...น้อยจะได้ทำให้ทาน”
    “ว่าไงวิทอยากกินอะไรจะได้ให้น้อยทำให้กิน”    วิทก้มหน้าไม่ตอบคำถาม   สุรสีห์ยิ้มกับท่าทางของทั้งสองคน
    “น้อยทำอะไรก็ได้จ๊ะ   พี่กับวิทกินได้หมดแล้วเจอกันตอนเย็น...พี่ไปก่อนนะ”   สุรสีห์กล่าวจบเอื้อมมือไปลูบศีรษะน้องสาวอย่างเอ็นดูและเดินจากไป    สุทธิดามองตามหลังสองหนุ่มที่เดินจากไปเธอจะทำอย่างไรดี   จะมีสักวันหนึ่งไหมที่เธอกล้าพอที่จะทำตามหัวใจตัวเอง 
     เธอควรทำอย่างไรดี

    “วิทเรื่องบางเรื่องเราฝืนมันไม่ได้หรอกนะ”    สุรสีห์ทำลายความเงียบภายในรถหลังจากขับออกจากบ้านมา
    “เจ้านายพูดเรื่องอะไรครับผมไม่เข้าใจ”    วิทถามพร้อมเหลือบตามองกระจกหลัง
    “ฉันไม่ได้รังเกียจนาย...นายก็อย่าคิดอะไรให้มากนักเลย”
    “ผม...”    สุรสีห์โบกมือให้วิทหยุดพูด
    “แทนที่นายจะหนีหัวใจตัวเองทำไมนายไม่พยายามทำอะไรสักอย่างหนึ่ง”
    “เออ....ผม”   วิทถึงกับพูดไม่ออกหลบตาเจ้านายที่มองสบมา
    “เราคบกันมานานทำไมฉันจะไม่รู้ว่านายรู้สึกอย่างไงกับน้องฉัน…ฉันสงสารน้อย”   
    “ผมมันไม่คู่ควรหรอกครับ”  
    “นายก็เป็นเสียอย่างนี้คิดเองเออเอง…ไม่คิดจะถามสักคำหรือไงว่าคนอื่นเขาคิดอย่างไร”    สุรสีห์ตั้งคำถามกับคนสนิท
    “ผมไม่อยากดึงคุณน้อยลงมา...”    วิทบอกความในใจของตัวเอง
    “ฉันว่านายลองคุยกันเองดีกว่า...แต่ฉันอยากให้นายรู้เอาไว้ฉันเคารพการตัดสินใจทั้งของนายและน้อยไม่ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไรเข้าใจมั้ย”  
    “ครับผม...ขอบคุณเจ้านายครับ”    สุรสีห์พยักหน้ารับพรางมองออกไปนอกหน้าต่างจึงไปสะดุดตากับหญิงสาวที่นั่งอยู่รถขันข้างๆ
    “วิทขับรถตามรถคุณแพรไปซิ”    วิทคิดในใจนึกว่าเขาจะเห็นคนเดียว
    “เจ้านายไม่ไปตีกอล์ฟแล้วหรือครับ”   วิทถามอย่างแปลกใจเมื่อได้รับคำสั่งให้ตามรถคันข้างหน้าไป   ถึงแม้จะรู้ว่าเจ้านายสนใจเจ้าของรถคันข้างหน้าเป็นพิเศษก็ตาม   แต่เขาไม่เคยเห็นเจ้านายทำอะไรออกนอกลู่นอกทางอย่างนี้มาก่อน
    “ฮือ...ไม่ไปแล้ว”
    “แล้วจะ....”    วิทยังถามไม่ทันจบ    สุรสีห์ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน
    “ขับตามไปเรื่อย ๆ แล้วกันไม่ต้องถาม”    สุรสีห์กล่าวก่อนที่วิทจะพูดจบประโยคเพื่อนเป็นการตัดความ    เพราะมิฉะนั้นวิทต้องรู้แน่ว่าเขาคิดอะไรอยู่   รถคันข้างหน้าเลียวเข้าไปยังห้างดังแห่งหนึ่ง   วิทเข้าไปจอดรถอยู่ใกล้ ๆ กับคันที่หญิงสาวจอดอยู่  
    เขาทั้งคู่ต่างยิ้มไปกับภาพตรงหน้าที่เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังเดินจูงมือเด็กชายที่ตัวกลมน่ารัก  
    “ไป...วิทตามไปกันดีกว่า”
    “ครับเจ้านาย”    ชายหนุ่มเดินตามหญิงสาวไปโดยที่เธอไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังโดนตามอยู่  
    แพรวาตกใจมากเมื่อรู้สึกว่ามีคนมาเดินชิดอยู่ข้างหลัง   จึงหันกลับไปมอง
    “คุณรอง”    ชายหนุ่มยืนยิ้มกับหญิงสาวที่หันหน้ามามองพวกเขาด้วยความตกใจ
    “สวัสดีแพรวา”     แพรวารีบยกมือขึ้นไหว้ชายหนุ่มหลังจากหายตกใจ
     “สวัสดีค่ะ...กรสวัสดีอารองก่อนครับ”     แพรวาหันมาบอกหลานชาย
    “สวัสดีครับอารอง”
    “สวัสดีครับคนเก่ง...มาซื้ออะไรกันหรือแพรวา”   แพรวายังไม่ทันได้ตอบหลานชายตัวดีรีบตอบเสียก่อน
    “มาดูหนังครับไม่ได้มาซื้อของ”    กรรีบบอกเพราะกลัวว่าจะอดดูหนัง จนผู้ใหญ่ทั้งสามคนอดที่จะยิ้มไม่ได้
    “แล้วกรอยากดูเรื่องอะไรครับ...บอกอารองหน่อยซิ”    สุรสีห์ถามหลานชายอย่างอ่อนโยน
    “กรอยากดูเรื่อง....นี้ครับ”    เรื่องที่กรอยากดูเป็นหนังการ์ตูนของเด็กเรื่องหนึ่งที่ตอนนี้กำลังฮิตมาก
    “อารองดูด้วยคนได้มั้ยครับ”  
    “ต้องถามน้าแพรครับ…น้าแพรครับอารองดูได้หรือเปล่าครับ”  
    “คุณรองจะดูหนังกับพวกเราหรือค่ะ”   ชายหนุ่มพยักหน้าแทนคำตอบให้เธอ
    “ทำไมผมดูไม่ได้หรือไง”     สุรสีห์ย้อนถามเมื่อเห็นสีหน้าอึดอัดของหญิงสาวตรงหน้า
    “เปล่าค่ะ...แพรไม่นึกว่า...”   แพรว่าไม่รู้จะพูดอย่างไรดี   ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเอาเองตามประสาคนเอาแต่ใจ
    “วิทนายไปซื้อตั๋วนะ   4  ใบ”  
    “4  ใบหรือครับ”    วิทถามอย่างงง ๆ   อย่าบอกนะว่าเขาต้องดูด้วย
    “ใช่...ก็นายด้วยไง”    สุรสีห์ตอบข้อสงสัยเมื่อเห็นวิทมองหน้า
    “ผมหรือครับ”   วิทชี้ไปที่ตัวเอง
    “ใช่...ทำไมมีปัญหาอะไรหรือเปล่า”
    “เปล่าครับ...ดูก็ดู”    วิทเดินจากไปพร้อมเกาศีรษะด้วยความงงผู้ชายอายุ   36   อย่างเขาสองคนเนี่ยนะเข้าโรงหนังดูการ์ตูน    แค่นึกวิทก็ขำแล้ว   ระหว่างที่นั่งดีหนังกันนั้นถ้าถามแพรวาว่าดูหนังรู้เรื่องหรือเปล่า
     เธอบอกได้เลยว่าไม่รู้เรื่องเลยเพราะเธอรู้สึกได้ตลอดเวลาว่าสายตาของชายหนุ่มไม่ได้อยู่ที่จอภาพยนต์เลย   มันวนเวียนอยู่ที่เธอตลอดเวลา   คนที่มีความสุขกับการดูหนังที่สุดคงจะเป็นหลานชายตัวดีของเธอกับคุณวิทที่หนังฉายได้ไม่นานก็หลับเสียแล้วเวลาผ่านเลยไปจนหนังจบ
    “น้าแพรครับกินไอติมกันนะครับ”   สิทธิกรร้องขออีก
    “ไม่เอาครับกรกลับบ้านเถอะนะ”     แพรวาไม่อยากตามใจหลานมาก
    “แต่กรอยากกินนี้”    เด็กชายยังโอดครวญ   พร้อมทั้งเขย่าแขนเธออย่างออดอ้อนเมื่อแพรวามองเฉย ๆ   จึงหันไปมองอาหนุ่มแทน
    “งั้นไปกินกับอารองนะครับ”   
    “ไปครับไป...กรจะไปกับอารอง”    สิทธิกรยิ้มอย่างชอบใจที่หาคนตามใจได้แล้ว
    “แพรจะไปกับเราหรือเปล่าครับ”    สุรสีห์หันมาถามยิ้ม ๆ  
    “คุณรองค่ะดิฉันว่า...”    แพรวาพยายามคัดค้านแต่สองหนุ่มต่างวัยไม่สนใจเดินนำไปก่อนแล้ว
    “ไปกันเถอะครับ”    หลังจากนั้นคนที่มีความสุขที่สุดคงจะเป็นด.ช.กร   เพราะได้ทุกอย่างที่อยากได้
    “คุณรองไม่น่าจะตามใจหลานมากเลยนะค่ะ...ดิฉันกลัวว่าหลานจะได้ใจ”
    “ผมไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับหลานมากนัก...อะไรที่ผมให้ได้ผมก็ให้แล้วนี้แค่กินไอศกรีมเองไม่เป็นไรหรอกน่า”
     ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับเดินนำหน้าวิทออกไป   แพรวาอดที่จะส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับพวกเขาไม่ได้
    “แพรกลับก่อนนะค่ะ...กรขอบคุณอารองก่อนค่ะ”
    “ขอบคุณมากครับอากร”
    “แล้วพบกันใหม่นะครับ”   แพรวายิ้มรับคำแล้วจึงพาหลานชายขึ้นรถแยกจากมา   ชายหนุ่มยืนมองจนรถของหญิงสาวลับสายตา
    “ไปไหนกันต่อดีครับเจ้านาย”   วิทถามเพราะไม่เห็นจ้านายไม่มีที่ท่าว่าจะกลับเลย
    “ไป...บ้าน”    วิทพยักหน้ารับพร้อมเดินตรงไปที่รถไม่ค่อยบ่อยหนักหรอกที่เจ้านายเขาทำอะไรไม่มีเหตุผลแบบนี้

    เมื่อรถจอดเรียบร้อยแล้วทั้งสองหนุ่มจึงเห็นสุทธิดาเดินออกมารับ
     “พี่รองไปตีกอล์ฟทำไมกลับเร็วจังค่ะ...”   น้อยถามหลังจากเป็นสองหนุ่มกลับบ้านเร็วกว่าปรกติ
    “ไปไม่ถึงสนามกอล์ฟหรอกน้อย”    สุรสีห์ตอบน้องสาวอย่างอารมณ์ดี
    “อ้าว...แล้วไปไหนกันมาค่ะ”    สุทธิดาถามอย่างแปลกใจ
    “ไปดูหนังกันมานะน้อย”    
    “ค่ะ...ไปดูหนังหรือค่ะ”    สุทธิดาอุทานอย่างขำ ๆ
    “ทำไมล่ะพี่กับวิทไปดูหนังกันไม่ได้หรือไง”    สุรสีห์ถามอดที่จะขำกับอาการของน้องสาวไม่ไหว
    “ดูได้ค่ะไม่ใช่ดูไม่ได้…แต่น้อยแปลกใจน่ะค่ะพี่รองมีเวลาไปดูหนังกับเขาด้วยหรือค่ะ”
    “อ้าวทำไมล่ะ”
    “ก็เห็นพี่รองงานยุ่งจะตายไป...ลำพังจะเจอหน้ากันยังยากเลยค่ะ”  
    “จริงซินะ...วิทล่าสุดที่เราไปดูหนังกันเมื่อไร”   สุรสีห์หันมถามคนสนิท
    “จำไม่ได้แล้วครับเจ้านาย”
    “แล้วนี้ไปทำไมไม่เห็นชวนน้อยเลยล่ะค่ะ”    สุทธิดาต่อว่าไม่จริงจังนัก
    “อ้าวไม่รู้ว่าเราอยากดูหนังด้วย”
    “ถ้าพี่รองชวนน้อยก็ไปละค่ะ”    ปากเธอพูดกับพี่ชายแต่สายตาของเธอไม่ได้มองไปที่อื่นเลยนอกจากหน้าวิท
    “สนุกมั้ยจ๊ะวิท”    สุรสีห์หันมามองลูกน้องที่เอาแต่ยืนก้มหน้าไม่ยอมตอบคำถามของน้องสาวเขา
    “สนุกครับ”
    “แล้วนี้ทานอะไรกันมาหรือยัง”    สุทธิดาเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นวิทไม่อยากจะคุยกับเธอ
    “ยังจ๊ะ...กะว่าจะมากินอาหารฝีมือน้อยเนี่ยล่ะ”
    “แล้ววิทจะกลับไปทานที่ห้องหรือเปล่า”
    “วิทนายทานกับฉันเลยก็ได้”   สุรสีห์ตอบเมื่อเห็นวิทเงียบ
    “งั้นน้อยทานด้วยคนได้มั้ยค่ะ”   วิทเหลือบตามองจึงสบตากับหญิงสาวโดยไม่ได้ตั้งใจ
    “ตามใจซิจ๊ะ...”
    “ผมไม่รบกวนหรอกครับ...ผมทานในครัวได้”
    “ทำไมรังเกียจน้อยหรือค่ะไม่ทานด้วยกัน”   หญิงสาวถามอย่างน้อยใจ
    “เปล่าครับคุณน้อย...อย่าเข้าใจผิด”    วิทรีบปฏิเสธพัลวันกลัวหญิงสาวเข้าใจผิด
    “แล้วทำไม”   สุทธิดาถามอย่างน้อยใจ   วิทเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเอาแต่ก้มหน้าหลบสายตาหญิงสาว
    “ไม่ต้องเถียงกันทานด้วยกันนี้ล่ะ…น้อยไปจัดอาหารเถอะแล้วคุณพ่อทานหรือยัง”
    “ทานเรียบร้อยแล้วค่ะ”  
    “ค่ะ...งั้นรอเดี๋ยวน่ะค่ะน้อยจะไปดูในครัวว่าวันนี้ทำอะไรบ้าง”    กล่าวจบหญิงสาวก็เดินจากไป   สุรสีห์มองการกระทำของทั้งสองอย่างจนใจไม่รู้จะช่วยอย่างไร   

    “ทำอะไรน้อย”    สุชาดาถามเมื่อเห็นน้องสาวสาระวนอยู่หน้าเตาไมโครเวฟ
    “อุ่นอาหารให้พี่รองกับวิทค่ะ”    สุทธิดาหันยิ้มและตอบคำถาม
    “ทำไมน้อยต้องทำให้ด้วยล่ะ”    สุชาดาถามอย่างไม่ค่อยพอใจนักที่น้องสาวเอาอกเอาใจพี่คนรอง
    “พอดีอาหารมันเย็นหมดแล้วค่ะน้อยเลยอุ่นให้พี่รองค่ะ”
    “มันไม่ใช่เรื่องเลยนะน้อยที่เธอต้องมาทำอะไรแบบนี้”     สุทธิดายิ้มอธิบายกับอย่างใจเย็น    เธอมิอยากให้พี่สาวอารมณ์เสีย
    “ไม่เป็นอะไรหรอกค่ะพี่นิด”
    “เธอนี่นะ”   สุชาดามองน้องสาวอย่างขัดใจ
     “อย่างไรเราก็พี่น้องกันไม่เห็นเป็นอะไรเลยที่น้อยจะทำอะไรให้พี่รองบ้าง”
    “จ๊ะแม่คนดีเธอคิดไปคนเดียวเถอะนะ” 
    “โธ่พี่นิดค่ะ”   สุทธิดาได้แต่มองและลอบหายใจอยากจะให้พี่สาวลดทิฐิลงมาบ้างยถึงอย่างไรก็พี่น้องกันทั้งนั้น
    “ไม่ต้องมาพูดฉันไม่ใช่คนช่างเอาอกเอาใจอย่างเธอ”   น้อยอมยิ้มไม่ตอบคำถามของพี่สาวเพราะรู้ดีว่าถึงพูดอะไรตอนนี้ก็ไม่เข้าหูทั้งนั้น   จึงเลือกที่จะไม่พูดดีกว่า    นิดมองดูน้องสาวอย่างไม่พอใจที่ไปเที่ยวทำอะไรต่อมิอะไรให้กับผู้ชายสองคนนั้นจึงสะบัดหน้าเดินนี้ออกจากครัว
    “เป็นอะไรไปคุณนิด”   กิจจาถามภรรยาที่เห็นเดินหน้ามุ่ยเข้ามาในห้อง
    “น้อยนะซิคุณกิจ”   สุชาดาโวยวายใส่สามี
    “ทำไมคุณน้อยทำอะไร”    กิจจาถามอย่างเอาใจผับหนังสือเก็บ    รู้ดีว่าเวลาอ่านหนังสืออย่างสงบ ๆ    หมดลงแล้ว
    “ทำเป็นเอาใจพี่รอง”    สุชาดาตอบเสียงห้วนทิ้งตัวลงนั่งหน้างอที่เตียง
    “เอาใจอะไรล่ะคุณ”    กิจจาถามอย่างใจเย็น
    “ทำอาหารให้พี่รองกินนะซิ”
    “โธ่เรื่องแค่นี้เองน่าคุณ”  
    “มันอดหมั่นไส้ไม่ได้นี่น่า”    กิจจาส่ายศีรษะอย่างขำ ๆ   ในตัวภรรยาเพราะเขาไม่เคยเห็นใครทำอะไรถูกใจเธอเลยสักคน   กระทั่งเขาเองก็เหมือนกัน   ตั้งแต่คบกันจนแต่งงานมาก็ไม่เคยทำอะไรถูกใจเธอเลย   จนเขาทำใจได้แล้วแต่งงานกับผู้หญิงที่รวยกว่าก็อย่างนี้ถ้า
    เขาย้อนเวลากับไปได้เขาคงจะคิดตรองดูมั้ยว่าจะแต่งงานกับสุชาดาหรือเปล่า    ถ้าไม่ใช่ฐานะทางบ้านกำลังลำบากเขาคงไม่แต่งงานกันผู้หญิงที่เอาแต่ใจตัวเองอย่างสุชาดาแน่นอนถ้าเกิดถ้าภรรยาเขาอ่อนโยนได้ครึ่งหนึ่งของคุณน้อยเขาคงไม่ทุกข์ใจแบบนี้    ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างปลง ๆ
     กับอนาคตของตัวเอง  
    “นี่คุณกิจ…คุณกิจใจลอยไปถึงไปถึงไหนแล้ว”
    “อะไรอีกละคุณ”
    “ก็เรื่องพี่รองไง”   สุชาดาพูดอย่างอารมณ์เสียกับความไม่เอาใจใส่กับอะไรเลยของสามี
    “คุณน่าจะทำงานให้เก่งกว่านี้นะ...”    สุชาดาหันมาโวยวายใส่สามี
    “อ้าว...ทำไมมาว่ากันแบบนี้ล่ะ”   ว่าแล้วสุดท้ายก็ต้องมาลงที่เราอีกจนได้
    “ก็คุณมันไม่ได้เรื่อง...คุณพ่อถึงไม่กล้าให้คุณรับผิดชอบอะไรเลย”
    “นี่ผมว่าคุณอย่ามาพาลกับผมดีกว่า...ผมอยู่ของผมดี ๆ   แล้ว”    กล่าวจบกิจจาก็เดินหนีออกจากห้อง
    “อ้าวจะไปไหน...กลับมาพูดกันก่อนซิคุณกิจ ๆ   ตาบ้าเอ่ย   ไม่เคยทำอะไรได้อย่างใจเลยสักนิดเดียว”    นิดถอนหายใจอย่างโมโหในตัวสามี   

    “หนีอะไรมาครับพี่กิจ”   สุทธิชัยถามอย่างอารมณ์ดี   รองเป็นแบบนี้สงสัยโดนพี่สาวเขาชวนทะเลาะมาแน่เลย
    “คุณเล็ก...ไม่ได้หนีหรอกครับว่าจะมาหาอะไรดื่มหน่อยไม่ออกไปไหนหรือครับ”    กิจจาคุยกับน้องเมียอย่างอารมณ์ดี
    “เบื่อ ๆ   นะครับ....มาครับมาดื่มด้วยกัน”   สุทธิชัยลงมือผสมเหล้าให้อย่างเอาใจ
    “เบื่อหรือครับโธ่คนโสดเบื่อก็ออกไปเที่ยวข้างนอกซิครับ”     กิจจาแนะนำ
    “ไม่เอาหรอกครับอยากกินเหล้าเงียบ ๆ   มากกว่า”    เป็นที่รู้กันว่าในครอบครัวสุทธิชัยไม่ค่อยชอบออกไปสังสรรค์นอกบ้าน
    “แม้เป็นผมหน่อยไม่ได้จะออกไปเที่ยวให้สนุกเชียว”   กิจจาบ่นต่อ
    “แล้วทำไมไม่ไปบ้างล่ะครับ”   สุทธิชัยแนะนำพี่เขย
    “โธ่คุณเล็กพูดเหมือนไม่รู้จักคุณนิด...เธอจะได้ตามไปแหกอกผมปะไร”    กิจจากล่าวจบพร้อมกับเสียวหัวเราะที่ดังประสานกับไปกับสุทธิชัยด้วย
    “พี่นิดก็เป็นแบบนี้ละครับโวยวายแต่จริง ๆ   แล้วแกก็ไม่มีอะไร”     สุทธิชัยปลอบใจพี่เขยไม่อยากให้คิดมาก
     “ครับผมทราบ”    
    “งั้นพี่กิจกินเหล้ากับผมดีกว่าครับกินด้วยกันจะได้สนุก...เดี๋ยวให้เด็กหากับแกล้มมาเพิ่ม”
    “เอาซิครับวันนี้กินให้เมาไปเลย”    
    “ดื่มกันดีกว่าครับ...แด่ความเบื่อ”    สองหนุ่มชนแก้วกัน
    “ครับแด่ความเบื่อ...”
    “แล้วนี่คุณใหญ่ไปไหนล่ะครับ”    กิจจาถามอย่างสงสัยเพราะไม่เห็นมาหลายวันแล้ว
    “คงจะไปเที่ยวตามประสาหนุ่มโสดนะครับ...”
    “เป็นคุณใหญ่ก็ดีนะครับ”  
    “ทำไมล่ะครับ”
    “ก็ได้ทำอะไรอย่างที่อยากทำไงครับ”
    “แล้วพี่กิจล่ะครับมีอะไรที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำหรือครับ”    กิจจาเหยียดยิ้มเลือกที่จะไม่ตอบคำตามของคุณเล็ก
    “ผมว่าเราดื่มกันดีกว่า”    สองหนุ่มนั่งชนแก้วกันอย่างครึมอกครึมใจ    ตกดึกเมื่อดื่มเสร็จกลับเข้ามาที่ห้องกิจจานั่งที่เตียงมองเมียตัวเองที่พอกหน้าด้วยครีมอะไรสักอย่าง    เขาไม่เข้าใจผู้หญิงเลยแทนที่จะนอนหลับให้สบายกลับต้องพอกนั้นพอกนี้ก่อนบางครั้งมองแล้ว
    ทำให้เสียอารมณ์พิลึก    กิจจาส่ายหน้าอย่างปลง ๆ   กับตัวเองดีนะที่เขากับสุชาดายังไม่มีลูกด้วยกันไม่งั้นไม่รู้จะเป็นยังใครจะไปรู้ว่าแต่งงานกับลูกเจ้านายแล้วจะเป็นอย่างนี้   บางคนว่าเขาโชคดีกลายเป็นหนูตกถังข้าวสารแต่ใครจะมารู้บางว่าแค่ต้องการความสบายและก้าวหน้าใน
    อาชีพการงานทำให้เขามาเจอจุดตันของชีวิตแบบนี้ต้องมาทนรองรับอารมณ์ผู้หญิงที่เอาแต่ใจอย่างสุชาดา  อยู่กับคนที่เขาไม่ได้รัก   แล้วพอเจอผู้หญิงที่รักเขากลับไม่สามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้เลย   ถ้าเพียงแต่เขาไม่มาหลงรักคุณน้อยที่เป็นน้องเมียตัวเองเขาคงไม่ต้องมานั่งทรมานหัวใจ
    แบบนี้    แต่ก่อนคิดว่าเรื่องความรักเป็นเรื่องไร้สาระแต่ตอนนี้มันไม่ใช่  ไม่ใช่เลย ยิ่งได้เห็นได้รู้จักได้ใกล้ชิดยิ่งทรมานหัวใจมองไม่เห็นทางออกของตัวเองเลยว่าเขาควรจะทำอย่างไรดี    กิจจาถอนหายใจอย่างแรงไม่รู้จะหาทางออกให้ตัวเองอย่างไรดี

    ตอนที่ 3
    “ยายแพรเป็นอะไรหรือเปล่าตื่นสายเชียว”    แพรพรรณถามอย่างแปลกใจเพราะน้องสาวไม่เคยตื่นสาย
    “เปล่าค่ะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ”  
    “กินอาหารเช้าก่อนซิ” 
    “ค่ะ”   แพรวาเดินตามพี่สาวเขาไปที่โต๊ะอาหาร
    “น้าแพรตื่นสาย...”   สิทธิกรทักน้าสาวอย่างล้อ
    “จ้าน้าแพรตื่นสายแล้วเราล่ะ...รีบกินเร็วเดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทันนะ…พี่พรรณให้แพรไปส่งให้มั้ยค่ะ”
    “ไม่ต้องหรอกจ๊ะแพรไปทำงานเถอะ...พี่ไปส่งเองอิ่มหรือยังลูกจะได้ไปกัน”
    “อิ่มแล้วครับ...น้าแพรสวัสดีครับ”    สิทธิกรกล่าวพร้อมกับจูบลาน้าสาวที่แก้มซึ้งตอนนี้เปื้อนน้ำลายของเจ้าตัวดีไปหมด
    “นายตัวดีแก้มน้าเปื้อนหมดแล้ว”    หลานชายหัวเราะอย่างชอบใจที่แกล้งน้าสาวได้
    แพรวาบิดขี้เกียจและปิดปากที่กำลังหาวของตัวเองเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว   เพราะผู้ชายคนนั้นคนเดียวทำให้นอนไม่หลับทั้งคืน  แถมรถก็ติดประเทศไทยไม่ว่าจะสร้างถนนกี่เส้นทางก็ไม่เคยเพียงพอกับรถยนต์เลยสักที 
     แพรวามองรถคันด้านข้างที่ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังแต่งหน้าแต่งตาอยู่ในระหว่างที่รถติด    ดีนะที่เธอไม่ต้องแต่งอะไรมากมายนักแค่ผัดแป้งทาลิปสติกนิดหน่อยก็พอแล้ว    ถ้าเธอต้องแต่งหน้าเต็มยศก็คงต้องอาศัยช่วงเวลารถติดอย่างผู้หญิงคนนี้แน่เลย  
     อาจจะเป็นเพราะสัญชาตญาณหรือเปล่าที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีคนกำลังจ้องมองเธออยู่    พอหันไปมองก็ต้องตกใจเพราะสายตาของคนที่ทำให้เธอนอนไม่หลับเมื่อคืนนี้กำลังจับจ้องมาที่เธอ   แถมพอเห็นเธอมองก็ส่งยิ้มมาให้อีก
      เสียงบีบแตรของรถคันข้างหลังปลุกเธอจากมนต์สะกดของงสายตาคู่นั้น   แพรวาจึงรีบออกรถทั้งที่ยังมีอาการมึนงงกับสายตาคู่นั้น    ชายหนุ่มอดที่จะยิ้มไม่ได้กับท่าที่หญิงสาวบิดขี้เกียจและปิดปากหาวที่ดูเป็นธรรมชาติที่เขาไม่ค่อยจะได้พบท่าทีแบบนี้กับผู้หญิงคนไหน
      ผู้หญิงที่แวดล้อมเขานั้นต้องปรุงแต่งทุกอย่างเป็นอย่างดี                                                                                                                                                                                
    แล้วไม่ว่าจะเป็นหน้าตาการแต่งตัว    หรือแม้แต่บุคลิกท่าทางที่แต่งให้ดูดีและสวยหรูเหมือนใส่หน้ากากเข้าหากันตลอดเวลา   ไม่มีใครเหมือนสาวน้อยคนนั้นไม่มีจริง ๆ
    “จะตามมั้ยครับเจ้านาย”   วิทถามอย่างล้อเลียนเมื่อเห็นสายตาของเจ้านายที่มองไปยังรถคันที่กำลังเคลื่อนตัวออกไป 
    “ถ้าไม่มีประชุมช่วงเช้าก็ไม่แน่...ไปหาร้านเสื้อของคุณแพรวาให้ทีว่าอยู่ในบริเวณไหน”
    “หาทำไมครับเจ้านาย”
    “ทำไมต้องถามให้ไปหาก็ไปหาเถอะน่า”
    “ครับผม”   วิทรับคำสั่งพร้อมกับนั่งอมยิ้มกับอาการของเจ้านายหนุ่มในขณะนี้   ถ้าจะเป็นเอามากตั้งแต่ทำงานด้วยกันมาเจ้านายเขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้กับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย   ทั้งทีนายของเขานั้นไม่เคยขาดผู้หญิงเลยก็ว่าได้ 
     ด้วยทั้งรูปสมบัติและทรัพย์สมบัติเจ้านายเขามีพร้อมหมดแถมเพิ่งจะได้รับตำแหน่งนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงแห่งปีอีกด้วย    จึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้หญิงมายมายเข้ามาในชีวิตของเจ้านาย    แต่ใครก็ไม่เหมือนกับสาวน้อยในตาบ้องแบ๊วคนนี้ที่ท่าจะมาแรงกว่าคนอื่นเพราะเจ้านาย
    ลงทุนให้สืบหาที่ทำงานเองเลย    ก็คงต้องดูกันต่อไปว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร
                                                                                                                                                                                                                                 “อาหารเช้าจ๊ะลูกตาล” พูดพร้อมทั้งวางปาท่องโก๋และน้ำเต้าหู้ลงที่โต๊ะ
    “อาหารเช้าตอนสิบโมงสายไปหรือเปล่าจ๊ะคุณนาย”
    “จะกินหรือเปล่าล่ะ”
    “กินจ๊ะกิน...ทำไมวันนี้มาช้าจังเลย”
    “นอนดึกนะ”
    “เป็นไงบ้างเรื่องหลานชาย...ไม่เห็นเล่าให้ฟังเลย”   ลูกตาลถามก่อนที่แพรวาจะทันได้นั่งลงบนเก้าอี้
    “ไม่มีอะไร...แค่พี่พรรณเขาให้ช่วยไปรับนายกรที่บ้านปู่เข้านะ”   แพรวากล่าวพร้อมได้หยิบงานขึ้นมาทำเป็นการหยุดการสนทนา   ลูกตาลเห็นดังนั้นจึงลุกขึ้นหยิบน้ำเต้าหู้ไปเทใส่แก้วให้เพื่อนและของตัวเองก่อนที่จะลงมือทำงานกันต่อไป
    บ่ายโมงกว่า ๆ  มีเสียงคนเปิดประตูเข้ามาที่ร้านพร้อมเด็กภายในร้านออกไปต้อนรับลูกค้า
    “สวัสดีค่ะ...เชิญเลือกชมก่อนได้เลยค่ะ”   เสียงเด็กในร้านปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดี
    “ทำไมพาซินดี้มาร้านนี้ละค่ะ”   เสียงพูดมาจากหญิงสาวร่างโปร่งบางสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยผิวขาวใบหน้าได้รูปสวยมองดูก็รู้ว่าต้องเป็นเลือดผสม   เสื้อผ้าที่ใส่ดูลงตัวเหมาะสมกับเจ้าของเรือนร่างด้วยกางเกงขาสั้นสีขาวตามสมัยนิยมโชว์เรียวขางามพร้อมด้วยเสื้อเปิดไหล่
    ข้างหนึ่งโชว์ความนวลเนียนของหัวไหล่มนสีชมพูเข้มชวนให้น่าสัมผัส   ยิ่งส่งให้ผู้หญิงคนนี้ดูเซ็กซี่มากขึ้นไปอีก
     “เหมือนนางแบบเลยนะแพร”   ลูกตาลวิจารณ์โดยมิได้หันมามองหน้าเพื่อนสาวที่กำลังตกตะลึงมองบุรุษที่มากับหญิงสาว    คนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้ เธอไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาและยิ่งมาประสานสายตากันแบบนี้อีกยิ่งทำให้เธอหวั่นไหว
     “คุณรองค่ะ”   เสียงของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง    และจุดยิ้มที่มุมปาก
    “อะไรน่ะครับ...”   ชายหนุ่มถามทั้งที่หันกลับมามองที่แพรวาอีครั้ง
     “ก็ซินดี้ถามว่าทำไมพา...ซินดี้มาที่ร้านนี้ล่ะค่ะ”   หญิงสาวกล่าวพร้อมกวาดตามองไปทั่วอย่างสำรวจภายในร้าน
     “คุณอยากซื้อเสื้อผ้าผมก็พามาร้านที่ผมรู้จัก”   ชายหนุ่มกล่าวด้วยเสียงที่ราบเรียบ   
    “ซินดี้ขอเวลาเดินดูหน่อยน่ะค่ะ” 
    “ตามสบายครับผมมีเวลาทั้งวัน...สำหรับคุณ”    ซินดี้ยิ้มหวานปลื้มกลับคำพูดของชายหนุ่ม    เอื้อมไปไล้แก้มของชายหนุ่มเบาๆ
    “คุณรองน่ารักจัง”   
    “จะรับชาหรือกาแฟดีค่ะ”   เด็กในร้านถามอย่างรู้หน้าที่
    “ไม่ดีกว่าช่วยเชิญเจ้าของร้านมาพบผมด้วย”
    “เอ่อ....สักครู่น่ะค่ะ”   เด็กในร้านรับคำแล้วรับเดินมาหาหญิงสาวทันที
     “พี่แพรค่ะคุณผู้ชายที่มาต้องการพบเจ้าของร้านค่ะ”   เด็กในร้านเดินเข้ามาบอก
    “เธอไปหาเขาหน่อยนะลูกตาล”    แพรวาเกี่ยงให้เพื่อนสาวออกไป
    “ฉันเหรอ”   ลูกตาลชี้นิ้วเข้าหาตัวเอง
    “เธอนั้นล่ะไป...ไปซิ”    แพรวาไล่ส่งเมื่อเห็นเพื่อนยังทำท่างง ๆ
    “สวัสดีค่ะ...มีอะไรให้รับใช้ค่ะ”    ลูกตาลยิ้มหวานเมื่อเห็นสายตาของชายหนุ่มมองตรงมาที่เธออย่างสงสัย
    “ขอโทษครับคุณแพรวาไม่อยู่หรือครับ”    สุรสีห์ถามยิ้ม ๆ  
    “ต้องการพบแพรหรือค่ะ”
    “ครับ”
    “รอสักครู่น่ะค่ะ”   ลูกตาลรีบเดินกลับไปทันที
    “ยายแพรเขาต้องการพบเธอแม่ตัวดีออกไปเดี๋ยวนี้เลย”   แพรวาพยายามบิดมือออกจากมือลูกตาลเรื่องอะไรจะมาบังคับเธอ
    “ก็เขาต้องการพบเจ้าของร้านไม่ใช่หรือเธอก็เจ้าของร้านเหมือนกัน”
    “ไม่ ๆ.....เธออย่ามามั่วเขาต้องการพบเธอไม่ใช่ฉันไปซิเขาระบุชื่อเลยน่ะ”  
    “ช่วยหน่อยไม่ได้หรือไงนะ”
    “เธอกำลังทำตัวมีพิรุธนะยัยแพร ...มีอะไรหรือเปล่า”
     “ไม่มีอะไรสักหน่อย...ฉันออกไปเองก็ได้”   หญิงสาวสูดหายใจเข้าไปลึกๆ   และผ่อนหายใจออกมายาวๆ   รวบรวมความกล้าและออกก้าวเดินออกไปทันที                                                                                                                                                                                                                             “สวัสดีค่ะ”   หญิงสาวกล่าวพร้อมทั้งยกมือขึ้นไหว้   ชายหนุ่มรับไหว้ด้วยใบหน้าที่ยิ้ม ๆ
    “สบายดีหรือ”
    “ค่ะ”   แพรวาตอบแต่ไม่ยอมสบตาเขา
    “แค่นี้”   สุรสีห์ถามมองผู้หญิงตรงหน้าที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไม่ยอมสบตาเขา
    “ค่ะ”   ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้กับคำตอบของเธอ    ก่อนที่หญิงสาวจะทันรู้ตัวก็ต้องตกใจมากเมื่อชายหนุ่มเอื้อมมือมาคว้ามือหญิงสาวและบังคับให้หญิงสาวก้าวเดินออกตามแรงฉุดของตัวเอง   เปิดประตูออกไปด้านหลังของร้านเสื้อผ้าโดยไม่สนใจสายตาของคนภายในร้าน
    ที่มองตามด้วยความตกใจกับสิ่งที่ชายหนุ่มทำ
    “คุณรองทำอะไรค่ะเนี่ย...ปล่อยมือดิฉันนะ”   แพรวาพยายามบิดมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่ม
     “แพร”
    “ค่ะ”      แพรวามองหน้าเขาอย่างสงสัย                                                                                                                                                                                                         
    “เรียกตัวเองว่าแพร...อย่าใช้คำว่าดิฉัน ไม่น่ารักเลยรู้มั้ย”  
    “คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งน่ะค่ะ...แล้วก็ไม่มีทำแบบนี้ด้วยปล่อยมือดิฉันเดี๋ยวนี้นะคนมองกันใหญ่แล้ว”   หญิงสาวร้องบอกพร้อมพยายามบิดมือออกจากการเกาะกุของชายหนุ่มแต่ดูเหมือนยิ่งดิ้นเขาก็ยิ่งเพิ่มแรงกระชับมากขึ้น   โดยไม่สนใจอาการดิ้นรนของหญิงสาวแม้แต่น้อย 
    “ถ้ายังเรียกตัวเองว่าดิฉันอีก...อย่าหาว่าผมไม่เตือนน่ะ”    สุรสีห์กล่าวอย่างคาดโทษ
    “คุณจะทำอะไร...ดิ...”   เสียงพูดของเธอหายเงียบไปพร้อมกับริมฝีปากของชายหนุ่มที่ทาบปิดที่ริมฝีปากของเธออย่างแผ่วเบา    แพรวาทำอะไรไม่ถูกหัวใจเต้นเหมือนกับจะหลุดออกมาจากอกรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วร่าง   เวลาผ่านไปนานขนาดไหนหญิงสาวมิอาจรู้ได้ 
     ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างหักห้ามใจแค่นี้เขาก็ทำเธอตกใจจะแย่แล้ว   เขาก็อดที่จะยิ้มกับปฎิกิริยาของหญิงสาวไม่ได้   ยืนหลับตาหน้าตาแดงก่ำไปถึงส่วนของลำคอ   นี้ขนาดเขาเพียงแค่เอาริมฝีปากแตะลงไปเฉย ๆ นะแล้วถ้าเขาทำมากกว่านี้ล่ะ   แค่คิดก็อดที่จะยิ้มไม่ได้
     “ทำไมคุณทำอย่างนี้”   หญิงสาวจำเสียงของตัวเองแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ
    “อย่าถามเหตุผล...เลยนะ”
    “ปล่อยดิ...เอ่อแพรก่อนได้ไหมค่ะ”   หญิงสาวเอามือผลักอกพยายามชายหนุ่มพยายามบิดตัวเพื่อที่จะให้หลุดจากอ้อมกอดของเขา   กล่าวด้วยใบหน้าที่แดงก่ำชายหนุ่มแอบยิ้มกลับท่าทางของเธอ
     “ทำไม”
     “แพรกลัว”   ทุกคำพูดของหญิงสาวเรียกรอยยิ้มจากชายหนุ่มได้มากขึ้น   ก่อนที่หญิงสาวจะรู้ตัวชายหนุ่มยกมือขึ้นไปลูบปลอยผมที่ตกลงมาปิดหน้าผากมนสวยได้รูปอย่างเผลอตัว
    “ไม่เห็นต้องกลัวอะไรผมเลย...ผมไม่มีวันทำร้ายคุณหรอกนะ”
    “แต่ที่ทำเมื่อกี่   มันไม่ดีเลยน่ะค่ะ…คุณกับแพรแล้วยัง...”  
    “อย่าพูดถึงคนอื่นในระหว่างที่เราอยู่ด้วยกัน”   ชายหนุ่มชิงพูดก่อนที่หญิงสาวจะพูดจบ
    “แล้วทำไมคุณทำอย่างนี้กับแพร”
    “อย่าถามผม   ลองถามตัวเองว่าตั้งแต่เมื่อวานที่เราเจอกันมันเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้างหรือเปล่า”
    “แพรไม่รู้......ปล่อยแพรก่อนน่ะค่ะแค่นี้แพรก็ไม่รู้ว่าจะตอบคนอื่นว่าอย่างไรแล้ว”
    “โอเค...วันนี้แค่นี้ก็ได้แต่ระหว่างเรามันไม่จบแค่นี้หรอกนะสำหรับผม ๆ   รู้ว่าผมต้องการอะไรและกำลังทำอะไรอยู่สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเพราะอารมณ์แพรรู้ไว้ด้วย”    พูดแล้วชายหนุ่มก็เดินจูงมือหญิงสาวกลับไปบีบกระชับมือบางถ่ายทอดความรู้สึกทั้งหมดที่มีให้หญิงสาวรับรู้
      เมื่อก้าวเข้ามาในร้านแพรวาสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติที่เกิดขึ้น   ทุกสายตาหยุดมองสองหนุ่มสาวทันที
    “ไปไหนมาค่ะคุณรอง”   ซินดี้ถามด้วยน้ำเสียงห้วยไม่พอใจอย่างมาก   เมื่อถามหาชายหนุ่มแล้วไม่มีใครรู้สักคนว่าหายไปไหนแล้วนี้หมายความว่าอย่างไรที่กลับมาพร้อมกลับยัยช่างเสื้อ
     “ผมมีธุระนิดหน่อย ...เลือกเสื้อผ้าได้หรือยัง”  
    “คุณยังไม่บอกซินดี้เลยว่าไปไหนมา”
     “ผมมีธุระพูดกับคุณแพรนิดหน่อย...ไหนล่ะเสื้อผ้าที่คุณเลือกไว้”   ชายหนุ่มถามพร้อมกับหยิบกระเป๋าเพื่อชำระเงิน   เมื่อเห็นเด็กในร้านหิ้วถุงกระดาษหลายใบออกมาให้
    “เท่าไรครับ”
    “2 ชุด”
    “สองหมื่นบาทค่ะ”   แพรชิงพูดก่อนที่เด็กในร้านจะพูดจบ   ทุกคนในร้านอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
    “สองหมื่นบาท...เธอจะบ้าหรือเปล่านี่มันไม่ใช่เสื้อแบรนด์นะจ๊ะแบบก็งั้นๆ   ทำไมมันแพงจัง”   เสียงซินดี้ร้องขึ้นมาด้วยความตกใจ
    “เอาน่าซินดี้ผมเต็มใจจ่ายให้คุณ”   ชายหนุ่มกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพร้อมกับจ่ายเงินโดยไม่ซักถามอะไรอีก
    “คุณรองค่ะเดี๋ยวค่ะ..ซินดี้ไม่เอาแล้วนะเอาคืนเขาไปค่ะ”
    “ไม่เอาน่าซินดี้ผมบอกแล้วไงว่าเต็มใจซื้อให้”
    “แต่คุณรองค่ะมัน...”
    “กลับกันดีกว่า...ไปครับ”
     “คุณรองค่ะ...ซินดี้ว่า...”   ก่อนที่เธอจะพูดจบชายหนุ่มรีบตัดทบด้วยการชวนกลับ
    “ไปเถอะครับ…แล้วพบกันน่ะครับ”   ชายหนุ่มกล่าวพร้อมทิ้งสายตาคาดโทษไว้ให้หญิงสาวร้อนๆ หนาวๆ แทน
     “ยัยแพรเธอจะบ้าหรือไง   2   สองหมื่นบาท....ฉันจะเป็นลม”   ลูกตาลโวยเพื่อนเสียงดังลั่น  
    “คุณแพรราคาชุดที่เขาเอาไปนะ...มันแค่สามพันแปดเองน่ะค่ะ”   เด็กในร้านบอกด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ
    “เอาน่านานๆ จะมีมหาเศรษฐีหลงมาที...พวกเธอรู้ไหมว่าผู้ชายคนนั้น   นามสกุกิจเจริญไพศาลนะเงินแค่นี้ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงหรอกน่า   ไม่เห็นต้องตกใจเลย”
    “ก็นั่นล่ะ...เธอเล่นฟันราคาขนาดนั้นแล้วเขาจะมาซื้ออีกมั้ยเนีย”
    “ไม่ดีหรือเดือนนี้จะได้มีกำไรเยอะ ๆ   ”
    “มันเยอะไปหรือเปล่ายะหล่อน”
     “ช่างมันเถอะน่า   ไม่เป็นไรหรอก”   กล่าวจบหญิงสาวก็หันกลับไปทำงานต่อเป็นการตัดบทสนทนาทันที      ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรงอยู่ไม่เข้าใจตัวเองและไม่เข้าใจในการกระทำของเขาว่าทำไมถึงทำแบบนี้

     “เฮ้ๆๆๆ...น้าแพรกลับมาแล้ว”   สิทธิกรโผเขากอดน้าสาวทันทีที่หญิงสาวก้าวลงจากรถ
    “ตากรนี้น่าจะเกิดเป็นลูกแกเสียให้รู้แล้วรู้รอด”     แพรพรรณกล่าวหลังจากเห็นอาการกอดรัดฟัดเหวี่ยงของสองน้าหลาน
    “โธ่ก็คนเขารักกันเนอะกรเนอะ...”
    “ใช่ครับ”
    “น้องกรน้าแพรจะอุ้มเราไม่ไหวแล้วนะนายหมูอ้วน”   กล่าวพร้อมกับอุ้มหลานชายขึ้นมา
     “ก็เธอนั้นล่ะยายแพรตามใจนายกรไม่เข้าเรื่อง”
     “แม่นะชอบว่าน้าแพรอยู่เรื่อยเลย”   สิทธิกรค้อนแม่ของตัวเองที่กล้ามาว่าน้าสาวสุดที่รัก
    “จ้าไม่ว่าแล้วจ้า...”    แพรพรรณกล่าวพลางมองค้อนพ่อลูกชายตัวดี
    “น้าแพรมีขนมมาฝากกรหรือเปล่าครับ”
    “นี่ไงขนมเค้กจากร้านโปรดของกรเห็นไหม”    แพรวาโชว์ถึงขนมเค้กร้านโปรดของหลานชายให้ดู
    “เย้ๆ  ...น้าแพรน่ารักที่สุดเลย”   สิทธิกรจูบแก้มซ้ายขวาของน้าสาวจนแก้มเธอเปื้อนน้ำลายนายตัวดีไปหมด
    “พอแล้วจ้า...ไปกินขนมกันดีกว่า”
    “ตามใจกันเข้าไปนะยายแพร”      แพรพรรณมองตามอย่างอ่อนอกอ่อนใจ
    “โธ่ก็หลานคนเดียวนี่น่าพี่พรรณ”
    “แล้วนี้กินข้าวมาหรือยัง”    แพรพรรณถามน้องสาว
    “ยังค่ะ”
    “ไปๆ อาบน้ำจะได้มากินข้าวพร้อมกัน”
    “งั้นแพรไปอาบน้ำก่อนน่ะค่ะ”
    “ไปเถอะก่อนที่ตากรจะกินเค้กแทนข้าว”   แพรวาจึงเดินขึ้นชั้นบนเพื่อจะไปอาบน้ำ   เธออดนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้มิได้ไม่เข้าใจการกระทำของชายหนุ่ม  ว่าเพราะอะไรเขาจึงทำแบบนี้   ทั้งที่ตัวเองก็มีแฟนอยู่แล้วยังจะมาทำลุ่มลามกับธออีก
    ตัวเราเองก็เหมือนกันทำไมไม่ปฏิเสธเขานะไปปล่อยให้เขาจูบเอาแบบนั้นได้อย่างไร   โธ่เอ๊ยยายแพรอายจริงๆ    ถ้าเกิดเจอเขาอีกจะทำหน้าอย่างไรยังไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน      แพรวาอาบน้ำเสร็จก้าวลงมาจากชั้นบนก็ได้ยินเสียงโวยวายของแพรพรรณที่กำลังคุยโทรศัพท์กับ
    ใครบางคนด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนัก
    “ฉันไม่รับรู้อะไรทั้งนั้นมันเรื่องของคุณช่วยไม่ได้    ฉันเบื่อจะพูดกับคุณแล้วนะคุณใหญ่”
    “นั้นมันเรื่องของคุณฉันไม่ให้ลูกฉันไปอยู่ที่บ้านหลังนั้น...ฉันจะพาตากรไปเยี่ยมคุณพ่อเอง”
    “จะมาเมื่อไรฉันจะไปรับ”
    “คุณไม่ต้องมารับ...ถ้าจะไปฉันจะพาไปเองแล้วกัน…แค่นี้นะ”    แพรพรรณวางโทรศัพท์พร้อมกับหันมาเห็นน้องสาวเดินลงมาจากชั้นบนพอดี
    “อ้าวยายแพรมากินข้าวกันดีกว่า”
     “มีอะไรหรือเปล่าค่ะพี่พรรณ”     แพรวาถามอย่างเป็นห่วง
    “ไม่มีอะไรพ่อตากรมาพูดเรื่องอยากจะเอาตากรไปเลี้ยงเพื่อเอาใจคุณพ่อเขานะแต่ก่อนไม่เห็นมาดูดำดูดีแล้วตอนนี้จะ มาเอาอะไรกับฉัน”   แพรพรรณกล่าวพร้อมถอนหายใจด้วยความหนักใจ
    “พี่เบื่อมากเลยนะแพรพี่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแพรเธอต้องช่วยพี่นะ”
    “เอาน่าพี่พรรณถ้าเราไม่ให้เขาคงไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ”
    “เธอยังไม่รู้จักคนบ้านนี้...ลองต้องการอะไรแล้วล่ะก็เขาทำทุกวิถีทางให้ได้มาเลยล่ะ”
     “ทุกคนเลยหรือค่ะ”    แพรวาถามนึกถึงใครคนหนึ่งที่เอาแต่ใจตัวเองสุด ๆ
    “ทำไมมีอะไรหรือเปล่า”   แพรพรรรณถามอย่างสงสัย
    “เปล่าค่ะ...แพรแค่ถามเฉยๆ”
    “คงจะมีแต่คุณเล็กกับคุณน้อยนั่นล่ะนิสัยดีหน่อยไม่ร้ายเหมือนคนอื่น”   
    “แล้วคุณรองล่ะค่ะ”    แพรวาเรียบ ๆ  เคียง ๆ   ถาม
     “คุณรองน่ะไม่มีใครเดาใจเขาได้หรอกว่าเป็นอย่างไร...อ่านยากจะตาย   ตอนพี่อยู่ที่นั้นก็ไม่ค่อยได้พูดคุยกันเท่าไร”    แพรพรรณกล่าวจบก็ถอนหายใจอย่างหนักใจ
    “แต่ทุกคนในบ้านก็เกรงใจเขาขนาดว่าคุณรองเป็นลูกคนละแม่นะ   ตัวคุณใหญ่เองก็เถอะถ้าคุณรองเอาจริงยังไม่จะกล้ากับน้องเลย”
    “ลูกคนละแม่หรือค่ะ”
    “ใช่คุณพ่อมีภรรยา 2 คน    คุณแม่ใหญ่มีลูก 4 คน   คุณรองนี่ก็เพราะแม่เสียหรอกถึงยอมมาอยู่บ้านของคุณพ่อ   แต่เขาก็ว่ากันว่าคุณแม่ใหญ่ท่านก็เมตตาคุณรองมากนะรักอย่างกับลูกในไส้”   
    “มิน่าล่ะแพรถึงว่าเขาดูไม่เหมือนพี่น้องคนอื่น”  
    “กิจเจริญไพศาลที่เจริญขึ้นก็คุณรองบริหารหรอกนะ”    แพรพรรณยังคงเล่าต่อ
    “ทำไมล่ะค่ะ”    แพรวาถามอย่างสงสัย
    “คุณรองบริหารงานเก่งนะ...ถ้าให้คุณใหญ่บริหารละก็เจ๊งแน่”
    “โธ่ไปว่าเขาพี่พรรณ..ไปค่ะทานข้าวกันเถอะอย่าคิดมากเลยนะ”   แพรวาตัดบทเพราะไม่อยากให้พี่สาวคิดมาก   เมื่อทานข้าวเสร็จแพรพรรณจึงบอกน้องสาวว่า
    “อาทิตย์นี้แพรไปบ้านนั้นเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”   แพรพรรณเอ่ยชวนน้องสาวเพราะเธอไม่อยากไปคนเดียว
    “ไปทำไมค่ะพี่พรรณ...”    แพรวาถามเพราะเธอรู้ดีว่าปรกติพี่สาวเธอถ้าไม่จำเป็นจะไม่ไปบ้านนั้นเด็ดขาด
    “คุณพ่ออยากเจอหน้าหลานนะถึงลูกชายท่านจะเลวนะแต่คุณพ่อก็เมตตาพี่มาก…ไปเป็นเพื่อนพี่หน่อยนะ”
    “แพรไม่อยากไปเลยค่ะพี่พรรณ”   แพรวาโอดครวญ
    “ไม่รู้ล่ะเธอต้องไปเป็นเพื่อนพี่”   แพรพรรณกล่าวจบก็ลุกเดินจากไปเพราะไม่อยากฟังคำปฏิเสธของน้องสาว    ปล่อยให้แพรวานั่งถอนหายใจอย่างลำบากใจอยู่คนเดียว

     “ฉันเบื่อนังบ้านี้จริงๆ ทำไมถึงเป็นคนพูดจาไม่รู้เรื่องอย่างนี่ก็มิรู้”   คุณใหญ่บ่นอดีตภรรยาอย่างหัวเสีย
    “เอาเถอะครับพี่ใหญ่ค่อยพูดค่อยจากันโตๆ กันแล้วเห็นแก่เด็กบ้าง”
    “นายเล็กแกก็รู้จักพี่สะใภ้แกดีว่าเป็นคนอย่างไร   ดื้อแค่ไหน   คุณพ่อก็อะไรไม่รู้อยากจะมาเลี้ยงหลานตอนนี้”
    “คนแก่นะครับคงอยากให้ลูกหลานอยู่ใกล้...อีกอย่างนายกรก็เป็นเด็กน่ารักคุณปู่เห็นก็ยิ่งหลงไปกันใหญ่”
     “แล้วนี้ฉันยังไม่รู้จะจัดการกับแม่มันอย่างไรเลยนะ”
    “นี่ถ้าไม่มีพี่พรรณสักคนปัญหาคงหมดไปนะครับพี่ใหญ่”
    “นั่นซิ”   คุณใหญ่รับคำน้องชายด้วยสีหน้าคิดหนัก
    “คิดดูนะครับพี่ใหญ่ถ้าเกิดพี่ใหญ่พูดกับพี่พรรณรู้เรื่องแล้วได้น้องกรมาให้คุณพ่อดูแลคุณพ่อคงจะดีใจมากไม่แน่นะครับถ้าได้น้องกรมาให้คุณพ่อๆ   คุณพ่ออาจจะปลื้มพี่ใหญ่มากกว่านี้ก็ได้”
    “ก็จริงของนาย...เฮ้ยเลิกพูดถึงผู้หญิงน่าเบื่อ...เซ็งโว้ย”
    “ทุกคนหรือเปล่าพี่ใหญ่”   พูดพร้อมกับหัวเราะในลำคออย่างอารมณ์ดี                                                                                                                                                                                                                             
    “ไอ้บ้าเป็นคน ๆ ซิว่ะ”
     “ผมก็ว่างั้นล่ะ...”    แล้วทั้งสองหนุ่มก็หัวเราะกันอย่างถูกอกถูกใจ
     “แกว่าน้องเมียฉันน่ารักมั้ยว่ะ”   สุรศักดิ์ถามน้องชายใบหน้ายิ้มกริ่ม
    “ทำไมครับ...ถูกใจหรือครับ”    สุทธิชัยถามพี่ชายเพราะรู้ดีว่าพี่ชายของตัวนิสัยเป็นอย่างไร
    “ออกจะสวยหวานปานนั้น”   สุรศักดิ์ทำหน้าเคลิ้มฝัน
    “นี้มันเข้าตำราพี่เขยกับน้องเมียหรือเปล่าครับเนี่ย”   น้องชายแซว
    “ถ้าฉันได้เจอก่อนที่จะเจอยายพรรณละก็...ฮือ...”    สุรศักดิ์กล่าวอย่างมาดหมาย
    “โธ่พี่ใหญ่ครับ”
    “ก็มันถูกใจนี้หว่า”   สุรศักดิ์กล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ
    “หัวเราะอะไรกันค่ะสองหนุ่ม”   คุณน้อยน้องสาวคนเล็กของบ้านถามพร้อมวางเครื่องดื่มที่ถือมาให้กับพี่ ๆ ทั้งสอง
    “อย่างน้องน้อยเนี่ยไงพี่ใหญ่...ใครได้ไปรับรองไม่เบื่อ”
    “นินทาผู้หญิงกันอีกแล้วล่ะซิ”   ก่อนที่จะได้รับคำตอบก็ได้ยินเสียงรถของพี่ชายคนรอง
    “พี่รองคงกลับมาแล้ว”   คุณน้อยเดินออกไปรับที่ชายคนรองของบ้านที่ทุกคนต่างรู้ดีว่าทำงานเหนื่อยที่สุดในบ้าน
    “เหนื่อยไหมค่ะพี่รอง”
    “ไม่หรอก...ขอน้ำเย็นพี่แก้วหนึ่งน่ะน้อย   จะเอาอะไรด้วยไหมวิท”
    “ไม่ครับขอบคุณ”    วิทตอบไม่ยอมมองหน้าหญิงสาว
    “เอาไปให้พี่ที่ห้องทำงานน่ะน้อย...ไปวิท”   วิทยาหันไปก้มศีรษะให้ผู้ที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกทั้งสองคน 
    “ค่ะเดี๋ยวน้องเอาไปให้”   คุณน้อยกล่าวจบพร้อมกับเดินนำออกไปก่อน
    “ดูมันทำจะทักพวกเราสักนิดก็ไม่มี”     สุรสศักดิ์กล่าวอย่างหัวเสีย
    “เอาเถอะครับพี่ใหญ่…พี่รองเขาคงเหนื่อยนะครับ”     สุทธิชัยพยายามไกล่เกลี่ย
    “โธ่มันจะเหนื่อยอะไรหนักหนา...คุณพ่อก็ลำเอียงอะไร ๆ กันให้มันทำหมดเห็นฉันเป็นอะไรทั้งที่มันเป็นแค่ลูกเมียน้อย”
    “เอาน่าพี่ใหญ่เราอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วล่ะครับ”   สุทธิชัยพยามยามกล่าวปลอบใจพี่ชายไม่ให้คิดมาก
    “แกไม่โกรธมั่งหรือเล็กที่คุณพ่อทำแบบนี้ยกย่องลูกเมียน้อยมากกว่าพวกเรา”
    “แล้วจะให้ผมทำอย่างไรมันเป็นการตัดสินใจของคุณพ่อ” 
     “โว้ยเบื่อ...แกไปกินเหล้ากับฉันดีกว่า”   สุรศักดิ์หมดอารมณ์กินเหล้าจึงชวนน้องชายไปเที่ยวด้วย
     “เชิญเถอะครับขี้เกียจไป”
    “ตามใจ...ไปล่ะ”    กล่าวจบคุณใหญ่ก็ก้าวเดินออกไปทันทีอย่างหัวเสีย    เล็กมองตามพี่ชายคนโตอย่างเบื่อหน่ายก็เป็นแบบนี้มีหรือที่พ่อจะไว้วางใจให้ทำอะไรที่ให้ทำงานในบริษัทก็ไม่ค่อยจะมีความรับผิดชอบเท่าไร   แล้วจะมาหวังให้พ่อมอบหมายงานใหญ่ ๆ 
     ให้เขามองไม่เห็นทางเลยด้วยซ้ำไป

      ตอนที่  4                        
    “เรื่องที่ให้ไปสืบมาเป็นไงบ้างวิท”   ชายหนุ่มกล่าวหลังจากที่น้องสาวเปิดประตูออกไปแล้ว
    “ไม่สู้ดีนักครับนาย”    วิทกล่าวอย่างหนักใจ
    “ทำไม”  
    “ส่อเค้าว่าจะเป็นเรื่องจริงครับ...ขอแค่เอกสารยื่นยันอีกนิดหน่อยแล้วผมรีบจัดการโดยด่วน”    สุรสีห์พยักหน้าอย่างเข้าใจ
     “ดี...ฉันต้องการรู้โดยเร็วที่สุดแล้วอย่าลืมให้คนของเราติดตามอย่างใกล้ชิดด้วยนะ”
    “ครับผม”    วิทรับคำ  
    “นายว่าเธอเป็นอย่างไรบางวิท”    สุรสีห์ถามขึ้นลอย ๆ   
    “ใครครับ”   วิทถามอย่างงงตามอารมณ์ของเจ้านายไม่ค่อยทัน
    “อย่ามาทำเป็นไม่รู้ ...ฉันรู้ว่านายอยู่แถวนั้น”
    “อ้อ”
     “อ้อ...อะไรของนายวะวิท”    สุรสีห์ขมวดหัวคิ้ว
    “ครับ”
    “ครับอะไร”   สุรสีห์ถามอย่างโมโหกับอาการกวน...ของคนสนิท
    “ก็คนที่สามารถทำให้เจ้านายยิ้มได้คงไม่ธรรมดาครับ”   คำตอบของคนสนิทเรียกรอยยิ้มให้กับชายหนุ่มได้เป็นอย่างดี
     “ขอบใจมากวิท...ไปพักผ่อนได้แล้ว”
     “ครับผม”   เมื่อได้ยินเสียงประตูปิดรอยยิ้มจากริมฝีปากชายหนุ่มเริ่มจางหายไปเหลือเพียงเสียงถอนหายใจด้วยความหนักใจกับเรื่องที่ได้รับรู้มา   ไม่อยากจะคิดถ้าพ่อรู้เข้าจะเสียใจสักเพียงไหนกับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวที่ท่านรัก

    หลังจากแยกกับเจ้านาย  วิทกลับมายังห้องพักของตัวเอง   วิทพักอยู่เรือนหลังเล็กแยกส่วนมาจากบ้านเจ้านาย  พ่อของเขาเคยเป็นคนขับรถให้คุณสุรชัยหลังจากพ่อตายคุณสุรชัยส่งเสียเขาเรียน    วิทกับสุรสีห์อายุเท่ากันจึงเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็กและอาจจะเพราะคุณใหญ่
    กับคุณรองชอบต่อยตีกันเป็นประจำคุณรองเลยหันมาเล่นกับเขาแทนหลีกเลียงที่จะเล่นกับพี่น้องคนอื่น  สุรสีห์ไม่ใช่คนถือตัวไม่เคยคิดว่าเขาเป็นแค่ลูกคนขับรถ  ให้ความสนิทสนมดุจเขาเป็นเพื่อนคนหนึ่งจึงทำให้วิทนับถือสุรสีห์มาก   พวกเรามาแยกกันก็ตอนจบปริญญาตรี 
     คุณสุรสีห์ต้องไปเรียนต่างประเทศตามความต้องการของคุณสุรชัย ช่วงเวลานั้นเขาเข้าทำงานที่บริษัทคอยรับใช้คุณสุรชัยและได้ใกล้ชิดกับคุณน้อยมากขึ้น   คุณน้อยคงเป็นอีกคนหนึ่งที่เห็นเขาเป็นเพื่อนไม่เคยแสดงกิริยารังเกียจที่เขาเป็นแค่ลูกคนขับรถให้ความสนิทสนมจนเกิด
    บางสิ่งบางอย่างขึ้นในหัวใจเขา   แต่เขาก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่าให้เจียมเนื้อเจียมตัวว่ามันคนละชั้นกันและไม่มีทางเป็นได้    เขาจึงพยามยามที่จะหลีกเลี่ยงการพบปะกันระหว่างเขากับคุณน้อยเพื่อไม่ให้ตัวเองถลำลึกไปมากกว่านี้
     เมื่อเรียนจบกลับมาและเริ่มทำงานเขาจึงได้มาช่วยงานและด้วยความสนิทสนมกัน     จึงทำให้พวกเขาเข้ากันได้ดีจนบางครั้งเขาโดนคุณใหญ่ว่าให้ว่าเขาเป็นพวกชอบประจบสอพอ แต่วิทก็ไม่สนใจ    วิทถือว่าเขาต้องตามหน้าที่
      ที่ได้รับมอบหมายจากคุณสุรชัยและสุรสีห์เท่านั้นคนอื่นในบ้านเขาแทบไม่ใส่ใจเลยว่าใครจะว่าอะไรเขา   การกระทำวันนี้ของเจ้านายก็สร้างความแปลกใจให้วิท  พอสมควรเพระตั้งแต่รู้จักกันมาแต่เด็ก   เจ้านายไม่เคยแสดงออกกับใครเหมือนที่แสดงกับสาวน้อยคนนี้
      ไม่ใช่ว่าเจ้านายเขาจะไม่เคยคบใคร  ในชีวิตของเจ้านายแถมจะไม่เคยขาดผู้หญิงเลยก็ว่าได้ด้วยความพร้อมทั้งฐานะ หน้าตา  มีแต่ผู้หญิงวิ่งเข้าใส่นายสุรสีห์ของบ้านกิจเจริญไพศาลกันทั้งนั้น   แต่เจ้านายก็ไม่เคยให้ความสนิทสนมกับใครมากเป็นพิเศษ
     แม้แต่คุณซินดี้ที่เช้าถึงเย็นถึงเจ้านายก็ยังรักษาระดับความเป็นเพื่อนเท่ากับผู้หญิงอื่นทุกคนที่คุณรองคบด้วย   จะมีก็แต่สาวน้อยคนนี้เท่านั้นที่เจ้านายค่อนข้างจะให้ความเอ็นดู  เป็นพิเศษกว่าคนอื่น    ชักน่าสนุกขึ้นมาแล้วซิ  เขาจะคอยจับตาดูว่าระหว่างเจ้านายเจ้าอารมณ์ของเขา
     กับสาวน้อยคนนั้นใครจะเป็นฝ่ายชนะกันแน่

    “สวัสดีครับคุณใหญ่”   คุณใหญ่รับไหว้ด้วยมือข้างเดียวเพราะอีกข้างหนึ่งโอบหญิงสาวที่เรียกมานั่งดื่มด้วย
     “สวัสดีเสี่ย”
    “คุณใหญ่ให้เกียรติมาเที่ยวถึงนี้”   ชายวัยกลางคนนามว่าปกรณ์ยกมือขึ้นไหว้แล้วลงนั่งที่โซฟาด้านตรงข้าม
    “จะมาถามนะว่ามีปัญหาอะไรมั้ย”
    “ไม่มีปัญหาครับทุกอย่างเรียบร้อยดี...คุณใหญ่มาก็ดีแล้วเดี๋ยวผมจ่ายค่าเช่าโกดังให้ครับ”   ชายวัยกลางคนกล่าวพร้อมกับเสียงหัวเราะลงคอแบบถูกอกถูกใจ
    “ไม่ต้องรีบร้อนก็ได้เรามันคนกันเอง”  
    “ไม่เป็นไร...คุณใหญ่ต้องการอะไรเพิ่มก็เชิญเลยน่ะครับไม่ต้องเกรงใจ”
    “ขอบใจมากเสี่ย”
    “ครับตามสบายเลยครับคุณใหญ่…บริการคุณใหญ่ดีๆ น่ะ”   คุณใหญ่หันไปสนใจสาวน้อยในอ้อมกอดทันที   เมื่อหมดธุระที่จะคุยกับนายปกรณ์แล้ว    นายปกรณ์หันไปมองคนสนิทที่ยืนอยู่ด้วยข้างหลังพยักหน้าเรียกแล้วเดินออกไปจากห้องนั้นทันที
      หลังจากที่เห็นว่าคุณใหญ่หันไปสนใจสาวน้อยในอ้อมกอดแล้ว
     “มันเก็กน่าดูน่ะครับนาย”   ชิดคนสนิทของนายปกรณ์กล่าวหลังจากเดินออกมาพ้นบริเวณนั้นแล้ว
    “ชั่งหัวมันเถอะคนรวยก็อย่างนี้ล่ะ...แกอย่าไปสนใจเลยแล้วงานที่ให้ไปทำล่ะ”
    “เรียบร้อยครับนาย   โกดังที่เช่านั้นทำเลดีไม่ค่อยเป็นที่สนใจของตำรวจเท่าไรแล้วยิ่งเป็นของกิจเจริญไพศ่าลและละก็   ยิ่งไม่ต้องพูดถึงใครอยากจะยุ่งกับคนตะกูลนี้กัน”
    “ฮ้าๆๆๆๆ... ดี ๆ   มาก”    นายปกรณ์หัวเราะอย่างถูกอกถูกใจ
    “นี่ถ้ามันรู้ว่าเราเอาโกดังไปทำอะไรมันคงหัวเราะไม่ออกนะครับ”
    “คนอย่างมันจะสนใจอะไรดีแต่พล่านเงินไปวัน ๆ   แต่แกระวังหน่อยแล้วกันไอ้สุรสีห์หูตามันยังกับสับปะรดไหนจะคนสนิทมันอีกฉันไม่อยากให้เสียงานตอนนี้”
    “ครับผมเจ้านาย…ผมจะระวังครับ”
    “แล้วนี้ไอ้จักรมันไปไหน...ฉันไม่เห็นหน้ามันเลย”   
    “ผมให้ดูความเรียบร้อยที่โกดังครับ”
    “ดูมันหน่อยนะชิด...อย่าให้มีปัญหานะ”   
    “ไอ้จักรมันไว้ไจได้นายไม่ต้องห่วง”   ชิดออกรับแทนลูกน้องที่ตนเอาเข้ามาฝากทำงานกับเสี่ย     เขากับมันเจอกันเพราะกินเหล้าแล้วมีเรื่องลูกน้องก็โดนซัดเสียหมอบดีว่าไอ้จักรมันเข้ามาช่วยไม่งั้นเขาก็คงแย่เหมือนกัน
    “เออแกพูดแบบนี้ฉันก็เบาใจ...แกไปพักผ่อนได้แล้วเหนื่อยมามากแล้วนี้” 
     “ครับผม”    เมื่อคนสนิทเดินออกจากห้องไป   นายปกรณ์ยังยิ้มด้วยใบหน้าที่อิ่มเอิบใจเมื่อนั่งคำนวณตัวเลขของเงินที่จะวิ่งมาเข้ากระเป๋าโดยไม่ต้องลงแรงอะไรมากมาย   แถมไม่ต้องกลัวจะมีปัญหาเพราะมีคนในตระกูลกิจเจริญไพศาลมาเกี่ยวด้วยแบบนี้

    “อ้าวรองมาแล้วเหรอ”    ประมุขบ้านกิจเจริญไพศาลทัก
    “คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าครับ”    สุรสีห์ถามหลังจากที่กลับจากทำงานแล้วเด็กรับให้บอกว่านายสุรชัยต้องการพบ
    “เรื่องตากรนั้นล่ะ...พ่ออยากให้หลานมาอยู่ด้วย”   
    “คงต้องคุยกับคุณพรรณอีกทีครับแต่ท่าทางจะยากอยู่นะครับ”    ชายหนุ่มกล่าวหลังจากที่ทราบว่าหลานชายนั้นอยู่กับแม่มาตั้งแต่ต้น    ทางกิจเจริญไพศาลไม่ได้เลี้ยงดูถึงแม้พ่อของเขาจะส่งเงินลี้ยงดูแต่ละเดือนให้ตามความถนัดที่คิดว่าปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้
    ด้วยเงินจนลืมนึกถึงความเป็นจริงว่าเงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างเสมอไป   หลานชายเขาเป็นคนย่อมต้องการความรักการดูแลเอาใจใส่
    “นั่นล่ะพ่อถึงอยากปรึกษาเราไงว่าจะพูดอย่างไรกันดี”    สุรสีห์ไม่อยากจะเข้าข้างใครเพราะตอนที่ทั้งคู่แต่งงานกันเขายังอยู่ต่างประเทศอยู่พอกลับมาก็ทั้งคู่ก็เลิกกันแล้วโดยส่วนตัวเขาไม่ค่อยได้รู้จักกับพี่สะใภ้เท่าไรนัก   แล้วทั้งคู่ยังใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันในระยะสั้นมาก
      ตอนเลิกกันฝ่ายหญิงก็ไม่ยอมบอกว่ามีท้องเพราะกลัวทางนี้จะไม่ยอมให้หย่าง่าย ๆ   แต่ก็อย่างว่าสำหรับเขาค่อนข้างจะเห็นใจฝ่ายหญิงเสียมากกว่าที่ต้องมาทนกับพี่ชายของเขาที่ไม่มีความรับผิดชอบเอาเสียเลย
    “จะเอายังดี...รอง”    แต่ก่อนที่สุรสีห์จะให้พูดอะไรต่อจากนั้นสุทธิชัยก็เข้ามาพอดี
    “คุยอะไรกันครับผมคุยด้วยคนได้มั้ยครับ”    สุทธิชัยถามเมื่อเข้ามานั่งข้างสุรสชัย
    “ได้ซินายเล็ก…ไม่มีความลับอะไรหรอก”    สุรชัยกล่าวกับลูกชายคนเล็กของตัวเอง
    “คุยอะไรกันครับ”
    “เรื่องของกรนะ...พ่ออยากให้หลานมาอยู่ด้วย”
    “ผมว่าคงยากครับพ่อ...ดูท่าทางพี่พรรณแล้ว”    สุทธิชัยยักไหล่
    “นั้นล่ะพ่อถึงได้อยากปรึกษาพวกเราไงล่ะ”     สุรชัยมองหน้าลูกชายสองคนของเรา
    “พ่อกลุ้มใจกับใหญ่เหลือเกิน...”     นายสุรชัยถอนหายใจอย่างหนักใจกับลูกชายคนโตที่ไม่เป็นโล่เป็นพายเลย
    “พรุ่งนี้รองกับเล็กมีธุระอะไรหรือเปล่า...ถ้าไม่มีอยู่บ้านนะพ่อให้พรรณพากรมาหา”
    “ผมไม่มีธุระอะไรหรอกครับ...พี่รองล่ะมีหรือเปล่า”     สุรสีห์ส่ายศีรษะก้มหน้าลงไม่สบสายตากับพ่อของเขาที่จับตามองเขาอยู่
     “ดี...แล้วกินข้าวกันมาหรือยัง”
     “ยังครับ...ว่าจะมาทานเป็นเพื่อนคุณพ่อ”   สุทธิชัยกล่าวอย่างเอาใจ
    “ไป ๆ   ทานข้าวกัน”    สุรชัยโอบบ่าลูกชายคนเล็กเดินนำออกไปก่อน

    “น้องกรเร็ว ๆ ครับเดียวคุณปู่รอนานนะ”   แพรพรรณตะโกนเรียกลูกชายเมื่อเห็นแต่งตัวไม่เสร็จสักที
    “เสร็จแล้วครับคุณแม่...น้าแพรเสร็จหรือยังครับ”     สิทธิกรตะโกนเรียกน้าสาวลั่นบ้าน
    “น้าแพรเสร็จตั้งนานแล้วนายลูกหมู”   แพรวาบอกเมื่อหลานชายเดินลงมาสมทบที่ห้องรับแขก
    “ว่ากรอีกแล้วนะน้าแพรนะ”    สิทธิกรบ่นพึมพลำ   มองไม่เห็นกระเป๋าของน้าสาวจึงถาม
     “น้าแพรเตรียมชุดว่ายน้ำไปหรือเปล่าครับ”    
    “เปล่า...ทำไมกรจะว่ายน้ำหรือครับ”    แพรวาถามหลานชายเพราะรู้ดีว่าหลานชายชอบว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ  
    “ครับน้าแพรไปว่ายน้ำด้วยกันนะ”
    “ไม่เอาหรอก...กรอยากว่ายก็ว่ายไปคนเดียวซิ”     แพรวารีบปฏิเสธใครจะกล้าไปว่ายน้ำในบ้านผู้ชายตาใบมีดโกนคมกริบคนนั้น
    “ไม่เอาจะให้น้าแพรว่ายด้วยนี่นา”
    “พอ ๆ ทั้งคู่เลยไปกรขึ้นรถ...”   แพรพรรณตัดบทก่อนที่ทั้งคู่จะทะเลาะกันมากไปกว่านี้   แพรวาใจไม่ค่อยดียิ่งใกล้จะถึงบ้านกิจเจริญไพศาลเท่าใดก็ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง   พอเลียวรถเข้ามาในบ้านจึงเห็นประมุขของบ้านออกมารอรับหลานชายอยู่ที่หน้าบ้าน
    “มาลูกมาให้ปู่กอดให้หายคิดถึงหน่อย”   คุณสุรชัยกอดหลานชายด้วยความคิดถึง
    “สวัสดีค่ะคุณพ่อ....คุณน้อย”   แพรวายกไหว้ตามพี่สาว
    “คุณพ่อตื่นเต้นใหญ่เลยค่ะ...ไม่ยอมทานข้าวด้วยนะค่ะจะรอทานพร้อมหลานชาย”   สุทธิดากล่าวยิ้ม
    “ไป ๆ เข้าบ้านกันแม่พรรณ...หนูด้วยเข้าบ้านกัน”   ทั้งหมดเดินเข้าบ้านกัน
    เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จน้องกรรบเล้าจะเล่นน้ำให้ได้   คุณสุรชัยจึงตามใจเดินมานั่งเล่นกันที่ริมสระน้ำขนาดใหญ่ของบ้าน   ส่วนนี้ของบ้านแทบจะไม่ได้ใช้งานเลยก็ว่าได้เหมือนมีไว้ประดับบารมีเฉย ๆ เพราะนาน ๆ ครั้งจึงจะมีคนใช้สระน้ำทีส่วนมากคนที่จะใช้คือลูกชาย
    คนรองแต่เดี๋ยวนี้พองานเยอะจึงไม่ได้ใช้งานเท่าไรนัก
    “น้าแพรว่ายน้ำกับกรหน่อยซิ...กรไม่มีเพื่อนว่ายน้ำด้วย...นะน้าแพรนะ”    สิทธิกรกวักมือเรียกน้าสาว
    “น้าแพรไม่ได้เตรียมชุดว่ายน้ำมานี้จ๊ะ...ว่ายเป็นเพื่อนกรไม่ได้หรอกนะ”   แพรวาบอกวักน้ำสาดไปที่หลานชายที่ว่ายน้ำหนีเธอ
    “ถ้าไม่ถือเอาของน้อยก็ได้ค่ะคุณแพร”    สุทธิดาเอ่ยปากเพราะเห็นหลานชายเล่นน้ำอยู่คนเดียว
    “ไม่รบกวนหรอกค่ะ”   แพรวากล่าวอย่างเกรงใจ
     “รบกวนอะไรกันค่ะมาเถอะค่ะ...กรจะได้มีเพื่อนเล่นน้ำจะได้อยู่กันนาน ๆ มาค่ะน้อยว่ายเป็นเพื่อนด้วยก็ได้”     แพรวาปฏิเสธไม่ได้จึงจำใจลุกตามแรงฉุดของคุณน้อยไปเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ
    “เป็นไงบ้างแม่พรรณอยู่กันได้นะ”   สุรชัยถามอย่างปราณีเขายอมรับว่ารู้สึกผิดกับลูกสะใภ้ตอนอยู่ที่นี้เขาไม่ได้ดูแลหญิงสาวให้ดี
    “พรรณสบายดีค่ะคุณพ่อ...คุณพ่อพรรณขอร้องให้พรรณเลี้ยงน้องกรต่อไปเถอะค่ะพรรณสัญญาว่าจะพากรมาเยี่ยมคุณพ่อบ่อยๆ “   แพรพรรณกล่าวเสียงสั้น
    “แม่พรรณ”
    “คุณพ่อค่ะกรเป็นดวงใจของพรรณขอความเมตตาจากคุณพ่อ...พรรณไหว้ละค่ะ”   นายสุรชัยถอนใจอย่างหนักใจ
    “แม่พรรณพ่อแก่มากแล้วนะพ่ออยากให้หลานมาอยู่ใกล้ ๆ  ”
    “เอาอย่างนี้มั้ยค่ะพรรณจะพากรมานอนค้างกับคุณพ่อบ้าง...แต่จะให้มาอยู่เลยพรรณคงยอมไม่ได้หรอกค่ะ”
    “ถ้าแม่พรรณสัญญากับพ่อว่าจะพา...กรมานอนกับพ่อบ่อย ๆ ก็ได้”   แพรพรรณยกมือไหว้ขอบคุณ   แต่ก่อนที่จะคุยอะไรกันต่อพอดีเห็นคุณรองและคุณเล็กเดินมาพอดี
    “อ้าวอยู่บ้านกันทั้งคู่เลยเหรอ”    สุรชัยทักทายลูกชายสองคนที่เดินเข้ามาในบริเวณสระน้ำ
     “ครับคุณพ่อสวัสดีครับพี่พรรณ”
     “สวัสดีค่ะ…ไม่ออกไปไหนกันหรือค่ะ”    แพรพรรณถามสองหนุ่มเพราะน้อยครั้งที่จะเห็นทั้งสองอยู่บ้านตั้งแต่ตอนยังอยู่กับสุรศักดิ์
    “เบื่อนะครับพี่พรรณ...พี่รองล่ะ”
    “ผมจะไปช่วงเย็นครับ...มาคนเดียวหรือครับคุณพรรณ”   สุรสีห์ถามหลังจากพยายามมองหาหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
    “มากับกรและก็แพรค่ะนี้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะลงเล่นน้ำกันนะค่ะ…นั้นไงค่ะมาพอดีเลย”    ชายหนุ่มทั้งคู่หันไปมองจึงสบสายตาของหญิงสาวที่มองมาพอดี
     “อ้าวพี่รองอยู่บ้านหรือค่ะ...น้อยคิดว่าไปตีกอล์ฟเสียอีก”   ชายหนุ่มยิ้มทักน้องสาว    แต่ตาไม่ได้มองไปทางอื่นเลยนอกจากวงหน้าของหญิงสาวที่ตอนนี้อยู่ในชุดที่ชวนให้หัวใจหวิว ๆ ชุดว่ายน้ำที่หญิงสาวใสนั้นดูเหมือนจะเรียบร้อยถ้าเกิดไม่เว้าโคน
    ขาเสียสูงแล้วข้างหลังเว้าลึกเกือบถึงสะโพก   ทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งที่ลงตัวที่สุดในสายตาของเขา   แพรวายกมือไหว้ชายหนุ่มโดยที่ไม่กล้าจะสบตาก็ดูสายตาที่ชายหนุ่มใช้มองเธอซิ   ตอนนี้เธอรู้สึกว่าแขนขาเธอเกะกะไปหมดไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนถูก
    “สวัสดีครับคุณแพร”    เสียงของคุณเล็กเรียกสติของหญิงสาวกับมา
    “สวัสดีค่ะคุณเล็ก”
    “น้าแพรลงมาซิครับเร็ว” 
    “จ๊ะลงแล้วจ๊ะ...ไปค่ะคุณน้อย”    หญิงสาวรีบชวนกันลงสระเพราะอายสายตาของชายหนุ่มที่มองมา
    “พี่รองพี่เล็กเล่นน้ำด้วยกันไหมค่ะ”
    “ไม่จ๊ะ...น้อยกับคุณแพรเชิญตามสบายครับ...”    แพรวาคิดว่าคงจะสนุกกว่านี้แน่ถ้าไม่มีสายตาของใครบางคนมองอยู่ตลอดเวลาที่ลงเล่นน้ำกับหลานชาย   
    “ว่ายน้ำแข่งกันนะน้าแพร...แต่น้าแพรต้องต่อให้กรนะ”     สิทธิกรร้องท้าน้าสาว
    “เรื่องอะไรนายตัวดีถ้าต่อให้แล้วจะเรียกว่าแข่งหรือจ๊ะ”   
    “ก็น้าแพรโตกว่ากรตั้งเยอะนี้น่า”   สิทธิกรต่อรองอย่างเจ้าเล่ห์
    “เอาซิจ๊ะ...อาน้อยจะเป็นกรรมการให้”   อาสาวบอกหลานชายอย่างเอาใจ
    “ถ้ากรชนะน้าแพรกับอาน้อยต้องเลี้ยงไอศกรีมกรนะ”
    “แล้วถ้าน้าแพรชนะล่ะ...กรจะให้อะไรน้าแพร”
    “ถ้าน้าแพรชนะ...คืนนี้กรจะไปนอนให้น้าแพรกอดทั้งคืนเลย”    คำตอบของหลานชายเรียกเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ที่ได้ยินการสนทนาของสองน้าหลาน   พอเริ่มการแข่งขันปรากฏว่าแพรวาแกล้งแพ้
    “ไชโยได้กินไอศกรีมแล้ว...เย้เย้”   ความสดใสร่าเริงของหลานชายทำให้บ้านกิจเจริญไพศาลกับมามีขีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง
    “ขึ้นเถอะครับแดดเริ่มแรงแล้ว”   แพรวาบอกกับหลานชายหลังจากเล่นน้ำกันเกือบสองชั่วโมง
    “มาครับผมช่วย”   สุทธิชัยยื่นมือมาช่วยรับกรขึ้นจากสระน้ำพร้อมกับช่วยพยุงหญิงสาว   พอขึ้นจากสระได้แพรวาจึงดึงแขนออกอย่างสุภาพ
    “ขอบคุณค่ะคุณเล็ก”     กล่าวพร้อมกับแอบมองชายหนุ่มอีกคนหนึ่งซึ่งตอนนี้หาสนใจเธอไม่     เพราะกำลังคุยกับคุณสุรชัยอย่างออกรส     เมื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จจึงออกมาเห็นหลานชายหลับอยู่บนโซฟาด้วยความอ่อนเพลีย
    “ดูหลานชายเธอซิยายแพร”    แพรวาอดที่จะยิ้มกับความน่ารักของหลานชายไม่ได้
    “จะกลับบ้านกี่โมงค่ะพี่พรรณ”     แพรวาถามพี่สาวเพราะนี้ก็บ่ายแก่แล้ว
    “รอให้กรตื่นก่อนนะค่อยกลับ”
    “งั้นแพรไปเดินเล่นในสวนหน้าบ้านนะค่ะ”
    “ไปเถอะ”    แพรวาเดินเล่นมาเรื่อย   ๆ   จนเห็นศาลาที่ริมบึงจึงเดินไปนั่งเล่นที่ศาลา   มีบึงบัวขุดขึ้นเองภายในบ้านแถมมีต้นไม้ร่มรื่นทำให้มุมนี้น่านั่งเล่นขึ้นมาก
    “เหนื่อยมั้ย”   แพรวาตกใจหันมาเห็นคุณรองยื่นอยู่ใกล้   ๆ  
     “ว่าไงเหนื่อยมั้ย”  
     “เหนื่อยอะไรค่ะ”    แพรวาไม่กล้าสบสายตาของชายหนุ่มที่มองมา
    “ก็ที่เล่นน้ำกับน้องกร”
    “ไม่หรอกค่ะแพรชินแล้ว...คุณรองเดินมาทางไหนค่ะทำไมแพรไม่”   แพรวาถามเมื่อตอนที่เดินมาเธอไม่เห็นเขา
     “ผมนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วแต่แพรคงไม่ได้สังเกต...มุมนี้เป็นมุมโปรดของผมเลยนะ”   สุรสีห์ตอบข้อสงสัยของหญิงสาว
    “ค่ะ...ลมพัดเย็นสบายมากเลย”
    “ผมไม่อนุญาตให้ใส่ที่อื่นนะ”    ชายหนุ่มพูดไปอีกเรื่องหนึ่งคนแพรวาตามไม่ทัน
    “อะไรค่ะ”    แพรวาถามอย่างงง     บอกตามตรงว่าเธอตามเขาไม่ค่อยจะทัน
    “ก็ชุดว่ายน้ำไงต่อไปนี้ห้ามไปใส่เด็ดขาด…ถ้าไม่มีผมอยู่ด้วย”
    “เรื่องอะไรค่ะ”    แพรวาคิดในใจก็มันเรื่องของเธอทำไมต้องขออนุญาตเขาด้วย
    “อย่ามาดื้อกับผมนะแพรผมไม่อนุญาตก็คือไม่อนุญาต”    สุรสีห์กล่าวอย่างคนเอาแต่ใจและไม่ชอบให้ใครมาขัดใจด้วย
    “ก็มันเรื่องอะไรล่ะค่ะมาห้ามแพรไม่ไห้ใส่ชุดว่ายน้ำ…แพรไม่ใช่คุณซินดี้นะค่ะเรื่องอะไรต้องห้าม”
    “เกี่ยวอะไรกับซินดี้ล่ะ”
    “ก็คุณซินดี้เป็นแฟนคุณไม่ใช่หรือค่ะ”     แพรวาตอบและหันหลังให้ไม่อยากให้เขาเห็นว่าเธอลุ้นคำตอบขนาดไหน
    “ผมกับซินดี้เป็นแค่เพื่อนกันนะ”   
    “แพรไม่ได้ถามเสียหน่อย”     แพรวาลอบยิ้มเมื่อชายหนุ่มปฎิเสธความสัมพันธ์กับนางแบบสาว
    “เอาเป็นว่าผมเต็มจะบอกคุณแล้วกัน…แล้วเรื่องนั้นว่าอย่างไร”    สุรสีห์แตะบ่าหญิงสาวบังคับให้เธอหันมาหาเขา   หญิงสาวยังคงก้มหน้าหลบสายตาของชายหนุ่ม     สุรสีห์เชยปลายคางของหญิงสาวขึ้นช้าจนสายตาสบสายตากัน 
    “คุณรองจะห้ามแพร...ใส่เลยหรือค่ะ”    แพรวาถาม
     “ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใส่...จะใส่ก็ได้แต่ต้องมีผมอยู่ด้วยเข้าใจไหม”    แพรวามองหน้าคนพูดแต่ไม่ยอมตอบรับใด ๆ ทั้งสิน
    “ว่าไงล่ะ”    แพรวาไม่ยอมตอบคำถาม     สุรสีห์เอื้อมมือไปลูบผมที่ตกลงมาปิดหน้าตาของหญิงสาวอย่างอ่อนโยน
    “แล้วเรื่องอะไรที่แพรต้องรับปากด้วยล่ะค่ะ”   สุรสีห์จับมือของหญิงสาวขึ้นมาจูบที่ใจกลางฝ่ามือ   จับมือของเธอแนบกับแก้มของเขา   แพรวาพยายามที่จะดึงมือออกจากการจับกุมของชายหนุ่ม
    “ปล่อยค่ะเดี๋ยวใครมาเห็นเข้า”
    “รับปากผมก่อนซิ”    สุรสีห์ยังคงรอคำตอบ
    “จะให้รับปากว่าอะไรล่ะค่ะ”   แพรวาถามอย่างลืมตัวจะไม่ลืมได้ยังไงในเมื่อจิตใจเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
    “รีบปากว่าจะไม่ใส่ชุดว่ายน้ำโดยที่ไม่มีผมอยู่ด้วย…รับปากผมนะคนดี”    สุรสีห์มองหน้าหญิงสาวอย่างหลงใหลแพรวาเหมือนโดนมนต์สะกดไปชั่วขณะ
    “ค่ะ…”
    “ค่ะว่าอย่างไร”
    “แพรจะไม่ใส่ชุดว่ายน้ำ”   แพรวารับปากอย่างขัดใจคนอะไรเอาแต่ใจซะมัดเลย
    “ใส่ได้แต่ต้องต่อหน้าผมเท่านั้น…”   ก่อนที่ทั้งคู่จะได้คุยกันต่อก็ได้ยินเสียงเรียกภายในบ้าน   ทั้งสองจึงเดินกลับเข้าไปในบ้าน   เมื่อกลับมาบ้านแพรวาอดที่จะรู้สึกวาบหวามหัวใจไม่ได้กับท่าทีของชายหนุ่ม    หรือเราจะคิดมากไปเขาอาจจะไม่ได้คิดอะไรกับเรา
      คงเห็นเราเป็นเด็กที่หรอกง่าย ๆ หรือเปล่านะ   แพรวานอนคิดจนหลับไปด้วยหัวใจสับสน

    สองหนุ่มสาวไม่รู้ตัวเลยว่าสิ่งที่ทั้งสองปฎิบัติต่อกันนั้นมีสายตาอีกคู่มองด้วยความสนใจใคร่อยากรู้ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองว่าเป็นอย่างไรกันแน่   ประมุขของบ้านกิจเจริญไพศาลมองสองหนุ่มสาวอย่างพอใจนานแล้วนะที่เขาไม่ได้เห็นลูกชายคนนี้ทำอะไรอย่างนี้
      เพราะเป็นที่รู้กันว่าสุรสีห์เป็นคนเก็บความรู้สึกมากขนาดไหน   ทั้งในบ้านและที่ทำงานไม่มีใครเคยรู้ใจลูกชายคนนี้ของเขา  กระทั้งตัวเขาเองก็ตามไม่เคยเดาได้เลยว่าลูกคนนี้คิดอะไรอยู่ในใจกันแน่    บรรดากรรมการของบริษัททั้งหลายก็มีมาพูดเข้าหูเข้าบ้างเหมือนกัน
    เกี่ยวกับลูกชายคนนี้ว่าเดาความรู้สึกอย่างเหลือเกิน   แต่ทุกคนก็ยอมรับความสามารถของสุรสีห์กันทุกคน   ลูกชายเขาคน  นี้ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังและยังพิสูจน์ความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของทุกคน  สงสัยเขาต้องให้ยายหนูแพรวามาที่นี้บ่อย ๆ เสียแล้วซิ  นายสุรชัยคิดอย่างพอใจ

      ตอนที่  5      
    “นายว่าอย่างไรนะเล็ก...นายรองกับน้องของพรรณ”
    “ครับพี่ใหญ่ผมว่าพี่รองแปลก ๆ “
    “แปลกอย่างไร”   ใหญ่ถามน้องชายด้วยความสงสัย   เพราะเป็นที่รู้กันว่านายรองไม่เคยให้ความสนใจกับผู้หญิงคนไหนมาก่อนเลย   ผู้หญิงทุกคนที่ก้าวเข้ามาในชีวิตก็เหมือนเพื่อนกันไปหมดไม่ได้ให้ความสนใจใครเป็นพิเศษ   แต่ที่นายเล็กเล่าให้ฟังนี้ทำให้เขาอดที่จะสงสัยไม่ได้
    ว่าน้องชายอีกคนให้ความสนใจกับผู้หญิงที่ชื่อแพรวาเป็นพิเศษ
    “จริงนะครับพี่ใหญ่...ผมไม่เคยเห็นพี่รองมองใครแบบนี้มาก่อนเลย”    สุทธิชัยเล่าให้ฟังเมื่อเห็นอาการแปลกๆ   ของพี่คนรอง
    “ชักน่าสนใจแล้วซิ...ผู้หญิงคนนี้”    สุรศักดิ์ลูบปลายคางหลี่ตาลงอย่างเจ้าเล่ห์
    “พี่ใหญ่หมายความว่าอย่างไรครับ”    สุทธิชัยถามอย่างสงสัย
    “ก็ถ้าทำให้นายรองสนใจได้...นับว่าเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจมากเชียวล่ะ”
    “อย่าบอกนะครับว่าพี่ใหญ่จะจีบเธอด้วยอีกคน”
    “ทำไมล่ะ...ถ้าฉันจะจีบนะ”
    “พี่พรรณได้เอาตายปะไร”    
    “ฉันไม่สนหรอกนะว่าใครจะคิดอย่างไร…ถ้าฉันต้องการฉันต้องได้”    สุรศักดิ์กล่าวอย่างไม่แคร์
    “ระวังนะครับพี่ใหญ่”   สุทธิชัยมองเห็นเค้าความยุ่งยากที่จะตามมา   หากพี่ชายคนโตคิดจะทำแบบนั้นจริง ๆ
    “ระวังอะไรว่ะนายเล็ก”
    “ก็ปัญหาที่จะตามมาไงครับ...แค่นี้บ้านเราก็มีปัญหาพอแล้ว”   
    “ฉันไม่สนหรอกนะใครจะคิดอย่างไร”     กล่าวจบสุรศักดิ์กระดกเหล้าขึ้นดื่มหมดแก้ว   แล้วยื่นให้น้องชายผสมให้ใหม่
    “ผมแค่ไม่อยากให้บ้านเรามีปัญหามากไปกว่านี้นะครับพี่ใหญ่…ถ้าเกิดพี่รองชอบเธอขึ้นมาจริง   ๆ   “
    “ของพันธ์นี้มันใครดีใครได้”   
    “ผมก็แค่เตือนนะครับ”    สุทธิชัยกล่าวพร้อมยื่นแก้วเหล้าที่ผสมเสร็จให้พี่ชาย
    “เอาน่าแกอย่าคิดมากนักเลยนายเล็ก”   สุรศักดิ์กล่าวอย่างมาดมั่น   อันที่จริงเขาก็สนใจในตัวหญิงสาวอยู่แต่ติดตรงที่ว่าท่าทางแพรพรรณจะหวงน้องสาวพอดู   เขาถึงไม่อยากจะมีปัญหาแต่ถ้าเกิดนายรองสนใจเขาก็อยากจะลองดูสักตั้งเพื่อความสะใจที่เอาชนะนายรองได้

    เสียงโทรศัพท์มือถือของแพรวาดังขึ้นในขณะที่กำลังขับรถกลับจากการไปซื้อวัสดุที่ต้องนำมาตกแต่งเสื้อผ้า
    “แพรซื้อของเสร็จหรือยังแล้วอยู่ไหนเนี่ย”      แพรวารับยังไม่ทันจะกล่าวอะไร   ลูกตาลก็ชิงถามเสียก่อน
    “ซื้อของเสร็จแล้วกำลังจะถึงที่ร้านแล้วล่ะ…มีอะไรหรือเปล่า”     แพรวาถามเพื่อนอย่างสงสัย
    “เออดี...รีบมานะเร็ว ๆ ด้วย”
    “เดี๋ยวซิ...มีอะไรหรือเปล่า”
    “รีบมาเถอะน่า”    ลูกตาลวางสายไปทามกลางความแปลกใจของแพรวา   ยิ่งวันยิ่งแปลกนะเพื่อนคนนี้   แพรวานึกถึงเพื่อนอย่างขำ ๆ
     “ว่าไงย่ะ...ให้ฉันรีบมาไหนมีอะไรไม่ทราบ”   ลูกตาลพยักเพยิกหน้าให้หันไปมองทางด้านหลัง   แพรวาจึงหันกลับไปมองแล้วก็ต้องตกใจ   กลัวคนอื่นจะได้ยินเสียงหัวใจตัวเองที่เต้นแรงมาก
     “คุณรอง”
    “สวัสดีครับ”   ชายหนุ่มก้มศีรษะให้อย่างล้อเลียนกับอาการของหญิงสาว
    “สวัสดีค่ะคุณรองไปไหนมาค่ะ”
     “มาหาข้าวกลางวันกินไม่ทราบว่าที่นี้พอจะมีอะไรให้ผมกับคนของผมกินบ้างหรือเปล่า”   แพรวาหันไปมองทางด้านหลังชายหนุ่มจึงเจอผู้ชายคนหนึ่งซิ่งนั่งทำหน้าไม่ยินดียินร้ายกับอะไรทั้งนั้น    หญิงสาวมองนาฬิกาที่ข้อมือของตัวเอง   บ่ายสองโมง
    “บ่ายสองแส้วคุณรองยังไม่ได้ทานอะไรอีกหรือค่ะ”    ชายหนุ่มส่ายหน้าแทนคำตอบที่หญิงสาวถาม
    “จะทานอะไรล่ะค่ะ”
     “คุณจะไปทานกับผมข้างนอกหรือจะกินที่นี้ก็แล้วแต่คุณ”    ชายหนุ่มกล่าวพลางยักไหล่
     หญิงสาวทำหน้าไม่ถูกเพราะระหว่างที่คุยกันนั้นชายหนุ่มไม่ได้หันหน้าไปทางอื่นเลยนอกจากมองหญิงสาวอย่างเดียว    แพรวาหันไปมองเพื่อนสาวที่หันมองคนโน้นที   คนนี้ที
    “เธอกินอะไรหรือยังลูกตาล”                                                                                                                                                                                                                            “กิน...โอ๊ย...ยังจ๊ะ”   ลูกตาลร้องพร้อมกับเอามือลูบแขนของตัวเองที่โดนแพรวาหยิก
    “ดีงั้นเดี๋ยวกินด้วยกันนะ”     ลูกตาลอยากจะแกล้งเพื่อนเหมือนกันแต่เมื่อหันไปเห็นสายตาของเพื่อนสาวจึงปฏิเสธไม่ออกจึงจำใจต้องตอบรับถ้ายังไม่อยากตาย
    “จ๊ะกินก็กิน”                                                                                           
     “งั้นทานที่นี้ก็แล้วกันน่ะค่ะ...กินอาการพื้น ๆ ได้มั้ยค่ะ”   หญิงสาวถามพร้อมกับทำหน้าเจ้าเล่ห์
    “ได้ผมทานได้ทุกอย่างอยู่แล้ว”   หญิงสาวจึงหันไปเรียกเด็กในร้านให้ออกไปซื้ออาหารตามที่หญิงสาวจดให้    เด็กสาวทำหน้าแปลกใจกับรายการอาหารที่หญิงสาวจดให้
    “ซื้อตามนี้เลยหรือค่ะคุณแพร”   เด็กสาวทำหน้าสยอง
    “ตามนี้ล่ะ ...กลับมาเร็ว ๆ ด้วยนะ”
    “ค่ะ”   เมื่อเด็กในร้านเดินออกไปซื้อของแล้วจึงหันกลับมามองชายหนุ่มที่นั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่ในร้าน
    “คุณรองมานานแล้วหรือค่ะ”
    “ซักพักแล้ว   แพรล่ะไปซื้ออะไรมา”   ชายหนุ่มถามพร้อมกับก้าวเดินมาหาหญิงสาวเอื้อมมือไปจับมือหญิงสาวจูงให้มานั่งด้วยกันที่โซฟาที่เขานั่งอยู่เพราะ แพรวาไม่มีทีท่าว่าจะลงมานั่งคุยกับเขา   ลูกตาลแปลกใจกับความสนิทสนมของเพื่อนสาวกับชายหนุ่มตรงหน้า 
      พรางนึกในใจทำไมเพื่อนไม่เคยเล่าอะไรเกี่ยวกับชายหนุ่มให้ฟังเลย     เดี๋ยวเถอะถ้ากลับไปกันหมดแล้วจะจับเพื่อนมาซักฟอกเสียให้ขาวสะอาดเลย
     “ซื้อของที่จะทำเสื้อให้ลูกค้าน่ะค่ะ”   แพรวากล่าวพร้อมกับพยายามบิดมือออกจากมือชายหนุ่ม    หันไปมองเพื่อนสาวที่มองตาโต   อ้าปากค้างกับการกระทำของชายหนุ่ม   นายวิทพยายามกลั้นยิ้มอย่างลำบากหลังจากเห็นการกระทำของเจ้านายตนเอง
      น้อยคนนักที่จะเห็นเจ้านายเขาทำอะไรแบบนี้  
    “ต้องไปซื้อเองเลยหรือ”
    “ค่ะ…ช่วยปล่อยมือก่อนได้มั้ยค่ะ”
     “ถ้าปล่อยแล้วแน่ใจนะว่าจะไม่หนี”
    “ดิ...แพรไม่ได้จะหนีแต่ต้องทำงานน่ะค่ะ”   แพรวาเกือบหลุดปากพูดดิฉันออกไปดีว่าหันไปเห็นสายตามาดหมายของชายหนุ่มเสียก่อน
    “กินข้าวด้วยกันก่อนแล้วค่อยทำงาน”
    “เรื่องอะไรมาบังคับ…แล้วแพรก็อายคนด้วยนะ”
     “ไม่เห็นต้องอายเลยนี่ก็วิทคนของผม...แล้วก็คุณลูกตาลเพื่อนคุณ...มีแต่คนกันเองทั้งนั้นเลย”   คำพูดที่แสดงความสนิทสนมของชายหนุ่มสร้างความแปลกใจให้กับหญิงสาวเป็นอันมาก   แต่ก่อนที่จะเกิดส่งความย่อยในร้าน   เด็กที่ให้ไดซื้อของก็กลับมาเสียก่อน
     “ปล่อยมือค่ะแพรจะไปจัดอาหารให้”    นั่นล่ะชายหนุ่มจึงยอมปล่อยมือ   แพรวาจึงก้าวเดินออกจากตรงนั้นทันที
     “อะไรเนี่ยยายแพร   เธออย่าบอกนะว่าจะให้เขากินของพวกนี้”    ลูกตาลเห็นของที่เด็กซื้อแล้วตกใจ
    “ทำไมก็ฉันถามแล้ว...เขาบอกกินได้ทุกอย่างหรือเธอไม่ได้ยิน”    แพรวาทำหน้าใสซื่อ
    “ทุกอย่างน่ะมันรวมของพวกนี้ด้วยเหรอ” 
     “เอาล่ะเสร็จแล้ว...ฉันไปตามพวกเขาก่อนนะ”   กล่าวจบหญิงสาวเดินออกไป
    “เชิญทานข้าวค่ะคุณรอง...คุณวิท”   สองหนุ่มลุกขึ้นยืนเดินตามหญิงสาวไปทันที    แต่เมื่อสองหนุ่มเดินเข้ามาเจอกับอาหารตรงหน้าถึงกับอึง    วิทยาถึงกับเกือบหลุดปากหัวเราะออกมาด้วยความขบขันเมื่อหันไปเห็นหน้าเจ้านาย 
     ก็จะไม่ให้เขาหัวเราะได้อย่างไรในเมื่ออาหารตรงหน้าคือ   ข้าวเหนียว ไก่ย่าง ส้มตำ น้ำตก   ซุบหน่อไม้   ลาบก้อย   แทบทุกอย่างดูก็รู้ว่าคงจะเผ็ดมาก   มองจากสีสันแล้วสงสารกระเพาะ
    “ทานได้มั้ยค่ะ”     
    “ได้”   เมื่อได้ฟังคำตอบ   หญิงสาวลอบยิ้มในหน้า
    “เอาล่ะค่ะลงมือทานกันเลย”   ลูกตาลทำหน้าที่แจกจานและซ้อน   มองหน้าชายหนุ่มแล้วอดสยองแทนไม่ได้   คุณรองกินส้มตำคำแรกก็รู้สึกลิ้นชาดิก   ต้องรีบคว้าน้ำมาดื่มแทบไม่ทัน    หันมามองหญิงสาวที่นั่งยิ้มในหน้านั่งกินเฉยเหมือนไม่เผ็ด  
     ทำให้เขาอยากเอาชนะโดยการหันไปตักน้ำตกหมูขิ้นมากิน    พยายามจะไม่หยิบน้ำกินนายวิทนั่งกินไปยิ้มไปกับการกระทำของทั้งสองคน    ส่วนลูกตาลไม่สามารถทานอะไรได้มากนอกจากมองคนนั้นทีคนนี้ที
    “ไหวมั้ยค่ะคุณรอง “   ลูกตาลถามพลางหยิบกระดาษทิชชูให้ชายหนุ่มซับเหงื่อที่ไหลเต็มหน้าผากของชายหนุ่ม  
    “ขอโทษครับ”    ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นเมื่อเริ่มรู้สึกว่าทนไม่ไหวแล้วรีบเดินไปที่ห้องน้ำทันที  
    “แพรทำไงดี”
    “ทำอะไรล่ะ”     แพรวาถามงง    ลูกตาลอดที่จะหมั่นไส้ไม่ได้
    “สงสารเขานะดูซิหน้าแดงไปหมดแล้ว”
    “แค่เผ็ดนะไม่ตายหรอกลูกตาล”   
    “ไม่ตายแต่มันทรมานนะยายแพร”
    “คุณวิทไม่ลุกไปดูหน่อยหรือค่ะ”   เมื่อเห็นว่าเพื่อนเธอคงไม่ช่วยนะลูกตาลจึงหันไปหาชายหนุ่มอีกคน
    “คงไม่เป็นอะไรมั่งครับ”   นายวิทพูดพร้อมกับนั่งกินต่อโดยไม่สนใจเจ้านายอีก    แพรวานั่งกินโดยไม่สนใจ    เมื่อชายหนุ่มกลับมาอีกครั้งหญิงสาวอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้    จะไม่ให้หัวเราะได้อย่างไรคุณรองต้องปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตจนลงมาเห็นแผลงอกกว้าง
      เหงื่อยังผุดเต็มหน้าผาก   หน้าและริมฝีปากแดงจัด   คุณรองมองหญิงสาวตัวแสบตรงหน้ายังคาดโทษ  
    “อิ่มหรือยังวิท...นายกินดูน่าอร่อยนะ”     สุรสีห์ถามคนสนิททที่เขาเห็นปันข้าวเหนียวจิ้มอย่างเอร็ดอร่อย
    “ก็อร่อยจริง ๆ นะครับเจ้านาย”   วิทยาพูดอย่างทองไม่รู้ร้อน
    “อร่อยมากมั้ยครับแพร”   สุรสีห์หันมาถามคนที่เขารู้ดีว่าจงใจแกล้งเขา
    “อร่อยค่ะ…คุณเป็นไงบ้างค่ะหน้าแดงหมดเลย”   แพรวาหันโบกมือเมื่อเห็นเหงื่อเต็มหน้าชายหนุ่มพัดให้อย่างเอาใจ
    “ไม่เป็นอะไร...ผมขอน้ำเย็นอีกแก้วได้ไหม”
    “ได้ซิค่ะ”    แพรวาหันไปหยิบแก้วน้ำให้    ใบหน้ายังเปื้อนรอยยิ้มที่สามารถแกล้งชายหนุ่มได้   แต่หญิงสาวคงลืมนึกไปว่าคนที่ตัวเองกำลังเล่นด้วยนั้น   ไม่ใช่คนที่สาวน้อยอ่อนประสบการณ์อย่างเธอจะเล่นด้วยได้
       ชายหนุ่มมองมือหญิงสาวที่ถือแก้วน้ำอยู่โดยไม่รับแก้วน้ำชายหนุ่มเอื้อมมือไปวางบนมือหญิงสาว   เธอเลยต้องจำใจป้อนน้ำให้ชายหนุ่มไปโดยปริยาย   แพรวาหน้าคว่ำที่โดยชายหนุ่มเอาคืนเพราะถึงแม้จะดื่มน้ำแล้วก็ยังไม่ปล่อยมือหญิงสาวยังคงจับมืออยู่อย่างนั้น  
     “ปล่อยมือได้แล้วค่ะ”
    “ผมยังไม่หายเผ็ดเลยนะ”    พูดแล้วก็ยกแก้วขึ้นจิบอีก
    “คุณรองก็รับแก้วน้ำไปทานเองซิค่ะ”   ชายหนุ่มทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยังคงวางมือทับมือแพรวาไว้ไม่ยอมปล่อย
    “แพรต้องรับผิดชอบซิที่ทำให้ผมกินของเผ็ด ๆ อย่างนี้”
     “แพรถามแล้วนะค่ะว่ากินได้มั้ยคุณบอกกินได้ทุกอย่างนี้”   ชายหนุ่มมองหน้าหญิงสาวตรงหน้าด้วยใบหน้าที่อมยิ้ม   
    “วิทรออยู่นี้นะ...เดี๋ยวฉันมา”   กล่าวจบก็เดินจูงมือหญิงสาวให้เดินก้าวตามตนเองมาที่หลังร้านซึ่งเป็นห้องพักผ่อน     แพรวาอายจนหน้าแดงไปถึงใบหูกับสายตาของทุกคนในร้านที่มองยังตนด้วยใบหน้าที่แอบอมยิ้มกันทุกคนรวมทั้งลูกตาลและวิทด้วย   
     “จะทำอะไรค่ะเนี่ย”    เมื่อประตูปิดลงหญิงสาวถามทันที   ชายหนุ่มหันมามองหญิงสาวด้วยสายตาเอ็นดูที่เห็นใบหน้าหญิงสาวแดงไปหมดแถมยังเอาแต่ก้มหน้าไม่ยอมสบตากับเขาอีก   ชายหนุ่มยกมือขึ้นเชยปลายคางกึ่งบังคับให้เธอเงยหน้าขึ้นมองตาเขา
    “อายอะไร”
    “ก็แพร”
    “ก็แพรอะไร...ไหนมองหน้าผมซิอย่าเอาแต่ก้มหน้าอย่างนี้”   สุรสีห์เชยปลายคางบังคับให้ แพรวาเงยหน้าขึ้นสบตา    สุรสีห์ยกมือขึ้นไปเสยผมที่ลงมาปรกหน้าไล้แก้มเรื่อยลงมาที่ริมฝีปากบางของหญิงสาวแตะปลายนิ้วเบาที่ริมฝีปากเธอ   ชายหนุ่มก็ก้มหน้าลงมาหา
      แพรวารีบยกมือขึ้นกันไว้ก่อนที่ริมฝีปากจะสัมผัสกัน
    “อย่าค่ะ”     แพรวาประสานสายตากับเขาแต่สุดท้ายต้องหลบ   เธอได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ  
    “ทำไม่ล่ะ...”
    “คุณรองหายเผ็ดแล้วหรือค่ะ”    แพรวาพยายามเบี่ยงเบนความสนใจของเขา
    “หายแล้ว”
    “แต่แพรยังไม่หาย”
    “เดี๋ยวผมช่วย”   แพรวาทำตาโต
    “ไม่ต้องค่ะ”   คุณรองยกมือของแพรวาขึ้นจูบแทน
    “คุณทำอะไรกับผมสาวน้อย”   ชายหนุ่มถามอย่างไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน   ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงมีอิทธิพลกับเขาขนาดนี้
    “แพร”
    “จุ๊ๆ...ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”   ชายหนุ่มกดศีรษะของหญิงสาวให้มาพิงกับอกของตัวเอง
    “อย่าถามอะไรเลยนะผมยังไม่อยากพูดอะไรตอนนี้”    กล่าวพร้อมกับกอดหญิงสาวแน่นขึ้น
    “ปล่อยแพรเถอะค่ะ...ทำแบบนี้ไม่ดีน่ะค่ะ”    แพรวาเงยหน้าสบตาชายหนุ่มอย่างขอความเห็นใจ
    “เย็นนี้คุณว่างมั้ย”   หญิงสาวส่ายหน้าปฎิเสธทั้งที่ยังไม่รู้ว่าชายหนุ่มถามทำไม
    “ส่ายหน้าทั้งที่ยังไม่รู้ว่าผมถามทำไม...ใจร้ายไปหรือเปล่า”   คุณรองถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม    ตอนนี้เขาไม่อยากหาเหตุผลอะไรทั้งนั้นเกี่ยวกับเรื่องของผู้หญิงคนนี้รู้แต่ว่าตอนนี้อยากอยู่ใกล้   อยากแกล้ง   อยากตอแย   อยากเห็นใบหน้าสวยๆ 
     นี้เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะความอายด้วยฝีมือเขา
    “แต่งตัวให้สวยผมจะมารับไปทานข้าวฟังเพลง”
    “แพรไม่ไปน่ะค่ะ…ที่จริงดิฉันไม่ควรให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ”    หญิงสาวก้มหน้ากล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ
    “คุณไม่ได้ทำอะไรผิดนี่”
    “นี้ยังไม่ผิดหรือค่ะ…ที่ปล่อยให้คุณรองกอดจูบเหมือนผู้หญิงใจง่ายอย่างนี้”
    “อย่าพูดแบบนี้อีกเป็นอันขาดน่ะ   ถ้าไม่อยากถูกผมทำโทษอีกล่ะก็เราไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย...”   คุณรองเช็ดน้ำตาให้หญิงสาวอย่างอ่อนโยน
    “อย่าร้องไห้อีกรู้มั้ย...ดูซิตาช้ำไปหมดแล้วไม่สวยเลย   ผมอยากให้แพรเชื่อใจผมว่าสิ่งที่เกิดขึ้นผมไม่ได้ทำไปด้วยอารมณ์และผมจะจัดการทุกอย่างเอง   ไหนเงยหน้ามองผมซิ”    แพรวาเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มผ่านม่านน้ำตาที่เออล้นเต็มสองดวงตา
    “แพรเชื่อใจผมมั้ย” 
    “แพรไม่รู้”
     “ผมอยากให้แพรเชื่อใจผม...ทุกอย่างที่เกิดขึ้นผมไม่ได้ทำเล่น ๆ   ผมจะจัดการทุกอย่างเอง”
    “แพรไม่รู้อะไรทั้งนั้นแล้วแพรก็ไม่เข้าในสิ่งที่คุณรองกำลังทำอยู่…คุณรองอาจจะเห็นแพรเป็นของเล่น”
    “แพร...หยุดพูดดูถูกตัวเองได้แล้วนะ”   แพรวาปล่อยให้น้ำตาไหลรินออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่     ไม่รู้วาที่ร้องไห้เพราะโดนเขารังแกหรือตกเสียงของชายหนุ่มที่ห้วนขึ้น
    “ผมไม่เคยเห็นแพรเป็นของเล่นหรืออะไรทั้งนั้น…ผมอยากให้แพรเชื่อใจไว้ใจผมแล้วผมว่าผมจะจัดการทุกอย่างได้...ว่าไง”
     “ค่ะ”   ชายหนุ่มยิ้มกับคำตอบที่ได้รีบ
     “เด็กดี”   ชายหนุ่มกล่าวจบจึงก้มหน้าจูบหน้าผากมนเป็นรางวัล
    “เย็นนี้ผมจะมารับไปทานข้าวแต่งตัวรอผมนะ”   แพรวาพยักหน้า    หมดกำลังใจจะปฏิเสธตอนนี้เธอคิดอะไรไม่ออกทั้งนั้นมันมึนงงไปหมดแล้ว
     “ผมไปล่ะ...ตอนเย็นเจอกันผมจะไปรับที่บ้าน”    กล่าวจบก็จูงมือหญิงสาวออกมานอกห้อง   จึงมาเจอกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของบรรดาเด็กในร้านที่มองมาอย่างสงสัย                                                                                                                                                                                         
    “ไปวิทกลับกันได้แล้ว”   คุณรองหันมามองหญิงสาวอีกครั้ง
    “ผมกลับก่อนนะ...ตอนเย็นเจอกัน”    แพรวาไม่ตอบรับแถมไม่สบสายตาด้วยอีกต่างหาก
    “ทำไมทำหน้าอย่างงั้น”   สุรสีห์ถามพรางเอื้อมมือมาไล้แก้มของหญิงสาวเบาๆ   ไม่สนใจอาการตาค้างของเด็กภายในร้านที่มองอย่างตกใจกับการกระทำของชายหนุ่ม
    “แพรว่า...”
    “ผมต้องการคำว่า ...ค่ะ...คำเดียว”   กล่าวด้วยเสียงที่บังคับ   แพรวามองหน้าชายหนุ่มพลางคิดถ้าไม่ตอบตกลงงานนี้ไม่จบง่าย ๆ แน่ รับๆ   ไปแล้วกัน
     “ค่ะ”   เมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้วคุณรองจึงกลับไป   แพรวารอจนคุณรองก้าวออกจากร้านไปแล้ว    จึงหันกลับมาเจอสายตาของคนในร้านที่มองมาอย่างสงสัยในพฤติกรรมของเจ้านายสาวกับหนุ่มหล่อมาดเนียบอย่างคุณสุรสีห์   กิจเจริญไพศาลคนนั้น
    “มองอะไรกันจ๊ะทำไมไม่ทำงาน”
     “นี่เธอไม่ต้องมาเฉไฉเลยนะบอกมาเสียดีๆ   ว่ามันเรื่องอะไรกันแน่”
    “ฉันเองก็ไม่รู้”
    “ไม่รู้...ไม่รู้ได้ไงล่ะ”
    “อย่าเพิ่งถามฉันตอนนี้เลยนะลูกตาล...ฉันยังไม่พร้อมจะเล่าออะไรทั้งนั้น    ไว้ฉันพร้อมเมื่อไรฉันจะเล่าให้เธอฟังเป็นคนแรกแต่ตอนนี้ฉันขอร้องอย่าเพิ่งถามอะไรฉันะเลยนะ”    แพรวากล่าวจบก็เดินเลียงเข้าไปที่ห้องพักที่มีเพื่อไว้เวลางานมาก 
     จะได้นอนพักที่ห้องเสื้อเลยไม่ต้องกลับบ้าน     แพรวาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองเหมือนกันแล้วจะให้บอกกับคนอื่นอย่างไร    ว่าทำไมเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นได้   ถ้าคนอื่นรู้จะคิดอย่างไรที่ปล่อยให้ผู้ชายที่เพิ่งเจอกันไม่กี่ครั้งทั้งกอดทั้งจูบ
       แล้วตัวเขาเองคิดอย่างไรกับเราจะคิดว่าเราเป็นคนใจง่ายหรือเป็นของเล่นถึงได้ทำกับเราอย่างนี้    แล้วเราเองก็เหมือนกันทำไมใจต้องสั่นทุกครั้งที่คิดถึงเขา   ทำไมถึงยอมให้เขาทำแบบนี้กับเรา   แพรวาคิดพลางถอนใจอย่างหนักใจ

       ตอนที่  6                  
     “อารมณ์ดีเกินไปหรือเปล่าครับเจ้านาย”    วิทถามเพราะเจ้านายเอาแต่นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่สร้างความหมั่นไส้ให้กับวิทเป็นอย่างมาก
    “ทำไม”    สุรสีห์ถามทั้งที่ไม่ได้หันมามองหน้า
    “ก็ตั้งแต่ออกมาจากร้านเสื้อเจ้านายยังไม่หุบยิ้มเลยนะครับ”
    “เรื่องของฉัน”
    “ครับผมเรื่องของเจ้านาย...แต่คิดไปก็น่าสงสารสาวน้อยคนนั้นนะครับ”   
    “สงสารทำไม”   สุรสีห์ถามอย่างสงสัย    โดยปรกติแล้วเขาจะไม่คุยเรื่องผู้หญิงกับวิทและตัววิทเองก็ไม่เคยถามเขาเช่นกัน
    “โธ่...จะไม่ให้สงสารหรือครับอายุแค่นั้นจะมาทันอะไรกับเจ้านาย”   วิทยังแซวไม่เลิกเขารู้ดีว่าตอนนี้เจ้านายอารมณ์ดีมาก
    “ฉันเป็นอย่างไรบอกมาซิ”
    “ก็รอบจัดไงครับ”   
    “บ้ารอบจัดอะไรกัน”   สุรสีห์หันมามองก็สบตากับวิทที่มองทางกระจกมองหลังยิ้ม ๆ  
     “ก็อย่างที่เจ้านายทำไงครับ”
    “ฉันไปทำอะไรเขา...แกพูดให้ดี ๆ หน่อย”    สุรสีห์ย้อนถามคนสนิท
    “แม้....ไอ้อย่างที่ทำเนี่ยนะครับคงไม่ต้องให้บอกกันมั่ง”
    “วิท...ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรนะ”   สุรสีห์บอกหันหน้าออกไปมองนอกรถ
     “ไม่ต้องอธิบายก็ได้ครับ...ผมคิดว่าผมเข้าใจ”
    “เข้าใจว่าไง...ไหนบอกฉันซิ”
    “ก็เข้าใจว่า...งานนี้เจ้านายเสียคนแน่ซิครับ”    กล่าวจบวิทก็หัวเราะในลำคออย่างชอบใจ
     “ไอ้บ้า...นึกว่าจะมีความคิดดีๆ”    ชายหนุ่มหันไปเล่นงานลูกน้องคนสนิทที่เอาแต่หัวเราะอย่างชอบอกขอบใจ    นึกถึงใบหน้าของสาวน้อยที่เพิ่งจากมาเมื่อครู่    ป่านนี้หน้าจะหายแดงหรือยังก็ไม่รู้   คิดไปยิ่งทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้แต่พอหันไปเห็นหน้าวิท 
     ซึ่งมองมายังเขาก็ต้องขึงตาดุใส่กับสีหน้ายิ้ม ๆ ของอีกฝ่าย

    “บ้าจริงติดต่อไม่ได้อีกแล้ว...ไปไหนของเขานะ”   นางแบบสาวกล่าวอย่างอารมณ์เสีย
    “โทรหาใครที่รัก”
    “หุบปากไปเลย”   หญิงสาวหันมาตะคอกใส่ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียง   เปลือยกายตลอดร่างโดยไม่สนใจจะหาอะไรปิดให้พ้นจากสายตาหญิงสาว
     “อารมณ์เสียอะไร...มานี่ดีกว่า”    ชายหนุ่มกวักมือเรียกหญิงสาวที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ตรงหน้า   นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่เที่ยวดื่มและจบบนเตียงนอนของคอนโดหญิงสาว
    “ฉันไม่มีอารมณ์นะ...อย่ามาวุ่นวาย”   คำตอบของหญิงสาวเรียกเสียงหัวเราะให้ชายหนุ่มอย่างมาก
     “ไม่เอาน่าซินดี้...คุณก็รู้ว่าผมช่วยคุณได้”   หญิงสาวมองค้อนแต่ยอมเดินมาที่เตียงแต่โดยดี
    “ไหนบอกหน่อยซิโทรหาใคร”   กล่าวพร้อมกับใช้แขนลูบไล้   จูบหัวไหล่ของหญิงสาวอย่างเอาใจ
    “ก็คุณรองนะซิไม่รู้ไปไหน...โทรติดต่อไม่ได้เลย”   
    “ใจร้ายไปหรือเปล่าอยู่กับผมทั้งคนยังพูดถึงผู้ชายอื่นแบบนนี้”   ชายหนุ่มพูดพร้อมกับเริ่มปลดเสื้อคลุมที่ซินดี้ใส่อยู่เพราะรู้ดีกว่าภายใต้เสื้อคุมนั้นไม่มีอะไรติดกายหญิงสาวอยู่เลย
    “รู้ไว้หน่อยนะ...นั่นนะตัวจริงของฉัน”
    “แล้วคุณล่ะตัวจริงของเขาหรือเปล่า”   แววตาของซินดี้มองอย่างเอาเรื่องกับคำพูดของชายหนุ่ม
    “หุบปากไปเลยถ้าไม่คิดจะช่วยกัน”   ซินดี้กล่าวอย่างอารมณ์เสียพร้อมทั้งพยายามเบี่ยงตัวออกจากคู่นอน
    “ไม่เอาน่า”   ซินดี้พูดทั้งที่ลมหายใจเริ่มติดขัด
    “อย่าอารมณ์เสียเลยถ้าเป็นตัวจริงของเขาไม่ได้มาเป็นตัวจริงของผมดีกว่า”    ชายหนุ่มพูดพร้อมทั้งพรมจูบไปทั่วไหล่เนียน
    “อย่ามาพูดดีเลยทำยังกับคุณมีฉันคนเดียวงั้นล่ะ”
    “ฮึฮึ...เอาเป็นว่าตอนนี้เลิกพูดถึงคนอื่นดีกว่านะ   พูดแต่เรื่องของเราดีกว่า”   ชายหนุ่มหยุดการสนทนาเมื่อมีอะไรที่น่าสนใจกว่าการคุยกัน  
    “ไม่เอาน่า...”   เสียงของหญิงสาวเริ่มสั่นอย่างไม่อาจระงับอารมณ์ที่ชายหนุ่มเป็นคนปลุกมันขึ้นมาอย่างรู้ใจ
    “ทำไมล่ะ...คุณก็น่าจะรู้ว่าสำหรับเราแล้วแค่ครั้งเดียวมันไม่พอหรอกน่า”  
    “ตาบ้าพูดออกมาได้”     หญิงสาวหัวเราะคิก ๆ   กับคำพูดของชายหนุ่มคู่ขาที่รู้ใจกันเป็นอย่างดี
    “ก็มันจริงนี่น่า”    กล่าวจบชายหนุ่มก้มหน้าลงมาแนบริมฝีปากกับปากหญิงสาวเพื่อยุติการสนทนา   อย่างรู้ใจว่าต้องทำอย่างไรกับอารมณ์ของหญิงสาวตอนนี้
     
    “วิทวันนี้พี่รองไม่กลับมาด้วยหรือจ๊ะ”   เสียงของคุณน้อยเรียกความสนใจจากวิทให้หันไปมอง
    “ครับ” 
     “ต้องให้ถามต่อไปหรือเปล่าว่าไปไหน”    คุณน้อยกล่าวอย่างล้อเลียนนายวิทเพราะความเป็นคนพูดน้อยของนายวิทและถ้ายิ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายคนรองด้วยแล้วยิ่งไม่พูดใหญ่    นายวิทก้มหน้าลงอย่างสำรวม  
    “เจ้านายมีนัดทานข้าวเย็นครับ”
     “แล้ววิทไม่ต้องไปด้วยหรือ...เห็นทุกทีตามติดกันเป็นเงา”    สุทธิดาถามเพราะโดยปรกติแล้วเมื่อเจอสุรสีห์ที่ไหนก็ต้องเห็นวิทที่นั้น
    “ไม่ต้องครับเจ้านายจะขับรถไปเอง”
    “ไปกินกับสาวที่ไหนหรือเปล่าจ๊ะ...ลืมไปยังไงน้อยก็คงไม่ได้คำตอบอยู่แล้วไม่น่าถามเลยนะ”    วิทยังคงก้มหน้าไม่ตอบคำถามของหญิงสาว
    “แล้ววิทกินข้าวหรือยัง”    สุทธิดาถามอย่างอาทร   มองหน้าผู้ชายตรงหน้าที่ตัวเองมีใจให้แต่ดูเหมือนเขาจะไม่เคยรับรู้เลย   ไม่ใช่ว่าไม่มีเคยมีใครเข้ามาจีบ   แต่คนที่เธอต้องการความรักกับมีแค่เขาคนเดียวเท่านั้น
    “ยังครับผม”
    “ดีเลยวันนี้น้อยทำแกงเทโพกำลังสงสัยอยู่ว่าต้องเหลือเยอะแน่เลยเพราะพี่รองไม่อยู่เดี๋ยวน้อยเอาไปให้ที่บ้านนะจ๊ะ”  
    “ไม่ต้องหรอกครับผมไปทานในครัวก็ได้คุณน้อยจะได้ไม่ต้องลำบาก”
    “ไม่ลำบากเลยจะแต่มีข้อแม้ว่า วิทต้องทานเยอะ ๆ นะ”
    “ครับผม”   เมื่อได้ยินคำตอบ   สุทธิดาจึงเดินจากไปปล่อยให้วิทจมอยู่กับความคิดตัวเองคนเดียว   ถ้าใครมาเห็นแววตาของวิทที่มองไปยังคุณน้อยคนจะด่าว่าเขาไม่เจียมตัว    ที่บังอาจไปหลงรักลูกสาวของนายจ้าง 
     ทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ความฝันจะเป็นความจริง  แต่ก็ยังไม่อาจห้ามหัวใจของตัวเองได้ที่จะไม่ให้ไปรัก    นอกจากคุณรองก็มีคุณน้อยเนี่ยล่ะที่ดีกับเขาไม่เห็นเป็นแค่ลูกคนขับรถ   ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นญาติคนหนึ่งไม่รังเกียจ 
     แต่ก็นั้นล่ะเขาก็ได้แต่เจียมตัวเจียมใจไม่อาจเอื้อมไปคว้าดอกฟ้าอย่างคุณน้อยให้ต่ำลงมาเกลือกกลั้วกับเขาหรอก

    ร้านที่ชายหนุ่มพามากันแพรวายอมรับกับตัวเองว่าบรรยากาศดีมาก   ลำพังตัวเองถ้าจะมากินคงไม่มากินร้านอาหารแบบนี้หรอกถ้าทางจะแพงน่าดูเลย
    “ทานอะไรดี”   สุรสีห์ยื่นเมนูให้   แต่แพรวาส่ายศีรษะ
    “แล้วแต่คุณรองเถอะค่ะแพรอะไรก็ได้”   สุรศีห์หันไปสั่งอาหารกับบริกรที่มายืนรอรับออเดอร์อยู่
    “เป็นอะไรไม่เห็นยิ้มเลยตั้งแต่ออกมาจากร้านแล้ว”   
    “เปล่าค่ะ”
     “เปล่าค่ะ...คนไทยจริงนะถามอะไรก็เปล่าค่ะ”   ทั้งสองต้องหยุดการสนทนาเพราะพนักงานมาเสิร์ฟอาหาร
    “ทานอาหารกันเถอะ”   แพรวานั่งทานอาหารสลับกับมองหน้าชายหนุ่มอดที่จะยิ้มไม่ได้   ชายหนุ่มกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย  
    “คุณรองหิวมากหรือค่ะ”    สุรสีห์เหลือบตาขึ้นมา   ยังจะมาถามอีกเมื่อกลางวันเพราะใครละที่ทำให้เขากินไม่อิ่ม
     “หิวซิ...ผมยังไม่ได้กินเมื่อตอนกลางวันก็ทานได้นิดเดียวเอง”   หญิงสาวยิ้มกับคำตอบที่ได้รับ
    “แล้วคุณล่ะไม่หิวเหรอไง...ไม่เห็นค่อยทานเลย”    แพรวาส่ายหน้าแทนคำตอบ   และก้มหน้ารับประทานอาหารเงียบ
    “คุณรองทานอาหารไม่ค่อยเป็นเวลาอย่างนี้บ่อยหรือค่ะ”     แพรวาถาม
    “ก็แล้วแต่งานนะ” 
    “งานเยอะมากหรือค่ะ”    ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
    “คุณรองต้องทานอาหารให้เป็นเวลาน่ะค่ะ”
    “แพรห่วงผมหรือครับ”    แพรวาไม่ตอบคำถาม   ก้มหน้ารับประทานอาหารต่อ    จึงไม่เห็นรอยยิ้มที่ริมฝีปากของชายหนุ่ม
    “ขอบคุณมากนะ...รู้สึกดีจังที่มีคนมาคอยห่วงใย”   ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับมองหน้าหญิงสาว
    “อะไรค่ะ”
    “ไม่มีอะไร...ทานต่อเถอะ”    กล่าวจบสุรสีห์ตักอาหารใส่จานให้หญิงสาวอย่างเอาใจ
    “เราจะไปไหนกันค่ะ”   แพรวาถามหลังจากที่เห็นว่ารถออกนอกเส้นทางกลับบ้าน
    “ไปฟังเพลงกันนะ”
     “ไม่ค่ะ...ดึกแล้วแพรอยากกลับบ้าน”
    “ผมจะพากลับก่อนแน่และขอรับรองรถผมไม่กลายเป็นฟักททองตอนเที่ยงคืนแน่”  สุรสีห์กล่าวอย่าง เลียน   ทำไมเอาแต่ใจตัวเองขนาดนี้นะแพรวาคิดในใจเพราะหลังจากกินข้าวเสร็จ   ชายหนุ่มก็ขับรถพาไปฟังเพลงดังที่บอกไว้    โดยไม่ฟังคำทัดทานของ
    หญิงสาว     ผับที่ชายหนุ่มพามาคงเป็นผับที่เขมาเที่ยวประจำเพราะท่าทางบริกรที่เข้ามาให้การตอนรับจะรู้จักกันดีพอสมควรพอเห็นชายหนุ่มจึงพาเดินไปที่นั่งที่ค่อนข้างสงบดูไม่วุ่นวายกับแขกคนอื่น    ระหว่างเดินสุรสีห์เอามือแตะที่เอวไม่ยอมปล่อยขนาดนั่งแล้วก็ยังเอามือวางไว้ที่เดิม
       จนหญิงสาวต้องเบียงตัวหลบเพื่อจะได้นั่งสะดวกขึ้น    
    “ชอบมั้ย”   แพรวาหันไปตามเสียงแล้วต้องตกใจเพราะคุณรองก้มหน้ามาพูดใกล้จนปลายจมูกแทบจะชนกัน   แพรวาก้มหน้าหลบ
    “คุณรองถอยไปหน่อยได้มั้ยค่ะ...แพรอึดอัด”  
    “อะไรน่ะ...ผมไม่ได้ยินเลย”   ชายหนุ่มก้มหน้าเอาหูมาแนบใกล้กับริมฝีปากแพรวา
    “โธ่...ถ้ายังไม่เลิกแกล้งแพรจะกลับน่ะค่ะ”    หญิงสาวกล่าวเสียงแข็งนั่นล่ะชายหนุ่มจึงยอมขยับตัวถอยห่างออกมาหน่อย   แต่สีหน้ายังยิ้มกริ่มที่ได้แกล้งหญิงสาวได้   
    “ว่าไงผมถามว่าชอบมั้ย”   ชายหนุ่มถามซ้ำ
    “ค่ะบรรยากาศดี”    หญิงสาวตอบ
    “ผมดีใจที่แพรชอบผมจะได้พามาบ่อย”
    “แพรไม่ได้บอกว่าชอบเสียหน่อย...แค่บอกว่าดีเฉย ๆ”
    “ก็ถ้าไม่ชอบผมพาคุณไปร้านอื่นก็ได้...ไปลุกขึ้น”    ชายหนุ่มขยับลุกขึ้นพร้อมกับฉุดมือหญิงสาวให้ลุกตาม
    “เดี๋ยวค่ะคุณรองนี่..ปล่อยมือแพรก่อน”
    “ก็ถ้าคุณไม่ชอบเราไปร้านอื่นกัน”
    “ใจเย็นซิค่ะแพรยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”   หญิงสาวจับมือชายหนุ่มและฉุดให้นั่งลงเพราะเห็นสายตาแขกโต๊ะอื่นเริ่มมองมาทางนี้กันแล้ว    สงสัยเธอต้องทำตัวให้ชินกับนิสัยเอาแต่ใจเของเขา
    “นั่งลงก่อนซิค่ะ…นะคะ”   แพรวากล่าวเสียงหวานเพื่อจะให้ชายหนุ่มนั่งลง   และก็ได้ผลจริง   ๆ    ชายหนุ่มยอมลงนั่งแต่โดยดีติดที่สีหน้ายังบึงตึงอยู่
    “แพรชอบ...พอใจหรือยังค่ะ”   คำตอบที่ได้คือความเงียบ     แพรวามองยิ้ม ๆ   ใครจะคิดว่าผู้ชายตัวโตๆ   อย่างเขาจะขี้ใจน้อยอย่างนี้
    “คุณรองค่ะสั่งเครื่องดื่มเถอะค่ะ”    แพรวามองใบหน้าที่ติดจะบึงตึงและยังไม่ยอมสั่งอะไรบริกรอยู่ดี   แพรวาสูดหายใจลึกๆ   เรียกกำลังใจให้ตัวเองเอื้อมมือไปจับใบหน้าของชายหนุ่มให้หันกลับมาทางธอ
    “สั่งเครื่องดื่มเถอะค่ะแพรคอแห้งจังเลย”    ชายหนุ่มอดที่จะยิ้มไม่ได้กับท่าทีช่างอ้อนของหญิงสาวที่เขารู้ดีว่าต้องรวบรวมกำลังใจอย่างมากที่จะทำอย่างนี้ได้
    “ขอบรั่นดี...แพรจะดื่มอะไร”
    “อะไรก็ได้ค่ะ...คุณรองสั่งแล้วกัน”
    “งั้นดื่มพั้นช์แล้วกันนะ...ไม่ใช่เหล้าเป็นน้ำผลไม้รับรองไม่เมา”    สุรสีห์รีบบอกเมื่อเห็นสายตาหญิงสาวที่มองมา
    “ค่ะ”
    “คุณรอง”   เสียงเรียกด้วยความตกใจทำเอาแพรวาและสุรสีห์ต้องหันมามองด้วยสีหน้าต่างกัน   แพรวานั่นตกใจเหมือนกันไปพบกับซินดี้แต่เขาหน้าเรียบเฉยไม่เหมือนเมื่อครู่ที่อยู่กับเธอ
    “สวัสดีซินดี้มาฟังเพลงหรือครับ”
    “แล้วคุณรองล่ะค่ะมาฟังเพลงกับใคร”   ชายหนุ่ม แต่ก็ผายมือแนะนำ
    “แพรวานี่ซินดี้เพื่อนผม   เคยเจอกันแล้วนี่ครับ”
    “เธอ...ยายช่างเสื้อนี่น่า…ทำไมถึงมาด้วยกันได้”
    “ผมไปรับคุณแพรมาทานข้าว…ซินดี้ล่ะมากับเพื่อนหรือครับ...เชิญตามสบายนะครับไม่ต้องเกรงใจ”
     “ซินดี้จะนั่งด้วยค่ะ”   ชายหนุ่มเลิกคิ้วมองอย่างแปลกใจ    แต่ก็ขยับตัวไปนั่งติดแพรวามากยิ่งขึ้น   จนแพรวาต้องขยับเพื่อจะได้นั่งสบายขึ้นแต่ชายหนุ่มก็ขยับตามจนแพรวาขยับหนีไม่ได้อีกแล้ว    ซินดี้มองด้วยความโมโหที่เห็นการกระทำของคนทั้งคู่ 
      จึงนั่งลงอย่างกระแทกกระทั้นบอกถึงความไม่พอใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เห็น    ชายหนุ่มหาสนใจไม่ยังคงทำตัวปรกติฟังเพลงแถมยังเอามือมา
    วางบนพนักโซฟาจึงดูเหมือนว่านั่งโอบแพรวาอยู่    โดยไม่สนใจเลยว่าการกระทำดังกล่าวสร้างความอึดอัดใจให้กับแพรวาและสร้างความไม่พอใจให้กับซินดี้มากขนาดไหน
    “วันนี้คุณรองงานยุ่งมากหรือค่ะ”
    “ครับ...ค่อนข้างยุ่งนิดหน่อย” 
    “แล้วทำไมถึงมากินข้าวกับยัยช่างเสื้อได้ค่ะ”    แพรวาฟังก็รู้ว่าซินดี้พยายามจะกดเธอให้ดูคนละชั้นกับตัวเอง    แพรวากลั้นใจฟังคำตอบของคุณรองว่าจะตอบอย่างไร
    “ผมไปรับคุณแพรวามากินข้าวเองครับ”    ชายหนุ่มกล่าวพร้อมกับวางมือของตัวเองมาบนมือของแพรวา     พอดีบริกรนำเครื่องดื่มมาเสิร์ฟพอดีทุกคนจึงหยุดการสนทนา
    “จะดื่มอะไรดี   ซินดี้”
    “บรั่นดีเหมือนคุณรองแล้วกันค่ะ”     ชายหนุ่มหันไปสั่งกับบริกร
    “คุณรองไม่เห็นบอกซืนดี้เลยว่ารู้จักกับยัย...คุณแพรวามาก่อน”   ชายหนุ่มหันไปยิ้มกับแพรวาจงใจไม่ตอบคำถามของซินดี้เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องตอบคำถามเพราะเธอไม่ได้สำคัญสำหรับเขาที่ต้องมานั่งอธิบายว่าเขาจะทำไม่ทำอะไร
     “คุณรองกลับกันเถอะค่ะ   พรุ่งนี้แพรต้องทำงานแต่เช้าไม่อยากกลับดึกมากนัก”   แพรวากล่าวเพื่อหนีจากความอึดอันที่กำลังเผชิญอยู่และเห็นว่าดึกพอสมควรแล้ว
    “เดี๋ยวซินี้กี่โมงเอง”   ชายหนุ่มถามพร้อมกับดูนาฬิกาที่ข้อมือ
    “ไม่เคยเที่ยวดึกหรือไงถึงต้องรีบกลับ”   ซินดี้ถามอย่างไม่พอใจ   เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มทำเหมือนไม่มีเธอนั่งอยู่ตรงนี้
    “พรุ่งนี้ต้องทำงานค่ะ...อยากกลับไปพักผ่อนค่ะ”
    “โอเค...กลับก็กลับ...ซินดี้ผมจะกลับแล้วคุณจะกลับยังไง”    สุรสีห์หันไปถาม
    “ซินดี้เอารถมาค่ะ”
    “โอเคงั้นเรากลับกันก่อน”   สุรสีห์ลุกขึ้นแตะข้อศอกของแพรวา
     “เดี๋ยวค่ะคุณรอง…พรุ่งนี้ทานช้าวกับซินดี้น่ะค่ะ”
    “แล้วพรุ่งนี้ค่อยคุยกันอีกที”    ชายหนุ่มเดินกลับโดยไม่สนใจหญิงสาวอีก    แพรวาเดินนำมาที่รถโดยไม่พูดไม่จา
    “เป็นอะไรไปไม่พูดไม่จาเลย...หึงหรือ”   สุรสีห์ทำลายความเงียบภายในรถเพราะตั้งแต่นั่งรถกลับแพรวาไม่ยอมพูดอะไรเลย
    “หึง...หึงอะไรค่ะ”    แพรวาทำเป็นไม่เข้าใจคำถาม
     “ก็หึงผมกับซินดี้ไง”
    “หึงทำไม่ค่ะ”     แพรวาถามอย่างไม่สบอารมณ์
    “อ้าวนึกว่าหึงเห็นเงียบ”    สุรสีห์ถามอย่างอารมณ์ดี
    “เราไม่ได้เป็นอะไรกันทำไมฉันต้องหึงคุณด้วยไม่ทราบค่ะ”
     “ซินดี้เป็นแค่เพือน”   สุรสีห์วางมือทับมือแพรวา     แพรวาพยายามที่จะดึงมือกลับแต่เขาก็เพิ่มแรงกดลงไปที่มือกระชับแน่นขึ้นไปอีก
    “คุณรองไม่จำเป็นต้องบอกแพรหรอกค่ะ”
    “ต้องบอกซิไม่บอกได้ไง...แล้วที่บอกเราไม่ได้เป็นอะไรกันพูดผิดพูดใหม่ได้นะ...ให้โอกาสอีกครั้งหนึ่ง”
    “แพรพูดไม่ผิดหรอกค่ะ”   แพรวายังยื่นยันคำตอบเดิม
    “ผิดซิ...อย่าพูดว่าเราไม่ได้เป็นอะไรกันผมไม่ชอบ”
    “คุณรองค่ะเราเพิ่งจะรู้จักกันนะแล้ว…”   สุรสีห์ยกมือของหญิงสาวขึ้นแตะที่ริมฝีปาก
    “ถ้าพูดไม่เข้าหูอีกผมจะจูบแล้วนะ”    แพรวาหน้าแดงไปหมด   เมื่อฟังคำพูดของสุรสีห์
     “ขับรถถนัดหรือค่ะจับมือไว้แบบเนี่ย”   แพรวาเปลี่ยนเรื่องพูดทันที   เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มดูจะไม่รับฟังอะไรทั้งนั้น
    “ผมจะไม่ปล่อยมือคุณจนกว่าจะถึงบ้าน”    กล่าวจบภายในรถเงียบได้ยินแต่เสียงลมหายใจของทั้งสองคน   
     “ขอบคุณน่ะค่ะ...ที่มาส่ง”    แพรวาเอื้อมมือไปจะเปิดประตูรถ   แต่สุรสีห์งจับมือไว้ก่อนพร้อมกับจุมพิตใจกลางฝ่ามือของหญิงสาว 
    “หลับฝันดีน่ะ”    แพรวาก้าวออกมาจากรถด้วยหัวใจที่สับสนยิ่งนัก    ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเธอกันแน่ทุกอย่างมันเร็วไปหรือเปล่ากับความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาทุกอย่างมันดูรวดเร็วและกะทันหันไปหมดจนเธอปรับตัวปรับใจไม่ทัน 
     แพรวาคิดอย่างหนักใจวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรตัวเธอมองไม่แห็นเลย

    หลังจากเมื่อคืนที่แยกกับสุรสีห์  ซินดี้นอนไม่หลับเลยทั้งคืนอดที่จะแปลกใจและยังหาเหตุผลไม่ได้ว่าเพราะอะไรทำไมสุรสีห์ไปสนิทชิดเชื้อกับยายช่างตัดเสื้อตั้งแต่เมื่อไรทำไมถึงไปนั่งกินข้าวด้วยกันได้   เธอนึกแล้วไม่ผิดว่ามันต้องอะไรมากกว่าที่เขาบอกเธอแน่
       นับตั้งแต่วันที่เขาพาเธอไปเดินซื้อเสื้อผ้าที่ร้านนั้นแล้วเธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอได้ใคร  ๆ   ก็รู้ว่าสุรสีห์กับเธอควงกันอยู่แล้วทำไมถึงได้ไปสนใจยายช่างเสื้อหน้าจืดนั้นได้เธอไม่เข้าใจเลยจริง  ๆ   แล้วนี้เธอจะทำอย่างไร 
     เธอไม่มีวันยอมเสียเขาให้ใครไปเด็ดขาดเป็นไงเป็นกันซิ   สุรสีห์ต้องเป็นของเธอคนเดียวเท่านั้น   ต้องไปพูดกับยัยช่างเสื้อหน้าจืดให้รู้เรื่องคิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบอาบน้ำและแต่งตัวออกจากห้องทันที

    ตอนที่  7            
    “อร่อยไหมจ๊ะ...ดินเนอร์สุดหรู”   ลูกตาลถามพร้อมทั้งเอามือทาบแก้มทำท่าชวนฝันมองเธอหูตาแวววาว
    “อย่ามาทำเป็นเงียบน่ะย่ะ...บอกมาเสียดี ๆ   ว่าเมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง”    เมื่อเห็นเพื่อนสาวยังเงียบไม่ตอบคำถามจังหันมาคาดคั่น
    “นี่ฉันไปกินข้าวนะไม่ได้ไปอย่างทำอย่างอื่นมันจะมีอะไรนอกจากอาหารอร่อย   บรรยากาศดี   ก็แค่นั้น”
    “ก็แค่นั้น...พูดได้อย่างไรก็แค่นั้น”   ลูกตาลโวยวาย
    “เธอจะให้ฉันพูดอะไรล่ะไหนบอกซิ”
    “แม้บรรยากาศดี ๆ อาหารอร่อย   จบแค่นี้   ไม่มีอะไรต่อหรือไง”    ลูกตาลถามพร้อมกับยืนหน้าเข้ามาใกล้ ๆ   จนแพรวาผลักหน้าของเพื่อนสาวออกไป
    “ไม่มีอะไรทั้งนั้นทำงานกันได้แล้ว…ทุกคนด้วยนะทำงาน”    ทุกคนในร้านเลยสลายตัวไปตาม ๆ   กันเมื่อเห็นสายตาที่เจ้านายสาวกวาดตามองทุกคนในห้องนั้น
    “อย่านึกว่าจะปิดฉันได้นะย่ะยายแพร”   ลูกตาลชี้หน้าอย่างคาดโทษเพื่อนสาวที่ไม่ยอมเล่าอะไรให้ฟังเลย   แพรวาทำเป็นไม่ได้ยินกับคำพูดของเพื่อนสาวก้มหน้าก้มตาทำงานไม่สนใจ   ทั้งที่ไม่รู้เลยว่างานตรงหน้านั้นคืออะไรเพราะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย
      ก่อนเที่ยงเล็กน้อยทางร้านก็ได้ต้อนรับลูกค้าที่เธอไม่อยากจะเจอเลยแถมเด็กในร้านก็ออกไปทานข้าวกันหมดแล้วด้วย    ภายในร้านจึงเหลือเธอกับเพื่อนสาวเพียงแค่สองคน   แพรวาจึงต้องออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
    “สวัสดีค่ะคุณซินดี้”
    “ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอเป็นการส่วนตัว”   กล่าวจบเธอจึงเปรยตาหันไปมองลูกตาลที่ทำตัวไม่รู้ไม่ชี้นั่งไม่สนใจเธออยู่ข้าง ๆ   แพรวา
    “ตาลเธอออกไปทานข้าวก่อนก็ได้”
    “ไม่ฉันจะไปพร้อมเธอ...คุณซินดี้มีอะไรก็พูดมาเลยพวกเราไม่มีความรับต่อกันอยู่แล้วค่ะ”   ลูกตาลตอบออกไปอย่างมั่นไส้กับท่าทางของนางแบบสาว
    “ก็ได้...ฉันมาคุยกับเธอเรื่องคุณรอง…เธอคงเห็นว่าฉันกับคุณรองเราสองคนกำลังคบกันอยู่   เธอคงไม่อยากทำตัวเป็นมือที่สามของใครหรอกนะ”
    “อ้าวทำไมพูดยังงี้ล่ะค่ะ”    ลูกตาลถามอย่างฉุน ๆ
    “ฉันหวังดีไม่อยากให้เธอมาเสียใจภายหลังก็เลยมาเตือนเอาไว้”
    “ขอบคุณค่ะคุณซินดี้ที่อุตสาห์มาเตือนด้วยตัวเอง”    แพรวากล่าวอย่างเรียบเฉยไม่แสดงท่าทีอะไร   จนซินดี้อดที่จะแปลกใจไม่ได้ที่เธอต้องการมันไม่ใช่แบบนี้นะ
    “ถ้าเธอเข้าใจอะไรง่าย ๆ   อย่างนี้ฉันก็เบาใจ”
     “แล้วที่คุณซินดี้มาพูดแบบนี้ไม่ทราบว่าคุณรองรู้หรือเปล่า”   ลูกตาลถามหลังจากที่เห็นว่าเพื่อนเธอนั่งเฉยไม่ตอบโต้อะไรเลย   จนเธอเองอดไม่ได้
    “ทำไม”   ซินดี้ถามอย่างโมโห
    “ดิฉันกลัวว่าถ้าคุณรองไม่รู้จะกลายเป็นว่าคุณซินดี้พูดเองเออเองโดยที่เจ้าตัวเขาไม่รู้เรื่องอะไรเลยถ้ามารู้ที่หลังว่าคุณซินดี้มาพูดกับเพื่อนดิฉันแบบนี้จะพาลโดนว่าเอานะค่ะ”   ลูกตาลโวยวายแทนเพื่อน
    “คุณรองไม่มีทางว่าฉันยู่แล้ว”    ซินดี้บอกอย่างมั่นใจ
    “หรือค่ะ...ก็ดีค่ะเพราะว่าถ้าคุณรองมาเราจะได้บอกว่าคุณซินดี้มาพูดแบบนี้”    ลูกตาลลอยหน้าลอยตาพูด
    “เธอคิดว่าคุณรองจะมาหาพวกเธออีกหรือไง”
    “เท่าที่ฉันเห็นนะคุณรองเธอมาหาเพื่อนดิฉันเองเพื่อนฉันไม่เคยดิ้นรนไปหาคุณรองน่ะค่ะ”
    “แก   ๆ    แกกล้าดีอย่างไรมาพูดกับฉันแบบนี้”    ซินดี้ชี้หน้าพวกเธอยื่นเต้นเล่า ๆ    ลูกตาลเห็นจึงยิ่งชอบใจพูดจายั่วแหย่
    “แล้วคุณล่ะกล้าดียังไงมาว่าเพื่อนฉันแบบนี้”
    “พอเถอะลูกตาลพอได้แล้ว...คุณกลับไปก่อนดีกว่าค่ะคุณซินดี้”    แพรวารีบตัดบทเพราะท่าทางเรื่องจะเริ่มบานปลายไปใหญ่โต
    “ฉันไปก็ได้...แต่ฉันถือว่าฉันเตือนเธอแล้วนะ”     กล่าวจบซินดี้ก็สะบัดหน้าออกจากร้าน
    “เธอไปยอมทำไม...แพรนะแพร”    ลูกตาลเขย่าแขนเพื่อนอย่างโมโห
    “แล้วเธอจะให้ฉันพูดอะไร...ฉันไม่มีอะไรจะพูด” 
    “แต่เธอไม่น่าปล่อยให้ยายบ้านั้นมาว่าเธอแบบนี้”   ลูกตาลกล่าวอย่างโมโหแทนเพื่อน
    “ชั่งเขาเถอะ”
    “ชั่งได้ยังไงถือดีอะไรมาด่าเธอทั้งทีเธออยู่ของเธอเฉย ๆ   แท้ ๆ เลย”
    “พอเถอะฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”   กล่าวจบแพรวาก็เดินเข้าไปข้างหลังร้าน    ทิ้งให้ลูกตาลโมโหอยู่คนเดียวด้านนอก   เสียงโทรศัพท์มือถือของแพรวาดังขึ้นในขณะที่เธอเดินมาหลังร้านเพื่อสงบสติอารมณ์   มองที่โทรศัพท์ถอนหายใจแรง ๆ  ก่อนที่จะรับ
    “สวัสดีค่ะ”    แพรวามองค้อนเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอโทรศัพท์
     “สวัสดีแพรวา...ทำอะไรอยู่”    เสียงสุรสีห์ถามขึ้น
    “ทำงาน...ค่ะ”    แพรวาตอบเสียงแข็ง
    “เที่ยงนี้เจอกันนะ”
    “อย่าเลยค่ะเที่ยงนี้แพรไม่ว่างเลย”   แพรวาพยายาบังคับเสียงไม่ให้ห้วนจนเกินไป  
    “’งานยุ่งมากเหรอ”   
    “ค่ะ...”
    “อย่าทำงานจนลืมทานข้าวนะ”
    “ค่ะ…คุณรองด้วยนะค่ะอย่าทำงานจนลืมทานข้าว”
    “ผมถึงอยากจะไปทานกับแพรไงล่ะ”   สุรสีห์ทำเสียงอ้อน
    “อย่าเลยค่ะ...เดี๋ยวแพรหาทานแถวร้านแล้วจะรีบทำงานต่อ” 
    “แล้วผมไปทานด้วยไม่ได้หรือไง”     แพรวาเงียบไม่ตอบคำถามของชายหนุ่ม เพราะรู้ว่าน้ำเสียงอย่างนี้ถึงพูดไปก็คงไม่ยอมฟัง
    “เป็นอะไรหรือเปล่า”   สุรสีห์เริ่มจับเค้าความผิดปรกติได้
    “เปล่าค่ะ...แพรไม่เป็นอะไรยังดีอยู่”  
    “ขอซื้อได้มั้ยคำว่าเปล่าค่ะเนี่ย”    สุรสีห์พยามแหย่
    “แพรปวดหัวนิดหน่อยค่ะ”
    “ทานยาหรือยัง...ผมเป็นห่วงนะ”    แพรวาอดรู้สึกดีใจไม่ได้ที่ชายหนุ่มถามอย่างห่วงใย
    “ค่ะเดี๋ยวแพรจะทาน”
    “โอเควางสายแล้วไปหายาทานนะ”
    “ค่ะ”    แพรวาตัดสายลงแต่ยังคงนั่งเหม่ออยู่ที่เดิมคิดถึงเรื่องที่ซินดี้มาบอกกับเธอวันนี้จริงที่สุรสีห์เห็นเธอเป็นแค่ลองเล่นของเขา   จริงหรือที่เขาไม่ได้คิดจะจริงใจกับเราเลย   คิดแล้วอดที่จะสังเวชตัวเองไม่ได้   เขาเป็นใครแล้วเราเป็นใคร
      ทำไมเรากล้าไปคิดว่าเขาจะสนใจเราจริงจัง    ลูกตาลแอบมองเพื่อนและถอนหายใจอย่างหนักใจแทนเพื่อน   เกิดมาสวยใช่ว่าจะดี
    “ยายแพรเอยจะมีความรักกับเขาสักทีก็ดันมาเจอตอ”    ลูกตาลคิดอย่างสงสารเพื่อนแต่ไม่รู้จะช่วยเพื่อนรักอย่างไรดี   เวลาผ่านเลยไปใจใกล้เวลาเที่ยง   จึงเห็นสุรสีห์เปิดประตูร้านเข้ามา
    “แพรอยู่มั้ยครับ”
    “คุณรอง...อยู่ด้านหลังค่ะตาลไปตามให้มั้ยค่ะ”
    “ไม่เป็นไรครับผมไปเอง”    กล่าวจบชายหนุ่มจึงเดินไปทางหลังร้าน    เมื่อเปิดประตูเข้าไปจึงมองเป็นหญิงสาวนั่งหันด้านข้างให้
    “ลูกตาลฉันไม่ไปกินข้าวนะยังไม่หิวเลย”
    “ไหนบอกว่าไม่ว่างตอนเที่ยงไง”    แพรวาสะดุ้งสุดตัวตกใจเพราะมัวแต่ใจลอย
    “คุณรอง”
    “ทำไมไม่ทานข้าวล่ะครับ”    ชายหนุ่มถามพร้อมกับเดินมานั่งข้าง ๆ    แพรวา    เธอขยับตัวหนีสุรสีห์มองอย่างแปลกใจ
    “แพรไม่ค่อยหิวเลยค่ะ”
    “ทำไมหน้าดูเซียว ๆ ”   ชายหนุ่มมองหน้าเธออย่างค้นหา    แพรวาจึงรีบบอก
    “แพรปวดหัวค่ะ”
    “ทานยาหรือยัง...ยังใช่มั้ย”    ชายหนุ่มให้หลังมือแตะไปที่หน้าผากหญิงสาวอย่างห่วงใย
    “เมื่อคืนตอนผมมาส่งแล้วนอนเลยหรือเปล่า”    หญิงสาวส่ายหน้า
    “ทำไมล่ะ...เนี่ยล่ะถึงไปปวดหัวไง…เดี๋ยวผมหายาให้ทานนะ”    ชายหนุ่มกำลังจะลุกขึ้นไปแต่แพรวาจับมือไว้ก่อน
    “ไม่ไปไรค่ะ...แพรจัดการเองได้”
    “เดี๋ยวแพรก็ไม่กินอีก...ผมไปเอาให้ดีกว่านะ”   กล่าวจบชายหนุ่มจึงเดินออกไป    หายไปสักพักสุรสีห์ก็เดินกลับมาพร้อมกับอาหาร
    “ทานข้าวสักคำ ก่อนแล้วค่อยทานยา”    แพรวามองชายหนุ่มอย่างสงสัย
    “มีอะไรหรือเปล่าทำไมมองหน้าผมอย่างนี้”
    “คุณรองค่ะ...ทำไมคุณรองมาทำดีกับแพรแบบนี้”   
    “ที่คุณเป็นแบบนี้เพราะคำพูดของซินดี้หรือครับ”
    “คุณรองรู้ได้อย่างไรค่ะ…ลูกตาลใช่มั้ยค่ะ”    แพรวาอดที่จะฉุนแม่เพื่อนตัวดีของเธอไม่ได้
    “แพรอย่าไปว่าคุณตาลเลยนะ...เธอหวังดีกับเราถึงได้เล่าให้ผมฟังลำพังแพรคงไม่ยอมบอกผมหรอกใช่มั้ย”     แพรวาก้มหน้าลงไม่ยอมสบสายตาของชายหนุ่มที่มองมา    สุรสีห์เชยปลายคางให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้น
    “ผมอยากให้แพรเชื่อใจผมมากกว่านี้เราลองศึกษากันและกันไม่ใช่ไปฟังคนอื่นพูดแล้วเก็บเรื่องไร้สาระแบบนี้มานั่งคิดจนตัวเองไม่สบายใจ...ผมจริงใจกับแพรมากนะ”    แพรวาไม่สามารถกลั้นน้ำตาไว้อีกได้แล้วจึงปล่อยให้ไหลรินเต็มสองแก้มเธอไม่เข้าใจตัวเองเลย
    ทำเรื่องที่เกี่ยวกับผู้ชายคนนี้เธอถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ      ชายหนุ่มกอดแพรวาไว้ในอ้อมอกกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น    ปล่อยให้หญิงสาวร้องไห้กับอกตัวเองจนรู้สึกได้ถึงน้ำตาที่ไหลเปียกเสื้อด้านหน้าไปหมด   รอจนหญิงสาวร้องไห้จนสาแก่ใจตัวเองแล้ว 
     จึงเชยปลายคางหญิงสาวให้เงยขึ้นและเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน
    “ที่หลังมีเรื่องอะไรสัญญาได้มั้ยว่าจะถามผม...อย่าปล่อยให้เรื่องแบบนี้มารกใจ”    แพรวาพยักหน้ารับ
    “เด็กดี”    ชายหนุ่มกล่าวจบจึงก้มลงจูบแก้มหญิงสาวอย่างแรง    ตามอารมณ์ที่อัดแน่นอยู่ข้างในแถมยังจูบละทั่วใบหน้าของหญิงสาวไปหมดจนเธอต้องยกมือขึ้นปิดปากชายหนุ่มเมื่อไม่เห็นทีท่าว่าชายหนุ่มจะหยุดจูบ
    “พอแล้วค่ะ…คุณรอง”    สุรสีห์มองหญิงสาวตรงหน้าที่ตอนนี้อายจนหน้าแดงเพราะฝีมือมองเขา
    “แพรวาจำไว้นะคราวหน้าถ้าแพรไปฟังคำพูดไร้สาระของซินดี้อีก...ผมก็จะลงโทษแพรแบบนี้อีก”
    “ค่ะ”
    “งั้นทานข้าวนะแล้วกินยาแก้ปวดหัวซะ...จะได้หาย”
     “ขอบคุณคุณรองมากนะค่ะ”     แพรวาทานซุปแต่โดยดี    สุรสีห์ปัดผมที่หล่นลงมาที่หน้าผากของแพรวาไปเหน็บใบหูให้อย่างอ่อนโยน
    “คุณรองล่ะค่ะทานอะไรมาหรือยัง…ทานกับแพรมั้ยค่ะ”
    “ไม่ต้องห่วงผมหรอกน่า...ผมดูแลตัวเองได้”    รอจนหญิงสาวทานหมดและกินยาตามที่ตัวเองต้องการแล้วจึงส่งยาให้หญิงสาวทาน   เมื่อดูแพรวาทานยาแล้วสุรสีห์ยกนาฬิกาขึ้นดูแล้วถอนใจ
    “ผมกลับก่อนนะบ่าย ๆ   ผมมีประชุม...ผมห่วงแพรจังเลย”
    “แพรไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ...แพรไปส่งคุณรองที่รถค่ะ”    สองหนุ่มสาวเดินจับมือกันออกมา
    “คุณรองจะกลับแล้วหรือค่ะ”    ลูกตาลถามหลังจากเห็นเงียบหายอยู่ทางหลังร้าน
    “ครับคุณตาล...ฝากดูแลแพรด้วยนะครับ”
    “ค่ะตาลรับฝาก...จะดูแลอย่างดีเลยค่ะ”
    “ยัยตาล”    หญิงสาวอายกับสายตาของคนในร้านที่มองดูพวกเธอยิ้ม
    “ไปค่ะ”    สุรสีห์จึงก้าวนำไปยังรถที่จอดอยู่    เห็นนายวิทยืนรออยู่แล้ว
    “ผมกลับก่อนนะแล้วผมจะโทรหา”
    “ค่ะ”   แพรวารอจนรถแล่นจากไปจึงเดินกลับเข้ามาในร้าน
    “ว่าไงจ๊ะหน้าตาผิดกับเมื่อเช้าอย่างกับคนละคนเลยนะยายแพร”
    “เธอไม่ต้องมาล้อฉันเลยนะยายตาล”
    “ไม่ล้อก็ได้ดีกันก็ดีแล้ว...ฉันเอาใจช่วยให้เธอนะแพร”
    “ขอบใจจ๊ะลูกตาล”
    ตอนที่สุรสีห์ก้าวออกจากร้านเสื้อของแพรวาเขาไม่รู้ตัวว่าตกเป็นเป้าสายตาของสุรศักดิ์    ที่บังเอิญขับรถผ่านและจำได้ว่ารถที่จอดอยู่หน้าร้านนั้นเป็นรถของสุรสีห์   จึงรอจนชายหนุ่มออกรถไปแล้วจึงเดินก้าวเข้าไปในร้าน
    “สวัสดีแพรวา”     แพรวาหันกลับมาตามเสียงเรียกจึงทำหน้าแปลกใจ
    “สวัสดีค่ะคุณใหญ่…ไปไหนมาค่ะ”
    “พอดีผ่านมาแถวนี้เลยแวะเข้ามาทัก…ร้านใหญ่ดีนี่”
    “ขอบคุณค่ะ”    สุรศักดิ์เดินดูรอบๆ    ร้านแล้วจึงหันมามองแพรวาด้วยสายตากรุมกริ่ม
    “ฉันคอแห้งจังขอดื่มน้ำสักแก้วได้ไหม”
    “ค่ะ...เดี๋ยวให้เด็กจัดมาให้เชิญคุณใหญ่นั่งก่อนค่ะ”    แพรวาหันไปสั่งเด็กในร้านให้หาน้ำมารับแขก    เมื่อสั่งเด็กแล้วแพรวาจึงหันกับมาคุยกับสุรศักดิ์
    “เป็นไงไปได้ดีมั้ย”   
    “ค่ะก็ดีค่ะพออยู่ได้”    แพรวารู้สึกอึดอันกับการมองของสุรศักดิ์มาก 
    “เธอเก่งนะอายุยังน้อย...ยังทำร้านได้ขนาดนี้”
    “ไม่ใช่ดิฉันคนเดียวหลอกค่ะทำกับเพื่อนช่วย ๆ  กัน”
    “ฮืม...”   สุรศักดิ์รับน้ำมาดื่มโดยสายตาไม่ได้คาดจากดวงหน้าของหญิงสาวตรงหน้าเลย   
    “เอ้าล่ะฉันรู้จักร้านเธอแล้วไว้วันหลังฉันจะแวะมาทักทายใหม่แล้วกัน”  
    “ค่ะ”   ครอยหลังคุณใหญ่แพรวาถอนหายใจด้วยความหนักใจ
    “ใครนะแพร”    ลูกตาลถามหลังจากเห็นผู้ชายคนนั้นเดินออกจากร้านไป
    “อดีตพี่เขยฉันไงล่ะ”
    “เนี่ยหรือท่าทางเจ้าชู้หน้าดูเลยนะ”
    “พี่พรรณถึงได้ทนไม่ไหวไงล่ะ”
    “แล้วนี้คุณรองรู้หรือเปล่าเนี่ยว่าคุณใหญ่เขาทำท่าเจ้าชู้กับเธอแบบนี้”
     “ไม่มีอะไรหรอกน่าลูกตาลเธออย่าคิดมากเลยนะนั้นพ่อของน้องกร”
    “ถ้าเขาคิดยังงั้นฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกกลัวแต่ว่าเขาจะไม่คิดกับเธอแค่น้าของลูกนะซิ”    แพรวาสบตากับลูกตาลที่มองมาอย่างสงสัยแพรวายักไหล่หมดความสนใจและลงมือทำงานต่อ
     
    ตอนที่  8        
    หลังจากออกจากร้านของแพรวาแล้ว   นายสุรศักดิ์เดินกับมานั่งที่รถแอบมองหญิงสาวที่เดินอยู่ในร้านอย่างเพลินตา  ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นความสวยของหญิงสาว   มิน่าล่ะไอ้รองมันถึงได้ติดใจนักหนางานนี้ซักสนุกแล้วซิ   เขาจะลองดูสักตั้งดูซิว่าไอ้รองมันจะจริงจังขนาดไหน
    คนอย่างเขาถ้าอยากจะได้ใครแล้วล่ะก็เขาจะทำทุกวิถีทางให้ได้มาโดยไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น   มาดูกันซิว่าระหว่างเขากับไอ้รองใครมันจะได้แพรวาไปครอง    สุรศักดิ์คิดอย่างกระหยิมในใจแต่เขาคงลืมคิดไปว่าคนที่เขาจะเล่นด้วยนั้นก็ไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเช่นเดียวกัน
    “พี่ใหญ่ทำไมวันนี้อารมณ์ดีจัง”
    “ไม่มีอะไรหรอกเล็กนายกินเหล้าเป็นเพี่อนพี่หน่อยซิ”
    “ได้ครับเดี๋ยวผมให้เด็กจัดให้”      เล็กเดินออกไปบอกให้เด็กจังเหล้าพร้อมกับแกล้มให้แล้วจึงเดินกลับมา
    “พี่ใหญ่ไปไหนมาครับผมเห็นคนที่บริษัทเข้าหากันให้ทั่วไปหมด”    สุทธิชัยเรียบๆ เคียง ๆ  ถาม
    “ไปหาอะไรสวย ๆ งามๆ  ดู”
    “ไปติดสาวที่ไหนอีกล่ะครับ”    สุทธิชัยถามอย่างรู้ใจถ้าพี่ชายเขามีอาการแบบนี้แสดงความเจอคนถูกใจอีกแน่ๆ
    “แกนี้เป็นน้องที่รู้ใจฉันจริง ๆ “   ก่อนที่จะพูดคุยอะไรกันต่อก็พอดีสาวใช้เดินเอาเหล้ามาวางเล็กจึงจัดการผสมแล้วให้อย่างรู้ใจพี่ชาย
    “ชนแก้วกันหน่อย”   
    “ครึมอกครึมใจกันจริงนะสองหนุ่ม”   สองหนุ่มหันไปมองจึงสุชาดาดินเข้ามา
    “อ้าวพี่นิดไปซื้ออะไรมาครับ”
    “ฉันก็ไปช็อบตามประสาฉันนั้นล่ะ...แล้วนี้อะไรกินเหล้ากันแต่วันเลยหรือไง”   
    “แกอย่าพูดมากหน่อยเลยยายนิด”   สุรศักดิ์รีบชิงพูดเพราะรู้ดีว่าน้องสาวคนนี้ของเขาบ่นเก่งแค่ไหน
    “ก็เพราะพี่ใหญ่เป็นแบบนี้นะซิคุณพ่อถึงไว้ใจให้ไอ้รองมันทำทุกอย่าง”
    “แกนี้ปากเสียจริง ๆ”    สุรศักดิ์ต่อว่าน้องสาว   ถึงจะเป็นเรื่องจริงแต่ใครบ้างชอบให้คนอื่นมาพูดเรื่องตัวเองแบบนี้
    “นิดเตือนด้วยความหวังดีอย่างไรนิดก็ไม่เห็นใครดีไปกว่าพี่น้องหรอกนะ”
    “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันกับเล็กก็แล้วกันแกไม่ต้องห่วง....เอาเวลาไปใส่ใจผัวแกเถอะ”
    “พี่ใหญ่นี้ยังไงเกี่ยวอะไรกับคุณกิจจาเขา”    สุชาดาเริ่มโวยเมื่อโดนพี่ชายว่ากระทบถึงสามีของตนถึงเขาจะไม่ได้ความแต่เธอก็รับไม่ได้ถ้าใครจะมาว่าเขา
    “เอาล่ะครับผมคิดว่าพี่ใหญ่คงรับมือได้…พี่นิดไม่ต้องกังวลหรอกครับเชื่อผมเถอะ”   สุทธิชัยกล่าวอย่างตัดความรำคาญเพราะรู้นิสัยพี่สาวตัวเองดีท่าจะไม่จบง่ายๆ   และเขาก็ไม่อยากให้ทั้งสองคนเถียงกันมากไปกว่านี้
    “นิดไปดีกว่าไม่อยากพูดอะไรกับพี่ใหญ่แล้ว” 
    “ไปเสียได้ก็ดี...ผู้หญิงนี้น่ารำคาญจริง”    สุรศักดิ์บ่นไล่หลัง
    “แล้วคนที่พี่ใหญ่ไปหาเมื่อตอนบ่ายละครับน่ารำคาญอย่างนี้หรือเปล่า”     สุทธิชัยเปลี่ยนเรื่องพูด
    “เฮ้ยคนนี้ยกเว้นโว้ย”
    “ผมชักอยากจะเห็นแล้วซิ”
    “แกก็รู้จักนายเล็ก”   
    “ใครครับ”   สุทธิชัยอย่างสงสัยเมื่อเห็นอาการของพี่ชายต้องมีอะไรแน่ ๆ   
    “แพรวาไงล่ะ”
    “อะไรนะครับ”
    “ฉันว่าผู้หญิงที่ฉันไปหา...คือแพรวา...ทำไมแกทำหน้ายังงั้นว่ะ”    สุรศักดิ์ถามหลังจากที่น้องชายทำหน้างง
     “สงสัยว่าพี่ใหญ่กำลังทำอะไรกันแน่”
    “ฉันก็แค่อยากรู้ว่าร้านเขาอยู่ที่ไหน...ก็เลยลองไปดู”     สุรศักดิ์กล่าวอย่างอารมณ์ดี
    “ผมว่ามันไม่แค่นั้นนะซิ”
    “ถ้าฉันจะบอกแกว่าฉันชักสนใจเด็กคนนั้นล่ะ”
    “พี่ใหญ่ก็รู้ว่าพี่รองเขาสนใจอยู่”
    “ฉันไม่สนหรอกนะของแบบนี้มันใครดีใครได้โว้ย”    เล็กฟังอย่างสนใจแล้วเริ่มมองเห็นปัญหาของความขัดแย่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกข้อหนึ่งของบ้านกิจเจริญไพศาล

    “น้าแพรครับ...น้าแพร”    สิทธิกรร้องเรียกน้าสาว
    “ครับน้องกร”
    “เปิดประตูหน่อยครับ”   แพรวางัวเงียเดินมาเปิดประตู   แล้วเดินไปล้มตัวลงนอนที่เตียงต่อ   เมื่อคืนกว่าเธอจะได้นอนก็ใกล้จะสว่างแล้วเพราะมัวแต่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่ร้าน
    “น้าแพรครับ”    พ่อหลานชายตัวดีมาล้มตัวลงนอนทับบนตัวแพรวา
    “ว่าไงครับน้องกร”   แพรวาหลับตาถามหลานชัย
    “วันนี้วันอะไรครับ”
    “วันอาทิตย์ไงครับ”    แพรวาเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองแล้ว   ลองหลานเธอถามแบบนี้แสดงว่าเวลานอนของเธอหมดลงแล้ว
    “จะไปเที่ยวไหนกันดีครับ”
    “กรจะไปไหนละครับ”   แพรวาลืมตาคว้าหลานชายมากอด
    “กรอยากไปกินไอติม   ไปเล่นของเล่น”
    “ครับไปก็ไปครับ”
    “น้าแพรก็ตื่นซิครับ”   ไม่พูดเปล่ายังดึงมือน้าสาวให้ลุกจากที่นอนเพื่อไปอาบน้ำ     แพรพรรณนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่เห็นสอง
    น้าหลานเดินลงมาจากชั้นบนแต่งตัวพร้อมจะออกจากบ้าน
    “จะไปไหนกันอีกล่ะจ๊ะ”   
     “ไปเที่ยวค่ะพี่พรรณไปกับพวกเราไหมค่ะ”
    “ตากรเรานะน้าแพรทำงานเหนื่อย ๆ วันหยุดแทนที่จะได้พักผ่อนกับต้องพาเราไปเที่ยว”   แพรพรรณบ่นลูกชาย
    “อย่าไปว่าหลานเลยค่ะ...แพรเต็มใจพาไป”   แพรวารีบบอกกลัวพี่สาวจะหันไปดุหลานชายอีก
    “จ้าไปกันเถอะจ๊ะ...ว่าไม่ได้เลยหลานชายยอดรักเนี่ย...พี่อยู่บ้านดีกว่า”
    “ไปกร...เราไปกันเถอะ”   ระหว่างทางที่ขับรถมาแพรวาไม่มีโอกาสได้มองข้างทางเลยเพราะต้องคอยตอบคำถามของน้องกรตลอดเวลา   กรเป็นเด็กฉลาดและขอบซักถาม   เห็นอะไรก็ถามไปหมด  
    “เย้  ๆ   นั้นอารองนี้ครับ”
     “คุณรองมาได้ไงค่ะเนี่ย”    แพรวาทักทายชายหนุ่มเสร็จก็หันไปยิ้มกับนายวิทซึ่งเดินตามมาข้างหลัง
    “ผมเห็นคุณเลียวรถเข้ามาก็เลยตามมา”  
     “สวัสดีครับอารอง”    สุรสีห์ทรุดตัวลงนั่งพูดอะไรบ้างอย่างเบาที่ข้างหูสิทธิกร ๆ   หัวเราะชอบใจ    แพรวามองสองอาหลานทักทายกันอย่างสนุกสนามไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายที่กุมธุรกิจเป็นพันล้านจะทำอะไรอ่อนโยนแบบนี้เป็น
    “สวัสดีครับ”
    “มาเที่ยวกันสองคนอีกแล้ว...ทำไมไม่โทรชวนผมด้วย”    ชายหนุ่มได้ทีรีบต่อว่าใหญ่
    “แพรคิดว่าคุณรองงานยุ่ง”
    “วันนี้วันหยุดนะผมก็ต้องพักผ่อนบ้าง”    แพรวายิ้มรับกับคำพูดของชายหนุ่ม
     “ไว้คราวหน้าคุณต้องโทรชวนผมนะรู้มั้ย”
    “ค่ะ…ไว้คราวหน้าแพรจะชวนนะค่ะ”     ถ้ามีคราวหน้านะแพรวาคิดในใจ
    “เป็นอะไรหรือเปล่าทำไมเน้าเซียว ๆ   “    สุรสีห์ทักเมื่อเห็นหน้าตาอิดโรยของอีกฝ่าย
    “ไม่มีอะไรค่ะแค่นอนไม่หลับเฉยๆ”   แพรวายกมือลูบแก้มตัวเอง   สุรสีห์ยืนมือไปวางทับมือหญิงสาวที่กุมแก้มและดึงมือมากุมไว้
    “แล้วจะไปไหนกันต่อ”   
    “คงจะเดินซื้อของแล้วทานข้าวเที่ยงกันค่ะ”   แพรวามองที่มือของเขา   สุรสีห์กระชับมือแน่นขึ้น
    “ผมไปด้วยคนนะ”   แพรวามองหน้าอย่าแปลกใจ 
    “ผมจะกินไอติมนะน้าแพร “
    “ครับรู้แล้วครับ”    แพรวายิ้มกับคำพูดของหลานชายรองไม่ให้กินซิงานนี้ไม่โยเยแน่ ๆ   เลย
    “คุณรองทานไอศกรีมกันก่อนนะค่ะอะไร”
    “ได้...เราทานไอศกรีมครั้งสุดท้ายเมื่อไรนะวิท”    สุรสีห์หันมาถามลูกน้องคู่ใจ
    “จำไม่ได้แล้วครับ”    วิทตอบก็จำไม่ได้จริง ๆ   นี้น่าอย่าว่าแต่ไอศกรีมเลยเดินห้างถ้าไม่ใช่เพราะหญิงสาวคนนี้มีหรือเจ้านายเข้าจะเข้ามาเดินเล่นให้เวลาหมดไปอย่างเปล่าประโยชน์แบบนี้
    “งั้นเราไปทานกันเถอะค่ะ”
     “คุณพรรณไม่มาด้วยหรือ”    สุรสีห์ถามถึงพี่สะใภ้
    “พี่พรรณอยู่บ้านค่ะ...วันอาทิตย์เป็นแพรอาสาที่ต้องดูเจ้าตัวยุ่งนี้”
    “กรเปล่ายุ่งน่ะฮะกรแค่อยากมาเที่ยวเฉย ๆ   ไม่ได้ยุ่งสักหน่อย”
    “จ๊ะพ่อตัวดีไม่ยุ่งก็ไม่ยุ่ง”    แพรวาเอื้อมมือไปเช็ดมุมปากของน้องกรที่กินแล้วเลอะ
     “กรกินดี ๆ แล้วนะแต่ มันเลอะเอง”    สิทธิกรรีบบอกก่อนที่จะโดนวา
    “น้าแพรยังไม่ได้ว่าอะไรเลย”
    “งั้นน้าแพรก็ป้อนน้องกรหน่อยซิครับ”   สิทธิกรรีบอ้อนน้าสาว
    “เรื่อง อะไรถ้าน้องกรกินช้า ๆ ก็จะไม่เลอะแบบนี้นะ”   น้องกรทำหน้ายุ่งกับน้าสาวของตัวเองแล้วทานอาหารต่อ    ผู้ใหญ่มองหน้ากันยิ้มๆกับความเจ้าเล่ห์ของหลานชาย
    “อิ่มหรือยังจ๊ะกร”   เมื่อโอศกรีมหมดไปสองถ้วยแล้ว   แพรวาจึงหันมาถามหลานชาย
    “อิ่มแล้วครับน้าแพร”
    “เราไปกันเถอะค่ะ”   ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินตามสองน้าหลาน ไปอดที่จะแปลกใจไม่ได้ทั้งที่วันนี้เขาจะตีกอล์ฟกับวิทแต่พอเห็นรถของหญิงสาวก็จำได้จึงสั่งให้วิทขับรถตามทันที
    “แพรจะซื้อของคุณรองจะกลับเลยหรือเปล่าค่ะ”   
    “ผมไปด้วย”
    “กรอยากไปเล่นของเล่นนะน้าแพร”    สิทธิกรเขย่ามือน้าสาวแพรวาหันมาทำตาดุใส่
    “สัญญาว่าถ้าได้กินไอศกรีมแล้วจะไม่ยุ่งไงค่ะ”    กรก้มหน้างุดที่โดนแพรวาดุ
    “ไม่เอาน่าแพร...กรอยากเล่นอะไรครับ”     สุรสีห์ถามหลานอย่างอ่อนโยน  
    “เครื่องเล่นชั้นบนครับ”   กรเงยหน้าขึ้นมายิ้มทันที
    “ไปกับอาวิทได้มั้ยครับ”
    “ได้ครับกรไปได้ครับ...กรสัญญาว่าจะไม่ดื้อกับอาวิทครับ”
    “วิทนายพาไปหน่อยนะ”
    “คุณรองค่ะอย่าตามใจแบบนี้ซิค่ะ...”   แพรวาเอยห้ามอย่างอ่อนใจ   เธอไม่ค่อยชอบใจนักเพราะโดยปรกติหลานชายจะเป็นคนพูดจารู้เรื่องนี้คงเห็นว่ามีอามาด้วยจึงร้องจะเอานั้นเอานี้
    “ไม่เป็นไรนะแพร...ถ้าซื้อของเสร็จแล้วเดี๋ยวเราคอยมารับเขากลับ”  
    “ไม่รู้คุณวิทจะรับมือกับความเจ้าเล่ห์ของกรได้หรือเปล่า”
     “โธ่ไปห่วงอะไรกับนายวิทเขาถนัดอยู่แล้วเรื่องรับมือเด็กๆ”    กล่าวจบสุรสีห์ก็จูงมือหญิงสาวมาอีกทางเพื่อไปเลือกซื้อของ
    “คุณจะซื้ออะไรครับ”
    “แพรจะเข้าซุปเปอร์ค่ะ”   แพรวาเลือกซื้อของใช้จำเป็นในบ้านหยิบใส่รถเข็นที่ชายหนุ่มเดินเข็นตามมาข้างหลัง    ดูเหมือนคู่สามีภรรยามาเดินซื้อของด้วยกันยังไงยังงั้นเลย
    “เมื่อยหรือยังค่ะคุณรอง”   แพรวาหันมายิ้มให้   
    “ผมว่านะผู้หญิงกับการช๊อปนี้คู่กันจริงๆนะ”   ชายหนุ่มตอบไปอีกทาง
    “ห้ามบ่นค่ะ”    
    “ผมไม่ได้บ่น...ผมว่าเราเหมือนเป็นคู่แต่งงานใหม่ๆ เลยนะ”   แพรวาหันมามองหน้าจึงสบสายตาหวานๆ ของเขาที่มองอยู่ก่อนแล้ว
    “ขี้ตู่”    เมื่อซื้อของเสร็จแล้วชายหนุ่มจึงหยิบบัตรเครดิตจ่ายชำระสินค้าให้แพรวา
    “คุณรองไม่ต้องค่ะ”
    “ผมจ่ายให้…นี้มันหน้าที่หัวหน้าครอบครัวนะ”    แคชเชียร์มองสองหนุ่มสาวแล้วแอบยิ้ม   แพรวาอายหน้าแดงจึงหยิกไปที่แขนเขา 
    “ขอบคุณน่ะค่ะคุณรอง”    ชายหนุ่มหยิบของที่หญิงสาวซื้อทั้งหมดมาถือไว้แล้วจับมือให้เธอเดินตาม
    “วิทนายอยู่ไหนแล้ว…มาเจอกันที่....”   
    “เรารออยู่ตรงนี้ล่ะเดี๋ยววิทก็มาแล้ว”   ไม่ถึงสิบนาทีจึงเห็นวิทเดินอุ้มน้องกรมา
    “อ้าวกรเป็นอะไรค่ะ”
    “หลับนะครับ” 
    “ตายจริงคุณวิทหนักแย่เลย”   แพรวาบ่นหลานชาย
    “ไม่เป็นอะไรครับ”    ยังพูดไม่ทันขาดคำกรก็ตื่นขึ้นทำหน้างง
    “ว่าไงคนเก่งถึงกับหลับเลยหรือไง”   แพรวาลูบศีรษะหลานชาย    สุรสีห์ขมวดหัวคิ้วมองอย่างไม่ชอบใจจนวิทลอบยิ้ม
    “น้าแพรกรง่วงนอนครับ”    เด็กชายพูดอย่างงัวเงีย  
    “งั้นคงต้องกลับกันแล้วล่ะค่ะ”   แพรวามองตาหลานชายแล้วขำ
    “ไปครับผมไปส่งที่รถ”    สุรสีห์แตะมือไปที่แผ่นหลังหญิงสาวให้เดินนำหน้าไป    เมื่อสองหนุ่มมาส่งที่รถแล้ว  
    “ขอบคุณมากค่ะคุณรองคุณวิท”   แพรวาเปิดประตูด้านหน้าปรับเบาะรถลงเพื่อให้หลานชายนอนได้สบายขึ้น   วิทเดินเลี่ยงเอาของไปใส่ท้ายรถของหญิงสาว
    “ไม่เป็นไรครับ”   ชายหนุ่มท้าวแขนกับขอบประตูรถ
    “ไว้มากันใหม่นะครับอารอง...วันนี้กรสนุกมาเลย”    สิทธิกรกล่าวจบก็ล้มตัวลงนอน
    “เราสนุกคนเดียวนะซิ...นายกร”    แพรวาว่าหลานชายตัวดี    ที่ยิ้มแก้มแทบปริเพราะคุณอาตามใจเหลือเกิน   กินโอศกรีม   เล่นของเล่นแถมด้วยรถบังคับอีกหนึ่งคัน    ไม่รบให้พามาอีกซิน่าแปลก
     “คุณรองกลับบ้านเลยหรือเปล่าค่ะ”
    “ผมต้องไปธุระต่ออีก”
    “ตายจริงพวกเราเลยทำให้คุณรองเสียเวลาทั้งวันเลย”
    “ไม่มีใครสั่งให้ผมทำอะไรได้หรอกนะถ้าผมไม่เต็มใจ”    เมื่อส่งสองน้าหลานขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว    ชายหนุ่มหันมาก็พบกับรอยยิ้มของนายวิที่ยืนเอามือไขว้หลังมองไปทางนั้นทางนี้แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม   สุรสีห์ถามขึ้นด้วยความหมั่นไส้
    “อะไรของนายวะวิท”
    “เปล่าครับเจ้านาย”  
    “เปล่าๆ   ก็ไปกันเสียทีหรือนายจะยืนยิ้มอยู่ตรงนี้ ทั้งวันหรือไง”    สุรสีห์ก้าวเดินออกไปก่อน  

    เมื่อแยกจากชายหนุ่มแล้วแพรวาหันมามองหลานชายตัวดีที่ตอนนี้นอนหลับเพราะความอ่อนเพลีย     แพรวาหยิบเสื้อคลุมของตัวเองที่ติดไว้ในรถประจำมาห่มให้หลานชายกลัวว่าแอร์จะเย็นเกินไปสำหรับหลาย   ลูบศีรษะของอย่างเอ็ดดูอดที่จะนึกถึงอาของเด็กชายไม่ได้ 
       แค่นึกถึงเธอก็อดที่จะยิ้มกับเหตุการณ์วันนี้ไม่ได้   ถ้ามีใครรู้นายสุรสีห์    กิจเจริญไพศาลที่เวลาเป็นเงินเป็นทองหาเวลาว่างแทบไม่ได้กับมาเข้าโรงหนังดูหนังการ์ตูนที่เหมาะสำหรับเด็กๆ    คงจะเป็นข่าวคึกโครมแน่ 

    เมื่อกลับมาถึงบ้านหลานชายตัวดียังไม่หยุดพูดถึงอารองว่าใจดียังงันใจดีอย่างนี้จนแพรวาอดที่จะขำไม่ได้
    “น้าแพรรู้แล้วว่าอารองใจดี...แต่ตอนนี้น้าแพรว่ากรรีบไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะจ๊ะ”   สองน้าหลานเดินเข้ามาในบ้านแล้วจึงได้ยินเสียงคนเถียงกันดังลั่นบ้านไปหมด    แพรวารีบวิ่งมาดูกลัวจะเกิดเรื่องกับพี่สาว
     “พี่แพรค่ะ”    เมื่อแพรวาเข้ามาในบ้านเห็นนายสุรศักดิ์   ยืนจ้องหน้ากับแพรพรรณ จึงยกมือไหว้
    “สวัสดีค่ะคุณใหญ่”
    “ไปไหนกันมาน้าหลาน”   สุรศักดิ์ทักพร้อมกับจะลูบหัวลูกชายแต่สิทธิกรเบี่ยงตัวล่ะอยู่ด้านหลังน้าสาว
    “พากรไปเที่ยวมานะค่ะ”
    “สนุกมั้ยลูก”    สุรศักดิ์ถามลูกชาย  
    “สนุกครับ”   สิธิกรตอบเสร็จก็หลบตาพ่อที่ตัวเองไม่ค่อยได้เจอหน้ากันนัก
    “ผมผ่านมาทางนี้เลยแวะมาเยี่ยมลูกนะครับ…ถ้ารู้ว่าแพรจะพากรไปเที่ยวผมจะได้มารับ”    สุรศักดิ์กลุมกลิ่มกับแพรวา
    “ฉันคงไม่รบกวนคุณใหญ่หรอกค่ะ”
    “รบกวนอะไรกันทำยังกับคนอื่นคนไกลยังงั้นล่ะ”  
    “ก็คนอื่นจริง ๆ   “   แพรพรรณกล่าวเสียงห้วนด้วยความไม่พอใจเพราะรู้จักนิสัยสามีเก่าดีแค่อ้าปากเธอก็เห็นลิ้นไก่แล้ว   ที่เขามาไม่ใช่เพราะคิดถึงลูกแต่เป็นเพราะน้องสาวของเธอ   นี้อย่างไรล่ะคือเหตุผลที่เธอไม่เคยพาน้องสาวไปที่บ้านนั้น   
    “ถ้าไม่มีธุระอะไรแล้วคุณใหญ่กลับเถอะค่ะอย่าหาว่าฉันไล่เลยนะ”   แพรพรรณไล่อย่างไม่ไว้หน้า
    “ทำไมฉันยังคุยกับลูกได้ไม่กี่คำเอง”
    “จะมาคิดถึงลูกอะไรเอาป่านนี้ค่ะ...มันไม่สายไปหน่อยหรือไง”    แพรพรรณถามอย่างสะกดอารมณ์เต็มที
    “เธอจะหาเรื่องกันหรือไง”   สุรสักดิ์ถามออกไปอย่างโมโหลืมตัวว่าไม่ได้อยู่กันตามลำพัง
    “แป๋วพากรขึ้นไปอาบน้ำไป”   แพรวารีบให้พี่เลี้ยงหลานชายพอออกไปเพราะไม่อยากหลานมาเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันแบบนี้    แล้วจึงหันมาพูดกับพี่สาว
    “พี่พรรณพอเถอะค่ะ” 
    “แพรเธอก็ดูซิ...มาคิดถึงอะไรตอนนี้คิดถึงลูกหรือคิดถึงอะไรกันแน่”
    “เธอนี้มันหาเรื่องเก่งจริง ๆ   นะพรรณ”
    “ใช่ซิฉันมันไม่ได้เรื่องถึงได้หลงผิดมาเจอคนอย่างคุณไงคุณใหญ่”
    “พอเถอะค่ะ...คุณใหญ่วันนี้กลับไปก่อนนะค่ะแล้วค่อยมาเยี่ยมใหม่วันหลัง”    แพรวาหันมาพูดกับสุรศักดิ์ก่อนที่เรื่องจะลุกลามใหญ่โต
    “ผมกลับก่อนก็ได้นี้น้องแพรขอนะไม่งั้นผมไปกลับหรอก...อยากคุยกับลูกนาน ๆ   พี่คิดถึงเขามาก”   
    “ทุเรศ”    แพรแพรรณกล่าวอย่างอดไม่ได้   ไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเธอไปหลงคารมคนแบบนี้ได้อย่างไร
    “พี่พรรณ”   แพรวาร้องอย่างตกใจ
    “เธอนี่มัน”   สุรศักดิ์ร้องอย่างโมโห    ถ้าไม่ติดว่ากลัวเสียภาพพจน์ต่อหน้าน้องเมียเขาคงตบคว่ำไปแล้ว
    “ทำไมฉันทำไม...”    แพรพรรณตะคอกเสียงถามอย่างไม่ยอมแพ้   แพรวาเห็นท่าไม่ดีจึงจับแขนพี่สาวไว้อย่างเตือนสติแล้วหันไปพูดกับอดีตพี่เขยอย่างข้อร้อง
    “กลับเถอะค่ะคุณใหญ่”   
    “งั้นผมกลับก่อนนะ”
    “ค่ะ...สวัสดีค่ะ”     แพรวาตัดบทเปิดประตูและเดินนำออกมาส่งสุรศักดิ์ที่รถ 
    “น้องแพรต้องเข้าใจพี่นะ...พี่ไม่ได้จะมาหาเรื่องอะไรพรรณเลยพี่แค่คิดถึงลูกเท่านั้นเอง”
    “ค่ะ...คุณใหญ่ไว้พี่พรรณอารมณ์ดีกว่านี้แล้วค่อยมาคุยกันใหม่นะค่ะ”
    “ก็คงต้องเป็นอย่างงั้น...อ้อแล้วพี่ขอร้องนะเรียกพี่ว่าพี่ใหญ่ได้มั้ยเรียกคุณใหญ่แล้วมันอย่างไรไม่รู้”
    “อย่าเพิ่งเลยค่ะ...ดิฉันกับคุณใหญ่ก็ไม่ได้สนิทกันมาก”
    “โธ่น้องแพร”
    “วันนี้คุณใหญ่กับไปก่อนเถอะค่ะ”
    “แล้วเจอกันกันน้องแพร”   แพรวาได้แต่ยิ้มไม่กล้ากล่าวอะไรออกไป   พอเดินกลับมาเจอพี่สาวนั่งกุมขมับอยู่
    “พี่พรรณค่ะ…เป็นอะไรหรือเปล่า”
    “ไม่เป็นอะไร...เธอระวังตัวนะ”
     “เรื่องอะไรค่ะ”
    “ฉันว่าคุณใหญ่เขามาหาแกไม่ได้มาหาลูกหรอกพี่รู้จักเขาดี”
    “คงไม่มีอะไรมั่งค่ะ”    แพรวากล่าวอย่างไม่แน่ใจ
    “แกไม่รู้จักเขาดีเท่าฉันหรอกนะฉันเห็นสายตาที่เขามองแกฉันไม่สบายใจเลย”
    “เขาจะคิดอะไรก็เรื่องของเขาแต่แพรได้คิดอะไรกับเขานี้ค่ะ...พี่พรรณสบายใจเถอะค่ะอย่าคิดมากเลยนะ”    แพรวาปลอบใจพี่สาว
    “ดีแล้วล่ะพี่จะได้เบาใจเสียทีแพรพี่ห่วงเธอกับกรมากนะถ้าพี่เป็นอะไรไปพี่ฝากลูกด้วย”  
    “พี่พรรณทำไมพูดจาแบบนี้ค่ะไม่เป็นมงคลเลย” 
    “ไม่รู้ซินะพี่...”    แพรวากอดบ่าพี่สาวเอียงศีรษะไปซบกับศีระษของแพรพรรณ    เธอชอบทำแบบนี้เวลาที่จะอ้อน   
    “ไม่เอาพี่พรรณอย่าพูดแบบนี้อีกแพรไม่ฟังแล้ว   พี่พรรณทานข้าวหรือยังค่ะ”    แพรพรรณส่ายหน้า
    “ฉันกินอะไรไม่ลงหรอก”
    “งั้นขึ้นไปพักผ่อนข้างบนเถอะค่ะเดี๋ยวแพรหานมอุ่น ๆ   ให้ทาน”  
    “พี่ขอบใจแพรมากนะถ้าไม่มีแพรพี่กับเขาคงยังทะเลาะกันต่ออีกแน่เลย” 
    “มาขอบคุณอะไรกันค่ะแพรไม่ได้ทำอะไรเลยพี่พรรณขึ้นไปพักเถอะค่ะ”    แพรพรรณลุกขึ้นเดินขึ้นไปชั้นบน    แพรวามองตามหลังพี่สาวอย่างหนักใจ   ตั้งแต่ไปที่บ้านกิจเจริญไพศาลในวันนั้น   ชีวิตของเธอก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปแทบจะหาความสงบไม่ได้เลย

    ตอนที่  9   
    บรรยากาศภายในห้องประชุมเต็มไปด้วยความอึดอัด   เมื่อประธานในที่ประชุมมีใบหน้าที่เรียบเฉยจนไม่มีใครสามารถเดาอารมณ์ได้สร้างความกดดันให้กับผู้ร่วมประชุมเป็นอย่างยิ่ง   เมื่อฟังคำสรุปผลของการดำเนินงานของเดือนที่ผ่านมา 
      คุณสุรสีห์  กิจเจริญไพศาลนั้นเป็นที่รู้กันดีว่าเมื่อเป็นเวลางาน   งานคืองานสุรสีห์จะจริงจังกับงานมากเมื่อจะทำอะไรต้องทำให้ได้   และส่วนมากความคิดของเขาก็มักจะถูกเสมอจนเป็นที่ยอมรับของผู้ถือหุ้นรายอื่นและได้ความไว้วางใจเป็นมือขวาของท่านประธานสุรชัย
    สามารถตัดสินใจแทนได้ทุกอย่าง    จึงต่างยอมรับในฝีมือการทำงานและการตัดสินของสุรสีห์    และทุกคนต่างรู้กันว่าสุรสีห์น่าเป็นผู้สืบทอดกิจการทุกอย่างของตระกูล กิจเจริญไฟศาลต่อจากคุณสุรชัย    ผิดกับนายสุรศักที่เป็นลูกชายคนโตแท้  ๆ  แต่กับทำแต่เรื่องและมีปัญหามา
    ให้แก้ไขแต่ผู้ถือหุ้นทุกคนถือว่าตราบใดที่สุรสีห์ยังแก้ไขปัญหาได้และยังได้เงินปันผลเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนเดิมพวกเขาจึงไม่สนใจอะไรอีก ทั้งที่ทุกคนรู้ว่าโรงแรมที่นายสุรศักดิ์ดูแลนั้นรายได้ไม่ได้มากรายได้ส่วนใหญ่มาจากกิจการที่สุรสีห์ดูแลเสียส่วนใหญ่มากกว่า
       แม้ในตอนนี้ที่ทำให้มีปัญหาในที่ประชุมก็ไม่พ้นปัญหาของโรงแรมที่สุรศักดิ์ดูแลอยู่   ที่ยอดตัวเลขในบัญชีหายไปมากโขอยู่    และผู้ถือหุ้นรายหนึ่งมีข้อมูลมายืนยันว่ามีการกินนอกกินในกันเกิดขึ้น
    “แล้วคุณรองจะตัดสินใจว่าอย่างไรครับ”   นายปยุค หุ้นส่วนคนหนึ่งถามขึ้น
    “ผมว่าปล่อยเอาไม่ได้แล้วนะต้องจัดการให้เด็ดขาดลงไป”  
    “นั่นซิผมก็มาต้องจัดการปล่อยเอาไว้มีแต่เสียกับเสีย”    หุ้นส่วนคนอื่นต่างแย่งกันเสนอความคิดเห็น
    “เดี๋ยวครับโรงแรมนี้ผมดูแลอยู่...ให้ผมเป็นคนจัดการเองดีกว่า...ขอเวลาผมหน่อย”   สุรศักดิ์ถามขัดขึ้นเมื่อเห็นทุกคนไม่ถามทั้งที่ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นคือโรงแรมที่ตนเองดูแลอยู่
     “คุณใหญ่ไม่ใช่พวกเราไม่ให้คุณใหญ่จัดการแต่ตอนนี้ปัญหามันบานปลายและพวกเราให้โอกาสคุณใหญ่จัดการแล้วแต่คุณใหญ่ไม่สามารถจัดการอะไรได้เลย”
    “เอาคุณลุงทำไมพูดอย่างงี้ล่ะครับ...ผมก็กำลังทำอยู่   แต่งานผมมันมากผมต้องขอเวลาหน่อย”
    “เวลา...เวลาสำหรับทำให้เจ๊งหรือครับ”  
     “อ้าว...ทำไมคุณลุงพูดอย่างนี้”
    “รองลุงว่าคุณต้องจัดการอะไรสักอย่างแล้วล่ะครับ”    นายอดุลย์หุ้นส่วนคนหนึ่งกล่าวขัดขึ้นก่อนที่เรื่องจะลุกลามบานปลายมากไปกว่านี้   เขาพอใจการทำงานของสุรสีห์เสมอมาตัวเขาเองก็อยากดูเหมือนกันว่างานนี้สุรสีห์จะตัดสินใจอย่างไร
    “ลุงเห็นด้วยนะ”   นายปยุดกล่าว
    “พูดอย่างนี้เท่ากับกล่าวหาว่าผมทุจริตนะซิ”    สุรศักดิ์กล่าวอย่างโมโห
    “ลุงไม่ได้พูดนะคุณใหญ่...คุณพูดเอง”
    “เอาล่ะครับผมรับปากว่าจะจัดการเรื่องนี้เอง”   สุรสีห์กล่าวตัดบทก่อนที่เรื่องราวจะรุกรามใหญ่โตมากไปกว่านี้
    “ในเมื่อรองรับปากพวกลุงก็เบาใจ”    ผู้ถือหุ้นทุกคนลอบมองหน้ากันด้วยสีหน้าโล่งอกที่สุรสีห์รับปากว่าจะจัดการเอง
     “ครับ”   สุรสีห์รับปากผู้ถือหุ้น    ทำให้ทุกคนพอใจจึงพร้อมใจกันปิดประชุม   เมื่อได้คำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว  
    เมื่อทุกคนออกจากห้อง กันหมดแล้วคงเหลือเพียง สุรศักดิ์ สุรสีห์และวิทเท่านั้น  
    “พี่ไม่ได้โกงนะรองนายอย่าไปฟังพวกลุงแก่ๆ นั้นพูดเลย”
    “ผมอยากได้เรื่องจริงมากว่าครับพี่ใหญ่…ตอนนี้ก็ไม่มีใครแล้ว”
    “พี่ก็พูดเรื่องจริงทั้งหมดแล้วนะรอง”   สุรสีห์มองหน้าพี่ขชยตัวเองโดยไม่พูดอะไร   แต่กับสร้างความอึดอัดให้กับสุรศักดิ์เป็นอย่างยิ่งเพราะเป็นที่รู้กันว่าสุรสีห์นั้นสายตาอย่างกับเหยี่ยวขนาดไหน   ยิ่งตอนมีเรื่องให้ไม่สบอารมณ์อย่างนี้ด้วยแล้วละก็   พ่อยังเกรงใจเลย
    “เอาล่ะ ๆ เอาเป็นว่าพี่จะหาเงินมาใช้ให้ครบตามที่จำนวนเงินมันหายไปจากบัญชีก็แล้วกันนะ”
    “สิบล้านนะพี่ใหญ่ไม่ใช่แสนสองแสน   พี่ใหญ่เอาเงินไปทำอะไรหมดผมอยากรู้”
    “พี่ก็เอาไปลงทุนกับเพื่อนแต่มันเจ๊ง...พี่สัญญาว่าจะหาเงินมาใช้ให้ครบก็แล้วกัน”
    “ผมให้เวลาแค่หนึ่งอาทิตย์นะพี่ใหญ่”
    “หนึ่งอาทิตย์...จะบ้าหรือเปล่ารอง…เงินตั้งสิบล้าน”
    “หนึ่งอาทิตย์พี่ใหญ่...ถ้าพี่ใหญ่หาเงินมามาปิดบัญชีไม่ได้ผมคงจะให้พี่รับผิดชอบโรงแรมนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว”   กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องโดยไม่ใส่ใจสุรศักดิ์จะมีปฏิกิริยาย่างไรกับคำพูดของตัวเอง

    “คุณรองจะรับกาแฟมั้ยครับ”   ชายหนุ่มส่ายหน้าทั้งที่ยังหลับตาอยู่กับพนักเก้าอี้   เขารู้สึกหนักใจเหลือเกินกับปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกที่พี่ใหญ่ทำปัญหาแบบนี้   แต่เขาเห็นว่าทุกครั้งพี่ใหญ่สามารถแก้ปัญหาได้เองเขาจึงไม่อยากจะเข้าไปวุ่นวายอะไรมากนัก
    เพราะถือว่าตรงนั้นเป็นความรับผิดชอบของพี่ใหญ่อยู่แล้ว   แต่ครั้งนี้จำนวนเงินมันมากเสียจนไม่อาจจะทำเป็นนิ่งเฉยได้และหุ้นส่วนคนอื่นก็รู้กันหมดจึงไม่มีใครยอม   เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายผวังของชายหนุ่ม
    “ว่าไง”   ไม่มีเสียงตอบรับจากอีกฝ่าย    จนชายหนุ่มแปลกใจทั้งที่สายโทรศัพท์ไม่ได้หลุดแต่อีกฝ่ายกับเงียบไม่ยอมพูด
    “นั้นใคร”  
    “เอ้อคือ ...คุณรองหรือค่ะ”    เมื่อชายหนุ่มได้ยินเสียงหวานๆ   ของอีกฝ่ายจึงจำได้ทันที
    “สวัสดีแพรวา...โทรมามีอะไรหรือเปล่า”  
    “เปล่าค่ะแพรไม่ได้โทร…”   แพรวาปฎิเสธเป็นพัลวัน
    “คุณวิทต่างหากที่โทรมาแล้วให้แพรรอสาย”    หญิงสาวกล่าวอย่างแปลกใจ
    “อ้อเหรอ”   เห็นทีเขาต้องหาของสมนาคุณให้วิทหน่อยแล้ว
    “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”   แพรวาถามเพราะได้ยินเสียงถอนหายใจดังเข้ามาในโทรศัพท์
    “ไม่มีอะไร”    ชายหนุ่มปฏิเสธ
    “แล้วทำไมคุณวิทถึง...”
    “เขารู้ใจ...ผมกำลังคิดถึงคุณ”     ถึงไม่เห็นหน้าเขาก็เดาได้ว่าป่านนี้อีกฝ่ายคงจะหน้าแดงก่ำอยู่
    “ค่ะ...อะไรน่ะค่ะ”
    “ผมคิดถึงคุณ”   แพรวารู้สึกถึงแรงเต้นของหัวใจเมื่อได้ฟังคำตอบของชายหนุ่ม   แต่ไม่วายสงสัย
    “วันนี้คุณรองแปลกจังเลยค่ะ”
    “แปลกอย่างไรจ๊ะ”
    “เสียงคุณรองฟังไม่ดีเลย”   สุรสีห์อดที่จะยิ้มไม่ได้กับความชังสังเกตุของหญิงสาวที่ถามเหมือนกับรู้ว่าเขามีเรื่องไม่สบายใจอยู่
    “ไม่ดียังไงจ๊ะไหนลองบอกผมซิ”
    “ไม่ทราบซิค่ะ...แพรแค่รู้สึก” 
    “ไม่มีอะไรจริง ๆ ทานข้าวเที่ยงหรือยัง”    ชายหนุ่มบอกปักรีบเปลี่ยนเรื่องกลัวหญิงสาวจะซักถามมากไปกว่านี้     เขาไม่อยากให้เธอเป็นกังวลไปกับเขาด้วย
     “ทานแล้วค่ะ... คุณรองละค่ะทานหรือยัง”
    “ยังเลยเพิ่งจะประชุมเสร็จ...หิวมากเลย”   สุรสีห์ได้ทีทำเสียงอ้อน
    “ตายจริงนี้จะบ่ายสามโมงแล้วนะค่ะ”
    “เดี๋ยววิทคงจะจัดให้”
    “ทานข้าวผิดเวลาบ่อย ๆ   ไม่ดีน่ะค่ะ”   ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้กับน้ำเสียงที่แสดงความห่วงใยของหญิงสาว
    “ขอบคุณที่เป็นห่วง...เย็นนี้ว่างมั้ยไปทานข้าวกันนะ”
    “เย็นนี้ไม่ได้หรอกค่ะ...ช่วงนี้งานเยอะมาก”
    “งานเยอะแล้วไม่ต้องทานข้าวหรือไง”    สุรสีห์ทำเสียงรวน
    “ทานซิค่ะ...แต่ทานกันที่ร้านนะค่ะ”    แพรวาชี้แจงอย่างใจเย็น   ไม่อยากจะถือสากับอาการเอาแต่ใจของอีกฝ่าย
    “แล้วจะอยู่ที่ร้านถึงกี่โมง”
    “วันนี้คงนอนค้างที่ร้านค่ะว่าจะทำงานกันดึกหน่อยเลยไม่อยากขับรถกับบ้าน”
    “งั้นตอนเย็นผมไปทานข้าวเย็นที่ร้านด้วยคนได้หรือเปล่า”   แพรวาเงียบไปอึกใจหนึ่ง   ยังไม่ทันที่จะตอบออกใจคนใจร้อนก็ชิงพูดขึ้นเสียก่อน
    “ว่าไง...ไปกินด้วยได้หรือเปล่า...ถ้าไม่ได้ก็บอกจะได้ไม่ไป”    ชายหนุ่มถามเสียงห้วนด้วยความไม่พอใจ
    “ได้ซิค่ะทำไมจะไม่ได้...คุณรองอย่างเพิ่มโมโหซิค่ะ”
    “โอเคเย็นนี้เจอกันนะ”
    “ค่ะ   แต่บอกก่อนนะค่ะว่าอาหารที่พวกแพรทานกันก็อาหารธรรมดาๆ”
    “ผมกินได้ทั้งนั้น...แต่อาหารรสจัดอย่างวันนั้นไม่เอานะครับ”   แพรวาอดที่จะยิ้มกับคำพูดของเขาไม่ได้
    “ค่ะ ตอนเย็นเจอกันนะค่ะ”    รอยยิ้มยังไม่จางหายไปจากใบหน้าจองชายหนุ่มแม้ว่าจะวางสายไปแล้วก็ตาม   เป็นเพราะอะไรกันนะแค่ได้ยินเสียงของหญิงสาวที่แสดงความห่วงใยต่อเขา    ก็รู้สึกได้ว่ามีกำลังใจที่จะแก้ไขอุปสรรคต่างๆ   ที่รายล้อมรอบตัวเขาอยู่ขณะนี้ 
     จนได้ยินเสียงเปิดประตูจึงเงยหน้ามองเห็นนายวิทเดินเข้ามาในห้อง
    “ขอบใจมากนะวิท”    นายวิทก้มศีรษะรับคำอดรู้สึกไม่ได้ว่าตัดสินใจไม่ผิดที่โทรไปหาคุณแพรวา   เพราะหลังจากเห็นอาการของเจ้านายก็รู้ว่าตอนนี้เจ้านายเครียดมากขนาดไหน   เห็นแบบนี้แล้วก็คงต้องยอมรับว่าหญิงสาวนามว่าแพรวามีอิทธิพลกับเจ้านายเข้าจริง ๆ

    “ว่าไงจ๊ะใครโทรมา”    ลูกตาลทำเสียงล้อ ๆ   
    “ต้องรู้ทุกเรื่องหรือจ๊ะ”
    “เรื่องคนอื่นฉันไม่สนใจแต่เรื่องเธอฉันสนใจทุกเรื่อง”   แพรวาส่ายหน้ากับคำตอบของเพื่อนสาว
    “คุณรอง...บอกว่าตอนเย็นจะมากินข้าวด้วย”
    “ตายแล้วยายแพรไหนบอกไม่มีอะไร”
    “ก็ไม่มีอะไรจริง ๆ นี้น่า”
    “เนี่ยนะไม่มีอะไรของเธอ...เช้าถึงเย็นถึงอย่างนี้นะไม่มีอะไรยายแพรเอ่ยไปหรอกเด็กเถอะไป”   แพรวามองค้อนเพื่อนสาวก็ตัวเธอเองยังไม่รู้เลยว่าเขากับเธอเป็นอะไรกันแล้วจะให้ตอบว่าอย่างไร
    “พูดมากนัก...เนี่ยกินเข้าไปซะจะได้เลิกพูดเสียที”    แพรวาเอาขนมยัดปากเพื่อนสาวที่ล้อเลียนตัวเอง
    “แล้วหล่อนทำไมหน้าแดงขนาดนั้นจ๊ะ...ถ้าไม่มีอะไรจริง   แล้วนี้จะเป็นอย่างไรน่าถ้าคุณรองเขารู้ว่าพี่ชายเขามาตีท้ายครัว”
    “เธอคิดอะไรบ้า ๆ   แบบนี้ลูกตาลคุณใหญ่เขาไม่คิดอะไรกับฉันแบบนั้นหรอกน่า”
    “แพรฉันว่าเธอคิดหน่อยก็ดีนะเพราะท่าทางคุณใหญ่เขาออกจะเปิดเผยเสียขนาดนั้น”
    “ช่างเขาถ้าเขาจะคิดอะไรฉันห้ามเขาไม่ได้แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขานี้น่า”
    “แล้วกับคุณรองล่ะเธอคิดหรือเปล่า”
     “ยัยลูกตาลเน่ายังไม่เลิกพูดอีกล่ะก็...โดนดีแน่”    ลูกตาลยังไม่หยุดล้อเพื่อนสาว   แพรวาคว้ากระดาษมาขยำในมือเตรียมจะคว้างใส่เพื่อนแต่ลูกตาลรู้แกล้วจึงชิงหนีไปก่อน     พนักงานในร้านต่างหัวเราะกับการทะเลาะกันของหญิงสาวทั้งคู่ 
     เพราะตั้งแต่เปิดร้านมานี้เป็นภาพที่ทุกคนเห็นจนชินตาเรื่องพูดคุยทะเลาะยั่วแหย่ของสองสาวแต่ถ้าเกิดเป็นเวลางานแล้วละก็เจ้านายสาวทั้งสองคนของพวกเธอจะจริงจังและลุยงานกันเต็มที่  

    “ฮัลโหลคุณปกรณ์อยู่หรือเปล่า”
    “สักครู่ครับ”   จักรคนสนิทของเสี่ยยื่นโทรศัพท์ไปให้เสี่ยที่นั่งรออย่างใจเย็นรู้อยู่แล้วว่าอย่างไรสุรศักดิ์ก็ต้องโทรมา
    “สวัสดีครับคุณสุรศักดิ์หรือครับ…อะไรให้ผมรับใช้ครับ”   
    “คุณปกรณ์ผมต้องการเงินสักสิบล้านบาทคุณพอจะช่วยผมได้หรือเปล่า”    เสี่ยปกรณ์เหยียดริมฝีปากอย่างดูถูก
    “สิบล้าน...คุณใหญ่ไม่ใช่เงินน้อย ๆ นะครับ”
    “ผมจำเป็นต้องใช้เงิน...คุณพอจะช่วยได้หรือเปล่า”
    “เอาอย่างนี้นะครับผมช่วยคุณใหญ่แต่คุณใหญ่ก็ต้องช่วยผมด้วยนะครับ”
    “จะให้ผมช่วยอะไรคุณไหนบอกมาซิ...ถ้าผมช่วยได้ผมจะช่วย”
    “ผมอยากเพิ่มที่เก็บของและจะขอใช้โกดังของคุณใหญ่เป็นที่เก็บของถาวรของผม...ไม่ใช่แค่ฝากแต่เป็นที่เก็บประจำเลยนะครับ”
    “อะไรนะ”   สุรศักดิ์ไม่อยากจะเสี่ยงด้วยเท่าไรกลัวไอ้รองรู้เรื่อง    แต่ตอนนี้ทางเลือกของเขาเหลือน้องลงทุกที
    “ก็อย่างที่ผมบอก”
    “แต่มันเสี่ยงเกินไปนะ…ถ้าไอ้รองมันรู้ว่าผมเอาโกดังของบริษัทมาเก็บของพวกนี้…”
    “เอาน่าเงินที่คุณจะเอาไม่ใช่น้อย ๆ   ไม่มีอะไรได้มาง่าย ๆ หรอกครับ”    เสี่ยปกรณ์หัวเราะชอบใจ
    “ผมว่ามัน...”
    “คุณใหญ่ครับคิดดูให้ดีนะผมขอแค่ที่เก็บของ…ไม่มีอะไรมากมายเลยแลกกับเงินสิบล้านบาท”
    “ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรใช่ไหมถ้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น”   สุรศักดิ์ถามเพื่อความแน่ใจ
    “มันจะมีปัญหาอะไรละครับคุณใหญ่ของทุกอย่างมันก็ของผมทั้งนั้นถ้ามีปัญหาผมรับผิดชอบเองครับ” 
    “ถ้าอย่างงั้นก็ตกลง”
    “ต้องอย่างนี้ซิครับคุณใหญ่…ผมจะจัดการโอนเงินไปให้คุณใหญ่”    หลังจากวางสายนายปกรณ์ยิ้มอย่างพอใจ
    “ไอ้โง่”   ปกรณ์หันไปมองคนสนิทที่ยืนเตรียมรับคำสั่ง
    “คืนนี้แกไปจัดการขนย้ายของทั้งหมดออกจากที่ซ่อนเอาไปไว้โกดังของไอ้สุรศักดิ์ให้หมด”    จักรมองหน้านายอย่างแปลกใจ
    “ไงแปลกใจมากหรือไงจักร”
    “ครับ”
    “เงินมันไม่เข้าใครออกใครหรอกนะพี่น้องยังฆ่ากันตายได้เลยจริงมั้ย”    กล่าวจบพลางหัวเราะอย่างขบขัน
    “ผมจะรีบขนย้ายของโดยเร็วที่สุดครับนาย”  
    “ดีมาก ...ตรงนั้นตำรวจมันเริ่มได้กลิ่นแล้วด้วย”
    “ครับผม”   จักรรีบออกจากห้องไปทำตามคำสั่งเจ้านาย

    เมื่อเวลาทุ่มตรงสุรสีห์ก็มาถึงร้านพอดี   แต่เขากลับไม่เห็นคนที่รบกวนการทำงานของเขาตลอดนับตั้งแต่คุยโทรศัพท์กันเสร็จเขาก็ไม่มีสมาธิทำงานเอาเสียเลย
    “ขอโทษครับพอดีมาค่ำไปหน่อย...”
    “ไม่ค่ำหรอกค่ะเราทานอาหารเย็นกันทุ่มกว่าอยู่แล้ว...แล้วคนที่คุณรองกำลังมองหาอยู่ ๆ ในครัวค่ะ”   ลูกตาลบอกอย่างรู้ใจ
    “ขอบคุณครับ”    สุรสีห์เดินเข้าไปหลังร้านบริเวณที่หญิงสาวอยู่ทันที   พอเข้าไปก็เจอกับภาพที่แพรวากำลังจัดโต๊ะอาหารอย่างขะมักเขม้นจนไม่รู้ตัวเลย
    “อุ๊ย...”   แพรวาตกใจมากเมื่อรู้สึกว่าโดนสัมผัสแผ่วเบาบริเวณต้นคอและโอบกอดจากด้านหลัง
    “คุณรองตกใจหมดเลยค่ะ”
     “โอ้ๆ ขวัญมานะ...”   สุรสีห์โยนตัวเธอไปมาเหมือนปลอบเด็กเล็กๆ   แพรวาพยายามปลดแขนของชายหนุ่มออกแต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จจนเธอตีไปที่มือของเขาแรงๆและพูดเสียงเขียว
    “คุณรองนี้...ปล่อยค่ะเดี๋ยวใครมาเห็นเข้าน่าเกลียดตายเลย”   
    “ไม่มีใครเข้ามาหรอกน่า”   แพรวาพยายามดันตัวออกห่างจากชายหนุ่ม
    “ไม่ได้ค่ะ...ปล่อยเดี๋ยวนี้”   พอได้ยินดังนั้นสุรสีห์จึงจำใจปล่อย
    “มีอะไรทานบ้าง”   สุรสีห์มองอาหารตรงหน้า   แล้วมองหน้าหญิงสาว
    ”ทานได้มั้ยค่ะ”  
     “ทานได้ตอนนี้ก็อยากกินเข้าไปทั้งตัวอยู่แล้ว...คุณนะไม่ใช่อาหาร” 
    “เผี้ยะ”    เมื่อได้ฟังคำตอบแพรวาเลยซัดเข้าให้ที่แขนของชายหนุ่มแรงด้วยความอายผสมหมั่นไส้
    “โอ๊ยเจ็บนะ...เรื่องอะไรมาทำร้ายผม”
    “สำหรับคนเกเรแค่นี้น้อยไปค่ะ...นั่งเลยค่ะเดี๋ยวแพรไปตามลูกตาลก่อน”   เมื่อมากันครบจึงรับประทานพร้อมกับบรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน   บรรยากาศแบบนี้สุรสีห์มักจะไม่ค่อยได้เจอที่บ้านเท่าใดนัก
      อาจจะเป็นเพราะว่าที่บ้านไม่ค่อยจะทานอาหารกันพร้อมหน้า   แต่ถึงจะพร้อมก็ใช่ว่าจะกินข้าวอร่อยนัก
    “ลูกตาลกินของหวานมั้ยจ๊ะ”
    “ฉันไม่กินหรอก...แค่เห็นก็หวานจนเลี่ยนแล้ว”   
    “เธอนี้”      
    “ไม่ขัดคอแล้ว...ตามสบายนะค่ะคุณรอง”
    “เธอนี้จริง ๆ เลย”   แพรวาเขินจนหน้าแดงไปหมดเมื่อโดยเพื่อนล้อ
    “ฉันไปทำงานก่อนเธอคุยกับคุณรองไปก่อนแล้วกันนะไม่ต้องห่วงงาน”   ลูกตาลหลบไปอย่างรู้หน้าที
    “จะรับชาหรือกาแฟมั้ยค่ะ”   แพรวาหันมาถามเมื่อลูกตาลเดินออกจากห้องไปแล้ว 
    “ไม่ดีกว่า...ผมอยากคุยกับคุณมากกว่า”
    “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”    แพรวาถามเมื่อเห็นสีหน้าชายหนุ่มต่างจากเมื่อครู่
     “เปล่าไม่มีอะไรแค่อยากอยู่กับคุณสองคน”   เมื่อฟังคำตอบแพรวาหน้าแดงไปถึงใบหูเธอไม่อยากจะนับแล้วว่าหน้าแดงไปกี่ครั้งเมื่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่ม
    “แพรกับคุณลูกตาลรู้จักกันมานานแล้วเหรอ”
    “ค่ะ...รู้จักกันเกือบจะสิบปีแล้วมั้ง”
    “คุณตาลเป็นคนน่ารักน่ะ”
    “ทะเล้นนะซิไม่ว่า” 
    “แล้วช่วงนี้งานเยอะมากหรือไง...เห็นแต่ละคนวุ่นวายไปหมด”
    “ค่ะพอดีจะมีงานเดินแฟชั่นการกุศล...ร้านของแพรก็เอาเสื้อผ้าไปร่วมงานเดินโชว์ด้วยก็เลยวุ่นวายนิดหน่อย”
    “แล้วนี่จะได้นอนกันกี่โมง”
    “เหลือเก็บงานนิดหน่อยค่ะแพรทำกับลูกตาลสองคนเดียวก็เสร็จ”
    “ทำไมไม่ใช้เด็กล่ะ...ผมเห็นปล่อยให้เด็กกลับบ้านแต่เจ้าของต้องทำเอง”
    “เหลือเก็บรายละเอียดนิดหน่อยน่ะค่ะ...แพรไม่อยากให้ของมีตำหนิก็เลยตรวจเช็คกันเอง”
    “คนเก่ง”   กล่าวจบชายหนุ่มจึงเดินมานั่งที่โซฟา
    “เป็นอะไรไปค่ะ...”    แพรวาถามเพราะเห็นคุณรองนั่งขมวดหัวคิ้ว
    “ขอโทษนะผมปวดหัวมากเลย...ขอผมนอนหน่อยนะ”    สุรสีห์ล้มตัวนอนเหยียดยาวลงกับโซฟา
    “ทานยามั้ยค่ะเดี๋ยวแพรไปเอาให้”    ชายหนุ่มพยักหน้าทั้งที่ยังหลับตาอยู่ 
    “ทานยาค่ะ”   แพรวาส่งยากับแก้วน้ำให้สุรสีห์
    “ขอบคุณมาก”    เมื่อแพรวาเดินเอายาไปเก็บแล้วกลับมา ปรากฏว่าสุรสีห์หลับไปแล้ว
    “คุณรองค่ะ...คุณรอง”    แพรวาส่ายหน้าอย่างเอ็นดูเหมือนเด็ก ๆ เลยกินอิ่มก็นอนหลับ   ทั้งที่คุยกันยังไม่จบเลยด้วยซ้ำ   แพรวาเดินไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้เพราะกลัวอากาศจะเย็นไป   แล้วเดินออกไปทำงานต่อ
    “อ้าวคุณรองล่ะ”
    “บ่นว่าปวดหัวพอกินยาเสร็จก็หลับไปเลย”
    “แพรคุณรองเขาแสดงออกชัดเจนมากเลยนะว่าสนใจเธอ...แล้วเธอล่ะ”
    “ฉันไม่รู้นะลูกตาล...บางครั้งฉันอยากให้เป็นแค่ความฝันมากกว่า “
    “ฉันไม่เห็นว่ามันจะเป็นไรเลยคุณรองรักเธอ   เธอรักคุณรองทุกอย่างก็จบ”
    “ถ้ามันง่ายอย่างงั้นก็ดีนะซิ...แต่นี้ฉันกลัวว่ามันจะไม่ง่าย”
    “ตายยายแพรยอมรับแล้วใช่มั้ยล่ะว่ารักคุณรอง”
    “บ้าจริงยายตาลนี้”    แพรวาเขินหน้าแดงเมื่อรู้ว่าเสียรู้ยายเพื่อนตัวดีเสียแล้ว
    “ทำงานไปเลยนะ...ว่างมากหรือไง”
    “ไม่ว่างหรอกจ๊ะแต่ความอยากรู้มันมีมากกว่า”
    “ไม่บอกฉันไม่บอกอะไรทั้งนั้น...ฉันจะทำงาน”
    “ฮิฮิ...อย่ามากลบเกลื่อนเลย”   แพรวาหันหลังให้เพื่อเป็นการจบการสนทนา    แพรวานั่งทำงานจนลืมสนใจเวลามองนาฬิกาอีกทีปรากฏว่าเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว 
    “ลูกตาลจะเที่ยงคืนเธอใกล้เสร็จหรือยังเอาไว้ทำต่อพรุ่งนี้ก็ได้ไปนอนก่อนเถอะ”
    “ของฉันเหลือสอยชายกระโปรงอีกนิดหน่อยทำให้เสร็จเลยดีกว่า...เธอไม่ไปดูคุณรองเหรอ”
    “กำลังจะไปดูอยู่เหมือนกัน”    กล่าวจบแพรวาก็ลุกเดินเข้าไปในห้องที่สุรสีห์นอนอยู่  

    ตอนที่  10
     แพรวาเปิดประตูแผ่วเบาค่อยๆ    โผล่หน้าเข้ามาดูเห็นชายหนุ่มนอนหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่น   พอดีมีโทรศัพท์มือถือของเขาดังเข้ามาแต่ท่าทางชายหนุ่มจะหลับเพราะฤทธิ์ยาจึงหลับสนิทไม่มีทีท่าว่าจะตื่นมารับ 
     เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมามองเห็นเป็นชื่อวิทขึ้นที่หน้าจอจึงตัดสินใจรับโทรศัพท์แทน
    “ฮัลโหล...”
    “เอ้อ…คุณแพรหรือครับ”    วิทถามเพื่อความแน่ใจ
    “ค่ะ”
    “เจ้านายอยู่หรือเปล่าครับ”
    “อยู่ค่ะแต่หลับน่ะค่ะ...เห็นบ่นว่าปวดหัวดิฉันให้ทานยาเลยหลับไป”
    “สงสัยจะเหนื่อยมาก”   
    “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”    แพรวาถามอย่างเป็นกังวลเพราะเธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อนเลย
    “นิดหน่อยครับ”
    “ไม่รู้เจ้านายจะให้ผมไปรับหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”
    “มารับซิค่ะ...ไปนอนบ้านจะได้สบายนี่ก็ดึกแล้ว”    แพรวารีบบอกเรื่องอะไรจะให้มาหลับอยู่ที่นี้กันเล่าเจ้านายลูกน้องคู่นี้คิดอะไรแปลกๆ
    “ครับงั้นเดี๋ยวผมไปรับ…สวัสดีครับ”
    “ค่ะสวัสดีค่ะ”   แพรวาเดินไปทรุดตัวลงนั่งขยับผ้าห่มที่เลื่อนหลุดจากตัวมาห่มให้   ขณะที่กำลังจะปล่อยมือสุรสีห์วางมือลงบนมือหญิงสาว
    “อุ๊ย”   แพรวาร้องอย่างตกใจคนอะไรเจ้าเล่ห์นัก
    “คุณรองตื่นแล้วหรือค่ะ”
    “ยัง...ยังไม่ตื่น”   สุรสีห์จับมือของเธอไปแนบที่แก้มตัวเองโดยไม่ลืมตาขึ้นมามองเธอด้วยซ้ำ  
     “อย่ามาเกเรค่ะ...ไม่ใช่น้องกรสักหน่อยลุกขึ้นเถอะค่ะเดี๋ยวคุณวิทมารับ”    สุรสีห์ลืมตามองหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าเอื้อมมือไปลูบแก้มหญิงสาวอย่างเผลอ ๆ 
    “หายปวดหัวหรือยังค่ะ”   สุรสีห์ส่ายหน้า
    “แพรใจร้ายให้นายวิทมารับผมทำไม”
    “โธ่...แพรสงสารคุณมานอนทรมานอยู่อย่างนี้ทำไมกลับไปนอนสบาย ๆ ที่บ้านดีกว่าน่ะค่ะ”    สุรสีห์ค่อยๆโน้มศีรษะหญิงสาวลงมาหาแพรวาพยายามจะขืนไว้แต่สุดท้ายก็ไม่อาจต้านทานได้   ปล่อยเลยตามเลยจนริมฝีปากสัมผัสกัน 
     แพรวาร้อนผ่าวไปทั่วร่างสมองมึนงงสามารถคิดอะไรได้รู้แต่เวลานี้มีแต่เขาและเธอกันเวลาผ่านไปนานแค่ไหนต่างฝ่ายต่างไม่สนใจ   เพราะทั้งสองคนต่างฟังเสียงหัวใจของตัวเองว่าต้องการอะไร   ชายหนุ่มถอนริมฝีปากออกอย่างตัดใจแต่ยังคงกอดแพรวาไว้แนบอก
    “แพรมีความสุขเหมือนผมไหม”   แพรวาเอาแต่ก้มหน้าแนบกับอกของชายหนุ่มไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ
    “ผมไม่อยากกลับบ้านเลย”
    “ไม่ได้ค่ะ...ต้องกลับ”    แพรวาเงยหน้าขึ้นทันทีและก็รู้ว่าเสียรู้อีกแล้วเพราะแก้มทั้งสองข้างของตัวเองโดนรังแกอีกครั้ง
    “พอเถอะค่ะ”    หญิงสาวผละออกจากชายหนุ่มทันที     เมื่อได้ยินเสียพูดคุยของวิทกับลูกตาล  
    “ตื่นหรือยังครับเจ้านาย”    พอวิทเห็นสายตาของเจ้านายก็ต้องรอบยิ้มเพราะท่าทางเจ้านายคงไม่อยากจะให้เขาเข้ามาสักเท่าไร
    “ทำไมนายมาเร็วนักวะ”  
    “อ้าวผมรีบมากลัวเจ้านายต้องรอนาน”   นายวิทส่ายหัวอย่างระอาปนขำกับอารมณ์ของเจ้านาย
    “แส่นะซิไม่ว่า”   สุรสีห์บ่นเบาๆ  
    “ความผิดผม”   วิทชี้นิ้วเข้าหาตัว
    “กลับเถอะค่ะคุณรอง”    แพรวาไม่พูดเปล่ายังจับแขนชายหนุ่มให้ลุกขึ้นด้วย   แต่สุรสีห์มิได้ให้ความร่วมมือกับเธอลย   พยายามจะขืนตัวเองเอาไว้
    “กลับบ้านน่ะค่ะ”   แพรวามองอย่างอ่อนใจดื้อยิ่งกว่าหลานเธอตอนไม่สบายอีกนะนี้คนอะไร
    “แล้วแพรทำงานเสร็จหรือยัง”   สุรสีห์เปลี่ยนเรื่องคุยทวงเวลาให้ได้อยู่ที่นี้นานๆ 
    “เสร็จแล้วค่ะ...กำลังจะขึ้นนอนเหมือนกัน”  
    “ถ้าจะให้ผมกลับ...เดินไปส่งผมที่รถหน่อยนะ”   วิทกับลูกตาลต่างต้องกลั้นยิ้มกับอาการอ้อนของผู้ชายตัวโต ๆ ตรงหน้า   ลูกตาลสะกิดชวนวิทออกมาข้างนอกไม่อยากอยู่เป็นกอขอคอใคร    วิทจึงเดินตามออกมา
    “คุณรองเกเร”    แพรวาต่อว่าทั้งที่หน้าแดงกับการกระทำของชายหนุ่มแต่ก็พยักหน้า    ยอมเดินตามออกมาส่งชายหนุ่มถึงที่รถไม่อยากงั้นคืนนี้เธอกับลูกตาลคงไม่ได้นอนกันทั้งคืนเพราะคนเจ้าปัญหาคนนี้เป็นแน่
    “ผมไปก่อนนะ   หลับฝันดีนะ”
    “คุณรองก็เหมือนกันน่ะค่ะ...คุณวิทขับรถดี ๆ น่ะค่ะ”
    “ครับผม”
    “แพรกลับเข้าร้านไปได้แล้วล่ะ”   สุรสีห์ยืนส่งจนเห็นว่าหญิงสาวเข้าไปในร้านแล้วจึงเดินขึ้นรถ
    “ไปกลับบ้าน…”
    “ท่าทางเจ้านายจะนอนฝันดีนะครับคืนนี้”
    “นายไม่ต้องพูดมากเลยวิทขับรถไปเงียบ ๆ”   วิทส่ายหน้ากับอาการของเจ้านายสงสัยงานนี้จะเอาจริง   เพราะหลังจากขับรถออกมาจากร้านแล้วเจ้านายเอาแต่มองไปนอกรถกอดอกอมยิ้มท่าทางเป็นเอามาก 
     จนเขาไม่กล้าที่จะเอาเรื่องไม่ดีมาเล่าให้เจ้านายฟังอยากให้เจ้านายเก็บเวลาแห่งความสุขเมื่อได้อยู่กับคุณแพรนาน ๆ   ตามที่เจ้านายปรารถนาเพราะอย่างไรเสียพรุ่งนี้เจ้านายก็ต้องรับรู้เรื่องที่ไม่อยากรู้อีกมากมาย 
      ใครว่าเกิดเป็นนายสุรสีห์ดีมีแต่คนอิจฉาเพราะความพรั่งพร้อมไปเสียทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติหรือ รูปสมบัติแต่ใครจะรู้ว่าจริง ๆ แล้วเจ้านายเขาจะต้องรับผิดชอบอะไรไว้บนบ่าทั้งสองข้างบ้าง   ถ้าเขาเลือกได้เขา
    ก็ขอเลือกเป็นนายวิทคนรับใช้คนขับรถ   เลขาหรืออะไรก็ได้แต่ไม่ขอเป็นนายสุรสีห์   กิจเจริญไพศาลเด็ดขาด 

     “เห็นมั้ยรองฉันมีเงินมาให้ใช้นายแล้วนะ”
    “ไม่ได้ใช้ให้ผมครับคุณใหญ่...ใช้ให้กับผู้ถือหุ้นทุกคนต่างหาก”
    “นั้นล่ะ...เห็นฝีมือฉันหรือยังล่ะฉันบอกจะหามาใช้ให้ฉันก็ต้องหามาใช้ให้จนได้”
    “นายแจ้งให้บรรดาลุง ๆ ทั้งหลายรู้ด้วยก็แล้วกันนะว่าฉันเอาเงินมาใช้ให้แล้วจะได้ไม่ต้องมาว่าฉันอีก”
    “คุณใหญ่คิดว่าปัญหามันอยู่ที่เรื่องเงินหรือครับ”
    “อะไรอีกล่ะ”   สุรศักดิ์อย่างอารมณ์เสีย
     “ปัญหาคือ...มันไม่น่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับโรงแรมที่คุณใหญ่ดูแลอยู่”
    “ฉันก็แก้ปัญหาให้แล้วไง”   สุรศักดิ์โวยวายเสียงดัง
    “ตอนนี้สิ่งที่พวกผู้ถือหุ้นคนอื่นต้องการคือปลดคุณใหญ่ออกจากการดูแลเรื่องโรงแรม”    สุรสีห์กล่าวอย่างใจเย็น
    “บ้า ๆ ที่สุด...ทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้นะ”     สุรศักดิ์มองหน้าชายหนุ่มอย่างโกรธเกี้ยว
    “แกเป็นคนตัดสินใจใช่มั้ย...แกจงใจแกล้งฉันไอ้รอง”
    “ผมเปล่า”
    “แกไม่ต้องแก้ตัวเลย...ไอ้ลูกเมียน้อยแกมันคนขี้อิจฉา...แกอิจฉาฉันใช่มั้ย”  
    “โอ๊ย...”   สิ้นเสียงพูดของคุณใหญ่   สุรสีห์ต่อยเข้าที่ปากครี่งจมูกครึ่งจนล้มไปนอนอยู่กับพื้นทันทีนายวิทรีบเข้ามาห้ามทันที
    “พอครับคุณรอง…พอแล้ว”   วิทรีบวิ่งมาดึงตัวเจ้านายเอาไว้
    “แก…”   สุรศักดิ์จะกระโจนเข้าใส่   วิทจึงรีบห้ามไว้
    “ผมว่าคุณใหญ่คิดก่อนพูดดีกว่าถ้าไม่อยากโดนอย่างเมื่อกี้อีก”   เสียงนายวิทเตือนคุณใหญ่ก่อนที่คุณใหญ่จะพูดจบ
    “พวกแกจะรุมฉันเหรอ”   สุรศักดิ์ชี้หน้าพวกเขา
    “ไม่มีใครทำอย่างงั้นหรอกครับ...วันนี้คุณใหญ่กับไปก่อนดีกว่า”   วิทรีบไล่อีกฝ่ายไปเขารู้ดีว่าเจ้านายโมโหมาก
    “เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่ไอ้รองแกยังต้องเจอกับฉันอีกแน่”   เมื่อคุณใหญ่ก้าวออกจากห้องไป   วิทจึงปล่อยตัวเจ้านาย    สุรสีห์สอดมือทั้งสองข้างไว้ในกระเป๋ากางเกงหันหลังให้คนสนิทพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเต็มที  
    “หายเครียดหรือยังครับเจ้านาย”
    “ฉันไม่ได้เครียด…ที่มาของเงินของคุณใหญ่ล่ะ”   สุรสีห์ถามสิ่งที่เขาสงสัยเพราะเขารู้ดีกว่าต้องมีคนให้ยื่มมาแน่ ๆ
    “นายปกรณ์ครับ”
    “อะไรนะ”    สุรสีห์ร้องเสียงดังไม่อยากจะเชื่อเลยว่าพี่เขาจะไปยุ่งกับไอ้เสี่ยบ้านี้ได้
    “มีเงินโอนจากบัญชีนายปกรณ์เข้าบัญชีคุณใหญ่เมื่อวานช่วงบ่ายครับ”
    “นายไปสืบดูว่าคุณใหญ่กับนายปกรณ์ทำอะไรกันอยู่…เร็วที่สุดนะวิท”   
    “ครับเจ้านาย”
    “ดี…บอกคุณจริยาด้วยวันนี้ฉันไม่รับแขก”
    “ครับผม”   กล่าวจบนายวิทเดินออกมาหาเลขาหน้าห้องเจ้านาย
    “เกิดอะไรขึ้นค่ะคุณวิท...ดิฉันเห็นคุณสุรศักดิ์เดินออกไปหน้าเครียดเชียว”
    “ไม่มีอะไรครับคุณจริยา...เจ้านายไม่รับแขกและไม่รับโทรศัพท์ด้วยน่ะครับ”
    “ค่ะ...แต่เมื่อกี้คุณซินดี้เพิ่งจะโทรมาค่ะบอกว่าจะมาหา”
    “ผมว่าอย่าเสี่ยงกับอารมณ์เจ้านายตอนนี้ดีกว่าครับ”
    “ค่ะ”   จริยารับคำอย่างหน้าเจื่อน ๆ ใคร ๆ ในบริษัทก็รู้ว่าคุณวิทเป็นคนที่รู้ใจเจ้านายที่สุด ลองบอกว่าไม่คือไม่   จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง

    “คุณพ่อผมไม่ยอมน่ะครับ...ดูมันทำกับผมซิไอ้รองมันต่อยผม”    สุรศักดิ์กลับบ้านมาฟ้องพ่อเขาที่โดนสุรสีห์ต่อย
    “แล้วมีเรื่องอะไรกันล่ะ”   สุรชัยกล่าวอย่างใจเย็น   เขาไม่ค่อยเชื่อที่ลูกชายคนโตพูดสักเท่าไร
    “ถึงจะมีเรื่องอะไรก็แล้วแต่ก็ไม่น่าจะลงไม้ลงมือกันนะค่ะคุณพ่อ...โต ๆ กันแล้วด้วย”    สุชาดาพูดเข้าข้างพี่ชายคนโตถึงเขาจะไม่ได้เรื่องแต่ก็สายเลือดเดียวกันกับเธออย่างไรเธอก็ต้องเข้าข้างไว้ก่อน
    “โตๆ    กันแล้วไม่น่าทำแบบนี้”     สุชาดาบ่นต่อพร้อมกับทำแผลให้กับสุรศักดิ์ที่ร้องโอดครวญดูเจ็บเกินจริง
    “เดี๋ยวรองมาค่อยคุยกัน”   สุรชัยบอกปัด
    “คุณพ่อต้องจัดการให้ผมด้วยผมไม่ยอม…ให้ไอ้ลูกเมียน้อยมันมาต่อยผมฟรี ๆ หรอก”
    ”หยุดนะตาใหญ่...ทำไมแกพูดแบบนี้”  
    “ก็มันจริงนี้ครับ...คุณพ่อลำเอียงอะไร ๆ ก็ให้มันคนเดียว”    เมื่อฟังคำพูดของลูกชายคนโตของเขาแล้ว   สุรชัยถึงกับพูดไม่ออกเจ็บที่บริเวณหน้าอกด้านซ้ายพยายามหายใจเข้าลึก ๆ 
    “คุณพ่อเป็นอะไรไปค่ะ”    สุทธิดารีบเข้าไปดูแลสุรชัย
    “ไม่เป็นอะไรลูกพ่อแค่เหนื่อยนะ”
    “ไม่รู้ล่ะคุณพ่อเรียกมันมาด่าเดี๋ยวนี้เลย”    สุรศักดิ์มิได้สนใจอาการของพ่อสักนิด    สุรชัยมองลูกชายด้วยความช่ำใจ
     “ฉันบอกให้หยุดไงเล่า”
    “ผมไม่หยุด...ผมเบื่อความลำเอียงของคุณพ่อได้ยินมั้ยครับผมเบื่อ”     สุรศักดิ์ยังโวยวายไม่เลิก
    “โอ๊ย”   ประมุขของบ้านกิจเจริญไพศาลทรุดตัวลงอย่างเจ็บปวด
     “คุณพ่อค่ะ...ตามหมอเร็วค่ะพี่ใหญ่พี่นิด… “   รีบหยิบโทรศัพท์ตามแพทย์ประจำตัวของนายสุรชัยทันที   นายสุรศักดิ์งงจนทำอะไรไม่ถูกเพราะไม่นึกว่าประมุขของบ้านจะมีอาการแบบนี้  
    รู้มาบ้างว่าพ่อมีอาการของโรคหัวใจแต่ไม่คิดว่ามันจะหนักหนาสาหัสเพราะไม่เคยเอาใจใส่เลยไม่เคยเห็นอาการ
    “พี่นิดค่ะโทรบอกพี่รองด้วยค่ะ”
    “ไปบอกมันทำไม...มันทำให้คุณพ่อเป็นแบบนี้น่ะน้อย”
    “โธ่ที่ใหญ่ค่ะพอเถอะค่ะ…”    สุรศักดิ์หุนหันออกไปอย่างอารมณ์เสียโดยไม่สนใจอาการของพ่อเลยว่าจะเป็นอย่างไร
    “พี่ใหญ่ค่ะ...พี่ใหญ่”   เสียงสุทธิดาร้องเรียกตามด้วยความตกใจเมื่อเห็นพี่ชายคนโตเดินออกไปโดยไม่สนใจคุณพ่อ
    “ดูพี่ใหญ่ทำซิ...ทำเรื่องไว้แล้วเดินไปเฉยเลย”   สุชาดาบ่นด้วยความอ่อนใจกับความเห็นแก่ตัวของพี่ชายคนโต
    “พี่นิดค่ะดูอาการของคุณพ่อก่อนดีกว่า”   น้อยกล่าวอย่างหนักใจเพราะรู้นิสัยพี่ชายคนโตดีว่าคงจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่าย ๆ   หลังจากนั้นไม่นานหมอประจำตัวนายสุรชัยก็มาถึง
    “เป็นอย่างไรบ้างค่ะคุณหมอ”   น้อยรีบถามเมื่อเห็นคุณหมอเดินออกมาจากห้อง
    “ปลอดภัยแล้วครับ...ช่วงนี้คงต้องดูแลใกล้ชิดอย่าให้มีเรื่องกระทบกระเทือนอีกจะดีกว่า”
    “ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ”   เมื่อส่งคุณหมอเสร็จ   รถของสุรสีห์ก็เล่นเข้ามาพอดี
    “คุณพ่อเป็นอย่างไงบ้างน้อย”
    “ปลอดภัยแล้วค่ะ...พี่รองไม่ต้องห่วง”   สุรสีห์ถอนหายใจอย่างโล่งอก   มองไปที่เตียงที่ประมุขของบ้านนอนหลับอยู่ น้อยมองหน้าอย่างสงสัย
    “เกิดอะไรขึ้นหรือค่ะพี่รอง...”
    “ไม่มีอะไรน้อย...น้อยเชื่อใจพี่มั้ย”    สุรสีห์มองหน้าน้องสาว     สุทธิดาจับมือพี่ชายมาบีบให้กำลังใจ
    “น้อยเชื่อพี่รองค่ะ...ว่าสิ่งที่พี่รองทำต้องเป็นสิ่งที่ถูก”
    “ขอบใจมากนะน้อย...พี่ขอบใจมากฝากดูแลคุณพ่อด้วย”   กล่าวจบสุรสีห์เดินออกจากห้องไป
    “น้อยคงไม่ได้คำตอบจากวิทใช่มั้ย”   วิทยืนก้มหน้าเพื่อหลีกเลียงที่จะตอบคำถาม
    “น้อยไม่ถามให้วิทลำบากใจแล้วล่ะ...ฝากดูแลพี่รองด้วยนะ”
    “ครับผม”   เมื่อรับคำเสร็จจึงเดินตามเจ้านายออกไป

    วิทเดินตามออกมาจึงเห็นเจ้านายเขายืนอยู่ริมสระน้ำ   จึงไม่เข้าไปรบกวน    พอดีสุรสีห์หันมาเห็นพอดี
    “วิทไปข้างนอกกัน”
    “ครับผม…เจ้านายอยากไปไหนครับ”
    “ครับรถไปเรื่อย ๆ แล้วกันนะ”   หลังจากมานั่งในรถแล้วสุรสีห์นั่งหลับตาอย่างเหนื่อยอ่อน    เขารู้สึกเหนื่อยเหลือเกินกับปัญหาต่าง ๆ ที่ทับถมกันเข้ามาตอนนี้   เคยมีคำพูดที่ว่ายิ่งสูงยิ่งหนาวถ้าไม่เคยคงไม่เข้าใจความหมายของคำ ๆนี้นัก 
     เมื่อเขาลืมตาขึ้นจึงเห็นเส้นทางที่คอนข้างจะคุ้นตา
    “วิทแกพาฉันมา...”
    “ก็เจ้านายอยากมาที่ ๆ ทำให้สบายใจไม่ใช่หรือครับ”   วิทพูดยิ้ม ๆ  
    “แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากให้แพรเห็นฉันในสภาพนี้”    แต่ก่อนที่ชายหนุ่มจะบอกให้ออกรถไปจากบริเวณดังกล่าว   ปรากฏว่าแพรเดินออกมาจากร้านและมองเห็นรถพอดีจึงเดินเข้ามาหา   ชายหนุ่มจึงก้าวลงจากรถไปยืนรอเมื่อแพรวาเดินเข้ามาใกล้จึงส่งมือให้เธอจับ
     “คุณรอง”   แพรวาวางมือไปบนมือฝ่ามือหนาของเขา   ชายหนุ่มบีบกระฉับมือของหญิงสาวแน่นจนหญิงสาวแปลกใจ
    “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”
     “ว่างมั้ย”
    “ทำไมค่ะ”   แพรวาเอียงคอมองหน้าชายหนุ่มวันนี้เขาดูแปลก ๆ   อย่างไรไม่รู้
    “ไปเป็นเพื่อนผมหน่อยได้มั้ย”    แพรวามองหน้าชายหนุ่มอย่างงง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นเขาถึงมีอาการแบบนี้   ตั้งแต่รู้จักกันมาชายหนุ่มไม่เคยมีอาการอย่างนี้ให้เห็นเลย
    “จะไปไหนค่ะ”    สุรสีห์ส่ายหน้าไม่ยอมตอบ  
    “เดี๋ยวแพรเข้าไปบอกลูกตาลก่อนน่ะค่ะ”    ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้เชื่อใจเขาไม่ว่าเขาจะพาไปไหนเธอก็พร้อมจะไปกับทุกที
    “ผมไปด้วย”   ชายหนุ่มเดินจูงมือแพรวาเข้ามาในร้าน
    “คุณลูกตาลผมขอตัวแพรไปกับผมสักครู่นะครับ”
    “เชิญเถอะค่ะ...เอาไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ไม่ต้องเกรงใจ”   ลูกตาลตอบอย่างทะเล้น
    “ลูกตาลเธอนี่”   แพรวาหันมามองค้อนเพื่อนสาวที่รู้สึกจะเข้ากับชายหนุ่มได้ดีทุกเรื่อง
    “ไปเถอะจ๊ะไม่ต้องห่วงงานนะ…ฉันดูแลเองจ๊ะ”
    “งั้นฉันไปก่อนนะ”   ลูกตาลโบกมือให้พร้อมกับอมยิ้มอย่างขำๆ   กับท่าทางของเพื่อนสาวนี้ขนาดบอกไม่มีอะไรนะ
    “เราจะไปไหนกันค่ะ...คุณรอง”   แพรวาถามอย่างสงสัย    ชายหนุ่มมองหน้าเธอยิ้ม ๆ   แล้วหันไปบอกวิท
    “ไปบ้านสวนนะวิท”  
    “ครับผม”    ชายหนุ่มเลื่อนมือไปกดปุ่มกระจกปิดระหว่างตอนหน้าของคนขับกับที่ตอนหลังของรถ   
    “ชอบจัง”
    “ค่ะ”   แพรวาทำหน้างงกับคำพูดของชายหนุ่ม
    “ที่แพรพูดว่าเราไง...ผมชอบจัง”
    “โธ่คุณรอง...ยังจะพูดเล่นที่นี้บอกแพรได้หรือยังว่าเราจะไปไหนกัน”
    “ผมอยากหาที่เงียบ ๆ อยู่กับแพรสองคน”   เมื่อได้ฟังคำตอบดวงหน้าของแพรวาร้อนผ่าวไปหมดหลบสายตาของเขาที่มองมา
    “ดูซิหน้าแดงไปหมด”   สุรสีห์เกลี่ยปลายนิ้วไปตามแก้มเนียนใสของเธอที่ไร้ซึ่งเครื่องสำอางค์
    “คุณรองไม่ต้องเปลี่ยนเรื่องนะค่ะ”    แพรวาทาบมือของตนเองลงบนมือของเขา
    “เปล่า...ผมไม่ได้เปลี่ยนเรื่อง”
    “แพรว่าวันนี้คุณรองดูแปลก ๆ “
    “ไม่มีอะไรหรอก...ผมแค่รู้สึกเหนื่อย ๆ นะ”   แพรวาเอื้อมมือไปเปิดตู้เย็นอเนกประสงค์ภายในรถเจอผ้าเย็นจึงหยิบขึ้นมาเช็ดหน้าให้ชายหนุ่มอย่างเบามือ   กลิ่นหอมของผ้าเย็นหรือเพราะมือนุ่ม ๆ ของแพรวาที่สัมผัสหน้าเขาก็ไม่รู้ถึงทำให้เขารู้สึกดีขึ้นขนาดนี้ 
     ชายหนุ่มจับมือหญิงสาวไว้
    “ขอบคุณมากน่ะแพร...”
    “ขอบคุณแพรเรื่องอะไรค่ะ...แพรไม่ได้ทำอะไรให้คุณรองเลย”
    “ขอบคุณที่แพร...อยู่ตรงนี้”   ก่อนที่หญิงสาวจะรู้ตัว   สุรสีห์เอนตัวลงนอนทอดยาวไปกับที่นั่งเอาศีรษะพาดมาที่ตักของหญิงสาว
    “ผมเหนื่อยจังเลย”
    “ถ้าเหนื่อยก็หลับตาน่ะค่ะ...เดี๋ยวถ้าถึงแล้วแพรจะปลุก”    ชายหนุ่มหลับตาลงอย่างว่าง่ายจะด้วยความอ่อนเพลียหรือเพราะอะไรก็แล้วแต่เขาก็ไม่สมารถหาคำตอบได้ในเวลานี้เพราะเมื่อสิ้นเสียงของแพรวาก็ดูเหมือนชายหนุ่มจะหลับลงทันที
      แพรวายกมือขึ้นรูปผมที่ตกลงมาปรกมาชายหนุ่มอย่าเบามือเพราะกลัวว่าจะไปเป็นการรบกวน   รถแล่นออกมาทางนอกเมืองเรื่อยๆ   จากที่จราจรติดขัดก็เริ่มบางตาขึ้นเรื่อยๆ    แพรวาเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้ตัว   มารู้ตัวอีกทีรถก็จอดสนิทแถมไม่เห็นคุณรองแล้วจึงเปิดประตู
    รถเดินตามลงมาจึงเห็นคุณรองกับวิทคุยกันอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งน่าอยู่มากที่เดียวที่ระเบียงบ้านมีเก้าอี้ไม้ที่ทั้งสองนั่งคุยกันอยู่
    “ตื่นแล้วเหรอผมกำลังจะลงไปปลุกเจ้าหญิงนิทรานึกอยู่ว่าต้องจุมพิตหรือเปล่าถึงจะยอมตื่น”   คุณรองร้องทักหลังจากเห็นเธอ
    “คุณรองนี้”
     “ผมล้อเล่นนะ”    
    “ที่นี้ที่ไหนค่ะคุณรอง”    แพรวาหมุนกายมองไปรอบ ๆ   บ้านที่มีต้นไม้เต็มไปหมดมีกลิ่นดอกไม้หอมอ่อนอบอวนไปทั่ว
    “บ้านสวนของแม่ผม...”   สุรสีห์เดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆ    
    “ผมขอตัวก่อนน่ะครับเจ้านาย”   วิทเอ่ยขอตัวอย่ารู้หน้าที
    “ไปเถอะ”   เมื่อสุรสีห์อนุญาตวิทจึงหันมาค้อมศีรษะให้เธอก่อนที่จะเดินจากไป
    “บ้านคุณรองหรือค่ะ”
    “ใช่นี้เป็นบ้านผม...บ้านของผมจริง ๆ   บ้านที่แม่ของผมทิ้งไว้ไห้ผมก่อนที่ท่านจะจากผมไป”  
    “น่าอยู่มากเลยค่ะ”    สุรสีห์ยิ้มเมื่อได้ฟังคำตอบของเธอ
    “ผมดีใจที่คุณพูดคิดแบบนี้…คุณหิวหรือยังครับ” 
    “ยังค่ะ...แล้วถ้าแพรหิวจะมีอะไรให้แพรกินล่ะค่ะ...ไม่เห็นมีอะไรให้กินเลย”
    “มาซิผมจะทำให้คุณกินเอง”
    “อะไรน่ะค่ะ...คุณจะทำหรือค่ะ”
    “อย่าดูถูกฝีมือผมน่ะจะบอกให้”   ชายหนุ่มเดินจูงมือแพรวาลอดใต้ถุนบ้านเพื่อเดินไปที่โรงครัวที่ยังให้เตาฟืนอยู่เลย
    “ลุงสุขมีของสดอะไรบ้าง”
    “หลายอย่างครับคุณ…ผมซื้อทิ้งไว้ เผื่อวันไหนคุณๆ   จะมากัน”    ลุงสุขบอก
    “ขอบใจมาก...อ้อนี้ลุงสุขคุณแพรวา”   ลุงสุขยกมือขึ้นไหว้หญิงสาว
    “ไม่ต้องไหว้หรอกค่ะ...ลุงสุขเดี๋ยวแพรอายุสั้นกันพอดี”
    “ไม่เป็นไรครับ...ก็คุณผู้หญิงเป็นเพื่อนกับคุณรองก็ต้องเป็นนายผมอีกคน”   ลุงสุขพูดซื่อ ๆ   
    “ปล่อยลุงสุขแกเถอะ...แกมีเหตุผลร้อยแปดคุณถียงแกไม่ได้หรอกลุงสุขไปเถอะ”   สองหนุ่มสาวสบตากันยิ้ม   สุรสีห์จูงมือหญิงสาวเดินนำออกไป   ลุงสุขมองตามหลังสองหนุ่มสาวยิ้ม ๆ   เขาไม่เคยเห็นเจ้านายของเขายิ้มสดใสแบบนี้มาก่อนเลยนับแต่นายผู้หญิงของเขาเสียไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×