คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : Something
7
Something
“When love is in your heart you’re happy doing the simple chores of life.”
#Impassible_mn
“พรุ่งนี้มึงไปเรียนยังไงวะ ขาเดี้ยงอย่างนี้” เจบีถามขึ้นทันทีหลังจากที่ช่วยกันกับแจ็คสันพยุงร่างของคนเจ็บลงนั่งบนโซฟาสีเทาตัวยาว ดวงตาคมภายใต้เรียวตายาวรีมีร่องรอยครุ่นคิด.....แน่ล่ะว่าอาการบาดเจ็บของคนตรงหน้าย่อมส่งผลให้อีกฝ่ายขับรถไม่ได้ มันจึงทำให้เขานึกห่วงว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปเรียนเพียงลำพังได้อย่างไร
“กูไปได้น่ะ พวกมึงกลับกันไปเถอะ” เสียงทุ้มต่ำของเจ้าของห้องที่กล่าวเป็นเชิงไล่ทำให้คนที่ยังไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้ามาถึงกับสบถ
“ไอ้ห่านี่!! พวกกูอุตส่าห์แบกมึงจากโรงยิมไปโรงบาล แล้วจากโรงบาลมาส่งถึงห้องใจคอจะไม่ขอบอกขอบใจ ไม่ให้กูนั่งพักให้หายเหนื่อยบ้างหรือไงวะ....มึงแม่งใจดำเป็นอีกา”
“กูเห็นว่ามันมืดแล้วไง เลยจะให้พวกมึงรีบกลับ” เจ้าของห้องให้เหตุผล “ส่วนเรื่องขอบใจ มึงไม่ฟังกูพูดให้จบก่อนล่ะ...ไอ้เวร”
“เอ้า..กูจะรู้หรอ ก็นึกว่ามึงจะไล่พวกกูเลยหนิ” คนใจร้อนแก้ตัว มาร์คส่ายหน้าช้าๆให้กับความใจร้อนของอีกฝ่าย ดวงตาฉายแววจริงจังเมื่อกล่าว
“ขอบใจพวกมึงสองคนมากนะ ไอ้บี ไอ้แจ็ค....ไม่ใช่แค่วันนี้...แต่กูขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา พวกมึงดีกับกูมาก... ขอบคุณจริงๆ” ดวงตาสีเข้มหยาดคลอด้วยน้ำตาแวบหนึ่งเมื่อหวนระลึกถึงมิตรภาพที่ผ่านมา.....
มันคือความรู้สึกที่แท้จริงจากใจของมาร์ค
ความรู้สึกที่ว่า.....ถ้าไม่เกิดเรื่องในครั้งนั้น เขาเองก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จัก ไม่มีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับคนตรงหน้าทั้งสองคน
มันคือความโชคดีที่มาพร้อมกับความโชคร้ายที่ทำให้เขาได้รับมิตรภาพดีๆจากเจบีและแจ็คสัน
และถ้าจะมีใครสักคนถามว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เขาได้จากอดีตที่เขาไม่อยากจดจำนั้นคืออะไร ตอบได้ทันทีว่ามันคือมิตรภาพ.....มิตรภาพถือเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่อยู่เหนืออำนาจของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน….......ดังนั้นมิตรภาพจึงถือเป็นสิ่งที่มีค่า.....มีค่า.......เพราะมันไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน.....
“กินยาไม่เขย่าขวดหรอมึง มาพูดอะไรแบบนี้” ความรู้สึกตื้นตันที่เพิ่งเกิดขึ้นถูกทำลายทันทีด้วยคำถามกวนๆของหวังแจ็คสัน ถ้ายามปกติเขาคงไล่เตะเพื่อนตัวดีไปแล้ว ทว่าตอนนี้ภายใต้ผ้าพันแผลผืนหนา คือเท้าที่บวมช้ำ ทำให้เขาทำได้เพียง
“กูพูดจริงๆนะเว้ย.....ไปๆมึงกลับไปกันเลย ทั้งสองตัวเลย”
“อ้าวว....กูยังไม่ได้พูดเชี่ยไรเลย ไล่กูทำไม” เจบีถามขึ้นอย่างสงสัย ไม่ได้สงสัยอารมณ์ขึ้นๆลงๆของคนเป็นเพื่อน เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาเจอบ่อยและทำใจให้คุ้นชินกับมันมานานแล้ว แต่สงสัยที่ลากเขาไปรับความผิดที่ไม่ได้ก่อร่วมกับเพื่อนอีกคนต่างหาก
“ก็กูขี้เกียจเถียงกับพวกมึงแล้วไง ยิ่งเจ็บๆขาอยู่” มาร์คว่าอย่างพาลๆ
เมื่อได้ยินคนเจ็บบ่นพึมพำ อีกคนจึงสบช่องทาง
“มึงอยากเป็นอัศวินขี่ม้าขาวช่วยเด็กมึงเองหนิ แล้วมาบ่นทำไม” พูดไม่พูดเปล่ายังทำหน้า...คงไม่มีคำใดจะอธิบายได้ดีเท่ากับคำว่า....กวนตีน “ มึงแม่งโคตรเท่อ่ะ ไม่น่าเด็กมึงถึงตัดใจไม่ได้สักที”
คำพูดที่ยากจะเดาว่าคิดก่อนพูดหรือพูดก่อนคิดของแจ็คสันทำให้คิ้วเข้มของมาร์คขมวดเข้าหากันทันที แต่ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะทันกล่าวอะไร เจบีก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน
“พูดมากน่าไอ้แจ็ค กลับกันเถอะ.....ให้ไอ้มาร์คมันพักผ่อน” ร่างสูงกว่าใช้มือกึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายออกจากห้องทันที
“กูไปก่อนนะไอ้มาร์ค เดินระวังๆนะมึง” กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูตามหลัง ทิ้งให้มาร์คเผชิญกับความเงียบตามลำพัง
ทิ้งให้มาร์คจมอยู่กับความคิดของตัวเอง..…..มันเป็นความคิดที่ถูกปลุกขึ้นจากคำพูดเมื่อสักครู่
“มึงอยากเป็นอัศวินขี่ม้าขาวช่วยเด็กมึงเองหนิ........ไม่น่าเด็กมึงถึงตัดใจไม่ได้สักที”
มันเป็นความคิดที่เขาไม่อยากคิดถึง เป็นความคิดที่เขาไม่อยากรู้เหตุผล และเป็นความคิดที่เขาอยากสลัดมันออกไปจากห้วงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง....... แค่คิดว่ามีบางคนที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อเข้าใกล้....มีบางคนที่ทำให้การกระทำกับคำพูดของเขาสวนทางกัน และมีบางคนที่ทำให้เขารู้สึกพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ .......แค่คิดมาร์คก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้
ใช่......พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ต่อรุ่นน้องที่ชื่อว่าปาร์คจินยอง
เขายอมรับว่าเขารู้สึกพิเศษกับเด็กคนนั้น…
ความรู้สึกพิเศษที่บอกนั้น มันพิเศษ......เพราะว่าเขาไม่เคยนิยามว่าความรู้สึกเหล่านี้คืออะไร มันพิเศษเพราะมันมีแค่เด็กคนนั้นที่ได้ไป......เด็กคนนั้นได้รับความเย็นชา ท่าทีเฉยเมยและถูกทำร้ายด้วยคำพูดจากเขามานับครั้งไม่ถ้วน แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เขามักจะมองเห็นเด็กคนนั้นก่อนใคร ไม่ว่าร่างโปร่งกับเรือนผมสีดำสนิทจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายสักเท่าไหร่ แต่เขาก็จะมองเห็นปาร์คจินยองเป็นคนแรกเสมอ......
ความรู้สึกที่เขามีต่อเด็กคนนั้นมันซับซ้อนและสับสนมากเกินกว่าที่ใครจะคิด และมากเกินกว่าที่เขาอยากให้เป็น...... มันไม่ใช่ความรัก ไม่ใช่ความชอบ ไม่ใช่ความเกลียดและไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่รู้สึกอะไรเลย
แต่มันเป็นอะไรที่เขาเองก็ให้คำตอบแก่ตัวเองไม่ได้ รู้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อเรียก
และบอกได้แค่ว่ามาร์คไม่อยากให้มันเป็นอะไรที่มากกว่านี้
มาร์คไม่อยากให้ใครมามีอิทธิพลต่อตัวเอง........เขาก็แค่ไม่อยากเสียใจ
พูดถึงความเสียใจ......สำหรับใครบางคนการผิดหวังในความรักอาจจะเป็นเรื่องเล็ก อาจใช้เวลาไม่นานในการที่จะลืมอดีตและเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน แต่สำหรับมาร์คมันมากกว่าความผิดหวัง มันมากกว่าความเสียใจ เพราะมันคือความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า....
แล้วถ้าจะถามว่ามีความรู้สึกใดที่เลวร้ายกว่าความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าอีกมั้ย?.......ก็คงไม่มี
แม้จะผ่านมาแล้วเกือบสี่ปีแต่ทุกอย่างกลับชัดเจนอยู่ในความทรงจำ มาร์คจำได้ทุกอย่างราวกับบันทึกภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ด้วยกล้องวีดีโอคุณภาพสูง
ตอนนั้นทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี เขากำลังมีความรักกับคนๆหนึ่ง เป็นความรักที่หอมหวานและอบอุ่นราวกับวาฟเฟิลราดช็อกโกแลต.....แต่ไม่นานนักทุกอย่างก็พังทลายลง มาร์คไม่ได้เจอกับเขาคนนั้นอีก มีเพียงจดหมายที่ฝากมากับเพื่อนคนหนึ่งของเขาเท่านั้น.......แค่นั้น แค่นั้นเอง.......ความรักของเขาถูกตีค่าด้วยกระดาษแผ่นเดียวแค่นั้น....
........แต่จะว่าไปแล้วกระดาษแผ่นนั้นก็ถือว่าเป็นเครื่องเตือนใจชั้นดี มันทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติที่มีต่อความรักของตัวเอง จากที่เคยวาดฝันในความรักที่ดี ความรักที่สุขสมหวังเหมือนกับคนอื่นๆ แต่เมื่อเจอกับตัวแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้น.....หนำซ้ำยังตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง......ความรักครั้งนั้นของเขามันเต็มไปด้วยความหลอกลวง.......แล้วมันผิดด้วยหรือที่เขาจะจำ.......ผิดด้วยหรือที่เขาจะป้องกันตัวเองเพราะไม่อยากเจ็บปวดอีกเป็นครั้งที่สอง
ถึงแม้บางครั้งจะต้องทำร้ายคนอื่น ต้องถูกมองว่าใจร้าย ถูกมองว่าไม่มีหัวใจ แต่ไม่มาเป็นเขาไม่มีวันเข้าใจกันหรอก จะมีใครต้องทนอยู่กับฝันร้ายซ้ำๆทุกคืนแบบเขาบ้าง.......ก็คงไม่มี
#Impassible_mn
ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่จินยองควรจะอยู่ที่บ้าน แต่อันที่จริงตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ที่บ้าน ทว่าไม่ใช่บ้านของเขาอย่างที่มันควรจะเป็น แต่เป็นเป็นบ้านของยองแจเพื่อนสนิท เรื่องมันมีอยู่ว่าขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านด้วยกัน จินยองสังเกตได้ถึงความอึดอัดคล้ายกับกำลังครุ่นคิดหรือกำลังจะพูดอะไรบางอย่างจากคนข้างกาย จนจินยองทนกับความรู้สึกที่มีไม่ไหวจึงตัดสินใจเอ่ยถาม แล้วก็ได้ความว่าวันนี้ยองแจมันต้องอยู่บ้านคนเดียว เพราะพ่อแม่ไปทำธุระกันที่ต่างจังหวัด แล้วเรื่องมันก็คงจะจบลงแค่นั้นถ้าเพียงไอ้เพื่อนคนกล้าของเขามันจะไม่กลัวผี! ...... กลัวผีแต่ก็กลัวที่จะเสียหน้าถ้าจะมาขอร้องเขาให้นอนเป็นเพื่อน เอาเป็นว่าอย่าไปรู้เลยว่ามันขอร้องเขาอย่างไร เพราะสุดท้ายปลายทางก็คือเขาตกลงมานอนเป็นเพื่อนมันอยู่ดี
ทันทีที่จินยองก้าวออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เจ้าของบ้านก็เอ่ยขึ้นว่า
“จินยอง อาทิตย์หน้าแกไปห้างเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
“ได้นะ แต่แกจะไปทำอะไรวะ?” สงสัยนิดหน่อยเพราะปกติชเวยองแจไม่ใช่คนที่จะชอบอยู่ตามสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านสักเท่าไหร่ อย่าว่าแต่ห้างสรรพสินค้าเลย ขนาดโรงอาหารมันยังบ่นแทบทุกครั้งเวลาเจอคนเยอะ
“ต้นเดือนหน้าพี่สาวฉันจะกลับจากเมืองนอกว่ะ เลยคิดว่าจะซื้อของขวัญให้สักหน่อย”
“อ้อ...” จินยองพยักหน้ารับรู้ เขาเองก็รู้จักกับพี่สาวของคนตรงหน้าอยู่เหมือนกัน เพราะเขากับยองแจนั้นรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้พลอยได้รู้จักกับคนที่บ้านของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย แต่ความคิดเกี่ยวกับพี่สาวของเพื่อนก็ยุติลงแค่นั้น เพราะคำพูดที่พูดถึงต้นเดือนหน้าของอีกคนต่างหาก........ที่ทำให้จินยองฉุกคิดได้ว่าคงไม่ใช่แค่ยองแจที่ต้องซื้อของขวัญ เขาเองก็คงต้องเตรียมซื้อของขวัญแล้วเหมือนกัน มันคงเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่จินยองจะซื้อให้เขาคนนั้น
“เออ จินยองฉันได้ยินมาจากอาจารย์ว่าจะมีโครงการแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศนะเว้ย แกไม่สนใจบ้างหรอวะ”
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจินยองคงจะตอบได้ทันที่ว่าไม่สนใจ แต่ตอนนี้อะไรบางอย่างทำให้เขาลังเล
“มีที่ไหนน่าสนใจบ้างล่ะ แกพอจะรู้ไหม?”
“ก็พวกแถบยุโรปนั้นแหละว่ะ จริงๆ....มันมีทั้งสมัครแบบเสียตังค์กับทุนของคณะเลยนะเว้ย นี่ฉันก็ว่าจะไปสมัครอยู่ เหมือนกัน คงลองสอบดูก่อนถ้าไม่ติดค่อยควักเนื้อเอง”
“ฉันก็ได้ยินว่ามันดี เสียแต่ว่าแพงไปหน่อย ลุงรหัสของฉันก็เคยไปแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน.....ถ้าจำไม่ผิดน่าจะไปที่ฝรั่งเศส”
“นี่ ฉันก็คิดอยากไปฝรั่งเศสว่ะ” ยองแจกล่าวขึ้นพร้อมลูบคางเนียนๆของตัวเอง “แล้วตกลงแกจะไปสมัครกับฉันไหม มันต้องเตรียมเอกสารเยอะแยะนะเว้ย ไม่ใช่นึกจะไปก็ไปได้เลย” จินยองลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยถามช้าๆ
“ถ้าไปนี่ไปเมื่อไหร่วะ?”
“เทอมหน้าว่ะ ทำไมมีอะไรหรือเปล่า?” ใบหน้าหม่นๆของเพื่อนสนิทมีหรือที่คนอย่างยองแจจะดูไม่ออก และถ้าให้เขาเดาก็คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ
“อย่าบอกนะว่า...”
“เออ...แบบที่แกคิดแหละ เทอมหน้าจะเป็นเทอมสุดท้ายที่ฉันจะได้เจอพี่เขา... เรียนจบแล้วพี่เขาก็คงจะไปทำงานที่อื่นหรือไม่ก็บินไปอยู่กับครอบครัว......ฉันแค่คิดว่าฉันอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าก็เท่านั้นเอง..” ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง เขายอมรับว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่จะละทิ้งโอกาสดีๆให้หลุดลอยเพื่อที่จะอยู่กับปัจจุบันที่ว่างเปล่า ปัจจุบันที่ไม่แน่นอน แต่จินยองไม่อยากมานั่งนึกเสียใจทีหลัง แค่คิดว่าเวลาไม่อาจหวนคืนกลับมา แค่คิดว่าการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนี้คงเป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะถึงแม้ต้องเสียใจจากคนเดิมๆซ้ำๆ ก็ถือซะว่าจินยองพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว
หึ...
นั่นคือเสียงที่จินยองได้ยินหลังจากบอกอีกฝ่ายว่าขอคิดดูก่อน เพราะสำหรับยองแจที่เป็นเพื่อนกับปาร์คจินยองมาสิบกว่าปี ย่อมรู้ดีว่าการตอบแบบนี้ก็คือการปฏิเสธทางอ้อมของอีกฝ่ายนั่นแหละ
ยองแจได้แต่นึกภาวนาในใจให้เพื่อนของเขารอดพ้นไปจากความรักครั้งนี้สักที อันที่จริงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานึกภาวนา เขาอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากว่าสองปีแล้ว นับตั้งแต่วันที่จินยองบอกกับเขาว่าชอบเพื่อนสนิทของพี่รหัสตัวเอง แต่นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น และยองแจก็เหมือนเพื่อนสนิทของตัวเองนั่นแหล่ะที่ไม่ย่อท้อไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ตราบใดที่จินยองยังคงหลงรักพี่รหัสแต่เพียงในนามของเขาอยู่ ยองแจก็จะอ้อนวอนภาวนาแบบนี้เรื่อยไป ด้วยความหวังว่าสักวันสิ่งที่เขาร้องขอมันจะต้องเป็นจริง!
‘คือ แด คยอท ทึล อี เจ ตอ นา นึน กอท ซึล ฮู ฮเว ฮัล ชี โด โม รึอ จี มัน คือ แดน ซารัง ฮา กี แต มุน นี ยา’
เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ดึงสติของคนฟังทั้งคู่ให้กลับมาที่ภายในห้องสี่เหลี่ยมนั้น และเป็นจินยองที่เอื้อมมือไปเลื่อนสัมผัสบนหน้าจอใสเพื่อกดรับ
“ว่าไงแบมแบม” เขากรอกเสียงลงไปยังปลายสาย
“พี่จินยองสะดวกคุยรึเปล่าครับ” เสียงใสเอ่ยถามอย่างมีมารยาท
เขาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ชิดปลายเตียง ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เมื่อยองแจทำท่าเป็นเชิงว่าขอตัวไปอาบน้ำก่อน “คุยได้ ว่ามาสิ”
“พอดีแบมอยากถามว่าเค้กที่ฝากพี่มาร์คให้ไปวันนั้น พี่ทานได้ไหมครับ....วันนั้นที่เจอกันที่โรงยิมแบมลืมถามน่ะครับ
“อืม...อร่อยดี รสชาติดีเลยแหละ...เราทำเองหรอ?”
“ครับ พอดีแม่แบมเปิดร้านเบเกอรี่น่ะครับ เลยพอทำเป็นอยู่บ้าง....พรุ่งนี้แบมเอาไปฝากพี่จินยองอีกนะครับ”
“ของซื้อของขายจะเอามาให้ฟรีๆได้ไง ไม่เอาหรอก” จินยองรีบปฏิเสธ เขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่มากเกินไปที่จะรับของฟรีจากอีกฝ่ายถึงสองครั้ง
“แต่ถ้าไม่ได้พี่จินยองช่วยติววันนั้นแบมคงสอบเก็บคะแนนไม่ได้แน่ๆ .....นะๆครับ แบมอยากให้พี่จินยองจริงๆ”
จินยองนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่าย
“งั้นก็ได้ แต่พี่ขอให้แบมกับยูคยอมช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม?”
ยังไม่ทันรู้ว่าเงื่อนไขคืออะไร เขาก็ได้ยินปลายสายตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้น
“ได้สิครับ พี่จินยองอยากให้แบมช่วยอะไร....ว่ามาเลยครับ”
#Impassible_mn
มาร์คเคลื่อนกายได้อย่างเชื่องช้าเต็มที เมื่อต้องพยุงตัวเองด้วยไม้เท้าทั้งสองข้าง เท้าข้างซ้ายเทอะทะด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ จนทำให้ต้องเดินอย่างระมัดระวัง วันนี้เขาโทรสั่งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำเคาน์เตอร์ข้างล่างให้โทรเรียกรถแท็กซี่รับจ้าง เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถขับรถได้อย่างเช่นทุกวัน เขาเดินมาอย่างทุลักทุเล เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมที่ใบหน้า แต่พอก้าวเท้าพ้นจากประตูมหาวิทยาลัยได้ไม่เท่าไหร่ เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น
“พี่มาร์คทางนี้ครับ”
มาร์คหันหน้าไปตามเสียงก็พบกับร่างเล็กๆของรุ่นน้องปีหนึ่งที่เขารู้จักดีกับร่างสูงที่เขาคุ้นตา ทว่านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของคนทั้งคู่ทำให้มาร์คขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจและงุนงงมันคือรถเข็นสีเลือดหมูคันใหม่เอี่ยม คิ้วของเขายังไม่ทันคลายเจ้ารถเข็นก็ถูกเข็นมาอยู่ข้างหน้าเขาเสียแล้ว
“วันนี้ผมกับแบมจะมาช่วยดูแลพี่มาร์คครับ” เสียงดังมาจากคนร่างสูงที่ให้เดาคงเป็นเพื่อนกันกับแบมแบม
ดวงตาคมของมาร์คไม่ได้สะท้อนความแปลกใจหรือสงสัยแม้สักนิดเมื่อเอ่ยถาม
“ใครสั่งให้มาล่ะ?”
เกือบจะยกยิ้มเมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสองคนหันมองสบตากันอย่างมีพิรุธ........อ่อนหัด.....มีความตั้งใจแต่ถือว่าอ่อนหัด.......ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งสองคนนี้มา
ทำไมเขาจะไม่รู้…
“พวก....พวกเรา เอ่อ พวกเราสองคนมาเองครับ” เดือนปีหนึ่งตอบคำถามอย่างตะกุกตะกัก
“ถ้างั้นก็....ขอบใจนะ” เอ่ยพร้อมกับกวาดสายตามองไปโดยรอบ ทันที่จะเห็นความวูบไหวบริเวณหลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก เหมือนที่เคยบอกว่าน่าแปลกที่ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายสักเท่าไหร่....เขาก็จะมองเห็นเสมอ
มาร์คนิ่งคิดไตร่ตรอง ใบหน้าราวรูปปั้นถูกเคลือบคลุมไปด้วยละอองแห่งความลังเล
ลังเลระหว่างการตกลงรับความช่วยเหลือของอีกฝ่าย หรือการบอกปัดอย่างไม่ใยดี
มาร์คถอนหายใจช้าๆ ก่อนตัดสินใจทรุดลงนั่งที่เบาะสีเลือดหมูนั้น
แค่คิดว่าบางทีเขาควรหยุดทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายสักวัน
#Impassible_mn
แม้การแอบมองจากหลังต้นไม้จะทำให้เห็นอะไรไม่ชัดนัก เนื่องจากต้องซ่อนตัวอยู่หลังลำต้นสีน้ำตาลมีเพียงแค่ดวงตาสองข้างเท่านั้นที่ถูกอนุญาตจากเจ้าของให้รอดพ้นจากการกำบังเพื่อให้มันสามารถสังเกตเห็นความเป็นไประหว่างคนสามคนที่ลานกว้างสีเทาบริเวณหน้าประตูรั้วนั้นได้ ทว่าสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่ก็ชัดเจนสำหรับจินยอง
ริมฝีปากบางสีธรรมชาติคลี่ยิ้มบางๆให้กับตัวเอง ยิ้มให้กับรุ่นน้องสองคนที่เต็มใจช่วยเหลือเขา และยิ้มให้กับคนเจ็บที่นั่งอยู่บนรถเข็น
มันคือความสุขที่อบอุ่น และเนิ่นนานแล้วเท่าไหร่ไม่รู้ที่จินยองไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้วันนี้ท้องฟ้าดูสวยอย่างประหลาด ดวงอาทิตย์สีส้มจัดจ้าที่เขาเคยลอบมองผ่านหน้าต่างห้องเรียนบัดนี้ทอแสงสีส้มจาง สวยงามราวกับภาพวาดเมื่ออยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีขาวเบื้องบน
#Impassible_mn
Moondream_
ความคิดเห็น