ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #8 : Chapter 7 : Something

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59


    7

    Something






    “When love is in your heart you’re happy doing the simple chores of life.”

























     

    #Impassible_mn

     























     

    “พรุ่งนี้มึงไปเรียนยังไงวะ ขาเดี้ยงอย่างนี้”    เจบีถามขึ้นทันทีหลังจากที่ช่วยกันกับแจ็คสันพยุงร่างของคนเจ็บลงนั่งบนโซฟาสีเทาตัวยาว   ดวงตาคมภายใต้เรียวตายาวรีมีร่องรอยครุ่นคิด.....แน่ล่ะว่าอาการบาดเจ็บของคนตรงหน้าย่อมส่งผลให้อีกฝ่ายขับรถไม่ได้    มันจึงทำให้เขานึกห่วงว่าอีกฝ่ายจะเดินทางไปเรียนเพียงลำพังได้อย่างไร 

     


     

    “กูไปได้น่ะ   พวกมึงกลับกันไปเถอะ”      เสียงทุ้มต่ำของเจ้าของห้องที่กล่าวเป็นเชิงไล่ทำให้คนที่ยังไม่ได้พูดอะไรตั้งแต่เข้ามาถึงกับสบถ

     


     

    “ไอ้ห่านี่!! พวกกูอุตส่าห์แบกมึงจากโรงยิมไปโรงบาล   แล้วจากโรงบาลมาส่งถึงห้องใจคอจะไม่ขอบอกขอบใจ  ไม่ให้กูนั่งพักให้หายเหนื่อยบ้างหรือไงวะ....มึงแม่งใจดำเป็นอีกา”

     


     

    “กูเห็นว่ามันมืดแล้วไง   เลยจะให้พวกมึงรีบกลับ”    เจ้าของห้องให้เหตุผล      “ส่วนเรื่องขอบใจ มึงไม่ฟังกูพูดให้จบก่อนล่ะ...ไอ้เวร”

     


     

    “เอ้า..กูจะรู้หรอ ก็นึกว่ามึงจะไล่พวกกูเลยหนิ”      คนใจร้อนแก้ตัว  มาร์คส่ายหน้าช้าๆให้กับความใจร้อนของอีกฝ่าย  ดวงตาฉายแววจริงจังเมื่อกล่าว

     


     

    “ขอบใจพวกมึงสองคนมากนะ ไอ้บี ไอ้แจ็ค....ไม่ใช่แค่วันนี้...แต่กูขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่ผ่านมา พวกมึงดีกับกูมาก... ขอบคุณจริงๆ”      ดวงตาสีเข้มหยาดคลอด้วยน้ำตาแวบหนึ่งเมื่อหวนระลึกถึงมิตรภาพที่ผ่านมา.....

     



     

    มันคือความรู้สึกที่แท้จริงจากใจของมาร์ค

     



     

    ความรู้สึกที่ว่า.....ถ้าไม่เกิดเรื่องในครั้งนั้น    เขาเองก็คงไม่มีโอกาสได้รู้จัก   ไม่มีโอกาสได้เป็นเพื่อนกับคนตรงหน้าทั้งสองคน

     


     

    มันคือความโชคดีที่มาพร้อมกับความโชคร้ายที่ทำให้เขาได้รับมิตรภาพดีๆจากเจบีและแจ็คสัน

     



     

      และถ้าจะมีใครสักคนถามว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดที่เขาได้จากอดีตที่เขาไม่อยากจดจำนั้นคืออะไร   ตอบได้ทันทีว่ามันคือมิตรภาพ.....มิตรภาพถือเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่อยู่เหนืออำนาจของสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน….......ดังนั้นมิตรภาพจึงถือเป็นสิ่งที่มีค่า.....มีค่า.......เพราะมันไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงิน.....

     


     

    “กินยาไม่เขย่าขวดหรอมึง  มาพูดอะไรแบบนี้”      ความรู้สึกตื้นตันที่เพิ่งเกิดขึ้นถูกทำลายทันทีด้วยคำถามกวนๆของหวังแจ็คสัน    ถ้ายามปกติเขาคงไล่เตะเพื่อนตัวดีไปแล้ว  ทว่าตอนนี้ภายใต้ผ้าพันแผลผืนหนา   คือเท้าที่บวมช้ำ  ทำให้เขาทำได้เพียง

     


     

    “กูพูดจริงๆนะเว้ย.....ไปๆมึงกลับไปกันเลย   ทั้งสองตัวเลย”    

     


     

    “อ้าวว....กูยังไม่ได้พูดเชี่ยไรเลย ไล่กูทำไม”      เจบีถามขึ้นอย่างสงสัย  ไม่ได้สงสัยอารมณ์ขึ้นๆลงๆของคนเป็นเพื่อน    เพราะมันเป็นเรื่องที่เขาเจอบ่อยและทำใจให้คุ้นชินกับมันมานานแล้ว   แต่สงสัยที่ลากเขาไปรับความผิดที่ไม่ได้ก่อร่วมกับเพื่อนอีกคนต่างหาก

     


     

    “ก็กูขี้เกียจเถียงกับพวกมึงแล้วไง   ยิ่งเจ็บๆขาอยู่”      มาร์คว่าอย่างพาลๆ

     


     

    เมื่อได้ยินคนเจ็บบ่นพึมพำ    อีกคนจึงสบช่องทาง

     


     

    “มึงอยากเป็นอัศวินขี่ม้าขาวช่วยเด็กมึงเองหนิ  แล้วมาบ่นทำไม”      พูดไม่พูดเปล่ายังทำหน้า...คงไม่มีคำใดจะอธิบายได้ดีเท่ากับคำว่า....กวนตีน    “ มึงแม่งโคตรเท่อ่ะ    ไม่น่าเด็กมึงถึงตัดใจไม่ได้สักที”

     



     

    คำพูดที่ยากจะเดาว่าคิดก่อนพูดหรือพูดก่อนคิดของแจ็คสันทำให้คิ้วเข้มของมาร์คขมวดเข้าหากันทันที  แต่ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะทันกล่าวอะไร   เจบีก็เอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน

     



     

    “พูดมากน่าไอ้แจ็ค   กลับกันเถอะ.....ให้ไอ้มาร์คมันพักผ่อน”      ร่างสูงกว่าใช้มือกึ่งลากกึ่งจูงอีกฝ่ายออกจากห้องทันที  

     

     

    “กูไปก่อนนะไอ้มาร์ค   เดินระวังๆนะมึง”     กล่าวทิ้งท้ายก่อนจะปิดประตูตามหลัง  ทิ้งให้มาร์คเผชิญกับความเงียบตามลำพัง

     


     

    ทิ้งให้มาร์คจมอยู่กับความคิดของตัวเอง..…..มันเป็นความคิดที่ถูกปลุกขึ้นจากคำพูดเมื่อสักครู่

     


     

    มึงอยากเป็นอัศวินขี่ม้าขาวช่วยเด็กมึงเองหนิ........ไม่น่าเด็กมึงถึงตัดใจไม่ได้สักที

     



     

    มันเป็นความคิดที่เขาไม่อยากคิดถึง    เป็นความคิดที่เขาไม่อยากรู้เหตุผล  และเป็นความคิดที่เขาอยากสลัดมันออกไปจากห้วงความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง....... แค่คิดว่ามีบางคนที่ทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองเมื่อเข้าใกล้....มีบางคนที่ทำให้การกระทำกับคำพูดของเขาสวนทางกัน   และมีบางคนที่ทำให้เขารู้สึกพิเศษมากกว่าคนอื่นๆ .......แค่คิดมาร์คก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังพ่ายแพ้

     




     

    ใช่......พ่ายแพ้   พ่ายแพ้ต่อรุ่นน้องที่ชื่อว่าปาร์คจินยอง

     



     

    เขายอมรับว่าเขารู้สึกพิเศษกับเด็กคนนั้น

     




     

    ความรู้สึกพิเศษที่บอกนั้น  มันพิเศษ......เพราะว่าเขาไม่เคยนิยามว่าความรู้สึกเหล่านี้คืออะไร มันพิเศษเพราะมันมีแค่เด็กคนนั้นที่ได้ไป......เด็กคนนั้นได้รับความเย็นชา  ท่าทีเฉยเมยและถูกทำร้ายด้วยคำพูดจากเขามานับครั้งไม่ถ้วน   แต่ขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่เขามักจะมองเห็นเด็กคนนั้นก่อนใคร ไม่ว่าร่างโปร่งกับเรือนผมสีดำสนิทจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายสักเท่าไหร่   แต่เขาก็จะมองเห็นปาร์คจินยองเป็นคนแรกเสมอ......

     




     

    ความรู้สึกที่เขามีต่อเด็กคนนั้นมันซับซ้อนและสับสนมากเกินกว่าที่ใครจะคิด และมากเกินกว่าที่เขาอยากให้เป็น...... มันไม่ใช่ความรัก  ไม่ใช่ความชอบ  ไม่ใช่ความเกลียดและไม่ใช่ความรู้สึกที่ไม่รู้สึกอะไรเลย

     



     

    แต่มันเป็นอะไรที่เขาเองก็ให้คำตอบแก่ตัวเองไม่ได้     รู้แค่ว่ามันเป็นอะไรที่ไม่มีแม้กระทั่งชื่อเรียก

     



     

    และบอกได้แค่ว่ามาร์คไม่อยากให้มันเป็นอะไรที่มากกว่านี้

     




     

    มาร์คไม่อยากให้ใครมามีอิทธิพลต่อตัวเอง........เขาก็แค่ไม่อยากเสียใจ

     




     

    พูดถึงความเสียใจ......สำหรับใครบางคนการผิดหวังในความรักอาจจะเป็นเรื่องเล็ก  อาจใช้เวลาไม่นานในการที่จะลืมอดีตและเริ่มต้นใหม่กับใครสักคน  แต่สำหรับมาร์คมันมากกว่าความผิดหวัง  มันมากกว่าความเสียใจ เพราะมันคือความรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า....  

     





     

    แล้วถ้าจะถามว่ามีความรู้สึกใดที่เลวร้ายกว่าความรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าอีกมั้ย?.......ก็คงไม่มี

     




     

    แม้จะผ่านมาแล้วเกือบสี่ปีแต่ทุกอย่างกลับชัดเจนอยู่ในความทรงจำ มาร์คจำได้ทุกอย่างราวกับบันทึกภาพเหตุการณ์ครั้งนั้นไว้ด้วยกล้องวีดีโอคุณภาพสูง

     




     

    ตอนนั้นทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี  เขากำลังมีความรักกับคนๆหนึ่ง   เป็นความรักที่หอมหวานและอบอุ่นราวกับวาฟเฟิลราดช็อกโกแลต.....แต่ไม่นานนักทุกอย่างก็พังทลายลง  มาร์คไม่ได้เจอกับเขาคนนั้นอีก  มีเพียงจดหมายที่ฝากมากับเพื่อนคนหนึ่งของเขาเท่านั้น.......แค่นั้น     แค่นั้นเอง.......ความรักของเขาถูกตีค่าด้วยกระดาษแผ่นเดียวแค่นั้น....

     




     

    ........แต่จะว่าไปแล้วกระดาษแผ่นนั้นก็ถือว่าเป็นเครื่องเตือนใจชั้นดี   มันทำให้เขาเปลี่ยนมุมมองและทัศนคติที่มีต่อความรักของตัวเอง     จากที่เคยวาดฝันในความรักที่ดี   ความรักที่สุขสมหวังเหมือนกับคนอื่นๆ  แต่เมื่อเจอกับตัวแล้วมันไม่เป็นเช่นนั้น.....หนำซ้ำยังตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง......ความรักครั้งนั้นของเขามันเต็มไปด้วยความหลอกลวง.......แล้วมันผิดด้วยหรือที่เขาจะจำ.......ผิดด้วยหรือที่เขาจะป้องกันตัวเองเพราะไม่อยากเจ็บปวดอีกเป็นครั้งที่สอง

     



     

    ถึงแม้บางครั้งจะต้องทำร้ายคนอื่น    ต้องถูกมองว่าใจร้าย   ถูกมองว่าไม่มีหัวใจ  แต่ไม่มาเป็นเขาไม่มีวันเข้าใจกันหรอก  จะมีใครต้องทนอยู่กับฝันร้ายซ้ำๆทุกคืนแบบเขาบ้าง.......ก็คงไม่มี

     

     

     



















     

    #Impassible_mn

     

     














     

                    ตอนนี้เป็นเวลาดึกมากแล้ว  ซึ่งเป็นเวลาที่จินยองควรจะอยู่ที่บ้าน  แต่อันที่จริงตอนนี้เขาก็กำลังอยู่ที่บ้าน  ทว่าไม่ใช่บ้านของเขาอย่างที่มันควรจะเป็น  แต่เป็นเป็นบ้านของยองแจเพื่อนสนิท   เรื่องมันมีอยู่ว่าขณะที่กำลังเดินทางกลับบ้านด้วยกัน  จินยองสังเกตได้ถึงความอึดอัดคล้ายกับกำลังครุ่นคิดหรือกำลังจะพูดอะไรบางอย่างจากคนข้างกาย  จนจินยองทนกับความรู้สึกที่มีไม่ไหวจึงตัดสินใจเอ่ยถาม   แล้วก็ได้ความว่าวันนี้ยองแจมันต้องอยู่บ้านคนเดียว  เพราะพ่อแม่ไปทำธุระกันที่ต่างจังหวัด   แล้วเรื่องมันก็คงจะจบลงแค่นั้นถ้าเพียงไอ้เพื่อนคนกล้าของเขามันจะไม่กลัวผี! ...... กลัวผีแต่ก็กลัวที่จะเสียหน้าถ้าจะมาขอร้องเขาให้นอนเป็นเพื่อน   เอาเป็นว่าอย่าไปรู้เลยว่ามันขอร้องเขาอย่างไร   เพราะสุดท้ายปลายทางก็คือเขาตกลงมานอนเป็นเพื่อนมันอยู่ดี

     



     

      ทันทีที่จินยองก้าวออกมาจากห้องน้ำหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย   เจ้าของบ้านก็เอ่ยขึ้นว่า

     



     

    “จินยอง อาทิตย์หน้าแกไปห้างเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”






    “ได้นะ แต่แกจะไปทำอะไรวะ?”    สงสัยนิดหน่อยเพราะปกติชเวยองแจไม่ใช่คนที่จะชอบอยู่ตามสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านสักเท่าไหร่  อย่าว่าแต่ห้างสรรพสินค้าเลย ขนาดโรงอาหารมันยังบ่นแทบทุกครั้งเวลาเจอคนเยอะ

     



     

    “ต้นเดือนหน้าพี่สาวฉันจะกลับจากเมืองนอกว่ะ  เลยคิดว่าจะซื้อของขวัญให้สักหน่อย”






     

    “อ้อ...” จินยองพยักหน้ารับรู้    เขาเองก็รู้จักกับพี่สาวของคนตรงหน้าอยู่เหมือนกัน  เพราะเขากับยองแจนั้นรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก   เลยทำให้พลอยได้รู้จักกับคนที่บ้านของอีกฝ่ายไปโดยปริยาย   แต่ความคิดเกี่ยวกับพี่สาวของเพื่อนก็ยุติลงแค่นั้น   เพราะคำพูดที่พูดถึงต้นเดือนหน้าของอีกคนต่างหาก........ที่ทำให้จินยองฉุกคิดได้ว่าคงไม่ใช่แค่ยองแจที่ต้องซื้อของขวัญ   เขาเองก็คงต้องเตรียมซื้อของขวัญแล้วเหมือนกัน  มันคงเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่จินยองจะซื้อให้เขาคนนั้น

     



     

    “เออ  จินยองฉันได้ยินมาจากอาจารย์ว่าจะมีโครงการแลกเปลี่ยนไปต่างประเทศนะเว้ย  แกไม่สนใจบ้างหรอวะ” 

     




     

    ถ้าเป็นเมื่อก่อนจินยองคงจะตอบได้ทันที่ว่าไม่สนใจ   แต่ตอนนี้อะไรบางอย่างทำให้เขาลังเล

     




     

    “มีที่ไหนน่าสนใจบ้างล่ะ  แกพอจะรู้ไหม?”

     



     

    “ก็พวกแถบยุโรปนั้นแหละว่ะ  จริงๆ....มันมีทั้งสมัครแบบเสียตังค์กับทุนของคณะเลยนะเว้ย  นี่ฉันก็ว่าจะไปสมัครอยู่ เหมือนกัน    คงลองสอบดูก่อนถ้าไม่ติดค่อยควักเนื้อเอง” 

     




     

    “ฉันก็ได้ยินว่ามันดี เสียแต่ว่าแพงไปหน่อย   ลุงรหัสของฉันก็เคยไปแลกเปลี่ยนอยู่เหมือนกัน.....ถ้าจำไม่ผิดน่าจะไปที่ฝรั่งเศส”

     



     

    “นี่ ฉันก็คิดอยากไปฝรั่งเศสว่ะ”      ยองแจกล่าวขึ้นพร้อมลูบคางเนียนๆของตัวเอง  “แล้วตกลงแกจะไปสมัครกับฉันไหม  มันต้องเตรียมเอกสารเยอะแยะนะเว้ย   ไม่ใช่นึกจะไปก็ไปได้เลย”      จินยองลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนเอ่ยถามช้าๆ

     




     

    “ถ้าไปนี่ไปเมื่อไหร่วะ?”

     




     

    “เทอมหน้าว่ะ    ทำไมมีอะไรหรือเปล่า?”      ใบหน้าหม่นๆของเพื่อนสนิทมีหรือที่คนอย่างยองแจจะดูไม่ออก  และถ้าให้เขาเดาก็คงไม่พ้นเรื่องเดิมๆ

     




     

    “อย่าบอกนะว่า...”

     




     

    “เออ...แบบที่แกคิดแหละ  เทอมหน้าจะเป็นเทอมสุดท้ายที่ฉันจะได้เจอพี่เขา... เรียนจบแล้วพี่เขาก็คงจะไปทำงานที่อื่นหรือไม่ก็บินไปอยู่กับครอบครัว......ฉันแค่คิดว่าฉันอยากใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าก็เท่านั้นเอง..”      ประโยคสุดท้ายแผ่วเบาราวกับพูดกับตัวเอง    เขายอมรับว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระที่จะละทิ้งโอกาสดีๆให้หลุดลอยเพื่อที่จะอยู่กับปัจจุบันที่ว่างเปล่า  ปัจจุบันที่ไม่แน่นอน   แต่จินยองไม่อยากมานั่งนึกเสียใจทีหลัง  แค่คิดว่าเวลาไม่อาจหวนคืนกลับมา    แค่คิดว่าการซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง ณ ตอนนี้คงเป็นเรื่องที่ดีกว่า    เพราะถึงแม้ต้องเสียใจจากคนเดิมๆซ้ำๆ ก็ถือซะว่าจินยองพยายามอย่างดีที่สุดแล้ว

     




     

    หึ...

     


     

      นั่นคือเสียงที่จินยองได้ยินหลังจากบอกอีกฝ่ายว่าขอคิดดูก่อน   เพราะสำหรับยองแจที่เป็นเพื่อนกับปาร์คจินยองมาสิบกว่าปี  ย่อมรู้ดีว่าการตอบแบบนี้ก็คือการปฏิเสธทางอ้อมของอีกฝ่ายนั่นแหละ

     




     

    ยองแจได้แต่นึกภาวนาในใจให้เพื่อนของเขารอดพ้นไปจากความรักครั้งนี้สักที   อันที่จริงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขานึกภาวนา   เขาอ้อนวอนจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากว่าสองปีแล้ว  นับตั้งแต่วันที่จินยองบอกกับเขาว่าชอบเพื่อนสนิทของพี่รหัสตัวเอง  แต่นับตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น   และยองแจก็เหมือนเพื่อนสนิทของตัวเองนั่นแหล่ะที่ไม่ย่อท้อไม่ยอมแพ้ต่ออะไรง่ายๆ ตราบใดที่จินยองยังคงหลงรักพี่รหัสแต่เพียงในนามของเขาอยู่  ยองแจก็จะอ้อนวอนภาวนาแบบนี้เรื่อยไป  ด้วยความหวังว่าสักวันสิ่งที่เขาร้องขอมันจะต้องเป็นจริง!

     




     

    คือ แด คยอท ทึล อี เจ ตอ นา นึน กอท ซึล ฮู ฮเว ฮัล ชี โด โม รึอ จี มัน  คือ แดน ซารัง ฮา กี แต มุน นี ยา

     



     

    เสียงกรีดร้องของโทรศัพท์ดึงสติของคนฟังทั้งคู่ให้กลับมาที่ภายในห้องสี่เหลี่ยมนั้น  และเป็นจินยองที่เอื้อมมือไปเลื่อนสัมผัสบนหน้าจอใสเพื่อกดรับ

     



     

    “ว่าไงแบมแบม”      เขากรอกเสียงลงไปยังปลายสาย

     


     

    “พี่จินยองสะดวกคุยรึเปล่าครับ”      เสียงใสเอ่ยถามอย่างมีมารยาท

     


     

    เขาทรุดลงนั่งที่เก้าอี้ชิดปลายเตียง   ก่อนพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้เมื่อยองแจทำท่าเป็นเชิงว่าขอตัวไปอาบน้ำก่อน   “คุยได้  ว่ามาสิ”

     



     

    “พอดีแบมอยากถามว่าเค้กที่ฝากพี่มาร์คให้ไปวันนั้น   พี่ทานได้ไหมครับ....วันนั้นที่เจอกันที่โรงยิมแบมลืมถามน่ะครับ

     


     

    “อืม...อร่อยดี รสชาติดีเลยแหละ...เราทำเองหรอ?”

     



     

    “ครับ  พอดีแม่แบมเปิดร้านเบเกอรี่น่ะครับ  เลยพอทำเป็นอยู่บ้าง....พรุ่งนี้แบมเอาไปฝากพี่จินยองอีกนะครับ”

     



     

    “ของซื้อของขายจะเอามาให้ฟรีๆได้ไง  ไม่เอาหรอก”      จินยองรีบปฏิเสธ   เขาคิดว่ามันเป็นอะไรที่มากเกินไปที่จะรับของฟรีจากอีกฝ่ายถึงสองครั้ง

     



     

    “แต่ถ้าไม่ได้พี่จินยองช่วยติววันนั้นแบมคงสอบเก็บคะแนนไม่ได้แน่ๆ .....นะๆครับ แบมอยากให้พี่จินยองจริงๆ”

     



     

    จินยองนิ่งคิดครู่หนึ่ง   ก่อนยื่นข้อเสนอให้อีกฝ่าย

     



     

    “งั้นก็ได้   แต่พี่ขอให้แบมกับยูคยอมช่วยอะไรพี่อย่างหนึ่งได้ไหม?”

     



     

    ยังไม่ทันรู้ว่าเงื่อนไขคืออะไร     เขาก็ได้ยินปลายสายตอบกลับมาอย่างกระตือรือร้น

     




     

    “ได้สิครับ พี่จินยองอยากให้แบมช่วยอะไร....ว่ามาเลยครับ”

     

     

     












     

    #Impassible_mn

     

     










     

    มาร์คเคลื่อนกายได้อย่างเชื่องช้าเต็มที  เมื่อต้องพยุงตัวเองด้วยไม้เท้าทั้งสองข้าง เท้าข้างซ้ายเทอะทะด้วยผ้าพันแผลหนาเตอะ  จนทำให้ต้องเดินอย่างระมัดระวัง   วันนี้เขาโทรสั่งเจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำเคาน์เตอร์ข้างล่างให้โทรเรียกรถแท็กซี่รับจ้าง   เนื่องจากอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถขับรถได้อย่างเช่นทุกวัน    เขาเดินมาอย่างทุลักทุเล      เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดซึมที่ใบหน้า    แต่พอก้าวเท้าพ้นจากประตูมหาวิทยาลัยได้ไม่เท่าไหร่   เสียงคุ้นหูก็ดังขึ้น

     






     

    “พี่มาร์คทางนี้ครับ” 

     




     

    มาร์คหันหน้าไปตามเสียงก็พบกับร่างเล็กๆของรุ่นน้องปีหนึ่งที่เขารู้จักดีกับร่างสูงที่เขาคุ้นตา ทว่านึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน   สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของคนทั้งคู่ทำให้มาร์คขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจและงุนงงมันคือรถเข็นสีเลือดหมูคันใหม่เอี่ยม  คิ้วของเขายังไม่ทันคลายเจ้ารถเข็นก็ถูกเข็นมาอยู่ข้างหน้าเขาเสียแล้ว

     



     

    “วันนี้ผมกับแบมจะมาช่วยดูแลพี่มาร์คครับ”      เสียงดังมาจากคนร่างสูงที่ให้เดาคงเป็นเพื่อนกันกับแบมแบม

     



     

    ดวงตาคมของมาร์คไม่ได้สะท้อนความแปลกใจหรือสงสัยแม้สักนิดเมื่อเอ่ยถาม

     



     

    “ใครสั่งให้มาล่ะ?”

     



     

     เกือบจะยกยิ้มเมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสองคนหันมองสบตากันอย่างมีพิรุธ........อ่อนหัด.....มีความตั้งใจแต่ถือว่าอ่อนหัด.......ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งสองคนนี้มา

     




     

    ทำไมเขาจะไม่รู้

     



     

    “พวก....พวกเรา  เอ่อ พวกเราสองคนมาเองครับ”       เดือนปีหนึ่งตอบคำถามอย่างตะกุกตะกัก

     



     

    “ถ้างั้นก็....ขอบใจนะ”      เอ่ยพร้อมกับกวาดสายตามองไปโดยรอบ  ทันที่จะเห็นความวูบไหวบริเวณหลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนัก   เหมือนที่เคยบอกว่าน่าแปลกที่ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายสักเท่าไหร่....เขาก็จะมองเห็นเสมอ

     




     

    มาร์คนิ่งคิดไตร่ตรอง   ใบหน้าราวรูปปั้นถูกเคลือบคลุมไปด้วยละอองแห่งความลังเล

     



     

    ลังเลระหว่างการตกลงรับความช่วยเหลือของอีกฝ่าย  หรือการบอกปัดอย่างไม่ใยดี

     


     

    มาร์คถอนหายใจช้าๆ    ก่อนตัดสินใจทรุดลงนั่งที่เบาะสีเลือดหมูนั้น

     



     

    แค่คิดว่าบางทีเขาควรหยุดทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายสักวัน

     

     

     








     

    #Impassible_mn

     






     

     

                    แม้การแอบมองจากหลังต้นไม้จะทำให้เห็นอะไรไม่ชัดนัก เนื่องจากต้องซ่อนตัวอยู่หลังลำต้นสีน้ำตาลมีเพียงแค่ดวงตาสองข้างเท่านั้นที่ถูกอนุญาตจากเจ้าของให้รอดพ้นจากการกำบังเพื่อให้มันสามารถสังเกตเห็นความเป็นไประหว่างคนสามคนที่ลานกว้างสีเทาบริเวณหน้าประตูรั้วนั้นได้   ทว่าสิ่งที่เห็นเมื่อสักครู่ก็ชัดเจนสำหรับจินยอง

     


     

                    ริมฝีปากบางสีธรรมชาติคลี่ยิ้มบางๆให้กับตัวเอง     ยิ้มให้กับรุ่นน้องสองคนที่เต็มใจช่วยเหลือเขา และยิ้มให้กับคนเจ็บที่นั่งอยู่บนรถเข็น

     


     

                    มันคือความสุขที่อบอุ่น   และเนิ่นนานแล้วเท่าไหร่ไม่รู้ที่จินยองไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกแบบนี้วันนี้ท้องฟ้าดูสวยอย่างประหลาด   ดวงอาทิตย์สีส้มจัดจ้าที่เขาเคยลอบมองผ่านหน้าต่างห้องเรียนบัดนี้ทอแสงสีส้มจาง   สวยงามราวกับภาพวาดเมื่ออยู่ท่ามกลางปุยเมฆสีขาวเบื้องบน

                   

     










     

    #Impassible_mn
















     

    Moondream_


     

     

     

     

     

     

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×