คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Chapter 5 : Pretty boy
5
Pretty boy
“When I text you it means I miss you, when
I do not text you it means I want you to miss me.”
#Impassible_mn
มือบางที่กำลังขีดเขียนตัวอักษรลงในสมุดเล่มสีฟ้าอ่อนอยู่นั้นชะงักเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อภาพของบุคคลสองคนที่เขาไม่อยากนึกถึงที่สุดในตอนนี้ปรากฏขึ้นในห้วงความคิด บุคคลแรกเป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลช็อกโกแลต ดวงตาคมและคิ้วเข้มหนาที่เขาจำได้จนคุ้นตา เพราะเฝ้ามองเจ้าของใบหน้านี้มากว่าสองปี ในยามปกติจินยองคงไม่มีความคิดที่อยากจะสลัดใบหน้านี้ออกไป เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาระลึกถึงจนกลายเป็นความเคยชินไปแล้ว ทว่าตอนนี้เมือใบหน้านี้ปรากฏขึ้นมาในความคิดครั้งใดก็จะนำพาใบหน้าเล็กหวานที่เขาเพิ่งได้รู้จักเข้ามาในห้วงความคิดด้วยอีกคน
เมื่อความรู้สึกที่น่าอึดอัดและยากที่จะอธิบายยังคงไหลวน จนทำให้สมาธิในการทำงานที่พึงมีลดลง จินยองจึงตัดสินใจวางปากกาในมือ แล้วเปิดลิ้นชักหยิบสมุดไดอารี่สีครีมเรียบๆเล่มหนึ่งขึ้นมา ตัดสินใจที่จะระบายความรู้สึกที่มีทั้งหมดในตอนนี้ลงไป
14/04/2015
ก่อนหน้านี้ผมเคยแต่ได้ยินว่าการเห็นคนที่เรารักไปรักคนอื่นนั้นมันเจ็บปวด ผมเคยแต่รับฟัง แต่ไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับคำพูดนี้มากนัก ......ไม่เข้าใจและไม่เคยเข้าใจมาตลอดกว่า 21 ปี.... แต่แล้ววันนี้ผมกลับคิดว่าผมพอเริ่มที่จะเข้าใจมัน…
ภาพคนสองคนนั่งเคียงกันตอนหน้าของรถคันหรูยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำ…..
เร็ว..... เร็วเหลือเกิน....อีกคนได้มันไปเร็วเหลือเกิน
น้ำตาหยดเล็กๆหยดหนึ่งหยดลงบนกระดาษที่เจ้าของมันกำลังบรรจงขีดเขียน.......ขีดเขียนด้วยความรู้สึก
ตลอดเกือบสองปีที่ผมชอบพี่เขามา..... ผมไม่รู้ ไม่เคยรู้ว่าพี่เขามีคนที่ชอบอยู่แล้วหรือเปล่า หรือกำลังรอใครสักคนอยู่ไหม ผมเคยถามกับตัวเองว่าถ้าพี่เขามีใครสักคนที่พี่เขาชอบหรือรออยู่แล้วจริงๆ แล้วคนที่รักเขาข้างเดียวอย่างผมล่ะจะทำยังไง...... คำตอบมันคงเดาได้ไม่ยากเท่าไหร่หรอก.....เพราะขนาดตอนนี้ที่พี่เขายังไม่มีใคร ผมยังเหมือนกับธาตุอากาศในสายตา แล้วถ้ามันถึงตอนนั้นล่ะ ผมคงเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าที่เคยเป็น....
เมื่อเขียนถึงตรงนี้หยาดน้ำตาเม็ดใสก็หยดลงกระดาษอีกครั้ง อักษรตัวล่าสุดที่เพิ่งเขียนเสร็จจางหายซึมลงไปกับเนื้อกระดาษ มือเรียวสวยจึงกระชับปากกาในมือก่อนจะบรรจงเขียนตัวอักษรตัวเดิมซ้ำอีกครั้ง
ภาพสายตาคมภายใต้กรอบตากว้างที่มองอีกฝ่ายขณะประคองเครื่องดนตรีสีเงินยังคงชัดเจน ตอนนั้นจินยองคิดตื้นๆแต่เพียงว่าคนตรงหน้ามองเพราะชื่นชมในความสามารถ ชื่นชมที่อีกคนบรรเลงเพลงที่ตัวเองชื่นชอบ แต่ตอนนี้สิ่งที่เพิ่งเห็นและได้ยินเมื่อตอนหัวค่ำทำให้จินยองเริ่มรู้สึกลังเล
“สัญชาตญานว่ะ กูรู้สึกว่าแบมแบมมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ
“เขาเรียกว่าน่ารักมึง น่ารัก”
แบมแบม....แบมแบม ผมอยากเป็นแบมแบมจัง ถ้าผมเป็นแบมแบม ผมจะได้เห็นรอยยิ้มของพี่เขาใช่ไหม ถ้าผมเป็นแบมแบม พี่เขาจะพูดและคุยกับผมดีๆใช่ไหม ถ้าผมเป็นแบมแบม พี่เขาจะไม่เย็นชาใส่ผมใช่ไหม ถ้าผมเป็นเด็กคนนั้นผมจะไม่ต้องร้องไห้เสียใจแบบนี้ใช่ไหม ......... อันที่จริงไม่ต้องเป็นแบมแบมหรอก .........ผมยินดีที่จะเป็นใครก็ได้ที่ไม่ใช่ปาร์คจินยองแบบที่ผมเป็นตอนนี้ก็พอ....
ก่อนที่จินยองจะระบายความเสียใจของตัวเองมากไปกว่านี้ เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
‘คือ แด คยอท ทึล อี เจ ตอ นา นึน กอท ซึล ฮู ฮเว ฮัล ชี โด โม รึอ จี มัน คือ แดน ซารัง ฮา กี แต มุน นี ยา’
เมื่อเห็นรายชื่อของคนที่โทรเข้ามา มือขาวๆจึงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าของตัวเองอย่างลวกๆ
“ครับ พี่บี” แม้น้ำตาจะหยุดไหลชั่วคราวแล้ว หากร่องรอยของการร้องไห้ก็ยังคงปรากฏจางๆอยู่ในน้ำเสียงและแน่นอนว่าคนที่ไม่หยาบกระด้างอย่างเจบีย่อมจับได้ถึงความผิดปกติ เสียงห้าวๆจึงถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ร้องไห้หรอ ทำไมเสียงสั่นๆ”
“เป็นหวัดนิดหน่อยครับ ไม่ได้ร้องไห้” ปฏิเสธทันทีโดยไม่ต้องคิด จินยองเกือบจะยิ้มทั้งที่ยังเศร้า ความเป็นห่วงของอีกฝ่ายยังคงเสมอต้นเสมอปลาย เมื่อก่อนตอนปีหนึ่งเคยดูแลเขาดีอย่างไร ทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นแบบนั้น
“มีอะไรรึเปล่าครับ” พยายามเปลี่ยนประเด็นเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายสงสัยอะไรต่อและปลายสายก็ดูจะหลงกล
“พอดีแบมแบมโทรมา น้องมันอยากจะถามเกี่ยวกับวิชาที่เรียนหน่อย พี่ก็ไม่ว่างว่ะ ต้องรีบทำรายงานส่งพรุ่งนี้แล้ว จะให้ถามไอ้แจ็คก็กลัวว่าจะยิ่งงงกว่าเดิม ส่วนไอ้มาร์คไม่ค่อยอยากยุ่งกับมัน เดี๋ยวแม่.งด่าเอา พักนี้มันยิ่งอารมณ์ขึ้นๆลงๆอยู่ เราน่ะสะดวกอธิบายให้น้องมันฟังมั้ย”
หัวสมองของจินยองสับสนไปหมดแล้วตอนนี้ เด็กที่เขากำลังนึกอิจฉากำลังต้องการความช่วยเหลืออย่างนั้นหรอ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป ปลายสายจึงให้เหตุผลเพิ่มเติม
“พี่ก็ไม่อยากรบกวนเรานะ ก็รู้ว่าเรียนหนักเหมือนกัน แต่ทำไงได้วะ ไปรับปากมันไว้แล้วว่ามีอะไรให้ปรึกษาได้ แต่ตัวเองเสือกไม่ว่าง นี่ก็สงสารน้องมัน ไอ้ซองจงพี่รหัสมันแอดมิดที่โรงบาลมาเป็นอาทิตย์แล้ว น้องมันคงไม่รู้ว่าจะไปถามใคร” ฟังอีกฝ่ายให้เหตุผลที่ยืดยาวแล้ว จินยองหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และแน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนใจร้าย
“ได้ครับพี่ ผมว่าง”
“เออๆ ขอบใจนะ เดี๋ยวพี่ให้น้องมันโทรหาเราเลยละกัน” เสียงอีกฝ่ายขอบคุณด้วยความโล่งใจ
เมื่อวางสายจากพี่รหัสแล้ว จึงเก็บสมุดไดอารี่เล่มเล็กลงลิ้นชัก พยายามทำสมองให้ปลอดโปร่งเพื่อให้ร่างกายและจิตใจเตรียมพร้อมที่จะอธิบายเรื่องเรียนให้รุ่นน้องฟัง ถ้าจะว่ากันแล้วจินยองเองก็เข้าใจและรู้สึกเห็นใจเดือนสาขาปีหนึ่งหมาดๆอยู่มาก เพราะตอนที่เป็นนิสิตปีหนึ่งนั้นเขาเองก็วุ่นวายและรบกวนพี่รหัสของตัวเองอยู่หลายต่อหลายครั้ง ทั้งเรื่องการเรียน การปฏิบัติตัว จนเขาคิดว่าคงไม่สามารถผ่านช่วงชีวิตเฟรชชี่ปีหนึ่งมาได้หรือต่อให้ได้ก็คงทุลักทุเลเต็มที ถ้าไม่ได้รับความช่วยเหลือจากอิมแจบอม พี่รหัสแสนดีที่คอยช่วยเหลือเขาเสมอยามที่เขาต้องการ
เสียงเรียกเข้าดังขึ้นเป็นเพลงเดิมอีกครั้ง เบอร์ที่เขาไม่คุ้นเคยปรากฏขึ้นที่หน้าจอ ไม่ต้องกดรับสายก็พอจะรู้ได้ว่าคนที่เขากำลังระลึกถึงโทรเข้ามา
“พี่จินยอง นี่แบมแบมนะครับผม” ปลายสายทักขึ้นด้วยเสียงสดใสคล้ายระฆังแก้ว
“หวัดดี....เอ่อ...ที่บอกว่าสงสัยเรื่องเรียนนี่เรื่องอะไรล่ะ” จินยองเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมา เพราะอันที่จริงการบ้านของเขาที่ทำตั้งแต่หัวค่ำก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดีนัก
“แบมสงสัยเกี่ยวกับเรื่องการปฏิวัติในฝรั่งเศสน่ะครับ” อีกฝ่ายตอบมาด้วยเสียงกระตือรือร้น
“อ่า.. ตรงไหนล่ะ หรือว่าทั้งหมด”
“แบมอยากให้พี่จินยองช่วยสรุปคร่าวๆได้มั้ยครับ ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เกิดการปฏิวิตขึ้น คือว่าวันนั้นอาจารย์สอนเร็วและหลายเรื่องมาก จนแบมจดไม่ทันและก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ พอถามเพื่อนคนอื่นเพื่อนก็บอกว่าฟังไม่ทันเหมือนกันครับ แบมเลยไม่รู้จะไปปรึกษาใครดี”
ความเอาใจใส่ในการเรียนของอีกฝ่ายทำให้จินยองเผลอยิ้มออกมานิดนึง เป็นนิสัยที่น่าชื่นชมนะว่ามั้ย.......สงสัยอะไรก็ไม่ปล่อยผ่าน นิสัยแบบนี้เหมือนใครบางคนไม่มีผิด.....ใครบางคนที่เขานึกประทับใจถึงความเอาใจใส่ในการเรียนมานานหลายปี นับตั้งแต่ที่เขาเดินผ่านห้องเรียนของรุ่นพี่ปีสองห้องหนึ่ง และทันได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำยกมือขึ้นถามอาจารย์.......
เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงนับว่าเป็นความประทับใจแรก...
จินยองดึงสติตัวเองให้กลับมาจากความทรงจำที่แสนหวานในอดีต ก่อนกล่าวอธิบายด้วยเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“ได้สิ คืออย่างนี้นะ สาเหตุที่สำคัญมีอยู่สามข้อ ข้อแรกเลย คือ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม เพราะ สมัยนั้น สังคมของฝรั่งเศสแบ่งเป็น 3 ฐานันดร คือ ฐานันดรที่1 ฐานันดรที่2 และฐานันดรที่3ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ 2 ฐานันดรแรกซึ่งมีจำนวนเพียงเล็กน้อยเนี่ยได้สิทธิ์ถือครองที่ดินส่วนมากของประเทศ มีตัวแทนอยู่ในรัฐสภา อีกทั้งยังถูกละเว้นไม่ให้ต้องเสียภาษีอีก จึงทำให้ฐานันดรที่ 3 ไม่พอใจ อันนี้คือ คร่าวๆก่อนนะ เดี๋ยวพี่จะอธิบายแบบละเอียดให้ฟังอีกที” เขาพยายามอธิบายช้าๆเพื่อให้อีกฝ่ายตามทัน และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เอ่ยโต้แย้งอะไร จึงพูดต่อ
“ส่วนข้อที่สอง เป็นเพราะปัญหาทางเศรษฐกิจ เนื่องจากฝรั่งเศสกำลังประสบภาวะฝืดเคืองทางการเงิน ซึ่งเกิดจากการใช้จ่ายเพื่อการทำสงครามต่าง ๆ โดยเฉพาะในสงครามประกาศอิสรภาพของชาวอเมริกันเพื่อสนับสนุนให้ชาวอาณานิคมต่อสู้กับอังกฤษ ซึ่งแน่ล่ะว่าการทำสงครามแต่ละทีก็ต้องเสียเงินเป็นจำนวนมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้การคลังของประเทศฝรั่งเศสมีปัญหา ส่วนข้อสุดท้ายเป็นเพราะความเสื่อมโทรมของระบอบการปกครองแบบเก่า ก็อย่างที่เรารู้แหละว่า แต่เดิมฝรั่งเศสปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ทำให้บางครั้งคิงก็ทรงใช้อำนาจโดยไม่ฟังเสียงประชาชน โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่ไม่ค่อยสนพระทัยในการบริหารบ้านเมือง อีกทั้งยังทรงอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระนางมารี อังตัวเนตต์ พระราชินี ซึ่งทรงนิยมใช้จ่ายในพระราชสำนักอย่างฟุ่มเฟือย”
การอธิบายให้รุ่นน้องหัวดีอย่างแบมแบมเข้าใจไม่ใช่เรื่องยาก จากการอธิบายและถามตอบกันทางโทรศัพท์ทำให้จินยองรับรู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายมีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว คือนอกจากจะเป็นคนที่มีความจำที่ดี ยังสามารถเข้าใจอะไรได้อย่างรวดเร็ว และด้วยคุณสมบัติสองข้อนี้ทำให้เขาใช้เวลาในการอธิบายเพียงไม่นาน ดังนั้นหัวข้อการติวพิเศษระหว่างเดือนสาขาต่างปีจึงยุติลง 45 นาทีหลังจากนั้น
#Impassible_mn
ขาที่กำลังก้าวเข้าสู่ตึกคณะของมาร์คชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นร่างบางร่างหนึ่งกำลังยืนรออยู่ที่บริเวณป้ายคณะ เป็นร่างเพรียวบางเหมือนกัน ทว่าไม่ใช่คนเดิมที่เขาเคยเห็น...
“พี่มาร์ค สวัสดีครับ” คนตัวเล็กทักขึ้นอย่างมีมนุษย์สัมพันธ์ทันทีที่เห็นเขาเดินเข้ามา
“อืม หวัดดี มารอใครอยู่หรือเปล่า” เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ
“อ้อ ครับ พอดีแบมมายืนรอพี่จินยองน่ะครับ”
“จินยอง?” มาร์คทวนคำอย่างไม่เชื่อหู คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนิดๆ นึกสงสัยว่าสองคนนี้ไปสนิทสนมกันได้อย่างไร เมื่อไหร่ เมื่อวานที่นั่งรถเขาไปก็ไม่เห็นว่าจะคุยอะไรกันสักคำ
“ครับ พี่จินยอง” แบมแบมย้ำชัดให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าตัวเองได้ยินไม่ผิด
“งั้นรออยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวเด็กนั่นก็มา” มาร์คกล่าวทิ้งท้ายไว้แค่นั้น แม้ยังคงสงสัย หากก็เป็นนิสัยของมาร์คอีกเช่นกันที่จะไม่เอ่ยถามเรื่องของคนอื่น นอกเสียจากเจ้าตัวเขาอยากจะเล่าเอง ขาทั้งสองข้างเตรียมก้าวเดิน หากเสียงเล็กๆก็เอ่ยยั้งเขาไว้ก่อน
“พี่มาร์คครับ คือว่า แบมรบกวนพี่มาร์คฝากขนมให้พี่จินยองได้มั้ยครับ พอดีว่าแบมนึกขึ้นได้ว่าลืมเอารายงานไปส่งที่โต๊ะอาจารย์ อาจารย์ให้ส่งก่อน8โมง 20 น่ะครับ” ร่างเล็กเอ่ยขึ้นอย่างร้อนรนพร้อมประกายความหวังในดวงตา
เมื่อได้ยินถึงความประสงค์ของรุ่นน้องตรงหน้ามาร์คเองก็ได้แต่กระพริบตา มองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง นี่เด็กคนนี้ไม่รู้อะไรบ้างเลยรึไงนะ....มาร์คเกือบจะปฏิเสธออกไปอยู่แล้ว
“นะ นะครับพี่มาร์ค ช่วยแบมหน่อยนะครับ” มาร์คถอนหายใจยาว เข็มนาฬิกาบนข้อมือของเขาบอกว่าตอนนี้เหลือเวลาอีก 15 นาทีก็จะแปดโมงยี่สิบ แล้วเขาจะมีทางเลือกใดนอกจาก
“อืม ก็ได้” มาร์คได้ยินเสียงของตัวเองตอบตกลง เหอะ! คิดแล้วก็หงุดหงิดที่คนอย่างเขา คนอย่างมาร์คต้วนต้องมาเป็นพนักงานส่งของ
“ขอบคุณนะครับพี่มาร์ค” แบมแบมเอ่ยอย่างยินดี สายตาวาวใสคล้ายลูกแก้วกลอกไปมาอยู่ครู่หนึ่งคล้ายกำลังนึกอะไรบางอย่าง
“ฝากบอกพี่จินยองด้วยนะครับว่าแบมขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืนมาก นี่เป็นของขวัญที่แบมตั้งใจทำเลยนะครับ”
คำพูดทิ้งทายอันเป็นปริศนาทำให้มาร์คถึงกับขมวดคิ้วเป็นรอบที่สองของวัน ยังไม่ทันจะได้รู้อะไรที่กระจ่างไปมากกว่านี้ร่างเล็กๆก็พาตัวเองวิ่งหายเข้าไปในตัวตึกแล้ว เหลือเพียงมาร์คกับถุงพลาสติกสีขาวใสในมือที่เผยให้เห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ภายใน
#Impassible_mn
เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มาร์คต้องรอคอยอะไรนานขนาดนี้ แม้เวลาในความเป็นจริงจะเพียงแค่ไม่กี่นาที หากสำหรับคนที่รอและไม่ชอบการรอคอยนานๆ มันก็ดูยาวนานเป็นชั่วโมง จนเขาเกือบจะหงุดหงิด หากความคิดนี้ก็มลายหายไปโดยทันทีเมื่อเห็นว่าคนที่รอคอยกำลังเดินมุ่งตรงเข้ามาทางหน้าตึก
“ครับ?” จินยองร้องถามด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นคนตรงหน้ายื่นถุงบางอย่างให้เขา
“ แบมแบมฝากมาให้นาย บอกว่าขอบคุณสำหรับเรื่องเมื่อคืน” มาร์คเอ่ยด้วยเสียงเรียบๆโดยที่ไม่มองหน้าอีกฝ่าย ไม่มองเพราะเขารู้สึกเก้อพิกล จากผู้ที่เคยแต่เป็นฝ่ายรับกลับต้องมาเป็นฝ่ายยืนรอแทน
จินยองพยักหน้ารับรู้ ดวงตาคู่สวยมีรอยวูบไหวอยู่แวบหนึ่ง เสียงที่เอ่ยออกมาก็แผ่วเบา เมื่อตีความจากคำพูดของคนตรงหน้าไปว่าทั้งสองคนคงติดต่อพูดคุยกันจึงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับแต่ละฝ่ายเป็นอย่างดี
“ฝากบอกแบมแบมด้วยนะครับว่าผมขอบคุณ”
“นายกับแบมแบมไปสนิทกันตอนไหน” เสียงทุ้มต่ำที่ถามขึ้นทำเอาจินยองขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ครับ?”
“ฉันถามว่านายสองคนไปสนิทกันตอนไหน ทำไมต้องฝากของให้กันด้วย”
“ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันนะครับ แค่น้องโทรถามผมเรื่องเรียนนิดหน่อย” จินยองเลือกตอบไปตามความจริง สิ่งที่คาดเดาไว้ตอนแรกผิดถนัด น่าแปลกที่คนตรงหน้าเหมือนจะไม่รู้อะไรเลย
“งั้นหรอ” มาร์ครับรู้ด้วยเสียงขรึมๆ
“ครับ”
“.....”
เมื่ออีกเห็นฝ่ายไม่พูดอะไรต่อ จินยองจึงโค้งตัวลงเพื่อบอกลา ทว่าประโยคถัดมาของอีกคนก็ทำเอาจินยองชะงักค้างอยู่แบบนั้น ด้วยความไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้ออกมาจากปากมาร์ค...
“บางทีนายอาจจะเบื่อหรือเหนื่อยกับสิ่งที่นายเป็นอยู่......ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีใครบังคับนาย......ดังนั้น.....อย่าเสียเวลากับคนอย่างฉันอีกเลย”
คำพูดที่เดาจุดประสงค์ของคนพูดไม่ได้นั้นทำเอาจินยองเงยหน้าขึ้นอย่างอัติโนมัติ ทันที่จะได้เห็นความวูบไหวในดวงตาคู่คมที่เขาเคยอ่านมันไม่ออก ความวูบไหวเพียงเสี้ยววิก่อนความว่างเปล่าที่จินยองแสนคุ้นชินจะเข้ามาแทนที่
จินยองรู้สึกว่าทุกอย่างรอบตัวดูสว่างขาวโพลนไปหมดเช่นเดียวกับในสมองของเขาตอนนี้
สว่างและขาวโพลนพร้อมๆกับที่อีกคนเดินจากเขาไป
เขาบอกไม่ถูกว่าควรรู้สึกอย่างไร..
บางทีถ้าฉันไม่เจอนาย ถ้าเราไม่ต้องเจอกันฝันร้ายของฉันอาจจะดีขึ้น.......หรือบางทีฉันอาจเลิกฝันร้ายถึงมันสักที
#Impassible_mn
MoonDream_
ความคิดเห็น