ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : Our relationship

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ค. 61


    2

    Our Relationship






               True love doesn't have a happy ending because true love never ends.



    “ร้องไห้มาหรือไง ทำไมตาบวม”    ยองแจถามผมทันทีที่ออดหมดเวลาดังขึ้น คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมนิ่งไป ไม่อยากโกหก  แต่ถ้าพูดออกไปก็กลัวจะทำให้อีกฝ่ายพลอยไม่สบายใจไปด้วย  เป็นเพื่อนกับคนอย่างผมนี่ไม่มีอะไรดีเลยจริง ๆ นะ


    “แล้วแต่แกจะคิดว่ะ”     ผมเลี่ยงตอบไปอย่างนั้น ไม่ต้องโกหก และก็ไม่ต้องบอกความจริง   ปล่อยให้มันคิดเองว่าผมเป็นอะไร   ยองแจเพียงมองผมนิ่ง ๆ  ก่อนถามคำถามที่ผมเองก็ไม่มีคำตอบ



    “เมื่อไหร่แกจะเลิกชอบไอ้พี่มาร์คนี่สักทีวะ”    เสียงคนถามดูจะหงุดหงิดมากทีเดียว    คำถามของยองแจทำให้ผมรีบเบือนหน้ามองหน้าต่าง ไม่อยากสบตากับมันด้วยเกรงว่าจะกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่อยากสบตา เพราะกลัวว่าจะเผยให้เห็นความอ่อนแอที่มีมากมายของผู้ชายที่ชื่อ ปาร์ค จินยอง

    “ไม่เคยคิดเลยว่ะ   ถามทำไมวะ”     ตอนนี้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มองผ่านตึกเรียนสูง ๆ ที่ตั้งอยู่ไกลออกไปจะเห็นหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่เข็มยาวและสั้นตีบอกเวลาว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว   เหนืออาคารที่แขวนนาฬิกาขึ้นไปแสงอาทิตย์สีส้ม ๆ ยังทอแสงเข้มจัด  และจะเข้มจัดยิ่งขึ้นในเวลาเที่ยงวัน                  


    ธรรมชาติของดวงอาทิตย์เป็นเช่นนี้เสมอ ให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่น ในขณะเดียวกันก็มอบความร้อนที่แสนทรมานแก่มนุษย์


    นึกถึงตรงนี้ผมก็อดเทียบดวงอาทิตย์กับความรักไม่ได้


    ผมไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นหรือคู่อื่นจะเป็นอย่างไร   บางคู่ความรักอาจเหมือนกับดอกไม้ที่แสนนุ่มนวลและอ่อนโยน     บางคู่อาจเหมือนกาแฟที่หวานบ้าง ขมบ้าง   หรือบางคู่อาจเหมือนลูกอมที่สดใส  มีชีวิตชีวา  มีหลากหลายรสชาติปะปนกันไปในแต่ละวัน  

        

    แต่สำหรับผมความรักเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์...


    ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงให้ความหวัง  ให้ความอบอุ่นแก่ผู้เฝ้ามองในทุก ๆ วัน  แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นดวงอาทิตย์ นอกจากความอบอุ่นที่ให้แล้วก็พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างในเวลาเดียวกัน แผดเผาด้วยคำพูด...สายตา..... และการกระทำ


    “ถามเพราะอยากรู้ไง  นี่แกชอบพี่เค้ามากี่ปี  ฉันไม่เห็นแกจะได้อะไรนอกจากน้ำตาเลยว่ะ”    ยองแจบ่นอย่างหัวเสีย  เสียงบ่นอย่างหงุดหงิดนั้นปลุกผมออกมาจากห้วงความคิด  ผมหันหน้ากลับมาจากการมองวิวนอกหน้าต่าง  ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจตอบคนตรงหน้าด้วยเสียงดังฟังชัด  จนตัวเองยังนึกแปลกใจ


    “ความรักมันก็มีอยู่สองอย่างไม่ใช่เหรอวะ สมหวังกับผิดหวัง  แต่เผอิญว่าฉันเป็นอย่างหลังก็แค่นั้นเอง”



    เมื่อได้ฟังคำตอบจากเพื่อนสนิท ยองแจก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ เซ็งกับความมั่นคงในการรักคนที่เขาไม่รักเราของมัน    เซ็ง !!! เซ็งเว้ยยยยย!     นี่นึกสงสัยว่าไอ้พี่มาร์คเดือนปีสี่มันมีอะไรดี ทำไมเพื่อนเขาถึงได้หลงรักมานานหลายปี  พูดก็พูดเถอะ  จินยองเพื่อนเขาน่ะเลือกได้นะรู้ยัง ?  มันเป็นถึงเดือนปีสามเลยนะ  มีคนมาจีบมาสนใจก็ตั้งมากทั้งชายและหญิง  แต่ไอ้เพื่อนเขามันกลับโง่จงรักภักดีกับไอ้พี่มาร์คจนไม่ชายตามองคนอื่น 

    “เออ เรื่องของแกละกันเว้ย  ไม่อยากจะยุ่งมากนักหรอกว่ะ  ไอ้เราก็แค่กลัวว่าน้ำตาจะหมดตัวซะก่อน”

    “ขอบใจนะเว้ยที่เป็นห่วง  ไปกินข้าวกันเถอะ หิวละ”    จินยองว่าพลางตัดบท

     



    #Impassible_mn



            โรงอาหารตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งคนยังไม่พลุกพล่านมากนัก เนื่องจากยังมีอีกหลายสาขา หลายคณะที่ยังไม่เลิกเรียน และด้วยเหตุนี้ทำให้โต๊ะยังเหลือว่างอีกมาก  พอจะจับจองนั่งสองคนได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นที่ไม่รู้จัก   จินยองกับยองแจจึงพากันเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะตัวริมชิดหน้าต่างตัวหนึ่ง  พยักหน้าให้กันเป็นเชิงว่านัดหมายกันที่ตรงนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปซื้ออาหารกลางวันอย่างเช่นทุกครั้ง  


    “เฮ้! จินยอง”    เสียงห้าว ๆ ทักทายอย่างคุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลังของร่างบางขณะที่เจ้าตัวเข้าแถวต่อคิวซื้ออาหาร และเมื่อหันไปมองก็ได้พบเจอกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคย พี่แจบอมหรือพี่เจบี พี่รหัสของผมนั่นเอง


    “อ้อ  นึกว่าใครที่ไหน”    เมื่อเห็นพี่รหัสตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองหาใครบางคน.....ตามความเคยชิน   และเหมือนคนตรงหน้าเองก็รู้ทัน  เมื่อเอ่ยประโยคถัดมา


    “ไอ้มาร์คมันไปเข้าห้องน้ำกับไอ้แจ็คน่ะ  นี่พวกมันสั่งให้พี่มาซื้อข้าวให้  นี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะถือไปยังไงหมด  สองมือกับอีกสามจาน   ดีเลยมาเจอเราพอดี”    คนอายุมากกว่ากล่าวขึ้นยิ้ม ๆ อย่างมีความหวัง   และแน่นอนจินยองย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นเมื่อซื้ออาหารตามที่ตัวเองต้องการเสร็จแล้ว  เขาก็ถอยออกไปยืนรอข้าง ๆ    รอจนอีกฝ่ายยื่นจานใส่มักกะโรนีมาให้  เขาก็ยื่นมือไปรับ  กำลังจะถามว่าอีกฝ่ายนั่งตรงไหนก็พอดีถูกชิงถามขึ้นซะก่อน



    “นั่งตรงไหนล่ะ มีที่เหลือมั้ย ให้พวกพี่ไปนั่งด้วยสิ”    เมื่ออีกฝ่ายถาม จินยองจึงชี้มือไปที่โต๊ะที่มีกระเป๋าของเขาและเพื่อนสนิทวางอยู่    แปลกดีแฮะ....มีอย่างด้วยเหรอซื้อข้าวก่อน แล้วสมมติถ้าไม่มีโต๊ะนั่งล่ะ ไม่ต้องยืนกินกันหรือไง



    เมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะก็พอดีกับที่ยองแจกลับมาจากซื้ออาหารพอดี อีกฝ่ายเพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆเมื่อเห็นว่าคนเป็นเพื่อนเดินนำใครมา


    “เจอพี่เขาที่ร้านน่ะ  พี่เขายังไม่มีที่นั่งเลยขอมานั่งด้วย”    จินยองส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเพื่อนสนิท รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพี่มาร์คและผองเพื่อนสักเท่าไหร่ สาเหตุที่อีกฝ่ายไม่ชอบก็เป็นเพราะว่าพี่มาร์คทำให้เขาเสียใจ ส่วนเพื่อน ๆ ก็ไม่เคยคิดจะห้ามปรามหรือตักเตือน  นั่นเป็นสิ่งที่ยองแจคิดและเชื่อ  ไม่ว่าเขาจะเพียรพยายามบอกอีกฝ่ายสักแค่ไหนว่ามันไม่ใช่ความผิดของใครเลย แต่ยองแจกลับเลือกที่จะไม่เชื่อและยึดมั่นในความคิดของตน


    “ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”   ปากบอกไม่ว่า หากสายตากลับกวาดมองไปรอบ ๆโรงอาหาร ราวกับบอกว่าที่นั่งก็ยังเหลืออีกมาก  ทำไมต้องตามมานั่งด้วยประมาณนั้น  และก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายหรือคุกรุ่นไปมากกว่านี้   เสียงบางอย่างก็กลับดังขึ้นทำลายความเงียบเสียก่อน


    ตึก ๆ ตึก ๆ



     เสียงหัวใจของปาร์ค จินยองเอง!   


    มันดังขึ้นอย่างอัตโนมัติ    เมื่อสายตาของจินยองเหลือบไปเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินออกมาทางฝั่งห้องน้ำ  แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย  หรือจะเห็นในระยะไกลสักเท่าไหร่   เขาก็จะเห็นพี่มาร์คเป็นคนแรกเสมอ มันเป็นพื้นฐานของคนแอบรักเลยนะ เป็นแบบผมกันบ้างรึเปล่า?


    แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาถามนะ!    ไม่ใช่เวลาที่หัวใจจะเต้นเป็นจังหวะแบบนี้ด้วย



    จำไม่ได้หรือไงว่าพี่มาร์คใจร้ายขนาดไหน พี่มาร์คโยนแก้วคาปูชิโน่ทิ้งขยะต่อหน้าต่อตา พี่มาร์คทำให้ร้องไห้  ทำให้เข้าเรียนสาย   ทำให้โดนอาจารย์ว่า จำไม่ได้หรือไง? 


    หยุดเต้น หยุดเต้นเดี๋ยวนี้นะ!


    ตึก ๆ ตึก ๆ



    “โธ่เว้ย!    ผมสบถเสียงดังลั่นจนหลายคนที่นั่งอยู่แถวนั้นหันมามอง และพอดีกับคนมาทีหลังตามมาสมทบพอดี


    “เป็นอะไรไปล่ะเรา อยู่ดี ๆ ก็ร้องขึ้นมา  ”    เสียงถามอย่างอารมณ์ดีมาจากเพื่อนของพี่รหัส แน่ล่ะว่าต้องไม่ใช่พี่มาร์ค


    “คิดอะไรเรื่อยเปี่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก”    ปฏิเสธขณะที่หัวใจยังคงทรยศ  ไม่หยุดเต้นเป็นจังหวะสักที


    “ไม่มีอะไรก็ดี หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วเว้ย  กิน ๆ กินเลย”    คนพูดเลื่อนจานตรงหน้าให้พี่แจ็คสันจานนึงก่อนทรุดตัวลงนั่ง      เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ...แสดงว่าจานที่ผมถือก็...


    “นี่ของฉันรึเปล่า?”    ผมไม่ทันจะคิดจบเสียงทุ้มต่ำก็ถามขึ้นมาซะก่อน  ผมโยกหัวขึ้นลงเป็นเชิงตอบรับ ก่อนจะรีบยื่นจานในมือข้างหนึ่งให้พี่เขา    และแน่นอนว่าผมไม่มีสติ....


    “กูไม่ได้สั่งสปาเกตตีนะไอ้บี”    พี่มาร์คพูดด้วยเสียงหนัก ๆ เมื่อเห็นจานอาหารที่ผมยื่นให้ พร้อมหันหน้าไปหาพี่รหัสของผมอย่างเอาเรื่อง



    “อ่ะ  เอ่อ.....ขอโทษครับ จานของพี่มาร์คอยู่นี่”    รีบกล่าวขอโทษ  พร้อมสลับจานในมือพี่เขากับผมอย่างรวดเร็ว


    “ขอบใจ”    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำเดิม ๆ  คำที่ผมได้ยินเป็นครั้งที่สามของวันแล้ว


    “หมดเรื่องแล้วก็นั่งลงสักที  นี่มีอะไรจะพูดด้วย”  



    ผมทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พี่แจบอม และขวามือของยองแจอย่างงง ๆ   ร้อยวันพันปีไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรมาคุยกับผมนี่  ปกติเรื่องที่ผมกับพี่รหัสคุยกันมักจะเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป  หรือไม่ผมก็จะปรึกษาเรื่องการเรียน แล้วผมก็ไม่ต้องสงสัยนาน   เสียงห้าว ๆ เล่าทันทีที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อย


    “ต้นเดือนหน้าจะมีประกวดดาว-เดือนคณะ  ฉันก็เลยจะให้พวกแกช่วยเลือกรุ่นน้องหน่อย  เอาที่เบ้าหน้าดี ๆ มีความสามารถ  จะได้ไปแข่งกับสาขาอื่นได้ พูดแล้วก็เจ็บใจว่ะ  ปีที่แล้วไม่น่าแพ้การปกครองเลย ไม่งั้นปีนี้มีหวังเดือนสาขาเราได้เป็นเดือนคณะ 4 ปีซ้อน”


    “แหม แต่ไอ้เดือนการปกครองปี 2 มันก็หล่อจริง ๆ นี่หว่า เสียงกรี๊ดนี่กระหึ่ม”    แจ็คสันค้านขึ้น ซึ่งก็ทำให้คนเป็นเพื่อนหน้าหงิกทันที


    “งั้น ๆ แหละว่ะ หน้ามันกวนตีนจะตาย”    ประธานสาขาปีสี่ว่าไปนั่น


    “เออ นี่ได้ข่าวว่ามันมาตามจีบน้องรหัสมึงสักพักไม่ใช่รึไง”    พี่แจ็คสันยิ้มอย่างกรุ้มกริ่ม  พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ผม


     “หล่อนะ ไม่สนบ้างหรือไงจินยอง?”    คำถามทีเล่นทีจริงนั้นทำให้ผมปั้นหน้าไม่ถูก  ไม่กล้าหันไปมองคนที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆคนถามด้วยซ้ำ กลัวว่าสายตาเย็นชาจะมองกลับมา  แล้วจะทำให้ผมต้องร้องไห้เป็นรอบที่สองของวัน   ขณะที่ผมกำลังอึกอักตอบคำถามไม่ถูกอยู่นั้น พี่บีก็ช่วยผมไว้ได้ทัน


    “แล้วมึงเสือกอะไรไอ้แจ็ค  อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นมากเลยมึง”


    “ก็แค่ถามน่ะมึง แต่ก็พอจะรู้คำตอบล่ะว่ะ”     คนถามเองตอบเอง ทิ้งระเบิดเสร็จก็กลับไปหันสเต็กกินต่ออย่างอารมณ์ดี


    ให้ตายเถอะ!  เพื่อนพี่รหัสของผมแต่ละคน  คนหนึ่งก็เงียบไม่ค่อยจะพูด  ส่วนอีกคนก็พูดเยอะ     พูดมาก ยียวนเก่งซะเหลือเกิน

       

    “เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปเจอกับพวกปีหนึ่งตอนคาบเสรี”    เมื่อตักเตือนเพื่อนเสร็จ พี่ก็บีวกเข้าเรื่องงาน


    “กูไม่ไปไม่ได้เหรอวะ”    เสียงของคนที่นั่งเงียบมาตลอดข้างพี่แจ็คสันดังขึ้น   ทำให้ผมหันไปมองพี่เขาอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก   แล้วก็เหมือนกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ   เมื่อผมสบเข้ากับดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น  ทว่า..ก็แค่ชั่วขณะจริง ๆ คล้ายกับว่าพี่เขาแค่ตวัดสายตามองอะไรบางอย่าง   แล้วบังเอิญประสานสายตาเข้ากับผมซะก่อน


    “มึงมีธุระเชี่ยไรไอ้มาร์ค อย่ามานะมึง แค่มึงไม่เอาสายรหัสแค่นี้ก็ถูกเขม่นมากพอแล้ว  ยังดีที่มึงทำกิจกรรมเป็นเดือนคณะ  เล่นกีฬา  ไม่งั้นกูไม่อยากจะนึก”    ประธานปีสี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังกินอะไรที่ขมจัด   


     ใช่ครับ....ทุกคนได้ยินไม่ผิด...พี่มาร์คไม่เอาสายรหัส


    ตัวเลขสองตัวท้ายของรหัสนิสิตเปรียบเสมือนการบังคับและกำหนดมาอยู่แล้วว่าใครเป็นพี่รหัสใคร เหมือนกับผมและพี่บีที่มีรหัสสองตัวหลังเหมือนกันคือเลข 18   พี่มาร์คเองแต่เดิมก็มีพี่รหัส  เพียงแต่พี่เขาเดินไปบอกกับพี่รหัสตรง ๆว่าจะขอเป็นน้องรหัสแต่เพียงในนามเท่านั้น ไม่ขอมีความสัมพันธ์อะไรแบบพี่รหัสน้องรหัสคู่อื่น ๆ  และเมื่อพี่เขามีน้องรหัส พี่เขาก็เดินไปบอกกับน้องรหัสตรง ๆ เช่นกันว่าพี่เขาจะขอเป็นเพียงพี่รหัสแต่ในนามเท่านั้น  และแน่นอนว่าโลกของเรากลมครับ น้องรหัสของพี่มาร์คก็คือยองแจเพื่อนของผมเอง


    “กูไม่สนหรอกว่ะ ใครจะมองยังไงก็ช่าง  กูมีเหตุผลของกูก็พอ”


    เหตุผลในการไม่เอาสายรหัสเนี่ยนะ ผมคิดในใจ  พยายามนึกก็นึกไม่ออกว่าพี่มาร์คจะมีเหตุผลอะไร นี่พี่มาร์คจะรู้บ้างมั้ยว่ายองแจมันเสียใจแค่ไหนที่พี่รหัสไม่เอามัน มันเคยร้องไห้กับผมด้วยซ้ำว่าตัวมันทำอะไรผิด  จนผมต้องวิ่งไปถามกับพี่บีถึงได้รู้ความจริง    เมื่อยองแจมันรู้ว่าพี่มาร์คตัดสายตั้งแต่พี่รหัสของตัวเองแล้ว มันเลยหายเศร้าลงไปได้บ้าง แต่ตั้งแต่วันนั้นมันก็ทำตัวเย็นชา ห่างเหินใส่พี่เขา  ประมาณว่าไม่ง้อ  และยิ่งห่างเหินมากยิ่งขึ้น   เมื่อรู้ว่าผมแอบรักพี่มาร์ค บอกแล้วไงครับว่าเป็นเพื่อนกับผมน่ะไม่มีอะไรดี


    “นะมึง ปีสุดท้ายละ เดี๋ยวก็ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก”    พี่รหัสของผมหว่านล้อม ผมเห็นพี่มาร์คนิ่งคิดพลางเคาะนื้วมือกับโต๊ะอยู่ครู่หนี่ง    ก่อนตอบตกลง


    “เออ ๆ เห็นแก่มึงละกันนะ”      


    คำตอบของพี่มาร์คทำให้ผมอดนึกแปลกใจไม่ได้   แปลกใจ....เพราะโดยปกติแล้วพี่เขาไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนใจในภายหลัง


    จากการที่ผมแอบชอบพี่เขามากว่าสองปี  จากการเฝ้าสังเกตอยู่ห่าง ๆ  ทำให้ผมพอจะสรุปนิสัยของพี่มาร์คคร่าว ๆ ได้ว่า  นอกจากนิสัยเย็นชา นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดของพี่เขาแล้ว  นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นมาตลอด และผมขอเรียกว่า สไตล์ของพี่มาร์คคือ พี่เขามักจะชอบทำอะไรตามอารมณ์  ตามความพอใจของตัวเอง อย่างเช่นเรื่องการเข้าร่วมกิจกรรม  ถ้าพี่เขาพอใจก็จะทำ  แต่ถ้าหากไม่พอใจหรือบอกว่าไม่แล้วก็คือไม่ แม้แต่อาจารย์จะขอร้องแกมบังคับ  พี่มาร์คก็จะไม่เปลี่ยนใจ   และเนื่องจากนิสัยที่เป็นแบบนี้ทำให้ได้ยินข่าวลืออยู่เสมอว่ามีบางคนไม่ค่อยชอบพี่มาร์ค


    นึกถึงตรงนี้ก็ตลกดีนะครับ    ตลกที่คนบางคนมีเหตุผลที่แปลกประหลาดในการไม่ชอบใครสักคน


    ไม่ชอบ.....แค่เขาไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ


    ไม่ชอบ.....ทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้......


    ไม่ชอบ ทั้ง ๆ ที่เขาแค่เป็นตัวของตัวเอง


    และไม่ชอบ ทั้ง ๆ ที่เขาแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจ


     แต่โลกใบนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่แปลกประหลาดกว่านี้อีกมาก  และพอมาพิจารณาดูแล้วเรื่องของความรู้สึกคงไม่สามารถบังคับกันได้ ความรู้สึกก็คือความรู้สึก เป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผล  เป็นเรื่องของจิตใจที่ควบคุมให้ใครมารู้สึกอย่างที่เราต้องการไม่ได้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครรักเราหรือบังคับให้ใครเลิกเกลียดเรา เพราะถ้าทุกคนสามารถทำเช่นนั้นได้ ผมก็คงบังคับตัวเองให้เลิกชอบคนบางคนไปนานแล้ว



    #Impassible_mn



            มาร์คเดินทางจากคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยด้วยรถสปอร์ตสีส้มคันงาม     รถสปอร์ตรุ่นล่าสุดของแบรนด์รถชื่อดังระดับต้น ๆ ในทวีปยุโรป     เขาอาศัยอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้แห่งนี้มา 5 ปีกว่าแล้ว     ตั้งแต่เด็กด้วยความที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวทำให้ต้องติดสอยห้อยตามพ่อแม่ไปประเทศนู้นประเทศนี้อยู่บ่อย ๆ   บางประเทศก็สองปี สามปี หรือห้าปี   แต่เมื่อเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย   พ่อกับแม่ก็คงเห็นว่ามาร์คโตพอที่จะดูแลตัวเองได้    จึงวางใจที่จะทิ้งให้เขาเรียนอยู่ที่นี่ตามลำพัง    โดยติดต่อหากันบ้างทางโทรศัพท์หรือทางแอพลิเคชันสื่อสารต่าง ๆ    ตอนนี้พ่อของเขามีตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น   ซึ่งสองประเทศนี้ก็ไม่ได้อยู่ไกลกันสักเท่าไหร่  ทำให้หลาย ๆ ครั้งเมื่อท่านทั้งสองว่างจากธุระการทำงานที่หนักและเหนื่อย    มาร์คก็จะบินไปเยี่ยมท่านอยู่เสมอ


            เมื่อจอดรถหรูราคาหลายล้านของตนเรียบร้อยแล้ว   ขาเพรียวยาวก็มุ่งตรงไปที่ตึกคณะของตัวเอง  เขาเดินอย่างไม่รีบร้อนเหมือนเช่นทุกวัน   ด้วยรู้ดีว่ามาถึงก่อนเวลาเข้าเรียน   จากการอบรมสั่งสอนและการปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างของผู้ให้กำเนิดทั้งสองนั้นได้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนตรงต่อเวลา  และมีระเบียบวินัยในตัวเอง


            ตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นนักเรียนและนักศึกษามาตลอดเกือบยี่สิบปี มาร์คไม่เคยมีประวัติว่าเข้าเรียนสายหรือขาดเรียนโดยไม่มีสาเหตุที่สมควรแม้แต่ครั้งเดียว


            ขายาว ๆ ที่ก้าวอย่างต่อเนื่องชะงักลงนิดหนึ่ง  เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าที่บริเวณป้ายหน้าตึกคณะ  อันที่จริงมันก็ไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียวหรอกนะ    ป้ายหินสีขาวขนาดใหญ่ที่สลักคำว่า คณะรัฐศาสตร์ก็ยังคงตั้งอยู่   ต้นไม้และดอกไม้ต่าง ๆ รอบ ๆ ป้ายก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมของมัน   แต่ที่เขาบอกว่าว่างเปล่า  เพราะว่ามันไม่ปรากฏร่างบางที่แสนคุ้นตาต่างหาก   คิ้วเข้มจัดขมวดเข้าหากันเล็กน้อย   ปกติ เด็กนั่นมักจะมายืนรอเขาอยู่ที่นี่เวลานี้ทุกวันนี่นา แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่มารอ มาร์คคิดใคร่ครวญอย่างสงสัย  มหาลัยเองก็เพิ่งจะเปิดเทอม ยังไม่น่าจะมีงานอะไรที่สำคัญถึงขนาดไม่มายืนรอให้กาแฟเขาอย่างที่เจ้าตัวเคยทำนี่ หรือจะมีอะไรเกิดขึ้น ช่างเถอะ  คิดไปก็รังแต่จะรกสมองเปล่า ๆ ก็แค่กาแฟแก้วเดียว  ไม่เห็นจะสลักสำคัญตรงไหน


    “มึงมองหาหอกอะไร ?  เห็นมองหามาตั้งนานละ”    คำถามกวน ๆ ดังมาจากเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า หวัง แจ็คสัน  เมื่อเห็นเพื่อนที่เงียบที่สุดคล้ายชะเง้อชะเเง้มองหาอะไรบางอย่างในมือเขา


    “กูไม่ได้มองอะไร ”    งานปากแข็งก็ต้องมา


    “เออ  นั่นสิมึงหาอะไรวะ  ตอนกูเดินมาก็มองหาแบบนี้”    เจบีหรือเเจบอมถามขึ้นอีกคนด้วยความสงสัย 


    ไม่มี....


    ไอ้บีก็ไม่มี  ไอ้หวังก็ไม่มี  เอ๊ะ !...หรือฝากให้คนอื่นเอามาให้นะ  แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ  ปกติถ้าไม่เอามาให้เองก็ต้องฝากให้หนึ่งในสองคนนี้เอามาให้ทุกที


    “ไอ้มาร์ค   มึงเป็นเชี่ยไรเปล่าเนี่ย  ดูเหม่อ ๆ ไม่มีสติยังไงก็ไม่รู้”    เสียงตะโกนดังอย่างกับช้างหลงโขลงแบบนี้มีอยู่คนเดียวแหละ  


    “นั่นสิ ไม่สบายรึเปล่า”    ไอ้บีพูดไม่พูดเปล่า  มันยังเอามือหนา ๆ ของมันมาแตะหน้าผากผม ผมต้องรีบกระเถิบถอยออกด้วยความขนลุก  พอรู้อยู่บ้างล่ะว่าการแตะเนื้อต้องตัวกันหรือไอ้ที่เรียกว่า สกินชิป มันเป็นวัฒนธรรมของคนประเทศนี้  แต่บางทีมันก็อดที่จะลำบากใจไม่ได้  ที่แมน ๆ เตะบอลอย่างเราต้องมาถูกเนื้อต้องตัวกันแบบนี้


    “กูสบายดี  ไม่ได้เป็นอะไร”    ตอบไปอย่างนั้นแต่ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้ว


    “เออ วันนี้มึงไม่มีกาแฟกินเหรอวะ  ปกติตอนเช้ากูเห็นมึงต้องมีกาแฟเดลิเวอรี่ส่งถึงมือทุกที”    แจ็คสันถามพลางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ  ผมนึกสงสัยว่ามันอ่านใจผมออกหรือแค่เพราะว่ามันช่างสังเกต


    “ไม่มี”    มาร์คพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ


    “เสียดายว่ะ นึกว่าจะขอแดกด้วยซะหน่อย  เมื่อวานดูดไปนิดนึง แม่งงง โคตรอร่อย”    ไอ้เพื่อนเวร !  ผมสบถด่ามันในใจ  ยังจะมีหน้ามาพูดอีก  ไอ้ไร้มารยาท  ไอ้พ่อแม่สั่งสอนแล้วไม่จำ  มีอย่างที่ไหนเอาของ ๆ คนอื่นไปกินทั้ง ๆ ที่เจ้าของยังไม่อนุญาต


    “อยากแดกก็ซื้อเองดิ   ตรงหน้าม.แค่นี้เอง”     เมื่อได้ฟังคำตอบขวานผ่าซาก   เเจ็คสันก็ร้องโอดครวญ


    “ไม่ยุติธรรมอ่ะ  ทำไมกูไม่ได้กินฟรีทุกวันแบบมึงบ้างวะ นี่กูควรไปแอ๊วน้องปีหนึ่งสักคนดีมั้ย เผื่อจะได้กินฟรีแบบมึงบ้าง”    ไอเดียบรรเจิดของคนตะกละถูกพังลงด้วยเสียงขรึม ๆ ของเจบี


    “มึงเห็นของฟรีสำคัญขนาดจะไปเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเลยเหรอวะ  มึงอย่าคิดแม้แต่จะทำเลยนะ  แค่คิดก็ชั่วมากพอแล้ว”


    ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้ทุกคำ ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องที่คนเราควรจะมาล้อเล่น   ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเล่นสนุกหรือหวังผลประโยชน์  ความรู้สึกของคนเราไม่ควรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือไม่ว่าในเรื่องอะไรก็ตาม


    “กูก็พูดไปอย่างนั้นแหละว่ะ ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย”    ตัวการแก้ตัวด้วยเสียงอ่อย ๆ


    “ก็ไม่ได้ซีเรียสนะมึง  แค่บอกไว้  เผื่อมึงคิดสั้นจะทำจริง ๆ  สงสารคนโดนกระทำบ้างเถอะว่ะ”  เจบีกล่าวขึ้นอีกครั้ง  


    และก็เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นด้วยกับมัน.....คนโดนกระทำน่ะมันเจ็บจริงๆนะ



    #Impassible_mn







     

    MoonDream_

               


    © themy  butter<
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×