คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13 : A day without you
A day without you
“ Your
heart knows things your mind can't explain. ”
#Impassible_mn
นับแต่วันนั้นทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ไม่สิเหมือนจะปกติต่างหาก
เขายังคงใช้ชีวิตระหว่างสองสถานที่คือมหาลัยกับคอนโดฯไม่ต่างจากเดิมแต่ที่เพิ่มเติมคือความรู้สึกบางอย่างความรู้สึกบางๆจางๆที่บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร
ความรู้สึกบางๆที่ติดตัวไปกับเขาทุกที่ จนเขารู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบตัวดูเงียบเหงา
เซื่องซึม ปราศจากชีวิตชีวาอย่างที่มันเคยเป็น
“มึงเป็นอะไรเปล่าวะ
ตั้งแต่วันนั้นที่โรงยิมมึงก็ดูซึมแปลกๆเหมือนมีอะไรอยู่ในใจ” แจ็คสันทักขึ้นในตอนเช้าของวันหนึ่ง
เมื่อเห็นเพื่อนสนิทนั่งเอนหลังพิงโต๊ะม้าหิน สายตาดูเหม่อลอยไม่โฟกัสที่จุดใด
มาร์คถอนใจยาว
ตอบเนือยๆ “กูแค่รู้สึกเบื่อๆ”
“มึงไม่เคยเป็นอย่างนี้เลยนี่หว่า”
คนช่างสงสัยขมวดคิ้ว
สบตากันกับเพื่อนอีกคนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้ามอย่างปรึกษาหารือ
ถ้านับจากวันเกิดเหตุวันนั้นจนถึงวันนี้ก็เกือบสัปดาห์เข้าไปแล้ว แต่วันๆเพื่อนสุดหล่อของเขาก็ยังนั่งถอนใจเข้า
ถอนใจออกอยู่อย่างนี้ เขาอยากจะถามมันให้รู้ว่าผู้หญิงที่ร้องไห้สะอึกสะอื้นเมื่อวันก่อนน่ะเป็นใคร
แต่ก็ยังไม่สบโอกาสที่เหมาะสม เพราะไอ้คนต้นเรื่องคล้ายกับถูกสูบวิญญานไปเสียแล้ว
เจบีตอบรับสายตาของอีกฝ่ายด้วยการเอ่ยขึ้นบ้าง “มึงแน่ใจนะว่าไม่เป็นอะไร
มีอะไรระบายให้พวกกูฟังได้นะเว้ย พวกกูยินดีรับฟังเสมอ”
มาร์คสั่นศรีษะช้าๆ
ไม่ตอบอะไร แล้วจมอยู่กับความคิดของตัวเองอีกครั้ง
เหมือนที่หลายวันมานี้มักเป็นเสมอ
“ผ..ผม...ไม่รู้เลย..ไม่รู้เลย..ว่าพี่มาร์คจะเกลียดผมถึงขนาดนี้”
“ข..ขอโทษที่มาวุ่นวายกับชีวิตของพี่นะครับ...ผมขอโทษจริงๆ”
“หลังจากนี้ขอให้พี่สบายใจได้....เพราะ..ว่า........เพราะว่า......เพราะว่าผมจะไม่มาให้พี่เห็นหน้าอีก..”
จริงอย่างที่เด็กคนนั้นว่าตั้งแต่เกิดเรื่องวันนั้นจนกระทั่งวันนี้เขาก็ไม่ได้เห็นใบหน้าขาวสะอาดตัดกันกับคิ้วเข้มและเรือนผมสีดำสนิทนั้นอีกเลย
ไม่ว่าจะมองหาที่มุมใดในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ก็ไร้ร่องรอย
ราวกับอีกฝ่ายไม่เคยมีตัวตนมาก่อน
คิดดูแล้วมันก็ตลกดี...ครั้นอีกฝ่ายชอบเขา
ก็จะพาตัวเองมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆหอบขนม
ของขวัญหรือแม้กระทั่งเดินผ่านไปผ่านมาให้ได้เห็นอยู่เสมอ
แต่พอบอกว่าลาจะไม่มาให้เห็นอีกก็กลับหายไปจริงๆ
ชายหนุ่มถอนหายใจอีกครั้ง
พลางเปล่งเสียงถามตัวเองในใจ
“แกต้องการแบบนี้เองไม่ใช่เหรอมาร์ค”
นั่นสินะ...
เขาต้องการแบบนี้เองไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงมานั่งตายซากแบบนี้ล่ะ
แกควรจะดีใจ
แกต้องดีใจสิ ที่จะไม่มีใครมาคอยวุ่นวายกับชีวิตของแกอีกต่อไปแล้ว
ดีใจสิวะ!!!!
“โธ่เอ้ยยย!!” เสียงทุ้มต่ำสบถเสียงดังทำเอาหนุ่มฮ่องกงที่กำลังยกกาแฟขึ้นดูดสะดุ้ง
ปล่อยมือจากแก้วกาแฟจนตกกระทบเข้ากับโต๊ะหิน ฝาพลาสติกที่ครอบอยู่กระเด็นหลุด
น้ำกาแฟสีน้ำตาลเจือครีมกับก้อนน้ำแข็งหกกระจายเต็มโต๊ะ
ก่อนค่อยๆไหลซึมเข้าไปในเสื้อเชิ้ตสีขาวซึ่งเจ้าของกำลังนั่งพิงขอบโต๊ะอยู่อย่างเหม่อลอย
ความเย็นที่แผ่นหลังทำให้มาร์คผุดลุกขึ้นแทบจะในทันที
แววตาที่มักว่างเปล่าในระยะหลังมีแววขุ่นเคือง หากเมื่อสายตาปะทะเข้ากับของเหลวสีเข้มบนโต๊ะกลับชะงักกึกราวกับถูกตรึงไว้กับที่
“คาปูชิโน่เย็นครับพี่มาร์ค”
เสียงแจ่มใสเปี่ยมด้วยความหวังดังสะท้อนไปมาอยู่ในหัว
เสียงที่มาร์คเคยได้ยินติดต่อกันมานานเกือบสองปี
แม้ระยะหลังเจ้าของเสียงจะไม่ได้ทำแบบเดิมแล้ว หากมาร์คก็ยังไม่เคยลืม
คาปูชิโน่เย็นทุกเช้าตอนแปดโมง
แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว....
มาร์คจ้องมองกาแฟที่เจิ่งนองบนโต๊ะอย่างพิจารณา
เพียงชั่วครู่เสียงสดใสของคนเดิมก็ดังขึ้นอีกครั้งในโสตประสาทแห่งความทรงจำ หากเป็นความทรงจำที่ถอยห่างออกไป
ไกลกว่าครั้งแรกที่นึกถึง
“เอ่อ...พี่มาร์คครับ...ผมมีทิชชู่ครับ”
เป็นประโยคแรกที่เด็กคนนั้นพูดกับเขา
จำได้ว่าตอนนั้นเขาเองไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไหร่ ความเป็นน้องรหัสของเพื่อนสนิท ความสัมพันธ์ที่เคยเจ็บและฝังใจมาก่อนทำให้เขาไม่อยากรับรู้อะไรทั้งนั้น
ไม่อยากจะเห็นหน้าน้องรหัสของเพื่อนด้วยซ้ำไป เพราะมันทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงตัวเองในวันนั้นวันที่เขายังเป็นน้องรหัสของคนใจร้ายคนหนึ่ง
ไม่ค่อยใส่ใจ....ไม่ค่อยสนใจ..แต่น่าแปลกที่ตัวเขาเองกลับจำได้...จำได้แม่นยำราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดเพียงไม่กี่วัน
ไม่ใช่สองปีกว่าอย่างในความเป็นจริง
มันเพราะอะไรนะ....
“ขอโทษนะเว้ย...แต่มึงอ่ะร้องเชี่ยไรเสียงดัง
กูตกใจหมด” แจ็คสันพึมพำขอโทษพร้อมกล่าวหาไปในคราวเดียวกัน
“กูผิดเองแหละ
ไม่โทษมึงหรอก ขอไปล้างเสื้อก่อนนะ” คนผิดเอ่ยขึ้นเรียบๆหลังจากเงียบอยู่นาน ร่างสูงโปร่งผละจากไปอย่างรวดเร็วทันทีที่เอ่ยจบ
ทิ้งให้คนสองคนกะพริบตาปริบๆด้วยความประหลาดใจ
ปกติแล้วมาร์คเป็นคนค่อนเจ้าระเบียบ รักความสะอาดที่สุดในบรรดาพวกเขาสามคน
ถ้าเป็นครั้งก่อนๆมันจะต้องโวยวายเสียงดังแน่ๆที่แจ็คสันซุ่มซ่ามจนทำเสื้อมันเปื้อนแบบนั้น
ทว่าครั้งนี้มันกลับนิ่งเฉย หนำซ้ำยังมีประกายแห่งความครุ่นคิดบางอย่างฉายชัดในนัยน์ตาและดวงหน้าได้รูปนั้นอีก......มันเป็นอะไรของมัน?
ใช่แต่เจบีและแจ็คสันที่สงสัยในเรื่องนี้เท่านั้น...มาร์คเองก็สงสัยเช่นกัน
สงสัยและพยายามหาคำตอบให้แก่ตัวเอง
และคำตอบก็มาในรูปของร่างสูงขาวหากค่อนข้างเพรียวที่คุ้นตา
มาร์ควิ่งตามคว้าแขนของเจ้าตัวให้หันมาประจันหน้ากันทันที
“จินยอง....นาย..”
ท้ายคำเงียบหายไปเมื่อดวงตาคู่คมเห็นอีกฝ่ายชัดเต็มตา แม้มีรูปร่าง สีผมและสีผิวที่คล้ายกัน
แต่ก็ไม่ใช่เด็กคนนั้น...
“...ขอโทษที...นึกว่าเป็นคนรู้จักน่ะ...” มาร์คพึมพำ อีกฝ่ายเพียงพยักหน้าอย่างไม่ถือสาแล้วเดินจากไป ทิ้งให้เขาจมอยู่กับคำถามที่ตัวเองไม่รู้คำตอบอีกครั้ง
#Impassible_mn
มาร์คนึกพิศวงกับตัวเองจะว่าเป็นอุปาทานก็ว่าได้..แต่ตั้งแต่กรอบรูปนั้นแตกไป เขาก็ไม่ค่อยฝันถึงเรื่องราวในอดีตสักเท่าไหร่ และยิ่งไม่ฝันเลยแม้แต่คืนเดียวมาเกือบจะครบหนึ่งอาทิตย์แล้ว ซึ่งน่าแปลกใจตรงที่ว่าพอมานอนคิดใคร่ครวญดูแล้วมันเริ่มตั้งแต่วันนั้น..........วันที่เขาทำเรื่องรุนแรงขาดสติจนคนๆหนึ่ง.....เดินออกจากชีวิตของเขาไป......
ตอนนี้มาร์คกำลังสงสัยว่าการแขวนรูปเพื่อเตือนสติตัวเองก่อนเข้านอนทุกวัน มันทำให้เขาจมปลักอยู่ในอดีตอย่างนั้นเหรอ.. พอไม่แขวนรูปจึงลดเรื่องราวในความฝันของเขาไปได้เกือบทั้งหมด และการที่เขาพบผู้หญิงคนนั้นก็ช่วยให้เขาหายจากการเจ็บปวดอย่างนั้นใช่มั้ย?...
มันเป็นไปได้ยังไงกันที่คนๆหนึ่งทุกข์ทรมานกับเรื่องราวในอดีตมาเกือบสี่ปีกลับหายเจ็บปวดได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่เจอหน้าบุคคลที่เป็นต้นเหตุเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น
......หรืออาจจะจริงอย่างที่เขาว่ากันว่าคนเรามักจะเจ็บปวด
ทรมานจากจินตนาการที่ตัวเองเป็นคนสร้างขึ้น
ดังนั้นเมื่อจินตนาการที่เฝ้าสร้างมันมาตลอดจากจากความทุกข์ในใจได้มาบรรจบกับความเป็นจริงจึงทำให้จิตสำนึกที่ยังวนเวียน
หวาดกลัวกับเรื่องราวเก่าๆถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระ
ถูกปลดปล่อยให้เผชิญหน้ากับความเป็นจริง...ความจริงที่ชเวเยจินเองก็รู้สึกผิดและเจ็บปวดไม่ต่างจากเขา
ความว่างเปล่าในหลายๆวันที่ผ่านมาประกอบกับความสงบใจในบางช่วงเวลาทำให้มาร์คมีเวลาได้คิดและตระหนักว่าบางครั้งผู้กระทำก็ไม่ได้เจ็บปวดน้อยกว่าผู้โดนกระทำเลยสักนิดเดียว
ภาพน้ำตาที่ไหลอาบแก้มของเด็กหนุ่มรุ่นน้องยังตามมารบกวนจิตใจของเขาตลอดเวลา
เสียงสั่นเครือที่พูดออกมาก็ยังชัดเจนอยู่ในห้วงความทรงจำคล้ายกับมีใครสักคนกดบันทึกเสียงและเปิดกรอกหูเขาซ้ำไปซ้ำมา
เหตุการณ์ครั้งนี้เขาก็เป็นผู้กระทำไม่ใช่หรือ
ถึงเหตุผลจะต่างกัน ทว่าคนผิดก็คือคนผิดอยู่ดี
ใช่...เขาผิด
เขารู้ตัวว่าตัวเองผิด
ผิดอย่างมหันต์ที่ทำร้ายความรู้สึกของคนๆหนึ่งที่ดีกับเขามาตลอด
พอตัดความรู้สึกเสียใจ
ปวดร้าวของตัวเองออกไปแล้ว
การที่เขาได้เผชิญหน้ากับชเวเยจินโดยการวางแผนของปาร์คจินยองก็เปรียบเสมือนการรักษาแผลเรื้อรังที่เขาเป็นอยู่ให้หายเร็วขึ้น
มันอาจจะเจ็บมากไปสักหน่อย แต่มันกลับได้ผลลัพธ์ที่ดีอย่างที่คาดไม่ถึง
เขาจมปลักอยู่กับความทุกข์ของตัวเองในอดีต
คิดไปเองว่าอีกฝ่ายกำลังมีความสุขบนความทุกข์ของเขา
คิดว่าจะไม่สามารถพบเจอกันได้อีก คิดว่าตัวเองไม่สามารถลืมเรื่องราวในอดีตและเริ่มต้นใหม่ได้
คิดว่าเขาจะต้องจดจำความปวดร้าวนั้นไว้ คิดว่าเขาจะต้องทุกข์
และเขาก็ทุกข์แบบที่เขาคิดจริงๆ ทุกๆอย่างเกิดขึ้นจากความคิดของเขา เขาคิด คิด
และคิดไปเองทั้งนั้น
มาร์คต้วน.....สุดท้ายแกมันก็แค่ผู้ชายโง่ๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง!!!
#Impassible_mn
เป็นเวลายังไม่หกโมงดีแต่เขาก็ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว
เพราะต่อให้ฝืนข่มตาให้หลับยังไงมาร์คก็รู้ตัวว่าไม่สามารถหลับลงได้
อะไรหลายๆอย่างยังวนเวียนอยู่ในสมองของเขาตลอดเวลา
จนทำให้หลับๆตื่นๆมาตั้งแต่ตอนเข้านอน
6.45น.
มาร์คจอดรถคันหรูของตัวเองที่ลานจอดรถสาธารณะข้างมหาวิทยาลัย
ก่อนเดินเรื่อยๆโดยมีจุดมุ่งหมายที่ร้านกาแฟตรงหัวมุมถนน กลิ่นกาแฟอบอวลอยู่ในร้าน
เพียงแค่ผลักประตูกระจกเข้าไปภายในก็ได้กลิ่นหอมกรุ่นของเครื่องดื่มสุดคลาสสิค
“รับอะไรดีครับ” พนักงานกล่าวยิ้มแย้มทักทาย มาร์คกวาดสายตาไปโดยรอบ โต๊ะ
เก้าอี้ต่างๆยังจัดไม่เรียบร้อยนัก เห็นได้ชัดว่าคงเพิ่งจัดร้านกันไม่ถึงสิบนาที
และเขาคงจะเป็นลูกค้าคนแรกอย่างไม่ต้องสงสัย
“คาปูชิโน่เย็นครับ” ตอบเมนูสุดโปรดก่อนเดินไปทรุดนั่งที่โต๊ะทรงกลมที่ใกล้เคาน์เตอร์มากที่สุด
“รอสักครู่นะครับ” พนักงานคนเดิมส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้อีกครั้ง แล้วพูดต่อว่า “คาปูชิโน่นี่เป็นเมนูฮิตติดอันดับของเราเลยล่ะครับ
โชคดีมากนะครับที่วันนี้คุณลูกค้ามาเร็ว
เพราะปกติถ้าสั่งหลังจากเจ็ดโมงเป็นต้นไป ต้องรอนานหน่อย”
มาร์คพยักหน้ารับรู้
ไม่แปลกใจแม้แต่น้อย เนื่องจากรสชาติของกาแฟร้านนี้กลมกล่อม
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์
ยังจำได้ว่าตั้งแต่เจบีซื้อไปฝากครั้งแรกตอนปีหนึ่งเขาก็นึกติดใจในรสชาติทันทีครั้นพอขึ้นปีสองก็มีคนซื้อคาปูชิโน่มาส่งถึงมือให้ทุกวันตอนเช้า
จินยองมารอซื้อให้เขาทุกวันตอนเจ็ดโมงกว่า
เด็กคนนั้นต้องอดทนรอนานขนาดไหนนะ ที่เขารู้เพราะครั้งหนึ่งแจ็คสันเคยเล่าให้ฟังตอนเขาอยู่ปีสาม
“ไอ้มาร์ค
กูเจอเด็กมึงอ่ะ” เสียงยียวนกวนประสาทดังขึ้นในเช้าวันหนึ่ง
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างสงสัย ถามเสียงต่ำ “เด็กกู ใครวะ?”
“ปาร์คจินยองไง เห็นนั่งรอซื้อกาแฟให้มึงอ่ะ น้องแม่งโครตทุ่มเท..”
“แล้วมึงเสือกมาบอกกูทำไม
ไม่ได้ถามสักหน่อย”
มาร์คตอบเฉยชา ทีท่าไม่ใส่ใจ
“โด่ววว....ก็แค่บอกให้รู้
เผื่อมึงจะใจอ่อนบ้างไง”
น่าแปลกอีกแล้วที่เขาจำได้......ทำไมเขาถึงจำเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กคนนั้นได้แม่นยำขนาดนี้นะ
ความรู้สึกในอดีตค่อยๆจางหายไปเรื่อยๆ
จนแทบไม่หลงเหลือ จางหายไปพร้อมๆกับเสียงประตูรถที่กดปิดเบาๆในเย็นวันนั้น
แต่ความรู้สึกที่เข้ามาแทนที่ในตอนนี้ คือความรู้สึกว่างเปล่าที่อธิบายชัดเจนไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร
รู้แค่ว่ามันเหมือนกับเราทำบางสิ่งบางอย่างหายไป.....และเราก็รู้แน่แก่ใจว่าคงไม่มีวันได้มันคืนกลับมาอีก
รออยู่ไม่นานนักกาแฟคาปูชิโน่ก็ถูกเสิรฟ์ให้ถึงมือ
มาร์คจ่ายตังค์ เอ่ยขอบคุณ ก่อนออกจากร้านเล็กๆซึ่งถูกตกแต่งด้วยประตูกระจกโดยรอบ
เจ็ดโมงกว่าเช่นนี้นักศึกษายังค่อนข้างบางตา ดังนั้นเมื่อขับรถมาจอดภายในรั้วมหาลัย
จึงปราศจากเสียงจอแจอย่างที่เคย
( พวกมึงอยู่ไหนแล้ววะ ) มาร์คตั้งคำถามในโปรแกรมแชท ปกติเขาอยู่คนเดียวได้
ชอบอยู่อย่างสงบๆคนเดียวด้วยซ้ำ แต่ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้
การอยู่คนเดียวกลับทำให้เขาฟุ้งซ่านมากกว่าสงบอย่างที่ควรจะเป็น
รอไม่ถึงอึดใจเจ้าของชื่อไลน์JACKSON PRINCEก็พิมพ์ตอบกลับมารวดเร็ว
(ทำไม มึงถึงม.แล้วหรือไง)
(เออ
วันนี้กูมาเร็ว)
(นาฬิกาคอนโดฯมึงตายรึเปล่าไอ้มาร์ค
นี่มันเพิ่งเจ็ดโมงกว่าเองนะโว้ยยยย)
(กูมาเร็วแล้วมันอะไรนักหนาวะ??)
(อ้าวววว!!!!
ก็ปกติกว่ามึงจะเสด็จก็ปาเข้าไปแปดโมงแล้วหนิ)
(เออๆ
พวกมึงรีบมากันเลย ไอ้บีอ่ะหายไปไหนไม่เสือกอ่านไม่เสือกตอบ)
(มึงอย่าพาลเพื่อนสิโว้ยยยย มันอาจอาบน้ำอยู่ละมั้ง เดี๋ยวกูจะรีบไปนะ)
พร้อมกับส่งตุ๊กตาหน้าหมูยิ้มมาให้
มาร์คได้แต่ถอนใจเซ็ง เช้านี้เขาคงต้องอยู่คนเดียวไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงแน่ๆ
#Impassible_mn
เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะดังขึ้นใกล้ตัว
มาร์คเกือบจะระบายลมหายใจอย่างโล่งอก เขานั่งรออยู่บนโต๊ะประจำไม่ถึงสิบนาทีเท่านั้น นับว่าเร็วใช้ได้
“มึงกินอะไรมายัง ?
” มาร์คถามโดยไม่หันกลับมามอง
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียกเขาจึงเงยหน้าขึ้นถามซ้ำ ติดจะหงุดหงิดนิดๆ
“ได้ยินมั้ย
กูถามว่า...” แทนที่จะได้เห็นหน้าของเพื่อนตัวแสบไม่คนใดก็คนหนึ่งกลับเป็นใบหน้าน่ารักที่เขาแน่ใจว่าไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน
ทำให้ต้องขมวดคิ้วด้วยความฉงน
ใคร????
“เอ่อ...ฮโยจูอบคุกกี้มาให้พี่มาร์คค่ะ” สายตามองตามที่เธอบอกก็เห็นมือเล็กทั้งสองข้างกำลังประคองกล่องสี่เหลี่ยมในมือ
มาร์คกะพริบตาเรียกสติของตัวเองสองครั้งถ้วน
ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์ทำนองนี้มาก่อน แต่สถานการณ์ครั้งนี้มันค่อนข้างมาโดยไม่ทันตั้งตัว
หนำซ้ำผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ก็ทำให้เขาอึดอัดที่จะบอกปัดปฏิเสธอย่างเช่นทุกครั้ง
จึงตัดสินใจเฉไฉถามไปว่า
“รู้จักพี่ได้ยังไง
พี่แน่ใจว่าไม่เคยเห็นหน้าเรามาก่อนนะ”
สิ้นคำถามนั้นหญิงสาวที่มีชื่อว่า
‘ฮโยจู’ก็หน้าแดงราวกับมีใครมาป้ายสีบนแก้มใส
“..คือว่า.....ฮโยจูรู้จักพี่มาร์คมาตั้งแต่ตอนเปิดเทอมใหม่ๆแล้วค่ะ.....เพื่อนๆเขาชอบคุยกันถึงรุ่นพี่ที่ป๊อปของแต่ละคณะ....ฮโยจูก็เลยรู้จักน่ะค่ะ”
คนฟังพยักหน้ารับรู้
สีหน้าค่อนข้างยุ่งยากใจ รุ่นน้องคนนี้คงทำความรู้จักเขาฝ่ายเดียวมาตลอด
และคงต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากที่จะมาหาเขา เสียงสั่นๆ
และใบหน้าที่แดงอยู่แทบจะตลอดเวลาแสดงถึงความประหม่าและเขินอายชัดเจน มาร์คสูดลมหายใจเข้าลึกยาว
ก่อนเอ่ยประโยคซึ่งทำให้ดวงหน้าที่คล้ายมีสีแดงแต่งแต้มไว้ถูกป้ายด้วยสีขาวแทนทันที
“ขอบคุณมากนะฮโยจู
แต่ว่า...พี่ไม่ชอบรับของคนอื่นน่ะ”
“.....”
“ขอโทษนะ..”
“....ไม่เป็นไรค่ะ”
แม้พูดอย่างนั้นแต่พฤติกรรมของหญิงสาวกลับตรงกันข้าม
เธอยืนนิ่งๆอยู่ครู่หนึ่งคล้ายไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปต่อมาเมื่อตั้งสติได้เธอก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว
“อีกรายแล้วหรอวะ”
เสียงห้าวๆกวนประสาทดังขึ้นเบื้องหลัง ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าเป็นใคร
เสียงอย่างนี้ก็มีอยู่คนเดียวแหละ
มาร์คไม่ตอบเพราะเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากตอบและไม่เคยคิดว่าจะต้องตอบ
มันคือความจริงที่ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกและฮโยจูไม่ใช่รายแรกที่เขาปฏิเสธ ตั้งแต่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มาจนย่างเข้าสู่ปีที่สี่
......หลายสิบครั้งแล้วที่เขาต้องกล่าวคำทำร้ายจิตใจพวกนี้ออกไป
เพราะไม่อยากให้ความหวัง......
......เห็นจะมีอยู่คนเดียวแหละที่เขายอมรับขนมและของขวัญพวกนั้น
ตอนแรกที่รับก็เพราะคิดว่าอย่างน้อยๆเขาก็รู้จัก
อีกอย่างของอย่างแรกที่อีกฝ่ายให้ก็เป็นกาแฟที่ไม่ได้หาซื้อยากหรือต้องเสียแรงทำด้วยตัวเอง
แต่แล้วมันกลับกลายเป็นความเคยชินโดยที่ไม่รู้ตัว......มารู้ตัวอีกทีเด็กคนนั้นก็กลายเป็นคนเดียวที่เขายอมรับความรู้สึกดีๆไปเสียแล้ว
“ไอ้บีมาพอดีเลย...
แจ็คสันตะโกนทักผู้เข้ามาใหม่เสียงดังจนมาร์คต้องพลอยถอนตัวออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
....น้องรหัสมึงหายไปไหนวะ
นี่กูไม่เห็นมาหลายวันแล้ว”
คนถูกถามเลิกคิ้วหนานิดๆ “กูยังไม่ได้บอกพวกมึงเหรอ ?”
“บอกอะไรวะ ?” คราวนี้เป็นเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยถามอย่างเร่งร้อนบ้าง
“จินยองจะไปแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศสเทอมหน้าน่ะ
นี่เลยยุ่งๆเกี่ยวกับพวกเอกสารอยู่”
“อะไร! เขาปิดรับสมัครไปตั้งนานแล้วนะ” เขาแน่ใจว่าโครงการแลกเปลี่ยนของคณะเขาปิดรับสมัครเป็นเดือนแล้วหนิ...แล้วทำไม?
“เท่าที่รู้เขาเปิดรับรอบใหม่ว่ะ
เหมือนรอบที่แล้วคนสมัครน้อย” เจบีตอบเสียงเรื่อยๆ
ตรงกันข้ามกับหนึ่งในสองของคนฟังที่ขมวดคิ้วจนน่ากลัวว่าจะกลายเป็นโบว์ “นี่กูก็เพิ่งรู้เหมือนกัน
น้องมันเพิ่งโทร.มาบอกเมื่อคืนนี่เอง”
#Impassible_mn
MoonDream_
ความคิดเห็น