คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : Chapter 11 : Really I don't know
11
Really
I don't know
I know I have a heart because I feel that it's breaking
#Impassible_mn
หยาดฝนที่โปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง
ส่งความมืดมัวให้กระจายชัด ยิ่งอยู่สูงกว่าระดับพื้นมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งพร่ามัวราวกับบรรยากาศโดยรอบถูกลาดคลุมไปด้วยผ้าสีเทาบาง
ภายในห้องชั้นบนสุดของอาคารหลังหนึ่งก็เช่นกันมืดสลัวไม่ต่างกับอากาศภายนอกหน้าต่าง
เพราะเจ้าของไม่แม้แต่จะเปิดไฟเพื่อขับไล่ความสลัวนั้น
ปกติมาร์คไม่ชอบสายฝน
เพราะสายฝนก็เหมือนกับหยาดน้ำตา
ใช่แต่เพียงฝันร้ายยามค่ำคืนเท่านั้นที่ทำให้ระลึกถึงเรื่องราวความรักในอดีต
สายฝนแบบนี้ก็เช่นกัน เป็นสายฝนที่โปรยปรายลงมาคล้ายจะย้ำเตือนความผิดหวัง ความเสียใจในยามที่เขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ครั้งนั้น
เหตุการณ์ที่เขายังไม่ลืมเลือน.....และก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะลืมมันได้สักที
มือเรียวยาวทว่าแข็งแรงแบบผู้ชายเอื้อมหยิบแก้วใสที่มีรูปร่างเป็นเครื่องดนตรีเครื่องหนึ่งจากโต๊ะบริเวณหัวเตียง
หมุนกลไกสีทองช้าๆ
เพียงเท่านั้นเสียงหวานใสระคนเศร้าของเปียโนก็ดังก้องภายในห้องที่ตกแต่งด้วยโทนสีไม่ต่างจากบรรยากาศมืดสลัวภายนอก
มันเป็นของขวัญที่เขาเพิ่งแกะ
เป็นของขวัญที่มองเพียงปราดเดียวก็รับรู้ถึงความใส่ใจ ความหมายลึกซึ้งที่แฝงมา
และทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันทำให้เขาเกิดคำถาม
เด็กคนนั้นรักเขาจริงๆหรือ?
ความรักที่แท้จริงมันยังมีอยู่ด้วยหรือ?
ถึงจะพยายามผลักไสความรู้สึกเหล่านี้ออกไปเท่าไหร่
แต่มาร์คเองก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า
ความรู้สึกที่อ่อนโยนเหล่านั้นเขาจะสัมผัสมันไม่ได้
ใช่....เขาสัมผัสมันได้ เด็กคนนั้นจะชอบ จะรัก
จะสงสารหรืออะไรก็ตาม....เขาสัมผัสมันได้
และเพราะเหตุนี้มันทำให้เขารู้สึกว่า บางทีเวลาที่เหลือต่อจากนี้
ก่อนที่เขาจะเรียนจบ
ก่อนที่ต่างคนจะแยกย้ายไม่ได้เจอกันอีก.....เขาควรหยุดทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายลงบ้าง
เขาตัดสินใจถูกแล้วใช่มั้ย?
#Impassible_mn
ฝีเท้าที่ก้าวคู่ไปกันกับเจบีและแจ็คสันแม้จะยังไม่ปกติแบบเดิม
ทว่าก็ดีขึ้นมาก จนอนุญาตตัวเองให้ขับรถมาเรียนเองได้
“มึงเลือกที่จะไปฝึกงานยังวะ
มาร์ค” แจ็คสันถามขึ้นในขณะก้าวเท้าออกจากโรงอาหารหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน
“ยังไม่รู้เลยว่ะ” มาร์คตอบเรื่อยๆ ก่อนถามกลับ “แล้วพวกมึงสองคนอ่ะ?”
แจ็คสันขมวดคิ้ว ทำหน้ายุ่งยากใจ “กำลังดูๆอยู่นี่แหละ
ต้องทำเรื่องส่งภายในสิ้นเดือนแล้ว ยังเลือกไม่ได้เลยว่าจะทำที่กระทรวงฯ สถานทูต
หรือกงสุลดี”
“ตอนแรกกูกับไอ้แจ็คคุยกันนึกว่ามึงจะบินไปฝึกงานกับพ่อมึงซะอีก”
มาร์คมองหน้าเจบีเอ่ยยิ้มๆ “ขอบคุณนะที่ชี้ทางสว่างให้กู”
“ไอ้เพื่อนเวร จะทิ้งกันไปเฉยๆได้ไงวะ” หนุ่มฮ่องกงว่าเสียงดัง
คนถูกว่ายังพูดต่อเรื่อยๆไม่ถือสา “มึงกับไอ้บีเองก็เถอะ อย่าไปฝึกด้วยกันเลย มึงจะได้ทำทุกอย่างด้วยตัวเองไง
ไม่ต้องคิดว่า เออ กูมีเพื่อนคอยช่วย”
ชายหนุ่มอธิบาย ทำให้คนฟังเสียงค่อยลงหากก็ยังถือว่าดังฟังชัดเจนอยู่ดี
“ก็จริงของมึงนะ”
เสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังขึ้น เจบีขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อเปิดอ่านดูข้อความแปลกประหลาดจากน้องรหัสของตัวเอง ครั้นจะส่งข้อความไปถามว่าจะทำอะไร
ฝ่ายหลังก็ทิ้งท้ายดักคอไว้เสียก่อนว่า
“อย่าถามเลยนะครับพี่บี
ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง” พร้อมกับส่งสติ๊กเกอร์แมวทำหน้ายุ่งยากใจมาให้เป็นการตัดบท
“มีไรเปล่ามึง” ชายที่ถูกกล่าวถึงในโทรศัพท์ถามขึ้น เมื่อเห็นว่าคนตัวสูงที่สุดยังคงก้มหน้าอ่านข้อความในโทรศัพท์
ราวกับว่ามันมีอะไรอะไรที่น่าสนใจมากไปกว่าข้อความธรรมดาๆ
คนถูกถามส่ายศรีษะ “เปล่าๆ ไม่มีอะไร...เออ...มาร์ค
เดี๋ยวมึงไปโรงยิมเป็นเพื่อนกูหน่อยดิ”
ก่อนที่คนถูกชวนจะได้ถามอะไร อีกคนที่เดินอยู่ด้วยกันก็ชิงขัดขึ้นเสียก่อน
“มึงไม่ชวนกูบ้างล่ะ”
“ธุระน่ะมึง แต่มึงจะไปด้วยกันก็ได้นะ
คงไม่เป็นไร” เจบีตัดใจอนุญาต
นอกจากพวกเขาจะไม่มีความลับระหว่างกันแล้ว
อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือเขาขี้เกียจมานั่งตอบคำถามไอ้เพื่อนตัวแสบ ชาติที่แล้วมันอาจจะเกิดมาเป็นผงซักฟอก เพราะช่างซักและซักเก่งเสียเหลือเกิน
เท่านั้นแจ็คสันก็ดีดนิ้วเสียงดัง “ดีมาก...มึงก็รู้ว่ากูชอบเผือกเรื่องชาวบ้านอยู่แล้ว
เดี๋ยวกูไปด้วย”
#Impassible_mn
เสียงพูดคุยกันอย่างร่าเริงของชายหนุ่มสามคนสามบุคลิกดังก้องไปทั่วบริเวณด้านหลังของโรงยิม เสียงห้าวๆเจือความขี้เล่น เอ่ยขึ้นว่า
“อาทิตย์หน้าสอบแล้ว
กูยังไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลยเนี่ย ไอ้บี ไอ้มาร์คมึงติวให้กูด้วย”
“ติวพ่องอะไรล่ะ
กูก็ยังไม่ได้อ่าน จะจบอยู่แล้วกูยังต้องวุ่นวายกับพวกสภานิสิตอยู่เลย” เจบีบ่นอย่างเซ็งๆ
หน้าที่ของประธานรุ่นเป็นภาระที่เขายังต้องรับผิดชอบไม่สามารถปัดไปให้พ้นตัว
“งั้นมึงไอ้มาร์ค” คนพูดเปลี่ยนเป้าหมายทันที่ “ติวให้พวกกูด้วย
คืนนี้เลยกูจะไปคอนโดฯมึง ถือซะว่าไปส่งมึงด้วย”
“ส่งอะไร
วันนี้กูขับรถมาเองแล้วเว้ย”
น้ำเสียงเรื่อยๆที่เอ่ยปฏิเสธทำให้คนเจ้าวางแผนเกาหัวแกรก
“อ้าวหรอวะ ไม่รู้นี่หว่า...ไม่รู้แหละ ยังไงกูก็จะไป”
มาร์คส่ายหน้าให้กับความดื้อด้านของเพื่อนสนิท
“เออๆ รู้แล้ว ไปก็ไปสิ กู-” เสียงพูดขาดหายไปในลำคอทันทีเมื่อเดินเข้ามาถึงบริเวณโรงยิมฯ
แล้วพบว่ามีใครคนหนึ่งกำลังยืนหมุนกลับไปกลับมา ราวกับกำลังครุ่นคิดหรือกระวนกระวายอะไรบางอย่าง
ไม่ต้องรอให้ผู้หญิงคนนั้นหันหน้ามาให้เห็นชัดหรอก
ต่อให้เห็นแค่ข้างหลังมาร์คก็จำได้ว่าเป็นใคร เท้าที่กำลังก้าวชะงักกึก
พร้อมๆกับที่ความเย็นแล่นปราดขึ้นสู่หัวใจ การหยุดโดยฉับพลันของเพื่อนสนิททำให้แจ็คสันถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เจ็บขาเหรอมึง?”
ออกไปจากที่นี้ เดี๋ยวนี้ !
นั้นคือสิ่งที่เขาสั่งตัวเอง
แต่ทว่าขาทั้งสองข้างกลับทรยศไม่แม้แต่จะไม่ก้าวเท้าออกไปเท่านั้นมันกับชะงักค้างอยู่กับที่ราวกับถูกตรึงด้วยตะปูที่มองไม่เห็น
พร้อมๆกับที่หญิงสาวในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนหยุดการเคลื่อนไหวซ้ำไปซ้ำมาของตัวเอง ดวงตาเบิกกว้างเมื่อประจักษ์ชัดถึงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงกลาง
“...มาร์ค”
เธอครางแผ่วเบาระคนด้วยความรู้สึกหลากหลาย
ทั้งยินดี ประหลาดใจ และลังเล……เจ้าของเสียงในความฝัน
เสียงที่เขาไม่ได้ยินมานานหลายปี แค่เสียงที่เปล่งออกมาอย่างปราศจากความหมายกลับดึงให้ความทรงจำที่พยายามลืมเลือนไหลบ่าเข้ามาเป็นสายราวกับลำธารที่เชี่ยวกราก
สี่ปีที่แล้ว
เด็กหนุ่มที่ใบหน้ากว่าครึ่งถูกบดบังด้วยแว่นสายตากำลังกวาดสายตามองไปรอบตัวด้วยความประหม่า
เก้อกระดาก วันนี้เป็นวันแรกพบของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
เป็นวันแรกที่เขาจะได้เจอเพื่อนร่วมชั้น ได้เจอรุ่นพี่ในคณะ
และได้ประสบการณ์การการรับน้องที่เขาไม่เคยได้รับที่ไหนมาก่อน
ไม่เคยได้รับเพราะเขาเป็นพวกเด็กเรียน
ขี้อาย ไม่ชอบทำกิจกรรม
เสียงประกาศจากรุ่นพี่คนหนึ่งดังผ่านเครื่องขยายเสียงจับใจความได้ว่าให้นักศึกษาใหม่ทั้งหมดไปรวมตัวกันที่ลานหน้าคณะ
ชายหนุ่มซึ่งกำลังทำตัวไม่ถูกด้วยความตื่นเต้นกับสถานที่เรียนและบรรยากาศใหม่ จึงถือโอกาสระบายลมหายใจออกอย่างโล่งอกที่ในที่สุดก็มีจุดมุ่งหมายสักที
“ก่อนที่เราจะแยกย้ายทำกิจกรรมอย่างอื่นเรามาจับสายรหัสกันก่อนดีกว่า”
พี่คนเดิมยังคงพูดต่อไป“เดี๋ยวเราจะให้น้องๆเรียงแถวเข้ามาจับฉลากนะครับ
ใครได้พี่คนไหนเป็นพี่รหัสเดี๋ยวพวกพี่จะเขียนบนป้ายชื่อของพวกน้องๆเลย...แถวแรกลุกขึ้นเลยครับ”
มาร์คนั่งมองคนนู้นคนนี้เดินเรียงแถวไปล้วงมือในกล่องสี่เหลี่ยมด้วยความตื่นเต้นระคนคาดหวัง พี่รหัสก็นับว่าเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่แปลกใหม่และตื่นเต้นสำหรับเขา พี่รหัสเขาจะเป็นยังไงนะ....
ไม่นานนักมาร์คก็ได้รับคำตอบจากคำถามเมื่อเขาล้วงมือหยิบกระดาษที่ถูกม้วนจนมีรูปทรงเป็นกระบอกขนาดเล็กส่งให้รุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งแขวนป้ายห้อยคอว่าพี่ปีสอง
“ชเวเยจิน” พี่คนนั้นพึมพำก่อนบรรจงเขียนชื่อลงบนป้ายห้อยคอของเขา
หลังจากนั้นนักศึกษาใหม่ทุกคนก็ถูกเรียกให้ไปนั่งรวมกันตามเดิม พี่คนเดิมที่มีอุปกรณ์ขยายเสียงทำหน้าที่ประกาศกำหนดการกิจกรรมรับน้องคร่าวๆให้ปีหนึ่งฟังกินเวลากว่าสิบนาทีหลังจากนั้นพวกเราจึงถูกปล่อยให้ไปทำความรู้จักกับพี่รหัสของตัวเอง
ห้านาทีผ่านไปมาร์คก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เหลียวมองเพื่อนรุ่นเดียวกันที่ถูกดึงลุกจากที่ไปพูดคุยทำความรู้จักกับพี่รหัสของตัวเองก็ได้แต่ถอนหายใจ....พี่ชเวเยจินไปไหนนะ ทำไมยังไม่มา แต่ทว่าหลังจากนั่งกระสับกระส่ายมือไม้เย็นเฉียบอีกสักพักเสียงฝีเท้าเบาๆก็ดังขึ้นทางขวามือ
“มาร์คใช่มั้ย” เจ้าของฝีเท้าถามขึ้น
สิ่งแรกที่เห็นเมื่อเงยหน้ามองผ่านเลนส์แว่นคือใบหน้าสวยประดับด้วยรอยยิ้มกว้าง
“คะ...ครับ” เขาตอบด้วยความประหม่า ยอมรับว่าไม่ค่อยชินกับการพูดคุยกับคนแปลกหน้าสักเท่าไหร่
โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าต่างเพศแบบนี้มาร์คยิ่งไม่ชิน
“พี่ชื่อเยจินนะ เป็นพี่รหัสของเรา
มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ นี่คุยกับเพื่อนคนอื่นบ้างหรือยัง” คำถามนั้นคาดเดาได้ยากว่าเป็นคำถามชวนพูดคุยธรรมดาหรือรุ่นพี่คนนี้ใส่ใจและมองเห็นในความประหม่ากับทุกอย่างรอบตัวของเขา
และเมื่อเขาส่ายหน้า เธอจึงพูดต่อว่า “ขี้อายล่ะสิ ไม่ต้องอายไปหรอก
เพื่อนกันทั้งนั้น มีอะไรก็ปรึกษาพี่ได้ตลอดเลยนะทั้งการเรียน กิจกรรม เรื่องเพื่อน
พี่ยินดีให้คำปรึกษาทุกอย่าง เอามือถือเรามาเมมฯเบอร์พี่เร็ว”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งคู่ นิสัยเงียบๆขี้อายไม่ค่อยพูดของเขาทำให้มาร์คมีเพื่อนไม่มากนัก และเพื่อนที่มีก็เป็นพวกขี้อาย
เงียบๆเหมือนกันอีก นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทุกครั้งที่มีคำถามไม่ว่าเรื่องอะไรคนที่จะไขข้องข้องใจให้เขา คนที่เขาให้ความเชื่อถือและไว้ใจก็ คือ เจ้าของเสียงหวานใสคนเดิม
บางครั้งการที่คนเรามองเห็นอะไรบางอย่างหรือคนบางคนเพียงด้านเดียวและเชื่อว่าเขาเป็นแบบนั้น มันคือความคิดที่โง่เง่า .....
เย็นวันหนึ่งระหว่างช่วงเวลาแห่งการติววิชาพื้นฐานของสถาปัตย์ ฝนก็เทลงมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทำให้ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังนั่งติวกันอยู่นั้นรีบคว้าข้าวของทุกอย่างบนโต๊ะทั้งหนังสือ อุปกรณ์เครื่องเขียนแล้ววิ่งไปหลบอยู่ใต้ตึกคณะ
“จะตกก็ตกไม่ส่งสัญญานบอกกันก่อนเลย” หญิงสาวบ่น
“นั่นน่ะสิครับ” ชายหนุ่มตอบสั้นๆ ดึงแว่นที่มีหยดน้ำเกาะพราวออกจากใบหน้า
เส้นผมเปียกชื้นแนบไปกับศรีษะได้รูปดูดีอย่างประหลาด
“เราไม่ใส่แว่นน่ารักกว่านะ” เยจินเอ่ยขึ้นหลังจากเพ่งพิศมองอีกฝ่าย “ทำไมไม่ลองใส่คอนแทคหรือยิงเรซิดดูล่ะ”
“ใส่แว่นมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ....เลยไม่อยากเปลี่ยน คนถูกชมตอบเบาๆ ใบหน้าที่เย็นเพราะไอฝนซับสีเลือดจางๆ
หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่สังเกตเห็นนะ
คนอายุมากกว่ายิ้มน้อยๆ “คนเราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ ถ้ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น”
หลังจากยืนรอให้ฝนซา
จนพอจะใช้ร่มกางโดยไม่เปียกปอนกันทั้งคู่ หญิงสาวก็ล้วงหยิบร่มในกระเป๋าสะพายข้างของตัวเอง
ออกปากชวน “ไปกันเถอะมาร์ค”
มือเรียวคว้าร่มจากมือของเธอมาถือแทนก่อนออกก้าวเดินเคียงคู่กันไป
ภายใต้ร่มสีเทาสลับฟ้า มือสองมือประสานกันแน่น
ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคนเป็นอะไรที่นิยามไม่ได้
ถ้าคนนอกมองเผินๆก็คือคู่พี่รหัส-น้องรหัสที่สนิทกันมากเท่านั้นเอง จงจำไว้ว่าประโยคใดมีคำว่าถ้า.....มันไม่ใช่เรื่องจริง
สามเดือนผ่านไปกับความสัมพันธ์แบบเดิมๆ
ความสัมพันธ์อันอบอุ่นและอ่อนโยนราวกับวาฟเฟิลราดด้วยช็อกโกแลต
ถ้าจะจับสัญญานจากมือถือของมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะพบว่ามีโทรศัพท์สองเครื่องของคนสองคนที่พูดคุยติดต่อกันทุกวัน....
4 กันยายน ที่ร้านเค้กแห่งหนึ่ง
“สุขสันต์วันเกินนะมาร์ค โตขึ้นอีกปีแล้ว” มือขาวนวลประดับด้วยกำไลเชือกคล้ายเถาวัลย์ยื่นกรอบรูปไม้ขนาดไม่เล็กนักส่งให้ “ของขวัญวันเกิด พี่วาดเองเลยนะ เห็นมั้ยเหมือนเราเลย”
ใบหน้าได้รูปที่ถูกบดบังเกือบครึ่งด้วยแว่นแตะแต้มด้วยรอยยิ้มทันที มันเป็นรูปวาดด้วยดินสอ......เป็นรูปวาดรูปแรกในชีวิตของเขา
“ขอบคุณนะครับ” มาร์คเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื้นตัน
“ชอบหรือเปล่า?”
“ครับ...ชอบมาก” แต่ชอบคนให้มากกว่า ไม่สิ....ไม่ชอบหรอก....เพราะผมรักพี่เยจิน
สายตาเจิดจ้าเป็นประกายไม่ปิดบังของชายหนุ่ม
ทำให้เยจินสีหน้าสลดลงเล็กน้อย เธอชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจถาม
“มาร์ค ถ้าวันหนึ่งพี่ทำผิดกับเรา....เราจะโกรธพี่มั้ย?”
คำถามแบบไม่มีการเกริ่นนำ ทำให้คนฟังมีสีหน้างุนงงเล็กน้อย เธอสูดลมหายใจเข้าลึกยาว ก่อนค่อยๆอธิบายเพิ่มเติม
“หมายความว่า ถ้าพี่ทำไม่ดีกับเรา ทำให้เราเสียใจ
มาร์คจะโกรธพี่หรือเปล่า”
ชายหนุ่มนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนตอบช้าๆ
น้ำเสียงหนักแน่น “ก็คงแล้วแต่เรื่องมั้งครับ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรก็คงไม่โกรธ”
คำตอบนั้นทำเอาคนฟังหน้าเผือดสีลง ประโยคต่อมาคล้ายพึมพำกับตัวเองมากกว่า “จริงสินะ
ถ้ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็คงไม่โกรธ เธอจมอยู่กับความคิดของตัวเองครู่หนึ่งก่อนตั้งคำถามที่ทำเอาคนถูกถามหน้าแดงก่ำ
“มาร์ครักพี่หรือเปล่า?......พี่หมายถึง...รักแบบคนรักน่ะ”
เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ สายตาหลุบต่ำลงจึงไม่ทันเห็นใบหน้าของคนเป็นพี่ที่เผือดซีดยิ่งกว่าเก่า ก่อนเอ่ยถามตะกุกตะกัก
“แล้ว....พี่เยจินล่ะครับ....รู้สึกแบบผมหรือเปล่า”
ทันที่ที่เสียงทุ้มเนิบถามกลับ เยจินก็นิ่งอึ้งไป มันเป็นคำถามที่ตอบยากยิ่งกว่าข้อสอบฟิสิกส์ที่ยากที่สุดเสียอีก เธอระบายลมหายใจช้าๆตัดบทด้วยเสียงแหบแห้ง
“ขอบคุณนะมาร์ค....ขอบคุณ”
สิ้นเสียงขอบคุณข้อมือของเธอก็ถูกคว้าไปกุมทันที มาร์คที่ประหม่าอยู่เสมอกำลังมองเธอด้วยสายตาเว้าวอน เขากำลังขอร้องเธอทางสายตาว่า
“บอกมาสิครับว่าพี่รักผม”
ยิ่งเห็นหน้ายิ่งเห็นสายตาเยจินก็ยิ่งรู้สึกผิด น้ำตาของหญิงสาวเอ่อคลอทันที...บางทีเธอควรเลิกเห็นแก่ตัว....คำบอกรักของคนรักทางโทรศัพท์เมื่อคืนทำให้เธอสมหวัง เธอรักเขาและเขาก็รักเธอ แต่เธอกำลังทำร้ายความรู้สึกคนๆหนึ่ง เธอควรบอกทุกอย่างกับมาร์คในตอนนี้ ในเวลานี้ตอนที่ยังมีโอกาส แต่ความสุขของมาร์คเมื่อสักครู่ทำให้เธอไม่อยากทำลายมันลง
....พี่จะไม่ทำร้ายมาร์คในวันเกิดของมาร์คเป็นอันขาด
เยจินประทับริมฝีปากแผ่วเบาลงบนกลีบปากของชายหนุ่ม ประทับไว้นิ่งนานแทนความรู้สึกหลากหลายที่เธอไม่กล้าพอและไม่มีโอกาสที่จะบอก น้ำตาเม็ดใสหยาดหยดลงมาจนเปียกใบหน้าของคนทั้งคู่ที่แนบชิดกัน
ขอโทษและลาก่อน...
มาร์คค่อนข้างแปลกใจที่ปลายสายไม่รับโทรศัพท์ แม้จะส่งข้อความก็ปราศจากการตอบรับ คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ความกังวลเริ่มเข้ามาเเทนที่.....หรือว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับอีกฝ่าย?
พี่เขาไม่สบายหรือเปล่า....หรือมีอุบัติเหตุร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งว้าวุ่นใจ ว้าวุ่นและกังวลเพราะมาร์คไม่เจอเยจินมาตลอดทั้งวันแล้ว
เสียงฝีเท้าวิ่งตึกๆจากแผ่วเบาราวกับเสียงวิทยุของตึกฝั่งตรงข้ามดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆค่อยๆชัดขึ้นจนในที่สุดเจ้าของเสียงก็ปรากฏตัวขึ้น
เสียงห้าวหอบเล็กน้อยเมื่อแจ้งว่า
“พี่เยจินฝากมาบอกว่าวันนี้พี่เขาไม่ว่างมาติวให้แก”
“ทำไมล่ะ พี่เขาเป็นอะไรหรือเปล่า” คำถามแล่นไปยังความกังวลเมื่อสักครู่
“พี่เขามายื่นเรื่องลาออกไปตอนกลางวันนี่เอง”
“อะไรนะ?! ”
เสียงที่โพล่งถามออกไปคล้ายไม่ใช่เสียงของเขาเลย มันดังและร้อนรนแบบที่มาร์คไม่เคยพูดมันมาก่อน
“ได้ยินไม่ผิดหรอก” คนส่งสารย้ำ เสียงเจ้าตัวเริ่มมั่นคงขึ้น เนื่องจากได้หยุดพักและหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่
แววตาชายหนุ่มมีความเห็นใจเมื่อยื่นซองกระดาษใส่มือเขา
“พี่เขาฝากมาขอโทษที่ไม่ได้บอกลาแกด้วยตัวเอง นี่พี่เขาฝากจดหมายมาให้ด้วยนะ”
ต้องใช้เวลาสักครู่กว่าที่มาร์คจะค้นหาเสียงของตัวเองเจอ
“..ขอบคุณนะ” สติพร่าเลือนสั่งให้เขาเอ่ยออกไป
มันเป็นเสียงที่เบาและฟังดูสิ้นหวังอย่างประหลาด
“อืม ไม่เป็นไร” นั่นคือประโยคสุดท้ายที่ได้ยิน เขาทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิมที่เคยให้อีกฝ่ายช่วยติวในทุกๆเย็น เป็นเวลาเกือบสี่เดือนที่คนสองคนจะนั่งพูดคุยกันตรงนี้เสมอ
แต่ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว.....
…………………………..
ถ้าหากว่าเรื่องเมื่อสักครู่มันทำให้เสียใจและเจ็บปวดแล้ว
มันยังเทียบไม่ได้เลยกับเรื่องราวในจดหมายที่เขาเพิ่งอ่านจบ
ตลอดเวลาที่ผ่านมามันคือเรื่องหลอกลวงสินะ
คำพูดที่เอ่ยออกมามีเรื่องไหนบ้างที่เป็นเรื่องจริง
เขาทำผิดอะไรทำไมถึงต้องเป็นเครื่องมือวัดใจให้กับเขาคนนั้นด้วย….
หยาดน้ำใสไหลพรูลงมาจนทุกอย่างรอบกายพร่าเลือนไปหมด
ศรีษะหนักอึ้งและปวดหนึบราวกับใครมาตอกหมุดเอาไว้
ภาพทุกภาพในวันวานทยอยเคลื่อนออกมาช้าๆจากลิ้นชักในความทรงจำ
เสียงใสมีชีวิตชีวายังดังก้องอยู่ในหู สรรพสิ่งรอบกายคล้ายกำลังหัวเราะเยาะ ....หัวเราะเยาะความโง่เง่าของเขา
เวลาเคลื่อนผ่านไปเกือบชั่วโมงมาร์คยังคงนั่งร้องไห้เงียบๆอยู่ที่เดิม
แม้ฝนที่ค่อยๆโปรยลงมาจะเริ่มเม็ดใหญ่ขึ้น เช่นเดียวกับท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีจากฟ้าอ่อนเป็นสีน้ำเงินเข้ม
หยาดฝนที่เทลงมากระตุ้นความจำเมื่อสองเดือนก่อนให้กลับมาแจ่มชัดอีกครั้ง
วันนั้นหนุ่มสาวคู่หนึ่งเดินจับมือกันกางร่มออกไป
เขาอยากจะหัวเราะเยาะให้กับความทรงจำแสนเศร้านั้น
แต่เสียงที่เปล่งออกมากลับเป็นเสียงสะอื้นอย่างสิ้นหวังของผู้ชายน่าเวทนาคนหนึ่ง
มาร์คคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่แม้แต่ขยับหลบฝนปล่อยให้สายฝนชะล้างความเจ็บปวดและความโง่เขลาให้มันเบาบางลงเสียบ้างพร้อมกับสัญญากับตัวเองว่าวันนี้จะเป็นวันแรกและวันสุดท้ายที่เขาจะร้องไห้......ร้องไห้ให้กับความรักจอมปลอม
ฝนเริ่มซาลงพร้อมๆกับน้ำตาที่เริ่มหยุดไหล
สติของมาร์คเริ่มกลับคืนมา
บางทีชีวิตคนเราก็น้ำเน่ายิ่งกว่าละครเสียอีก
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาเพิ่งได้ฟังเพลงๆหนึ่งเป็นเพลงที่มีความหมายเศร้าที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ฟังมา
มาร์คยังจำเนื้อเพลงท่อนหนึ่งของบทเพลงแสนเศร้านั้นได้
ใครจะไปรู้ว่าหลังจากนั้นไม่กี่วันเรื่องราวในบทเพลงมันจะตรงราวกับแต่งขึ้นจากเรื่องจริงของเขา
คนที่ผมเชื่อใจในความรักของเธอกลับทิ้งผมไปแล้วจริงๆ
ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าเธอจะจากผมไป....ผมไม่เคยรู้เลย
ใช่....ไม่รู้ .....ไม่เคยรู้.....ไม่เคยรู้เลย
วันนี้มาร์คเพิ่งได้เข้าใจว่าความเจ็บปวดเพราะความรักมันเป็นเช่นนี้เอง
"คนเราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ ถ้ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"
ประโยคสุดท้ายของคนที่ทำให้เขาเจ็บปวดยังคงดังก้อง มาร์คเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจ
เขาดึงแว่นสายตาจากใบหน้าแล้วปามันทิ้งลงกับพื้น
เพล้งงง
ลาก่อนมาร์คจอมโง่เง่าคนเดิม!
#Impassible_mn
MoonDream_
ความคิดเห็น