ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #11 : Chapter 10 : Return

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59


    © themy butter

    10

    Return



    "When I first met you, I never would have imagined that 

    I would have such strong feeling for you."











    #Impassible_mn

     



            ปาร์คจินยองยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม   ราวกับถูกตรึงไว้กับพื้นที่ถูกขัดจนเป็นมันเงา  ถ้ามีใครสักคนเดินมาถามว่าภายในห้องนั้นมีอะไรบ้าง เขาก็จนปัญญาที่จะตอบ.......ไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรเพราะตอนนี้ทุกอย่างรอบตัวพร่ามัวและเลือนรางไปหมด อย่าว่าแต่เครื่องเรือนที่ประดับประดาและตกแต่งห้องนั้นเลย ขนาดของเหลวที่ไหลอยู่บริเวณฝ่ามือด้านขวาจินยองยังไม่รับรู้ จะมีก็แต่ภาพเขียนและจดหมายเมื่อสักครู่เท่านั้นที่ยังคงแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำราวกับใครมาตอกตะปูยึดมันไว้

     


    ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าเขาควรรู้สึกอย่างไร

     


                   ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีหัวใจ ไม่รู้จักความรักและไม่เคยรัรักใคร ทว่าตอนนี้กระดาษสองแผ่นที่เขาไร้เรี่ยวแรงเกินกว่าจะถือมันไว้กลับเป็นหลักฐานชั้นดีว่าครั้งหนึ่ง เขาคนนั้น ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาที่เคยมีความรัก เคยมีคนที่รัก....ใช่...ความปวดหนึบที่ก้อนเนื้อด้านซ้ายช่วยย้ำเตือนถึงความจริงข้อนี้ได้เป็นอย่างดี

     


    การรักคนที่เขาไม่รักเราว่าเจ็บแล้วแต่การที่ต้องรับรู้ว่าเขารักใครมันกลับเจ็บยิ่งกว่า

     


                    และมันกลับเจ็บมากที่สุดเมื่อคนที่เขารักเป็นคนใกล้ตัว...


                    คนใกล้ตัวอีกแล้ว คนใกล้ตัวของเขา ก่อนหน้านี้รุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักอย่างแบมแบมก็ได้รับคำชมได้สิ่งดีๆที่เขาไม่เคยได้รับไปคนหนึ่งแล้ว ถึงอย่างนั้นมันกลับเทียบกันไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่เรียกว่าความรักที่พี่สาวเพื่อนสนิทของเขาได้ไป......

     


                    ใครก็ได้ช่วยบอกทีว่าเขาต้องเจ็บมากกว่านี้อีกหรือเปล่า....

     


                    เสียงสลิปเปอร์ลากพื้นที่ใกล้เข้ามาทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองผู้มาใหม่นิดหนึ่ง แต่เขาคนนั้นไม่ได้มองเขาหรอกกลับใช้สายตากวาดมองไปทั่วพื้นห้องบริเวณที่เขานั่งอยู่

     

                    จินยองปิดเปลือกตาช้าๆพยายามเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา อีกฝ่ายต้องโกรธเขามาก  คงกำลังนึกคำด่าว่าเขาอยู่สินะ เอาเถอะ....วันนี้ใจเขาด้านชาจนไม่สามารถเจ็บมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อีกแล้ว....

     


                    แต่ทว่า..

     


                    “นั่งทำอะไรอยู่ เห็นมั้ยว่าเศษแก้วมันบาดมือ”    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นหนักๆอย่างตำหนิมากกว่าจะเป็นคำถาม  คนที่นั่งราบไปกับพื้นเปิดเปลือกตาของตัวเองขึ้นช้าๆ  ก้มลงมองมือข้างหนึ่งที่กำลังสัมผัสกับวัตถุอะไรบางอย่าง มันคงคมไม่ใช่น้อยเพราะกรีดโดนส่วนที่เป็นผิวหนังบริเวณฝ่ามือ

     

                    อ้อ....กระจกบาดนี่เอง....

     

     

                    คนเจ็บรู้สึกถึงแรงฉุดบริเวณข้อมือก่อนที่ร่างของเขาจะถูกกึ่งจูงกึ่งลากโดยเจ้าของสลิปเปอร์สีเทาเข้าห้องน้ำไป

     


                    ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามายังห้องสี่เหลี่ยมขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่นั้นมาร์คก็จัดการลากร่างเพรียวมาที่หน้าอ่างล้างหน้า หมุนก๊อกน้ำปล่อยให้น้ำสะอาดไหลผ่านบริเวณแผลจนของเหลวสีเข้มที่ซึมเปื้อนบริเวณฝ่ามือไหลปนไปกับน้ำ แล้วจูงมือคนเจ็บมานั่งบนโซฟาตัวเล็กภายในห้อง

     


                   “ทำยังไงให้มันตกมาแตก”     คำถามเรียบๆไม่แสดงความรู้สึกถูกส่งมาจากคนที่กำลังหยิบกล่องยาบนชั้นวาง

                   

                    “อยู่ดีๆพี่แจ็คสันก็หลับไปน่ะครับ....ผมไม่ทันตั้งตัวเลยเซไปโดนกรอบรูปเข้า”     จินยองพยายามระงับไม่ให้เสียงนั้นสั่น เมื่อพูดต่อว่า  “ขอโทษนะครับที่ทำของๆพี่มาร์คพัง....ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ”

     


                    คนฟังนิ่งไปครู่หนึ่ง พยักหน้ารับรู้ช้าๆ  “ไม่เป็นไร แตกก็ใส่กรอบแขวนใหม่ได้”

     


                    จริงสินะ....แตกก็ใส่กรอบใหม่ได้ คำตอบที่ได้ยินทำเอาคนฟังรู้สึกเจ็บแปลบ

     


    ของที่เขารักอย่างไรเขาก็ไม่มีวันทิ้งหรอก....ไม่ทิ้งแม้คนที่ให้จะทำลายความรู้สึกของเขาก็ตาม

     

    มาร์คไม่เอ่ยถามอะไรต่อ  จินยองเองก็เจ็บจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอีก   ความเงียบเริ่มครอบงำคนทั้งคู่  ในที่สุดจึงตัดสินใจเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่มือข้างขวาของตัวเองซึ่งกำลังถูกมือข้างซ้ายของอีกคนซ้อนรองไว้บนตักเพื่อที่จะทำแผลได้ถนัด

      


    สายตาคู่คมกำลังจดจ้องแผลบริเวณฝ่ามือของเขา มืออีกข้างก็กำลังใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์บรรจงเช็ดแผลให้อย่างเบามือ

     


    ภาพที่เห็นทำให้ก้อนสะอื้นแล่นขึ้นมาจุกที่ลำคอจนจินยองรู้สึกลำคอตีบตันไปหมด

     


    คนตรงหน้าทำราวกับมือของเขาเป็นสิ่งที่เปราะบางและอาจบุบสลายได้ถ้าเพียงเผลอสัมผัสมันอย่างไม่ระมัดระวัง

     


    เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกอยากจะร้องไห้และยิ้มกว้างไปพร้อมๆกัน

     

    ร้องไห้เพราะเขาคงจะดีใจมากกว่านี้ถ้าความทรงจำดีๆในครั้งนี้จะไม่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาได้รับรู้อดีตของคนตรงหน้า....อดีตที่มันมีอิทธิพลกับอีกคนมากเกินไป

     


    ส่วนที่อยากยิ้มเพราะมันเป็นอีกครั้งแล้วที่คนตรงหน้าช่วยเหลือเขา......

     


    และนับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่เขาอ่านอีกฝ่ายไม่ออก ตั้งแต่วันแรกที่ได้รู้จักจนถึงวันนี้พี่มาร์คก็ยังคงเป็นพี่มาร์คคนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง และไม่มีอะไรเปลี่ยนไป ยังคงเป็นหนังสือที่เขาอ่านไม่ออกอย่างไรทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นอย่างนั้น

     


    หลายต่อหลายครั้งที่อีกฝ่ายเย็นชา ใจร้าย จินยองยังจำได้ดีถึงดวงตาว่างเปล่า คำพูดทำร้ายจิตใจที่เขาได้รับมันมาตลอดสองปี แต่ก็อีกหลายครั้งเช่นกันที่อีกฝ่ายคอยช่วยเหลือเขาในยามคับขัน ยามที่เข้าต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ยากลำบาก

     

    ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้

     


    เขาขอหยุดเวลาไว้ตรงนี้ได้หรือเปล่า…........ถ้านี่คือความฝัน.....เขาขอฝันแบบนี้ตลอดไปได้มั้ย?

               

        

    เบตาดีนถูกหยดใส่แผลช้าๆ เป็นเวลาเดียวกันกับหยาดน้ำตาที่พยายามกลั้นมาตลอดถูกปล่อยให้ไหลเงียบๆ  ....ทว่ามันกลับได้ไหลเงียบๆเพียงไม่นาน เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงนาทีมาร์คก็เงยหน้าขึ้นดวงตาที่มองตรงมาฉายแววแห่งความรู้สึกผิดบางๆ

     


     เจ็บเหรอโทษทีนะ”  

     


    จินยองส่ายหน้า ทว่าน้ำตากับทรยศอย่างที่สุด



    “ไม่เจ็บแล้วร้องไห้ทำไม”   

     


    “......”

     


    เมื่อปราศจากคำตอบทำให้มาร์คชะงักมือที่กำลังดึงผ้าพันแผลพลางเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่าย

     

    “ถามทำไมไม่ตอบ”     เสียงทุ้มต่ำถามย้ำอีกครั้ง ถ้าเป็นเมื่อก่อนน้ำเสียงที่ใช้ถามในครั้งที่สองคงทั้งห้วนและเย็นชา ทว่าครั้งนี้มันกลับฟังอ่อนโยนอย่างประหลาด

     


    อ่อนโยนจนทำให้เขากลัว กลัวเหลือเกินว่านี่มันอาจเป็นแค่ภาพฝัน กลัวเหลือเกินว่าหลังจากนี้ทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นแบบเดิม...อย่างที่มันเคยเป็น  หรือบางทีมันอาจจะยิ่งเลวร้ายลงกว่าเดิมก็เป็นได้

     


    เลวร้ายลงสำหรับคนที่รักเขาข้างเดียว


     

     “ พี่มาร์คเกลียดผมหรือเปล่าครับ? ”

     


    จินยองรวบรวมความกล้าที่มีอยู่น้อยนิดถามออกไป  มันเป็นคำถามที่เขาอยากรู้มากที่สุด แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่จะมีโอกาสหรือต่อให้มีโอกาสเขาก็ไม่เคยกล้าถาม.....ไม่กล้าถาม...เพราะคำตอบมันน่ากลัวเกินไป...

     


    “ ถามทำไม? ”  

     


    “ก็.....ก็แค่อยากรู้น่ะครับ”    แค่อยากรู้เพราะเขาคาดเดาความคิดของคนตรงหน้าไม่ถูกจริงๆ

     


    ผ้าพันแผลที่ถูกวางทิ้งไว้ถูกหยิบขึ้นมาเพื่อพันมือของคนเจ็บ มันถูกพันทบช้าๆทับรอยบาดจากกระจก เช่นเดียวกับดวงตาที่มองมาเมื่อสักครู่ถูกย้ายกลับไปมองยังบริเวณฝ่ามือขาวที่มันจากมา

     


    ห้องทั้งห้องตกอยู่ภายใต้ความเงียบชั่วอึดใจ  ก่อนเสียงแผ่วเบาจะเอ่ยตอบกลับมา

     


    “เกลียดสิ.....เกลียดมากด้วย”

     

    เขาบอกว่าคนโกหกจะไม่กล้าสบตา 

     

    มันเป็นสิ่งที่คนพูดรู้ดี  ทว่าคนเคยได้รับฟังกลับหลงลืมมันไปแล้ว ปาร์คจินยองจึงรู้สึกราวกับมีใครมากระชากเขาลงจากสรวงสวรรค์ที่กำลังฝันถึง.....กระชากลงมาให้เผชิญกับความเป็นจริงที่แสนโหดร้าย

     


    เกลียดเขาแล้วมาทำแบบนี้ทำไม?.....



    เกลียดเขาแล้วทำไมไม่ปล่อยให้เขานั่งเจ็บอยู่ตรงนั้น



    เกลียดเขาแล้วทำไมต้องคอยช่วยเหลือ



    จินยองไม่เข้าใจเลย....ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

     

     





    #Impassible_mn



                   หลังจากที่หายตัวไปทั้งคืนเพราะธุระทางบ้านที่เร่งด่วนกะทันหันเจบีจึงชดเชยน้องรหัสและรุ่นน้องปีหนึ่งอีกสองคนด้วยการอาสาขับรถไปส่งถึงบ้าน และบ้านของจินยองก็นับว่าใกล้ที่สุดในบรรดาผู้ร่วมเดินทาง  เมื่อกล่าวขอบคุณและเอ่ยคำอำลากันเรียบร้อยจินยองก็รีบต่อสายถึงเพื่อนสนิทตัวเองโดยทันที

     


    “ ยองแจ ตอนนี้แกอยู่ที่ไหน?”

     

    “ที่สนามบินไง ความจำเสื่อมเหรอวะ”   ยองแจตอบอย่างหงุดหงิดเล็กน้อยก็บอกมันไปแล้วว่าจะแวะมารับพี่สาว แล้วจะมาถามอะไรอีก

     

    “ฉันอยากพบพี่เยจินสักหน่อย วันนี้พี่เขาจะไม่ออกไปไหนใช่มั้ย”

      

    “คงอย่างนั้นมั้ง...ว่าแต่แกอยากเจอพี่เขาทำไมวะ”

      

    คำถามของเพื่อนทำให้จินยองนิ่งไป ก่อนตอบกลางๆไปว่า

     

    “มีอะไรสงสัยอยากถามพี่เขาน่ะ...แล้วสายๆฉันจะเข้าไปหานะ รบกวนด้วย”

     

    “แกเป็นอะไรเปล่า ทำไมเสียงดูเครียดๆ”    ปลายสายถามด้วยความเป็นห่วงจับได้ถึงเสียงที่แผกไปจากปกติของคนเป็นเพื่อน


    เขาระบายลมหายใจออกยาว     “เดี๋ยวแกก็รู้...แค่นี้ก่อนนะ”

     

    “เออๆ เทคแคร์นะเว้ย ”

     

    “อืม แล้วเจอกัน”



    ทันทีที่วางสายจากเพื่อนจินยองก็พบว่าขาทั้งสองข้างหนักราวกับทำจากเหล็ก ยิ่งพยายามก้าวเท้ายาวๆเพื่อให้ถึงห้องนอนของตัวเองโดยเร็วเท่าไหร่ ก็กลับยิ่งช้าและห่างไกลราวกับระยะทางที่เคยห่างเพียงไม่กี่เมตรขยายกลายเป็นห่างกันหลายร้อยไมล์

     


    และเมื่อก้าวเท้าถึงห้องความปวดหนึบบริเวณศรีษะก็ยิ่งทวีความรุนแรงจนต้องรีบทิ้งตัวนอนลงบนเตียง จินยองอยากเขียนไดอารี่ อยากระบายความรู้สึกหลากหลายที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ลงไปในกระดาษ  เผื่อบางทีความรู้สึกเจ็บปวดและสับสนตอนนี้มันอาจจะเบาบางลงบ้าง  แต่ก็ทำได้แค่คิดอย่าว่าแต่การเขียนไดอารี่เลยแม้แต่เรี่ยวแรงจะจับปากกาเขายังไม่มีเลยด้วยซ้ำ

     


    คืนที่ผ่านมาเมื่อพี่รหัสหายตัวไปก็ทำให้เขาต้องนอนค้างคืนที่คอนโดแห่งนั้นฯทั้งนี้เพราะเท้าของเจ้าของคอนโดที่ดีขึ้นมากแล้วแต่ก็ยังไม่หายขาดเป็นปกติทำให้เขาเกรงใจที่จะรบกวน ครั้นจะกลับบ้านเองอีกฝ่ายก็ไม่ยินยอม เป็นเหตุให้ต้องส่งข้อความบอกแม่ว่าเขาไม่กลับมานอนบ้าน แต่เรื่องราวที่เพิ่งได้รับรู้ก็ทำให้ตาสว่างเกินกว่าที่จะข่มตาให้หลับได้ จึงใช้เวลาว่างเกือบค่อนคืนค่อยๆลำดับเรื่องราวอย่างคร่าวๆ จดหมายที่อยู่หลังกรอบรูปบอกได้ว่า ครั้งหนึ่งพี่สาวของเพื่อนสนิทเคยเป็นคนที่พี่มาร์ครัก...ทุกถ้อยคำบอกเล่าผ่านตัวอักษรนั้นชัดเจน...เขาจึงแน่ใจว่าเหตุการณ์ที่อีกฝ่ายต้องเจอในจดหมายฉบับนั้นล้วนเป็นสาเหตุทำให้เจ้าตัวกลายเป็นคนเย็นชาและคล้ายไม่มีหัวใจอย่างในทุกวันนี้...นั่นสินะ..เราจะมีหัวใจไปอีกทำไมถ้ามันโดนทำลายจนไม่มีชิ้นดีไปแล้ว....

     


    ถึงแม้จะพอคาดเดาเหตุการณ์ได้เกือบทั้งหมดแต่ก็ยังอยากจะรู้ความจริงจากปากของเจ้าของจดหมายอีกครั้งหนึ่ง

     

            มันอาจจะดูไร้สาระแต่เขาก็แค่อยากรับรู้ความทุกข์ของเขาคนนั้นด้วย






    #Impassible_mn

     



                    ห้องนั่งเล่นของบ้านยองแจก็ยังเหมือนเดิมเช่นทุกครั้ง โซฟาสีเทาถูกจัดวางเป็นรูปตัวแอลวางประดับตกแต่งด้วยหมอนรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสโทนสีฟ้า-น้ำเงิน แต่ในความรู้สึกของจินยองห้องๆนี้ดูราวกับเป็นสถานที่ใหม่ที่เขาไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาก่อน เขาคงจะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้ถ้าบนโซฟาตัวใหญ่นั้นจะไม่มีหญิงสาวผู้หนึ่งนั่งอยู่  ทันทีที่เห็นเขาเสียงหวานสดใสก็ทักขึ้นอย่างยินดี

     

                    “จินยองใช่มั้ย ไม่เจอกันนานโตเป็นหนุ่มแล้วนะเรา ”    จินยองก้มหัวให้คนอายุมากกว่าเล็กน้อย รอยยิ้มแห้งแล้งถูกสั่งให้ปรากฏบนใบหน้า

     

                    “พี่เยจินสวัสดีครับ”

     


                    “นั่งลงก่อนสิจ๊ะ เดี๋ยวยองแจคงเอาน้ำมาให้”




                     "ครับ"   จินยองตอบรับ พลางทรุดตัวลงนั่งตามคำเชื้อเชิญของอีกฝ่าย


                    เพียงพูดคุยกันไม่กี่คำจินยองก็สามารถประเมินพี่สาวของเพื่อนสนิทได้ในทันที...ชเวเยจินเป็นผู้หญิงหน้าตาน่ารักมากกว่าสวยหรือถ้าจะอธิบายให้เห็นชัดเจนกว่านี้คือเธอมีความสวยแบบเกาหลีแท้ๆคือใสและเป็นธรรมชาติ คุณสมบัติเพียงเท่านี้ก็น่าจะมากพอที่จะทำให้ใครหลายคนมาสนใจแล้ว แต่ทว่าเธอกลับมีคุณสมบัติที่เหนือกว่านั้นอันเป็นเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้คนตกหลุมรักได้ไม่ยากนั่นคือรอยยิ้มจริงใจและแววตาที่เปิดเผยตรงไปตรงมา…..ไม่แปลกหรอกถ้าใครหลายคนจะชอบผู้หญิงที่มีเสน่ห์และมีชีวิตชีวาแบบนี้


                    เมื่อเห็นน้องชายของเพื่อนสนิทยังคงนิ่งเงียบเยจินจึงถามต่อในสิ่งที่เธอสงสัย



                    “เห็นยองแจบอกพี่ว่าจินยองมีเรื่องจะคุยกับพี่เหรอ เรื่องอะไรจ๊ะ?”

     


                    คำถามของหญิงสาวทำเอาจินยองลอบกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนเปิดกระเป๋า หยิบมือถือแล้วกดสัมผัสหน้าจอไปมาอยู่สักครู่ สักพักก็เลื่อนเจ้าอุปกรณ์สื่อสารให้  ทันทีที่ดวงตาคู่สวยมองเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอใบหน้าที่ตกแต่งไว้บางๆก็เผือดซีดลงทันที ริมฝีปากสั่นน้อยๆ


                 "จินยองเจอจดหมายฉบับนี้ได้ยังไง?”

     


    “ผมเป็นรุ่นน้องที่คณะของพี่มาร์คครับ...พี่เยจินคือคนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ให้พี่มาร์คใช่มั้ยครับ”

     


    ถามออกไปทั้งๆที่รู้คำตอบดีอยู่แล้ว แต่ก่อนที่เยจินจะทันได้ตอบอะไรเสียงฝีเท้าไม่เบานักก็ดังใกล้เข้ามา

     


    “รอนานหน่อยนะโทษที น้ำแข็งหมดน่ะเลยเดินไปซื้อที่ซูเปอร์มาเก็ตหน้าปากซอย”    ยองแจอธิบายพร้อมกับลำเลียงแก้วน้ำวางลงบนโต๊ะ ครั้นสังเกตเห็นสีหน้าของคนเป็นพี่ที่ซีดขาวและสีหน้าของเพื่อนสนิทที่เรียบเฉยผิดปกติ จึงรู้ได้ว่ามีความผิดปกติบางอย่างกำลังเกิดขึ้น

     

    “สองคนนี้คุยอะไรกันหน้าเครียดเชียว....ฉันฟังด้วยได้รึเปล่าเนี่ย”

     


    จินยองเป็นคนเอ่ยอนุญาต   “นั่งลงสิ....ฟังได้ไม่มีความลับอะไร”

     


    ทันทีที่เสียงอนุญาตนั้นจบลงห้องทั้งห้องก็เงียบสงัด จนยองแจรู้สึกราวกับอยู่ในสถานการณ์การประชุมลับระหว่างชาติอย่างไรอย่างนั้น ใครจะบอกเขาได้บ้างว่าสองคนนี้กำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่

     


    มือเรียวที่บริเวณปลายเคลือบด้วยสีม่วงอ่อนยกขึ้นลูบใบหน้าตัวเองช้าๆ แล้วเอ่ยตอบคำถามด้วยเสียงที่แปลกไปจากเดิม ความสดใสของคนตรงหน้าคงหายไปพร้อมๆกับที่รูปจดหมายที่เขาเป็นคนถ่ายถูกเลื่อนส่งให้ดู

     


    “ใช่...พี่เป็นคนเขียนจดหมายฉบับนี้เอง...พี่ไม่มีข้อแก้ตัว และพร้อมยอมรับผิดทุกอย่าง”

     


    ใช่แต่น้ำเสียงที่เปลี่ยนไป ดวงตาคู่สวยก็คล้ายกำลังรื้นด้วยหยาดน้ำใส

     

    ชเวยองแจหันหน้ามองคนโน้นทีคนนี้ทีอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่ทั้งสองคนพูดกัน แต่สัญชาตญาณบางอย่างทำให้เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์ที่วางอยู่ขึ้นมาดู และเมื่อกวาดสายตาอ่านตัวอักษรทั้งหมดในรูปภาพนั้นแล้ว  เขาเองก็มีสีหน้าไม่ต่างไปจากคนทั้งคู่สักเท่าไหร่

     


    อืม....โลกมันกลมอย่างที่เขาว่ากันจริงๆด้วยสิ  พยายามค้นหาความทรงจำว่าเคยได้ยินชื่อหรือมีอะไรที่สามารถทำให้เชื่อมโยงไปยังอดีตพี่รหัสเขาได้บ้าง แล้วก็คุ้นๆว่า...

     


    “ใช่ไอ้พี่มาร์คนี่หรือเปล่าที่เป็นน้องรหัสเจ้น่ะ”    เยจินพยักหน้า เพียงเท่านั้นก็ทำให้คนเป็นน้องบ่นอุบ

     


    “ไม่น่าล่ะ ไอ้พี่มาร์คมันถึงไม่ศรัทธาระบบพี่รหัสน้องรหัสนี้เท่าไหร่”    เวรกรรมแท้ๆพี่สาวตัวเองไปทำเขาซะเจ็บแสบปานนั้นไม่แปลกหรอกถ้าเวรกรรมมันจะตกมาที่คนเป็นน้องอย่างเขาน่ะ

     

                    “นี่ไอ้พี่มาร์คมันรู้รึเปล่าเนี่ยว่าฉันเป็นน้องเจ้น่ะ”

     


     จินยองส่ายหน้า   “ไม่น่าจะรู้นะ เพราะถ้ารู้ก็คงมีปฏิกิริยาอะไรบ้างแล้ว”

     


    เท่านั้นคนสมองไวก็คิดปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันที

     


                    “อย่างนี้ก็แสดงว่าพี่มาร์คสอบใหม่ใช่มั้ย เพราะตอนที่เจ้เรียนเจ้เรียนถาปัตย์หนิ”

     


    จริงด้วยสินะ....การคาดเดาของคนเป็นเพื่อนยิ่งทำให้จินยองวาดภาพเรื่องราวในใจได้ ตอนนั้นอีกฝ่ายคงเป็นหนักมากจริงๆถึงขั้นย้ายที่เรียน ย้ายคณะ เปลี่ยนสถานที่และบรรยากาศ....แต่พี่มาร์คจะรู้บ้างมั้ยว่าต่อให้เปลี่ยนสภาพแวดล้อมไปยังไงแต่ถ้าใจของเรายังจมปลักอยู่กับอดีต..มันก็ไม่มีประโยชน์


    ความเจ็บปวดก็เหมือนกับบาดแผลที่ล้วนมีสาเหตุ  บางบาดแผลเราทำเอง บางบาดแผลเราโดนคนอื่นทำ  แผลบางแผลสามารถหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องรักษา  แผลบางแผลสามารถรักษาให้หายได้โดยใช้เวลาเพียงไม่นาน  และแผลบางแผลที่ใช้เวลามากเท่าไหร่ก็ไม่สามารถกลับมาเป็นปกติได้   ซึ่งก็อาจเกิดจากสองสาเหตุ 

    คือ หนึ่ง แผลนั้นรุนแรงเกินไปกับอีกสาเหตุ คือ เพราะรักษามันอย่างไม่ถูกโรค ไม่ถูกวิธี จนมันเปลี่ยนตัวเองจากแผลปกติเป็นแผลอักเสบ......และจากแผลอักเสบกลายเป็นแผลเรื้อรัง

     

    และในกรณีนี้ทางเดียวที่จะทำให้แผลเริ้อรังของเขาคนนั้นหายขาดก็คือการรักษาจากผู้ที่ทำให้เกิดแผลขึ้น


    มันน่าจะถึงเวลาแล้วที่อีกฝ่ายควรละทิ้งอดีตไว้เบื้องหลังไม่ใช่เพื่อใคร.....แต่เพื่อตัวของเขาเอง


    จินยองก้มลงมองรูปภาพนั้นอีกครั้งเพื่อช่วยในการตัดสินใจ  กระดาษเขียนจดหมายสีชมพูอมม่วงจางๆแผ่นนั้นยังปรากฏข้อความชัดเจน    

     

     








    #Impassible_mn

     






    MoonDream_




    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×