ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9 : The letter

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59


    9

    The letter



    "To  be brave is  to love unconditionally without  expecting anything in return."












    #Impassible_mn



     


            ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศภายในห้องไม่ได้ทำให้คนที่นอนบนเตียงกว้างหลับสบายเลยแม้แต่น้อย หนำซ้ำร่างโปร่งภายใต้เงาสลัวจากแสงจันทร์สีนวลบนท้องฟ้าสีดำสนิทภายนอกห้องที่ส่องลอดผ่านบานประตูกระจกเข้ามายังมีท่าทีกระสับกระส่ายคลับคล้ายกับกำลังจมดิ่งกับอะไรบางอย่างในห้วงนิทราของตัวเอง.....อะไรบางอย่างที่ฉายวนซ้ำๆผ่านม่านหมอกสีขาวมัวที่นอกจากจะนำมาซึ่งความไม่สบายใจแล้วยังนำมาซึ่งหยาดน้ำตาในทุกครั้งที่ฝันถึง

     


                    และก็เป็นอีกคืนหนึ่งที่มาร์คสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อที่เปียกชุ่มบริเวณแผ่นหลังและใบหน้า มือที่ยกขึ้นลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของตัวเองสั่นเล็กน้อยเนื่องจากความหนักอึ้งและความปวดร้าวของเรื่องราวในฝันเมื่อสักครู่

     


                    เรื่องราวในฝันที่ครั้งหนึ่งมันเคยเกิดขึ้นจริง

     

     

                    มาร์คไม่ใช่คนเข้มแข็ง….

     


    เพราะถ้าเข้มแข็งก็คงไม่ต้องมานอนฝันร้ายซ้ำๆเกือบทุกคืนอยู่แบบนี้

     

    ....และถ้าเข้มแข็งก็คงไม่ต้องจมอยู่กับบาดแผลในอดีตของตัวเอง

     


    มันเป็นบาดแผลที่ไม่เคยได้รับการรักษาหรือเยียวยาให้หายขาด สิ่งที่ทำคือการปิดพลาสเตอร์ทับมันลงไปโดยไม่แม้แต่ล้างแผลหรือใส่ยาสักนิด   แน่นอนว่าในสายตาที่คนอื่นมองเขาอาจไม่มีอะไรที่แปลกหรือผิดปกติ มีแต่ตัวเองเท่านั้นที่รู้ว่า  ลึกลงไปแล้วแผลนั้นยังอักเสบอยู่ภายในและนับวันก็ยิ่งสร้างความเจ็บปวดให้เจ้าของร่างกายอย่างเขามากขึ้นเรื่อยๆ

     


    ใช่.....มันเจ็บปวด

     


    เจ็บ...แต่มาร์คก็ไม่คิดที่จะรักษามัน เขายินดีจะปล่อยมันทิ้งไว้แบบนั้น ทิ้งเอาไว้เพื่อย้ำเตือนตัวเองว่าครั้งหนึ่งเขาเคยโง่ขนาดไหน และทิ้งเอาไว้เพื่อเตือนสติตัวเองว่า.....ความรักเอาชนะทุกอย่างได้ยกเว้นความไม่รัก….



    เห็นด้วยหรือเปล่าว่า....บางที....เขาอาจเป็นโรคจิตประเภทหนึ่งที่ชอบหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองด้วยความเสียใจ....

     

     

    หน้าปัดนาฬิกาเรืองแสงบนโต๊ะข้างเตียงขึ้นตัวเลขบอกเวลาว่าได้ล่วงผ่านเข้าสู่วันใหม่มากว่าสามชั่วโมงแล้ว  เขารู้ตัวว่าถึงแม้จะพยายามข่มตาให้หลับตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ ตาของเขาสว่างเช่นเดียวกับสมองตอนนี้ที่ว่างเปล่าและขาวโพลน คนที่เพิ่งผ่านการฝันร้ายจึงตัดสินใจลุกออกจากเตียง ก้าวเดินตรงไปที่ประตูระเบียงอย่างเชื่องช้าเพราะอาการบาดเจ็บบริเวณเท้าข้างซ้ายยังไม่หายดี

     


    สิ่งที่มองเห็นผ่านกระจกบานใสมีแต่ความมืดสนิทคล้ายกับมีจิตรกรฝีมือดีระบายสีดำไปทั่วบริเวณ ความเงียบงันกระจายตัวอยู่โดยรอบ ทว่าในโสตแห่งความทรงจำเสียงหนึ่งยังคงก้องให้ได้ยิน

     


    ของขวัญวันเกิด   พี่วาดเองเลยนะ    เห็นมั้ยเหมือนเราเลย” 

     


    สายตาคมตวัดมองผ่านไปยังผนังตรงข้ามกับเตียง แม้ในความมืดมาร์คก็ยังมองเห็นภาพนั้นได้ชัด....มันไม่ได้เห็นด้วยสายตาหรอก ทว่า...มันชัดเจนอยู่ในความทรงจำต่างหาก

     


    สี่ปีแล้วสินะที่เขาได้รับของขวัญวันเกิดชิ้นนี้มา

     

    และเกือบสี่ปีแล้วที่มันถูกแขวนไว้เพื่อเตือนความจำของตัวเอง

     


    สุขสันต์วันเกิดนะมาร์ค

     

     




    #Impassible_mn

           




    17.00น.

     

            ก๊อก.....ก๊อกก๊อก ก๊อกๆ

     

                    เสียงเคาะประตูห้องรัวเป็นจังหวะ  ไม่ต้องเสียเวลาไปเปิดออกก็พอจะคาดเดาได้ว่าเป็นผู้ใดที่ยืนอยู่หลังบานประตู

     

                    “เปิดเข้ามาเลยไม่ได้ล็อค”    เจ้าของห้องตะโกนอนุญาต เสียงเปิดประตูดังแอ๊ดและปิดดังปังก่อนร่างสันทัดที่คุ้นตาจะก้าวนำขบวนแขกเข้ามา

     


                    “มึงรู้ได้ไงว่ะ ว่าเป็นเป็นกู”    หวังแจ็คสันถามขึ้นอย่างสงสัย     “ไม่คิดว่าเป็นโจรมาปล้นห้องมึงบ้างหรือไง”

     

                    “คนเคาะจังหวะแบบนี้ก็มีมึงคนเดียวแหละ”     คำตอบที่สวนขึ้นอย่างทันควันเรียกเสียงหัวเราะสั้นๆได้จากเพื่อนสนิทอีกคนที่เพิ่งทรุดตัวลงนั่งข้างๆบนโซฟาตัวเดียวกัน หลังจากหยุดขำก็เสริมว่า

     


                    “เออว่ะ  มึงอ่ะควรครีเอทเสียงเคาะใหม่ได้แล้วนะ”

     


                    แจ็คสันเพียงยักไหล่นิดๆ ก่อนตอบอย่างไม่สะดุ้งสะเทือน   “เหรอวะ เออๆขอบใจที่บอกนะเว้ย” 

                  


    เจบีส่ายหน้าอย่างอ่อนใจกับความมากจนล้นของเพื่อนตัวเอง แล้วหันหน้าไปทางบานประตูพูดกับรุ่นน้องสามคนที่ยืนตัวลีบอยู่ใกล้กับประตูห้อง

     

                    “นั่งกันได้เลยนะเด็กๆ ทำตัวตามสบาย ไอ้มาร์คมันใจดีไม่ต้องเกรงใจ”    แจ็คสันเองก็ทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดีด้วยการเดินไปเปิดโทรทัศน์และเร่งเสียงรีโมตจนเสียงดังกระหึ่ม คล้ายจะบอกเด็กหนุ่มทั้งสามคนทางอ้อมว่า ดูอย่างพี่เป็นตัวอย่างจะมีก็แต่เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มเท่านั้นที่คล้ายไม่แยแสความเป็นไปอะไรสักอย่างเดียว  มือเรียวได้รูปยังคงพลิกหน้ากระดาษของหนังสือในมือไปเรื่อยๆ จนคนที่ยืนมองอยู่ตลอดรู้สึกร้อนผ่าวบริเวณขอบตา

     


                    นี่เขาตัดสินใจผิดรึเปล่านะที่เลือกมาร่วมงานด้วยในวันนี้....นอกจากความเหินห่างเย็นชาที่คาดว่าจะได้รับตลอดงานแล้วจินยองยังสัมผัสได้ถึงลางสังหรณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึกไม่ดีสักเท่าไหร่  มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายกับว่า เขากำลังจะต้องเผชิญกับความเสียใจครั้งใหญ่ในเร็วๆนี้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง...ซึ่งก็ได้แต่ภาวนาและหวังว่าคงจะไม่ใช่วันนี้….

     


                    “เราไปนั่งกันตรงนั้นเถอะครับพี่จินยอง”    แบมแบมเอ่ยชวนเบาๆ พร้อมกับชี้มือไปที่โซฟาสีเทาตัวยาวอีกฝั่งหนึ่งที่ว่างอยู่

     

                    “อืม ไปสิ”    รับคำพร้อมกับกระชับถุงกระดาษของขวัญในมือเป็นการเรียกกำลังใจให้แก่ตัวเอง

    .....อันที่จริงเขาควรจะชินกับสภาวะว่างเปล่าแบบนี้สักทีนะว่ามั้ย?

     


                    “สั่งอะไรกินดีวะมาร์ค?”   แจ็คสันที่มือข้างหนึ่งถือกระป๋องโค้ก ส่วนอีกข้างกำลังใช้รีโมทกดเปลี่ยนช่องไปเรื่อยๆเอ่ยเป็นเชิงปรึกษา

     


                    “จะกินอะไรก็สั่งดิ...แล้วแต่พวกมึงเลย”    น้ำเสียงราบเรียบไม่บอกอารมณ์ตอบกลับมา

     


                    จนแจ็คสันต้องเปลี่ยนไปหารือกับเพื่อนอีกคน   “ว่าไงไอ้บีกินอะไรกันดี”

     


                    คนถูกเรียกชื่อนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเสนอความเห็น    “กินไก่กันมั้ยล่ะ อร่อยแล้วก็ได้เยอะด้วย”

     


    “กูยังไงก็ได้อยู่แล้ว เพราะไอ้มาร์คมันเลี้ยงไง ฮ่าๆ”  คนพูดหัวเราะเสียงดังอย่างอารมณ์ดี ของฟรีใครจะไม่ชอบล่ะครับ....ฮุๆ


    “น้อยๆหน่อยระงับความโลภไว้บ้างสิมึง”    เจบีปรามอย่างไม่จริงจังนัก  “แล้วพวกเราล่ะถ้ากินไก่โอเคมั้ย”   ประโยคหลังเอ่ยถามรุ่นน้องอีกสามคนที่นั่งกันอย่างเงียบเชียบไม่ส่งเสียงใดๆทั้งสิ้น เมื่อได้คำตอบเป็นการพยักหน้าขึ้นลงเกือบจะพร้อมกันจึงเอ่ยขึ้น

     

    “โอเค..งั้นกินไก่...เดี๋ยวกูโทรสั่งเองมึงมานั่งกินดีๆเถอะ”     เอ่ยห้ามเพื่อนสนิททันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายกำลังล้วงมือถือในกระเป๋ากางเกงของตัวเอง

     


    “โหว่ อะไรวะ ไม่ไว้ใจกูเลย”    คนถูกห้ามโวยเสียงดังแต่ก็ไม่วายปฏิบัติตาม

     


    “ไม่เอาล่ะ ครั้งที่แล้วมึงสั่งก็บอกที่อยู่ผิด จำไม่ได้หรือไง”    เหตุผลที่ถูกหยิบยกขึ้นมาทำเอาคนผิดหัวเราะแหะๆ  ครั้งที่แล้วก็คือเมื่อสองอาทิตย์ก่อนหน้านี้ เรื่องมันมีอยู่ว่าแจ็คสัน เจบีและมาร์คนัดทำรายงานกันที่คอนโดฯแห่งนี้  หลังจากตกลงกันเป็นที่เรียบร้อยว่าจะฝากท้องไว้กับอาหารเดลิเวอร์รี่แจ็คสันจึงรับอาสาเป็นคนโทร.สั่ง  แต่คงเป็นเพราะความเคยชินหรืออะไรก็ไม่ทราบแทนที่คนสั่งจะให้ที่อยู่ที่ควรจะเป็นกับบอกที่อยู่คอนโดฯตัวเองแทน เป็นเหตุให้เสียเวลาต้องโทรให้เขามาส่งใหม่อีกรอบ

     


    “มึงซื้อเบียร์มายังมารค์”    เมื่อเห็นว่าตัวเองเป็นคนผิดเต็มๆจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง

     


    คำถามนั้นทำให้มาร์คเงยหน้าจากหนังซื้อที่สนใจอยู่พร้อมเอ่ยถามด้วยเสียงหนักๆ    จะกินกันเหรอไง”   

     


    “เออ...ดิวะ...กูออกตังค์เองก็ได้” 

     


    “ไม่ใช่เรื่องเงิน แต่กูขี้เกียจแบกมึงไปส่งไง”    ความคออ่อนของเพื่อนสนิทชาวฮ่องกงเป็นที่เลื่องลือ

    แม้ว่าเจ้าเพื่อนร่างหนาคนนี้จะทำความคุ้นเคยกับแอลกอฮอล์บ่อยที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสามคนแต่ทุกครั้งมันก็ยังคงเมาเร็วที่สุดอยู่ดี หวังแจ็คสันนับเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในการหักล้างทฤษฎีที่ว่าคนดื่มแอลกอฮอล์บ่อยจะช่วยทำให้คอแข็งได้อย่างไม่มีข้อโต้เถียง

     


    “กูก็นอนกับมึงไง ทำไม? ตอนกลางคืนมึงจะกลายร่างเหรอถึงให้กูนอนด้วยไม่ได้”     มันคือความจริงที่ว่าตั้งแต่รู้จักกันมาเขายังไม่เคยได้มาค้างคืนที่คอนโดฯของเพื่อนคนนี้เลยสักครั้ง จนบางครั้งทำให้อดนึกสนุกจินตนาการไม่ได้ว่า ......เพื่อนคนหล่อของเขาอาจจะมีอีกร่างหนึ่งตอนกลางคืนก็เป็นได้

     


    คำถามของเพื่อนทำเอาคนฟังหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย จังหวะการเต้นของหัวใจก็ดูจะถี่เร็วขึ้น ความรู้สึกเวลามีคนล่วงรู้ในสิ่งที่เราปิดบังคงมันเป็นเช่นนี้เองสินะ  ถึงอย่างนั้นมาร์คก็อดคิดไม่ได้ว่า...บางทีถ้าเขากลายร่างจริงๆอย่างที่คนเป็นเพื่อนว่าก็คงจะดีกว่าต้องมาฝันร้าย สะดุ้งตื่นเกือบทุกคืนแบบนี้

     

    “ว่าไงล่ะ...มึงจะกลายร่างตอนกลางคืนหรือเปล่า?”

     


    มาร์คระบายลมหายใจยาวก่อนตอบ  “ไร้สาระน่ะ....เออ จะนอนก็นอนกูไม่ได้ว่าอะไร” 

     


    “ไอ้บีได้ยินรึเปล่ามาร์คมันให้พวกเรานอนเว้ย ดีใจ...”      แจ็คสันว่าอย่างลิงโลดพลางตะโกนเรียกเพื่อนที่ยังคุยโทรศัพท์อยู่  เป็นเหตุให้เจบีหันมาส่งสายตาเขียวๆให้ก่อนเดินหนีไปคุยโทรศัพท์อีกห้องจนคนเสียงดังหน้าเจื่อนลง แต่ก็ไม่วายต้องหาอะไรทำจนได้

     


    “งั้นกูไปซื้อเบียร์ดีกว่า  เราสองคนตามพี่มา ไปช่วยขนของหน่อย”    แจ็คสันพูดขึ้นพร้อมยกนิ้วสองนิ้วชี้ไปที่แบมแบมกับยูคยอมซึ่งคนที่ถูกชี้นั้นก็รีบลุกขึ้นยืนอย่างกระตือรือร้นทันที ทิ้งให้อีกคนที่ไม่ถูกเรียกนั่งกะพริบตาปริบๆอย่างทำตัวไม่ถูก

     

                    “เอ่อ พี่แจ็คสันให้ผมไปช่วยอีกคนเถอะครับ”    จินยองขันอาสา

     

    “ไม่เป็นไรเรารออยู่นี่แหละ ช่วยกันสามคนก็พอ อีกอย่างเผื่อไอ้มาร์คมันจะลุกไปไหนจะได้ช่วยพยุง”


    คำตอบนั้นทำเอาคนฟังทำสีหน้าปั้นยาก เหลือบมองคนที่ถูกพาดพิงก็ไม่เห็นว่าจะมีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจใดๆ ยังคงจดจ่อกับหนังสือเล่มหนาบนตัก เป็นจินยองซะอีกที่คิดกังวลไปว่าขนาดนั่งอยู่ด้วยกันหลายคนเขายังทำตัวไม่ค่อยจะถูกแล้วนี่ถ้าต้องอยู่ด้วยกันตามลำพังมีหวังคงต้องอึดอัดตายกันบ้างล่ะ  ถึงแม้อีกฝ่ายจะจดจ้องแต่หนังสือในมือก็เถอะ

     


    “เอ่อ..แต่ว่า”

     


    เมื่อเห็นจินยองมีท่าทีอึกอักแจ็คสันจึงพยักเพยิดไปที่คนคุยโทรศัพท์ที่ยังอยู่อีกห้องหนึ่งคล้ายกับจะบอกว่าเหอะน่า ไอ้บีมันอยู่ก่อนรีบเดินนำรุ่นน้องทั้งสองคนออกไป

     


    ทั้งสามคนออกไปแล้วห้องทั้งห้องจึงมีแต่ความเงียบ  เงียบ...จนจินยองเชื่อว่าถ้ามีเข็มตกลงพื้นสักเล่มก็คงจะได้ยิน  ไหนว่าพี่รหัสเขาไปคุยโทรศัพท์ไงทำไมถึงได้เงียบขนาดนี้นะ

     


    สามนาทีผ่านไป...นี่คือเวลาที่จินยองอนุมานเอาเอง แท้จริงแล้วมันอาจเพิ่งผ่านไปสามสิบวินาทีก็เป็นได้



    ที่เขาบอกกันว่านั่งอยู่สองคนแต่ไม่คุยกันเงียบกว่านั่งอยู่คนเดียวจินยองก็เพิ่งได้เข้าใจมันจริงๆตอนนี้นี่แหละ

     


                    กวาดสายตามองไปรอบห้องเพื่อฆ่าเวลาและเพื่อลดความอึดอัด ซึ่งอาจเป็นความอึดอัดที่เขาได้รับอยู่คนเดียวก็เป็นได้ เพราะอีกฝ่ายก็ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิมตำแหน่งเดิมราวกับไม่รับรู้ว่ายังมีเขานั่งอยู่ด้วย เมื่อได้สังเกตจึงเห็นว่าห้องทั้งห้องตกแต่งด้วยโทนสีสองสีคือสีเทา-ขาว  ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่นักเพราะเขาเองก็พอจะคาดเดาได้จากสิ่งของที่อีกคนใช้เป็นประจำว่าคงเป็นสีที่เจ้าตัวโปรดปราน  ดูอย่างตอนนี้เสื้อยืดเรียบๆที่อีกฝ่ายสวมใส่อยู่ก็ยังเป็นสีเทา จนจินยองอดคิดขึ้นอย่างสนุกๆไม่ได้ว่าเห็นทีคงมีแต่เขาและหนังสือที่อีกคนอ่านอยู่เท่านั้นแหละที่พอจะมีสีสัน และมันก็เป็นสีเดียวกันนั้นก็คือสีน้ำเงิน

     

            พูดถึงหนังสือแล้วก็ทำให้อดที่จะมองคนอ่านหนังสือไม่ได้  เสี้ยวหน้าด้านข้างของคนที่ก้มหน้าอยู่ทำให้จินยองนึกถึงรูปปั้นของประติมากรชั้นเอก มันเป็นโครงหน้าที่ได้รูปราวกับปั้นสลักและคงถูกฉาบด้วยน้ำแข็ง  เพราะใบหน้าหล่อเหลานั้นมักจะปรากฏให้เห็นถึงความเย็นชาไม่แยแสอะไรทั้งนั้นอยู่เสมอ

     


                    “มองอะไร?”  

     


    เสียงทุ้มต่ำถามขึ้นลอยๆโดยที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือ  ทำเอาคนฟังเกือบสะดุ้ง  ใบหน้าร้อนผ่าวราวกับถูกไอแดดยามสาย พร้อมกับคำถามที่ผุดขึ้นมาทันทีว่านี่คนตรงหน้ามีตาด้านข้างหรือไงนะ....เขาเพิ่งแอบมองแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นทำไมถึงได้รู้สึกตัวเร็วจัง

     

                    “ไม่ได้ยินที่ฉันถามหรือไง”

     


                    “เอ่อ...”     ตอบว่าอะไรดีล่ะ มองอะไรดีนะ  อ่า...นึกออกแล้ว   “ผะ....ผมกำลังมองว่าพี่มาร์คอ่านหนังสือเรื่องอะไรอยู่น่ะครับ” 

     

                    “งั้นเหรอ?”     เสียงทุ้มต่ำเน้นหนักจนยากจะคาดเดาว่ามันคือการตอบรับหรือเป็นการถามซ้ำใบหน้าที่เขาแอบมองอยู่เมื่อสักครู่เงยหน้าขึ้นจากหนังสือที่สนใจ และนับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในห้องนี้ที่มาร์คเงยหน้าขึ้นมองเขา จนจินยองอดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้ แต่คำตอบที่ได้ยินนี่สิทำเอาความประหม่าที่เพิ่งมีมลายหายกลายเป็นความปรารถนาสูงสุดให้ตัวเองมีปีกเพื่อจะได้บินหนีจากสายตาคมๆและถ้อยคำรู้เท่าทัน

     


     “ฉันกำลังอ่านหนังสือเกี่ยวกับพวกทฤษฎีการโกหกน่ะ!”  

     


     พูดไม่พูดเปล่ายังหันหน้าปกหนังสือมาให้เขาดูชื่อเรื่อง ร่างเพรียวรู้สึกว่าตัวเองต้องไม่สบายแน่ๆเหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มผุดซึมขึ้นมาบริเวณหน้าผากและขมับ ตรงกันข้ามกับมือทั้งสองข้างที่เย็นจัดราวกับเพิ่งผ่านการสัมผัสน้ำแข็ง

     


    “นายอยากรู้มั้ยว่าทฤษฎีการจับโกหกข้อแรกคืออะไร”   จินยองหลุบตาลงต่ำโดยทันที  ส่ายหน้าปฏิเสธจนผมที่ปรกหน้าผากอยู่สะบัดไปมา  หากมันก็เท่านั้นเมื่อมาร์คยังเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายกับไม่สนใจคำตอบใดๆ

     


    “เขาบอกว่าคนโกหกจะไม่กล้าสบตา”

     


    คนฟังรีบเงยหน้าขึ้นจากพื้นทันทีที่ได้ยิน และก็เป็นวินาทีเดียวกันกับที่จินยองรู้ว่าตัวเองพลาด

    ......พลาดอย่างหนัก  ดวงตาสีเข้มของคนตรงหน้าเปล่งประกายบ่งบอกถึงชัยชนะ

     


    นับเป็นครั้งแรกที่จินยองมีโอกาสได้เห็นดวงตาคู่คมแสดงความรู้สึกอย่างอื่นนอกเหนือจากความว่างเปล่าเฉยชาอย่างที่มันเคยเป็น  แต่ก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร เจบีก็ก้าวเข้ามาจากห้องที่อยู่ติดกันเสียก่อน

     


    “สามคนนั้นไปซื้อเบียร์ใช่มั้ย ได้ยินแว่วๆ”

     


    คนที่กำลังจนมุมนึกขอบคุณพี่รหัสที่เข้ามาช่วยในสถานการณ์ที่กำลังเสียเปรียบนี้ได้ทัน   ก่อนพยักหน้าตอบ     “ครับ นี่ก็ไปสักพักแล้ว  อีกไม่นานก็คงจะมา.....ว่าแต่ทำไมพี่บีคุยนาน คนเยอะเหรอครับ”

     


    “เปล่าหรอก พี่คุยกับพวกคณะกรรมการน่ะ เห็นทีว่าคงจะต้องเลื่อนการประกวดดาวเดือนไปเป็นเทอมหน้าเลย”

     


    “เลื่อนอีกแล้วเหรอ คราวก่อนก็เลื่อนไปครั้งหนึ่งแล้วหนิ”    เขาเอ่ยอย่างเซ็งๆกับความล่าช้าของกิจกรรมในปีการศึกษานี้ ปกติแล้วการประกวดดาวเดือนจะจัดขึ้นหลังสอบกลางภาคเสมอ แล้วนี่จะสอบปลายภาคอีกไม่กี่สัปดาห์นี่แล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีการประกวดเกิดขึ้นเลย

     


    เจบีเดินมาทรุดนั่งที่เดิมของตัวเองแล้วเสริมว่า    “คราวนี้คงเลื่อนอีกไม่ได้แล้วแหละ ไม่อย่างนั้นไอ้แจฮยอนเดือนปีที่แล้วต้องตายแน่ๆมันทำหน้าที่แทนมาเทอมนึงแล้วเนี่ย”

     


    ชื่อที่เจบีเอ่ยขึ้นมานั้นทำเอาคนฟังหมดคำถามไปทันที  ยังจำได้ดีว่าเมื่อปีก่อนหมอนั่นมาวุ่นวายกับเขาแค่ไหน จนจินยองต้องปฏิเสธไปตามตรงว่าเขามีคนที่ชอบอยู่แล้วอีกฝ่ายจึงเลิกวุ่นวายกับชีวิตเขาไปได้



    พูดถึงคนที่ชอบแล้วก็อดนินทาในใจไม่ได้ว่า.....ทำไมพี่มาร์คถึงได้ร้ายกาจอย่างนี้นะ แทบไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำแค่คำพูด น้ำเสียงก็ทำให้คนฟังลนลานจนเพลี่ยงพล้ำไปในท้ายที่สุด

     


    .....ยกตัวอย่างเช่นเขาเมื่อกี้ไง

     


     

    เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามาบอกให้รู้ว่าคนที่ไปซื้อของกลับกันมาแล้ว

     


    “เปิดประตูให้หน่อยเว้ย”   ใช่แต่เสียงตะโกนยังมีเสียงปึงปังเป็นจังหวะเดาได้ไม่ยากว่าคนพูดคงกำลังใช้อวัยวะเบื้องล่างเคาะประตูอยู่

     


    คนที่เด็กสุดรีบวิ่งถลันไปเปิดประตูอย่างรวดเร็วเกรงว่าถ้าช้ากว่านี้ประตูคงจะได้พังเสียก่อน ทันทีที่ประตูเปิดออกเสียงบ่นของคนเดิมๆก็ดังขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์



    “ก็รู้อยู่ว่าพวกกูไปซื้อของแทนที่จะเปิดประตูรอไว้ นี่ให้กูเคาะอยู่ตั้งนาน”

     


     “อ้าว ไอ้เวรนี่ ทำไมมึงไม่วางของลงก่อนละวะ”    เจบีสวนกลับไปทันควัน

     


    “เออ ๆ กูผิดก็ได้ ”  ทำอะไรไม่ได้นอกจากยอมรับอย่างนี้แหละแจ็คสันมักจะแพ้ความจริงจังและตรงไปตรงมาของเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าเจบีเสมอ

     


    “ไก่ที่สั่งไปมาส่งแล้วนะครับ”    รุ่นน้องร่างเล็กอีกคนที่ไปช่วยถือประกาศขึ้น

     

     

     

     

     


    #Impassible_mn


           

     

     

     

     

     

                  อย่าคิดคาดหวังกับการให้ของคุณ

     


    อย่าคิดว่าสิ่งที่คุณทุ่มเทตั้งใจจะได้รับการมองเห็น

     


    อย่าคิดว่าเขาจะเข้าใจถึงความหมายอันลึกซึ้งที่คุณมอบให้ผ่านของขวัญ

     


    และท้ายที่สุดอย่าคิดว่าจะได้รับฟังคำพูดที่น่ารื่นรมย์จากผู้ชายที่ชื่อว่า.....มาร์ค

     


    ถุงของขวัญสีครีมอ่อนถูกตั้งวางบนโซฟาด้านหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจนัก  มันถูกวางกองรวมกับของขวัญชิ้นอื่นๆนั่นแหละ แต่แตกต่างตรงที่ว่าของขวัญชิ้นอื่นได้รับการแกะแล้วเท่านั้น

     


    จริงๆแล้วเขาไม่ควรคาดหวังอะไรจากอีกคน  ไม่ควรนึกคาดหวังสิ่งใดเลย  แค่การใส่ใจในการแกะของขวัญสักนิด  จินยองยังไม่ควรที่จะคาดหวังเลยด้วยซ้ำ

     


    ความหวังมันเป็นสิ่งที่สวยงามและหอมหวานเสมอ  แต่ในขณะเดียวมันก็นำมาซึ่งความทุกข์อย่างแสนสาหัส.....ทุกข์กับการที่มันไม่เป็นไปตามที่หวัง.....และตอนนี้จินยองก็กำลังได้รับบทเรียนราคาแพงของตัวเองอยู่

     


    สองชั่วโมงก่อนหน้านี้

     


    ผู้ชายทั้งหกคนกำลังนั่งบนโซฟาบ้างบนพื้นบ้างล้อมวงกินไก่กันอย่างเอร็ดอร่อย และเพื่อให้มีความสุนทรีในชีวิตมากขึ้นก็ต้องเปิดเพลงดังกระหึ่มฟังไปด้วย

     

    ขณะกินกันอยู่อย่างเพลิดเพลินเจบีกับแจ็คสันก็หายตัวไปยังส่วนที่เป็นห้องครัวก่อนกลับมาพร้อมกับเค้กช็อกโกแลตก้อนโต

     


    “สุขสันต์วันเกิดเว้ยมาร์ค”  และบทเพลงวันเกิดก็ถูกขับร้องโดยพวกเราทุกคนที่อยู่ในห้องนั้น

     

    Happy birthday to you, Happy birthday to you

    Happy birthday Happy birthday

    Happy birthday to you.

    Happy birthday to you, Happy birthday to you

    Happy birthday Happy birthday

    Happy birthday to you.

     


    มีเพลงวันเกิดแล้วก็ต้องตามมาด้วยการมอบของขวัญอันเป็นธรรมเนียมที่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าใครเป็นผู้กำหนดขึ้น

     


    “นี่เลย แกะของกูก่อน”    แจ็คสันตะโกนพร้อมยื่นของขวัญกล่องใหญ่ผูกโบว์สีแดงให้กับเจ้าของวันเกิด ทันทีที่กล่องกระดาษชั้นในสุดถูกเปิดออก ทุกคนในที่นั้นก็ได้เห็นสเก็ตบอร์ดสีเทาแดงสดใสที่วางราบอยู่ข้างใน

     


    “เป็นไงชอบมั้ย?”     คนให้ถามอย่างกระตือรือร้น

     


    “แสนรู้ดีจัง นี่กูกำลังคิดจะซื้ออันใหม่อยู่พอดี”    มาร์คกล่าวขึ้นยิ้มๆ   “ขอบใจนะมึง”

     


    “คิดแล้วว่ามึงต้องชอบ”   แจ็คสันว่าอย่างอารมณ์ดีก่อนจัดเรียงคิว 

     


    “คนต่อไปไอ้บีเลย”    คนที่โดนเรียกชื่อจึงเอื้อมไปหยิบของขวัญกล่องเล็กที่ด้านหลังส่งให้อีกฝ่าย

     


    “ขอบคุณมากนะมึง”     มาร์คพูดขึ้นทันทีที่แกะห่อกระดาษสีฟ้าอ่อนและเห็นกระเป๋าสตางค์สีน้ำตาลแกมเทาเรียบๆ แบรนด์ Bottega  สีหน้าของมาร์คคงจะมีความสุขและดีใจกว่าเมื่อสักครู่ทำให้คนขี้อิจฉาทนไม่ได้

     


    “กระเป๋าอีกแล้ว ไอ้บีมึงนี่ไม่สร้างสรรค์เอาซะเลยปีที่แล้วก็กระเป๋า ปีนี้ก็กระเป๋า”

     


    “แล้วไงวะกระเป๋ามันก็มีหลายแบบป่ะวะ นี่กระเป๋าตังค์ส่วนปีที่แล้วมันคลัทช์เว้ย”    เจบีหมายถึงกระเป๋าถือแบบหนีบทรงสี่เหลี่ยมที่พวกไอดอลนิยมถือใช้กัน   “แล้วไอ้มาร์คมันก็ชอบด้วยเห็นมั้ยว่ามันใช้ตอนไปเรียน”    เจบีเถียงอย่างไม่ยอมแพ้

     


    “ปีหน้ามึงก็คงกระเป๋าอีกสิท่า โด่ววว ไอ้ประธานกาก หัดซื้ออย่างอื่นบ้างสิมึง”   คนเริ่มก่อนยังไม่ยอมลดราวาศอก

     


    เห็นท่าไม่ดีมาร์คจึงรีบไกล่เกลี่ย    “แล้วมึงสองคนจะเถียงกันทำไม กูก็ชอบของขวัญของกูหมดแหละ... หนวกหู หุบปากไปทั้งสองคนเลย”  

     


    เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาวะปกติ รุ่นน้องปีหนึ่งจึงเอ่ยแทรกความเงียบขึ้นว่า

     


    “นี่เป็นของแบมกับยูคครับ  เราไม่รู้มาก่อนว่าพวกพี่จะชวนพวกเรามาด้วย  เลยไม่ได้เตรียมของขวัญที่ดีกว่านี้”    แบมแบมออกตัวสีหน้าไม่สู้แจ่มใสนัก ใครจะไปนึกล่ะว่าเด็กใหม่ปีหนึ่งอย่างเขาสองคนจะได้รับเกียรติให้มาร่วมงานวันเกิดของรุ่นพี่ปีสี่ด้วย

     

    “เป็นความคิดของพี่เองแหละ ทุกปีก็จัดกันอยู่แค่สามคน ปีนี้เลยชวนเพื่อนๆน้องๆมาด้วย”  เจบีตอบ



    “แล้วทำไมมากันน้อยจังครับ คนอื่นไม่ว่างกันเหรอครับ”    รุ่นน้องผมสีชมพูเอ่ยถามขึ้นบ้าง

     


    “ประมาณนั้นแหละ อย่างพวกปีพี่ก็ไม่ค่อยว่างกันเตรียมฝึกงานเทอมหน้าแล้ว”

     


     “จริงๆมาร่วมงานเฉยๆก็ได้นะ ไม่ต้องลำบากซื้ออะไรมาให้พี่หรอก”   มาร์คบอกอย่างใจดี

     


    “ได้ไงล่ะครับ จะมามือเปล่าได้ยังไง”     รุ่นน้องปีหนึ่งส่ายหน้าไม่เห็นด้วยก่อนยื่นกล่องสองกล่องที่มีรูปทรงแบนยาวคล้ายกันทว่ามีกล่องหนึ่งที่เล็กกว่ามากให้

     


    ของขวัญของรุ่นน้องทั้งสองคนเรียกรอยยิ้มเอ็นดูให้ปรากฏบนใบหน้าของทุกคน   ไม่เว้นแม้แต่จินยองที่กำลังมีอาการประหม่าและเก้อเขินที่ต่อไปจะถึงคราวที่ต้องให้ของขวัญบ้าง

     


    มันเป็นของขวัญที่คาดเดาได้ไม่ยากว่าผู้ซื้อคงต้องการให้ใช้ด้วยกัน เสื้อเชิ้ตสีเบจดูเข้ากันได้ดีกับเนคไทสีน้ำตาลอ่อนราวกับถูกผลิตขึ้นมาคู่กันอย่างไรอย่างนั้น

     


    “ขอบใจพวกเรานะ พี่ชอบมากๆเลย”    คนรับเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า

     


    และการแกะของขวัญก็ถูกทำให้ยุติลงแค่นั้นเมื่อมาร์คขอตัวไปเข้าห้องน้ำซึ่งเป็นเวลาเดียวกันกับที่จินยองกำลังยื่นของขวัญให้อีกฝ่าย

     


    “วางมันไว้ตรงนั้นก่อน”

     


    คำสั่งเรียบๆไม่บ่งบอกความรู้สึกนั้นทำให้เจ้าของถุงกระดาษสีครีมไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวางของขวัญกองรวมกับของขวัญชิ้นอื่นๆ  คิดเอาเองว่าอีกฝ่ายคงจะกลับมาแกะเมื่อเข้าห้องน้ำเสร็จแล้ว

     


    ทว่าสองชั่วโมงผ่านไป มันก็ยังคงถูกวางทิ้งไว้ตรงนั้นโดยปราศจากการเหลียวแล

     


    และเป็นสองชั่วโมงแล้วที่จินยองรู้สึกคลับคล้ายกับถูกอะไรบางอย่างดูดความมีชีวิตชีวาไปจนหมด

     


    เขาไม่รับรู้สถานการณ์อะไรทั้งนั้น

     

    ไม่ได้ยินแม้แต่เสียงคนรอบข้างที่พูดคุยกัน และยิ่งไม่รู้ว่าแบมแบมและยูคยอมที่ทดลองดื่มแอลกอฮอล์ครั้งแรกในชีวิตจะผลอยหลับบนโซฟาคนละตัวไปนานแล้ว

     


    “เฮ้!  จินยอง”   เจบีเขย่าแขนเรียกเขาไม่เบานัก

     


    “คะ ครับ มีอะไรครับ”    สะดุ้งเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้ก็คนกำลังจมอยู่กับความคิดของตัวเองหนิ

    ใบหน้าของคนเรียกแม้ขึ้นสีแดงด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ แต่ทว่าก็ยังดูมีสติครบถ้วน

     


    “ไอ้แจ็คอ่ะดิมันไม่ยอมนอนที่นี้จะไปนอนเตียงไอ้มาร์คท่าเดียว”    พี่รหัสของเขาพยักหน้าไปทางคนที่นั่งโงนเงนจวนจะล้มเต็มทีแต่มืออีกข้างก็ยังไม่ยอมปล่อยแก้วใสออกจากมือ ใบหน้าคมคายบัดนี้แดงก่ำคล้ายถูกใครแต้มทาสีอย่างไรอย่างนั้น

     


    หน้าของจินยองคงจะปรากฏเครื่องหมายคำถาม เจบีจึงเอ่ยต่อว่า

     

    “อยากให้ช่วยพยุงมันหน่อยน่ะ ไอ้มาร์คมันขาเจ็บเลยไม่อยากเรียก”   ชื่อของคนที่ถูกพาดพิงทำให้เขาอดที่จะเหลือบมองอีกฝ่ายไม่ได้ มาร์คกำลังนั่งกระดกแก้วสีอำพันดื่มเงียบๆ ใบหน้าที่เคยขาวเนียนบัดนี้ซับสีโลหิตไม่ต่างจากเพื่อนอีกสองคน มาร์คดูไม่ไร้สติอย่างหวังแจ็คสัน แต่ก็ไม่ถึงกับมีสติครบถ้วนอย่างเจบี ดวงตาคู่คมสีน้ำตาลเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างคล้ายกับกำลังจดจ้องอะไรสักอย่างหรือไม่ก็กำลังจมอยู่กับภวังค์ความคิดของตัวเอง

     

    จินยองพยักหน้ารับรู้ก่อนรีบเข้าไปพยุงแขนข้างหนึ่งของรุ่นพี่ตัวยุ่งที่พร่ำพูดอยู่ตลอดเวลาและตลอดทางว่า

     


    “ม่ายยยนอนนี่นะเว้ยยย พื้น แม่งงง แข็ง กูจา ปาย นอน เตียง ไอ้ มาร์ค”

     


    จนคนสติดีต้องย้ำให้เพื่อนสบายใจ    “เออ กูรู้แล้วน่า”

     

    ถึงแม้แจ็คสันจะเป็นคนไม่สูงมากนักทว่าก็เป็นคนที่มีรูปร่างหนา และยิ่งเมาไม่ได้สติด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้การพยุงเป็นไปอย่างยากลำบากและทุลักทุเล

     


    จินยองรู้สึกปวดคอบริเวณที่แขนของแจ็คสันพาดทิ้งน้ำหนักอยู่จนแทบทนไม่ไหว แต่ก็พยายามปลอบตัวเองว่ากำลังจะถึงปลายทางแล้ว....ใกล้แล้ว….อดทนไว้

     


    ที่เขาบอกกันว่าชีวิตจริงยิ่งกว่าละครเขาก็เพิ่งได้เข้าใจว่ามันเป็นเช่นนี้เอง ไม่มีหนทางใดจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ  ทุกๆการก้าวเดินมันต้องมีอุปสรรคก่อนถึงเส้นชัยเสมอ

     


    และอุปสรรคครั้งนี้ก็มีสาเหตุมาจากคนที่เขากำลังพยุง เพราะจู่ๆคนที่บ่นมาตลอดทางก็หลับกลางอากาศและทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงกับคนที่ช่วยพยุงทั้งสองข้างจนทำให้คนที่ร่างบางกว่าเซไปปะทะกับกำแพงข้างหนึ่งจนอะไรบางอย่างที่แขวนอยู่หล่นลงมา

     

    เพล้ง!


    เวรกรรมแท้ๆ ดีที่ไม่ตกใส่หัว จินยองบ่นในใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากแข็งใจเดินไปส่งคนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวชิงหลับไปก่อนแล้วให้ถึงเตียง พยายามเดินอย่างระมัดระวังไม่ให้ตัวเองและร่างหนาที่กำลังแบกอยู่โดนเศษแก้ว

     

    ตุ๊บ

     

    ทันทีที่ถึงจุดหมายปลายทางร่างเพรียวก็ยืนหอบหายใจเอาอากาศเข้าปอดโดยทันที  หากยังไม่วายมีน้ำใจเอ่ยว่า

     


    “พี่บีไปนั่งพักได้เลยครับ เดี๋ยวผมเก็บเศษแก้วพวกนี้เอง”

     

     

    “เอางั้นเหรอ”   คนเป็นพี่มีสีหน้าลังเลอยู่ชั่วครู่    “งั้นก็ได้เดี๋ยวพี่จะได้ไปเก็บกวาดด้านนอกก่อน เมื่อกี้ไม่รู้ไอ้เวรนี้เตะขวดแตกไปกี่ขวดแล้ว”   บอกเล่าและบ่นจบคนร่างสูงก็ผละจากไป

     


    จินยองก้าวเดินไปยังจุดเกิดเหตุเมื่อสักครู่  กรอบรูปใบใหญ่ตกลงมาแตกกับพื้น เศษกระจกขนาดต่างๆกันกระจายเต็มพื้นบริเวณนั้น มือเรียวค่อยๆหยิบเศษกระจกที่พอจะหยิบได้ทิ้งใส่ถังขยะที่อยู่มุมหนึ่งของห้อง

     


    ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างสงสัยเมื่อหยิบแผ่นไม้ด้านหลังของรูปออกแล้วพบว่ามันมีกระดาษซ้อนทับกันอยู่ กระดาษด้านล่างคงเป็นรูปภาพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กระดาษสีอ่อนที่อยู่ด้านบนนี่สิมันมีลักษณะคล้ายกับจดหมายด้วยมีตัวหนังสือเขียนเอาไว้

     


    ความสงสัยอันเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ทำให้ปาร์คจินยองเอื้อมหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาดู

     


    ทันทีที่กวาดสายตาอ่านตัวหนังสือภาษาอังกฤษที่เขียนด้วยลายมือตัวเล็กเป็นระเบียบจบลง  จินยองก็รู้สึกราวกับว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านจนรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่างกาย  และกระแสไฟฟ้าก็แล่นปราดเข้าหัวใจทันทีเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏตรงมุมขวาด้านล่าง

     


    มันต้องไม่จริง......

     


    จินยองพร่ำบอกกับตัวเอง  ดึงกระดาษอีกแผ่นหนึ่งที่คว่ำหน้าอยู่กับพื้นขึ้นมาดูอีกครั้งอย่างมีความหวัง

     


    มันเป็นรูปภาพผู้ชายคนหนึ่งที่เขียนด้วยดินสอ

     


    แม้ชายหนุ่มคนนั้นจะสวมแว่นตา  ทว่ามันก็คือพี่มาร์คคนที่นั่งอยู่ที่ห้องด้านนอกตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

     


    และอักษรย่อภาษาอังกฤษด้านล่างของภาพที่บ่งบอกว่าใครเป็นผู้วาดก็ทำให้คนที่กึ่งนั่งกึ่งยืนอยู่ทรุดลงกับพื้นทันที ฝ่ามือข้างหนึ่งปะทะกับเศษกระจกจนของเหลวสีเข้มไหลซึมออกมา

     


    ชื่อที่เขียนอยู่มุมล่างของจดหมายกับอักษรย่อที่จินยองเพ่งมองอยู่มันตรงกัน

     


    CYJ

     


    ชเวเยจิน

     


     พี่สาวของยองแจ!

     






    © themy butter

    #Impassible_mn







    MoonDream_


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×