คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 : My answer
6
My answer
It takes a minute to have a crush on someone, an hour to like someone and a day to love someone but it takes a lifetime to forget someone.
#Impassible_mn
ตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดนั้นจากอีกฝ่าย จินยองก็ไม่ได้พบกับมาร์คอีกเลย จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่ผ่านมาคงเป็นเพราะตัวของเขาเองที่พยายามหาหนทางเพื่อจะไปเจอ พยายามเข้าใกล้ พยายามชวนคุย.........พยายามทั้งหมด.......อยู่ฝ่ายเดียว
ตอนนี้เมื่อจินยองเลิกพยายามแล้ว เขากับมาร์คจึงไม่มีอะไรทำให้ต้องโคจรมาพบกันอีก จนกระทั่ง
“จินยอง วันนี้ตอนเย็นมีนัดที่โรงยิมนะ” เสียงห้าวๆจากเจบีดังขึ้น เมื่ออีกฝ่ายเดินสวนกับเขาที่ห้องน้ำชั้นหนึ่ง
“มีอะไรหรอครับ?” ถามอย่างสงสัยเพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าเขาต้องไปทำอะไรที่นั่นอีก
“เอ้า ! ลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้เรามีนัดเทรนแบมแบมกัน”
ลืมงั้นหรอ.....ใช่....เขาลืมมันจริงๆนั่นแหละ สองสามวันนี้จิตใจเขาไม่ค่อยอยู่กับเหนือกับตัวอย่างไรพิกล
“อ้อ ครับ” จินยองพยักหน้ารับรู้ “สี่โมงครึ่งเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ”
“อืม อย่าลืมล่ะ” เสียงห้าวกล่าวทิ้งท้ายก่อนผละจากไป ทิ้งให้จินยองจมดิ่งกับห้วงความคิดของตัวเอง
โรงยิมอย่างนั้นหรอ? อย่างนี้เขาก็ต้องไปเจอกับคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้น่ะสิ
จินยองไม่อยากเจอ........แค่คิดว่าต้องเจอ ความปวดหนึบก็แล่นริ้วขึ้นมาเกาะกุมอวัยวะเล็กๆที่มีขนาดเท่ากำมืออีกครั้ง
การที่เรารักคนที่เขาไม่รักเราว่าเจ็บแล้ว การที่ต้องทนฟังคนที่เรารักบอกให้เราตัดใจจากเขามันเจ็บยิ่งกว่า...... แต่สิ่งที่เจ็บที่สุดและจินยองกำลังเผชิญมันอยู่ตอนนี้ก็คือ การที่พยายามแค่ไหนแต่ก็ตัดใจจากอีกคนไม่ได้สักที......
ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายามตัดใจ ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเจ็บเพราะอีกฝ่าย ตรงกันข้าม จินยอง เคย พยายามแล้ว......แต่มันทำไม่ได้ ทำไม่ได้......เพราะจินยองรู้ดีว่าต่อให้เขาจะโกหกทุกๆคนได้ แต่เขาจะไม่มีวันโกหกใจของตัวเองได้เลย จะโกหกมันได้อย่างไรในเมื่อมันยังคงเต้นเป็นจังหวะแบบเดิมทุกครั้ง.......จังหวะแบบเดิมมาสองปีแล้ว.......และเป็นจังหวะการเต้นที่เฉพาะสำหรับคนเพียงคนเดียว
แล้วถ้าครั้งนี้จินยองไปเจอเขาคนนั้นอีก มันก็คงไม่ต่างไปจากเดิม...
#Impassible_mn
“เป็นอะไรรึเปล่า พักนี้ฉันเห็นแกดูซึมๆ” เสียงถามที่ดังขึ้นอยู่ข้างตัวทำให้จินยองละมือออกจากโทรศัพท์ที่กำลังกดเลื่อนไปมาเพื่อฆ่าเวลา และแน่นอนว่าเขาเลือกที่จะโกหก
“ถามอะไรแบบนั้น ฉันไม่ได้เป็นอะไร”
“นี่ไอ้พี่มาร์คทำอะไรแกอีกหรือไง ทำไม? มันทำร้ายจิตใจอะไรแกอีก” ยองแจถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นด้วยอารมณ์ คำปฏิเสธของเพื่อนก็คือการยอมรับดีๆนี่เอง
จินยองจึงเพียงแต่นั่งมองหน้าเพื่อนสนิทนิ่งๆ พลางคิดว่านี่เขาอ่านออกง่ายมากเลยสินะ ก่อนส่ายหน้าช้าๆจนผมสีดำสนิทปลิวไปมา
“พี่เขาไม่ได้ทำอะไร... ” ริมฝีปากบางสีธรรมชาติเม้มเข้าหากันอย่างพยายามระงับความรู้สึกอ่อนแอของตัวเอง ถ้อยคำต่อมาเบาจนคล้ายกับไม่ถูกเอ่ยล่วงผ่านลำคอ
“เขาแค่บอกกับฉันว่า.......อย่าเสียเวลากับพี่เขาอีกเลย” น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างแผ่วเบา ประกอบกับดวงตาสีนิลที่รื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำตา ทำให้ยองแจรู้ทันทีว่าเพื่อนสนิทของเขากำลังไม่โอเคอย่างมาก แต่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขามองอดีตพี่รหัสตัวเองในแง่ดี
“ก็ดีแล้วนี่หว่า ฉันไม่เห็นว่าแกควรมานั่งซึมที่ตรงไหน แกเสียใจกับไอ้พี่มาร์คนั่นมานานเกินไปแล้ว” ประโยคที่จริงจังของเพื่อนสนิททำให้จินยองนี่งไป ก่อนเอ่ยสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ออกมา
“ฉันแค่คิดว่าฉันคงทำตัวน่ารำคาญมากเกินไป”
มันคือความจริงที่เขาคิดว่า ......เขาทำตัวน่ารำคาญ จนอีกฝ่ายทนไม่ไหว
“ไอ้บ้า! ถ้าพี่มาร์คมันจะรำคาญแกก็คงรำคาญไปตั้งนานแล้วเปล่าวะ ไม่ใช่มารำคาญอะไรตอนนี้”
เหตุผลของยองแจทำให้อีกฝ่ายนึกคล้อยตาม จริงสินะ....ถ้าจะรำคาญก็คงรำคาญไปนานแล้ว
“ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขารำคาญแล้วทำไมพี่เขาถึงพูดแบบนั้นกับฉันวะ” จินยองคิดไม่ตก
“ไม่รู้เว้ยย !! เผอิญว่าไม่ได้เกิดมาหล่อเลือกได้แบบนั้นว่ะ” คำพูดหงุดหงิดของคนตรงหน้าทำให้จินยองชาวาบไปทั่วร่างราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วดูขาวขึ้นอีกเฉดหนึ่ง
“เป็นอะไรเปล่าวะ? ทำไมทำหน้าเหมือนกับเห็นผี”
“นายกับแบมแบมไปสนิทกันตอนไหน”
“เฮ้ จินยอง!”
“ฉันถามว่านายสองคนไปสนิทกันตอนไหน ทำไมต้องฝากของให้กันด้วย”
“เฮ้ยย! จินยองฉันถามได้ยินรึเปล่า!!” ยองแจตะโกนลั่นจนเพื่อนร่วมคลาสหันขวับมามองที่พวกเขาเป็นตาเดียว
“เปล่า ...ไม่มีอะไร” จินยองยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้าๆ พยายามดึงสติกลับมาที่การสนทนาตรงหน้า
“ทำไมชอบโกหกวะ ก็เห็นอยู่ว่าแกเหม่อ” ตำหนิเพื่อนด้วยเสียงขุ่น
“แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ โทษที” พึมพำขอโทษก่อนบทสนทนาจะยุติลงเพียงแค่นั้นเพราะอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาพอดี ยองแจที่เป็นเด็กเรียนจึงมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่สื่อการสอนของอาจารย์ในทันที
ตรงกันข้ามกับปาร์คจินยองที่สติและสมาธิในการเรียนที่เคยมีถูกทำลายจนแหลกละเอียดด้วยประโยคเมื่อสักครู่ของเพื่อนสนิทไปหมดแล้ว
มันเป็นความจริงที่คนอย่างมาร์คเลือกได้ และแน่นอนว่าคนที่มาร์คเลือก.....ไม่ใช่เขา
#Impassible_mn
คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเดือนสาขาปีหนึ่งไม่ได้มาคนเดียว แต่มากับชายหนุ่มร่างสูงที่กะจากสายตาคงสูงไม่ต่ำกว่า 180 เซนติเมตร
“ นี่ไงพี่จินยอง” เสียงเล็กๆกล่าวแนะนำเขากับชายแปลกหน้า ก่อนที่มือเล็กจะผายมือไปที่อีกคน
“ส่วนนี่ยูคยอมเพื่อนสนิทแบมครับ แบมเล่าให้ยูคฟังว่าพี่จินยองคือคนที่ช่วยติวให้ ยูคมันเลยอยากมาเจอตัวจริง” คนที่ตัวเล็กที่สุดในที่นั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส
“สวัสดีครับพี่จินยอง” รุ่นน้องร่างสูงโค้งตัวลงพร้อมส่งยิ้มจนตาหยีมาให้เขา
“หวัดดี ยินดีที่ได้รู้จักนะ” จินยองพยายามส่งยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย ทว่ามันค่อนข้างแห้งแล้งเต็มที
“นี่ยังไม่มีใครมาเลยหรอ” ถามออกไปเพราะในโรงยิมกว้างนั้นไม่ปรากฏร่องรอยของบุคคลที่สี่
อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าช้าๆ “ยังไม่มีใครมาเลยครับ” แล้วถามกลับอย่างกระตือรือร้น “ เอ่อ พี่จินยองครับแล้วนี่แบมต้องทำอะไรบ้างหรอครับ”
“ก็มีฝึกเรื่องการเดิน การยิ้ม การตอบคำถามอะไรทำนองนี้แหละ ไม่มีอะไรยากหรอก” เขาอธิบายพร้อมตบท้ายด้วยคำปลอบใจ “ ขนาดพี่ยังทำได้เลย ”
เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็ทำตาโต
“โหววว ก็พี่จินยองเก่งหนิครับ” จินยองส่ายหน้าทันทีเมื่อได้ยิน ดวงตาคู่สวยที่ทอดมองคนตรงหน้าหม่นแสงลง
“พี่ไม่เก่งหรอก แบมต่างหากที่เก่ง” ประโยคที่แฝงความนัยบางอย่างนั้นไม่มีใครเข้าใจมันนอกเสียจากคนพูด คนฟังจึงตีความไปอีกอย่าง
“แบมนี่นะครับเก่ง ไม่เก่งเลยครับ ยังจดเล็กเชอร์ไม่ทันด้วยซ้ำไป” แบมแบมหัวเราะแห้งๆให้กับความเชื่องช้าของตัวเอง แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อเสียงพูดคุยไม่เบานักก็ดังแว่วเข้ามาในโรงยิมเป็นสัญญานว่าคนที่เหลือได้ตามมาสมทบแล้ว
“อ้าว มากันแล้วหรอ ขอโทษนะที่ให้รอ” เสียงห้าวๆที่เดินนำเข้ามาทักขึ้น
“นี่ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ” จินยองบอกอีกฝ่าย
“วันนี้เราจะมาเทรนเรื่องการเดินให้แบมกันนะ” เอ่ยพร้อมกับตบไหล่คนที่ถูกพูดถึงเบาๆ
“นี่พี่จินยองก็บอกแบมเหมือนกันครับว่าต้องทำอะไรบ้าง” ร่างเล็กกล่าวขึ้น เป็นเวลาพอดีกับที่กลุ่มคนที่ตามมาทีหลังเข้ามาร่วมกลุ่ม
“เดี๋ยวให้ไอ้มาร์คกับจินยองเดินให้ดูนะ วันนี้ดงฮยอกติดธุระเลยมาไม่ได้”
จินยองระบายลมหายใจออกช้าๆ บางทีถ้าเขามีธุระบ้างก็คงดี .........อย่างน้อยก็ดีกับใจตัวเอง
“โหวว ให้กูนั่งดูเฉยๆนี่นะไอ้บี อุตส่าห์มาทั้งที” แจ็คสันบ่นอุบ
“มึงจะเดินให้น้องมันดูก็ได้นะ ก็ดีเหมือนกัน น้องมันจะได้รู้ไงว่าไม่ควรเดินแบบมึง” ประโยคของเจบีเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน....จะยกเว้นสักคนก็คงเป็นคนที่กำลังจัดการกับความรู้สึกของตัวเองแบบจินยอง
“แหม ดูมึงพูดเข้า ไอ้เพื่อนเวร กูงอนแล้ว ง้อด้วย!” หน้าคมเข้มแบบหนุ่มฮ่องกงบูดบึ้งบ่งบอกว่าถ้อยคำเย้าแหย่จากอีกคนนั้นทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ
“เออ! งอนไปกูไม่ง้อหรอก” เจบีเอ่ยอย่างขำๆ พลางกวักมือเรียกทุกคน
“มาๆนั่งลงได้ละ เดี๋ยวให้สองคนนี้เดินให้ดูก่อน” จบการหยอกล้อกับเพื่อนสนิทประธานปีสี่ก็เริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง
“เออ พี่บีครับ แบมพาเพื่อนมาด้วยจะขอให้นั่งดูด้วยคนได้มั้ยครับ”
“เอาสิ ตามสบายเลย” เจบีว่าอย่างใจดี ร่างเล็กๆจึงกวักมือเรียกชายหนุ่มผมชมพูที่กำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะนั่งหรือจะเดินออกจากโรงยิมดีให้มานั่งดูด้วยกัน
#Impassible_mn
ตอนนี้ทุกคนนั่งลงหมดแล้วมีเพียงจินยองและมาร์คเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ แจ็คสันถูกใช้ให้ไปคุมซาวนด์เพลงประกอบการเดินอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง แน่ล่ะว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกเพื่อนสนิทอย่างเจบีใช้ แต่ก็พอจะแยกแยะได้ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว
ทันทีที่เสียงบรรเลงของดนตรีดังขึ้นร่างสูงโปร่งของมาร์คก็ก้าวเดินไปข้างหน้า ทุกย่างก้าวที่ชายหนุ่มก้าวเดินนั้นเข้ากับจังหวะดนตรีอย่างน่าทึ่ง คล้ายกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชิน ราวกับว่าร่างโปร่งนั้นได้ผ่านการฝึกซ้อมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เหมือนกับว่าสนามกว้างของโรงยิมนั้นคือเวที และผู้ชมเพียงไม่กี่คน ณ ที่นี้ คือคณะกรรมการและนิสิตที่จะเข้าชมในวันประกวดจริง
จินยองมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่ มองด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย มองด้วยความรู้สึกที่ว่า........อย่างมากที่สุดที่เขาสามารถทำได้ก็คือการยืนมองจากตรงนี้
เสียงปรบมืออย่างชื่นชมดังขึ้นจากผู้ชมที่นั่งอยู่เมื่อได้ชมความมืออาชีพของมาร์ค จะเมื่อสามปีที่แล้วหรือตอนนี้ก็แทบไม่แตกต่าง ใครจะไปนึกว่าใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เป็นนิจ คนที่มีโลกส่วนตัวสูงเช่นเขาจะสามารถสวมบทบาทได้อย่างน่าทึ่งเช่นนี้ แม้จินยองจะมองไม่เห็นแต่ก็จดจำมันได้ไม่เคยลืม สองปีที่แล้วเขาเองก็เคยได้นั่งดูคนตรงหน้าสาธิตการเดินแบบนี้ให้ดูเช่นกัน นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่จินยองมีโอกาสได้ดูมาร์คเดินแบบนี้ และนับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้..........ที่จินยองตกหลุมรักซ้ำๆกับคนๆเดิม
เมื่อมาร์คหมุนตัวกลับมา ใบหน้าได้รูปราวกับช่างสลักที่เคยเรียบเฉยบัดนี้มีรอยยิ้มแต้มน้อยๆ ดวงตาคมเป็นประกาย เพราะอีกฝ่ายจงใจ...........จงใจบริหารเสน่ห์ และเป็นเสน่ห์ที่จินยองไม่อาจละสายตาได้เลย.........ไม่อาจละสายตา........เมื่ออีกฝ่ายจงใจมองตรงมาที่เขา..........วินาทีเดียวที่เนิ่นนานในความรู้สึก....... ขาที่กำลังก้าวออกไปสะดุดกลางอากาศ จินยองคิดว่าเขาคงจะล้มหน้าคะมำลงกับพื้น หากไม่มีอ้อมแขนของใครบางคนคว้าเขาไว้ได้ทันเสียก่อน เกือบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนเเข็งแรงที่เข้าประคอง........แต่เพียงเสี้ยววิแรงปะทะที่ไม่เบานักก็ส่งผลให้คนที่กำลังจะล้มและคนที่เข้ามาช่วยล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน
ตึกๆ ตึกๆ
ใบหน้าที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบของมาร์คทำให้จินยองแทบกลั้นหายใจ
“ซุ่มซ่าม” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างตำหนิ ลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายเป่ารดที่เปลือกตา จนทำให้ใบหน้าขาวนวลซับสีเลือด
“ขอโทษครับ” จินยองเอ่ยอย่างแผ่วเบา
“เห้ยย เล่นเอ็มวีกันอยู่หรอวะ” แจ็คสันตะโกนมาจากมุมหนึ่งของห้อง ทำให้มือหนาของอีกฝ่ายดันตัวเขาให้ลุกขึ้นยืนแทบจะในทันที
“เป็นอะไรกันมั้ย” เจบีวิ่งกระหืดกระหอบตามมา
“ผมไม่เป็นอะไรครับ” จินยองตอบอีกฝ่าย เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆของร่างกาย จะมีก็แต่อะไรบางอย่างที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะอยู่นี่สิ
“ฉันก็ไม่เป็นอะไร อ่ะ!” มาร์คนิ่วหน้าทันทีที่พยายามดันตัวเองลุกขึ้นยืน เขาเจ็บ รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า
“ทำไมเจ็บตรงไหน ตรงขารึเปล่า” เจบีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แจ็คสันและคนอื่นๆก็รีบตามเข้ามาดูอาการ
“เออ สงสัยขาจะพลิกว่ะ” เพื่อนทั้งสองของชายหนุ่มจึงรีบเข้าพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น
“ขอโทษนะครับ ถ้าผมไม่ซุ่มซ่ามพี่มาร์คก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัว” จินยองเอ่ยอย่างรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ
“ฉันผิดเองต่างหากที่เข้าไปรับนายไว้” ดวงตาว่างเปล่าและน้ำเสียงที่เอ่ยอย่างเย็นชานั้นทำให้คนฟังหน้าถอดสี ทุกคนในที่นั้นก็ดูจะอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน แจ็คสันกับเจบีได้แต่มองสบตากันไปมา และเป็นแจ็คสันที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์
“ไปๆ ไอ้บีพาไอ้มาร์คไปส่งโรงพยาบาลกัน”
“เออ ทุกคนวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ” เจบีกล่าวทิ้งท้ายก่อนรีบพยุงร่างของเพื่อนสนิทที่ได้รับบาดเจ็บออกไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อทั้งสามคนออกไปแล้ว เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งก็ทยอยตามกันออกไป ในโรงยิมแห่งนั้นจึงเหลือเพียงจินยอง ยูคยอมและแบมแบมที่มองหน้ากันอย่างคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย เงียบกันอยู่ครู่หนึ่งคนอายุมากสุดในที่นั้นก็ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้น
“เราสองคนกลับบ้านกันได้แล้ว” ว่าพลางเดินไปที่กระเป้าเป้ของตัวเอง
“เอ่อ พี่จินยองโอเคใช่มั้ยครับ” เสียงถามขึ้นเบาๆจากคนที่เขาเพิ่งรู้จักในวันนี้ จินยองคลี่ยิ้มอย่างจริงใจให้อีกฝ่าย
“โอเคสิ พี่ชินแล้วล่ะ” คำตอบนั้นทำให้เด็กทั้งคู่มองหน้ากันอย่างงุนงง งุนงงที่ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดแบบนั้น งุนงงที่ว่าทำไมพี่มาร์คถึงพูดไม่ดีกับพี่จินยอง งุนงงที่ว่าทำไมแววตาของพี่จินยองถึงดูเศร้าเหลือเกิน
“กลับบ้านกันดีๆนะ พี่ไปล่ะ”
#Impassible_mn
ร่างบางเดินออกจากโรงยิมอย่างเหม่อลอย นึกสงสัยกับตัวเองว่าจะมีสักกี่คนกันที่ทำให้เราทั้งสุขและเศร้า จะมีสักกี่คนกันที่ให้รอยยิ้มในขณะเดียวกันก็ให้หยาดน้ำตา และจะมีสักกี่คนกันที่ทำให้หัวใจเราเต้นแรงและหลังจากนั้นก็พูดทำร้ายกันอย่างไม่มีเยื่อใย
คงมีแค่คนเดียว ในชีวิตที่ผ่านมาจินยองเคยเจอเขาแค่คนเดียว และมาร์คก็เป็นคำตอบของทุกอย่าง ......เป็นคำตอบของสมการข้อนี้
เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น หน้าจอแสดงชื่อว่า “คนขี้บ่น”
“ฮัลโหล” จินยองกรอกเสียงผ่านอุปกรณ์สื่อสาร
“นี่แกเลิกยังวะ ห้องสมุดจะปิดแล้วนะ ฉันไม่อยากไปเจอไอ้พี่พวกนั้นนะเว้ย” เสียงปลายสายบ่นเป็นการทักทายกลับมา
“เออๆ นี่ฉันอยู่หน้าห้องสมุดแล้ว แกออกมาได้เลย”
วางสายได้ไม่ถึงสองนาทีร่างเล็กๆของยองแจก็วิ่งตรงมาที่เขา
“มาแล้วๆ เป็นไงบ้าง การเทรนของแก” ถามขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบานัก
“ยังไม่ถึงไหนเลย พี่มาร์คเท้าพลิกก่อนน่ะ”
“หืม ว่าไงนะ” ยองแจทวนคำอย่างไม่เชื่อหู
“จริงๆมันก็เป็นความผิดฉันเองแหละ ฉันซุ่มซ่ามหกล้ม พี่เขาเลยมาช่วยรับไว้” เล่าถึงตรงนี้เสียงที่เคยแจ่มใสก็เจือปนไปด้วยความเศร้า ประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายเอ่ยนั้น เขายังจำมันได้ดี
“ไม่อยากจะเชื่อ คนอย่างไอ้พี่มาร์คขี้เก๊กนั่นน่ะนะจะมาช่วยนาย” ศรีษะกลมส่ายไปมาอย่างไม่เชื่อถือ “ถ้าบอกว่าปล่อยให้นายหกล้มหัวฟาดพื้นยังจะน่าเชื่อมากกว่า”
ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นจินยองก็อ่อนใจ รู้ว่าอีกฝ่ายมีอคติแต่ก็ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้
“แกก็พูดเกินไป พี่เขาไม่ได้ใจดำขนาดนั้นหรอก” ไม่ได้ใจดำแต่ใจร้าย ใจร้ายและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง
“แหม เข้าข้างตลอด เมื่อไหร่หูตาจะสว่างสักทีนะจินยอง” ยองแจกล่าวขึ้นด้วยเสียงเอือมระอา
“พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง” คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างค้นหาคำตอบ
“ก็หมายความอย่างที่ฉันพูด แกอ่ะนิสัยดีนะเว้ย หน้าตาก็ดี จะไปรักคนแบบนั้นทำไมวะ เย็นชาก็เท่านั้น ใจร้ายก็เท่านั้น ทำไมไม่หัดมองคนอื่นที่ดีๆบ้าง” ยองแจไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเพื่อนอย่างปาร์คจินยองเลยจริงๆ
“ถ้าแกรักใครสักคน แกรักเพราะอะไรวะ รักเพราะว่าเขาดีอย่างที่แกต้องการอย่างนั้นหรอ” ยองแจเงียบไปเมื่อโดนอีกฝ่ายถามกลับ เงียบ.......เพราะเขาตามความคิดของคนตรงหน้าไม่ทัน
“จะบอกให้นะถ้ารักแกสักใครสักคนเพราะว่าเขาดีอย่างที่แกต้องการอ่ะ ความรักของแกไม่มีวันยั่งยืนหรือมั่นคงหรอก” คราวนี้คนฟังเป็นฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันบ้าง
“เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะไม่มีใครบนโลกนี้หรอกนะที่จะดีและสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง คนทุกคนล้วนมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวเอง ถ้าแกจะรักใครสักคนจริงๆก็ควรรักเขาที่เขาเป็นเขา ไม่ได้รักเพราะว่าเขาดีแบบที่แกวาดฝันไว้ เพราะอะไรรู้มั้ย? เพราะถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเกิดมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิม ก็เท่ากับว่าเขาไม่ดีพอแล้วในสายตาของแก” พูดถึงตรงนี้ดวงตาที่มองคนเป็นเพื่อนอยู่ก็เสมองไปทางอื่น ........บางทีอาจจะเป็นทิศที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ก็เป็นได้
“แต่ถ้าแกรักใครสักคน แล้วเขาถึงสมบูรณ์แบบ ทีนี้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่ว่าเขาจะไม่ดีในสายตาของใคร แต่สำหรับแก เขาก็จะยังคงเป็นเขา เป็นคนที่ดีที่สุดในสายตาแกเสมอ มันเลยยากที่จะเลิกรัก ยากที่จะตัดใจ”
ได้ยินความคิดของคนตรงหน้าที่พรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด ยองแจก็ยอมรับว่าความคิดของอีกฝ่ายลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเหลือเกิน จนทำให้อดไม่ได้ที่กังวล
“อย่างนี้แกจะไม่มีวันเลิกชอบพี่มาร์คจริงๆหรอวะ”
จินยองระบายลมหายใจยาวก่อนตอบ
“มันก็คงมีสักวันแหละ แค่ไม่รู้ว่าวันไหน หรือบางทีฉันอาจจะยังเจ็บไม่มากพอก็ได้นะ”
ยองแจมองอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ ถ้าจะว่ากันตามตรงเรื่องของความรู้สึกมันก็เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้นะว่ามั้ย ?......จึงได้แต่ตบบ่าเพื่อนรักเบาๆเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจไปพร้อมๆกัน
#Impassible_mn
MoonDream_
ความคิดเห็น