ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #7 : Chapter 6 : My answer

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59


    6

    My  answer






    It takes a minute to have a crush on someone, an hour to like someone and a day to love someone but it takes a lifetime to forget someone.



















    #Impassible_mn
















     

    ตั้งแต่ที่ได้ยินคำพูดนั้นจากอีกฝ่าย   จินยองก็ไม่ได้พบกับมาร์คอีกเลย   จนบางครั้งก็อดสงสัยไม่ได้ว่าที่ผ่านมาคงเป็นเพราะตัวของเขาเองที่พยายามหาหนทางเพื่อจะไปเจอ   พยายามเข้าใกล้    พยายามชวนคุย.........พยายามทั้งหมด.......อยู่ฝ่ายเดียว

     
     

     ตอนนี้เมื่อจินยองเลิกพยายามแล้ว   เขากับมาร์คจึงไม่มีอะไรทำให้ต้องโคจรมาพบกันอีก  จนกระทั่ง

     
     

    “จินยอง วันนี้ตอนเย็นมีนัดที่โรงยิมนะ”     เสียงห้าวๆจากเจบีดังขึ้น  เมื่ออีกฝ่ายเดินสวนกับเขาที่ห้องน้ำชั้นหนึ่ง




     “มีอะไรหรอครับ?”     ถามอย่างสงสัยเพราะนึกไม่ออกจริงๆว่าเขาต้องไปทำอะไรที่นั่นอีก

     
     

    “เอ้า !    ลืมไปแล้วหรือไงว่าวันนี้เรามีนัดเทรนแบมแบมกัน” 

     






     

    ลืมงั้นหรอ.....ใช่....เขาลืมมันจริงๆนั่นแหละ สองสามวันนี้จิตใจเขาไม่ค่อยอยู่กับเหนือกับตัวอย่างไรพิกล

     






     

    “อ้อ ครับ”      จินยองพยักหน้ารับรู้     “สี่โมงครึ่งเหมือนเดิมใช่มั้ยครับ” 

     

     

    “อืม  อย่าลืมล่ะ”    เสียงห้าวกล่าวทิ้งท้ายก่อนผละจากไป  ทิ้งให้จินยองจมดิ่งกับห้วงความคิดของตัวเอง


     




     โรงยิมอย่างนั้นหรอ อย่างนี้เขาก็ต้องไปเจอกับคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้น่ะสิ

     




     

    จินยองไม่อยากเจอ........แค่คิดว่าต้องเจอ    ความปวดหนึบก็แล่นริ้วขึ้นมาเกาะกุมอวัยวะเล็กๆที่มีขนาดเท่ากำมืออีกครั้ง

     



    การที่เรารักคนที่เขาไม่รักเราว่าเจ็บแล้ว      การที่ต้องทนฟังคนที่เรารักบอกให้เราตัดใจจากเขามันเจ็บยิ่งกว่า...... แต่สิ่งที่เจ็บที่สุดและจินยองกำลังเผชิญมันอยู่ตอนนี้ก็คือ  การที่พยายามแค่ไหนแต่ก็ตัดใจจากอีกคนไม่ได้สักที......

     

     

    ไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายามตัดใจ  ไม่ใช่ว่าเขาอยากจะเจ็บเพราะอีกฝ่าย    ตรงกันข้าม  จินยอง เคย พยายามแล้ว......แต่มันทำไม่ได้     ทำไม่ได้......เพราะจินยองรู้ดีว่าต่อให้เขาจะโกหกทุกๆคนได้    แต่เขาจะไม่มีวันโกหกใจของตัวเองได้เลย   จะโกหกมันได้อย่างไรในเมื่อมันยังคงเต้นเป็นจังหวะแบบเดิมทุกครั้ง.......จังหวะแบบเดิมมาสองปีแล้ว.......และเป็นจังหวะการเต้นที่เฉพาะสำหรับคนเพียงคนเดียว

     






     

    แล้วถ้าครั้งนี้จินยองไปเจอเขาคนนั้นอีก       มันก็คงไม่ต่างไปจากเดิม...

     

     









     

    #Impassible_mn

     





     

    “เป็นอะไรรึเปล่า พักนี้ฉันเห็นแกดูซึมๆ”     เสียงถามที่ดังขึ้นอยู่ข้างตัวทำให้จินยองละมือออกจากโทรศัพท์ที่กำลังกดเลื่อนไปมาเพื่อฆ่าเวลา  และแน่นอนว่าเขาเลือกที่จะโกหก

     
     

    “ถามอะไรแบบนั้น  ฉันไม่ได้เป็นอะไร” 

     
     

    “นี่ไอ้พี่มาร์คทำอะไรแกอีกหรือไง  ทำไม?   มันทำร้ายจิตใจอะไรแกอีก”   ยองแจถามด้วยเสียงที่ดังขึ้นด้วยอารมณ์  คำปฏิเสธของเพื่อนก็คือการยอมรับดีๆนี่เอง  

     

     

    จินยองจึงเพียงแต่นั่งมองหน้าเพื่อนสนิทนิ่งๆ   พลางคิดว่านี่เขาอ่านออกง่ายมากเลยสินะ  ก่อนส่ายหน้าช้าๆจนผมสีดำสนิทปลิวไปมา

     

     

    “พี่เขาไม่ได้ทำอะไร...  ”     ริมฝีปากบางสีธรรมชาติเม้มเข้าหากันอย่างพยายามระงับความรู้สึกอ่อนแอของตัวเอง   ถ้อยคำต่อมาเบาจนคล้ายกับไม่ถูกเอ่ยล่วงผ่านลำคอ 




     “เขาแค่บอกกับฉันว่า.......อย่าเสียเวลากับพี่เขาอีกเลย”      น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างแผ่วเบา   ประกอบกับดวงตาสีนิลที่รื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำตา  ทำให้ยองแจรู้ทันทีว่าเพื่อนสนิทของเขากำลังไม่โอเคอย่างมาก    แต่นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขามองอดีตพี่รหัสตัวเองในแง่ดี

     
     

    “ก็ดีแล้วนี่หว่า  ฉันไม่เห็นว่าแกควรมานั่งซึมที่ตรงไหน  แกเสียใจกับไอ้พี่มาร์คนั่นมานานเกินไปแล้ว”   ประโยคที่จริงจังของเพื่อนสนิททำให้จินยองนี่งไป  ก่อนเอ่ยสิ่งที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ออกมา

     

     

    “ฉันแค่คิดว่าฉันคงทำตัวน่ารำคาญมากเกินไป” 

     

     

    มันคือความจริงที่เขาคิดว่า ......เขาทำตัวน่ารำคาญ   จนอีกฝ่ายทนไม่ไหว

     



     

    “ไอ้บ้า!   ถ้าพี่มาร์คมันจะรำคาญแกก็คงรำคาญไปตั้งนานแล้วเปล่าวะ  ไม่ใช่มารำคาญอะไรตอนนี้”

    เหตุผลของยองแจทำให้อีกฝ่ายนึกคล้อยตาม  จริงสินะ....ถ้าจะรำคาญก็คงรำคาญไปนานแล้ว 

     

     

                    “ถ้าไม่ใช่เพราะพี่เขารำคาญแล้วทำไมพี่เขาถึงพูดแบบนั้นกับฉันวะ”    จินยองคิดไม่ตก

     

     

                    “ไม่รู้เว้ยย !!  เผอิญว่าไม่ได้เกิดมาหล่อเลือกได้แบบนั้นว่ะ”    คำพูดหงุดหงิดของคนตรงหน้าทำให้จินยองชาวาบไปทั่วร่างราวกับถูกราดด้วยน้ำเย็นจัด   ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วดูขาวขึ้นอีกเฉดหนึ่ง

     

     

                    “เป็นอะไรเปล่าวะ?   ทำไมทำหน้าเหมือนกับเห็นผี”

     

     

    นายกับแบมแบมไปสนิทกันตอนไหน” 

     


     

     “เฮ้   จินยอง!

     

     

    ฉันถามว่านายสองคนไปสนิทกันตอนไหน  ทำไมต้องฝากของให้กันด้วย




     

    “เฮ้ยย จินยองฉันถามได้ยินรึเปล่า!!”    ยองแจตะโกนลั่นจนเพื่อนร่วมคลาสหันขวับมามองที่พวกเขาเป็นตาเดียว

     

     

    “เปล่า ...ไม่มีอะไร”     จินยองยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเองช้าๆ พยายามดึงสติกลับมาที่การสนทนาตรงหน้า





    “ทำไมชอบโกหกวะ  ก็เห็นอยู่ว่าแกเหม่อ”    ตำหนิเพื่อนด้วยเสียงขุ่น

     
     

    “แค่คิดอะไรนิดหน่อยน่ะ โทษที”    พึมพำขอโทษก่อนบทสนทนาจะยุติลงเพียงแค่นั้นเพราะอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามาพอดี  ยองแจที่เป็นเด็กเรียนจึงมุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่สื่อการสอนของอาจารย์ในทันที



    ตรงกันข้ามกับปาร์คจินยองที่สติและสมาธิในการเรียนที่เคยมีถูกทำลายจนแหลกละเอียดด้วยประโยคเมื่อสักครู่ของเพื่อนสนิทไปหมดแล้ว

     



     

    มันเป็นความจริงที่คนอย่างมาร์คเลือกได้   และแน่นอนว่าคนที่มาร์คเลือก.....ไม่ใช่เขา

     

     







     

    #Impassible_mn

     









     

    คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นว่าเดือนสาขาปีหนึ่งไม่ได้มาคนเดียว   แต่มากับชายหนุ่มร่างสูงที่กะจากสายตาคงสูงไม่ต่ำกว่า  180 เซนติเมตร

     
     

    “ นี่ไงพี่จินยอง”     เสียงเล็กๆกล่าวแนะนำเขากับชายแปลกหน้า  ก่อนที่มือเล็กจะผายมือไปที่อีกคน

     

     

    “ส่วนนี่ยูคยอมเพื่อนสนิทแบมครับ  แบมเล่าให้ยูคฟังว่าพี่จินยองคือคนที่ช่วยติวให้ ยูคมันเลยอยากมาเจอตัวจริง”     คนที่ตัวเล็กที่สุดในที่นั้นเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มสดใส

     

     

    “สวัสดีครับพี่จินยอง”    รุ่นน้องร่างสูงโค้งตัวลงพร้อมส่งยิ้มจนตาหยีมาให้เขา

     
     

    “หวัดดี ยินดีที่ได้รู้จักนะ”     จินยองพยายามส่งยิ้มบางๆให้อีกฝ่าย ทว่ามันค่อนข้างแห้งแล้งเต็มที

     
     

    “นี่ยังไม่มีใครมาเลยหรอ”     ถามออกไปเพราะในโรงยิมกว้างนั้นไม่ปรากฏร่องรอยของบุคคลที่สี่

     
     

    อีกฝ่ายเพียงส่ายหน้าช้าๆ   “ยังไม่มีใครมาเลยครับ”    แล้วถามกลับอย่างกระตือรือร้น   “ เอ่อ พี่จินยองครับแล้วนี่แบมต้องทำอะไรบ้างหรอครับ”   

     
     

    “ก็มีฝึกเรื่องการเดิน การยิ้ม การตอบคำถามอะไรทำนองนี้แหละ  ไม่มีอะไรยากหรอก”     เขาอธิบายพร้อมตบท้ายด้วยคำปลอบใจ   “ ขนาดพี่ยังทำได้เลย ”

     

     

    เพียงเท่านั้นอีกฝ่ายก็ทำตาโต

     

     

    “โหววว ก็พี่จินยองเก่งหนิครับ”    จินยองส่ายหน้าทันทีเมื่อได้ยิน  ดวงตาคู่สวยที่ทอดมองคนตรงหน้าหม่นแสงลง

     
     

     “พี่ไม่เก่งหรอก   แบมต่างหากที่เก่ง”    ประโยคที่แฝงความนัยบางอย่างนั้นไม่มีใครเข้าใจมันนอกเสียจากคนพูด  คนฟังจึงตีความไปอีกอย่าง

     

     

    “แบมนี่นะครับเก่ง ไม่เก่งเลยครับ ยังจดเล็กเชอร์ไม่ทันด้วยซ้ำไป”    แบมแบมหัวเราะแห้งๆให้กับความเชื่องช้าของตัวเอง   แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไรกันต่อเสียงพูดคุยไม่เบานักก็ดังแว่วเข้ามาในโรงยิมเป็นสัญญานว่าคนที่เหลือได้ตามมาสมทบแล้ว

     
     

    “อ้าว มากันแล้วหรอ  ขอโทษนะที่ให้รอ”    เสียงห้าวๆที่เดินนำเข้ามาทักขึ้น

     

     

    “นี่ผมก็เพิ่งมาถึงเหมือนกันครับ”    จินยองบอกอีกฝ่าย

     

     

    “วันนี้เราจะมาเทรนเรื่องการเดินให้แบมกันนะ”    เอ่ยพร้อมกับตบไหล่คนที่ถูกพูดถึงเบาๆ

     

     

    “นี่พี่จินยองก็บอกแบมเหมือนกันครับว่าต้องทำอะไรบ้าง”    ร่างเล็กกล่าวขึ้น  เป็นเวลาพอดีกับที่กลุ่มคนที่ตามมาทีหลังเข้ามาร่วมกลุ่ม

     

     

    “เดี๋ยวให้ไอ้มาร์คกับจินยองเดินให้ดูนะ วันนี้ดงฮยอกติดธุระเลยมาไม่ได้”

     



     

    จินยองระบายลมหายใจออกช้าๆ   บางทีถ้าเขามีธุระบ้างก็คงดี .........อย่างน้อยก็ดีกับใจตัวเอง

     



     

    “โหวว ให้กูนั่งดูเฉยๆนี่นะไอ้บี  อุตส่าห์มาทั้งที”     แจ็คสันบ่นอุบ

     

     

    “มึงจะเดินให้น้องมันดูก็ได้นะ ก็ดีเหมือนกัน  น้องมันจะได้รู้ไงว่าไม่ควรเดินแบบมึง”     ประโยคของเจบีเรียกเสียงหัวเราะได้จากทุกคน....จะยกเว้นสักคนก็คงเป็นคนที่กำลังจัดการกับความรู้สึกของตัวเองแบบจินยอง

     
     

    “แหม  ดูมึงพูดเข้า  ไอ้เพื่อนเวร กูงอนแล้ว  ง้อด้วย!”    หน้าคมเข้มแบบหนุ่มฮ่องกงบูดบึ้งบ่งบอกว่าถ้อยคำเย้าแหย่จากอีกคนนั้นทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

     

     

    “เออ!  งอนไปกูไม่ง้อหรอก”    เจบีเอ่ยอย่างขำๆ พลางกวักมือเรียกทุกคน

     

     

    “มาๆนั่งลงได้ละ เดี๋ยวให้สองคนนี้เดินให้ดูก่อน”     จบการหยอกล้อกับเพื่อนสนิทประธานปีสี่ก็เริ่มเข้าสู่โหมดจริงจัง

     

     

    “เออ พี่บีครับ  แบมพาเพื่อนมาด้วยจะขอให้นั่งดูด้วยคนได้มั้ยครับ”

     


     

    “เอาสิ   ตามสบายเลย”    เจบีว่าอย่างใจดี  ร่างเล็กๆจึงกวักมือเรียกชายหนุ่มผมชมพูที่กำลังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะนั่งหรือจะเดินออกจากโรงยิมดีให้มานั่งดูด้วยกัน

      









     

    #Impassible_mn












     

    ตอนนี้ทุกคนนั่งลงหมดแล้วมีเพียงจินยองและมาร์คเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่     แจ็คสันถูกใช้ให้ไปคุมซาวนด์เพลงประกอบการเดินอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง   แน่ล่ะว่าอีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจนักที่ถูกเพื่อนสนิทอย่างเจบีใช้   แต่ก็พอจะแยกแยะได้ระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว

     
     

    ทันทีที่เสียงบรรเลงของดนตรีดังขึ้นร่างสูงโปร่งของมาร์คก็ก้าวเดินไปข้างหน้า   ทุกย่างก้าวที่ชายหนุ่มก้าวเดินนั้นเข้ากับจังหวะดนตรีอย่างน่าทึ่ง    คล้ายกับว่ามันเป็นสิ่งที่เขาคุ้นชิน    ราวกับว่าร่างโปร่งนั้นได้ผ่านการฝึกซ้อมมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน     เหมือนกับว่าสนามกว้างของโรงยิมนั้นคือเวที    และผู้ชมเพียงไม่กี่คน ณ ที่นี้ คือคณะกรรมการและนิสิตที่จะเข้าชมในวันประกวดจริง  

     



     

     จินยองมองตามแผ่นหลังของคนที่เดินอยู่    มองด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย   มองด้วยความรู้สึกที่ว่า........อย่างมากที่สุดที่เขาสามารถทำได้ก็คือการยืนมองจากตรงนี้ 

       


     

    เสียงปรบมืออย่างชื่นชมดังขึ้นจากผู้ชมที่นั่งอยู่เมื่อได้ชมความมืออาชีพของมาร์ค   จะเมื่อสามปีที่แล้วหรือตอนนี้ก็แทบไม่แตกต่าง    ใครจะไปนึกว่าใบหน้าที่เรียบเฉยอยู่เป็นนิจ   คนที่มีโลกส่วนตัวสูงเช่นเขาจะสามารถสวมบทบาทได้อย่างน่าทึ่งเช่นนี้     แม้จินยองจะมองไม่เห็นแต่ก็จดจำมันได้ไม่เคยลืม   สองปีที่แล้วเขาเองก็เคยได้นั่งดูคนตรงหน้าสาธิตการเดินแบบนี้ให้ดูเช่นกัน    นับเป็นครั้งที่สามแล้วที่จินยองมีโอกาสได้ดูมาร์คเดินแบบนี้     และนับเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้..........ที่จินยองตกหลุมรักซ้ำๆกับคนๆเดิม 

     



     

    เมื่อมาร์คหมุนตัวกลับมา    ใบหน้าได้รูปราวกับช่างสลักที่เคยเรียบเฉยบัดนี้มีรอยยิ้มแต้มน้อยๆ ดวงตาคมเป็นประกาย   เพราะอีกฝ่ายจงใจ...........จงใจบริหารเสน่ห์   และเป็นเสน่ห์ที่จินยองไม่อาจละสายตาได้เลย.........ไม่อาจละสายตา........เมื่ออีกฝ่ายจงใจมองตรงมาที่เขา..........วินาทีเดียวที่เนิ่นนานในความรู้สึก....... ขาที่กำลังก้าวออกไปสะดุดกลางอากาศ     จินยองคิดว่าเขาคงจะล้มหน้าคะมำลงกับพื้น   หากไม่มีอ้อมแขนของใครบางคนคว้าเขาไว้ได้ทันเสียก่อน     เกือบถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อรู้สึกได้ถึงอ้อมแขนเเข็งแรงที่เข้าประคอง........แต่เพียงเสี้ยววิแรงปะทะที่ไม่เบานักก็ส่งผลให้คนที่กำลังจะล้มและคนที่เข้ามาช่วยล้มกลิ้งลงไปด้วยกัน





     ตึกๆ ตึกๆ







     

    ใบหน้าที่อยู่ห่างไม่ถึงคืบของมาร์คทำให้จินยองแทบกลั้นหายใจ

     





     

    “ซุ่มซ่าม”    เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นอย่างตำหนิ    ลมหายใจอุ่นๆของอีกฝ่ายเป่ารดที่เปลือกตา   จนทำให้ใบหน้าขาวนวลซับสีเลือด

     

     

    “ขอโทษครับ”    จินยองเอ่ยอย่างแผ่วเบา

     

     

    “เห้ยย   เล่นเอ็มวีกันอยู่หรอวะ”    แจ็คสันตะโกนมาจากมุมหนึ่งของห้อง  ทำให้มือหนาของอีกฝ่ายดันตัวเขาให้ลุกขึ้นยืนแทบจะในทันที

     


     

    “เป็นอะไรกันมั้ย”    เจบีวิ่งกระหืดกระหอบตามมา



     

    “ผมไม่เป็นอะไรครับ”    จินยองตอบอีกฝ่าย   เขาไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใดๆของร่างกาย  จะมีก็แต่อะไรบางอย่างที่ยังคงเต้นเป็นจังหวะอยู่นี่สิ

     
     

    “ฉันก็ไม่เป็นอะไร  อ่ะ!”     มาร์คนิ่วหน้าทันทีที่พยายามดันตัวเองลุกขึ้นยืน  เขาเจ็บ รู้สึกเจ็บที่ข้อเท้า



    “ทำไมเจ็บตรงไหน ตรงขารึเปล่า”    เจบีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง   แจ็คสันและคนอื่นๆก็รีบตามเข้ามาดูอาการ





    “เออ  สงสัยขาจะพลิกว่ะ”     เพื่อนทั้งสองของชายหนุ่มจึงรีบเข้าพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้น

     

     

    “ขอโทษนะครับ ถ้าผมไม่ซุ่มซ่ามพี่มาร์คก็คงไม่ต้องมาเจ็บตัว”    จินยองเอ่ยอย่างรู้สึกผิดที่เป็นสาเหตุให้อีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ



    “ฉันผิดเองต่างหากที่เข้าไปรับนายไว้”     ดวงตาว่างเปล่าและน้ำเสียงที่เอ่ยอย่างเย็นชานั้นทำให้คนฟังหน้าถอดสี ทุกคนในที่นั้นก็ดูจะอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน   แจ็คสันกับเจบีได้แต่มองสบตากันไปมา   และเป็นแจ็คสันที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์

     

     

    “ไปๆ ไอ้บีพาไอ้มาร์คไปส่งโรงพยาบาลกัน” 

     


     

    “เออ ทุกคนวันนี้พอแค่นี้ก่อนนะ”    เจบีกล่าวทิ้งท้ายก่อนรีบพยุงร่างของเพื่อนสนิทที่ได้รับบาดเจ็บออกไปอย่างรวดเร็ว

     




     

    เมื่อทั้งสามคนออกไปแล้ว   เสียงฝีเท้าของคนกลุ่มหนึ่งก็ทยอยตามกันออกไป  ในโรงยิมแห่งนั้นจึงเหลือเพียงจินยอง  ยูคยอมและแบมแบมที่มองหน้ากันอย่างคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรด้วย   เงียบกันอยู่ครู่หนึ่งคนอายุมากสุดในที่นั้นก็ตัดสินใจทำลายความเงียบขึ้น

     

     

    “เราสองคนกลับบ้านกันได้แล้ว”    ว่าพลางเดินไปที่กระเป้าเป้ของตัวเอง

     

     

    “เอ่อ พี่จินยองโอเคใช่มั้ยครับ”  เสียงถามขึ้นเบาๆจากคนที่เขาเพิ่งรู้จักในวันนี้   จินยองคลี่ยิ้มอย่างจริงใจให้อีกฝ่าย




    “โอเคสิ พี่ชินแล้วล่ะ”    คำตอบนั้นทำให้เด็กทั้งคู่มองหน้ากันอย่างงุนงง    งุนงงที่ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงพูดแบบนั้น งุนงงที่ว่าทำไมพี่มาร์คถึงพูดไม่ดีกับพี่จินยอง     งุนงงที่ว่าทำไมแววตาของพี่จินยองถึงดูเศร้าเหลือเกิน





    “กลับบ้านกันดีๆนะ พี่ไปล่ะ”

     









     

    #Impassible_mn

     

     




     

    ร่างบางเดินออกจากโรงยิมอย่างเหม่อลอย   นึกสงสัยกับตัวเองว่าจะมีสักกี่คนกันที่ทำให้เราทั้งสุขและเศร้า  จะมีสักกี่คนกันที่ให้รอยยิ้มในขณะเดียวกันก็ให้หยาดน้ำตา   และจะมีสักกี่คนกันที่ทำให้หัวใจเราเต้นแรงและหลังจากนั้นก็พูดทำร้ายกันอย่างไม่มีเยื่อใย

     


     

    คงมีแค่คนเดียว    ในชีวิตที่ผ่านมาจินยองเคยเจอเขาแค่คนเดียว    และมาร์คก็เป็นคำตอบของทุกอย่าง ......เป็นคำตอบของสมการข้อนี้

     








     

    เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ดังขึ้น  หน้าจอแสดงชื่อว่า “คนขี้บ่น”

     




     

    “ฮัลโหล”    จินยองกรอกเสียงผ่านอุปกรณ์สื่อสาร

     
     

    “นี่แกเลิกยังวะ ห้องสมุดจะปิดแล้วนะ ฉันไม่อยากไปเจอไอ้พี่พวกนั้นนะเว้ย”    เสียงปลายสายบ่นเป็นการทักทายกลับมา

     

    “เออๆ  นี่ฉันอยู่หน้าห้องสมุดแล้ว แกออกมาได้เลย”

     




     

    วางสายได้ไม่ถึงสองนาทีร่างเล็กๆของยองแจก็วิ่งตรงมาที่เขา

     




     

    “มาแล้วๆ  เป็นไงบ้าง   การเทรนของแก”    ถามขึ้นด้วยเสียงที่ไม่เบานัก

     
     

    “ยังไม่ถึงไหนเลย   พี่มาร์คเท้าพลิกก่อนน่ะ”

     
     

    “หืม ว่าไงนะ”    ยองแจทวนคำอย่างไม่เชื่อหู

     
     

    “จริงๆมันก็เป็นความผิดฉันเองแหละ   ฉันซุ่มซ่ามหกล้ม  พี่เขาเลยมาช่วยรับไว้”    เล่าถึงตรงนี้เสียงที่เคยแจ่มใสก็เจือปนไปด้วยความเศร้า   ประโยคสุดท้ายที่อีกฝ่ายเอ่ยนั้น    เขายังจำมันได้ดี

     

     

    “ไม่อยากจะเชื่อ คนอย่างไอ้พี่มาร์คขี้เก๊กนั่นน่ะนะจะมาช่วยนาย”    ศรีษะกลมส่ายไปมาอย่างไม่เชื่อถือ     “ถ้าบอกว่าปล่อยให้นายหกล้มหัวฟาดพื้นยังจะน่าเชื่อมากกว่า”

     





     

    ได้ยินเพื่อนพูดแบบนั้นจินยองก็อ่อนใจ   รู้ว่าอีกฝ่ายมีอคติแต่ก็ไม่คิดว่าจะมากขนาดนี้

     







     

    “แกก็พูดเกินไป พี่เขาไม่ได้ใจดำขนาดนั้นหรอก”    ไม่ได้ใจดำแต่ใจร้าย   ใจร้ายและเย็นชาราวกับน้ำแข็ง





    “แหม เข้าข้างตลอด   เมื่อไหร่หูตาจะสว่างสักทีนะจินยอง”  ยองแจกล่าวขึ้นด้วยเสียงเอือมระอา

     

     

    “พูดแบบนั้นหมายความว่ายังไง”   คิ้วเรียวขมวดมุ่นเข้าหากัน พลางจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างค้นหาคำตอบ




    “ก็หมายความอย่างที่ฉันพูด แกอ่ะนิสัยดีนะเว้ย หน้าตาก็ดี จะไปรักคนแบบนั้นทำไมวะ เย็นชาก็เท่านั้น ใจร้ายก็เท่านั้น ทำไมไม่หัดมองคนอื่นที่ดีๆบ้าง”    ยองแจไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเพื่อนอย่างปาร์คจินยองเลยจริงๆ

     


     

    “ถ้าแกรักใครสักคน   แกรักเพราะอะไรวะ   รักเพราะว่าเขาดีอย่างที่แกต้องการอย่างนั้นหรอ”    ยองแจเงียบไปเมื่อโดนอีกฝ่ายถามกลับ เงียบ.......เพราะเขาตามความคิดของคนตรงหน้าไม่ทัน

     


     

    “จะบอกให้นะถ้ารักแกสักใครสักคนเพราะว่าเขาดีอย่างที่แกต้องการอ่ะ    ความรักของแกไม่มีวันยั่งยืนหรือมั่นคงหรอก”      คราวนี้คนฟังเป็นฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันบ้าง  

     


     

    “เพราะอะไรรู้มั้ย เพราะไม่มีใครบนโลกนี้หรอกนะที่จะดีและสมบูรณ์แบบไปหมดทุกอย่าง คนทุกคนล้วนมีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัวเอง   ถ้าแกจะรักใครสักคนจริงๆก็ควรรักเขาที่เขาเป็นเขา   ไม่ได้รักเพราะว่าเขาดีแบบที่แกวาดฝันไว้   เพราะอะไรรู้มั้ย?   เพราะถ้าวันใดวันหนึ่งเขาเกิดมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิม   ก็เท่ากับว่าเขาไม่ดีพอแล้วในสายตาของแก”     พูดถึงตรงนี้ดวงตาที่มองคนเป็นเพื่อนอยู่ก็เสมองไปทางอื่น ........บางทีอาจจะเป็นทิศที่โรงพยาบาลตั้งอยู่ก็เป็นได้

     

     

    “แต่ถ้าแกรักใครสักคน  แล้วเขาถึงสมบูรณ์แบบ  ทีนี้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ ไม่ว่าเขาจะไม่ดีในสายตาของใคร  แต่สำหรับแก  เขาก็จะยังคงเป็นเขา  เป็นคนที่ดีที่สุดในสายตาแกเสมอ  มันเลยยากที่จะเลิกรัก   ยากที่จะตัดใจ”

     




     

    ได้ยินความคิดของคนตรงหน้าที่พรั่งพรูออกมาเป็นคำพูด ยองแจก็ยอมรับว่าความคิดของอีกฝ่ายลึกซึ้งและละเอียดอ่อนเหลือเกิน    จนทำให้อดไม่ได้ที่กังวล

     
     

    “อย่างนี้แกจะไม่มีวันเลิกชอบพี่มาร์คจริงๆหรอวะ”   

     





     

    จินยองระบายลมหายใจยาวก่อนตอบ

     



    “มันก็คงมีสักวันแหละ  แค่ไม่รู้ว่าวันไหน หรือบางทีฉันอาจจะยังเจ็บไม่มากพอก็ได้นะ”

     






     

    ยองแจมองอีกฝ่ายด้วยความเห็นใจ    ถ้าจะว่ากันตามตรงเรื่องของความรู้สึกมันก็เป็นเรื่องที่บังคับกันไม่ได้นะว่ามั้ย ?......จึงได้แต่ตบบ่าเพื่อนรักเบาๆเป็นการปลอบใจและให้กำลังใจไปพร้อมๆกัน

     












     

    #Impassible_mn

     












     

    MoonDream_









     





     


    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×