ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #5 : Chapter 4 : In my dream

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 59


    4

    In  my dream







    “You get the best out of others when you give the best of yourself.”























     

    #Impassible_mn

     


     

    ห้องนอนของมาร์คนั้นอยู่ชั้นบนสุด    นี่เป็นความต้องการของเขาเอง     เพราะนอกจากห้องนอนชั้นบนสุดของอาคารหรูกว่า 20 ชั้นจะสงบและเป็นส่วนตัวที่สุดในบรรดาทุกชั้นแล้ว ชั้นบนสุดยังสามารถมองวิวทิวทัศน์ภายนอกได้สวยงามที่สุดด้วย     เมื่อเปิดไฟให้สว่างทั่วห้องจะเห็นว่าห้องนั้นตกแต่งสไตล์เรียบๆด้วยโทนสีขาว-เทา   ตามความชอบของเขาอีกเช่นกัน

     



     

    หลังจากวางถุงขนมสีม่วงอ่อนบนโต๊ะอาหารแล้ว   ร่างโปร่งก็มุ่งตรงไปที่ห้องนอน มือหนาใช้รีโมตกดเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อให้ห้องนอนนั้นเย็นพอที่จะนอนหลับสบาย   กดตั้งนาฬิกาปลุก  แล้วเอนตัวนอนลงบนเตียงกว้าง    เมื่อหัวถึงหมอนแล้ว   ภาพเหตุการณ์บริเวณลานจอดรถเมื่อสักครู่ก็แวบขึ้นมาในห้วงความคิด

     


     

    ภาพร่างเพรียวบาง  ผิวขาวถูกแตะแต้มไปด้วยสีสันเพราะความเหนื่อยจากการวิ่ง   เสียงที่พูดอย่างหอบน้อยๆนั้นมาร์คยังคงจำได้ดี

     


     

    ขอโทษครับ”   

     


     

    ขอโทษที่ผมไม่ได้ซื้อคาปูชิโน่ให้พี่มาร์คเหมือนทุกวัน......ผมเห็นพี่มาร์คโยนมันลงถังขยะเมื่อวาน  คิดว่าพี่คงเบื่อมันแล้ว.....

     

     

    นึกถึงตรงนี้รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าได้รูปราวกับช่างสลัก

     


     

    กี่ปีแล้วนะที่เด็กคนนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆเขา   คอยทำอะไรต่อมิอะไรให้เขามากมาย   ทั้งซื้อกาแฟที่เขาชอบให้ทุกๆวัน   ซื้อขนมให้ตามโอกาสต่างๆ  และซื้อของขวัญวันเกิดให้เขามาตลอด

     
     

    แม้ว่าเขาจะทำร้ายจิตใจด้วยคำพูด   ด้วยการกระทำต่างๆ.....แต่ปาร์คจินยองก็ยังคงอยู่ที่เดิม

     

     

    ความคิดต่างๆที่คิดอยู่นั้นชะงักทันที    เพียงแค่สายตาของมาร์คมองไปที่รูปภาพรูปหนึ่ง  ที่แขวนอยู่ตรงข้ามกับเตียง

     

     

    มันเป็นรูปผู้ชายใส่แว่น   มีเพียงลายเส้นเพราะวาดด้วยดินสอ

      




    เพียงแค่มองที่ภาพนั้น มาร์คก็สรุปได้ทันทีว่า   ไม่ว่าปาร์คจินยองจะดีกับเขามากกว่านี้สักเท่าไหร่ แต่สำหรับเขาแล้ว    เขาไม่สามารถมองปาร์คจินยองเป็นอย่างอื่นได้    และไม่มีวันที่จะให้เด็กคนนั้นเข้ามาเป็นอะไรที่มากกว่านี้

     

     














     

    #Impassible_mn














     

     

    อะไรบางอย่างที่มีสีขาวลอยอยู่รอบตัวคล้ายกับหมอก   รอบกายปราศจากผู้คนมีเพียงความมืดและไอขาวๆที่ลอยอยู่รอบตัวเท่านั้น   เขารู้สึกถึงความไม่ชัดในการมองเห็นเพราะฝ้าที่เกาะอยู่ที่บริเวณแว่นตา   เป็นความรู้สึกที่มาร์คไม่ได้สัมผัสมันมานานหลายปีแล้ว     ตั้งแต่ได้รู้จักกับใครคนหนึ่งที่เป็นทั้งความทรงจำและฝันร้ายในคราวเดียวกัน

     

     

    “เราไม่ใส่แว่นน่ารักกว่านะ”    เสียงที่เขาจำได้ดี     แม้ว่าจะไม่ได้ยินมานานดังอยู่ตรงไหนสักแห่งหลังม่านหมอกควันนั้น     “ทำไมไม่ลองใสคอนแทคหรือยิงเรซิดดูล่ะ

     

     

    “ใส่แว่นมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ....เลยไม่อยากเปลี่ยน”    เขาได้ยินเสียงคล้ายตัวเองตอบกลับไป

     




     

     มาร์ครู้สึกงุนงงกับทุกอย่างที่เกิดขึ้น   ในเมื่อเขาอยู่ตรงนี้และแน่ใจว่าไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว   แต่ทำไมเขาถึงได้ยินเสียงที่เหมือนกันกับเขา    ราวกับเป็นเขาเองที่เอ่ยตอบคำถามนั้น   ไม่ทันที่มาร์คจะหาคำตอบให้กับความสงสัยของตัวเอง เสียงหัวเราะอย่างแจ่มใสก็ดังขึ้น    เสียงที่ฟังคล้ายอยู่ไม่ไกล แต่ถ้าจะให้บอกก็ไม่รู้ว่าดังมาจากที่ใด

     

     

    “คนเราต้องรู้จักเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ   ถ้ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น”

     


     

    เสียงหวานใสค่อยๆเบาลง   และดังขึ้นอีกครั้งด้วยประโยคใหม่ในเหตุการณ์ใหม่

     


     

    “ของขวัญวันเกิด   พี่วาดเองเลยนะ    เห็นมั้ยเหมือนเราเลย”  

     


     

    “ขอบคุณนะครับ”    เสียงทุ้มต่ำตอบกลับไป    ไม่ต้องมองเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าคนรับรู้สึกพิเศษกับเจ้าของเสียงหวานใสมากแค่ไหน    เพราะเสียงที่กล่าวขอบคุณนั้นทั้งเขิน   ประหม่าและเต็มไปด้วยความรู้สึก

     

     

    ทันทีที่เสียงทุ้มต่ำเอ่ยจบลง  เสียงสนทนาก็ดังขึ้นอีก   ทว่าครั้งนี้มาร์คไม่สามารถจับใจความสำคัญได้เลย   มันดังและรวดเร็วราวกับใครกดกรอเทปโดยไม่หยุด   ดังและจับใจความไม่ได้จนเขาต้องยกมือขึ้นอุดหู   เพราะยิ่งฟังนานก็ยิ่งรู้สึกปวดหัวและอยากหยุดเสียงบ้าๆรอบตัวนี่เสียที   ก่อนที่มาร์คจะทรมานกับเสียงรอบตัวจนทนไม่ไหว  เสียงพูดคุยก็ดังขึ้นอีกครั้ง  หากครั้งนี้เสียงดังฟังชัดเจน

     

     
     

    “พี่เขาฝากมาขอโทษที่ไม่ได้บอกลาแกด้วยตัวเอง    นี่พี่เขาฝากจดหมายมาให้ด้วยนะ”

     

     

     
     

                    น้ำตาร้อนๆไหลออกมาจากดวงตาคมคู่สวยทันทีที่ฟังจบ   มันไหลอย่างเงียบๆและเนิ่นนาน มาร์คได้ยินเสียงสะอื้นอย่างแผ่วเบาดังมาจากม่านกลุ่มควันนั้น   ตัวเขาเองที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดและหมอกควันก็พลอยร้องไห้ไปด้วยอย่างเจ็บปวด.......เขารู้ดีถึงความรู้สึกเหล่านั้น   รู้ดีว่าเจ้าของเสียงร้องไห้อย่างสิ้นหวังนั้นกำลังรู้สึกอย่างไร     เขารู้ดี......เพราะเจ้าของเสียงนั่นก็คือตัวเขาเอง...

     


     

    กลุ่มควันที่หนาแน่นรอบๆนั้นค่อยๆมลายหายไปจนท้ายที่สุดก็ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของละอองสีขาวมัว

     


     

    ความมืดมิดถูกแทนที่ด้วยความสว่างของไฟฟ้าภายในห้อง   เสียงร้องไห้ที่เคยได้ยินถูกแทนที่ด้วยเสียงของนาฬิกาปลุก    มาร์ครู้สึกถึงความเปียกชื้นของเหงื่อที่ใบหน้าและลำตัว    รู้สึกถึงหยาดน้ำใสๆที่ไหลรินจากดวงตา





    เขาฝันและร้องไห้     มันไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก    มันเคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้แล้วหลายครั้ง  และมาร์คอดคิดไม่ได้ว่า   ยิ่งนับวันเขาได้เห็นได้พูดคุยกับปาร์คจินยองมากเท่าไหร่.......เขาก็ยิ่งฝันร้ายมากขึ้นเท่านั้น

     
     











     

     

     

    #Impassible_mn

     

     










     

                    จินยองมาถึงตามเวลานัดพอดิบพอดี   เมื่อมาถึงโรงยิมอันเป็นสถานที่นัดหมายสำหรับคัดเลือกเดือนสาขาก็ปรากฎว่ามีผู้เกี่ยวข้องมารออยู่เกือบทั้งหมดแล้ว   และแน่นอนว่าพี่มาร์คก็เป็นหนึ่งในนั้น



     

    “จินยองมาพอดี      นี่รอไอ้ดงฮยอกเดือนปีสองอีกคนก็ครบแล้ว”    เสียงพี่แจบอมดังขึ้นจากมุมหนึ่งของโรงยิม

     


     

                    แล้วเพียงไม่กี่อึดใจหลังจากนั้นบุคคลที่ทุกคนรอคอยก็เดินทางมาถึง    เดือนปีสองโค้งขออภัยจากทุกคนที่ตัวเองมาสายอย่างมารยาทดี      และเมื่อเห็นพี่แจบอมโบกมืออย่างไม่ถือสาร่างสูงนั้นก็เดินไปทรุดลงนั่งข้างๆพี่แจ็คสัน

     


     

    “เมื่อทุกคนมาพร้อมแล้ว    ฉันก็อยากให้ช่วยเลือกเดือนสาขากันนะ   รายชื่อที่ได้รับการเสนอมีดังต่อไปนี้”    ประธานชั้นปีที่สี่เอ่ยขึ้นด้วยเสียงที่ดังฟังชัดโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใดๆ    “คนที่หนึ่งแทยง  คนที่สองจีมิน   คนที่สามแบมแบมและคนที่สี่ชานอู”    เมื่อพี่แจบอมประกาศจบนิสิตชายเจ้าของชื่อทั้งสี่คนก็ออกมายืนเรียงกันตรงกลางของโรงยิมอย่างพร้อมเพรียง



     
     

     

                    จินยองกวาดสายตาดูนิสิตรุ่นน้องทั้งสี่คนก็พบว่าแต่ละคนล้วนมีรูปร่างหน้าตาและเสน่ห์ที่แตกต่างกันออกไป  และด้วยเหตุนี้ทำให้ยากที่จะตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งขึ้นมาทำหน้าที่อย่างที่เขาเคยทำ    ดังนั้นผู้เข้ารับการคัดเลือกทุกคนจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะมาแสดงความสามารถต่อหน้าคณะกรรมการ

     


     

                    “ฉันจะให้ทุกคนออกมาแนะนำตัวและความสามารถพิเศษของแต่ละคนนะ     เริ่มที่แทยงก่อนเลย”

     




     

                    เมื่อเพลงดังขึ้น     แทยงก็ก้าวขาออกมาข้างหน้า   ก่อนที่จะเริ่มวาดลวดลายเต้นตามจังหวะเพลง   รุ่นน้องคนนั้นเต้นโดยขยับร่างกายไปทุกส่วน    เป็นการเต้นที่ดึงดูดสายตาของทุกคนในโรงยิมให้จับตามองไปกับทุกๆการเคลื่อนไหว และเมื่อแทยงเต้นจบ   ทุกคนในที่ประชุมนั้นก็พร้อมใจกันปรบมืออย่างพร้อมเพรียง

     


     

                    “เยี่ยมมาก   เป็นการเต้นที่ยอดเยี่ยมมากเลยแทยง   แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาขอเชิญจีมินแสดงความสามารถต่อได้เลย”

     


     

                    สิ้นเสียงประกาศดนตรีช้าๆที่บรรเลงด้วยเปียโนก็ดังขึ้น  พร้อมกับที่จีมินเปล่งเสียงทุ้มนุ่มร้องเพลงสะกดทุกคนในที่นั้น  เพลงที่จีมินร้องนั้นเป็นเพลงที่จินยองรู้จักดีมันมีชื่อว่า  For you it's goodbye For me it's waiting ของแจจุง  JYJ     จินยองชื่นชมว่าจีมินทำได้ดีในเพลงนี้   แม้ไม่เท่ากับต้นฉบับหากก็ใกล้เคียง  ซึ่งคงเป็นเพราะจีมินมีความสามารถในการร้องเพลงที่ดีอยู่แล้ว

     


     

                    เมื่อจีมินจบการร้องเพลงที่น่าประทับใจนั้น   คนต่อไปตามที่จะมาทำการแสดงก็คือ แบมแบม เด็กหนุ่มหน้าหวานสวมแว่นตา   ตอนแรกจินยองก็นึกลุ้นว่าแบมแบมจะแสดงอะไรระหว่างร้องกับเต้น  หากที่คาดเดาทั้งสองอย่างก็ผิดทั้งหมด  เพราะเด็กหนุ่มรุ่นน้องเลือกที่จะแสดงความสามารถพิเศษโดยการเป่าฟลุทเป็นเพลง Missing you ของ Fly to the sky    จินยองนิ่งฟังอย่างตั้งใจเพราะเป็นเพลงที่เขาชอบที่สุด   เขาชอบทั้งความหมายทั้งทำนองในเพลงนี้  และยิ่งชอบมันเป็นพิเศษเมื่อรู้จากพี่รหัสว่าพี่มาร์คก็ชอบเพลงนี้เหมือนกัน 

     


     

    มันอาจเป็นเหตุผลที่เสมือนไร้เหตุผล    ถ้าจะบอกว่าคนเราสามารถชอบเพลงใดเพลงหนึ่งได้ทันที....... เมื่อรู้ว่าคนที่มีความสำคัญกับเราชอบเพลงนั้น

     


     

    อาจจะเป็นเหตุผลที่แปลกประหลาด 

     

     

    แต่จินยองก็เชื่อว่าไม่ใช่เขาคนเดียวที่เป็น..

     

     




     

    ขณะฟังเพลงที่บรรเลงด้วยฟลุทของชายหนุ่มรุ่นน้อง    จินยองก็ลอบมองใบหน้าของใครคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงข้ามกหากคนละฝั่งไปด้วย    ใบหน้านั้นนิ่งเฉยราวกับภาพวาด   ดวงตาคมสวยที่บางครั้งเขาเคยเผลอได้สบมันกำลังทอดมองการบรรเลงเพลงของชายหนุ่มรุ่นน้องอย่างตั้งใจ    หากการลอบมองของเขาเป็นอันต้องสะดุดลง   เพราะคนมองคล้ายรู้ตัวว่ากำลังถูกมอง   สายตาคมๆจึงตวัดมองหาผู้ต้องสงสัย   และก็มาประสานเข้ากับสายตาที่แอบมองอยู่ของเขาเข้าพอดี    จินยองพยายามไม่หลบสายตาก่อนแบบทุกครั้ง    เขาแค่คิดอยากลองทำอะไรแบบใหม่ๆดูบ้าง.....แค่อยากรู้ว่าถ้าลองทำในอีกรูปแบบหนึ่งมันจะเป็นยังไง

     


     

    เขากับคนตรงข้ามยังคงประสานสายตากันอยู่แบบนั้น   แม้เพลงที่บรรเลงจากเครื่องดนตรีเสียงหวานจะจบลงไปแล้ว    พร้อมกับที่มีดนตรีเพลงใหม่ที่มีจังหวะสนุกๆดังขึ้นแทนที่   ถ้าให้เขาเดาชานอูคงจะแสดงความสามารถด้วยการเต้นเหมือกันกับแทยง    เมื่อเขาไม่เบือนหลบเพราะแค่อยากรู้ผลลัพธ์   อีกฝ่ายก็ดูจะไม่ยอมแพ้เช่นเดียวกัน  สายตาที่ทอดมองมานั้นอ่านยาก จนจินยองไม่กล้าที่จะเดา   ไม่กล้าที่จะอ่านความรู้สึกจากสายตาคู่นั้น

     


     

    แต่แล้วในชั่วพริบตาที่เขาอ่านสายตาของอีกคนไม่ออก   ตอนนี้จินยองอ่านมันออกอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว   สายตาคมๆที่ทอดมองมานั้น   จากเดิมที่อ่านไม่ได้   ตอนนี้เต็มไปด้วยความรำคาญและเหินห่าง จนจินยองต้องรีบหลุบตาลงต่ำ  เพราะไม่อยากโดนทำร้ายทางสายตาไปมากกว่านี้

     




     

    ไม่น่าเลย....

     



     

    ไม่น่าหาความเจ็บปวดให้กับตัวเองเลย

     

     






     

    เมื่อการแสดงความสามารถของนิสิตรุ่นน้องทั้ง 4 คนจบลง  กรรมการและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดก็ถูกเรียกประชุมต่อที่ห้องด้านหลังโรงยิมโดยปล่อยให้ผู้เข้ารับการคัดเลือกและนิสิตที่สนใจมาดูการแสดงนั่งรอลุ้นผลอยู่ด้านนอก

     

     

    “กูเลือกแทยงว่ะ”    เสียงห้าวๆของผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในที่นั้นดังขึ้นทันทีเมื่อประตูห้องด้านหลังปิดลง

     

     

    “กูก็เห็นด้วยกับไอ้บีนะ”    แจ็คสันสนับสนุน

     

     

    “แต่กูเลือกแบมแบมว่ะ”    มาร์คกล่าวขึ้นเรียบๆด้วยสีหน้าปกติ

     

     

    “ทำไมวะ”     เพื่อนทั้งสองคนของชายหนุ่มถามขึ้นเกือบพร้อมกัน

     

     

    “สัญชาติญานว่ะ  กูรู้สึกว่าแบมแบมมีอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ”    คำตอบของคนตรงหน้าทำให้จินยองแทบสำลักลมหายใจตัวเอง  นี่เขาไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย....

     

     

    “มึง   นี่มันเรื่องงานนะเว้ยย   ไม่เกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว  กูว่าแบมแบมอะไรนั่นขี้อายไปว่ะ ดูหงิมๆกว่าคนอื่น”    คำพูดของพี่แจ็คสันได้ยืนยันแล้วว่าเขาไม่ได้หูฝาด      แต่ก็นะ....มันคงไม่มีอะไร  พี่มาร์คคงหมายถึงว่าน่าสนใจในด้านความสามารถ  บุคลิกอะไรทำนองนั้น

     

     

    “หงิมๆแล้วยังไงวะ  คนเงียบๆก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำอะไรไม่ได้นะ  อย่างกู...กูยังประกวดได้เลย”

     

     

    “มันไม่เหมือนกันหนิมึง”    แจ็คสันยังคงค้าน    “มึงหล่อไง ยืนเฉยๆก็ชนะแล้ว   แต่แบมแบมอะไรของมึงนั่น จะว่าหล่อก็ไม่เชิง”

     

     

    “เขาเรียกว่าน่ารักมึง  น่ารัก”    มาร์คนิยามหน้าตารุ่นน้องให้เพื่อนสนิท   ได้ยินถึงตรงนี้จินยองก็ได้แต่ขอให้การพูดถึงรุ่นน้องคนนั้นสิ้นสุดโดยเร็ว   ไม่อยากได้ยินอะไรอีกต่อไปแล้ว

     

     

    ไม่อยากได้ยินอีกคนชมใคร

     

     

    มันเจ็บนะที่ต้องมาทนฟังเขาชมคนอื่นต่อหน้าต่อตา

     

     




     

    “พอๆ พวกมึงไม่ต้องเถียงกัน ถามความคิดเห็นของคนอื่นบ้าง    ไง  พวกมึงคิดว่าไงบ้าง แทยง แบมแบม หรือว่าคนอื่น?”   

     

     

    “จริงๆผมก็ชอบทั้งสองคนเลยนะครับพี่บี   อย่างแทยงก็มั่นใจและหน้าตาหล่อ   คงได้เสียงกรี๊ดมากเลยล่ะ ส่วนแบมแบม...ผมก็เห็นด้วยกับพี่มาร์คว่าหมอนั่นน่ารัก   การแสดงก็แปลกใหม่   ส่วนความมั่นใจจริงๆก็ฝึกกันได้”    ดงฮยอกเดือนปีสองเสนอความคิดเห็น

     
     

    “เออ และนี่ได้ข่าวจากการปกครองนะเว้ย  ว่าเดือนสาขาอ่ะหล่อและแบดมาก  ฉันว่าถ้าเราเอาแบมแบมไปสู้ก็น่าจะดูสูสีมากกว่านะ ดูคนละแนวกันดี”    รองประธานปีสี่พูดขึ้น   ซึ่งทำให้หลายเสียงเริ่มเอนเอียงไปทางหนุ่มน้อยหน้าหวาน




     “เออ ก็จริงนะเว้ย  ดูอย่างจินยองสิยังเอาชนะเดือนของการปกครองปีนั้นที่ว่าแบดนักแบดหนามาได้เลย”    แจบอมเริ่มเห็นด้วย    “ เราว่ายังไงบ้างล่ะจินยอง คิดว่าใครดี”



     

    “จริงๆผมก็ชอบทั้งสองคนนะครับ   แต่ถ้าให้เลือกผมก็คิดว่าแบมแบมเหมือนกัน”    จินยองเลือกตอบไปแบบนั้นเพราะเห็นด้วยกับเหตุผลของพี่จินวูรองประธานปีสี่ และเขาเองก็ชอบในการแสดงของแบมแบมมากกว่า    แต่การตอบอย่างตรงไปตรงมาของเขากลับเรียกเสียงหัวเราะหึๆของพี่แจ็คสัน   คล้ายกับพี่เขาจะบอกผ่านเสียงหัวเราะนั้นว่า  “กูว่าแล้วเชียว”  เสียงหัวเราะของพี่แจ็คสันทำให้หลายคนในที่นั้นมองมาทางผมยิ้มๆ   เพราะทุกคนรู้ดีว่าผมรู้สึกยังไงกับเจ้าของตำแหน่งเดือนสาขาและเดือนคณะปีสี่

     
     

    เมื่อการอภิปรายแสดงความคิดเห็นทั้งหมดจบลง  ก็ถึงเวลาของการยกมือลงเสียงเพื่อเลือกเดือนสาขา  และก็เป็นไปตามคาดแบมแบมชนะไปด้วยเสียง 11ต่อ 6

     

     

    เมื่อพี่แจบอมประกาศเรื่องการคัดเลือกให้ทุกคนในโรงยิมได้ทราบ   หลายคนก็เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับแบมแบม   กินเวลาประมาณเกือบสิบนาทีกว่าที่เจ้าของหน้าหวานจะเข้ามาโค้งขอบคุณกับพวกคณะกรรมการ

     

     

     “ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่ให้โอกาสแบมนะครับ   แบมขอสัญญาว่าจะตั้งใจทำเพื่อสาขาอย่างดีที่สุด”    น้องเล็กที่สุดในที่นั้นเอ่ยขึ้นอย่างสุภาพ  ดวงหน้าเนียนใสประดับด้วยรอยยิ้มที่ทำให้ใครหลายคนนึกเอ็นดู

     

     

    “พี่ชื่อแจบอมนะ   เรียกว่าพี่บีก็ได้เป็นประธานรุ่นปีสี่   ส่วนนี้จินวูรองประธาน  นั่นไอ้มาร์คเดือนปีสี่  นั่นดงฮยอกเดือนปีสอง และคนนี้”    พีบีเอ่ยแนะนำพร้อมกับพาดแขนหนักๆขึ้นรัดคอผม     “จินยองน้องรหัสพี่และควบตำแหน่งเดือนปีสาม”

     
     

    “มีอะไรก็ปรึกษาพวกพี่ได้เลยนะ ทั้งการเรียนและเรื่องการประกวด  ได้ข่าวว่าพี่รหัสเราผ่าตัดอยู่หนิ คงอีกนานกว่าจะกลับมาเรียน   มีอะไรก็ถามเลยนะ   ไม่ต้องเกรงใจ”    พี่แจบอมพูดอย่างใจดี

     

     

    “ขอบคุณนะครับ   แบมฝากตัวด้วยนะครับ”

     


















     

    #Impassible_mn

                  








                   

                    จินยองเดินออกมาจากมหาวิทยาลัยอย่างเซ็งๆ   วันนี้เขาต้องกลับบ้านคนเดียว  เพราะยองแจล่วงหน้ากลับไปก่อนแล้ว  เขาไม่ได้โกรธเพราะรู้ว่าอีกฝ่ายมีธุระต้องไปกับครอบครัวในเย็นวันนี้  แต่ตอนนี้มันมืดแล้ว  เขาไม่ชอบกลับบ้านเวลามืดๆสักเท่าไหร่  ไหนจะหารถลำบาก   ไหนจะอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สิน  ความคิดของเขาหยุดอยู่แค่นั้น  เมื่อรถสีส้มคันหรูที่แสนคุ้นตาชะลอเข้ามาจอดเทียบที่ด้านข้างฟุตบาทที่เขายืนอยู่.......จะเป็นรถใครไปไม่ได้นอกจาก




     

    “ขึ้นมาสิ    เดี๋ยวฉันไปส่ง”   น้ำเสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้น  จินยองคงจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจและโล่งใจถ้าเพียงสายตาจะไม่เหลือบไปเห็นใบหน้าหวานที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับซะก่อน......หัวใจของจินยองกระตุกวูบ  เมื่อรับรู้ว่าอีกคนมากับใคร

     

     

    “ไม่เป็นไรครับ  ผมไม่รบกวนดีกว่า”    ปฏิเสธพร้อมเดินหนีมาอย่างรวดเร็ว  ไม่อยากเห็น    ไม่อยากรับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว    แต่ดูเหมือนคนบางคนจะไม่เข้าใจเขาเลย

     
     

     

    หมับ

     

     

    “ฉันบอกว่าให้ขึ้นรถ   ไม่ได้ยินหรือไง”    มาร์คที่เดินตามมาเอ่ยเสียงเฉียบขาด   

     

     

    “ไม่เป็นไรครับ   ขอบคุณ”    ก้มหน้าตอบ พยายามตอบช้าๆ เพื่อคุมเสียงให้สั่นน้อยที่สุด  จินยองนึกภาวนาในใจให้เจ้าน้ำตาอย่าเพิ่งไหลออกมาตอนนี้  อย่าแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น

     

     

    “แต่ฉันบอกให้ขึ้นรถก็ต้องขึ้น”    ไม่ฟังคำตอบรับหรือปฏิเสธ   มาร์คดึงแขนของคนที่รูปร่างใกล้เคียงกัน หากบอบบางมากกว่าให้ก้าวตามเขามา

     

     

    “บ้านแบมแบมถึงก่อน   ลงไปนั่งข้างหลังดีกว่า”    มาร์คสั่งขึ้นเรียบๆ อีกฝ่ายก็ทำตามแต่โดยดี

     

     
     

    เมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว    จินยองก็เลือกที่จะเงียบ    ไม่พูดอะไร    เมื่อเขาไม่พูดคนที่นั่งข้างก็พูดน้อยเป็นนิสัยอยู่แล้ว  ประกอบกับแบมแบมที่นั่งด้านหลังก็คงพูดไม่เก่งหรือไม่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเหมือนกัน  จึงทำให้ในรถมีแต่ความเงียบ   เงียบ.....จนถ้ามีเข็มตกสักเล่มก็คงจะได้ยิน   

     



     

    โดยปกติจินยองไม่ชอบความอึดอัดและทุกครั้งที่อยู่กับอีกฝ่าย    เขาจะเป็นฝ่ายที่ชวนคุยเสมอ ......ทว่าไม่ใช่สำหรับครั้งนี้    เขานึกภาวนาให้ตัวเองหายไปจากตรงนี้อย่างเร็วที่สุด    นึกภาวนาให้คนขับสปีดความเร็ว    ภาวนาให้เวลาเคลื่อนเร็วขึ้น    จินยองนึกภาวนาทุกอย่างที่พอจะเป็นไปได้ที่ทำให้เขาไม่ต้องอยู่ตรงนี้   แต่ยิ่งคิดเวลาก็ดูราวกับจงใจจะแกล้งกัน  นอกจากทุกอย่างจะไม่เร็วขึ้นแล้ว    มันกลับยิ่งช้าลง.....ช้าลงแบบที่เขาไม่เคยต้องการ

     




     

    คิดๆดูแล้ว   ถ้าเขาจะไม่ได้มาด้วย   รถคนนี้อาจเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยก็เป็นได้

     

     

    อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ควรบังคับให้เขาขึ้นรถมาด้วยซ้ำ    ในเมื่อตั้งใจที่จะไปส่งคนที่นั่งอยู่ด้านหลัง   ก็ไม่เห็นต้องลากเขามาเป็นก้างขวางคอเลยหนิ    นึกแล้วน้ำตาก็พาลจะไหล  จึงพยายามสลัดความคิดทุกอย่างที่คิดอยู่ทิ้งไป   ไว้ที่บ้าน.....ไว้ไม่มีใครเห็นก่อนนะ

     

     

     

    คิดแล้วก็เกลียดตัวเอง......ปาร์คจินยองเกลียดตัวเอง..... เกลียด.....ที่หาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ว่าเมื่อไหร่จะเลิกเสียใจจากคนเดิมๆสักที....







     







     

    #Impassible_mn

     

     











     

    แบมแบมลงจากรถไปแล้ว  เด็กหน้าหวานกล่าวขอบคุณคนขับ   และไม่ลืมที่จะส่งยิ้มน่ารักมาให้เขา.....เด็กคนนั้นน่ารักเหมือนที่ใครบางคนบอกไม่มีผิด......ไม่แปลกหรอกถ้าใครจะชอบ

     



     

    “ทำหายที่ไหน”    เสียงทุ้มต่ำของคนขับถามขึ้นทันทีที่ร่างเล็กๆของรุ่นน้องปีหนึ่งลับตา

     



     

    “อะไรครับ?”   

     


     

    “ก็ปากไง   นึกว่าทำหายไว้ที่ไหน”    นั่นคือคำตอบของคำถามของเขา   ถ้าปกติจินยองคงจะนึกประหลาดใจหรือไม่ก็คงดีใจกับคำพูดกวนๆอย่างเป็นกันเอง   ......ทว่าตอนนี้จินยองห่างไกลจากคำว่าปกติ

     

     

    “ไม่รู้จะพูดอะไรนี่ครับ”   

     

     

    “ดีเหมือนกัน  ไม่พูดก็ดี”    ต้องเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึกแบบนี้สิค่อยคุ้นชินหน่อย

                

       


    เมื่อรถของมาร์คเข้ามาจอดเทียบที่หน้าประตูบ้าน  จินยองก็กล่าวขอบคุณอีกฝ่ายก่อนเปิดประตูลงจากรถไปเงียบๆ  ทันทีที่รถคันหรูแล่นออกไป   น้ำตาที่กลั้นไว้มานานก็ไหลลงมาเรื่อยๆ   จนขนตาที่ยาวและงอนคล้ายผู้หญิงนั้นเปียกชุ่ม

     


     

    จินยองนึกน้อยใจในโชคชะตาของตัวเอง   ที่ต่อให้พยายามสักแค่ไหน   ต่อให้ทำดีสักเท่าไหร่  แต่เมื่อไมใช่ก็คือไม่ใช่  มันย่อมไม่เคยมีคุณค่าในสายตา   แต่กลับอีกคน.....แค่วันแรกก็มีค่าในสายตาอีกฝ่ายแล้ว   ทั้งคำชมที่ว่าน่ารัก  ถ้อยคำที่บอกว่าอีกฝ่ายน่าสนใจ   และยังจะการขับรถไปส่งที่บ้านอีก   ทุกสิ่งทุกอย่างนี้จินยองไม่เคยได้และแน่นอนว่าไม่เคยคาดฝันถึงมันมาก่อน……ไม่คาดฝัน....เพราะรู้ดีว่าตัวเองจะไม่มีวันได้มัน

     





     

    ตอนนี้จินยองเลยเจ็บ    เมื่อรู้ว่าคนที่ได้มันไป     ไม่ต้องพยายามอะไรเลย

     

     












     

    #Impassible_mn
















     

    มือหนาที่ลูบไปตามกรอบรูปนั้นสั่นน้อยๆ ด้วยความรู้สึกภายใน   เป็นเวลากว่า 4 ปีแล้วที่มาร์คแขวนรูปนี้ไว้เตือนใจตัวเอง   เขาเลือกแขวนมันไว้ที่ผนังตรงข้ามกับเตียง   เพราะมันจะเป็นสิ่งแรกที่เขาเห็นทั้งในยามหลับและยามตื่น   รูปวาดด้วยดินสอรูปนี้นั้น    ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่ามีลงชื่อเจ้าของผลงานไว้ด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษตัวเล็กๆตรงมุมด้านล่างของภาพ  





      

     มาร์คใช้นิ้วมือข้างหนึ่งลูบตัวภาษาอังกฤษเหล่านั้นอย่างแผ่วเบา   ราวกับจะให้มันซึมเข้าสู่ปลายนิ้วมือของเขา  แต่มาร์ครู้ดีว่าเขาไม่ได้ทำเพราะเหตุผลนั้น    เขากำลังย้ำเตือนกับตัวเองถึงความเจ็บปวดในอดีตต่างหาก   ความเจ็บปวดที่เขาไม่มีวันลืม.....  และจะไม่มีวันลืมอีกเช่นกันว่า    แม้มันจะทิ้งบาดแผลบาดลึกไว้ให้     แต่มันก็ให้เขาเป็นเขาในแบบทุกวันนี้ มันให้เขาได้เจอเพื่อนที่ดีแบบเจบีและแจ็คสัน   .....ให้เขาได้รู้ความชอบของตัวเองว่าเขาชอบรัฐศาสตร์มากกว่าศิลปะ   และให้เขาได้รู้ว่าความรักมันก็แค่เรื่องโกหกหลอกลวง....



     




     

    #Impassible_mn

     

     







     

     

    MoonDream_


     


     

     

                    

    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×