ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 : I'm sorry

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ค. 61


    3

    I’m sorry






    “It's hard to pretend you love someone when you don't, but it is even harder to pretend that you don't love someone when you really do.”



     

    #Impassible_mn



     

    วันนี้จินยองเดินทางมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าเฉกเช่นทุกวัน    แต่แทนที่เขาจะมุ่งตรงไปยังร้านกาแฟตามปกติ    ร่างบางกลับเลือกตรงเข้าไปยังมหาวิทยาลัย     ไปยังอาคารสีน้ำตาลอมครีมที่สูง 6 ชั้น   อาคารที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าสำนักหอสมุด หรือที่นิสิตทั่วไปเรียกกันโดยย่อว่า ' ห้องสมุด '


    เพราะยังเป็นเวลาค่อนข้างเช้าทำให้จำนวนนิสิตค่อนข้างบางตา ตั้งแต่เดินเข้ามาจินยองยังแทบไม่เจอใครเลยด้วยซ้ำ เจอแค่พี่นักศึกษาแพทย์สองคนที่กำลังสอบถามเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์เกี่ยวกับงานวิจัยด้านโรคหัวใจ ขาเรียวยาวภายใต้กางเกงสแล็กสีดำเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ เลือกที่จะไม่ใช้ลิฟต์    เพราะบางทีชีวิตของคนเราก็ควรมีจังหวะที่เนิบช้าอยู่ในแต่ละวันบ้าง

     

    ความเนิบช้าที่บางคนอาจมองมันในแง่ลบ    มองว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี  มองว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เสียเวลา


    แต่หลายๆครั้งความเนิบช้าก็เป็นส่วนที่เติมเต็มชีวิต    ทำให้เราได้อรรถรสหลายอย่างที่แปลกใหม่



    ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดเจน...ก็เหมือนกับการที่เราค่อย ๆ ละเลียดทานไอศกรีมสักถ้วย มันอร่อยกว่าการรีบ ๆ ตักทานนะว่ามั้ย?

     

    จินยองหยุดการก้าวเดินขึ้นบันไดที่เนิบช้านั้น    เมื่อตัวเลขสีน้ำตาลเข้มบริเวณผนังตรงข้ามกับบันไดบ่งบอกว่าตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาถึงชั้น 5 แล้ว     ในแต่ละชั้นของหอสมุดแห่งนี้จะมีการจัดหมวดหมู่หนังสือที่แตกต่างกันออกไป หนังสือหมวดวรรณกรรมและนวนิยายซึ่งจัดว่าอยู่ในหมวดภาษาศาสตร์และมนุษยศาสตร์จะถูกจัดให้อยู่ในชั้นนี้  และแน่นอนว่ามันเป็นชั้นที่จินยองมาเยือนบ่อยที่สุด

     
    เดินเข้าออกตามชั้นวางหนังสือต่าง ๆ อย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่มีหนังสือเรื่องใดที่เขาอยากอ่านมันเป็นพิเศษ    เพราะกว่าครึ่งของจำนวนหนังสือที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเหล่านั้นจินยองอ่านมันหมดแล้ว


    เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ   หลงใหลการกวาดสายตาไปยังตัวหนังสือเล็ก ๆ ที่เรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ  สนุกกับโลกในจินตนาการที่ตัวหนังสือพาเราเข้าไป   และหลงรักถ้อยคำบอกเล่าเรื่องราว    บอกกล่าวให้แง่คิด   และถ่ายทอดประสบการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย จากคำกล่าวของนักกวีท่านหนึ่งที่เขาจำชื่อไม่ได้   กวีท่านนั้นสรุปว่าหนังสือเปรียบเสมือนขุมทรัพย์  ซึ่งจินยองเห็นด้วยกับกวีท่านนั้นทุกประการ



    เพราะหนังสือน่ะเป็นทั้งขุมทรัพย์แห่งความรู้ ประสบการณ์และจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุด

     

    เมื่อเดินเข้าออกพร้อม ๆ กับกวาดตามองตามชั้นวางหนังสืออยู่สักพักก็ไม่เห็นว่าจะมีหนังสือเรื่องใดที่น่าสนใจ    จินยองจึงตัดสินใจที่จะออกจากหอสมุดไปมือเปล่า     อันที่จริงจะสรุปว่าไม่มีเรื่องใดที่น่าสนใจก็คงไม่ถูกนัก    เพราะหนังสือทุกเรื่องต่างก็มีความน่าสนใจและมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน   เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เขามีความรู้สึกอยากที่จะอ่านก็เท่านั้น ความรู้สึกหรืออารมณ์มีอิทธิพลกับพฤติกรรมของคนเรามาก   โดยที่บางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวหรือไม่คาดคิด ลองสังเกตตัวเองกันดูมั้ย   อารมณ์เราเป็นแบบใด    หนังสือที่เราเลือกอ่านก็จะมีโทนเรื่องตามอารมณ์ของเราในขณะนั้น

     
     

    อย่างเช่นกำลังสุขสมหวังในความรักหรือเรียกตามเทรนด์ว่าอินเลิฟ    หนังสือที่เราอ่านก็คงหนีไม่พ้น   พวกพรหมลิขิต นิยายรักโรแมนติกแสนหวาน


     

    ถ้ากำลังอกหัก    สิ้นหวัง   หนังสือที่หลาย ๆ คนเลือกอ่าน ก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งแนวรักที่สิ้นหวัง   หรือหนังสือสร้างกำลังใจ ปลุกปลอบใจให้คลายทุกข์

     
     

    และแล้วผมก็ได้หนังสือสำหรับตัวเอง 

     

     

    มันมีชื่อแสนน่ารักว่า ทฤษฎีแอบรัก’   เจ้าหนังสือที่ทำให้ผมสนใจตั้งอยู่บนชั้นวางหนังสือบริเวณโซนหนังสือใหม่อีกฟากของห้อง  ขณะที่ผมก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อออกจากห้องสมุด   ผมก็มองเห็นมันเข้าเสียก่อน หนังสือเล่มไม่หนานัก เพียงแค่สองร้อยหน้ากว่า ๆ ผมคิดว่าจะอ่านมันที่ห้องสมุดนี่แหละ เพราะตอนเช้าผมมีเรียนตอน10โมง และตอนนี้นาฬิกาสีขาวที่ข้อมือผม มันก็ชี้บอกเวลาว่าแค่ 7 โมงครึ่งเท่านั้นเอง

     

    ผมนั่งมองหน้าปกหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง   มันเป็นนิสัยที่แปลกประหลาดของผมที่ชอบคาดเดาเนื้อเรื่องจากหน้าปกก่อนว่า ปกแบบนี้จะมีเนื่อหาเกี่ยวกับอะไร  ปกหนังสือสีขาวครีม พิมพ์เป็นรูปขนมคล้ายคุกกี้ที่มีชื่อเรียกว่ามาการอง ขนมกลม ๆสีสวยนั้นทำให้ผมเดาว่าบางทีเรื่องนี้ตัวเอกอาจจะเป็นพาทิสซิเยร์ หรือไม่คนเขียนหนังสือเล่มนี้คงเปรียบเทียบความรักกับขนม เหมือนที่ก่อนหน้านี้ผมเปรียบความรักหลาย ๆ รสชาติเป็นลูกอม


     

    “When I text you it means I miss you, when I do not text you it means I want you to miss me.”

     

    ผมรามือจากการพลิกหน้ากระดาษเมื่ออ่านมาถึงตรงข้อความนี้    และเป็นเวลาเดียวกับที่นาฬิกาปลุกของมือถือส่งเสียงร้องดังขึ้น ผมรีบหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจะกดปิดเสียง    เนื่องจากรู้ดีว่าทุก ๆ ห้องสมุดจะมีกฎที่เหมือนกัน คือห้ามส่งเสียงดังในห้องสมุด และเกรงว่าหากไม่รีบกดปิดเสียงร้องเตือนจากเครื่องมือสื่อสารนี้   เจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ประจำชั้น 5   อาจจะเดินมาไล่ผมเสียก่อน


    8.00


    เวลาบนหน้าจอมือถือบอกกับผมแบบนั้น  ถ้าตามปกติเวลานี้สถานที่ประจำของผมคือ บริเวณป้ายคณะรัฐศาสตร์ต่างหาก ไม่ใช่ที่ห้องสมุดแห่งนี้ 

     
     

    ผมเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย สับสน และลังเลใจ    ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดประการแรกที่ผมจับได้ คือ ความลังเล ...ลังเล...ไม่แน่ใจ ว่าที่ผมตัดสินใจอย่างนี้ถูกหรือผิด    ผมควรจะไปยืนรอพี่มาร์คเหมือนทุกวันรึเปล่า    ยืนรอให้กาแฟกับพี่เขา....แม้ว่าพี่เขาจะไม่เห็นค่าและโยนมันลงถังขยะภายหลังก็ตาม   คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา      เจ็บ...ที่คิดว่าพี่เขาคงดีใจที่ไม่ต้องคอยรับกาแฟที่ผมซื้อให้  ดีใจที่ไม่ต้องมาเจอหน้าผมตอนเช้าในทุก ๆ วัน    ดีใจที่ไม่ต้องมีใครไปวุ่นวายกับชีวิตของพี่เขา

     
     

    บางทีที่ผมตัดสินใจแบบนี้คงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

     
     

    ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ย ?

     


    “When I text you it means I miss you, when I do not text you it means I want you to miss me.”



     เวลาที่ฉันส่งข้อความหาเธอมันหมายความว่า  "ฉันคิดถึงเธอ"  แต่เมื่อไรที่ฉันไม่ได้ส่งข้อความไปหานั่นหมายความว่า  ฉันอยากให้เธอคิดถึงกัน






    อ่านถึงตรงนี้แล้ว   ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายก็ไหลเวียนอยู่ในตัวของผม   ผมรู้สึกทั้งอยากร้องไห้และอยากหัวเราะพร้อม ๆ กัน     หัวเราะ...ที่แค่เปลี่ยนจากการส่งข้อความเป็นการส่งกาแฟมันก็คือเรื่องราวของผมนี่เอง และร้องไห้ที่ผมจะไม่มีวันได้ความคิดถึงของใครคนนั้นกลับมา

     


    You get the best out of others when you give the best of yourself.

     
     

    คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น  เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป


     

    อ่านข้อความนี้แล้ว    ผมคิดว่ามันอาจจะจริงสำหรับคนอื่น   ที่ใช้คำว่า อาจจะก็เพราะว่าทฤษฎีข้อนี้ใช้ไม่ได้กับผม    ผมรู้สึกว่าความพยายามของตัวเองไม่เคยมีค่าในสายตาของคนบางคนเลย   หรือบางทีผมอาจจะยังดีไม่พอ  ยังพยายามไม่มากพอ

     

     

    #Impassible_mn


     

     

    มาร์คนั่งคิดทบทวนอาการของตัวเองก็พบว่ามันค่อนข้างน่าประหลาด    เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่อยู่รายรอบตัว ขนาดแจ็คสันพูดจากวนใส่   หรือยิงมุกตลกที่เขาเคยขำ   เขาก็กลับรู้สึกว่ามันฝืดและจืดสนิท

     

    อาจจะเป็นเพราะว่ามันนี้เขาไม่ได้ดื่มกาแฟ   มาร์คให้เหตุผลกับอาการที่แปลกประหลาดนั้น   มันเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลทีเดียว   บางครั้งคนเราก็ยึดติดกับเครื่องดื่มบางอย่างหรืออาหารบางประเภทจนต้องดื่มหรือลิ้มรสมันในทุก ๆ วัน และมาร์คก็ยอมรับว่าคาปูชิโน่ที่แสนกลมกล่อมและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็เป็นสิ่งที่เขาเสพติด

     
     

    เขาเสพติดกาแฟ     ก็แค่กาแฟ...มันไม่ได้มีอะไรที่มากกว่านี้

     
     

    “ตอนเย็นอย่าลืมนะมึง ว่ามีนัดที่ห้องชมรม”    เสียงย้ำเตือนถึงตารางนัดหมายในตอนเย็นดังมาจากประธานชั้นปีที่สี่

     

    “กี่โมงวะ นี่กูกะว่าจะกลับไปนอนที่คอนโดก่อน”    เขาเอ่ยถามพร้อมบอกความตั้งใจ  ทั้ง ๆที่ยังไม่เงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือ   กดเล่น ๆ ฆ่าเวลาไปอย่างนั้นเอง บางทีเวลาเซ็งหรือเบื่อมาร์คจะใช้โทรศัพท์กดเข้าแอปนั้นออกแอปนี้เพื่อฆ่าเวลาเสมอ

     
     

    “มึงจะไปไหนก่อนก็ไป แต่อย่าลืมสี่โมงครึ่งเจอกันนะ”     เจบีตอบ



     

    “เออ  งั้นพวกมึงไปกินข้าวกันเลยนะ กูไม่หิวว่ะ”    มาร์คบอกเซ็ง ๆ พร้อมลุกขึ้นเก็บสมุดเลกเชอร์และดินสอใส่กระเป๋าเพื่อเดินทางกลับคอนโดหรูของตัวเอง


     

    เออ    แล้วเจอกันนะมึง กลับไปดี ๆ ล่ะ อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย  เดี๋ยวตายห่ากันพอดี”    ประโยคลอยๆจากเพื่อนจอมกวน    ทำให้มือหนาที่กำลังรูดซิปกระเป๋าคลัทช์สีเทาเข้มชะงักกึก    ก่อนขมวดคิ้วถาม  

     

     

    “กูจะใจลอยคิดถึงใคร มึงอย่ามาเพ้อเจ้อ”

     

    “ไม่รู้สิวะ   กูก็พูดมั่ว ๆ ไปอย่างนั้น  มึงไม่ได้เป็นอย่างที่กูพูด    ก็อย่าเสือกร้อนตัว”    แจ็คสันตอบอย่างไม่เดือดร้อน  ราวกับไม่รู้สักนิดว่าไอ้คำพูดลอย ๆ นั้น จะกระทบกับความรู้สึกของคนฟังแค่ไหน

     

     

    มาร์คขมวดคิ้วมุ่น  รู้อยู่ว่าเพื่อนหมายความว่าอะไร  สำหรับเขาแจ็คสันเป็นเพื่อนที่ชอบพูดอะไรตามแต่ใจคิด ตรงไปตรงมา    จนหลายครั้งก็น่ากลัวว่าสิ่งที่แจ็คสันพูด มันจะเป็นความจริง

     

    “กูไปละ”    เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็เลือกที่จะเดินออกไปเอง    เขาจะทำอะไรไปได้มากกว่านี้   ในเมื่ออีกฝ่ายก็บอกชัดเจนว่า   "ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็อย่าร้อนตัว"









    คำพูดของแจ็คสันยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท    ตลอดทางที่ร่างสูงเดินลงมาจากตึกคณะ

     
     

    “อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย    เดี๋ยวตายห่ากันพอดี”   

     
     

    อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย  เดี๋ยวตายห่ากันพอดี”   

     


    ขณะที่เสียงของแจ็คสันยังดังก้องอยู่ในความทรงจำราวกับใครมากดปุ่มรีพีทซ้ำ ๆ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดทั้งวันก็วนเวียนไหลเข้ามาในหัวของมาร์ค วันนี้เขาเบื่อและเซ็งมาตั้งแต่เช้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  เพิ่งสรุปให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะเขาเสพติดรสชาติและกลิ่นของกาแฟ    จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกหงุดหงิด    ทว่าถ้อยคำแปลก ๆ ราวกับมีนัยยะแอบแฝงของเพื่อนก็ทำให้มาร์คครุ่นคิด   หรือบางทีสิ่งที่มีอิทธิพลกับเขามันอาจจะไม่ใช่กาแฟ

     
     

    อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย  เดี๋ยวตายห่ากันพอดี” 

     
     

    ร่างสูงค่อย ๆ ลำดับความคิดของตัวเองอย่างช้า ๆ และรอบคอบ     คิดถึง ใครเขาจะคิดถึงใคร  และเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น

     
     

    ร่างโปร่งบางที่มีผิวขาวสะอาดตัดกับคิ้วและผมดำสนิทก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด...

     

    คือคนคนเดียวกับที่เพื่อนสนิทบอกเป็นนัยเมื่อสักครู่




                  นึกถึงตรงนี้มาร์ครู้สึกถึงความเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งที่แล่นริ้วขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงมือที่ถือกุญแจอยู่.

       


    ไม่จริง! มันเป็นไปไม่ได้


     

    เด็กคนนั้นอย่างนั้นเหรอ ?

     

    เด็กที่หลงรักเขาข้างเดียวอย่างนั้น    ไม่มีทางมาทำให้เขาคิดถึง   ไม่มีทางมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาหรอก  ไม่มีทาง !

     

    เขาปณิธานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่มีความรู้สึกดี ๆ ให้ใครอีก สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ไปผูกพันกับใคร เพราะความผูกพันและความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น เมื่อถึงวันหนึ่งมันย่อมพัฒนาเป็นความรัก และแน่นอนว่ามาร์คไม่เชื่อในความรัก  ความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก  ทุกอย่างก็แค่เรื่องโกหกหลอกลวงทั้งนั้น ดูอย่างเด็กนั่นสิ นึกว่าจะมีความพยายาม นึกว่าจะทุ่มเท ที่แท้ก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ



    มาร์คแน่ใจว่าสิ่งที่เพื่อนพยายามพูดกับเขา    มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ     ความช่างสังเกตของแจ็คสันทำงานพลาดในครั้งนี้ 

     

     

     

    #Impassible_mn

     


     

    เสียงฝีเท้าของใครบางคนใกล้เข้ามา เป็นขณะเดียวกันกับที่เขากำลังจะเดินถึงบริเวณที่จอดรถ  คราแรกมาร์คคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่มันกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเจ้าของเสียงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา     ดวงหน้าที่เคยขาวใสเนียนละเอียด บัดนี้คล้ายมีสีชมพูแต่งแต้มอ่อน ๆ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผาก     จนผมหน้าม้าค่อนข้าวยาวนั้นเปียกแนบกับหน้าผากสวย เสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดังขึ้น มาร์คยืนมองเจ้าของร่างนั้นอยู่สักพัก   ยืนมองด้วยสายตานิ่ง ๆ เหมือนทุกครั้ง

     

    “ขอโทษครับ”    ขมวดคิ้วเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้  ก็น่าแปลกใจนี่ เด็กนี่มาขอโทษเขาเรื่องอะไร

     
     

    “ขอโทษที่ผมไม่ได้ซื้อคาปูชิโน่ให้พี่มาร์คเหมือนทุกวัน...”  ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วนั้นคล้ายขาวขึ้นอีกเมื่อเอ่ยประโยคต่อไป “....ผมเห็นพี่มาร์คโยนมันลงถังขยะเมื่อวาน    คิดว่าพี่คงเบื่อมันแล้ว   วันนี้ผมเลยซื่อไอ้นี่มาให้พี่ครับ”  ถุงกระดาษสีขาวลวดลายดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วงอ่อนถูกยื่นให้เขา เขายื่นมือรับมันไว้อย่างอัติโนมัติ   ปราศจากความรู้สึกที่อยากเปิดดู     เพราะคำพูดของคนตรงหน้าที่ว่าเห็นเขาโยนกาแฟลงถังขยะนั้นน่าสนใจมากกว่า

     

    จินยองเห็นเขาทำแบบนั้นหรอ.....เด็กนี่จะต้องเสียใจขนาดไหนนะ

     

     ไม่น่าล่ะวันนี้ถึงไม่มายืนให้กาแฟเขาเหมือนทุกวัน แทนที่จะเสียใจ ร้องไห้หรือล้มเลิกความตั้งใจ    คนตรงหน้ากลับเลือกที่จะเปลี่ยนของขวัญให้เขาใหม่    จากเครื่องดื่มเป็นขนม   ที่ถ้าให้เขาเดาจากกล่องบรรจุที่เขาเหลือบเห็นอย่างไม่ตั้งใจเมื่อตอนมันเปลี่ยนผ่านมาสู่มือเขา มันคงเป็นมาการอง ขนมยอดฮิตในสมัยนี้

     
     

    ความรู้สึกขุ่นมัวและรุนแรงก่อนหน้านี้มลายหายไปตอนไหนมาร์คก็ไม่แน่ใจ    รู้แต่ว่ามีความรู้สึกใหม่เข้ามาแทนที่    มันเป็นความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ไม่มีรสชาติ และเพราะความรู้สึกอุ่นๆที่ไหลวนอยู่รอบตัวนั้น    ทำให้เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ย



                  “ขอบใจ”    นั้นน่าฟังกว่าทุกครั้งที่จินยองเคยได้ยินมา    จินยองนึกขอบคุณเจ้าหนังสือ ' ทฤษฎีแอบรัก '  ที่อ่านจบเมื่อตอนเช้า   และตอนนี้เขายืมให้มันมานอนเล่นอยู่ในกระเป๋าเป้ที่เขาฝากไว้กับเพื่อนสนิท คำคมในหน้าเกือบสุดท้ายของหนังสือชื่อน่ารักนั้น ทำให้เขาวิ่งมาที่นี่ มาเพื่อได้ยินคำขอบคุณที่เพราะที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมา

     


    “It's hard to pretend you love someone when you don't, but it is even harder to pretend that you don't love someone when you really do.


     

    มันยากที่จะแกล้งทำเป็นว่ารักใครสักคนเมื่อเราไม่ได้รัก แต่มันยากยิ่งกว่าที่จะเสแสร้งว่าไม่ได้รักเวลาที่เรารักใครสักคนจริงๆ



    ในเมื่อมันเป็นเรื่องยากที่จะเสแสร้งว่าไม่รักใครสักคน   และการยอมรับว่ารักใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก  ในเมื่อเป็นเช่นนั้น...การทำตามหัวใจของตัวเองก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำ เพราะอย่างน้อยแม้ว่าเราต้องเสียใจ    แต่เราก็ได้ซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง


     









    #Impassible_mn

















     

    MoonDream_
     



    © themy  butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×