คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : Chapter 3 : I'm sorry
3
I’m sorry
“It's hard to pretend you love someone when you don't, but it is even harder to pretend that you don't love someone when you really do.”
#Impassible_mn
วันนี้จินยองเดินทางมาโรงเรียนตั้งแต่เช้าเฉกเช่นทุกวัน แต่แทนที่เขาจะมุ่งตรงไปยังร้านกาแฟตามปกติ ร่างบางกลับเลือกตรงเข้าไปยังมหาวิทยาลัย ไปยังอาคารสีน้ำตาลอมครีมที่สูง 6 ชั้น อาคารที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่าสำนักหอสมุด หรือที่นิสิตทั่วไปเรียกกันโดยย่อว่า ' ห้องสมุด '
เพราะยังเป็นเวลาค่อนข้างเช้าทำให้จำนวนนิสิตค่อนข้างบางตา ตั้งแต่เดินเข้ามาจินยองยังแทบไม่เจอใครเลยด้วยซ้ำ เจอแค่พี่นักศึกษาแพทย์สองคนที่กำลังสอบถามเจ้าหน้าที่บรรณารักษ์เกี่ยวกับงานวิจัยด้านโรคหัวใจ ขาเรียวยาวภายใต้กางเกงสแล็กสีดำเดินขึ้นบันไดไปเรื่อย ๆ เลือกที่จะไม่ใช้ลิฟต์ เพราะบางทีชีวิตของคนเราก็ควรมีจังหวะที่เนิบช้าอยู่ในแต่ละวันบ้าง
ความเนิบช้าที่บางคนอาจมองมันในแง่ลบ มองว่ามันเป็นเรื่องไม่ดี มองว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้เสียเวลา
แต่หลายๆครั้งความเนิบช้าก็เป็นส่วนที่เติมเต็มชีวิต ทำให้เราได้อรรถรสหลายอย่างที่แปลกใหม่
ถ้าจะพูดให้เห็นภาพชัดเจน...ก็เหมือนกับการที่เราค่อย ๆ ละเลียดทานไอศกรีมสักถ้วย มันอร่อยกว่าการรีบ ๆ ตักทานนะว่ามั้ย?
จินยองหยุดการก้าวเดินขึ้นบันไดที่เนิบช้านั้น เมื่อตัวเลขสีน้ำตาลเข้มบริเวณผนังตรงข้ามกับบันไดบ่งบอกว่าตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาถึงชั้น 5 แล้ว ในแต่ละชั้นของหอสมุดแห่งนี้จะมีการจัดหมวดหมู่หนังสือที่แตกต่างกันออกไป หนังสือหมวดวรรณกรรมและนวนิยายซึ่งจัดว่าอยู่ในหมวดภาษาศาสตร์และมนุษยศาสตร์จะถูกจัดให้อยู่ในชั้นนี้ และแน่นอนว่ามันเป็นชั้นที่จินยองมาเยือนบ่อยที่สุด
เดินเข้าออกตามชั้นวางหนังสือต่าง ๆ อย่างเอื่อยเฉื่อย ไม่มีหนังสือเรื่องใดที่เขาอยากอ่านมันเป็นพิเศษ เพราะกว่าครึ่งของจำนวนหนังสือที่เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเหล่านั้นจินยองอ่านมันหมดแล้ว
เขาเป็นคนชอบอ่านหนังสือ หลงใหลการกวาดสายตาไปยังตัวหนังสือเล็ก ๆ ที่เรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ สนุกกับโลกในจินตนาการที่ตัวหนังสือพาเราเข้าไป และหลงรักถ้อยคำบอกเล่าเรื่องราว บอกกล่าวให้แง่คิด และถ่ายทอดประสบการณ์ต่าง ๆ ที่หลากหลาย จากคำกล่าวของนักกวีท่านหนึ่งที่เขาจำชื่อไม่ได้ กวีท่านนั้นสรุปว่าหนังสือเปรียบเสมือนขุมทรัพย์ ซึ่งจินยองเห็นด้วยกับกวีท่านนั้นทุกประการ
เพราะหนังสือน่ะเป็นทั้งขุมทรัพย์แห่งความรู้ ประสบการณ์และจินตนาการอันไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อเดินเข้าออกพร้อม ๆ กับกวาดตามองตามชั้นวางหนังสืออยู่สักพักก็ไม่เห็นว่าจะมีหนังสือเรื่องใดที่น่าสนใจ จินยองจึงตัดสินใจที่จะออกจากหอสมุดไปมือเปล่า อันที่จริงจะสรุปว่าไม่มีเรื่องใดที่น่าสนใจก็คงไม่ถูกนัก เพราะหนังสือทุกเรื่องต่างก็มีความน่าสนใจและมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เพียงแค่ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องใดที่ทำให้เขามีความรู้สึกอยากที่จะอ่านก็เท่านั้น ความรู้สึกหรืออารมณ์มีอิทธิพลกับพฤติกรรมของคนเรามาก โดยที่บางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวหรือไม่คาดคิด ลองสังเกตตัวเองกันดูมั้ย อารมณ์เราเป็นแบบใด หนังสือที่เราเลือกอ่านก็จะมีโทนเรื่องตามอารมณ์ของเราในขณะนั้น
อย่างเช่นกำลังสุขสมหวังในความรักหรือเรียกตามเทรนด์ว่าอินเลิฟ หนังสือที่เราอ่านก็คงหนีไม่พ้น พวกพรหมลิขิต นิยายรักโรแมนติกแสนหวาน
ถ้ากำลังอกหัก สิ้นหวัง หนังสือที่หลาย ๆ คนเลือกอ่าน ก็อาจจะเป็นไปได้ทั้งแนวรักที่สิ้นหวัง หรือหนังสือสร้างกำลังใจ ปลุกปลอบใจให้คลายทุกข์
และแล้วผมก็ได้หนังสือสำหรับตัวเอง
มันมีชื่อแสนน่ารักว่า ‘ทฤษฎีแอบรัก’ เจ้าหนังสือที่ทำให้ผมสนใจตั้งอยู่บนชั้นวางหนังสือบริเวณโซนหนังสือใหม่อีกฟากของห้อง ขณะที่ผมก้าวเท้ายาว ๆ เพื่อออกจากห้องสมุด ผมก็มองเห็นมันเข้าเสียก่อน หนังสือเล่มไม่หนานัก เพียงแค่สองร้อยหน้ากว่า ๆ ผมคิดว่าจะอ่านมันที่ห้องสมุดนี่แหละ เพราะตอนเช้าผมมีเรียนตอน10โมง และตอนนี้นาฬิกาสีขาวที่ข้อมือผม มันก็ชี้บอกเวลาว่าแค่ 7 โมงครึ่งเท่านั้นเอง
ผมนั่งมองหน้าปกหนังสืออยู่ครู่หนึ่ง มันเป็นนิสัยที่แปลกประหลาดของผมที่ชอบคาดเดาเนื้อเรื่องจากหน้าปกก่อนว่า ปกแบบนี้จะมีเนื่อหาเกี่ยวกับอะไร ปกหนังสือสีขาวครีม พิมพ์เป็นรูปขนมคล้ายคุกกี้ที่มีชื่อเรียกว่ามาการอง ขนมกลม ๆสีสวยนั้นทำให้ผมเดาว่าบางทีเรื่องนี้ตัวเอกอาจจะเป็นพาทิสซิเยร์ หรือไม่คนเขียนหนังสือเล่มนี้คงเปรียบเทียบความรักกับขนม เหมือนที่ก่อนหน้านี้ผมเปรียบความรักหลาย ๆ รสชาติเป็นลูกอม
“When I text you it means I miss you, when I do not text you it means I want you to miss me.”
ผมรามือจากการพลิกหน้ากระดาษเมื่ออ่านมาถึงตรงข้อความนี้ และเป็นเวลาเดียวกับที่นาฬิกาปลุกของมือถือส่งเสียงร้องดังขึ้น ผมรีบหยิบมันขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกงเพื่อจะกดปิดเสียง เนื่องจากรู้ดีว่าทุก ๆ ห้องสมุดจะมีกฎที่เหมือนกัน คือห้ามส่งเสียงดังในห้องสมุด และเกรงว่าหากไม่รีบกดปิดเสียงร้องเตือนจากเครื่องมือสื่อสารนี้ เจ้าหน้าที่บรรณารักษ์ประจำชั้น 5 อาจจะเดินมาไล่ผมเสียก่อน
8.00
เวลาบนหน้าจอมือถือบอกกับผมแบบนั้น ถ้าตามปกติเวลานี้สถานที่ประจำของผมคือ บริเวณป้ายคณะรัฐศาสตร์ต่างหาก ไม่ใช่ที่ห้องสมุดแห่งนี้
ผมเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย สับสน และลังเลใจ ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดประการแรกที่ผมจับได้ คือ ความลังเล ...ลังเล...ไม่แน่ใจ ว่าที่ผมตัดสินใจอย่างนี้ถูกหรือผิด ผมควรจะไปยืนรอพี่มาร์คเหมือนทุกวันรึเปล่า ยืนรอให้กาแฟกับพี่เขา....แม้ว่าพี่เขาจะไม่เห็นค่าและโยนมันลงถังขยะภายหลังก็ตาม คิดถึงตรงนี้ก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา เจ็บ...ที่คิดว่าพี่เขาคงดีใจที่ไม่ต้องคอยรับกาแฟที่ผมซื้อให้ ดีใจที่ไม่ต้องมาเจอหน้าผมตอนเช้าในทุก ๆ วัน ดีใจที่ไม่ต้องมีใครไปวุ่นวายกับชีวิตของพี่เขา
บางทีที่ผมตัดสินใจแบบนี้คงเป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว
ผมคิดถูกแล้วใช่มั้ย ?
“When I text you it means I miss you, when I do not text you it means I want you to miss me.”
เวลาที่ฉันส่งข้อความหาเธอมันหมายความว่า "ฉันคิดถึงเธอ" แต่เมื่อไรที่ฉันไม่ได้ส่งข้อความไปหานั่นหมายความว่า ฉันอยากให้เธอคิดถึงกัน
อ่านถึงตรงนี้แล้ว ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายก็ไหลเวียนอยู่ในตัวของผม ผมรู้สึกทั้งอยากร้องไห้และอยากหัวเราะพร้อม ๆ กัน หัวเราะ...ที่แค่เปลี่ยนจากการส่งข้อความเป็นการส่งกาแฟมันก็คือเรื่องราวของผมนี่เอง และร้องไห้ที่ผมจะไม่มีวันได้ความคิดถึงของใครคนนั้นกลับมา
“You get the best out of others when you give the best of yourself.”
คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป
อ่านข้อความนี้แล้ว ผมคิดว่ามันอาจจะจริงสำหรับคนอื่น ที่ใช้คำว่า ‘อาจจะ’ ก็เพราะว่าทฤษฎีข้อนี้ใช้ไม่ได้กับผม ผมรู้สึกว่าความพยายามของตัวเองไม่เคยมีค่าในสายตาของคนบางคนเลย หรือบางทีผมอาจจะยังดีไม่พอ ยังพยายามไม่มากพอ
#Impassible_mn
มาร์คนั่งคิดทบทวนอาการของตัวเองก็พบว่ามันค่อนข้างน่าประหลาด เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับสิ่งที่อยู่รายรอบตัว ขนาดแจ็คสันพูดจากวนใส่ หรือยิงมุกตลกที่เขาเคยขำ เขาก็กลับรู้สึกว่ามันฝืดและจืดสนิท
อาจจะเป็นเพราะว่ามันนี้เขาไม่ได้ดื่มกาแฟ มาร์คให้เหตุผลกับอาการที่แปลกประหลาดนั้น มันเป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลทีเดียว บางครั้งคนเราก็ยึดติดกับเครื่องดื่มบางอย่างหรืออาหารบางประเภทจนต้องดื่มหรือลิ้มรสมันในทุก ๆ วัน และมาร์คก็ยอมรับว่าคาปูชิโน่ที่แสนกลมกล่อมและกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์นั้นก็เป็นสิ่งที่เขาเสพติด
เขาเสพติดกาแฟ ก็แค่กาแฟ...มันไม่ได้มีอะไรที่มากกว่านี้
“ตอนเย็นอย่าลืมนะมึง ว่ามีนัดที่ห้องชมรม” เสียงย้ำเตือนถึงตารางนัดหมายในตอนเย็นดังมาจากประธานชั้นปีที่สี่
“กี่โมงวะ นี่กูกะว่าจะกลับไปนอนที่คอนโดก่อน” เขาเอ่ยถามพร้อมบอกความตั้งใจ ทั้ง ๆที่ยังไม่เงยหน้าจากโทรศัพท์ในมือ กดเล่น ๆ ฆ่าเวลาไปอย่างนั้นเอง บางทีเวลาเซ็งหรือเบื่อมาร์คจะใช้โทรศัพท์กดเข้าแอปนั้นออกแอปนี้เพื่อฆ่าเวลาเสมอ
“มึงจะไปไหนก่อนก็ไป แต่อย่าลืมสี่โมงครึ่งเจอกันนะ” เจบีตอบ
“เออ งั้นพวกมึงไปกินข้าวกันเลยนะ กูไม่หิวว่ะ” มาร์คบอกเซ็ง ๆ พร้อมลุกขึ้นเก็บสมุดเลกเชอร์และดินสอใส่กระเป๋าเพื่อเดินทางกลับคอนโดหรูของตัวเอง
“เออ แล้วเจอกันนะมึง กลับไปดี ๆ ล่ะ อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย เดี๋ยวตายห่ากันพอดี” ประโยคลอยๆจากเพื่อนจอมกวน ทำให้มือหนาที่กำลังรูดซิปกระเป๋าคลัทช์สีเทาเข้มชะงักกึก ก่อนขมวดคิ้วถาม
“กูจะใจลอยคิดถึงใคร มึงอย่ามาเพ้อเจ้อ”
“ไม่รู้สิวะ กูก็พูดมั่ว ๆ ไปอย่างนั้น มึงไม่ได้เป็นอย่างที่กูพูด ก็อย่าเสือกร้อนตัว” แจ็คสันตอบอย่างไม่เดือดร้อน ราวกับไม่รู้สักนิดว่าไอ้คำพูดลอย ๆ นั้น จะกระทบกับความรู้สึกของคนฟังแค่ไหน
มาร์คขมวดคิ้วมุ่น รู้อยู่ว่าเพื่อนหมายความว่าอะไร สำหรับเขาแจ็คสันเป็นเพื่อนที่ชอบพูดอะไรตามแต่ใจคิด ตรงไปตรงมา จนหลายครั้งก็น่ากลัวว่าสิ่งที่แจ็คสันพูด มันจะเป็นความจริง
“กูไปละ” เมื่อทำอะไรไม่ได้ก็เลือกที่จะเดินออกไปเอง เขาจะทำอะไรไปได้มากกว่านี้ ในเมื่ออีกฝ่ายก็บอกชัดเจนว่า "ถ้าไม่เป็นอย่างนั้นก็อย่าร้อนตัว"
คำพูดของแจ็คสันยังคงดังก้องอยู่ในโสตประสาท ตลอดทางที่ร่างสูงเดินลงมาจากตึกคณะ
“อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย เดี๋ยวตายห่ากันพอดี”
“อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย เดี๋ยวตายห่ากันพอดี”
ขณะที่เสียงของแจ็คสันยังดังก้องอยู่ในความทรงจำราวกับใครมากดปุ่มรีพีทซ้ำ ๆ ภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ ตลอดทั้งวันก็วนเวียนไหลเข้ามาในหัวของมาร์ค วันนี้เขาเบื่อและเซ็งมาตั้งแต่เช้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพิ่งสรุปให้เหตุผลกับตัวเองว่าเพราะเขาเสพติดรสชาติและกลิ่นของกาแฟ จึงไม่แปลกที่จะรู้สึกหงุดหงิด ทว่าถ้อยคำแปลก ๆ ราวกับมีนัยยะแอบแฝงของเพื่อนก็ทำให้มาร์คครุ่นคิด หรือบางทีสิ่งที่มีอิทธิพลกับเขามันอาจจะไม่ใช่กาแฟ
“อย่าใจลอยคิดถึงใครตอนขับรถนะเว้ย เดี๋ยวตายห่ากันพอดี”
ร่างสูงค่อย ๆ ลำดับความคิดของตัวเองอย่างช้า ๆ และรอบคอบ คิดถึง ใครเขาจะคิดถึงใคร และเพียงไม่กี่วินาทีต่อจากนั้น
ร่างโปร่งบางที่มีผิวขาวสะอาดตัดกับคิ้วและผมดำสนิทก็แวบเข้ามาในห้วงความคิด...
คือคนคนเดียวกับที่เพื่อนสนิทบอกเป็นนัยเมื่อสักครู่
นึกถึงตรงนี้มาร์ครู้สึกถึงความเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งที่แล่นริ้วขึ้นมาตั้งแต่ปลายเท้าจนถึงมือที่ถือกุญแจอยู่.
ไม่จริง! มันเป็นไปไม่ได้
เด็กคนนั้นอย่างนั้นเหรอ ?
เด็กที่หลงรักเขาข้างเดียวอย่างนั้น ไม่มีทางมาทำให้เขาคิดถึง ไม่มีทางมามีอิทธิพลต่อความรู้สึกของเขาหรอก ไม่มีทาง !
เขาปณิธานกับตัวเองแล้วว่าจะไม่มีความรู้สึกดี ๆ ให้ใครอีก สัญญากับตัวเองแล้วว่าจะไม่ไปผูกพันกับใคร เพราะความผูกพันและความรู้สึกดี ๆ เหล่านั้น เมื่อถึงวันหนึ่งมันย่อมพัฒนาเป็นความรัก และแน่นอนว่ามาร์คไม่เชื่อในความรัก ความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก ทุกอย่างก็แค่เรื่องโกหกหลอกลวงทั้งนั้น ดูอย่างเด็กนั่นสิ นึกว่าจะมีความพยายาม นึกว่าจะทุ่มเท ที่แท้ก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
มาร์คแน่ใจว่าสิ่งที่เพื่อนพยายามพูดกับเขา มันเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ ความช่างสังเกตของแจ็คสันทำงานพลาดในครั้งนี้
#Impassible_mn
เสียงฝีเท้าของใครบางคนใกล้เข้ามา เป็นขณะเดียวกันกับที่เขากำลังจะเดินถึงบริเวณที่จอดรถ คราแรกมาร์คคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่มันกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ จนเจ้าของเสียงวิ่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา ดวงหน้าที่เคยขาวใสเนียนละเอียด บัดนี้คล้ายมีสีชมพูแต่งแต้มอ่อน ๆ เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นมาบริเวณหน้าผาก จนผมหน้าม้าค่อนข้าวยาวนั้นเปียกแนบกับหน้าผากสวย เสียงหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อยดังขึ้น มาร์คยืนมองเจ้าของร่างนั้นอยู่สักพัก ยืนมองด้วยสายตานิ่ง ๆ เหมือนทุกครั้ง
“ขอโทษครับ” ขมวดคิ้วเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้ ก็น่าแปลกใจนี่ เด็กนี่มาขอโทษเขาเรื่องอะไร
“ขอโทษที่ผมไม่ได้ซื้อคาปูชิโน่ให้พี่มาร์คเหมือนทุกวัน...” ใบหน้าที่ขาวอยู่แล้วนั้นคล้ายขาวขึ้นอีกเมื่อเอ่ยประโยคต่อไป “....ผมเห็นพี่มาร์คโยนมันลงถังขยะเมื่อวาน คิดว่าพี่คงเบื่อมันแล้ว วันนี้ผมเลยซื่อไอ้นี่มาให้พี่ครับ” ถุงกระดาษสีขาวลวดลายดอกไม้เล็ก ๆ สีม่วงอ่อนถูกยื่นให้เขา เขายื่นมือรับมันไว้อย่างอัติโนมัติ ปราศจากความรู้สึกที่อยากเปิดดู เพราะคำพูดของคนตรงหน้าที่ว่าเห็นเขาโยนกาแฟลงถังขยะนั้นน่าสนใจมากกว่า
จินยองเห็นเขาทำแบบนั้นหรอ.....เด็กนี่จะต้องเสียใจขนาดไหนนะ
ไม่น่าล่ะวันนี้ถึงไม่มายืนให้กาแฟเขาเหมือนทุกวัน แทนที่จะเสียใจ ร้องไห้หรือล้มเลิกความตั้งใจ คนตรงหน้ากลับเลือกที่จะเปลี่ยนของขวัญให้เขาใหม่ จากเครื่องดื่มเป็นขนม ที่ถ้าให้เขาเดาจากกล่องบรรจุที่เขาเหลือบเห็นอย่างไม่ตั้งใจเมื่อตอนมันเปลี่ยนผ่านมาสู่มือเขา มันคงเป็นมาการอง ขนมยอดฮิตในสมัยนี้
ความรู้สึกขุ่นมัวและรุนแรงก่อนหน้านี้มลายหายไปตอนไหนมาร์คก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่ามีความรู้สึกใหม่เข้ามาแทนที่ มันเป็นความรู้สึกอุ่น ๆ ที่ไม่มีรสชาติ และเพราะความรู้สึกอุ่นๆที่ไหลวนอยู่รอบตัวนั้น ทำให้เสียงทุ้มต่ำที่เอ่ย
“ขอบใจ” นั้นน่าฟังกว่าทุกครั้งที่จินยองเคยได้ยินมา จินยองนึกขอบคุณเจ้าหนังสือ ' ทฤษฎีแอบรัก ' ที่อ่านจบเมื่อตอนเช้า และตอนนี้เขายืมให้มันมานอนเล่นอยู่ในกระเป๋าเป้ที่เขาฝากไว้กับเพื่อนสนิท คำคมในหน้าเกือบสุดท้ายของหนังสือชื่อน่ารักนั้น ทำให้เขาวิ่งมาที่นี่ มาเพื่อได้ยินคำขอบคุณที่เพราะที่สุดตั้งแต่ที่เคยได้ยินมา
“It's hard to pretend you love someone when you don't, but it is even harder to pretend that you don't love someone when you really do.”
มันยากที่จะแกล้งทำเป็นว่ารักใครสักคนเมื่อเราไม่ได้รัก แต่มันยากยิ่งกว่าที่จะเสแสร้งว่าไม่ได้รักเวลาที่เรารักใครสักคนจริงๆ
ในเมื่อมันเป็นเรื่องยากที่จะเสแสร้งว่าไม่รักใครสักคน และการยอมรับว่ารักใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องยาก ในเมื่อเป็นเช่นนั้น...การทำตามหัวใจของตัวเองก็เป็นเรื่องที่พึงกระทำ เพราะอย่างน้อยแม้ว่าเราต้องเสียใจ แต่เราก็ได้ซื่อสัตย์กับหัวใจของตัวเอง
#Impassible_mn
MoonDream_
ความคิดเห็น