คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2 : Our relationship
2
Our Relationship
True love doesn't have a happy ending because true love never ends.
“ร้องไห้มาหรือไง ทำไมตาบวม” ยองแจถามผมทันทีที่ออดหมดเวลาดังขึ้น คำถามของเพื่อนสนิททำให้ผมนิ่งไป ไม่อยากโกหก แต่ถ้าพูดออกไปก็กลัวจะทำให้อีกฝ่ายพลอยไม่สบายใจไปด้วย เป็นเพื่อนกับคนอย่างผมนี่ไม่มีอะไรดีเลยจริง ๆ นะ
“แล้วแต่แกจะคิดว่ะ” ผมเลี่ยงตอบไปอย่างนั้น ไม่ต้องโกหก และก็ไม่ต้องบอกความจริง ปล่อยให้มันคิดเองว่าผมเป็นอะไร ยองแจเพียงมองผมนิ่ง ๆ ก่อนถามคำถามที่ผมเองก็ไม่มีคำตอบ
“เมื่อไหร่แกจะเลิกชอบไอ้พี่มาร์คนี่สักทีวะ” เสียงคนถามดูจะหงุดหงิดมากทีเดียว คำถามของยองแจทำให้ผมรีบเบือนหน้ามองหน้าต่าง ไม่อยากสบตากับมันด้วยเกรงว่าจะกั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ไม่อยากสบตา เพราะกลัวว่าจะเผยให้เห็นความอ่อนแอที่มีมากมายของผู้ชายที่ชื่อ ปาร์ค จินยอง
“ไม่เคยคิดเลยว่ะ ถามทำไมวะ” ตอนนี้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง มองผ่านตึกเรียนสูง ๆ ที่ตั้งอยู่ไกลออกไปจะเห็นหน้าปัดนาฬิกาขนาดใหญ่ของมหาวิทยาลัยที่เข็มยาวและสั้นตีบอกเวลาว่าเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว เหนืออาคารที่แขวนนาฬิกาขึ้นไปแสงอาทิตย์สีส้ม ๆ ยังทอแสงเข้มจัด และจะเข้มจัดยิ่งขึ้นในเวลาเที่ยงวัน
ธรรมชาติของดวงอาทิตย์เป็นเช่นนี้เสมอ ให้แสงสว่าง ให้ความอบอุ่น ในขณะเดียวกันก็มอบความร้อนที่แสนทรมานแก่มนุษย์
นึกถึงตรงนี้ผมก็อดเทียบดวงอาทิตย์กับความรักไม่ได้
ผมไม่รู้ว่าความรักของคนอื่นหรือคู่อื่นจะเป็นอย่างไร บางคู่ความรักอาจเหมือนกับดอกไม้ที่แสนนุ่มนวลและอ่อนโยน บางคู่อาจเหมือนกาแฟที่หวานบ้าง ขมบ้าง หรือบางคู่อาจเหมือนลูกอมที่สดใส มีชีวิตชีวา มีหลากหลายรสชาติปะปนกันไปในแต่ละวัน
แต่สำหรับผมความรักเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์...
ดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงให้ความหวัง ให้ความอบอุ่นแก่ผู้เฝ้ามองในทุก ๆ วัน แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นดวงอาทิตย์ นอกจากความอบอุ่นที่ให้แล้วก็พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างในเวลาเดียวกัน แผดเผาด้วยคำพูด...สายตา..... และการกระทำ
“ถามเพราะอยากรู้ไง นี่แกชอบพี่เค้ามากี่ปี ฉันไม่เห็นแกจะได้อะไรนอกจากน้ำตาเลยว่ะ” ยองแจบ่นอย่างหัวเสีย เสียงบ่นอย่างหงุดหงิดนั้นปลุกผมออกมาจากห้วงความคิด ผมหันหน้ากลับมาจากการมองวิวนอกหน้าต่าง ชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจตอบคนตรงหน้าด้วยเสียงดังฟังชัด จนตัวเองยังนึกแปลกใจ
“ความรักมันก็มีอยู่สองอย่างไม่ใช่เหรอวะ สมหวังกับผิดหวัง แต่เผอิญว่าฉันเป็นอย่างหลังก็แค่นั้นเอง”
เมื่อได้ฟังคำตอบจากเพื่อนสนิท ยองแจก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเซ็ง ๆ เซ็งกับความมั่นคงในการรักคนที่เขาไม่รักเราของมัน เซ็ง !!! เซ็งเว้ยยยยย! นี่นึกสงสัยว่าไอ้พี่มาร์คเดือนปีสี่มันมีอะไรดี ทำไมเพื่อนเขาถึงได้หลงรักมานานหลายปี พูดก็พูดเถอะ จินยองเพื่อนเขาน่ะเลือกได้นะรู้ยัง ? มันเป็นถึงเดือนปีสามเลยนะ มีคนมาจีบมาสนใจก็ตั้งมากทั้งชายและหญิง แต่ไอ้เพื่อนเขามันกลับโง่จงรักภักดีกับไอ้พี่มาร์คจนไม่ชายตามองคนอื่น
“เออ เรื่องของแกละกันเว้ย ไม่อยากจะยุ่งมากนักหรอกว่ะ ไอ้เราก็แค่กลัวว่าน้ำตาจะหมดตัวซะก่อน”
“ขอบใจนะเว้ยที่เป็นห่วง ไปกินข้าวกันเถอะ หิวละ” จินยองว่าพลางตัดบท
#Impassible_mn
โรงอาหารตอนสิบเอ็ดโมงครึ่งคนยังไม่พลุกพล่านมากนัก เนื่องจากยังมีอีกหลายสาขา หลายคณะที่ยังไม่เลิกเรียน และด้วยเหตุนี้ทำให้โต๊ะยังเหลือว่างอีกมาก พอจะจับจองนั่งสองคนได้อย่างสบายโดยที่ไม่ต้องไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นที่ไม่รู้จัก จินยองกับยองแจจึงพากันเดินไปวางกระเป๋าที่โต๊ะตัวริมชิดหน้าต่างตัวหนึ่ง พยักหน้าให้กันเป็นเชิงว่านัดหมายกันที่ตรงนี้ ก่อนจะแยกย้ายกันไปซื้ออาหารกลางวันอย่างเช่นทุกครั้ง
“เฮ้! จินยอง” เสียงห้าว ๆ ทักทายอย่างคุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลังของร่างบางขณะที่เจ้าตัวเข้าแถวต่อคิวซื้ออาหาร และเมื่อหันไปมองก็ได้พบเจอกับใบหน้าที่แสนคุ้นเคย พี่แจบอมหรือพี่เจบี พี่รหัสของผมนั่นเอง
“อ้อ นึกว่าใครที่ไหน” เมื่อเห็นพี่รหัสตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะกวาดสายตามองหาใครบางคน.....ตามความเคยชิน และเหมือนคนตรงหน้าเองก็รู้ทัน เมื่อเอ่ยประโยคถัดมา
“ไอ้มาร์คมันไปเข้าห้องน้ำกับไอ้แจ็คน่ะ นี่พวกมันสั่งให้พี่มาซื้อข้าวให้ นี่ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าจะถือไปยังไงหมด สองมือกับอีกสามจาน ดีเลยมาเจอเราพอดี” คนอายุมากกว่ากล่าวขึ้นยิ้ม ๆ อย่างมีความหวัง และแน่นอนจินยองย่อมไม่ปฏิเสธ ดังนั้นเมื่อซื้ออาหารตามที่ตัวเองต้องการเสร็จแล้ว เขาก็ถอยออกไปยืนรอข้าง ๆ รอจนอีกฝ่ายยื่นจานใส่มักกะโรนีมาให้ เขาก็ยื่นมือไปรับ กำลังจะถามว่าอีกฝ่ายนั่งตรงไหนก็พอดีถูกชิงถามขึ้นซะก่อน
“นั่งตรงไหนล่ะ มีที่เหลือมั้ย ให้พวกพี่ไปนั่งด้วยสิ” เมื่ออีกฝ่ายถาม จินยองจึงชี้มือไปที่โต๊ะที่มีกระเป๋าของเขาและเพื่อนสนิทวางอยู่ แปลกดีแฮะ....มีอย่างด้วยเหรอซื้อข้าวก่อน แล้วสมมติถ้าไม่มีโต๊ะนั่งล่ะ ไม่ต้องยืนกินกันหรือไง
เมื่อเดินกลับมาที่โต๊ะก็พอดีกับที่ยองแจกลับมาจากซื้ออาหารพอดี อีกฝ่ายเพียงเลิกคิ้วขึ้นนิดๆเมื่อเห็นว่าคนเป็นเพื่อนเดินนำใครมา
“เจอพี่เขาที่ร้านน่ะ พี่เขายังไม่มีที่นั่งเลยขอมานั่งด้วย” จินยองส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเพื่อนสนิท รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ชอบพี่มาร์คและผองเพื่อนสักเท่าไหร่ สาเหตุที่อีกฝ่ายไม่ชอบก็เป็นเพราะว่าพี่มาร์คทำให้เขาเสียใจ ส่วนเพื่อน ๆ ก็ไม่เคยคิดจะห้ามปรามหรือตักเตือน นั่นเป็นสิ่งที่ยองแจคิดและเชื่อ ไม่ว่าเขาจะเพียรพยายามบอกอีกฝ่ายสักแค่ไหนว่ามันไม่ใช่ความผิดของใครเลย แต่ยองแจกลับเลือกที่จะไม่เชื่อและยึดมั่นในความคิดของตน
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่” ปากบอกไม่ว่า หากสายตากลับกวาดมองไปรอบ ๆโรงอาหาร ราวกับบอกว่าที่นั่งก็ยังเหลืออีกมาก ทำไมต้องตามมานั่งด้วยประมาณนั้น และก่อนที่เหตุการณ์จะบานปลายหรือคุกรุ่นไปมากกว่านี้ เสียงบางอย่างก็กลับดังขึ้นทำลายความเงียบเสียก่อน
ตึก ๆ ตึก ๆ
เสียงหัวใจของปาร์ค จินยองเอง!
มันดังขึ้นอย่างอัตโนมัติ เมื่อสายตาของจินยองเหลือบไปเห็นร่างสูงที่คุ้นตาเดินออกมาทางฝั่งห้องน้ำ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย หรือจะเห็นในระยะไกลสักเท่าไหร่ เขาก็จะเห็นพี่มาร์คเป็นคนแรกเสมอ มันเป็นพื้นฐานของคนแอบรักเลยนะ เป็นแบบผมกันบ้างรึเปล่า?
แต่นี่ไม่ใช่เวลาจะมาถามนะ! ไม่ใช่เวลาที่หัวใจจะเต้นเป็นจังหวะแบบนี้ด้วย
จำไม่ได้หรือไงว่าพี่มาร์คใจร้ายขนาดไหน พี่มาร์คโยนแก้วคาปูชิโน่ทิ้งขยะต่อหน้าต่อตา พี่มาร์คทำให้ร้องไห้ ทำให้เข้าเรียนสาย ทำให้โดนอาจารย์ว่า จำไม่ได้หรือไง?
หยุดเต้น หยุดเต้นเดี๋ยวนี้นะ!
ตึก ๆ ตึก ๆ
“โธ่เว้ย!” ผมสบถเสียงดังลั่นจนหลายคนที่นั่งอยู่แถวนั้นหันมามอง และพอดีกับคนมาทีหลังตามมาสมทบพอดี
“เป็นอะไรไปล่ะเรา อยู่ดี ๆ ก็ร้องขึ้นมา ” เสียงถามอย่างอารมณ์ดีมาจากเพื่อนของพี่รหัส แน่ล่ะว่าต้องไม่ใช่พี่มาร์ค
“คิดอะไรเรื่อยเปี่อยน่ะครับ ไม่มีอะไรหรอก” ปฏิเสธขณะที่หัวใจยังคงทรยศ ไม่หยุดเต้นเป็นจังหวะสักที
“ไม่มีอะไรก็ดี หิวจนจะกินช้างได้ทั้งตัวแล้วเว้ย กิน ๆ กินเลย” คนพูดเลื่อนจานตรงหน้าให้พี่แจ็คสันจานนึงก่อนทรุดตัวลงนั่ง เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ...แสดงว่าจานที่ผมถือก็...
“นี่ของฉันรึเปล่า?” ผมไม่ทันจะคิดจบเสียงทุ้มต่ำก็ถามขึ้นมาซะก่อน ผมโยกหัวขึ้นลงเป็นเชิงตอบรับ ก่อนจะรีบยื่นจานในมือข้างหนึ่งให้พี่เขา และแน่นอนว่าผมไม่มีสติ....
“กูไม่ได้สั่งสปาเกตตีนะไอ้บี” พี่มาร์คพูดด้วยเสียงหนัก ๆ เมื่อเห็นจานอาหารที่ผมยื่นให้ พร้อมหันหน้าไปหาพี่รหัสของผมอย่างเอาเรื่อง
“อ่ะ เอ่อ.....ขอโทษครับ จานของพี่มาร์คอยู่นี่” รีบกล่าวขอโทษ พร้อมสลับจานในมือพี่เขากับผมอย่างรวดเร็ว
“ขอบใจ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยคำเดิม ๆ คำที่ผมได้ยินเป็นครั้งที่สามของวันแล้ว
“หมดเรื่องแล้วก็นั่งลงสักที นี่มีอะไรจะพูดด้วย”
ผมทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ พี่แจบอม และขวามือของยองแจอย่างงง ๆ ร้อยวันพันปีไม่เห็นว่าจะมีเรื่องอะไรมาคุยกับผมนี่ ปกติเรื่องที่ผมกับพี่รหัสคุยกันมักจะเป็นเรื่องสัพเพเหระทั่วไป หรือไม่ผมก็จะปรึกษาเรื่องการเรียน แล้วผมก็ไม่ต้องสงสัยนาน เสียงห้าว ๆ เล่าทันทีที่ทุกคนนั่งลงเรียบร้อย
“ต้นเดือนหน้าจะมีประกวดดาว-เดือนคณะ ฉันก็เลยจะให้พวกแกช่วยเลือกรุ่นน้องหน่อย เอาที่เบ้าหน้าดี ๆ มีความสามารถ จะได้ไปแข่งกับสาขาอื่นได้ พูดแล้วก็เจ็บใจว่ะ ปีที่แล้วไม่น่าแพ้การปกครองเลย ไม่งั้นปีนี้มีหวังเดือนสาขาเราได้เป็นเดือนคณะ 4 ปีซ้อน”
“แหม แต่ไอ้เดือนการปกครองปี 2 มันก็หล่อจริง ๆ นี่หว่า เสียงกรี๊ดนี่กระหึ่ม” แจ็คสันค้านขึ้น ซึ่งก็ทำให้คนเป็นเพื่อนหน้าหงิกทันที
“งั้น ๆ แหละว่ะ หน้ามันกวนตีนจะตาย” ประธานสาขาปีสี่ว่าไปนั่น
“เออ นี่ได้ข่าวว่ามันมาตามจีบน้องรหัสมึงสักพักไม่ใช่รึไง” พี่แจ็คสันยิ้มอย่างกรุ้มกริ่ม พลางยักคิ้วหลิ่วตาให้ผม
“หล่อนะ ไม่สนบ้างหรือไงจินยอง?” คำถามทีเล่นทีจริงนั้นทำให้ผมปั้นหน้าไม่ถูก ไม่กล้าหันไปมองคนที่นั่งเงียบ ๆ อยู่ข้าง ๆคนถามด้วยซ้ำ กลัวว่าสายตาเย็นชาจะมองกลับมา แล้วจะทำให้ผมต้องร้องไห้เป็นรอบที่สองของวัน ขณะที่ผมกำลังอึกอักตอบคำถามไม่ถูกอยู่นั้น พี่บีก็ช่วยผมไว้ได้ทัน
“แล้วมึงเสือกอะไรไอ้แจ็ค อย่ายุ่งเรื่องคนอื่นมากเลยมึง”
“ก็แค่ถามน่ะมึง แต่ก็พอจะรู้คำตอบล่ะว่ะ” คนถามเองตอบเอง ทิ้งระเบิดเสร็จก็กลับไปหันสเต็กกินต่ออย่างอารมณ์ดี
ให้ตายเถอะ! เพื่อนพี่รหัสของผมแต่ละคน คนหนึ่งก็เงียบไม่ค่อยจะพูด ส่วนอีกคนก็พูดเยอะ พูดมาก ยียวนเก่งซะเหลือเกิน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปเจอกับพวกปีหนึ่งตอนคาบเสรี” เมื่อตักเตือนเพื่อนเสร็จ พี่ก็บีวกเข้าเรื่องงาน
“กูไม่ไปไม่ได้เหรอวะ” เสียงของคนที่นั่งเงียบมาตลอดข้างพี่แจ็คสันดังขึ้น ทำให้ผมหันไปมองพี่เขาอย่างเต็มตาเป็นครั้งแรก แล้วก็เหมือนกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อผมสบเข้ากับดวงตาคมสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น ทว่า..ก็แค่ชั่วขณะจริง ๆ คล้ายกับว่าพี่เขาแค่ตวัดสายตามองอะไรบางอย่าง แล้วบังเอิญประสานสายตาเข้ากับผมซะก่อน
“มึงมีธุระเชี่ยไรไอ้มาร์ค อย่ามานะมึง แค่มึงไม่เอาสายรหัสแค่นี้ก็ถูกเขม่นมากพอแล้ว ยังดีที่มึงทำกิจกรรมเป็นเดือนคณะ เล่นกีฬา ไม่งั้นกูไม่อยากจะนึก” ประธานปีสี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงคล้ายกำลังกินอะไรที่ขมจัด
ใช่ครับ....ทุกคนได้ยินไม่ผิด...พี่มาร์คไม่เอาสายรหัส
ตัวเลขสองตัวท้ายของรหัสนิสิตเปรียบเสมือนการบังคับและกำหนดมาอยู่แล้วว่าใครเป็นพี่รหัสใคร เหมือนกับผมและพี่บีที่มีรหัสสองตัวหลังเหมือนกันคือเลข 18 พี่มาร์คเองแต่เดิมก็มีพี่รหัส เพียงแต่พี่เขาเดินไปบอกกับพี่รหัสตรง ๆว่าจะขอเป็นน้องรหัสแต่เพียงในนามเท่านั้น ไม่ขอมีความสัมพันธ์อะไรแบบพี่รหัสน้องรหัสคู่อื่น ๆ และเมื่อพี่เขามีน้องรหัส พี่เขาก็เดินไปบอกกับน้องรหัสตรง ๆ เช่นกันว่าพี่เขาจะขอเป็นเพียงพี่รหัสแต่ในนามเท่านั้น และแน่นอนว่าโลกของเรากลมครับ น้องรหัสของพี่มาร์คก็คือยองแจเพื่อนของผมเอง
“กูไม่สนหรอกว่ะ ใครจะมองยังไงก็ช่าง กูมีเหตุผลของกูก็พอ”
เหตุผลในการไม่เอาสายรหัสเนี่ยนะ ผมคิดในใจ พยายามนึกก็นึกไม่ออกว่าพี่มาร์คจะมีเหตุผลอะไร นี่พี่มาร์คจะรู้บ้างมั้ยว่ายองแจมันเสียใจแค่ไหนที่พี่รหัสไม่เอามัน มันเคยร้องไห้กับผมด้วยซ้ำว่าตัวมันทำอะไรผิด จนผมต้องวิ่งไปถามกับพี่บีถึงได้รู้ความจริง เมื่อยองแจมันรู้ว่าพี่มาร์คตัดสายตั้งแต่พี่รหัสของตัวเองแล้ว มันเลยหายเศร้าลงไปได้บ้าง แต่ตั้งแต่วันนั้นมันก็ทำตัวเย็นชา ห่างเหินใส่พี่เขา ประมาณว่าไม่ง้อ และยิ่งห่างเหินมากยิ่งขึ้น เมื่อรู้ว่าผมแอบรักพี่มาร์ค บอกแล้วไงครับว่าเป็นเพื่อนกับผมน่ะไม่มีอะไรดี
“นะมึง ปีสุดท้ายละ เดี๋ยวก็ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้อีก” พี่รหัสของผมหว่านล้อม ผมเห็นพี่มาร์คนิ่งคิดพลางเคาะนื้วมือกับโต๊ะอยู่ครู่หนี่ง ก่อนตอบตกลง
“เออ ๆ เห็นแก่มึงละกันนะ”
คำตอบของพี่มาร์คทำให้ผมอดนึกแปลกใจไม่ได้ แปลกใจ....เพราะโดยปกติแล้วพี่เขาไม่ใช่คนที่จะเปลี่ยนใจในภายหลัง
จากการที่ผมแอบชอบพี่เขามากว่าสองปี จากการเฝ้าสังเกตอยู่ห่าง ๆ ทำให้ผมพอจะสรุปนิสัยของพี่มาร์คคร่าว ๆ ได้ว่า นอกจากนิสัยเย็นชา นิ่ง ๆ ไม่ค่อยพูดของพี่เขาแล้ว นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ผมเห็นมาตลอด และผมขอเรียกว่า ‘สไตล์ของพี่มาร์ค’ คือ พี่เขามักจะชอบทำอะไรตามอารมณ์ ตามความพอใจของตัวเอง อย่างเช่นเรื่องการเข้าร่วมกิจกรรม ถ้าพี่เขาพอใจก็จะทำ แต่ถ้าหากไม่พอใจหรือบอกว่าไม่แล้วก็คือไม่ แม้แต่อาจารย์จะขอร้องแกมบังคับ พี่มาร์คก็จะไม่เปลี่ยนใจ และเนื่องจากนิสัยที่เป็นแบบนี้ทำให้ได้ยินข่าวลืออยู่เสมอว่ามีบางคนไม่ค่อยชอบพี่มาร์ค
นึกถึงตรงนี้ก็ตลกดีนะครับ ตลกที่คนบางคนมีเหตุผลที่แปลกประหลาดในการไม่ชอบใครสักคน
ไม่ชอบ.....แค่เขาไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
ไม่ชอบ.....ทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้......
ไม่ชอบ ทั้ง ๆ ที่เขาแค่เป็นตัวของตัวเอง
และไม่ชอบ ทั้ง ๆ ที่เขาแค่ทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจ
แต่โลกใบนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่แปลกประหลาดกว่านี้อีกมาก และพอมาพิจารณาดูแล้วเรื่องของความรู้สึกคงไม่สามารถบังคับกันได้ ความรู้สึกก็คือความรู้สึก เป็นเรื่องที่อยู่เหนือเหตุผล เป็นเรื่องของจิตใจที่ควบคุมให้ใครมารู้สึกอย่างที่เราต้องการไม่ได้ เราไม่สามารถบังคับให้ใครรักเราหรือบังคับให้ใครเลิกเกลียดเรา เพราะถ้าทุกคนสามารถทำเช่นนั้นได้ ผมก็คงบังคับตัวเองให้เลิกชอบคนบางคนไปนานแล้ว
#Impassible_mn
มาร์คเดินทางจากคอนโดมิเนียมที่ตั้งอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยด้วยรถสปอร์ตสีส้มคันงาม รถสปอร์ตรุ่นล่าสุดของแบรนด์รถชื่อดังระดับต้น ๆ ในทวีปยุโรป เขาอาศัยอยู่ที่ประเทศเกาหลีใต้แห่งนี้มา 5 ปีกว่าแล้ว ตั้งแต่เด็กด้วยความที่เป็นลูกชายเพียงคนเดียวทำให้ต้องติดสอยห้อยตามพ่อแม่ไปประเทศนู้นประเทศนี้อยู่บ่อย ๆ บางประเทศก็สองปี สามปี หรือห้าปี แต่เมื่อเข้าเรียนระดับมหาวิทยาลัย พ่อกับแม่ก็คงเห็นว่ามาร์คโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ จึงวางใจที่จะทิ้งให้เขาเรียนอยู่ที่นี่ตามลำพัง โดยติดต่อหากันบ้างทางโทรศัพท์หรือทางแอพลิเคชันสื่อสารต่าง ๆ ตอนนี้พ่อของเขามีตำแหน่งเป็นเอกอัครราชทูตอยู่ที่ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งสองประเทศนี้ก็ไม่ได้อยู่ไกลกันสักเท่าไหร่ ทำให้หลาย ๆ ครั้งเมื่อท่านทั้งสองว่างจากธุระการทำงานที่หนักและเหนื่อย มาร์คก็จะบินไปเยี่ยมท่านอยู่เสมอ
เมื่อจอดรถหรูราคาหลายล้านของตนเรียบร้อยแล้ว ขาเพรียวยาวก็มุ่งตรงไปที่ตึกคณะของตัวเอง เขาเดินอย่างไม่รีบร้อนเหมือนเช่นทุกวัน ด้วยรู้ดีว่ามาถึงก่อนเวลาเข้าเรียน จากการอบรมสั่งสอนและการปฏิบัติให้ดูเป็นตัวอย่างของผู้ให้กำเนิดทั้งสองนั้นได้หล่อหลอมให้เขาเป็นคนตรงต่อเวลา และมีระเบียบวินัยในตัวเอง
ตั้งแต่ใช้ชีวิตเป็นนักเรียนและนักศึกษามาตลอดเกือบยี่สิบปี มาร์คไม่เคยมีประวัติว่าเข้าเรียนสายหรือขาดเรียนโดยไม่มีสาเหตุที่สมควรแม้แต่ครั้งเดียว
ขายาว ๆ ที่ก้าวอย่างต่อเนื่องชะงักลงนิดหนึ่ง เมื่อพบเพียงความว่างเปล่าที่บริเวณป้ายหน้าตึกคณะ อันที่จริงมันก็ไม่ได้ว่างเปล่าซะทีเดียวหรอกนะ ป้ายหินสีขาวขนาดใหญ่ที่สลักคำว่า ‘คณะรัฐศาสตร์’ ก็ยังคงตั้งอยู่ ต้นไม้และดอกไม้ต่าง ๆ รอบ ๆ ป้ายก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิมของมัน แต่ที่เขาบอกว่าว่างเปล่า เพราะว่ามันไม่ปรากฏร่างบางที่แสนคุ้นตาต่างหาก คิ้วเข้มจัดขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ปกติ ‘เด็กนั่น’มักจะมายืนรอเขาอยู่ที่นี่เวลานี้ทุกวันนี่นา แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่มารอ ? มาร์คคิดใคร่ครวญอย่างสงสัย มหา’ลัยเองก็เพิ่งจะเปิดเทอม ยังไม่น่าจะมีงานอะไรที่สำคัญถึงขนาดไม่มายืนรอให้กาแฟเขาอย่างที่เจ้าตัวเคยทำนี่ หรือจะมีอะไรเกิดขึ้น ? ช่างเถอะ คิดไปก็รังแต่จะรกสมองเปล่า ๆ ก็แค่กาแฟแก้วเดียว ไม่เห็นจะสลักสำคัญตรงไหน
“มึงมองหาหอกอะไร ? เห็นมองหามาตั้งนานละ” คำถามกวน ๆ ดังมาจากเพื่อนสนิทที่ชื่อว่า หวัง แจ็คสัน เมื่อเห็นเพื่อนที่เงียบที่สุดคล้ายชะเง้อชะเเง้มองหาอะไรบางอย่างในมือเขา
“กูไม่ได้มองอะไร ” งานปากแข็งก็ต้องมา
“เออ นั่นสิมึงหาอะไรวะ ตอนกูเดินมาก็มองหาแบบนี้” เจบีหรือเเจบอมถามขึ้นอีกคนด้วยความสงสัย
ไม่มี....
ไอ้บีก็ไม่มี ไอ้หวังก็ไม่มี เอ๊ะ !...หรือฝากให้คนอื่นเอามาให้นะ แต่ก็ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ปกติถ้าไม่เอามาให้เองก็ต้องฝากให้หนึ่งในสองคนนี้เอามาให้ทุกที
“ไอ้มาร์ค มึงเป็นเชี่ยไรเปล่าเนี่ย ดูเหม่อ ๆ ไม่มีสติยังไงก็ไม่รู้” เสียงตะโกนดังอย่างกับช้างหลงโขลงแบบนี้มีอยู่คนเดียวแหละ
“นั่นสิ ไม่สบายรึเปล่า” ไอ้บีพูดไม่พูดเปล่า มันยังเอามือหนา ๆ ของมันมาแตะหน้าผากผม ผมต้องรีบกระเถิบถอยออกด้วยความขนลุก พอรู้อยู่บ้างล่ะว่าการแตะเนื้อต้องตัวกันหรือไอ้ที่เรียกว่า สกินชิป มันเป็นวัฒนธรรมของคนประเทศนี้ แต่บางทีมันก็อดที่จะลำบากใจไม่ได้ ที่แมน ๆ เตะบอลอย่างเราต้องมาถูกเนื้อต้องตัวกันแบบนี้
“กูสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร” ตอบไปอย่างนั้นแต่ถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อยของวันแล้ว
“เออ วันนี้มึงไม่มีกาแฟกินเหรอวะ ปกติตอนเช้ากูเห็นมึงต้องมีกาแฟเดลิเวอรี่ส่งถึงมือทุกที” แจ็คสันถามพลางทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ผมนึกสงสัยว่ามันอ่านใจผมออกหรือแค่เพราะว่ามันช่างสังเกต
“ไม่มี” มาร์คพยายามตอบด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
“เสียดายว่ะ นึกว่าจะขอแดกด้วยซะหน่อย เมื่อวานดูดไปนิดนึง แม่งงง โคตรอร่อย” ไอ้เพื่อนเวร ! ผมสบถด่ามันในใจ ยังจะมีหน้ามาพูดอีก ไอ้ไร้มารยาท ไอ้พ่อแม่สั่งสอนแล้วไม่จำ มีอย่างที่ไหนเอาของ ๆ คนอื่นไปกินทั้ง ๆ ที่เจ้าของยังไม่อนุญาต
“อยากแดกก็ซื้อเองดิ ตรงหน้าม.แค่นี้เอง” เมื่อได้ฟังคำตอบขวานผ่าซาก เเจ็คสันก็ร้องโอดครวญ
“ไม่ยุติธรรมอ่ะ ทำไมกูไม่ได้กินฟรีทุกวันแบบมึงบ้างวะ นี่กูควรไปแอ๊วน้องปีหนึ่งสักคนดีมั้ย เผื่อจะได้กินฟรีแบบมึงบ้าง” ไอเดียบรรเจิดของคนตะกละถูกพังลงด้วยเสียงขรึม ๆ ของเจบี
“มึงเห็นของฟรีสำคัญขนาดจะไปเล่นกับความรู้สึกของคนอื่นเลยเหรอวะ มึงอย่าคิดแม้แต่จะทำเลยนะ แค่คิดก็ชั่วมากพอแล้ว”
ผมเห็นด้วยกับคำพูดนี้ทุกคำ ความรู้สึกไม่ใช่เรื่องที่คนเราควรจะมาล้อเล่น ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะเล่นสนุกหรือหวังผลประโยชน์ ความรู้สึกของคนเราไม่ควรจะถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือไม่ว่าในเรื่องอะไรก็ตาม
“กูก็พูดไปอย่างนั้นแหละว่ะ ไม่เห็นต้องซีเรียสเลย” ตัวการแก้ตัวด้วยเสียงอ่อย ๆ
“ก็ไม่ได้ซีเรียสนะมึง แค่บอกไว้ เผื่อมึงคิดสั้นจะทำจริง ๆ สงสารคนโดนกระทำบ้างเถอะว่ะ” เจบีกล่าวขึ้นอีกครั้ง
และก็เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นด้วยกับมัน.....คนโดนกระทำน่ะมันเจ็บจริงๆนะ
#Impassible_mn
MoonDream_
ความคิดเห็น