ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC GOT7] Impassible #MarkJin (End)

    ลำดับตอนที่ #2 : Chapter 1 : Coffee

    • อัปเดตล่าสุด 9 ส.ค. 60


    1

    Coffee





     

    Every day may not be good...but there is something good in every day.








     

            ผมนั่งบนเก้าอี้ในร้านกาแฟที่สามารถมองผ่านกระจกใสของตัวร้านออกไปจนเห็นผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาในยามเช้าได้ชัด   บนฟุตบาธนั้นปรากฏผู้คนเดินขวักไขว่มากมาย      บางคนก้าวเดินอย่างรวดเร็วจนน่ากลัวว่าอาจชนอะไรสักอย่างหรือใครสักคนได้   ถ้าเพียงไม่มองทางเดินให้ดี...บางคนย่างก้าวอย่างช้า ๆ ราวกับจะซึมซับบรรยากาศในยามเช้าที่แสนสดชื่นแจ่มใส   และในจำนวนคนเหล่านั้นไม่น้อยเลยจะผลักประตูกระจกเข้ามาสูดกลิ่นกาแฟหอม ๆในร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายแห่งนี้  

     

            ผู้คนที่มาเยือนแม้ต่างกันบ้างด้วยวัยวุฒิ เพราะมีทั้งที่เป็นนักเรียนนักศึกษารุ่นราวคราวเดียวกับผมกับอีกกลุ่มที่เป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน    แต่ทุกคนก็ล้วนมีจุดประสงค์และสิ่งที่หลงใหลเหมือน ๆ กัน นั่นคือกาแฟหอมกรุ่นที่ปรุงจากบาริสต้าฝีมือดี...ถ้าจะมีใครที่แปลกแยกไปจากกลุ่มพวกเขาเหล่านั้นสักคน...คน ๆ นั้นก็คงเป็นผม.  


           ใช่...ผมแปลกแยกจากทุกคน

     

             แปลก...เพราะผมไม่ได้มีความรู้สึกหลงใหลในเครื่องดื่มคาเฟอีนนี้สักเท่าไหร่...ไม่ถึงกับรังเกียจหรือดื่มไม่ได้   เพียงถ้าเลือกได้ก็เลือกที่จะไม่ดื่มดีกว่า...เหตุผลที่ผมไม่ชอบน่ะหรอครับ?...ไม่ใช่แค่มันมีส่วนผสมของคาเฟอีนซึ่งดื่มมากทำให้ติดและไม่ดีต่อร่างกายเท่านั้น   หากเป็นเพราะเมื่อไหร่ที่ผมดื่มมัน    ผมจะไม่สามารถข่มตาหลับได้เลย  ตาของผมจะสว่างตลอดทั้งคืน    และด้วยเหตุนี้กาแฟจึงเปรียบเสมือนเครื่องดื่มตัวร้ายสำหรับผม   ทว่าคำพูดที่ว่า “กฎทุกกฎย่อมมีข้อยกเว้น”  ก็กลับใช้ได้กับผม  ผมจำต้องพึ่งพามันบางครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เมื่อต้องอ่านหนังสือทบทวนก่อนสอบหรือทำรายงานส่งอาจารย์ประจำวิชา

     

            ตอนนี้ผมนั่งอยู่ในร้านกาแฟ...นั่งรออยู่ที่เคาน์เตอร์กาแฟ    และใช่ครับ...วันนี้ผมมาซื้อกาแฟ...แต่ไม่ใช่ว่าใกล้สอบหรืออาจารย์สั่งรายงานอะไรหรอกนะ   เพราะมหาลัยเพิ่งเปิดเทอมมาได้แค่อาทิตย์เดียว  อาจารย์ยังไม่ทันสอนเนื้อหาอะไรด้วยซ้ำ...แต่ผมมาซื้อกาแฟในตอนเช้าแบบนี้เป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว


           นานแค่ไหนแล้วผมก็ไม่ค่อยแน่ใจ

     
           อาจจะหลายเดือนหรืออาจจะนานเป็นปี


           ที่ผมรอซื้อกาแฟเพียงแก้วเดียว...สำหรับคนเพียงคนเดียว

     



         “คาปูชิโน่เย็นได้แล้วครับ” เสียงพนักงานในชุดเสื้อเชิ้ตสีน้ำตาลเข้าชุดกันกับผ้ากันเปื้อนสกรีนลายโลโก้ของร้าน ปลุกผมออกจากห้วงความคิดของตัวเอง  เขากล่าวยิ้ม ๆ พร้อมกับยื่นแก้วพลาสติกบรรจุน้ำสีน้ำตาลเข้มให้กับผม  


         “ขอบคุณมากครับ”     ผมยิ้มตอบและไม่ลืมที่จะยื่นเงินสำหรับค่ากาแฟให้       

     
     

         “น้องมาซื้อคาปูชิโน่เย็นเกือบทุกวันเลยนะครับ   ทานเองหรือซื้อให้ใครครับเนี่ย”      ที่ใช้คำว่าเกือบทุกวันเพราะผมไม่ได้มาซื้อมันในวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น   อันที่จริงผมก็อยากจะซื้อนะครับ  ผมเต็มใจที่จะซื้ออยู่แล้ว   แต่ติดที่ว่าไม่รู้จะเอามันไปให้คนรับที่ไหนดี...จะตามไปให้ที่บ้านมันก็ดูวุ่นวายมากเกินไป...แค่นี้ผมก็ดูน่ารำคาญสำหรับคนรับมากพอแล้ว

     
     

         “เอ่อ... รุ่นพี่ผมเขาฝากซื้อน่ะครับ”    ในที่สุดก็ต้องโกหกออกไป จะให้บอกว่ายังไงล่ะ  บอกว่าผมซื้อให้คนที่ผมแอบรักงั้นเหรอ?...มันจะดูโรคจิตเกินไปหรือเปล่านะ...พี่พนักงานเพียงยิ้มให้นิด ๆ ก่อนหันไปรับออเดอร์จากลูกค้าที่เพิ่งเข้ามาใหม่    ส่วนผมก็เดินออกจากร้านเพื่อจุดมุ่งหมายต่อไป

     




    *

           





         “คาปูชิโน่เย็นครับพี่มาร์ค”  

     

            จุดมุ่งหมายของผมคือการให้กาแฟกับพี่มาร์คในตอน 8 โมงเช้าของทุกวันที่มีเรียน  โดยที่ผมจะมายืนดักรอพี่เขาบริเวณทางเชื่อมหน้าตึกระหว่างสองฝั่งของคณะรัฐศาสตร์   มันเป็นเช่นนี้เกือบทุกวันตั้งแต่วันที่ผมรู้จากพี่แจ็คสันว่าพี่มาร์คชอบคาปูชิโน่ของร้านกาแฟหน้ามหาลัย    ตั้งแต่วันนั้นในทุกเช้าก่อนจะเดินทางมาโรงเรียน  ผมจะแวะที่ร้านกาแฟก่อนเสมอ  เพียงเพื่อซื้อกาแฟที่พี่เขาชอบมาให้     ถ้าวันไหนผมไม่ว่าง ติดทำรายงานหรือภารกิจอื่น ๆ ที่สำคัญ   ผมก็จะฝากพี่แจ็คสันหรือพี่แจบอมไปให้พี่มาร์คแทน    แล้วแต่ว่าวันนั้นผมจะเจอใครก่อน


         “ขอบใจ”

     

         นี่ก็เป็นคำพูดที่พี่เขาพูดกับผมมาตลอดเช่นกัน...มันไม่เคยมีคำใดมากกว่านี้หรือน้อยกว่านี้   คล้ายกับเครื่องเสียงที่เปิดซ้ำ ๆ ใน ทุก ๆ วัน  

     

          “วันนี้ผมรู้มาจากพี่แจบอมว่าพี่มาร์คมีสอบพรีเทสต์  สู้ ๆ นะครับ”  ผมพูดให้กำลังใจพร้อมยิ้มกว้างให้พี่เขา...และมันก็เหมือนเช่นทุกครั้ง

     

         “ขอบใจ”

     

            พี่มาร์คเดินผ่านผมไปแล้ว   ในขณะที่ผมยังคงมองตามแผ่นหลังนั้นไปจนลับสายตา...แผ่นหลังที่สามารถมองเห็นได้ในระยะใกล้    แต่แสนห่างไกลในความรู้สึก...น่าแปลกนะครับ ยิ่งจำนวนวันที่ผมชอบพี่เขาเพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่   ผมกลับรู้สึกว่าพี่เขายิ่งห่างไกลจากผมออกไปทุกที  


         ไม่สิ....


     

            ถ้าจะพูดให้ถูก คือผมไม่เคยมีโอกาสได้เข้าใกล้พี่เขาเลยต่างหาก...ระยะห่างระหว่างพี่เขากับผมมันไม่เคยลดลงและนับวันก็ดูเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นทุกที....พี่มาร์คราวกับมีโลกอีกใบที่คนอย่างผมไม่มีวันได้เข้าใกล้...โลกอีกใบที่คนอย่างผมไม่มีวันได้เอื้อมถึง



         แม้จะพยายามสักแค่ไหน


         แม้จะทำดีสักเท่าไหร่

         ก็ไม่เคยมีค่าในสายตา

     

         ผมเคยถามตัวเองหลายต่อหลายครั้งว่าที่ทำไปทั้งหมดนี้เพื่ออะไร... 


     

         มันได้อะไรนอกจากความเจ็บปวดซ้ำ ๆ...เจ็บ...ราวกับแผลที่ถูกมีดกรีดซ้ำ ๆ ที่รอยเดิม

     

     

         ผมเฝ้าถามย้ำกับตัวเองว่าผมได้อะไรจากความรักครั้งนี้ จนเมื่อไม่นานมานี้   ผมก็ได้ค้นพบคำตอบให้กับตัวเอง...คำตอบที่ว่า...บางทีผมอาจจะเป็นพวกซาดิสม์ประเภทหนึ่งที่ชอบหล่อเลี้ยงชีวิตตัวเองด้วยความเสียใจ...

     

         ใช่......ผมเสียใจ

     

         เสียใจและเสียใจมาตลอด     มันนับตั้งแต่วันแรกที่ผมได้รู้จักกับความรัก

     

         แต่ความเสียใจของผมไม่ได้เกิดจากความไม่สมหวังในความรัก      ไม่ได้เกิดจากการรักข้างเดียว

     

         ผมไม่ได้เสียใจที่พี่เขาไม่รัก...เพราะอันที่จริงผมเองก็ไม่เคยหวังให้พี่เขามารักตอบ...ไม่เคยหวัง...เพราะรู้ดีว่ามันไม่มีวัน

     

         ถ้าจะมีสิ่งเดียวที่ผมหวัง...ก็แค่หวังว่าพี่เขาจะเห็นผมอยู่ในสายตาบ้าง    แม้นิดเดียวก็ยังดี


         แต่บางทีผมอาจจะหวังมากเกินไป

     




    **

     





    “ใจร้าย มึงน่ะใจร้าย

     

            คำต่อว่าที่ได้ยินติดต่อกันมาหลายปียังก้องอยู่ในความทรงจำของมาร์ค    มันเป็นคำต่อว่าจากเพื่อนสนิทที่มักจะดังขึ้นเสมอ  เมื่อเขาแสดงท่าทีเย็นชาหรือเฉยเมยใส่น้องรหัสของเพื่อน    คำต่อว่าที่เขาได้ยินมันซ้ำ ๆ จนจำได้ขึ้นใจ   เขาไม่คิดปฏิเสธหรอก ยอมรับในทุกข้อกล่าวหาด้วยซ้ำ    เขายอมรับว่าตัวเองใจร้าย   แต่ทุกการกระทำย่อมมีเหตุผลรองรับเสมอ เขามีเหตุผล  เหตุผลที่ไม่มีใครรู้  เพราะเขาเองไม่ต้องการบอกใคร....ไม่บอก...เพราะไม่ต้องการให้ใครมาสงสารหรือเวทนา     อดีตมันก็ควรเป็นอดีต   ผ่านมาแล้วก็ควรปล่อยให้ผ่านไป...ไม่ควรรื้อฟื้น...ไม่ควรพูดถึง...แต่ควรจดจำ!   จำมันไว้เป็นบทเรียน  บทเรียนที่เขาจะไม่มีวันให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง


     

            ขณะที่มาร์คกำลังเดินไปที่มุมตึกเพื่อขึ้นลิฟต์นั้น   เสียงของเพื่อนสนิทก็ดังขึ้น

     
     

         “ไอ้มาร์ค มาพอดี ขอกูกินกาแฟหน่อย  เมื่อคืนกูนอนดึกมากกก..”     แจ็คสันลากเสียงยาวและหนักตรงคำว่ามากให้รู้ว่ามากจริง ๆ พร้อมยื่นมือหนามาคว้าแก้วกาแฟในมืออีกคนไปดื่มอย่างถือวิสาสะ

     

         “ไอ้เวรนี่!  กูยังไม่ได้บอกว่าจะให้ ”     มาร์คว่าพลางกระชากแก้วที่ถูกกระชากไปจากมือเมื่อครู่กลับมา

     

         “หนอยยย ทำเป็นหวง กับอีแค่กาแฟนิด ๆ หน่อย ๆ”     แจ็คสันบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะถึงอย่างไรก็ได้ดูดกาแฟไปหลายอึกอยู่  พลางจิ๊ปากแล้วหรี่ตามองเพื่อนรัก




         “แหม ทำเป็นหวงกาแฟ  ทีพออยู่ต่อหน้าปากนี่อย่างกับอมอะไรไว้”

     
     

         “อะไร? มึงเพ้อเจ้ออะไร”     มาร์คถามกลับด้วยเสียงติดจะเย็นชา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันนิด ๆ  ถ้าเป็นคนอื่นเจอน้ำเสียงทุ้มต่ำและสีหน้าแบบนี้คงไม่กล้าพูดอะไรต่อ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่สำหรับแจ็คสัน เขาสนิทกับมาร์คมานานหลายปี นานพอจะรู้ดีว่าอีกฝ่ายก็แค่ทำเพื่อปกปิดอะไรบางอย่างเท่านั้น

     

         “เด็กมึงไง ปาร์คจินยอง” เมื่อเพื่อนเฉไฉทำเป็นไม่รู้ เพื่อนรักอย่างเขาก็จำต้องบอก เขาเน้นชื่อทุกพยางค์ให้ชัด พลางสังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย  แต่ที่ได้กลับมานอกจากสีหน้านิ่งปราศจากความรู้สึก คือคำถาม

     

         “เกี่ยวอะไรกับเด็กนั่น ?”    และนั่นก็ทำให้คนที่ความอดทนต่ำอย่างหวังแจ็คสัน ไม่ทนอีกต่อไป

     

         “มึงโง่จริงหรือแกล้งโง่วะ  ถ้ามึงโง่จริงกูก็จะช่วยบอกให้ กาแฟนี่จินยองเป็นคนซื้อให้มึงทุกวัน  แล้วมันก็เป็นเพียงอย่างเดียวตลอดหลายปีมานี้ที่มึงไม่เคยเรียกไอ้บีกับกูกิน ทั้ง ๆ ที่ปกติไม่ว่ามึงจะซื้อลูกอมไปยันกุ้งมังกร มึงก็จะเรียกพวกกูกินด้วยทุกครั้ง”

           

         คำตอบอย่างตรงไปตรงมาของเพื่อนสนิททำให้มาร์คนิ่งไป  และเกินที่ใครจะทันคาดคิด แจ็คสันสังเกตเห็นมาร์คกำแก้วกาแฟกระดาษในมือแน่นครู่หนึ่ง  ก่อนโยนมันลงถังขยะที่ตั้งอยู่มุมตึกอย่างไม่ไยดี

     
     

         ตุ๊บ



     

         “มึงคงคิดมากไปว่ะ กาแฟจากเด็กคนนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับกูเลย”

     

     



      

    ***

     




     

         มึงคงคิดมากไปว่ะ กาแฟจากเด็กคนนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับกูเลย

         

            เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในหูของจินยอง  แม้วิ่งหนีออกมาจากจุดนั้นมาไกลแล้ว


     

         มึงคงคิดมากไปว่ะ กาแฟจากเด็กคนนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับกูเลย


     

         มึงคงคิดมากไปว่ะ กาแฟจากเด็กคนนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับกูเลย

     

            ยกมือขึ้นปิดหูของตัวเอง  ทว่ายิ่งปิดเท่าไหร่เสียงของใครบางคนกลับยิ่งดังชัดเจนราวกับดังมาจากที่ใกล้ ๆ สักที่ในโรงยิมแห่งนี้  ในที่สุดจึงลดมือต่ำลง  จะปิดมันทำไมในเมื่อมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย  จินยองตัดสินใจนอนลงกับพื้นโรงยิม  ปล่อยให้หยาดน้ำตาใส ๆไหลออกมาจากดวงตาคู่สวย  ดวงตาที่ปกติจะเป็นประกายด้วยความสุขเสมอ  ถ้าจินยองมีโอกาสได้มองเห็นตาของตัวเองในตอนนี้ จะเห็นว่ามันแดงช้ำด้วยผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก  ร้องไห้มาตลอดทางที่วิ่งมา

     
     

            ถ้าไม่บังเอิญรู้ว่าพี่มาร์คจะมีสอบ ถ้าไม่บังเอิญเห็นปากกาที่ทำตกไว้  ก็คงไม่ไปได้ยินถ้อยคำที่แสนจะทำร้ายจิตใจนั้น...ควรเสียใจไหมนะที่สิ่งที่ตั้งใจทำให้ มันไร้ค่าสำหรับอีกคนอีกแล้ว หรือควรดีใจที่หายโง่และรู้ความจริงสักที



         คือ แด คยอท ทึล อี เจ ตอ นา นึน กอท ซึล ฮู ฮเว ฮัล ชี โด โม รึอ จี มัน  คือ แดน ซารัง ฮา กี แต มุน นี ยา

           

            เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์  ปลุกจินยองให้ออกจากภวังค์ความคิดของตัวเอง  มือบางล้วงหยิบโทรศัพท์สีขาวจากกระเป๋ากางเกงด้านหน้าของตัวเอง เมื่อเห็นชื่อชัดว่าเป็นใครที่โทร.มาจึงพยายามควบคุมเสียงของตัวเองไม่ให้สั่น ด้วยเกรงว่าปลายสายจะรู้ว่าตนกำลังร้องไห้

     
     

         “จินยอง อยู่ไหนอ่ะ”     เสียงร้อนรนของอีกฝ่ายทำให้เขานึกแปลกใจ

     

         “อยู่โรงยิม แกมีอะไรรึเปล่า”

     
     

         “อาจารย์เข้าสอนแล้วนะ ทำไมแกยังไม่มา แล้วไปทำอะไรที่นั่น”    คำตอบของคนเป็นเพื่อนนั้นทำให้เขาแทบผุดลุกขึ้นยืนโดยเร็ว น้ำตาก็ดูราวจะกับเหือดแห้งโดยทันที


     

         “เออ ๆ ขอบใจ ฉันจะรีบไปให้เร็วที่สุด วันนี้เรียนห้องไหนอ่ะ?”    พูดโทรศัพท์พร้อม ๆ กับสาวเท้าออกจากโรงยิม


     

         “402 รีบๆมานะเว้ย”

     
     

              “เออ จะรีบไป”    เมื่อปลายสายวางไปแล้ว จินยองก็ออกวิ่งเพื่อไปให้ถึงห้องเรียนโดยเร็วที่สุด     วิ่งผ่านโรงยิมไปสระว่ายน้ำ  ผ่านสนามเทนนิส สนามฟุตบอล  ผ่านตึกนิเทศศาสตร์  ตึกสังคมศาสตร์ ตึกมนุษยศาสตร์ ตึกศิลปกรรมศาสตร์  ตึกวิศวกรรมศาสตร์  ผ่านโรงอาหาร...ครึ่งทางแล้ว ....ขายาว ๆ นั้นยังคงซอยวิ่งไม่ได้หยุด  เป็นการวิ่งรอบที่สองของวัน   จินยองคิดว่าการวิ่งครั้งนี้อาจเป็นการวิ่งที่เร็วที่สุดและเหนื่อยที่สุดในชีวิตของเขาเลย  เหนื่อยจนหัวใจเต้นรัวเร็วราวกับกลอง   เหงื่อออกจนเสื้อนิสิตเปียกไปหมด  นี่เขาวิ่งไปไกลมากขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย...วิ่งหนีเสียงที่ไม่อยากได้ยิน...น่าแปลกที่ขาไปเขากลับไม่รู้สึกเหนื่อยแม้แต่น้อย   คงเป็นเพราะความเสียใจที่มีมากกว่า 



            มนุษย์นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลก.... แปลกเพราะบางครั้งเราก็ทำอะไรลงไปโดยที่ไม่รู้ตัว    

     

             ร่างเพรียวชะลอความเร็วลง เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นตึกสีขาวขนาดใหญ่ที่มีป้ายอยู่หน้าตึก ป้ายนั้นอ่านได้ว่า   คณะรัฐศาสตร์


     

         ถึงแล้ว...ในที่สุดก็ถึงสักที   จินยองแทบตะโกนออกมาด้วยความดีใจ     เขาวิ่งไปที่มุมตึกซึ่งมีลิฟต์สำหรับขึ้นอาคาร   ลิฟต์ตัวหนึ่งยังอยู่ชั้น 9    ส่วนอีกสองตัวก็ขึ้นตัวเลขว่าชั้น 7 กับ 8  ห้องเรียนของเขานั้นอยู่ชั้น 4  ถ้าวิ่งขึ้นบันไดไปคงเร็วกว่ารอลิฟต์เป็นแน่    เร็วเท่าความคิดขายาว ๆ ก้าวออกวิ่งอีกครั้ง   จินยองวิ่งอย่างรวดเร็วหมายจะให้ถึงห้องเรียนให้เร็วที่สุด   และเป็นเพราะความรีบร้อนไม่ระมัดระวัง ทำให้ร่างบางวิ่งไปปะทะเข้ากับใครคนหนึ่ง คน ๆ นั้นคว้าจินยองไว้ในอ้อมแขนได้ทันก่อนที่จะกระเด็นตกลงจากบันไดไป



         คนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดในตอนนี้ 


         “พี่มาร์ค! ”  

          
           โลกราวหยุดหมุนไปครู่หนึ่ง    ความรู้สึกของจินยองสับสนงุนงงไปหมด    แรกสุดเลยคือความตกใจ...ตกใจที่เกือบตกบันไดไปแล้ว  ถ้าอีกคนไม่คว้าจับเขาได้ทัน   ส่วนความรู้สึกอีกอย่างมันคล้ายกับน้ำผึ้งร้อน ๆ ไหลวนอยู่ในร่างกาย   จินยองรู้สึกได้ถึงความอุ่นจัดที่แผ่นหลังตัวเอง  รู้สึกถึงลมหายใจร้อน ๆ ที่หน้าผาก   และรู้สึกถึงเสียงตึกตักที่ดังขึ้นในโพรงอกด้านซ้ายของตัวเอง   มันคือเสียงหัวใจที่กำลังเต้นเป็นจังหวะ   จังหวะเฉพาะสำหรับคนตรงหน้าอีกแล้ว

     

         “ตึกๆ ตึกๆ”


     

         “ไปทำอะไรมา ทำไมตัวเปียก”    เพราะอาการตกใจทำให้ไม่ทันได้จับความอ่อนโยนที่เจืออยู่ในน้ำเสียงทุ้มต่ำนั้น

     

         “เอ่อ.... ผม....เอ่อ”    คิ้วของคนตรงหน้าขมวดเข้าหากันนิด ๆ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีอาการอึกอัก

     

         “ฉันถามว่าไปทำอะไรมา”     ตอนนี้จินยองมีสติแล้ว...มีสติครบถ้วนจนได้ยินเสียงเย็นชาที่คุ้นเคยชัดเจน



     

         “ผมวิ่งมาจากโรงยิมครับ”    เสียงนั้นเบาด้วยความน้อยใจ   ความเย็นชาของอีกคนเป็นเรื่องที่ทำใจให้คุ้นชินได้ยาก   ขยับตัวเองนิด ๆ เพื่อให้อีกฝ่ายรู้ตัวว่าควรปล่อยเขาสักที    แขนที่โอบอยู่คลายออกอย่างรวดเร็ว  มาร์คเพียงใช้มือจับต้นแขนของคนตรงหน้าแล้วจับหมุนตัวให้มายืนอีกฝั่ง   ฝั่งที่เป็นพื้นอาคารไม่ใช่บันไดแบบเมื่อสักครู่

     
     

         “นี่ไม่มีเรียนรึไง ทำไมยังไม่เข้าเรียน”    ทำไมวันนี้พูดกับเขาเยอะจังนะ  จินยองคิดแล้วนึกขึ้นได้   จริงสิ! ต้องเข้าเรียนนี่นา   เขาแทบก้าวขาออกวิ่ง  แต่ก็ไม่ลืมที่จะกล่าวกับอีกฝ่าย




         “ขอบคุณที่ช่วยนะครับ”

















     

    MoonDream_

    #Impassible_mn

      

    © themy  butter<
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×