คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : Chapter 14 : ทางที่เลือก
Chapter 14 : ทางที่เลือก
บนโต๊ะเล็กสีขาวหน้าโซฟาชุดรับแขกปรากฏซองสองซองที่ถูกส่งมาจากหลังจากที่ลิซได้ข่าวจากยุนเจว่าจับตากล้องคนนั้นได้แล้วและตอนนี้เอริคก็จัดการเปลี่ยนข้างผู้ชายคนนั้นด้วยเงินจำนวนไม่น้อยไปเรียบร้อยแล้ว ผมที่ถูกเกล้าเป็นมวยสูงเริ่มยุ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเจ้าตัวยกมือขึ้นยีผมตัวเองด้วยอาการราวกับคนคิดไม่ตกอยู่นานสองนาน
เธอเหลือบมองผ้าพันแผลที่ข้อมือข้างขวาอย่างชั่งใจเพราะแม้จะแก้ปัญหาคราวนี้ไปได้ก็ไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์แบบนี้มันจะไม่เกิดขึ้นอีกตราบใดที่เรื่องนั้นยังไม่เรียบร้อยก่อนจะหยิบซองฝั่งซ้ายออกมาดูอีกครั้ง
ตั๋วเครื่องบินไปจากเกาหลีสู่ปลายทางฮ่องกงในอีกสามวันข้างหน้าทำเอาเธอผ่อนลมหายใจยาว มือบางวางสิ่งของในมือลงก่อนจะเอาเอกสารที่ว่างอยู่อีกฝั่งออกมาวางข้างกันเพื่อเปรียบเทียบ แต่จะว่าไปแค่เอามานั่งมองน่าจะถูกต้องกว่า ดวงตาหวานดูเศร้าขึ้นเมื่อเอกสารวีซ่าสำหรับอยู่เกาหลีหนึ่งปีที่เคยอยากได้นักหนาวางอยู่ตรงหน้ากลับไม่ทำให้เธอดีใจอย่างที่ควรจะเป็น
....ด้านหนึ่งเป็นตั๋วเครื่องบินไปฮ่องกง
....อีกด้านหนึ่งเป็นวีซ่าเกาหลีหนึ่งปี
เรื่องที่ควรจะตัดสินใจได้ไม่ยากหากเป็นเมื่อไม่กี่วันก่อน ทว่าพอมาถึงวันนี้ทำให้ลังเลได้อย่างไม่น่าเชื่อเพราะเหตุการณ์เสี่ยงอันตรายนั้น
ลิซทิ้งหลังลงบนโซฟาอย่างคิดไม่ตกทั้งที่จริงเธอไม่ใช่คนที่จะลังเลกับเรื่องอะไรแบบนี้ อย่างตอนแรกที่เลือกมาที่เกาหลีเมื่อหลายเดือนก่อนก็เป็นคนเลือกเองทั้งที่มีอีกหลายที่ที่เธอสามารถไปได้ ณ เวลานั้น
“ความประมาทเป็นหนทางสู่ความตายฉันใด การยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินกำลังก็ก็สร้างความเดือดร้อนให้ตัวเองฉันนั้น เฮ้อ….”
สองมือยกขึ้นปิดหน้าด้วยความเครียดตามด้วยการเอียงตัวทิ้งลงบนโซฟาอีกที ดวงตาโตเหม่อมองเพดานสีขาวอย่างไม่รู้จะทำอะไรที่ดีไปกว่านี้ แต่สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะขัดคำสั่งของเอริคที่ห้ามออกไปเพ่นพ่านด้านนอกก่อนได้รับอนุญาตจนได้
วันถัดมา...สองขาพาร่างบางมาถึงสถานที่ค่อนข้างคุ้นเคย หญิงสาวยกหลังมือขึ้นเคาะเบาๆ หลังจากที่คนด้านในรับโทรศัพท์ เวลาผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีประตูเก็บเสียงบานหนาก็เปิดออก ใบหน้าเปื้อนยิ้มจริงใจของคนตรงหน้าเรียกรอยยิ้มของผู้มาเยือนอย่างเธอได้เช่นกัน
“สวัสดีครับ เข้ามาก่อนสิครับ” ผู้ชายตัวไม่สูงมากแต่ดูร่าเริงเป็นนิสัยเอ่ยปากเชิญ
“ขอบคุณค่ะ คุณ...”
“จางดงอูครับ เรียกดงอูเฉยๆ ก็ได้ครับ...นูน่า...” นั่นไง... ความอาวุโสที่ไม่เคยต้องการมันมาอีกแล้ว ผิดใช่ไหมที่เกิดก่อน
“จริงๆ เป็นเพื่อนกัน ก็ได้นะ” แม้ลิซจะรู้ธรรมเนียมเรื่องอาวุโสดี แต่บางทีมันก็ไม่ค่อยถูกใจนิดหน่อย
“ไม่ดีมั้งครับ จะเรียก ฟ..แฟ.. เอ่อ..ผมหมายถึงเพื่อนของซองกยูฮยองแบบนั้นมันคง...ไม่ไหว” ดงอูยิ้มแห้งๆ ให้พลางลูบต้นคอเบาๆ อย่างลำบากใจ
“อ้อ.. ลืมเรื่องนั้นไปเลย ขอโทษที”
ดงอูยิ้มให้เธออีกรอบก่อนจะเดินไปเรียกซองกยูที่กำลังโทรศัพท์อยู่ด้านใน พอเห็นทางสะดวกเจ้าตัวแสบก็ปราดเข้ามาประชิดพลางถือโอกาสพาลิซมานั่งรอที่เก้าอี้ยาวด้านข้างพร้อมทักทาย
“สวัสดีฮะลิซนูน่า.. ผมอูฮยอนจำได้มั้ยครับ”
“สวัสดีค่ะ จำได้สิคะ ฉันเจอคุณบ่อยจะตาย”
นัมอูฮยอนยิ้มกว้างเมื่อรู้ว่าตัวเองได้รับการจดจำ แต่ตัวแสบอย่างนัมอูฮยอนก็ยังเป็นตัวแสบอยู่วันยังค่ำ ชายหนุ่มสบจังหวะที่เริ่มยิ่งคำถามที่ตัวเองอยากรู้ทันที
“เอ่อ.. นูน่าครับ ผมถามเรื่องส่วนตัวหน่อยได้มั้ย? คือ.. ไม่ตอบก็ได้นะ ถ้าไม่สะดวก”
“อืม... ถ้าตอบได้น่ะนะ”
อูฮยอนเบือนหน้าไปแอบยิ้มและทำมือโอเคกับเหล่าสมาชิกในวงที่ทำเป็นเกรงใจแล้วไม่เข้ามาทักอย่างรู้กัน เจ้าตัวแสบสูดหายใจเข้าเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะถามคำถามที่คิดว่าเจ๋งที่สุดของตัวเองออกมา
“นูน่า... มีแฟนรึยังครับ?” ถามเสร็จก็ยิ้มแห้งๆ ส่วนพวกที่เหลือยกเว้นซองกยูที่ยังอยู่ด้านในนั่งเงี่ยหูฟังจนแทบจะเสียจริต
“ทำไมถึงถามล่ะ?” ลิซเลิกคิ้วสูง
“เอ่อ.. คือ.. ป..ปะ..เปล่าครับ แค่... แค่ชวนคุย..” อูฮยอนหลบตาพลางคิดว่าแค่คำถามแรกก็ผิดแผนเสียแล้วงานนี้
“เหรอ? ก็... ไม่มีนะ”
ลิซตอบนิ่งๆ แต่ทำให้อูฮยอนหันขวับ ถ้าหากไม่เกรงใจคนข้างๆ เขาคงแหกปากลั่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เขาดีใจแทนลีดเดอร์ของวงอย่างซองกยูต่างหากที่ยังมีสิทธิ์เปลี่ยนสถานะเพราะเขาไม่เคยเห็นพี่ชายคนนี้เพ้อพกถึงใครจริงจังขนาดนี้มาก่อน แต่มันทำไม่ได้... อูฮยอนต้องสงบไว้ นิ่งไว้ ส่วนพวกขบวนการร่วมนั่นเห็นอาการของอูฮยอนก็รู้ทันทีทว่าได้แต่หัวเราะทั้งที่ยังไม่ได้เล่าเรื่องตลกใส่กันสักนิดอย่างเก็บอาการไม่อยู่
กองเชียร์เนี่ยลุ้นยิ่งกว่านักกีฬาในสนามเสียอีก....
“แล้วซองกยู..?”
“ไม่ครับ!” อูฮยอนตอบเสียงดังฟังชัด พร้อมย้ำอย่างหนักแน่น
“โสด! โสดมาก!”
“ห๊ะ?”
ลิซงงกับคำตอบก่อนจะนึกได้และหัวเราะเบาๆ
“หึหึ.. ฉันหมายถึง.. ซองกยูไปไหนน่ะค่ะ”
เพล้ง.... เคยเห็นคนหน้าแตกไหมครับ นี่กะจะช่วยเชียร์แต่แบบผิดจังหวะ... ใครก็ได้ช่วยมาเก็บเศษหน้าของนัมอูฮยอนประกอบให้หล่ออย่างเดิมที แต่พวกนั้นสิ... ยังคงขำไม่หยุด งานนี้เรียกได้เลยว่า...ขำลืมอ่ะ
“ทำอะไรกันน่ะ!?” เสียงเข้มๆ ของซองกยูทำให้พวกที่ขำแทบสิ้นใจสะดุดดับเครื่องแทบไม่ทัน
“ขอโทษทีนะ พอดีบอสโทร.มาเลยนานไปหน่อย” ประโยคนี้เขาหันมาพูดกับลิซซึ่งเธอก็พยักหน้าให้น้อยๆ เป็นเชิงรับรู้
ซองกยูเดินมาหยุดอยู่ตรงม้านั่งพลางมองนัมอูฮยอนอยู่ครู่หนึ่งจนคนถูกมองเริ่มรู้สึกเลยขยับตัวออกไปกองรวมกับขบวนการกองเชียร์ที่หน้ากระจกห้องซ้อม
“แขนคุณเป็นอะไรน่ะ?”
“ไม่เป็นไรแค่โง่เล็กๆ น้อยๆ”
“ไม่ได้มีเรื่องแน่นะ”
“อืม...”
“จริงนะ”
“จริงสิ”
ซองกยูยิ้มออกเมื่อได้ยินแบบนั้น เพราะใจจริงเขาเป็นห่วงเธอมากแต่ด้วยความที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่งานยุ่งทำให้ทำอะไรไม่ถนัดนักหรือแม้แต่เวลาจะโทรศัพท์ไปหายังไม่ค่อยจะมี
ลิซนั่งมองซองกยูที่ยังมีใบหน้าเปื้อนยิ้มแล้วระบายยิ้มน้อยๆ ไปด้วย ซองกยูเป็นคนน่ารักและมีเสน่ห์ถึงแม้เขาจะดูเหมือนไม่ค่อยกระตือรือร้นอะไรแต่เขาเป็นคนที่จริงจัง ช่างเป็นห่วงเป็นใย มีความคิดและเป็นคนที่ดีมากทีเดียว ลิซเอื้อมมือไปจับมือของเขาที่วางอยู่บนเข่าเบาๆ ซองกยูชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะหันมามองอย่างแปลกใจ
“มีอะไรรึเปล่า?”
ลิซส่ายหน้าเบาๆ แต่ยังคงยิ้มบางๆ ให้
“คุณจำสร้อยเส้นนี้ได้ใช่ไหม?” ลิซยกมือข้างที่มีผ้าพันขึ้นแตะสร้อยที่คอตัวเอง
“จำได้สิ ผมให้คุณ แล้วก็ซื้อมันมาด้วยเงินตัวเอง”
“มันอยู่กับฉัน... ตั้งแต่ที่ไทยจนมาเกาหลี และก็จะอยู่กับฉันทุกที่”
ซองกยูมองสร้อยเส้นนั้นด้วยรอยยิ้ม เขาพลิกมือที่ถูกเธอกุมไว้ขึ้นมาวางไว้บนหลังมือของเธอแล้วเอ่ยเบาๆ พอได้ยินกันสองคนแต่ชัดเจน
“ผมเอง...ก็จะอยู่ข้างๆ คุณเสมอ...”
♥ ---------------- ♥ ---------------- ♥
ซองกยูหันมองคอนโดที่เขาเพิ่งขึ้นไปส่งลิซอย่างอารมณ์ดีก่อนจะหันหลังกลับไปที่รถ ดูเหมือนเธอจะตั้งใจจะใช้เวลาวันนี้กับเขาเมื่อรู้ว่าเขามีเวลาว่างและนั่นยิ่งทำให้คิดถึงช่วงเวลาที่อัดรายการขึ้นมาอีกครั้ง ช่วงเวลาที่แม้จะอยู่ต่อหน้ากล้อง แม้จะมีสคริปต์ให้ทำอะไรบ้างเมื่อสถานการณ์มันนิ่งเกินไปแต่เขาก็มีความสุขที่ได้เป็นตัวเอง หัวเราะอย่างตัวเองเป็น พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ต้องแคร์ใครเพราะนั่นคือสิ่งที่ทุกคนอยากเห็น
บางทีซองกยูอาจจะรู้สึกว่าตัวเองเห็นแก่ตัวเมื่อต้องการรั้งใครสักคนที่รู้สึกดีด้วยและเข้ากับเขาได้เอาไว้ แม้มันจะเป็นเรื่องยากที่จะดำเนินความสัมพันธ์ให้มันก้าวหน้าแต่เขาก็เริ่มมันไปแล้วด้วยความจริงใจ
วันนี้เขาออกไปเที่ยวข้างนอกกับลิซในเวลาสั้นๆ ที่พอมีเหลือ แม้ทำได้แค่ทานอาหารและคุยกันเท่านั้นแต่นั่นก็เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากสำหรับซองกยู ถ้าไม่ติดว่าต้องมีซ้อมต่อเขาคงได้อยู่คุยกับเธอดึกกว่านี้
รถคันที่คุ้นตาและเป็นอีกคันที่เขาจำแม่นที่สุดนอกจากรถของบริษัทขับสวนไปทำให้เขาต้องหันมองตาม ความสุขที่เต็มขีดของเขาอยู่ดีๆ ก็ลดลงอย่างช่วยไม่ได้แต่จะให้วนรถกลับไปมันก็ใช่เรื่องเพราะเขารู้ดีว่าจริงๆ แล้วทั้งคู่รู้จักกัน ซองกยูได้แต่ไล่ความคิดไม่เข้าท่าที่ปั่นทอนกำลังใจของตัวเองออกไป
ซึงโฮนั่งทำหน้ายุ่งเมื่อเข้ามาเห็นข้าวของบางส่วนนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋าเดินทางใบเล็กแม้จะไม่ใช่ของทั้งหมดแต่ทำให้เขาหงุดหงิดเมื่อเธอทำอะไรไม่เคยที่จะปรึกษาหรือบอกกันสักครั้ง
“เก็บของทำไม? จะกลับ...งั้นเหรอ?”
“เปล่า... แค่ไปเที่ยว”
“ต้องเอาแล็ปท๊อปไปด้วย?” ซึงโฮชี้แล็บท๊อปที่นอนนิ่งอยู่ในช่องของกระเป๋าเป้ที่เปิดอ้าอยู่อย่างจับผิด
“ไปหลายวัน กลัวจะเหงา” ลิซตอบทั้งที่ยังยัดของที่เลือกไว้แล้วลงกระเป๋า
“มานี่ฉันช่วย... คราวนี้ไปไหนล่ะ?
“เชจู...”
พอได้ยินคำว่า..เชจู ซึงโฮก็ปรับสีหน้าบูดๆ ของตัวเองเป็นระรื่นในทันที
“กี่วัน?”
“อาทิตย์นึงมั้ง?” ลิซนิ่งคิดแล้วตอบ
“ก็ดี... ฉันก็ไม่อยู่” ซึงโฮยิ้ม แล้วหันไปหยิบของสองสามอย่างโยนลงกระเป๋า
“อย่าลืมของฝาก”
“งก!”
ซึงโฮหัวเราะเบาๆ ก่อนจะย้ายตัวเองไปที่ครัวเพื่อหาอะไรรองท้องเพราะตั้งแต่ก่อนเข้าประชุมตอนบ่ายกว่าๆ ก็ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย
“ลิซซี่! รามยอนต้มยำกุ้งนี่ฉันขอนะ!” ซึงโฮตะโกนออกมาจากครัว
“โอเค!”
ชามบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งยอดฮิตของไทยถูกยกมาตั้งที่โต๊ะรับแขกควันฉุย ซึงโฮที่นั่งอยู่ที่พื้นท่าทางดูหิวกำลังเริ่มลงมือจัดการอาหารตรงหน้า ลิซเดินแทรกช่องว่างโซฟาก่อนจะวางน้ำอัดลมลงข้างๆ แล้วทรุดตัวลงนั่งตาม
“ทายารึยัง?” ซึงโฮถามก่อนคีบเส้นบะหมี่เข้าปาก
“เรียบร้อยแล้ว” ... คิมซองกยูทำให้.... ประโยคท้ายลิซเก็บไว้ในใจ
“ฉัน Goodbye Stage ไปแล้ว และก็ช่วงนี้เดินทางบ่อย อยู่คนเดียวได้นะ”
“พูดเหมือนนายอยู่กับฉันงั้นแหละ” ลิซเท้าคางพูดอย่างหมั่นไส้
“ก็อยากอยู่แหละ” ซึงโฮพึมพำ
“ว่าอะไรนะ?”
“นั่นแหละ มาเล่นเป็นเพื่อนไง”
พูดไปก็เปิดน้ำเทใส่แก้วน้ำและยกขึ้นดื่มอึกใหญ่เพื่อดับอาการเผ็ดร้อนจากบะหมี่ตำรับไทย
“กินน้ำเข้าไปเยอะๆ เผ็ดจนปากห้อยหมดละ ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...”
“หืม... ได้ทีเอาใหญ่เลยว่างั้น”
“อืม..”
ลิซมองซึงโฮที่ค้อนใส่แล้วยิ้ม คนตาดุๆ ชอบทำตัวโหดๆ แลดูน่าเข้าถึงยาก จริงๆ แล้วเป็นคนขี้เล่นและกวนประสาทมาก แถมยังเป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วอุ่นใจเพราะรู้สึกได้ว่าเขามีความสามารถในการปกป้องคนอื่นได้ดีไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจ
“มองอะไร? ฉันหล่อล่ะสิ”
ซึงโฮถามเมื่อเห็นคนข้างๆ ไม่พูดอะไรเอาแต่นั่งยิ้มแล้วมองเขา ลิซส่ายหน้า ไม่รู้ว่าปฏิเสธว่าไม่ได้มอง หรือปฏิเสธว่าไม่หล่อกันแน่
เมื่อไม่ได้คำตอบ... ถามใหม่ก็ได้
“เธอไปเมื่อไหร่ล่ะลิซซี่?”
“...พรุ่งนี้...” ลิซเงียบไปพักนึงแล้วตอบ
“กี่โมง? เดี๋ยวขับรถไปส่ง”
“ไม่ต้องๆๆๆๆ” ลิซปฏิเสธหน้าตาตื่นจนซึงโฮชักสงสัย เธอเลยแก้
“ไปไฟลท์เช้าน่ะ ไม่สะดวกหรอก”
ซึงโฮพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะยืนเต็มความสูงแล้วหันไปหยิบกุญแจรถที่โต๊ะเล็กด้านข้าง
“กลับ?” ลิซเอียงคอถามอย่างแปลกใจ
“มากินข้าวว่างั้น?”
“อื้ม..”
เขาตอบง่ายๆ พลางเอื้อมมือมายีผมนุ่มของคนที่กำลังเตรียมจะเหวี่ยงตรงหน้ายิ้มๆ
“ฝากล้างจานด้วยนะ ไปหละ”
ชายหนุ่มเดินออกไปด้วยท่าทางสบายๆ ทั้งที่พยายามกลั้นยิ้มแก้มแทบแตก ส่วนคนข้างหลังน่ะหรือ... ก็ได้แต่ขมุบขมิบด่าตามหลังอย่างทำอะไรไม่ได้น่ะสิ
สนามบินนานาชาติอินชอนคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ลิซรีบวิ่งมาเช้คอินที่เคาน์เตอร์อย่างเร่งรีบเพราะใกล้เวลาปิดเคาน์เตอร์แล้วก่อนจะรีบโหลดกระเป๋าและรีบวิ่งเข้าไปในด้านในเพื่อไปที่ประตูทางออกขึ้นเครื่องให้ทัน
ด้วยจำนวนคนที่เยอะและระยะทางที่ไม่ค่อยคุ้นทำให้เธอไปถึงประตูทางออกสายแต่ยังทันเรียกครั้งสุดท้าย หญิงสาวก้มตัวเอามือยันเข่าทั้งสองข้างเพื่อพักหายใจหายคอเมื่อเห็นว่าในแถวยังมีคนยืนเรียงกันอยู่พอสมควร
“ไส้แทบไหลมารวมกัน โอ่ย...”
ลิซบ่นกระปอดกระแปดพลางเลื่อนเท้าตามคนด้านหน้าอย่างเชื่องช้า หญิงสาวยื่นหนังสือเดินทางพร้อมตั๋วเครื่องบินให้เจ้าหน้าที่ก่อนที่ตั๋วระบุปลายทางฮ่องกงจะถูกฉีกออกอย่างเป็นทางการ
เธอหันไปทอดสายตามองตรงทางที่วิ่งผ่านมาอีกครั้งก่อนจะกระชับเป้ที่สะพายอยู่เดินเข้าไปด้านในเพื่อเตรียมเดินทางในเที่ยวบินนี้
♥ ---------------- ♥ ---------------- ♥
ความคิดเห็น