คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Chapter 13 : 4x100 เหรียญทอง
Chapter 13 : 4x100 เหรียญทอง
คาเฟ่เล็กๆ ที่ตกแต่งอย่างน่ารัก ร้านทั้งร้านปกคลุมไปด้วยสีฟ้าในเฉดต่างๆ ตั้งแต่อ่อนไปถึงเข้มทำให้ร้านดูแปลกตากว่าที่อื่นๆ ริมกระจกด้านในใสพอที่จะมองเห็นสวนหย่อมด้านนอกที่ถูกตกแต่งด้วยต้นไม้สีเขียวอย่างสบายตา
ซองกยูมองไปรอบๆ อย่างไม่คุ้นชินนักเพราะเขาก็ไม่ค่อยที่จะย่างเท้าเข้าร้านแบบนี้บ่อยๆ แต่แปลกที่คนถ่างถิ่นกลับรู้จักมันเป็นอย่างดีหรืออาจจะเป็นความสามารถพิเศษของผู้หญิงกันนะ
เสียงเดินเบาๆ ทำให้ซองกยูหันมามองจึงได้พบกับคนที่รออยู่ ลิซมาในชุดที่เขาเองไม่ค่อยได้เห็นนักเพราะวันนี้เธอถักเปียหลวมๆและเอามาไว้ที่ด้านข้าง สวมกางเกงยีนส์ขาวยาวสีเข้มและแจ๊คเก็ตยีนส์สีเข้ากัน
“หวัดดี” ชายหนุ่มเอ่ยทัก
“หวัดดี”
“นั่งสิ”
คนมาใหม่นั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้วยิ้ม ทำให้คนเชิญมีท่าทางขัดเขินเล็กน้อย
“คุณมานานแล้วเหรอคะ?”
“ครู่เดียว.. คุณหิวไหม?” ลิซส่ายหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ร้านหายากไหมคะ? ขอโทษที่ทำให้คุณต้องลำบาก”
ซองกยูนั่งยิ้มในหน้าฟังเธอพูดอย่างเดียวจนลิซต้องเรียก
“เฮ้! เฮ้! ซองกยู!”
“ห.. หะ.. หืม...ว่ายังไงนะ?”
“คุณไม่ได้ฟังฉันเลยนี่ ฉันถามว่า... ตามฉันออกมามีอะไรรึเปล่า?”
“ไม่มีอะไร ก็แค่อยากคุยกับคุณ เป็นห่วง... พรุ่งนี้จะตอนสุดท้ายแล้วนี่นะ”
ซองกยูเฉไฉเปลี่ยนเรื่องมั่วไปเรื่อยทั้งที่จริงเหตุผลจริงๆที่มีคือ..แค่อยากเจอ แต่จะพูดออกไปได้ยังไงในเมื่อรู้ดีว่าตอนนี้ทั้งตัวเขาและเธอก็ถูกจับจ้องจากคนรอบข้าง โชคยังดีที่ความยังไม่แตกอย่างจริงจังทำให้คนตรงหน้าได้อยู่อย่างเป็นสุข ถ้าหากเป็นผู้ร่วมรายการคนก่อนๆ ที่เป็นคนเกาหลีรับรองได้เลยว่าคนคนนั้นอยู่บ้านยาวจนเบื่อเลยนั่นแหละ
“เดี๋ยวนะ... ชุดคุณ?”
“ทำไมเหรอ?”
“คุณคงไม่ได้... ออกมาจากสถานีหรอก ใช่มั้ย?”
“คุณนี่เก่งจัง ฮ่ะฮ่ะฮ่ะ...”
ซองกยูหัวเราะร่าจิตใจไม่ได้สำนึกเลยสักนิด ลิซได้แต่ขมวดคิ้วเพราะไม่เคยเห็นเขาเป็นพวกแสบๆ อะไรแบบนี้มาก่อน ชายหนุ่มลุกขึ้นและฉุดคนตรงข้ามให้ลุกขึ้นตามเขาออกไปขึ้นรถแวนสีดำที่จอดอยู่ด้านหน้าร้านโดยไม่อธิบายอะไร
รถเคลื่อนตัวออกไปสู่สถานีโทรทัศน์ท่ามกลางจราจรที่ค่อนข้างโล่ง แต่อย่าหาว่าคิมซองกยูเป็นพวกแหกกฎเพราะเขาขออนุญาตพี่ผู้จัดการออกมาได้ต่างหากแม้มันจะเป็นเรื่องไร้สาระสุดๆ ก็ตาม ทั้งคู่คุยเล่นกันอยู่ในรถจนกระทั่งถึงหน้าทางเข้าสถานีลิซจึงขอตัวกลับก่อน เขาอิดออดอยู่สักพักก็ยอมปล่อยให้เธอลงรถไป ลิซมองตามจนเห็นเข้าไปด้านในแล้วจึงหันหลังกลับไปอีกทาง
แชะ! แชะ! แชะ!
เสียงแปลกแต่คุ้นหูดังขึ้นไม่ไกลทำเอาเธอหันขวับหาต้นตอ เท้าที่อยู่ในรองเท้าผ้าใบสีขาวเริ่มเร่งขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่รู้หรอกว่าเป็นแฟนคลับหรือนักข่าวแต่สิ่งเดียวที่รู้คือจะปล่อยให้เจ้าของกล้องนั่นจับภาพเธอเพื่อไปใช้งานไม่ได้เด็ดขาด สุดท้ายเธอก็ออกวิ่งจนได้และดูเหมือนฝีเท้าที่ดังขึ้นด้านหลังทำให้รู้ในทันทีว่าถูกตาม
“บ้าเอ๊ย!!”
ซอยแคบด้านหน้าเป็นเป้าหมายที่จะทำให้ตัวเองหนีพ้นการตามของคนแปลกหน้า ไวเท่าความคิดลิซเลี้ยววูบหายเข้าไปและแน่นอนคนที่ตามอยู่ต้องตามเข้ามาในไม่ช้า ทันทีที่คู่กรณีลึกลับวิ่งเข้ามากระเป๋เป้ที่เต็มไปด้วยสัมภาระก็ฟาดอั้กเข้าที่หน้าจนหงาย
อั้ก!!
พลั่ก!!
ลิซเตะอัดเข้าให้อีกทีก่อนจะวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเพราะสัญชาตญาณสั่งการให้เชื่อว่าคนที่ตามไม่ใช่แฟนคลับหรือแม้แต่ปาปารัซซี่
โชคอันน้อยนิดก็เป็นของเธอเมื่อวิ่งออกมาได้ไม่กี่ก้าวก็เจอกับแท็กซี่ หญิงสาวรีบกระโดดขึ้นทันทีแล้วสั่งให้คนขับออกตัวให้เร็วที่สุด เธอถอนหายใจหนักหน่วงอย่างโล่งอกหลังจากสั่งให้รถเลี้ยวทันทีที่ถึงแยกตรงหน้า ก่อนจะบอกจุดหมายที่แท้จริงให้แท็กซี่อีกครั้ง
“ตายๆๆๆ ฉันไม่รอดแน่ๆ”
ลิซพึมพำอยู่ในลำคอทั้งที่มือยังพยายามหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแต่เพราะข้อมือพันอยู่กับสายกระเป๋าและสายกล้องที่เกี่ยวติดมาอย่างไม่ตั้งใจทำให้กว่าจะดึงออกได้ก็ใช้เวลาหลายนาที มือที่จับโทรศัพท์ยังคงสั่นเบาๆ อาจเป็นเพราะใช้แรงมากเกินไปหรือไม่ก็ด้วยอาการตกใจ
“คุณเอริค! พวกนั้นตามมาถึงนี่แล้ว! เจอแล้ว!”
ลิซแทบแหกปากใส่โทรศัพท์ตัวเองอย่างต้องการระบายโดยละเว้นการเกรงใจชั่วขณะ แม้แต่ตอนนี้หัวใจเธอก็เต้นแรงอย่างช่วยไม่ได้ ไม่มีการโต้ตอบอะไรอีกเพราะเธอโวยวายจบก็กดตัดสายพลางหมุนโทรศัพท์ในมือไปมาอย่างใช้ความคิด
Rrrrr… Rrrrr….
ร่างบางที่เดินวนไปวนมาหน้าเคาน์เตอร์บาร์ในคลับที่เธอทำงานด้วยอาการกระวนกระวายพุ่งตัวเข้าตะครุบโทรศัพท์ในทันที
ข้อความในโทรศัพท์ทำเอาเจ้าของเครื่องอยากจะแหกปากเสียอีกรอบ
“ห้านาที! แล้วจะส่งมาทำไม? ตอนนี้นาทีเดียวก็แทบบ้าเถอะ!!”
แต่ถึงแม้รู้เวลาสิ้นสุดการรอคอยเธอก็ยังคงเดินวนแบบเดิมอยู่ดี
“เป็นอะไรมากรึเปล่า!?”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพร้อมกับแสงสว่างที่ลอดเข้ามาจากด้านนอก
“ไม่ค่ะ! แต่อีกไม่นานอาจจะเป็น!” พูดจบก็เลื่อนกล้องที่ติดมือมาให้เอริค ชายหนุ่มเปิดดูรูปด้านในก็พบกับรูปซองกยูและลิซจากคาเฟ่จนถึงแถวๆสถานีโทรทัศน์
“พี่บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ระวัง” เขาตำหนิด้วยสีหน้ายุ่งๆ ทำเอาปรอทความหงุดหงิดของลิซพุ่งปรี๊ดขึ้นมาอีกรอบ
“มันใช่เวลามั้ยคะ!?”
“พูดเพราะห่วงหรอก”
เอริคมองด้วยความเป็นห่วงจริงๆ ถ้าไม่เพราะเขาลิซก็คงไม่ต้องมาหลบๆ ซ่อนๆ อยู่ที่นี่ ใจหนึ่งอยากจะดึงเข้ามากอดปลอบให้คลายกังวลแต่หากทำไปคงโดนตบสวนมาอย่างไม่ต้องสงสัย
“เดี๋ยวพี่ไปส่ง อย่าคิดว่าจะหนีกลับไทย แล้วก็ไม่ต้องมาทำงานจนกว่าพี่จะสั่ง”
ลิซที่ยืนกอดอกปรายตามองอย่างหมั่นไส้กับคำสั่ง ส่วนความรู้สึกอีกครึ่งก็โกรธเขาเสียจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้
เหตุการณ์วิ่งสู้ฟัดสี่คูณร้อยนั่นยังคงทำให้เธอผวาอยู่หน่อยๆ เมื่อมองลงไปจากระเบียงและเห็นผู้ชายโอเวอร์โค้ทดำเหมือนคนที่ไล่ตามเธออย่างบ้าคลั่งคนนั้น รอยบวมแดงรวมถึงรอยไหม้รอบข้อมือที่ถูกทั้งสายกระเป๋าและสายสะพายกล้องบาดทำเอาลิซน้ำตาจะไหล อาการเจ็บเคล็ดและแสบเข้าเล่นงานหลังจากที่สติสัมปชัญญะที่หลุดลอยไปประกอบร่างกันจนครบ เวลานี้เธอไม่มีอารมณ์จะคิดเรื่องอะไรที่ทำให้ตัวเองเครียดมากไปกว่าอาการบาดเจ็บที่เล่นงานเธออยู่ตอนนี้เลย
มือบางถือถุงเจลประคบเย็นค่อยกดเบาๆ ด้วยใบหน้าเหยเกสุดบรรยายถึงแม้การปฐมพยาบาลตัวเองมันจะเจ็บน้อยกว่าแต่มันก็ลำบากลำบนมากกว่าอยู่ดี แถมตอนที่รอเอริคอยู่ที่คลับนั้นทำไมไม่เจ็บ เท่านี้คงเพราะตอนนั้นมันชาๆหนึบๆ บวกกับเก็บอาการ แต่พออยู่คนเดียวเท่านั้นแหละแทบจะร้องแรกแหกกระเชิงไปสามบ้านแปดบ้าน
ทว่าเสียงเคาะเบาๆ ทำให้อารมณ์ลุ้นในการทายาของเธอหยุดชะงัก
“ใครอีกล่ะ?”
ลิซเหลือบมองนาฬิกาที่บอกเวลาหกโมงเย็นอย่างคาดเดา แต่เมื่อมองผ่านตาแมวเห็นคนด้านนอกก็ทำให้เธอหันรีหันขวางก่อนวิ่งไปโกยของย้ายไปที่โต๊ะอาหารอย่างทุลักทุเล
“มาทำอะไรเกือบทุกวันพ่อคู๊ณณณณณณ...” ลิซพึมพำเป็นภาษาไทย
“ว่าอะไรนะ?” ซึงโฮหันมาถาม
“เปล่านี่” เธอปฏิเสธ
“วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ทำไมยังไม่แต่งตัวอีก” ความตั้งใจคือจะมารับสินะ
“วันหยุด”
ลิซตอบสั้นๆ หลังจากที่พาตัวเองกลับมานั่งที่โซฟาตัวเดิม ใบหน้าหวานนั่งมองคนตรงหน้าที่กำลังจัดแจงหยิบของในถุงออกมาให้ดูอย่างกระตือรือร้นจนต้องกลั้นยิ้มเอาไว้
“นี่ของเธอ”
ซึงโฮดันกล่องสองสามกล่องที่เรียงอยู่ไปตรงหน้าเธอ ส่วนด้านหน้าตัวเองเป็นกล่องหลากหลายแบบมากกว่าห้ากล่อง
“งก!” ลิซบ่นหน้าคว่ำพลางใช้มือซ้ายแกะๆ แงะๆ กล่องตรงหน้าอย่างสนใจ แต่อีกคนกลับรู้สึกแปลก
“ถนัดซ้ายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซึงโฮเอ่ยเสียเรียบ พลันมือหนาก็คว้าอีกข้างที่ไม่ได้ถูกใช้งานแต่เจ้าตัวกลับเบี่ยงหนี สุดท้ายเสียงแหกปากลั่นทำให้เขาต้องรีบปล่อยด้วยสีหน้าตกใจ
“ไหนดูสิ! ไปทำอะไรมา?”
น้ำเสียงตกใจดังขึ้นทันทีที่เห็นแขนข้างที่ลิซตั้งใจหลบเอาไว้ หญิงสาวสบตาด้วยใบหน้าเจื่อนๆ ระคนเจ็บเพราะอาการร้าวระบม
ช่างสังเกตหรือฉลาดน้อยกว่านี้สักหน่อยก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ...
60%
♥ ---------------- ♥ ---------------- ♥
อียุนเจถูกเอริคสั่งให้มาเฝ้าระวังหน้าคอนโดของลิซโดยที่ไม่ต้องไปทำงานที่คลับ ชายหนุ่มนั่งจิบกาแฟเรื่อยเปื่อยอยู่ชั้นล่างเป็นชั่วโมงจนคาดเดาได้ว่าคืนนี้คงนอนไม่หลับก็ยังไม่เห็นความผิดปกติใดจะมีก็แต่แขกผู้มาเยือนของคนที่ห้องด้านบนนั่นแหละที่ดูน่าสนใจสุด
ส่วนเรื่องที่จะขายข่าวรายงานให้คิมซองกยู่น่ะฝันไปเถอะเพราะหากเรื่องนี้หลุดไปหละก็หน้าที่การงานของเขาเองต่างหากที่จะไม่ปลอดภัย สรุปงานนี้ขอผ่านนะครับ
ชายหนุ่มยกมือขึ้นรวบผมตัวเองอีกรอบอย่างเบื่อหน่ายเมื่อผมยาวๆ ของตัวเองเริ่มหลุดร่วงลงมาจนน่ารำคาญเพราะเวลาที่ล่วงเลยไปนานจนตอนนี้เริ่มมืดค่ำขึ้นทุกที
“หิวแล้วแฮะ”
ยุนเจบ่นเบาๆ และเริ่มมองหาที่สิงสถิตที่ใหม่ที่จะสามารถอยู่ได้ยันดึกดื่นค่อนคืนกว่านี้ก็ไม่เป็นที่สงสัย
สุดท้ายหวยก็มาออกที่อิมแจบอมหรือ‘เจบี’ พ่อหนุ่มดีเจมือฉมังสุดหล่อแอนด์อินดี้ที่ถูกเรียกให้ขับรถมาหาพร้อมแปลงสภาพเป็นทั้งห้องนอน ห้องอาหาร ห้องเล่นเกมส์ และที่ปรึกษาพิเศษในเวลาเดียวกันให้กับรุ่นพี่สุดหล่อ ยุนเจมองรุ่นน้องตัวเองอย่างปลงๆ เมื่อเห็นผมทรงใหม่ที่มาพร้อมกับสีบรอนซ์ทองอ่อนๆ และไฮไลท์ด้านหน้าสีชมพูที่ดูแปลกในสายตาของเขา
“หน้าตาก็ดี ตัวก็สูง หุ่นก็น่า...” ยุนเจเก็บคำว่า..แซ่บ ไว้ในใจ ก่อนจะเอ่ยต่อ
“...ไม่น่าบ้า”
“อ้าวฮยอง ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมผิดตรงไหน?” อิมแจบอมหรือเจบีหันมาค้านด้วยสีหน้าสงสัย
“เหรอ?” ยุนเจเหล่มอง
“มันเป็นแฟชั่นครับผม ก็เหมือนที่ฮยองผมยาวใส่แว่นมาเป็นสิบปีนั่นแหละ”
โห.. ไอ้เด็กปากคอเราะร้าย เดี๋ยวพ่อโบกให้ไฮไลท์กระเด็นซะนี่!!
เจบีเหมือนจะสัมผัสได้เพราะเจบีเป็นลูกศิษย์พี่เจนญาณทิพย์... ตลกละ.. เขายกนิ้วชี้ไปทางยุนเจก่อนจะทำเม้มปากแก้มป่องด้วยท่าทางจริงจัง
“อย่านะครับ... อย่าคิดจะทำร้ายร่างกายผม เดี๋ยวจะไม่ช่วยนะครับ”
“น่ารักตายหละ”
จบคำพูดของยุนเจเจ้ารุ่นน้องอินดี้ก็ยิ้มกว้างอย่างขี้เล่นพลางยกสองมือเขย่าเขาจนหัวสั่นหัวคลอนด้วยอาการถูกอกถูกใจส่วนตัว
“น่ารักอ่าดิ๊...”
“เอ่อ.. เจบี อ่านปากนะ... อย่า มา ปัญ ญา อ่อน!”
แม้ประโยคคำพูดของยุนเจที่ช่างทำร้ายจิตใจจะสามารถหยุดการกระทำบ้าบอของเจบีได้แต่รอยยิ้มของเขากลับยังคงอยู่ ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับจางลงกลายเป็นมุ่นคิ้วอย่างครุ่นคิดเมื่อเห็นอีกมุมหนึ่งของถนนตรงข้ามที่มีคนทำท่าลับๆล่อๆอย่างน่าสงสัยรวมทั้งรายละเอียดที่รุ่นพี่ของเขาบอกก่อนหน้านี้ก็มีส่วนใกล้เคียงอยู่เยอะทีเดียว
“ฮยอง... นั่น...”
“ขับตามมา”
ยุนเจมองตามสายตาเจบีก่อนจะเปิดประตูลงจากรถและเริ่มสาวเท้ายาวๆ ไปที่ชายคนนั้น เพียงแค่ถนนกั้นจะถึงตัวแต่ชายคนนั้นกลับไหวตัวทันเสียก่อนเป็นอันแน่ใจได้จริงๆ ว่าเขาคือเป้าหมายที่ยุนเจรอคอย ร่างสูงเร่งฝีเท้าข้ามถนนตามเวลาเดียวกับที่รถของเจบีเร่งเครื่องขึ้นเพื่อตามไม่คลาดสายตาหากยุนเจตามไม่ทันเพราะถนนแถวนี้เชื่อมถึงกันหมดและเจบีก็รู้จักมันดีเสียด้วย
กว่าสองร้อยเมตรที่ยุนเจวิ่งไล่จนมาถึงสี่แยกที่เจบีต้องตัดสินใจว่าไอ้เลวนั่นจะเลี้ยวหรือจะตรง แต่... ไวเท่าความคิด เจบีเร่งเครื่องยนต์แล้วดริฟท์รถหน้าสี่แยกเฉียดเสาสัญญาณไฟจราจรเพียงไม่ถึงคืบส่วนหน้ารถปีนฟุตบาธจนแทบชิดกำแพงทำให้หนทางการหนีของคนที่ลูกไล่เป็นศูนย์ในทันที
ยุนเจยืนหอบน้อยๆ ก่อนย่างเท้าเข้าใกล้ก่อนจะกระชากคู่กรณีอย่างไม่ทันตั้งตัวแล้วปล่อยหมัดลุ่นๆ ไปสองสามทีทำเอาคนโดนทรุดลง แต่ทางเจบีแอบทำหน้าสยองอย่างไม่อยากจะเห็นเพราะเขาเคยโดนรุ่นพี่แว่นคนนี้ต่อยมาแล้วเมื่อตอนเข้าม.ปลายขอบอกว่า... ประสบการณ์สยองยังน้อยไป
เชือกมัดไม่ใหญ่นักถูกส่งให้ยุนเจเพื่อมัดตัวปัญหาก่อนพาไปหาเอริค
“วิ่งเร็วชิบ!...”
ยุนเจสบถเบาๆ หลังจากเหวี่ยงตัวปัญหาเข้ารถไปได้
“ฝากเจ้านายฮยองจ่ายตังค์ให้ผมด้วยนะ พรุ่งนี้ใบสั่งคงมาหน้าบ้านละ... ขับรถพรรค์นี้”
เจบีเหลือบมองคนด้านหลังนิดหน่อยก่อนจะพารถออกตัวอีกครั้งเพื่อไปจุดมุ่งหมายทันที
♥ ---------------- ♥ ---------------- ♥
Introduce.... DJ. INDy
ความคิดเห็น