ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dating Idol อยากจะรัก...เดี๋ยวจัดให้ [INFINITE&MBLAQ]

    ลำดับตอนที่ #10 : Chapter 9 : Shadow

    • อัปเดตล่าสุด 21 พ.ย. 56





    Chapter 9 : Shadow

               

                โทรศัพท์ในกระเป๋าสั่นรัวพร้อมกับข้อความที่อ่านแล้วทำให้เจ้าของเครื่องที่กำลังอารมณ์ดีแสนดีกลับต้องเซ็งลงในฉับพลัน

                “หน้าแย่ขนาดนี้... หงุดหงิดอะไรล่ะ?”

                ยุนเจ.. บาร์เทนเดอร์ที่ทำงานอยู่ใกล้ ๆ หันมาถามอย่างเห็นเป็นเรื่องปกติเพราะเวลาเป็นเดือนๆ ที่ทำงานด้วยกันเธอก็เป็นแบบนี้ ถ้าหมดเวลางานเมื่อไหร่ไม่ว่าจะอารมณ์ดีหรือร้ายก็ไม่แทบไม่เคยจะซ่อนเอาไว้นัก

                “พี่ยุนเจคะ พี่ว่างรึเปล่าคะ?”

                “ทำไม? ให้ช่วยอะไร?”  ยุนเจเอ่ยอย่างรู้ทัน

                ลิซยิ้มแหยๆ ให้เขาอย่างจำนน แต่สุดท้ายแล้วลิซก็ลากยุนเจไปด้วยจนได้

               

                ร้านสนุกเกอร์ที่ยังคงเปิดไฟอยู่ทำให้ยุนเจหันมามองลิซอย่างไม่แน่ใจ ชายหนุ่มขยับแว่นสายตาเล็กน้อยแล้วรั้งแขนรุ่นน้องที่ทำท่าจะเดินเข้าไปด้านในจนเธอชะงัก หญิงสาวเลื่อนสายตาลงมาที่มือนั้นแล้วพยักหน้าให้เบาๆ และลากแขนของเขาให้ตามเข้าไป

                ลิซเดินนำยุนเจโดยที่เธอยังคงลากเขาอยู่ ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ที่โต๊ะสนุกเกอร์ด้านในสุดของร้านที่มีผู้ชายท่าทางดีกำลังนั่งดื่มอยู่โดยไม่สนใจคู่แข่งที่กำลังจะกวาดบอลหมดโต๊ะ เธอหันมาพยักหน้าให้กับยุนเจและเดินไปหากับคนที่รออยู่เพียงลำพัง

                “มาแล้วเหรอยัยตัวแสบ...”   

                “ทำไมคุณเอริคถึงตามมาตอนดึกๆ แบบนี้คะ?”

                “ห่างเหินเกินไปมั้ง?”  ชายหนุ่มยืดตัวขึ้นแล้วเดินอ้อมมาด้านข้างจนยุนเจที่มองอยู่เริ่มจับสังเกตท่าทางแปลกๆ นั้นอย่างสนใจ

                “...มีอะไรก็รีบพูดเถอะค่ะ อยู่ที่นี่นานๆ มันไม่ค่อยดี แถมมีเพื่อนมาด้วย ก็..เกรงใจ”

                เอริคยิ้มในหน้าอย่างรู้ทัน แต่ก็ไม่ได้ขัดอะไร ทว่ากลับดันลิซให้นั่งลงที่เก้าอี้แทนแล้วหย่อนตัวลงนั่งที่ที่พักแขนของเก้าอี้ตัวเดียวกัน

                “เพื่อนเยอะนะเรา แถมเป็นคนดังด้วยนี่นะ หัดระวังตัวไว้บ้าง”

                ลิซเงยหน้าขึ้นมองเอริคด้วยสายตาที่บ่งบอกถึงความไม่พอใจที่ถูกตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด

                “แค่นี้โทรบอกก็ได้มั้งคะ?”

                “มีของจะให้ด้วย แต่ไม่อยากจะไปที่คอนโดเพราะ...เธอมีเพื่อนอยู่ด้วย”

                เขาจงใจย้ำคำว่าเพื่อนเพื่อยั่วโมโหซึ่งมันก็ได้ผล ชายหนุ่มยื่นถุงกระดาษขนาดไม่ใหญ่มากให้เธอ   ลิซเหลือบมองของนั่นก่อนจะเอื้อมมือรับมาแกนๆ โดยที่ไม่คิดจะเปิดดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เอริคหัวเราะเบาๆ กับความขี้เหวี่ยงที่เธอหยิบเอามาใช้เพื่อตอบโต้เขา ทั้งที่แทบจะไม่ได้ผลอะไร

                “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ...ขอตัวนะคะ”

                หญิงสาวยกมือไหว้แล้วเดินไปหายุนเจที่ยืนรออยู่ก่อนจะคว้าแขนให้เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นจนเขาแปลกใจ

                รถมอเตอร์ไซด์ของยุนเจขี่มาส่งลิซที่ที่พัก แต่เมื่อเธอถอดหมวกกันน๊อคคืนและขอบคุณเขา หากแต่ว่ากลับเดินไปทางสวนหย่อมแทนที่จะเดินเข้าด้านในทำให้เขาตัดสินใจจอดรถแล้วเดินตามเธอไป

                “มีอะไรรึเปล่า? แล้วคนนั้นใครเหรอ?”

                ยุนเจถามเมื่อเห็นเธอหย่อนตัวลงนั่งที่ม้านั่งตัวยาวด้วยท่าทีเซ็งๆ หญิงสาวเหลือบตามองเขาอย่างชั่งใจก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

                “พี่ เจ้าหนี้ เจ้านาย ผู้มีพระคุณ จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ ... เป็นทั้งหมดนั่น”

                ชายหนุ่มเอียงคอมองอย่างงงๆ แต่ก็ไม่อยากคาดเดาอะไรเรื่อยเปื่อยจึงถือวิสาสะนั่งลงตรงที่ว่างข้างๆ

                “พี่รู้มั้ยคะ? บางทีเรื่องบางเรื่อง..เราก็บอกกับคนบางคนไม่ได้ ส่วนคนบางคน...ก็สามารถรับรู้ได้เฉพาะเรื่องที่เราไม่สามารถบอกอีกคนได้”

                ถึงแม้ภาษาเกาหลีของลิซจะอยู่ให้เกณฑ์ดีมาก แต่คนเกาหลีแท้ๆ อย่างยุนเจก็ยังฟังแล้วงงอยู่ดี หรือบางทีในคำพูดนั้นอาจจะซับซ้อนเกินไป

                “แล้วพี่ล่ะ...อยู่ในพวกไหน”  ยุนเจหันมาถาม

                ลิซหันมองคนถามนิ่งๆ แล้วถอนหายใจ

                “ถ้าพี่รู้ พี่จะน้อยใจมั้ยคะ? หึหึ..”

                เสียงหัวเราะที่ท้ายประโยคฟังดูแปลก ราวกับว่าสิ่งที่เขาจะได้ยินมันไม่ใช่เรื่องดีนัก ยุนเจพยักหน้าให้เธอเพื่อเป็นการยืนยันให้พูดกับเขา หญิงสาวสูดลมหายใจลึกแล้วผ่อนออกช้าๆ จากนั้นก็หันมาตอบแบบที่คนได้ฟังไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี

                “พี่ก็เป็นพี่ยุนเจ พี่ชายที่ดีมากๆ จนสามารถรับฟังเรื่องที่ไม่สามารถบอกใครได้ นั่นก็แปลว่าฉันไว้ใจพี่มากๆ เลย”

                พูดจบหญิงสาวก็ลุกขึ้นบิดตัวไปมาไล่ความเมื่อยขบแล้วหันมายิ้มให้ยุนเจก่อนจะยื่นมือให้เขาจับและดึงให้ยืนตามเธอ

                “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ไปนะ...”

                ลิซเอ่ยคำลาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะหันตัวเดินตรงไปทางประตูทางเข้าที่พักโดยไม่มีทีท่าจะหันกลับมามองเขาอีก ยุนเจมองตามด้วยสายตาที่บอกถึงความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ เพราะการที่ทำอะไรแบบปุบปับก็บอกถึงอารมณ์ที่แปรปรวนอยู่ภายในด้วย

     

    ---------------- ----------------

     

    โทรศัพท์มือถือถูกใช้งานจากเจ้าของไม่ได้หยุดจนคนที่มองดูนึกสงสาร นัมอูฮยอนถอนหายใจเบาๆ อย่างปวดหัวกับอาการของพี่ชาย

    “โทรไม่ติดก็หยุดก่อนมั้ยพี่”

    เมื่ออดรนทนไม่ได้ก็ส่งเสียงแทรกช่องอากาศมาให้พี่ชายได้ยิน และก็ได้รับสายตานิ่งๆ ที่เหล่มองกลับมาจนเขารู้สึกระแวงเสียเอง

    แต่สุดท้ายซองกยูก็ทิ้งมือที่ถือโทรศัพท์ลงข้างตัว ก่อนจะเดินไปนั่งข้างอูฮยอนแล้วเอ่ยเสียงเบา

    “ก็ฉันโทรไม่ติดอ่ะ ไม่รับสายเลย เป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้”

    “พี่คิดมากไปรึเปล่า? เธออาจจะยุ่งอยู่ก็ได้นะ”

    “ตีสาม! นี่มันตีสามนะนัมอูฮยอน!   อยู่ดีๆ ซองกยูก็ขึ้นเสียงจนอูฮยอนสะดุ้ง แล้วรีบเปลี่ยนประเด็นแทบไม่ทัน

    “นั่นไง! ตีสามมันดึกแล้ว ก็คงนอนแล้วแหละ เธอทำงานนี่นา”

    “เหรอ? งั้นไว้โทรพรุ่งนี้ก็ได้”

    บทจะเชื่อก็เชื่อได้ง่ายๆ แต่ท่าทางมันดูหงอยๆ เซ็งๆ จนอูฮยอนชักรู้สึกแปลก เขามองตามซองกยูที่เดินออกไปอย่างครุ่นคิดก่อนจะเปิดประตูห้องเดินตามออกไป จะว่าสอดรู้สอดเห็นก็ได้เพราะเขาสงสัยจนปิดไม่มิดแล้ว

    ซองกยูทิ้งตัวลงนอนเหยียดยาวบนโซฟา เปลือกตาปิดสนิทแต่ท่าทางที่ยกแขนขึ้นก่ายหน้าผากนั้นทำให้อูฮยอนรู้สึกว่าเหมือนคนคิดไม่ตกมากกว่า

    “พี่เป็นอะไรรึเปล่าเนี่ย... ผมไม่ค่อยได้เห็นพี่เป็นแบบนี้นานแล้วนะ”

    “ไม่มีอะไร”    ซองกยูตอบทั้งที่ยังไม่ลืมตา

    อูฮยอนกำลังจะถามต่อแต่เสียงกอกแกกที่หน้าประตูทำให้เขาต้องหยุดความคิดไว้ชั่วคราว ร่างของจางดงอูปรากฏขึ้นเมื่อประตูเปิด คนมาใหม่ยิ้มให้อูฮยอนแต่เมื่อเห็นบรรยากาศภายในก็ทำให้เขาต้องถาม

    “ทะเลาะกันอยู่เหรอ?”

    อูฮยอนรีบพาตัวเองเข้าประชิดพร้อมกับจุ๊ปากให้ดงอูอย่าเพิ่งพูดอะไรก่อนจะลากเขาเข้าไปคุยในห้องของตัวเอง ซึ่งเขาก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนหรือคัดค้านอะไร อูฮยอนปิดประตูเสร็จก็หันมาหาดงอูที่ทำท่าจะถามอีกรอบแต่เขาชิงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน

    “พี่ซองกยู โทรหาลิซตั้งแต่ตีสองถึงตีสาม เธอไม่รับสายเลย สภาพพี่ซองกยูก็เลย...เป็นแบบนั้น”

    “เฮ้ย~ อย่าบอกนะว่า... พี่ซองกยูชอบลิซอ่ะ”

    “ชู่ว์~ ผมว่า... ประโยคนั้นผมกำลังจะบอกพี่นะ แต่ที่ไม่รู้คือเธอชอบพี่ของเราแบบไหน”

    “ทำไงอ่ะ”   ดงอูถามขึ้นมาดื้อๆ

    “ไม่รู้อ่ะ ยังคิดไม่ออก”

    ด้านนอก.. ซองกยูลืมตาตั้งแต่ได้ยินเสียงประตูห้องที่อูฮยอนและดงอูเข้าไปปิดลงยังคงคิดทบทวนตัวเองอย่างสับสนระหว่างเรื่องที่เขาไม่ควรคิดกับสิ่งที่เขารู้สึกอยู่ภายในใจ จิ๊กซอว์ต่างๆ ที่เขามีอยู่ไม่พอที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆ ได้ทั้งหมด รวมทั้งไม่เข้าใจหลายอย่างที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลาอีกด้วย

    โทรศัพท์มือถือข้างตัวถูกหยิบขึ้นมาใช้งานอีกครั้ง แต่คราวนี้แทนที่จะถูกปล่อยทิ้งจนสายตัดเหมือนเคยแต่กลับถูกตัดสายไปเสียดื้อๆ ทำให้รู้ว่าปลายสายยังไม่หลับ เขากดดูเวลาอีกครั้งจึงเห็นว่าเป็นเวลาเกือบตีสามครึ่งแล้ว ทว่าไม่ถึงนาทีต่อจากนั้นก็มีข้อความเข้ามา

    ...ฉันยังไม่อยากคุยกับใคร...ขอโทษนะ  ซองกยูอ่านข้อความที่ถูกส่งมาจากคนที่เขาโทรไปหาเบาๆ ข้อความเป็นนัยว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่เธอคงไม่รู้ว่ามันยิ่งเพิ่มความเป็นห่วงให้คนที่อ่านมากเป็นเท่าตัว

     

    ---------------- ----------------

     

    ลิซนั่งมองของในถุงที่เอริคให้อย่างไม่รู้จะทำอย่างไรดี เพราะตรงหน้ามีทั้งรูปของเธอกับเพื่อนหลายคนโดยหนึ่งในนั้นเป็นยังซึงโฮและจีโอ เธอรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่ไม่มีรูปกับซองกยูโผล่มาในความวุ่นวายเหล่านี้ ส่วนอีกด้านเป็นแคชเชียร์เช็คกับเลขจองตั๋วเครื่องบิน หญิงสาวมองทั้งหมดนิ่งๆ อยู่ซักพักก็โกยทุกอย่างใส่ถุงเดิมแล้วนำไปเก็บอย่างไม่อยากจะใส่ใจ

    เวลาผ่านไป...ลิซลืมตางัวเงียตื่นขึ้นมาเพราะเสียงเคาะประตูเป็นจังหวะจนน่ารำคาญ เธอก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตอนไหน แต่อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอก็ตื่นขึ้นมาแล้วเพราะเสียงรบกวนนั่น

    “ไม่เคยจะนอนได้ยาวๆ เลยฉัน”

    หญิงสาวเดินอย่างอิดออดสุดๆ ไปที่ประตูทว่าเมื่อส่องตาแมวดู ตาของเธอก็เบิกโพลง เธอวิ่งกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างรวดเร็วก่อนจะออกมาเปิดประตูให้คนที่ยืนรออยู่ด้านนอก

    “มาทำไมคะ?”

    ลิซเอ่ยทักทันทีที่เปิดประตูไปเจอหน้าคนด้านนอก

    “ก็ยังไม่เป็นมิตรเหมือนเดิม น่าน้อยใจจริงๆ”

    เอริคพูดยิ้มๆ พลางขยับแว่นเล็กน้อย แล้วก้าวเท้าผ่านประตูโดยที่ลิซยังไม่ได้เชื้อเชิญเลยด้วยซ้ำ เธอจึงได้แต่ทำหน้าเอือมๆ กับความกวนประสาทไม่หยุดหย่อนของเขา ชายหนุ่มกวาดสายตามองรอบห้องอย่างสำรวจ แต่เจ้าของห้องก็รีบวิ่งมาดักหน้าเมื่อเข้าจะก้าวล่วงไปถึงห้องนอน

    “ไม่เหมาะมั้งคะ?”

    “ก็ได้ ไม่ซีเรียสอะไร”  คนถูกปฏิเสธยังคงมีรอยยิ้ม ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เจ้าของห้องเพิ่มขีดความหงุดหงิดมากขึ้น จนเธอต้องรั้งแขนของเขาไว้อย่างเหลืออด

    “นี่มันจะเกินไปแล้วนะคุณเอริค!

    “เดี๋ยวเรียกพี่ เดี๋ยวเรียกคุณ... ไม่สับสนตัวเองบ้างหรือไง?”

    “เอ๊ะ!  เธอขึ้นเสียงพร้อมชักสีหน้าอย่างขัดใจ

    “ขี้หงุดหงิดขึ้นเยอะนะเรา ระวังตัวหน่อยนะ รายการออกอากาศแล้ว หลบๆซะบ้าง ไปหละ”

    เอริคเตือนแล้วเดินออกไป ทิ้งให้ลิซยืนเหวอรับประทานเพราะเดาอารมณ์ของเขาไม่ถูก แต่ก็ยังไม่ชอบใจอยู่ดีที่เจอพฤติกรรมแบบนี้ก่อกวนถึงที่

    ลิซฟาดงวงฟาดงาใส่ลมแล้งอย่างหงุดหงิด หญิงสาวทิ้งตัวลงบนที่นอนแล้วพลิกไปมาจนเวลาผ่านเป็นสิบนาทีก็ยังดึงอารมณ์ให้เย็นลงไม่ได้ โทรศัพท์มือถือถูกรัวเลขลงไปหาปลายทางที่ต้องการอย่างไม่บันยะบันยัง เมื่อคนอีกฝั่งรับสายเธอก็กรอกเสียงลงไปแบบไม่มีการทักทาย

    “ไปตีเบสบอลกันเถอะ!

     

    หูฟังแบบครอบศีรษะถูกสวมลงบนหมวกแคปสีดำแต่เจ้าตัวกลับก้มหน้าก้มตาเดินราวกับกำลังเดินหาเศษเหรียญที่ทำตกไว้เมื่อนานมาแล้ว ก่อนจะมาหยุดลงที่โต๊ะด้านในสุดของร้านโดยมีใครบางคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว

    “อันยอง.. รอนานมั้ย? ขอโทษ” ลิซเอ่ย

    “ห้วนขนาดนี้ ไม่ต้องขอโทษดีกว่ามั้ย?”  เขาประชด

    “โอเค.. ซึงโฮโอป้า~ ขอโทษนะคะ รอนานหรือเปล่าคะ~?”

    “พอๆ.. ไม่เอาแล้ว ขนลุก!   ชายหนุ่มทำเสียงหวาดหวั่นใส่

     

    ไม้เบสบอลหนักๆ ถูกหญิงสาวหวดใส่ลูกเบสบอลเต็มแรงจนซึงโฮชักหวาด ถึงแม้เขาจะถูกเธอชวนมาเป็นเพื่อนแต่ก็ไม่สามารถเล่นด้วยได้เพราะร่างกายยังต้องพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บจึงได้แต่นั่งมองเฉยๆ ทว่าท่าทางของเธอที่แสดงออกมาทำให้เขารู้สึกว่าเธอกำลังอัดอั้นจากอะไรบางอย่างมากทีเดียว

    “อ๊ะ!

    หญิงสาวร้องเมื่อมีมือจากด้านหลังมารั้งไว้ตอนเตรียมพร้อมจะตีลูกเบสบอลที่ส่งออกมา

    “เลิกตีได้แล้ว จริงจังเกินไปไม่ดีหรอก”

    “อะไร?! จริงจังอะไร?”  หญิงสาวถามพลางทำหน้าตาไม่รู้เรื่อง

    “ระบายพอแล้ว กลับกันเถอะ”  พูดจบซึงโฮก็ลากเธอออกจากสนามโดยที่ไม่ยอมฟังคำคัดค้าน

    ร่างบางถูกซึงโฮดันเข้ารถอย่างง่ายดาย ชายหนุ่มไม่ปริปากเอ่ยอะไรตลอดทาง เธอจึงพานไม่กล้าพูดอะไรตามไปด้วยเพราะเดาอารมณ์ไม่ถูก ทว่าพอจะหันมาพูดเขาก็ยกนิ้วขึ้นจุ๊ปากให้เงียบก่อนทำให้เธอเธอต้องเก็บคำพูดนั้นไว้

    ซึงโฮขับรถออกมาไกลจากที่พักของลิซมากโขยิ่งทำให้เธออดรนทนไม่ได้ต้องถามออกมา

    “นายจะพาฉันไปไหนเนี่ย?”

    “อารมณ์เย็นลงแล้วนี่”

    ชายหนุ่มไม่ตอบคำถามแต่กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายๆ แทน

    “นี่นาย...” 

    “ฉันรู้ว่าเธอหงุดหงิดไง แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนั้น ลูกที่ตีไม่โดนก็ผ่านไป ลูกไหนตีโดนก็ทำหน้าสะใจอย่างกับได้ตีคน ฮ่าฮ่า~

    เขาเอ่ยแซวด้วยรอยยิ้ม ทำให้ลิซชักสีหน้าใส่เขาอย่างหมั่นไส้ที่ยังซึงโฮรู้มาก

    “แล้วนี่จะกลับได้รึยัง?”

    “ก็กำลังกลับอยู่นี่ไง ฉันขับรถวนจนเป็นทางกลับแล้ว เธอไม่สนใจเอง”

    ลิซได้ฟังก็เกาะกระจกรถมองด้านนอกอย่างงงๆ เพราะเธอไม่ใช่คนที่นี่เลยไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหนหากเป็นเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ท่าทางมึนๆ ของลิซทำให้ซึงโฮหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ หญิงสาวหันมาย่นจมูกใส่อย่างเคืองที่ถูกแกล้งแต่เขาก็หาได้ใส่ใจ

    รถของซึงโฮมาถึงลานจอดรถที่พักของลิซในเวลาไม่นานนัก หญิงสาวทำท่าจะเปิดประตูลงจากรถแต่เขาก็คว้าแขนรั้งเธอไว้จนเธอต้องหันมามองหน้าด้วยความสงสัย

    “มีอะไรทำไมไม่เล่าให้ฟังบ้าง จะเก็บเอาไว้ทำไมนักหนาคนเดียว ฮึ!

    “มันไม่ได้มีอะไรสักหน่อยนี่”  เธอตอบตาใส

    “ลิซซี่... ฉันทนไม่รู้ไม่ชี้มาเป็นเดือน แค่อยากให้เธอยอมเล่าเอง ฉันเป็นห่วงเธอมากนะ”  ซึงโฮเอ่ยด้วยความจริงใจ

    “ฉันรู้ๆ แต่มันไม่มีอะไรจริงๆ ถ้าหากว่ามี... ฉันจะพูดกับนายคนแรก โอเคมั้ย?”

    ซึงโฮปล่อยมือจากแขนของลิซอย่างอ่อนใจเพราะไม่ว่าอย่างไรเซ้าซี้ไปเธอก็คงไม่บอกอยู่ดี หญิงสาวยิ้มให้จางๆ ก่อนจะเอื้อมมือมาดึงแก้มสองข้างของเขาให้ฉีกยิ้มซึ่งซึงโฮก็ฝืนทำตาม

                “ขอบคุณมากนะ บาย..~” 

                หญิงสาวยกมือขึ้นโบกลาก่อนจะลงรถไป โดยมีสายตาของซึงโฮมองตามอย่างเป็นห่วง ทว่าก็ทำอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้

               

    ---------------- ----------------




    ... Introduce ...

    ยุนเจ





     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×