ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จันทราแห่งเทวา

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่5

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.พ. 52


                   “พี่วินทร์ค่ะ”เสียงของนิสาชลดังขึ้นก่อนที่ตัวจะเดินลงมาจากข้างบนเสียอีกทำให้คนที่นั่งทานอาหารเช้าอยู่ถึงกับส่ายหน้ากับความดื้อของเธอ
                  “โธ่คุณน้ำเป็นสาวเป็นนางอย่าตะโกนลั่นบ้านอย่างนี้สิค่ะ เดี่ยวผู้ชายตกใจก็หนีกันหมดหรอก”ป้าไพเอ็ดทันทีเมื่อนิสาชลเดินมาถึงโต๊ะอาหาร
                   “ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ค่ะ ถึงไม่มีใครมาขอน้ำแต่งงานก็อยู่กับพี่วินทร์ตลอดไปก็ได้ พี่วินทร์คงจะเลี้ยงลูกน้ำน้อยคนนี้ของพี่วินทร์ได้ใช่ไหมค่ะ”หญิงสาวตอบกับแม่นมแถมยังส่งลูกอ้อนไปให้คนที่นั่งทานกาแฟพร้อมขนมปังข้างๆด้วย
                   “ไม่ต้องมาพูดอ้อนเลย เรานะว่าไงจะเอาอะไรฮึ”คนถูกอ้อนรู้ทันพูดเลยพูดดักคอไว้ก่อน
                  “แต่จะไม่มีการยกเลิกคำสั่งกักบริเวณเธอเด็ดขาด” พอถูกดักคอ คนที่จะขอก็เลยได้แต่หน้างอง้ำลงแล้วกระแทกตัวลงนั่งที่เก้าอี้
                  “พี่วินทร์ใจร้าย”ไม่นั่งเปล่าแถมประชดด้วยอีกตั้งหาก
                  “ถ้ามีพี่สะใภ้เมื่อไหร่นะ น้ำจะฟ้องให้หมดเลย”ผู้เป็นน้องสาวว่าก่อนที่จะตั้งหน้าตั้งตาพุ้ยข้าวต้มลงท้อง
                   “วันนี้พี่ต้องไปจัดการธุระผ่านทางมหาวิทยาลัยของเราพอดี เดี่ยววันนี้พี่ไปส่งก็แล้วกัน”เขาว่าก่อนที่จะก้มลงทานกาแฟและขนมปังของเขาต่อไป
                 
     
                หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกจากบ้านโดยที่วันนี้เขาเอารถเบนซ์คันสีดำออกไปพร้อมกับกำชับกับเหล่าบอร์ดี้การ์ดว่าไม่ต้องตามไป เพราะวันนี้เขาจะไปส่งและรับ นิสาชลเองเนื่องจากว่านิสาชลเองก็มีเรียนเฉพาะช่วงเช้าเท่านั้น
                     “พี่วินทร์จะกักบริเวณน้ำไปถึงไหนกันค่ะเนี่ย”หญิงสาวถามอย่างเบื่อๆกับการเป็นห่วงของพี่ที่มากเกินเหตุ
                      “จนกว่าเราจจะเลิกดื้อและเชื่อฟังพี่”เขาตอบโดยไม่หันมามองหน้านิสาชลแม้แต่นิดเดียว
                     จากนั้นทั้งรถก็เกิดความเงียบ ไม่มีการพูดคุยกันอีกระหว่างนิสาชลและเทวินทร์ จนนิสาชลลงจากรถนั้นเองเทวินทร์ถึงได้เปิดปากพูด
                     “แล้วตอนเที่ยงพี่จะมารับห้ามไปไหนเด็ดขาด”เขากำชับก่อนจะขับรถออกไป
                     “เชอะ!คอยให้มีพี่สะใภ้ก่อนเถอะจะเล่นให้อ่วมอรทัยไปเลย”นิสาชลพูดก่อนที่จะเดินกลับหลังเข้าไปมหาวิทยาลัย
                    
              
     
     
            หลังจากที่ทำงานได้มาสามวันกว่าๆนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะต้องออกภาคสนาม และคนที่เป็นคนสั่งการก็ไม่ใช่ใครอื่นหากแต่เป็นนายเทวินทร์ เจ้านายของเธอนั้นเอง เธอ นายเทวินทร์กับลูกน้องอีกสองสามคนได้เดินทางมาดูที่ดินที่สำหรับขยายธุรกิจแถบๆสมุทรปราการ และการเจรจาก็เป็นไปได้โดยราบรื่นด้วยทูตฝีไม้ลายมือดีอย่างนายเทวินรทร์
                      “ครับ ขอบคุณมากครับในการร่วมเป็นเจ้าของธุรกิจในครั้งนี้”เจ้าของที่ดินกล่าวแก่ เจ้านายของเธอซึ่งก็ยิ้มตอบ
                     “อันที่จริงผมต่างหากที่ต้องขอบคุณคุณที่ให้โอกาสบริษัทของเรา”
                     “โอ๊ย ไม่หรอกอย่าว่าอย่างนั้นเลย ถึงไม่มีที่ดินของผมบริษัทของคุณที่มีชื่อเสียงก็คงไม่ดับสินชื่อหรอกกระมั้งต้องเป็นทางผมมากว่าที่ต้องอาศัยชื่อเสียงของบริษัทคุณ”
                     หลังจากน้นเธอก็ต้องขอตัวออกมาก่อนเพราะจะต้องไปดูแล ลูกน้องอีกสองสามคนที่ติดตามมาด้วย รถที่เธอนั่งมาคือ รถตู้ของทางบริษัท ดังนั้นวันนี่เธอจึงไม่ได้เอารถมาด้วย หลังจากที่เธอจัดการเรื่องต่างๆตามหน้าที่ของเลขานุการแล้วเธอก็ทำท่าจะผละขึ้นรถตู้แต่แล้วมือใหญ่ที่ก็ดึงข้อมือของเธอไว้ก่อน
                     “มีอะไรอีกหรือเปล่าค่ะ”เธอถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ
                     “คุณจะกลับแล้วเหรอ”
                      “ก็ธุระเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอค่ะ”
                     “มันก็ใช่     แต่ว่าคุณ....เอ่อคือว่า”เขาดูอ้ำๆอึ้งชอบกล เธอมองเข้าไปภายในรถตู้ก็เห็นพนักงานพากันมองดูพวกเขาทั้งสอง เธอจึงตัดสินใจให้รถตู้กลับไปก่อนแล้วว่าจะโทรให้เจ้าอาทิตยะมารับ
                     “มีอะไรหรือเปล่าค่ะ”เธอถามหลังจากที่รถตู้แล่นออกไปแล้ว
                      “คือผมมีเรื่องอยากจะปรึกษาคุณนะ”
     
     
                   เทวินทร์พาศศิวิมลมาที่ร้านคอฟฟี่ช๊อปเล็กที่พบเห็นอยู่แถบๆข้างทางพร้อมกับสั่งอาหารมาสองที่เพราะทั้งเขาและเธอก็ยังไม่มีใครได้ทานอาหารเที่ยงกันเลย
                   “ว่ายังไงค่ะ คุณมีอะไรจะปรึกษาฉัน”เธอรู้สึกแปลกใจที่วันนี้เธอเองยอมพูดดีๆกับเขาทั้งๆที่เมื่อไม่กี่วันก่อนทะเลาะกับเขาแถบตาย เพียงเพราะเห็นสีหน้ากังวลของเขา อาจเป็นเพราะเธอมีน้องชายก็ได้กระมั้งถึงรู้ว่าบางที่ผู้ชายก็อยากที่จะหาที่ปรึกษาเพื่อพูดอะไรสักอย่าง เธอรู้สึกอย่างนั้น
                   “ผมก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงเป็นคุณ แต่ผมรู้สึกว่าคุณจะเข้าใจความรู้สึกของผม”เขากล่าว
                  “คุณอาจจะไม่รู้ว่าผมมีน้องสาว แกเป็นคนี่ผมรักตั้งมาก ถึงแม้ว่าแกจะเป็นน้องสาวต่างแม่ก็เถอะ ผมเอ็นดูเธอมากและนั้นทำให้เธอต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับอันตราย”
                    “คุณหมายความว่า”
                    “เธอถูกปองร้ายบ่อยมาๆในระยะนี้.........”
                   “ฉันเข้าใจค่ะ แต่การกังวลจนเกินเหตุไม่ช่วยอะไรมากน่ะค่ะ”เธอว่าก่อนจะยิ้มให้กับเขาที่เงยหน้ามามอง
                  “แต่ว่า....ผมห่วงแก แกคือครอบครัวคนเดียวที่ผมเหลืออยู่”
                   “งั้นทำไมคุณไม่ลองหาคนติดตามที่มีฝีมือสักคนละค่ะ.........อย่างที่เขาเรียกกันว่าบอร์ดี้การ์ด”
                  “บอร์ดดี้การ์ดเหรอ?”
                  “ค่ะ”
                   “แต่ผมว่ามันจะแปลกๆหน่อยไหมที่เด็กสาวมหาวิทยาลัยจะมีบอร์ดี้การ์ที่ใส่ชุดดำติดตาม.....และอีกอย่างผมไม่ไว้ใจผู้ชายหน้าไหนให้เข้าใกล้น้องสาวของผม”
                  พูดจบเขาก็หน้าบึ้งทันที เธอแอบขำในใจกับอาการห่วงจนหวงน้องสาวจนเกินเหตุของคนตรงหน้า จะว่าไปตานี่เวลาทำหน้าบึ้งก็หล่อไปอีกแบบนะเนี่ย เอ๋ะ!นี่เราชมตาบ้านี่ว่าหล่ออีกแล้วหรอนี่
                  “งั้นคุณจะลองให้ฉันจัดการไหมล่ะค่ะ”หญิงสาวยื่นข้อเสนอ
                  “คุณเนี่ยนะจะช่วยผมได้”เขาถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพราะเขาเองก็มาแค่อยากจะระบายให้ใครไดรับรู้ก็เท่านั้นไม่คิดว่าเธอจะยื่นข้อเสนอกับเขาแบบนี้
                    “ค่ะ ฉันจะแนะนำคนๆหนึ่งให้คุณรู้จักและคิดว่าเขาน่าจะช่วยคุณได้”หญิงสาวยิ้ม
     
          หลังจากที่ตกลงกันเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็ออกจากร้านคอฟฟี่ช๊อฟโดยที่ชายหนุ่มยืนยันการจ่ายค่าอาหารให้เธอพยายามจะปฎิเสธทำให้เขาต้องอ้างตำแหน่งเจ้านายขู่บังคับเธอ
                 “ผมเป็นเจ้านายคุณนะคุณคิดจะขัดคำสั่งผมหรือยังไงกัน”เขาเอ่ยพร้อมกับยิ้มกวนด้วยชัยชนะที่เหนือกว่าแล้วควักเงินจ่ายค่าอาหารให้
     หน่อยแนะตานี่คุยกันดีๆไม่ถังชั่วโมงกลับมากวนประสาทเธออีกแล้วเหรอนี่  
                 “เอาคุณนั้นจะเดินไปไหนะ”เขาถามเมื่อเห็นเธอเดินเลยรถของเขาไป
                 “ฉันก็จะกลับบ้านของฉันนะสิ”เธอเสียงห้วนก่อนจะเดินต่อไป
                “กลับบ้านทำไมไม่กลับกับผมล่ะ”
                “ฉันมาเองได้ก็กลับเองได้เหมือนกันค่ะ...........ขอบคุณในความหวังดี”
                “นี่คุณอย่าทำงอนไปหน่อยเลยน่า แค่ผมจ่ายค่าอาหารให้คุณเท่านั้นเองน่ะ ไม่ได้หมายความว่าผมจะดูถูกคุณว่าคุณไม่มีเงินจ่ายหรอกนะ”
               “ขอโทษค่ะฉันไม่ได้เข้าใจผิดและฉันก็ไม่ได้งอนด้วย”เธอว่าแล้วสะบัดหน้าไป ชายหนุ่มได้แต่ยิ้มกับอากัปกริยาของหล่อนแล้วจึงเดินเข้าไปคว้าข้อมือของคนร่างบางมาไว้แล้วพาเดินมาที่รถของเขาซึ่งเจ้าหล่อนก็ขืนไว้เต็มที่ แต่มีหรือที่แรงของคนร่างเล็กจะสู้คนร่างใหญ่ได้ทำให้หญิงสาวต้องกลับมานั่งหน้างออยู่บนรถเจ้านายของตนเขาปิดประตูให้หล่อนก่อนจะอ้อมมานั่งที่ด้านขับ
                  “ผมจะออกรถแล้วนะ”เขาบอกแต่หญิงสาวก็ได้แต่นั่งหน้ามุ่ย
                  “นี่คุณจะทำอะไรนะ”หญิงสาวโวบวาบเมื่อจู่เขาก็เอื้อมตัวทั้งตัวของเขาเข้ามาหาเธอ ตอนนี้ตัวเธอแทบจะอยู่ร่างของเขาเสียด้วยซ้ำ ถ้าคนอื่นมาเห็นละก็เธอคงไม่รู้จะคิดไปถึงไหน
                “นี่คุณทำอะไรปล่อยยนะ”เธอทั้งทุบ ทั้งตีเขาเพื่อให้เขาพาร่างออกไป
                 “โอ๊ย!คุณอยู่เฉยสิ อย่าดิ้นผมแค่จะรัดเข็มขัดนิรภัยให้คุณต่างหากเล่า”เขาร้องเมื่อถูกทุบพร้อมกับบอกจุดประสงค์ก่อนจะกลับมานั่งตรงที่นั่งด้านคนขับตามเดิม
                 “แค่รัดเข็มขัดฉันทำเองได้ไม่ต้องให้คุณมาทำให้”เธอตวาดใส่เขา ก็เขาทำให้เธอตกใจนี่หน่าแถมเธอเองก็ไม่เคยเข้าใกล้ผู้ชายขนาดนี้ด้วย ทำให้เธอรู้สึกหน้าแดงแถมยังรู้สึกเสียหน้าอีกด้วย
                 ชายหนุ่มเองก็พอจะจับอารมณ์โกรธของหญิงสาวได้เหมือนกันตอนแรกเขาแค่คิดจะแกล้งเธอเฉยๆแต่ก็ไม่คิดว่าจะทำให้เธอโกรธขนาดนี้
                “ผมขอโทษแล้วกัน ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณโกรธ”เขาพูดพร้อทกับใบหน้าอย่างคนสำนึกผิดที่ทำให้เธอเองยังต้องลดอารมณ์ลง เธอเองก็คงจะพูดแรงไปเหมือนกันอันที่จรังเขาก็คงแค่หวังดีเท่านั้น
               “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ฉันเองก็ต้องขอโทษที่ตวาดคุณไปแบบนั้น คุณก็แค่หวังดีเท่านั้นเอง”
              “โอเค คราวหน้าผมจะบอกคุณหากต้องการให้คุณทำอะไร”
               “ค่ะ ขอบคุณค่ะ”
           หลังจากการปะทะคารมเมื่อสักครู่แล้วทั้งสองก็ยังไม่ได้พูดหรือคุยกันแม้แต่คำเดียวมีแต่เพียงเสียงลมหายใจของทั้งคู่ และนั้นเริ่มทำให้เทวินทร์อึดอัด เขาเองก็ไม่รู้เป็นอะไร ถึงเขาจะเป็นคนที่ไม่ชอบสุงสิงกับใครและไม่ชอบให้คนอื่นทำตัววุ่นวายน่ารคาญแต่เขาก็ไม่ชอบความเงียบอย่างนี้โดยเฉพาะเมื่อเป็นผู้หญิงคนี้เขาชอบที่จะเห็นเธอหงุดหงิด และชอบทำหน้าบึ้งๆใส่เขามากกว่าที่จะเงียบ เขาตัดสินใจทำลายความเงียบด้วยการขออนุญาติคนตรงหน้า
                    “คุณจะว่าอะไรไหมถ้าหากผมจะขอแวะทำธุระสักแป๊ปนึง”เขาถามพร้อมกับหันมามองหน้าของศศิวิมล
                   “คุณจะทำอะไรก็เรื่องของคุณสิ ฉันมันก็แค่คนอาศัยเท่านั้นแหละ”เธอขมุบขมิบตอบแต่เขาก็ได้ยินทำให้เขายิ้มออกมาน้อยกับอาการแบบนี้ของเธอ อย่างนี้สิค่อยชื่นใจหน่อย
                   “กลัวว่าใครบางคนเขาจะคิดว่าผมจะพาเข้าโรงแรมเสียอีก”เขาว่าเย้าๆ
                  “ใครบางคนที่คุณว่าเขาคงไม่คิดอกุศลอย่างคุณหรอก”เธอแว๊ดเข้าให้
                      “งั้นก็ค่อยยังชั่วหน่อย”เขาแกล้งถอนหายใจอย่างโล่งอกทำให้ได้ค้อนวงโตจากหญิงสาว
                      “ผมจะขออนุญาติไปรับน้องสาวที่มหาวิทยาลัยนะ พอดีเป็นทางผ่านก็เลยบอกแกว่าจะไปรับ แถมเขาเองก็อยู่ในช่วงกักบริเวณอยู่ด้วยเลยต้องมีคนคุม”ล
                     “ค่ะ ตามสบายค่ะ”เธอว่าก่อนที่จะมองออกไปนอกหน้าต่างรถเพลิดเพลินกับธรรมชาติข้างทางโดยไม่รู้ตัวเลยว่าคนที่นั่งข้างยังแอบมองอยู่ด้วยความเอ็นดู
                       หลังจากที่รับน้องสาวของเจ้านายขึ้นรถเรียบร้อยแล้วรถก็เคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถของมหาวิทยาลัย
                     “นี่น้องสาวผม นิสาชล น้ำส่วนนี้เลขาคนใหม่ของพี่เอง ชื่อศศิวิมล”เขาเอ่ยแนะนำทั้งสองก่อนที่คนอาวุโสน้อยกว่าจะยกมือขึ้นไหว้ผู้ที่อาวุโสกว่า และหญิงสาวก็รับไว้อย่างสวยงามก่อนที่ผ่ายนิสาชลจะเป็นฝ่ายเจื้อยแจ้วเจรจาไม่หยุดระหว่างการเดินทางโดยมีผู้หญิงที่นั่งด้านข้างคนขับคอยฟังและหัวเราะตามกับเรื่องขบขันของเจ้าของรถที่ถูกตีแผ่โดยน้องสาว
                     “ว่าแต่คุณศศิวิมลทำไมมาทำงานกับพี่ได้ล่ะค่ะ ทั้งที่น่าจะหางานที่ดีกว่านี้ได้นะค่ะ”หล่อนถามข้อสงสัยหลังจากที่ฟังประวัติคร่าวๆของหญิงสาวที่มีตำแหน่งเลขาคนสวยของพี่ชาย ต้องเน้นย้ำนะว่า สวย เพราะหญิงสาวตรงหน้าเธอ แม้จะมองแบบผิวเผินไม่สะดุดตาคนแต่ถ้าลองพินิจพิจารณาดูแล้วก็บอกได้เลยว่าสวยไม่หยอก ขณะคุยกับหญิงสาวก็เหลือบมองอากัปกริยาของผู้เป็นพี่ที่ถึงแม้จะไม่ค่อยชอบที่เธอนำเรื่องขายหน้ามาตีแผ่แต่ก็ไม่เห็นโกรธอะไรนอกจากทำสีหน้าบึ้งๆตึงๆเท่านั้น ทันใดนั้นก็ฉุกคิดขึ้น
                ‘เอ๋ะ!หรือว่าจะเป็นคุณศศิวิมลกันหนาที่ทำให้พี่ชายเธอดูอารมณ์ดีขนาดนี้’
                   “คุณน้ำอย่าเรียกชื่อเต็มอย่างนี้เลยค่ะ ฟังแล้วมันแปลกๆชอบกลนะค่ะ...เรียกมลอย่างเดียวดีกว่า”หญิงสาวบอกพร้อมกับยิ้มให้
                  “ได้ยังไงล่ะค่ะก็คุณศศิวิมลอายุมากกว่าเรียกแบบนั้นเขาจะหาว่าไม่รู้จักกาละเทศะ...ใช่ไหมค่ะพี่วินทร์”ประโยคหลังประหวัดปเอ่ยถามชายคนเดียวที่ทำหน้าที่เป็นสารถีให้สองสาว
                 “อืม”คนถูกถามเพี่ยงแต่ตอบรับในลำคอแล้วไม่พูดต่อเพียงแต่ฟังบทสนทนาของสองสาวอย่างตั้งใจ
                “เห็นไหมล่ะค่ะ พี่วินทร์ยังเห็นด้วยเลย”
                “อืมงั้นเอาอย่างนี้ไหมค่ะให้น้ำเรียก ว่าพี่มลดีไหมค่ะ ไม่ดูน่าเกลียดด้วย”คนอ่อนอาวุโสเสนอ หญิงสาวก็ไม่เห็นเป็นเรื่องเสียหายจึงไม่ว่ากระไร
                “งั้นก็ตกลงค่ะ”
                เทวินททร์ฟังบทสนทนาของสองสาวแล้วหงุดหงิดในใจอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
                ‘เชอะ ที่คนอื่นเรียก มลได้ มลอย่างนู้น มลอย่างนี้ พอคุยกับกับเขาก็เห็นคุณ คุณ คุณและก็คุณทุกคำ’เขาค่อนแขะในใจ
                  “แล้วพี่วินทร์ทำยังไงถึงได้เลขาสาวสวยขนาดนี้มาทำงานด้วยล่ะค่ะ”หญิงสาวถามโพล่งขึ้นทำให้คนที่ถูกผาดผิงถึงขึ้นสีหน้ากระดากกับคำถามกึ่งๆชม แต่คนที่ถูกถามกลับนิ่งเฉยทำให้คนเป็นน้องต้องเอ่ยสำทับ
                  “พี่วิทร์ฟังน้ำอยู่หรือเปล่าค่ะ”คนเป็นน้องเริ่มขึ้นเสียงเหมือนกับเด็กสาวที่ไม่พอใจเวลาไม่ได้ของเล่น
                  “ฮะ..อืม..เอ่น้ำถามว่าไงนะ”
                  “นั่นปะไร พี่วินทร์ไม่ได้ฟังน้ำพูดจริงๆด้วย”เธอว่าด้วยอาการงอนๆ
                  “เอ้าๆพี่ขอโทษว่าไงเราจะถามอะไรละหึ”เขาเอ่ย
                   “ไม่เอาแล้วก็พี่วินทร์ไม่ยอมฟังน้ำอะ งอนแล้ว”
                   “เอ้าก็ขอโทษแล้วไงฮะ ยัยเด็กขี้งอน มีอะไรว่ามา”เขาง้อ
                        หญิงสาวมองสองพี่น้องต่างมารดาพูดคุยกันด้วยความเอ็นดู นึกไม่ถึงว่านายเทวินทร์ที่เธอตอนที่อยู่บริษัทจะหน้าดำคร่ำเครียด แต่พออยู่กับครอบครัวกลับกลายเป็นคนละคนอย่างน่าประหลาด นั้นทำให้หญิงสาวได้รู้ถึงบางอย่าง ว่า เขานั้นรักและดูแลครอบครัวดีเพียงไร คิดได้แค่นั้นก็เกิดอารมณ์เศร้าอย่างบอกไม่ถูก นึกถึงครอบครัวที่เธอเคบมีเมื่อนานมาแล้ว แม้จะนานเพียงไรแต่ใบหน้าและรอยยิ้มของบุพการีทั้งสองยังคงตราตรึงในหัวใจแต่เธอก็จะเก็บมันไว้ให้ลึกที่สุดในหัวใจไว้ในยามที่เหว่หว้าหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ได้คราวนั้นเธอถึงจะขอยืมใบหน้าและรอยยิ้มที่ถูกเก็บไว้มาใช้อีกครั้ง แต่เธอจะไม่ยอมอ่อนให้ใครเห็นแม้แต่อาทิตนะเองก็เถอะ น้องชายที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตั้งแต่กำเนิดจนถึงบัดนี้มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่เธอจะให้เห็นไม่ได้
                  “พี่มลเป็นอะไรไปค่ะ”นิสาชลหันมาถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเธอเงียบไป
                 “เปล่าค่ะไม่มีอะไร”ก่อนจะเริ่มสังเกตข้างทาง แล้วพลันสายตาก็หันไปสะดุดกัยบร่างสองร่างที่ตอนนี้กำลังยืนอยู่ริมฟุตบาทข้างทาง ชายคนหนึ่งกำลังโอบรอบเอวของหญิงสาวร่างบางอรชรในชุดกระโปรงสีแดงเลือดนกไว้ในอ้อมแขนพร้อมกันนั้นก็หากันขับรถออกไปเธอคงจะไม่แปลกใจเพราะเรื่องพวกนี้คงจะพบเห็นได้บ่อยในสังคมไทย และคงจะไม่อยากยื่นมือไปช่วยและถูกขี้ปากชาวบ้านว่ายุ่งเรื่องผัวเมียเขา ถ้าคนที่เห็นนั้นมันไม่ใช่คนรู้จักของเธอรู้จักดีเสียด้วย เพราะนั้นคือ นายอาทิตยะ โยธาพงศ์ น้องชายเธอเอง
                   “คุณเทวินทร์ค่ะ คุณจะว่าอะไรไหมค่ะถ้าฉันจะขอรบกวนคุณสักหน่อย”เธอเอ่ยถามเขา
            ชายหนุ่มหันมามองผู้ถามอย่างง “รบกวน?”เขาถามอย่างงงๆ
                  “ค่ะฉันขอรบกวนยืมรถคุณสักพักหนึ่งนะค่ะ”
             สองพี่น้องมองหน้ากันอย่างงงๆจนหญิงสาวต้องเอ่ย
                  “คุณเทวินทร์จำคำพูดที่ฉันเคยบอกว่าจะแนะนำใครบางคนที่จะช่วยคุณได้ให้คุณรู้จักใช่ไหมค่ะ”
               เขาพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบท่ามกลางความงุงงงของนิสาชล
                  “ฉันจะพาคุณไปหาเขาเดียวนี้แหละค่ะ แต่ถ้าไม่รีบฉันว่าคุณคงต้องรออีกนาน”
                 “อะ..เอ่อก็ได้บอกทางมาสิเดียวผมขับให้”เขาบอดพร้อมเสนอความช่วยเหลือและรู้สึกถึงความแปลกใจกับอารมณ์ของหญิงสาวที่นั่งข้างที่ขึงตึงมาได้สักพักแล้ว
                 “ค่ะ..แต่ถ้าจะกรุณาขอฉันขับเองจะดีกว่าค่ะ” เขาเองก็ยังงงกับหญิงสาวแต่ก็ยอมจอดรถที่ริมทางพร้อมกับลงรถเพื่อนที่จะเปลี่ยนที่นั่งกับหญิงสาว
     ในขณะที่เดินสวนกันหญิงสาวก๋หันมาพูดกับเขา
                “ขอโทษด้วยนะค่ะที่ มลทำให้คุณต้องเดือดร้อนและที่อุตส่าห์ยอมทำตามคำขอร้องของมล”เธอกล่าวอย่างรู้สึกผิด แต่เขาเสียอีกที่กลับดีใจก็เธอเปลี่ยนสรรพนามตัวเองจาก ฉันมาเป็นมล ไม่รู้แหละไม่ว่าด้วยลืมตัวหรืออะไรก็ช่าง เขาก็พร้อมจะทำตาม
                 “งั้น คุณช่วยเรื่องหนึ่งผมเป็นการตอบแทนได้ไหมครับ”เขาถามอย่างสุภาพให้ศศิวิมลฉงน เขายิ้มน้อยๆกับใบหน้าท่าทางฉงนที่แสนหน้ารักนั้นพร้อมกับเอ่ยความประสงค์
                “ให้ผมเรียกคุณว่ามลอย่างเดียวได้ไหม ผมเรียก คุณ ตลอดเลย รู้สึกว่ามันห่างเหินกันยังไงมารู้”เขากล่าว
               “และอยากให้คุณช่วยแทนตัวเองว่ามล ด้วยได้ไหม”เขายังคงต่อรองอีก
                “แต่นี้มัน สองข้อแล้วนะค่ะ”เธอว่ายิ้มๆ
               “แต่ก็ได้ค่ะ มลตกลง”
          นั้นก็ทำให้เขายิ้มออกมา และทำให้เธอรู้สึกแปลกๆพิกลในทรวงอกก่อนจะปัดความรู้สึกนั้นทิ้งไปแล้วหันมาสนใจปัญหาตรงหน้าแทน
                “งั้นคุณช่วยขึ้นนั่งรถเถฮะค่ะ เดียวชักช้าจะไม่ทันการ”เขาเองก็อยากจะถามว่าทำไมเธอรีบอะไรนักหนาแต่ก็ไม่ทันแล้วเมื่อร่างบางเดินดุ่มขึ้นรถที่นั่งฝังคนขับทำให้เขาต้องเดินไปขึ้นอีกฝังหนึ่งข้างๆกัน
              “คุณเทวินทร์ กับคุณน้ำช่วยรัดเข็มขัดอย่างดีด้วยนะค่ะ”เธอบอกในขณะที่คาดเข็มขัดของเธอด้วยเช่นกัน พี่น้องทั้งสองมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาพร้อมกับทำตามคำบอก
              “การเดินทางครั้งนี้มันอาจจะรุนแรงเสีหน่อย แต่รับรองว่าชีวิตของคุณทั้งสองจะปลอดภัยแน่ค่ะ”
    เธอว่าแล้วรถเบนซ์คันสีดำก็ทะยานออกไป
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×