ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จันทราแห่งเทวา

    ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่2

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 52


    คอนโดหรูใจกลางกรุงเทพ
                          เสียงฝีเท้าเดินตามทางที่ปูพรมอย่างดี ก่อนที่จะทำให้ชายหนุ่มร่างสูงลุกขึ้นยืน เขาเป็นหนุ่มลูกครึ่ง ผมสีทอง นัยน์ตาสีดำ ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นลูกครึ่งไทยอย่างแน่นอน ด้วยหน้าตาและความสูงทำให้เขาหาไม่อยากในฝูงชน  เขาลุกขึ้นก่อนเผยรอยยิ้มที่ทำให้สาวๆแถบนั้นแทบละลายกันเป็นแถบ ก่อนที่เขาจะใช้มือเสยผมแล้วเอ่ยออกมา
                           “ทำไมมาช้าจังละฮะ”เขาเอ่ยก่อนมองหญิงสาวที่พึ่งมาถึง ผู้เป็นเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแซมดำ กับนัยน์ตาสีดำที่เหมือนของตนเอง ผู้ถูกถามเงยหน้ามองก่อนจะเอ่ยคำตอบที่ทำให้คนฟังชักสีหน้าเจื่อน
                           “แกไม่ต้องมาทำยิ้มหวานแถวนี้”หญิงสาวสะบัดสายตาก่อนที่จะตวัดกลับมาที่เดิมแล้วเอ่ยต่อ
                          “แกทำหน้าอย่างนี้ที่ไร...สาวได้วิ่งโรเข้ามาหาแกติดหนึบอย่างกับปลิง”
                         คนฟังฟังแล้วหัวเราะพรืดกับคำกล่าวของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นพี่สาวของตนก่อนจะเดินนำร่างบางขึ้นไปที่คอนโดที่ตนพำนักอยู่ได้มาร่วม สองวันกว่าแล้วหลังจากที่เข้าห้องเรียบร้อยแล้วเขาจึงรินน้ำใส่แก้วให้ก่อนวางไว้ที่โต๊รับแขกพลันก็เหลือบไปเห็นสิ่งๆหนึ่งที่ทำให้เขาเกิดอาการตระหนกจนใบหน้าหล่อเหลานั้นซีดเผือด แต่พอจะเข้าไปจดการกับตัวต้นเหตุ มือเรียวยาวที่ไวกว่าก็คว้ามันไปเสียแล้ว หญิงสาวจ้องมันสักพัก ก่อนที่สายตาคู่สวยนั้นจะมีแววหงุดหงิดจนทำให้เขาหนาวๆร้อนๆ
                         “แกเอาใครมานอนอีกแล้วสิ”ร่างบางเอ่ยก่อนจะเขวี้ยงเจ้าสิ่งนั้นมาให้เขาที่รับไว้ได้ถนัดมือ เจ้าสิ่งที่เรียกว่า บรา ตัวต้นเหตุที่ทำให้หญิงสาวถึงกับโมโหปิดประตูดังปังแล้วไม่ออกมาอีกเลยตลอดคืนนั้น
                         “เฮ้อพี่หน่อพี่”เขาเอ่ยเบาๆก่อนจะไพล่คิดไปถึงหญิงสาวในคืนนั้นแล้วเอนตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวแล้วหลับไป
     
                   แสงตะวันเริ่มสาดส่องกระทบบานหน้าต่างใสที่มีม่านสีฟ้าอ่อนป้องกัน ไม่ให้แสงนั้นกระทบกับสิ่งต่างๆในห้อง ร่างใหญ่ของใครบางคนที่ลมหายใจสม่ำเสมอเป็นระยะจะขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะหลับลงอีกครั้ง บานประตูห้องค่อยเปิดออกอย่างช้าก่อนที่จะปรากฎร่างเงาที่อยู่ภายหลังบานประตู เจ้าหล่อนอยู่ในชุดกางเกงผ้าเนื้อดีสีเทาอ่อนกับเสื้อที่เข้ากับกางเกงดูราวสาวมั่น ผมยาวสลวยถูกปล่อยยาวแล้วถัดหู ก่อนทีจะสาวเท้าเข้าไปในครัว แล้วเริ่มชงกาแฟให้ตนเอง แล้วเมื่อมองไปเห็นร่างๆหนึ่งที่นอนอยู่บนโซฟาก็ถอนหายใจก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบถ้วยกาแฟแล้วชงต่ออีกหนึ่งแก้ว
                            “เฮ้ย”ร่างบางส่งเสียงพร้อมกับเอามือสะกิดหลังชายหนุ่มเบาก่อนที่เจ้าของร่างจะพลิกตัวหันไปอีกด้านหนึ่งเพื่อนหวังให้ไปจากเสียงรบกวน
                           “นี่”ร่างบางเอ่ยเบาๆแต่คนตรงหน้าก็ไม่ยอมตื่นจนต้องถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นแล้ว
                           “โอ้ย!ร่างหนาร้องขึ้นทันใดพร้อมกับเอามือคลำป่อยๆบริเวณที่สาวเจ้าส่งบาทาเข้าให้ก่อนจะส่งสายตาคาดโทษมาให้หญิงสาวที่ตอนนี้ใบหน้าสวยมีรอยยยิ้มระบายอย่างน่าโมโห
                           “พี่ทำอะไรของพี่เนี่ย”พอว่าเข้าให้หญิงสาวก็ได้แต่ยิ้มกริ่มก่อนจะว่าอย่างสบายอารมณ์
                           “แหม..ก็เห็นแกไม่ตื่นก็กะจะช่วยปลุก...พอปลุกแล้วแกดันไม่ยอมตื่นก็เลยใช้วิธีที่แกชอบปลุกไง”
                          “ชิ...เป็นผู้หญิงซะเปล่า...มารยาทไม่ได้เรื่อง”พูดก่อนที่จะโดนมะเหงกอีกโป้กหนึ่งก่อนจะพึมพำอย่างหงุดหงิด
                           “แกกล้าว่าพี่สาวที่แสนดีอย่างนี้เชียวเหรอ”หญิงสาวกล่าวพร้อมกับขึงตา
                           “แสนดีใช่แสนดีจริงๆแสนดีอย่างกับมารร้าย”
                           “ว่าไรนะ”หญิงสาวถาม
                            “เปล่า”ชายหนุ่มตอบก่อนจะหันหน้าไปทางอื่น
                     แต่ก่อนที่จะมีบทแสดงความรักแบบพี่น้องนั้นก็มีเสียงกริ่งที่หน้าประตูเรียกความสนใจก่อนที่ทั้งคู่จะหันมามองหน้ากันแล้วพยักหน้าอย่างบอกความนัยอะไรสักอย่างแล้วชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปเปิดประตู ภายหลังบานประตูที่ถูกเปิดออกนั้นกลับปรากฎเพียงแค่ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าๆเห็นจะได้ก่อนที่ชายคนนั้นจะยิ้มมาให้พร้อมกับสืบเท้าเข้ามาในห้องอย่างไม่ต้องรอเจ้าของห้องให้อนุญาติแม้แต่นิดเดียว ก่อนจะตามด้วยเสียงประตูปิดดังปัง
                        ภายในห้องนั้นเขาไม่มีใครอื่นอีกนอกจากหญิงสาวสวย ผมสีน้ำตาลแซมดำพร้อมนัยน์ตาดำขลับที่ส่งสายตาดีใจให้ผู้มาเยือน
                         “โอ้..นี่มล เหรอนี่...”บุรุษผู้เข้ามาใหม่เอ่ยอย่างทึ่งเล็กน้อยก่อนที่จะอ้าแขนรับร่างบางที่โผเข้ากอดอย่างดีใจก่อนที่จะผลักร่างในอ้อมแขนเพื่อดูใบหน้าใสให้ชัดยิ่งขึ้น
                        “จากไปตั้งนานสวยจนจำไม่ได้เลยนะนี่”เขาเอ่ยก่อนที่จะปล่อยหญิงสาวในอ้อมแขนที่ทำท่ายิ้มยินดีกับคำชมที่ได้รับจากเขาก่อนจะมีเสียงทุ้มต่ำกล่าวอย่างประชด
                        “แหม. ..มล สวยขึ้นนะนี่..โธ่เอ้ย...สวยแต่รูปนะสิ”หนุ่มผมทองกล่าวพร้อมกับจ้องหญิงสาวที่จ้อมมาอย่างกับจะกินเลือดในกายของเขาให้หมดทุกหยด แต่ดวงหน้าหล่อเหลานั้นก็ไม่สนใจกลับกล่าวน้ำเสียงตัดเพ้อจนคนได้ยินถึงกับอมยิ้ม
                       “ทีเราละไม่เห็นมีคนชม” คนถูกกล่าวทำสีหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยอย่างแสบๆคัน
                         “โอะ..นี่ทิตยะหรือนี่แหมๆลุงก็นึกว่าคนติดตามของยัย มล เขา”พอกล่าวจบจึงหันไปยิ้มกับหลานสาวอย่างขำพร้อมกับที่ชายกนุ่มผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นคยติดตามสบถพรืดก่อนพึมพำเบาๆ
                       “คนติดตามชิ...คนติดตามที่ไหนจะหล่อขนาดนี้”เขาว่าก่อนที่จะมองไปทางลุงของเขาแล้วมองอย่างประหลำประเหลือกให้แล้วตัดสินใจนั่งลงที่โซฟาทำท่าราวกับเด็กที่งอนพ่อแม่ไม่มีผิด
                    ผู้เป็นลุงมองหลานก่อนจะอมยิ้มไม่ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่เจ้าพวกนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนเลยสักนิด เจ้าทิตยะมันก็ยังขี้งอนเหมือนเดิม แต่เขาก็เอ็นดูหลานชายคนนี้มากทีเดียว...ยัยมล นี่ก็ไม่เปลี่ยนเลยสักนิดยังชอบแกล้งน้องเป็นประจำแต่พวกมันก็ยังรักกันเหมือนเดิมนี่แหละดีแล้วเขานึกไปถึงอดีตที่พวกเด็กพบเจอแล้วก็ต้องถอนหายใจ แต่ว่าตั้งแต่ไปอยู่อังกฤษนี่พวกมันดูดีขึ้นเป็นกองจะว่าไปพวกนี้มันก็หน้าตาดีติดพ่อแม่มันมาอยู่แล้ว ก่อนที่เขาจะปรายตามองไปทางหญิงสาว หลานสาวเขาสวยขึ้นมากจนแทบจำไม่ได้ในตอนแรกที่เขาเข้ามาก็นึกว่าเป็นเจ้าหลานชายตัวดีที่พาผู้หญิงมาแต่ที่ไหนได้พอมาดูใกล้ๆกลับเหมือนเค้าหน้าพ่อแม่มันไม่มีผิด คิดแล้วจึงยิ้ม ดูท่าที่นู่นหนุ่มคงติดเยอะแต่สงสัยว่าที่ทำไมยังไม่มีแฟน คงเป็นเพราะเจ้าตัวที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างๆนี่เป็นแน่แท้ ถึงมันจะเป็นคนเจ้าชู้ มองดูแล้วเอื่อยๆแต่มันหวงพี่สาวอย่างกับอะไรดี ใครหน้าไหนที่กล้าแตะพี่สาวมันต้องผ่านด่านมันก่อนคนแรกนี่แหละแล้วอย่างนี้หลานเขาจะได้ฤกษ์ลงจากคานเมื่อไหร่กันละนี่
                         “เอาไงวันนี้ไปทานข้าวข้างนอกกันลุงเลี้ยงเอง”ธนาเอ่ยขึ้นแล้วดูปฏิกริยาของทั้งสองแล้วก็ต้องอมยิ้มเมื่อสองพี่น้องกุลีกุจรไปหยิบของๆตนเอง ก็นานจะมีคนเลี้ยงทั้งทีนี่นะ
     
        สองวันถัดมา
                    รถสปอร์ตสีแดงคันเก่งเข้าจอดที่ลานจอดรถของอาคารสูงร่วมหกสิบกว่าชั้นซึ่งเป็นสถานที่ทำงานของบริษัท ไอศุริยะ คอเปอร์เรชั่น ก่อนที่ประตูรถจะเปิดออกพร้อมกับร่างของหญิงสาวร่างบาง ที่สวมชุดกางเกงผ้าสีครีมและเสื้อนอกที่เข้าสีกันก่อนที่จะเดินเข้ามาที่ประชาสัมพันธ์ที่อยู่เลยทางเข้าประตู
                        “สวัสดีค่ะ”หญิงสาวหน้าโต๊ประชาสัมพันธ์กล่าวพร้อมกับยกมือไหว้อย่างสวยงาม
    อีกฝ่ายก็รับไหว้อย่างรวดเร็วแต่ก็สวยงามก่อนที่ประชาสัมพันธ์คนสวยจะจะแย้มรอยยิ้มอย่างเป็นมิตรแล้วเอ่ยถาม
                       “มีอะไรให่ช่วยไหมค่ะ”
    หญิงสาวผมสีน้ำตาลยามสลวยนำกระดาษที่กำลังถืออยู่ขึ้นมาให้พนักงานดูแล้วพูดอย่างอ่อนน้อม
                       “ค่ะ คือ ดิฉันมาสัมภาษณ์งานค่ะ...นี่ค่ะจดหมายตอบรับการสัมภาษณ์จากบริษัท”  พนักงานสาวมองดูกระดาษแผ่นนั้นแล้วยิ้มก่อนจะบอกถึงสถานที่ทำการสัมภาษณ์หญิงสาวบอกขอบคุณก่อนจะกดลิฟต์แล้วไปตามที่บอก
                 สัญญานไฟของลิฟต์หยุดลงที่ชั้นสามสิบของตึกแห่งนี้ แล้วร่างบางระหงนั้นก็ก้าวออกมาจากลิฟต์ เมื่อเดินออกมาจากลิฟต์สักพักก็เจอพนักงานนั่งโต๊ะคนหนึ่งที่ดูอายุอานามประมาณเกือบสามสิบเห็นจะได้ ใบหน้าขาวเนียนนั้นกำลังค่ำเคร่งกับการทำงานจนเมื่อหญิงสาวเดินเข้ามาใกล้จึงเงยหน้าขึ้นมมาแล้วยิ้มให้อย่างสุภาพแล้วยกมือไหว้ทำให้เธอรับไหว้แทบไม่ทัน
                     “เอ่อ....”หญิงสาวทำท่าจะเอ่ยว่าเธอจะมารับการสัมภาษณ์แต่คนตรงหน้าเธอก็พูดขึ้นมาก่อนราวกับรู้ทัน
                    “คุณศศิวิมลใช่ไหมค่ะ”
                      “ค่ะ”หญิงสาวรับคำอย่างงงก่อนจะเข้าใจเมื่อหล่อนเอาแบบฟอร์มการสมัครงานที่เธ กรอกส่งมาทางไปรษณีขึ้นมาในใบนั้นก็มีรูปถ่ายของเธอ จึงไม่น่าแปลกที่หล่อนจะรู้ว่าเธอมาสมัครงาน
                     “ดิฉัน ทิพากร ค่ะเป็นเลขาของคุณ เทวินทร์ ค่ะ….เรียก ทิพ อย่างเดียวก็ได้ค่ะ”
                    “ค่ะ...ดิฉัน ศศิวิมล เรียก มล อย่างเดียวก็ได้ค่ะ”
                    “คุณมาสัมภาษณ์เป็นคนสุดท้ายเลยนะคะ”หญิงสาวตรงหน้าเอ่ยแล้วยิ้ม
                    “ขอโทษด้วยนะคะ...แต่เอ่อไม่ทราบว่ายังทันอยู่หรือเปล่าคะ”หล่อนถามแล้วหน้าเสียขึ้นมาทันทีเมื่อทราบว่าเธอมาสัมภาษณ์เป็นคนสุดท้าย
                   “ทันค่ะ..บอสกำลังสัมภาษณ์คนสุดท้ายพอดี” ทิพากรยิ้มให้กำลังใจแล้วประตูห้องทำงานของคนที่ขึ้นชื่อว่าบอสก็เปิดขึ้นแล้วหญิงสาวผมสั้นท่าทางหงิมๆก็เดินคอตกออกมา
    ทิพากรกระซิบบอกอย่างเจื่อนๆ
                    “บอสแกก็พูดตรงไปตรงมาอย่างนี้แหละค่ะ”
                   “พยายามเข้านะคะ”ทิพากรเอ่ยขึ้นก่อนที่จะมีเสียงเรียกชื่อเธอ
              ศศิวิมลหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกความมั่นใจก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ด้านหน้าแล้วบานประตูก็ปิดลง ภายในห้องที่ตกแต่อย่างหรูหราบอกรสนิยมของเจ้าของห้องได้เป็นอย่างดีร่างสูงนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานตัวใหญ่ที่หันหลังให้กับโต๊ะทำงานเธอเดินเข้าไปใกล้โต๊ะทำงานแต่ก็ยังไม่นั่งลงบนเก้าอี้จนกว่าจะมีคำเชิญ นายเทวินทร์ ก็คงจะรู้ว่ามีคนเดินเข้ามาจึงหันหน้ากลับมาที่โต๊ะทำงานแค่พอหันมาเท่านั้นแหละ
                           “คุณ!”สองสียงร้องประสานพร้อมกัน
            นายปากเสียงที่เธอเจอบนเครื่องบินนั้นเอง
    แต่คนที่เอ่ยก่อนกลับเป็นนายเทวินทร์
                             “ไม่ทราบว่าคุณมาสมัครงานผิดหรือเปล่า...ผมรับสมัครเลขานะ...ไม่ใช่บอร์ดี้การ์ด”เขาเน้นประโยคสุดท้ายยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
          ‘ หน่อยแนะอีตานี่...ปากร้ายชะมัดมันน่าซัดให้ตายคาทีตั้งแต่ตรงสนามบิน’
                            “ไม่ผิดหรอกค่ะ..ดิฉันมาสมัครเป็นเลขา”เธอพูดพร้อมกับยิ้มหวาน
          ' ถ้ารู้ว่าเป็นตานี่ให้ตายฉันก็ไม่มาหรอกย่ะ’
           ชายหนุ่มมองเจ้าหล่อนที่ฉีกยิ้มหวานแล้วหมั่นไส้
                          “แล้วนี่จะยืนค้ำหัวผมหรือไง”เขาพูดประชดแต่ก็รู้สึกสะใจเมื่อ เห็นหญิงสาวขบฟันอย่างระงับอารมณ์แต่หญิงสาวก็ลากเก้าอี้ออกนั่ง
    ชายหนุ่มมองเอกสารที่เลขาของตนนำมาให้เขาอ่านประวัติเจ้าหล่อนอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกแปลกใจ
      ‘ปริญญาโทบริหารจากอังกฤษกับปริญญาเอกกฎหมายเขาเงยหน่ามองหล่อน สิ่งที่เขาบอกได้ในใจขณะนั้นคือ
    ผู้หญิงคนนี้เก่งเกินตัวจริงๆ แต่ไอ้ประวัติที่มันบอกอยู่บนกระดาษแผ่นนี้มันจะจริงสักแค่ไหนมันก็ต้องคอยดู
                            “คุณจบปริญญาโทจากอังกฤษแต่ทำไมถึงอยากเป็นเลขา”  เขาถามในที่สุด กึ่งแปลกใจเมื่อหล่อนมีความสามารถแต่กลับมาสมัครเป็นเลขา
                            “ค่ะ...เป็นการเรียนรู้อย่างหนึ่งคะ”เธอตอบ
                           “เรียนรู้?”เขาเอ่ยถามอย่างงงหญิงสาวจึงต้องเอ่ยตอบ
                           “ค่ะ..การจะเป็นเจ้านายคนก็ต้องเรียนรู้ที่จะเป็นลูกน้องด้วยจริงไหมค่ะ”
                                  ‘ตอบได้ดีนี่’
                           “แล้วคุณคิดว่าคุณจะเรียนการเป็นลูกน้องได้ที่นี่งั้นเหรอ”
                           “ค่ะ..ดิฉันได้ยินข่าวมาว่าเจ้านายของที่นี่ท่านเป็นคนใจดีก็น่าจะเรียนรู้จากที่นี่ได้..หรือว่าที่ฉันได้ข่าวมาจะผิดหรือค่ะ”
              หล่อนตอบพร้อมกับอมยิ้มในใจ เทวินทร์ก็พอจะรู้ว่าตัวเองถูกเหน็บแนม
                              ‘ยัยตัวดี’
                          “ผมก็คงไม่รู้หรอกว่าคนข้างนอกจะมองว่ายังไง....แต่ถ้าคุณอยากจะลองพิสูจน์ก็ได้”
                          “หมยความว่า?”
                          “ตกลงผมรับคุณเข้าทำงาน”
                          “ขอบพระคุณค่ะ”เธอบอกพร้อมกับไหว้อย่างนอบน้อม เขาเองก็สังเกตเห็นพฤติกรรมหล่อน
                    ‘จบจากอังกฤษแต่กริยามารยาทกลับเรียบร้อยอย่างสาวไทยแท้’
                          “เชิญคุณออกไปได้แล้ว”เขาบอกพลางก้มลงอ่านเอกสารอะไรบางอย่างเธอจึงลุกขึ้นสอดเก้าอี้ให้เรียบร้อยแต่ขณะที่เธอกำลังจะเดินออกมาเขาก็เอ่ยขึ้น
                          “หวังว่าคุณคงเตรียมพร้อมกับการทำงานพรุ่งนี้นะ..คุณศศิวิมล”
     
                       เช้าวันรุ่งขึ้นมาเยือนอย่างรวดเร็วจนหญิงสาวคิดว่ามันพึ่งผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง หญิงสาวนามศศิวิมล หรือที่ญาติมักเรียกว่า มลนั้นมาทำงานตั้งแต่7โมงเช้าหล่อนขึ้นมาถึงชั้นที่สามสิบของตึกสำนักงาน ไอศุริยะแห่งนี้ก่อนจะพบกับคุณทิพหญิงสาวอายุประมาณเกือบสามสิบที่เป็นเลขานุการของเทวินทร์มาก่อนเจ้าหล่อนอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อนกระโปรงเป็นจีบยาวเลยเข่านิดหน่อยกับเสื้อแขนตุ๊กตาสีขาวแถบฟ้าอ่อนที่เข้ากับกระโปรง หล่อนยิ้มให้หญิงสาวที่เดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทัก
                           “สวัสดีค่ะคุณศศิวิมลมาทำงานแต่เช้าเลยเหรอค่ะ”
                           “ค่ะ....คุณทิพเรียกว่า มล เฉยก็ได้ค่ะเพราะใครๆก็เรียกอย่างนี้นะค่ะ” ศศิวิมลบอกกับหญิงสาวที่พยักหน้ารับอย่างเข้าใจแล้วเปลี่ยนสรรพนามในการเรียก
                           “แล้วนี่ยังไม่ถึงเวลาทำงานเลยนี่ค่ะ”หล่อนถาม
                           “ค่ะ...ก็คิดว่าน่าจะมาเช้าสักหน่อยทำงานวันแรกนะค่ะ”เธอตอบขณะที่มองทิพากรกำลังเก็บของเข้ากล่องกระดาษก็ถามออกไป
                           “คุณทิพากรจะไปไหนเหรอค่ะ”ทิพากรที่กำลังง่วนอยู่กับการเก็บของเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นหน้งงของหญิงสาวมองการกระทำของหล่อนอยูก็ยิ้มแป็น
                            “เรียกว่าทิพเฉยก็พอแล้ว”
                            “ไม่ได้หรอกค่ะ...มลไม่กล้าเรียกคุณทิพอย่างนั้นหรอกค่ะ”
                            “งั้นก็เรียกฉันว่าพี่ทิพก็ได้”หญิงสาวพยักหน้าแปลว่าเข้าใจ
                            “แล้วพี่ทิพกำลังจะเก็บของไปไหนค่ะหรือว่าพี่ทิพจะลาออกค่ะ”
                           “เปล่าหรอกค่ะ..คือพี่กำลังจะย้ายไปเป็นเลขาของคุณวิศรุฒค่ะ”
                           “คุณวิศรุฒหรือค่ะ?”หญิงสาวทวนคำ
                           “จริงสิค่ะมล พึงจะมาทำงานสินะคะ..งั้นเดี่ยวพี่จะอธิบายโครงสร้างของที่นี่คราวๆกับแผนกต่างๆให้ฟังนะคะกว่าบอสจะเข้ามาก็คงประมาณเก้าโมงคงจะทันค่ะ”
                   หญิงสาวบอกก่อนจะเริ่มต้นอธิบายโครงสร้างการบริหารคร่าวๆของทีและแผนกต่างๆ
     
     
                                 วันนี้เขาเข้ามาทำงานตอนเก้าโมงกว่าๆก็พบเลขาคนใหม่นั่งอยู่โต๊ะทำงานเรียบร้อยแล้ว วันนี้เจ้าหล่อนมาในชุดกางเกงสีออกน้ำตาลและเสื้อสูทสีเดียวกัน เขาสังเกตว่าวันนี้เธอแต่หน้าอ่อนผิดกับเมื่อวาน ผมสีน้ำตาลถูกดัดเป็นลอนตรงปลายนิดหน่อย เมื่อเขาเดินเข้ามาในห้องทำงานสักพักก็มีเสียงเคาะปรตูดังขึ้นก่อนที่ร่างบางของเลขนุการคนใหม่จะเดินเข้ามาพร้มกับถ้วยกาแฟ เจ้าหล่อนนำมันวางไว้ทางด้านขวามือก่อนที่จะหันมาทางเขาและถาม
                           “จะรับอะไรอีกไหมค่ะ”เสียงใสๆเอ่ยถาม
                    เขาเงยหน้าขึ้นมองหล่อนในใจรู้สึกตงิดๆอยากหาเรื่องยัยตัวดีตรงหน้าแต่ไม่รู้จะทำยังไงดี เจ้าหล่อนดูจะเฉลียวไปหมดซะทุกอย่าง
    พอผมส่ายหน้าเธอก็กำลังจะเดินออกไปแต่แล้วเธอก็หันมาหาเข้าอีก
                           “แล้วเอกสารการประชุมจะให้เอาเข้ามาให้เลยหรือเปล่าค่ะ”
                       พอเขาพยักหน้าเจ้าหล่อนก็เดินออกไปแล้วกลับมาพร้อมแฟ้มเอกสารใบใหญ่ในมือก่อนจะวางแฟ้มนั้นลงบนโต๊ะทำงานแล้วเดินออกไป   เขานั่งตรวจเอกสารที่เจ้าหล่อนนำเข้ามาให้ กวาดตามองเอกสารปึกใหญ่พร้อมกับคิดในใจเจ้าหล่อนทำงานได้ละเอียดดีมากจริงๆจนเขาไม่สามารถหาข้อผิดพลาดได้เลย ความรู้สึกตอนนี้ของเขาต่อหญิงสาวก็ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
                     ‘สมกับจบโทจากอังกฤษจริง’
                          แต่ว่าระวังไว้เถอะไว้ถึงทีเมื่อไหร่เขาจะเอาคืนหล่อนให้หน้าหงายไปเลย เขาวางเอกสารลงพร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเลห์เตรียมตัวไว้ให้ดีเถอะยัยตัวดี
                             และแล้วโอกาศก็มาถึงเมื่อถึงเวลาพักเที่ยง พนักงานคนอื่นลงไปทานอาหารที่โรงอาหารที่บริษัทจัดไว้ให้ เขาเองก็ออกไปทานอาหารข้างนอกด้วยเช่นกันแต่วันนี้เขาเลือกร้านอาหารใกล้บริษัท พอถึงเวลาบ่ายเขากลับมาก่อนเข้าทำงานตั้งครึ่งชั่วโมงและเป็นอย่างที่เขาคิดเมื่อเลขาสาวตัวดีของเขายังไม่มา
                             สักพักเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเลขาหน้าห้องของตัวเองเดินใหล้เข้ามา เขาจึงทำท่ายืนพิงอยู่หน้าประตูห้องทำงาน ทำหน้าบึ้งเล็กน้อยปานว่าอารมณ์เสียมาได้สักหนึ่งชั่วโมง ทำท่าดูนาฬิกาข้อมือเรือนละ30000ที่ใส่อยู่ที่ข้อมือขวาอย่างหงุดหงิดทั้งที่เขาพึงจะดูนาฬิกาเรือนยั้ยเมื่อกี่นาทีก่อนอย่างอารมณ์ดี พอเธอเดินมาเจอเขาก้สะดุ้งอีกเมื่อเห็นว่าเขากลับมาแล้ว ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะเอ่ยถามใดทั้งสิ้นเขาก็เริ่มละครฉากหนึ่งทันที
                          “ผมรอคุณตั้งนานแล้วรู้ไหม....คุณเป็นเลขาประสาอะไรฮะ”เขาบอกเธอด้วยน้ำเสียงที่เขาพยายามทำให้ดูหงุดหงิดที่สุดแต่ในใจเขากลับยิ้มกระหยิ่มในใจเมื่อเห็นหน้าเหรอหราของหล่อน นี่เจ้าหล่อนคงจะนึกสินะว่าเขาจะกลับมาตอนบ่ายซึ่งจริงๆแล้วเขาก็กลับตอนบ่ายโมงเป็นประจำแต่วันนี้นะโดยเฉพาะเลย
                           “รู้ไหมว่าผมมีประชุมตอนบ่ายโมงครึ่งนะและผมก็อยากจะอ่านเอกสารการประชุมนั้นอีกครั้งเพื่อความแน่ใจอีกครั้งด้วย”
                            “นี่คุณ..”ดูเหมือนว่าหญิงสาวทำท่าจะเถียงแต่ก็เงียบไปเมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงได้ใจจึงสั่ง
                            “เอาเอกสารการประชุมวันนี้มาให้ผมทั้งหมดด้วย”
                            “ทั้งหมดเลยเหรอค่ะ”หญิงสาวถามอย่างตกใจ
                            “ใช่ทั้งหมด..และภายใน10นาทีด้วย”พอพูดจบเขาก็ก้าวฉับๆเข้าห้องไป
                         หญิงสาวจึงต้องเดินไปที่แผนกต่างเพื่อเอาเอกสารการประชุมของทุกแผนกที่จะประชุมในวันนี้ภายในห้องทำงานของประธานบริษัท ชาหนุ่มเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
    ‘ฮึคงจะแค้นใจมากสินะยัยตัวแสบที่มาไม่ทันเขาเข้าทำงานช่วงบ่ายเลยโดนตั้งแต่วันแรก’
                      แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นทำให้เขาขมวดคิ้ว อะไรมันจะเร็วขนาดนั้น จนเมื่อคนที่เดินเข้ามานั่ไม่ใช่ ศศิวิมลอย่างที่เขาคิดแต่กลับเป็นหญิงสาวอดีตเลขานุการของเขานั้นเอง
                          “พี่ทิพ”เขาเรียกออกมา มีน้อยคนนักที่รู้ว่าเขากับทิพากรนั้นเป็นญาติและมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาแต่เพราะทิพากรไม่อยากให้มีใครรู้จะเพราะกลัวว่าทุกคนจะครหาว่าใช้เส้นมาทำงานเขาจึงปิดเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ตอนทำงานพี่ทิพมักจะเรียกเขาว่าบอสแต่เมื่ออยู่กันสองคนก็ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังกัน
                           “อ้าวแล้วเลขาของเราล่ะวินทร์”หญิงสาวเอ่ยชื่อเล่นของเขา
                เขาคิดเมื่อนึกถึงหน้าเลขาสาวสวยที่ตอนนั้นคงโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแล้วกระมัง
                           “ไปเอาเอกสารการประชุมที่แผนกอื่นๆนะครับ”
                           “ห๋าจริงหรือ”ทิพอุทานอย่างตกใจ
                     อาการการตกใจเกินเหตุของทิพพากรทำให้เขามุ่ยหน้า ก็กะอีแค่ให้เดินไปเอาเอกสารทำอย่างก็มีอะไรนักหนาอย่างนั้นแหละ
                           “เลขาเธอนี่ทำงานดีจริงๆเลยนะ”
                           “หมายความว่าไงฮะ”เขาถามอย่างงงไม่เข้าใจว่าพี่สาวเขาต้องการจะสื่ออะไร
                           “ก็มลนะยังไม่ได้ทานข้าวกลางวันเลยนะสิ...พี่ก็เลยบอกว่าจะไปทานพร้อมพี่ก็ได้”ทิพพากรพูดขึ้นก่อนจะหันหน้ามาหาญาติผู้น้องที่ทำหน้าอึ้งๆ
                            “เป็นอะไรไปวินทร์”หล่อนถามเมื่อเห็นว่าเขาผิดปกติ
                            “เปล่าครับ”เขาบอก
                            “ผมว่าพี่ไปทานข้างเลยเถอะฮะ..เดี๋ยวพอเขามาผมจะบอกให้เขาตามพี่ลงไป”
                         หญิงสาวลังเลนิดหน่อยก่อนจะก้มดูนาฬิกาที่ใกล้จะบ่ายโมงเต็มที่และอีกครึ่งชั่วโมงจะต้องไปประชุม เธอจึงตัดสินใจไปทานข้าวคนเดียว พอทิพพากรออกไปไม่ถึง10นาทีคุณเลขานุการสาวสวยก็เดินเข้ามาพร้อมกับแฟ้มที่ถือมาแถบจะบังตัวมิดก่อนจะวางแฟ้มเหล่านั้นลงที่โต๊ะเจ้านาย พอทำท่าจะเดินออกไปเขาก็เอ่ย
                           “ทำไมคุณไม่บอกผมว่าคุณยังไม่ได้ทานข้าว”เขากล่าวเรียบ
    เธอเม้มปากเหมือนทำท่าว่าอยากจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปแล้วพูดขึ้นมาใหม่
                           “ไม่ได้หรอกค่ะ..เดี๋ยวจะถูกหล่าวหาว่าบกพร่องต่อหน้าที่”      หล่อนเอ่ย แต่เขาก็รู้ทันทีว่าหล่อนประชดเขาอย่างจังแต่เขาก็ไม่สนหรอกเพราะยังมีเรื่องอื่นท่ต้องทำก่อน เขาลุกขึ้นก่อนจะเดินเข้าไปหาแล้วฉุดหล่อนให้เดินตามเขามา มือน้อยของหล่อนพยายามจะสะบัดออกแต่ดูเหมือนจะสู้แรงของเขาไม่ได้
                         “ปล่อยนะคุณ..นี่คุณ”หล่อนร้องโวยวายเมื่อถูกลากและพยายามยื้อไว้หล่อนทั้งตีมือเขา ทุบเขาจนในที่สุดคนที่ล้มลงไปนั่งบนพื้นนั้นกลับเป็นเจ้าหล่อนเอง  เขาจึงปล่อยมือออก ดูท่าคงจะหมดแรง ก็น่าอยู่หรอกทำงานทั้งวันแต่ยังไม่ได้กินอะไรเลย
                       “เป็นไงล่ะคุณหมดแรงเลยละสิ”เขาพูดแต่คำพูดแฝงแววเหน็บแนมไว้ซะด้วยสิ
                       "ก็เพราะคุณนั่นแหละ”หล่อนพูดออกมาท่าทางจะคุมสติไม่อยู่ซะด้วย
                      “เพราะผม”เขาทำหน้าทวนอย่างงง
                        “ก็ใช่นะสิ...ถ้าคุณไม่พยายามจะฉุดฉันฉันก็ไม่ต้องออกแรงเสียแรงมากหรอก”
                        “ฉุดคุณเหรอ..ให้ตายก็ไม่มีใครฉุดหรอกคุณ ผมแค่จะพาคุณไปทานข้าว”
                        “ก็...ก”หล่อนทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป
                         “เถียงไม่ออกเลยสิคุณ....เอ้าจะนั่งอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม”เทวินทร์อ่ยถามเมื่อเขาลุกขึ้นยืนแต่หญิงสาวไม่ลุกตาม
                         “อย่าบอกนะว่าลุกไม่ไหว”เขาส่งคำถามให้เธอ
                          “ไหวย่ะ”
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×