ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    จันทราแห่งเทวา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ก.พ. 52


    กรุงเทพฯปี 2006
                          กองบัญชาการตำรวจกำลังวุ่นวายหนัก เมื่อสารวัตรธนาได้รับข่าวที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ถึงเรื่องที่สายข่าวของเขารายงานเข้ามาว่า ตำรวจที่ทำคดีเกี่ยวกับแกงค์มาเฟียใหญ่ไม่สามารถหาหลักฐานมาเอาผิดกับนาย
     เทวินทร์ ไอศุริยสมบัติตระกูล ได้เป็นผลทำให้สารวัตรธนาถึงกับกุมขมับกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขาเป็นคนที่ห้าแล้วที่เข้ามารับผิดชอบเกี่ยวกับคดีตรงนี้ ก่อนหน้านี้ก็มีอีกหลายหน่วยที่เข้ามารับผิดชอบเรื่องของบุคคลนี้ แต่ก็ต้องถอนตัวออกไปทุกรายเนื่องจากไม่ประสบความสำเร็จในการทำงาน เพราะทางหัวหน้าแกงค์มาเฟียได้ส่งตัวบุคคลมาเก็บหลักฐานเสียเกลี้ยง ไม่เหลือให้ตามร่องรอยเลยแม้แต่เพียงน้อยจึงถือว่าเป็นงานที่ยากอยู่เอาการ ดังนั้นเขาจึงถูก
    เรียกมาที่นี้เพื่อรับผิดชอบคดีนี้เพราะทางกองบัญชาการเห็นว่าความสามารถของเขาที่ถูกทางหน่วยงานต้นสังกัดนั้นการันตีมาและเขาก็รับปากว่าจะทำงานนี้ให้สำเร็จแต่เมื่อมารับงานเข้าจริงๆเขาก็ได้เรียนรู้ว่างานนี้มันหินกว่าที่เขาคาดไว้มาก เมื่อหัวหน้าของแกงค์มาเฟียเป็นนาย เทวินทร์ ที่มีฉายาว่า ‘ ดาร์ค’ เขาเป็นมาเฟียติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกเลยทีเดียว และด้วยมีความสามารถบวกกับมีลูกน้องในอาณัติดี ทำให้กิจการงานของเขานั้นประสบความสำเร็จอย่างมาก
             “สารวัตรครับ”เสียงนายตำรวจชั้นผู้น้อยเรียกให้เขากลับคืนสติ หลังจากที่หันหน้าไปตามเสียงเรียกก็พบนายตำรวจนายหนึ่งยืนทำความเคารพก่อนที่จะเอ่ยสาสน์ที่ได้รับมอบหมายมา
             “ท่านครับ ...ท่านผู้บัญชาการต้องการพบครับ” ธนาเงยหน้าขึ้นจากกองแฟ้มเอกสารที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะพยักหน้ารับความแล้วจึงเดินตามออกไป
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนที่เสียงขานรับหลังบานประตูจะดังขึ้นเป็นการตอบรับแล้วผู้เคาะประตูจึงได้เปิดประตูเข้าไปก่อน ตามด้วยเสียงปิดประตู
             ภายในห้องสีขาวมีขนาดไม่กว้างมากมายนักแต่กระนั้นก็ยังมีโต๊ะทำงานพร้อมกับโซฟารับแขกวางอยู่ในห้องพอที่จะต้อนรับคนสักครึ่งโหลได้ หลังโต๊ะทำงานสีน้ำตาลไม้มะฮอกกานีนั้นมีเก้าอี้ทำงานที่มีพนักสูงสีเทาอยู่แต่เก้าอี้ตัวนั้นกลับหันไปอีกทาง  ซึ่งหันด้านพนักอันสูงใหญ่ให้ผู้มาเยือน สักพักบุคคลที่นั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นก็หันมาก่อนจะเชื้อเชิญแขกผู้มาเยือนนั่งลงอย่างตามสบาย
            “เชิญนั่งสิ สารวัตรธนา”เจ้าของห้องเอ่ยเชื้อเชิญอย่าเต็มยศ ธนามองที่เก้าอี้ที่มือผู้บัญชาการเอ่ยถึงอย่างอึกอักก่อนที่จะนั่งลงอย่างจำยอม เบื้องหน้าเขาคือบุรุษที่ได้ตำแหน่งผู้บัญชาการ ถึงแม้เขาจะคุ้นเคยกับคนใหญ่คนโตแต่กระนั้นบุคคลผู้นี้นั้นก็น่าเกรงขามอย่างยิ่งท่านผู้บัญชาการเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ย
              “สารวัตรธนา เรื่องคดีนั้นไปถึงไหนแล้วล่ะ”
              “เอ่อ...เรื่องนั้น..คือว่า”เขาอึกอักไม่รู้จะตอบว่ากระไร
              “เอ่ออ่าอะไรกันหรือ”ท่านผู้บัญชาการกล่าวอีกครั้งคราวนี้มีท่าทีรุกเร้าเอาคำตอบ
               “คือว่า...”
               “ดูเหมือนว่าจะคืบหน้าไปไม่ถึงไหนเลยนี่”
               “เอ่อ..ครับ”เขาจำยอมต้องตอบในที่สุด
               “ งั้นผมมีข้อเสนอให้คุณ”
     
           :  ลอนดอน      11นาฬิกาตามเวลาในประเทศไทย
                   กริ๊งๆๆ 
               เสียงโทรศัพท์ที่น่ารำคาญดังขึ้นสักพัก ก่อนที่เจ้าของจะรับมันขึ้นอย่างไม่ค่อยจะใส่ใจนักแล้วจึงกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์เมื่อรู้ว่าผู้พูดเป็นใครจึงเปลี่ยนท่าทีและน้ำเสียงทันที สักพักเมื่อสารถูกส่งแล้วนั้นเจ้าโทรศัพท์ก็ได้ถูกวางกลับที่เดิมที่มันเคยอยู่ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองทั้งตัวลงบนโซฟาสีเทาขุ่นก่อนจะเสยผมของตนเผยให้เห็นนัยน์ตาสีดำแกมน้ำตาลของเจ้าตัว เขาเป็นบุรุษร่างสูงอย่างคนอังกฤษ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นลูกครึ่งไทยอังกฤษแต่เขาก็ได้ลักษณะของพ่อมามากกว่าเสียอีก
              ครืด! เสียงประตูห้องน้ำเปิดออกมาก่อนที่จะตามด้วยร่างบางของหญิงสาวที่อยุ่ในชุดนอนลายทางสีม่วงอ่อนพร้อมกับผ้าคลุมที่ศรีษะ หล่อนมีผมสีดำ ตาออกสีน้ำตาลดำ รูปร่างสูงผิวขาวอย่างคนเอเชีย  มือบางเล็กของเจ้าหล่อนกำลังขยี้ผ้าบนศรีษะพร้อมกับเช็ดผมให้แห้งหลังจากการสระผม
              “ใครโทรมา”หญิงสาวถามผู้รับโทรศัพท์  บุรุษหนุ่มเงยหน้ามองหญิงสาวที่เข้ามาก่อนจะตอบ
               “คุณลุงธนา”ชายผู้นั้นตอบทำให้หญิงสาวถึงกับฉงนเมื่อผู้มีศักดิ์เป็นลุงโทรมา
               “แล้วไง”หล่อนถามขณะที่นั่งลงบนโซฟาพลางกดรีโมทเปลี่ยนช่องทีวีจากรายการโฆษนาสินค้าเป็นข่าวที่ดูจะมีสาระกว่า
               “ผมรู้ว่าพี่ไม่อยากจะกลับไปที่ประเทศไทย...แต่คุณลุงอยากให้เราไป   ช่วย”
             ผู้เป็นน้องหันกลับมาเอ่ยกับพี่สาวที่มีท่าทีเฉยเมยกับข่าวที่ได้รับ   เขารู้ว่าพี่ไม่อยากกลับประเทศไทยเพราะพวกเขาสองพี่น้องมีอดีตที่ไม่ค่อยดีนัก มีความทรงจำที่ไม่ดีเท่าไรเกี่ยวที่แห่งนั้น พวกเขากำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เขาอายุ10ปีและพี่สาวอายุ15ปีตั้งแต่นั้นมาคุณลุงก็รับอุปการะเลี้ยงดูพวกเขามาตลอด จนพวกเขามาเรียนที่อังกฤษและได้ทำงานเป็นหน่วยราชการลับของอังกฤษตั้งแต่ตอนนั้นมาทั้งเขาและพี่ก็ไม่ได้กลับไปที่ประเทศไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว
                  “พี่ครับ..”เขาพูดด้วยเสียงออดอ้อน
               ชายหนุ่มอ้อนวอนพี่สาวของตน แต่ก็เหมือนหมดหวังเมื่อพี่สาวทำท่าทีจะไม่ไปก่อนจะลุกขึ้นอย่างหัวเสียกับความดื้อรั้นของพี่สาวตัวเองแต่ไม่นานก็มีเสียงเรียกของหญิงสาวดังขึ้นดึงความสนใจของชายหนุ่ม
                  “พอทำงานเสร็จแล้วต้องบินกลับมาทันทีนะ”เธอเอ่ย
    ชายหนุ่มกันมาทางพี่สาวของตนก่อนจะเอ่ยอย่างงง
                  “แล้วตกลงพี่จะไปหรือไม่ไปกันแน่เนี่ย”เขาพูดอย่างงุนงงกับอารมณ์ของพี่สาว
                  “ก็ต้องไปแหงสิ...คุณลุงขอร้องเชียวนะ..อีกอย่างต้องตามไปคุมแกเดี๋ยวพาสาวที่ไหนไม่รู้เข้าบ้านฉันขี้เกียจไล่อีก”
                หล่อนพูดแล้วกดรีโมทปิดดังฉับแล้วเดินเข้าห้องนอนไป ทำให้น้องนั้นต้องถอนหายใจดังเฮือกก่อนเปรย
               “อารมณ์แปรปวนบ่อยจังแฮะ...สงสารพี่เขยในอนาคตของเราเสียจริง”
          แต่ถึงเขาจะพูดอย่างนั้นแต่เขาก็ไม่เคยเห็นพี่พูดถึงชายใดสักคนถ้าจะพูดให้ถูกเพื่อนชายที่จะคบด้วยยังไม่มีเลยเห็นจะมีแต่เขากระมังที่พาผู้หญิงเข้าบ้านมาไม่ซ้ำหน้าจนพี่ต้องค่อยไล่พวกที่ตามตอแยเขาเรื่อย
     
     
     
     
               :  บาร์เหล้าย่านรัชดา
                   บาร์เทนเดอร์ในชุดสีดำสนิทผสมเครื่องดื่มก่อนที่จะเทของเหลวสีแดงข้นลงในแก้วไวน์สีไสแล้วส่งให้บุรุษในชุดสูทขาวที่รอมาสักพัก ก่อนที่ชายผู้นั้นจะยกแก้วจรดริมฝีปากแล้วค่อยๆลิ้มรสวิสกี้ชั้นเยี่ยมที่สั่งมาอย่างสบายอารมณ์แล้วดูการแสดงที่ทางร้านจัดมาบริการลูกค้าอย่างคับคั่ง แม้กระทั่งหญิงสาวที่ทางร้านจ้างมาเพื่อบริการลูกค้าเป็นพิเศษก็ยังเดินยั่วล่อตาลอ่ใจ แต่กระนั้นบุรษหนุ่มก็หาได้สนใจไหม แต่ดวงตากลับจ้องไปที่บุคคลที่พึ่งจะเดินเข้ามาในร้านเมื่อสักครู่ เขาคนนั้นเป็นบุรุษร่างสูงผิวคล้ำดำแดงอย่างคนเอเชีย ดวงหน้าคมคาย สวมชุดสูทสีดำสนิท ริมฝีปากได้รูปกำลังเอ่ยสั่งงานผู้ติดตามอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินเข้ามาใกล้บาร์เหล้าที่มีบุรุษชุดขาวอยู่ เมื่อเข้ามาถึงบริเวณบาร์เหล้าก็สั่งเครื่องอื่มจากบาร์เทนเดอร์สักพักเครื่องดื่มที่สั่งก็ถูกส่งให้ที่มือก่อนที่ชายคนนั้นจะยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดแก้ว ทำให้บุรุษในชุดขาวถึงกับเลิกคิ้วกับอาการของผู้มาถึงก่อนจะเอ่ยคำถามแย็บเข้าไป
                 “อกหักหรืออย่างไรกันคุณ ดำ”
    บุคคลในชุดสูทสีดำเงยหน้าขึ้นมองก่อนจะขมวดคิ้วแล้วตอบอย่างไม่สบอารมณ์
                 “แกอย่ามากวนประสาทฉันตอนนี้...อารมณ์ไม่ดี”
    แต่กระนั้นความกวนประสาทของคนตรงหน้าก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่เพียงน้อยกลับยิ่งชอบใจเมื่อได้ป่วนคนตรงหน้า
                  “แค่เรื่องผู้หญิงผมหาให้ก็ได้มั้งครับ”เขาพูดก่อนจะวางแก้วไวน์ลงแล้วหันมาทางบุรุษคู่สนทนาก่อนจะยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ คนถูกถามเมื่อเจออย่างนั้นก็ชักคันไม้คันมืออยากจะซัดคนตรงหน้าสักสองสามป้าบให้สาสามกับความกวนประสาทปนอวัยวะเบื้องล่าง ของมันแต่ก็ยังยั้งมือไว้ได้ ถึงอย่างนั้นก็เถอะถ้าหากเขาลงมือหมอนั่นก็หลบได้อยู่ดี มันก็จะเปลืองแรงโดยเปล่า
                   “แล้วเรื่องว่าอย่างไรล่ะครับ”ชายชุดขาวเอ่ยถามน้ำเสียงจริงจัง จนทำให้ชายที่ถูกเรียกว่าดำเงยหน้าขึ้นมองคนถามก่อนถอนหายใจ ถึงแม้มันจะดูไม่ค่อยจริงจังสักเท่าไหร่แต่เวลามันทำงานมันก็ไม่ได้ทำอย่างเล่น มันจริงจังทุกงานที่ได้รับมอบหมายจนกลายเป็นคนสนิทของนายได้ มันพาตัวเองขึ้นจากลูกน้องปลายแถว จนขึ้นมาระดับมือซ้ายได้ภายในเวลาไม่นานเนื่องจากความสามารถของมันเองโดยแท้ ฝีมือมันร้ายกาจไม่ใช่น้อย แม้แต่เขาก็ยอมรับฝีมือมันไม่ใช่น้อย แต่มันยังขาดประสบการณ์นี้คือสิ่งที่เขาเป็นต่อมันอยู่แต่ไม่นานมันจะก้าวขึ้นมา
                    “ว่ายังไงครับ”เสียงถามอย่างรุกเร้าต้องการคำตอบดังขึ้นอีกครั้งทำให้บุรุษนามพยัคฆ์ดำตื่นจากห้วงคิดแล้วตอบคำถาม
                    “เรื่องอื่นแกไม่ต้องห่วง...ดูแลนายให้ดีเป็นพอ”เขาเอ่ยตัดบทแต่ก็ยังมีเสียงค้านจากผู้รอคำตอบ
                    “เรื่องนั้นผมรู้แล้ว...แต่ที่ผมถามหมายถึงสถานการณ์ตอนนี้ต่างหากเล่า”เขาถามอีกครั้งคราวนี้เสียงออกจะห้วนๆเสียด้วย
                   “แกไม่ต้องรู้หรอกไอ้ขาว”บุรุษนามพยัคฆ์ดำบอกอีกครั้ง
                   “ไม่”
                แต่ก็มีเสียงสวนทันควันของคนตรงหน้า ทำให้เขาต้องเหลียวกลับไปมองไอ้คนดื่อด้านนั้น แต่พอหันกลับไปกลับเจอแววตามุ่งมั่นแรงกล้าของมัน บวกกับความใจอ่อนของตัวเขาเองถึงมันจะไม่ค่อยจริงจังและขาดประสบการณ์ แต่มันก็ถือเป็นรุ่นน้องที่เขาเอ็นดู อยู่ไม่น้อยเลยก็ว่าได้ ก่อนที่จะถอนหายใจแล้วค่อยขยับริมฝีปากเผยความ
                  “ตำรวจเริ่มขยับใกล็เข้ามาขึ้นเรื่อย เจ้าพวก วินเซนต์ ก็เริ่มรุกเข้ามาบ้าง แกต้องจับตานายให้ดี อย่าให้นายคลาดสายตาคราวนี้นายกลับมาต้องเพิ่มความระวังเป็นอีกเท่าตัว มิเช่นนั้นนอกจาก วินเซนต์แล้วตำรวจก็ต้องระวัง”
    บุรุษนามมังการขาวม่นคิ้วอย่างฉงนก่อนจะเอ่ยถามบุรุษนามพยัคฆ์ดำข้างๆ
                   “ตำรวจไม่น่าเข้าใกล้เรามาได้ขนาดนี้....มันต้องมีเรื่องอะไรแน่”
    ชายหนุ่มในชุดสูทดำเผยรอยยิ้มเหี้ยมก่อนจะเอ่ยอย่างเบาสุดเพื่อไม่ให้ใครนอกจากพวกเขาได้ยิน
                   “มีคนเข้ามารับงานใหม่แทน....คราวนี้มีฝีมือมากกว่าเก่าไม่ยอมให้เราหลอกง่ายๆ…..”
                 เขาค่อยๆเบาเสียงลงก่อนจะเงียบไป ทั้งสองตอนนี้อยู่ในความสงบก่อนที่บุรุษนามมังกรขาวจะเดินออกจากร้านไปเสียเฉยทิ้งให้ชายอีกคนยืนอยู่ที่เคาร์เตอร์อยางเดียวดาย
                         ภายนอกร้านแม้จะมีแสงไฟตามร้านขายของแต่กระนั้นก็ไม่สามารถทำให้มองเห็นอะไรได้มากมายนัก มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เดินตามท้องถนนที่มีแสงไฟสลัวๆเพราะนอกจากจะน่ากลัวแล้วยังมีอันตรายต่อชีวิตอีกด้วย แต่เรื่องพวกนั้นก็หาได้เป็นอุปสรรคต่อบุคคลที่กำลังเดินอยู่ในขณะนี้ไม่ ชายหนุ่มหน้าตาคมคาย ผิวขาวที่อาจเรียกได้ว่าซีดเซียวดูกลมกลืนกับชุดสูทที่เขาใส ผมที่โทนออกจะน้ำตาลทอง กับดวงตาสีฟ้าทำให้เข้าดูมีเสน่ห์เมื่อต้องแสงไปสลัวยามราตรี บุคคลผู้นั้นเดินไปเรื่อยตามถนนสักพักก่อนที่จะเลี้ยวเข้าซอยที่เป็นตรอกแคบแห่งหนึ่ง
                         เสียงฝีเท้าหยุดลงพร้อมกับร่างของบุรุษในชุดขาวยืนสงบนิ่ง สักพักเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าอีกประมาณสองถึงสามคู่ย้ำมาด้านหลังก่อนจะรู้สึกว่ามีอะไรมาดุนอยู่ที่หลังเขา แล้วจึงมีเสียงแหบๆดังขึ้นข้างหลัง
                   “ถ้าไม่อยากตายก็ตอบคำถามมา”เสียงแหบพร่าหยุดสักพักเพื่อรอคำตอบจากเขา แต่เมื่อไม่ได้ยินเสียงใดตอบกลับมาจากปากของเขามันก็เริ่มที่จะขู่อีกครั้งแต่คราวนี้มันมีเสียงลูกน้องสมทบด้วยอีก
                   “เฮ้ย..ตอบสิวะอยากตายหรือไง”หมอนั่นบอกน้ำเสียงกระโชก
    เขาเพียงเผยรอยยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากก่อนจะเอ่ย
                   “ฉันไม่มีอะไรจะบอกแกว่ะ...แน่จริงเอาไอ้วินเซนต์มาคุยกันดีกว่า พวกลูกกระจ๊อกอยางแกคุยไปก็เสียเวลา”เขาพูดแล้วหัวเราะอย่างสบายอารมณ์
                   “หนอยแก!”มันพูดอย่างอารมณ์เสียก่อนจะใช้สันมือทุบที่ตนคอ
    แต่ชายหนุ่มยกเท้าขึ้นเตะทำให้กระบอกปืนที่อยู่ในมือหล่นก่อนจะยกขาอีกข้างเตะเข้าที่ก้านคอของมันทำให้มันล้มกลิ้งไปที่ แต่กระนั้นมันก็ยังไม่สลบกลับค่อยลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเลก่อนจะยกมือสั่งให้ลูกน้องที่เหลือเข้าโจมตี ยังไม่ทันที่พวกคนชุดดำจะวิ่งกรูเข้ามาเขาก็ชักปืนออกมาจากข้างตัวออกมาก่อนจะกราดยิงแต่ละนัดไปที่เจ้าพวกนั้น เสียงปืนดัง ขึ้นสามนัดก่อนที่จะเงียบลงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะคงเหลือแต่เพียง เสียงโอดครวญที่ดังแว่วมาเป็นระยะก่อนจะหายลับไปเมื่อบุรุษนามมังกรขาวเดินจากไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×