ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fanfic]Bleach:Soul Reaper Revelation

    ลำดับตอนที่ #6 : *Season 1*Episode 6: Some thing that can't tell you

    • อัปเดตล่าสุด 5 มี.ค. 52


     

    ชายหนุ่มผมสีอบอุ่น ดวงตาสีฟ้าที่รับกับใบหน้าเหมือนคนอังกฤษ จนยากจะเชื่อว่านี่คือคนญี่ปุ่นครึ่งหนึ่ง และอีกคนเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างแบบนางแบบหลุดมาจากนิตยสาร

     

                “ยูกิ!!!

     

    อิจิโกะเอ๋อเหรอไปทันทีเมื่อมกุฎราชกุมารใช้ดาบฟันวิญญาณเขาได้อย่างอิสระเสรี รวมถึงเทคนิคธรรมดาแต่กลับทำให้ปีศาจหายไป ซึ่งถือว่าน่าทึ่ง เพราะดาบฟันวิญญาณมักจะปฏิบัติตามเจ้าของเสมอ เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเชื่อฟังคำสั่งของผู้อื่น

     

                “ทำไมนายถึง”ลูเคียที่เห็นเหตุการณ์ก็ถามเช่นกัน เพราะเธอก็สงสัยเรื่องดาบฟันวิญญาณ “ทำให้ซันเงสึเชื่อฟังได้”

     

    เซนริไม่ตอบ แต่เขามองไปที่ดาบโซเดะโนะชิรายูกิ มันขยับแล้วลอยเข้ามาในมือของเขา จากนั้นก็ไปเสียบเข้าฝักของยมทูตสาวอย่างแม่นยำและนุ่มนวล

     

                “ความสามารถติดตัว”เขาพูดสั้นๆ “ฉันควบคุมอาวุธทุกอย่างได้ทุกชนิด”

     

                “แต่ว่าผมอยากถามอะไรหน่อยได้ไหม”ฮิตซึกายะตัดบท “อยากรู้ว่าทำไมปีศาจที่พวกนายว่าถึงหลุดออกมาจากจักรวรรดิได้ล่ะ”

     

     

     

    หลังเลิกเรียน ช่วงเวลาที่หลายคนเตรียมอ่านหนังสือจะสอบช่วงปลายภาคเรียนแรก กระเป๋าถูกเก็บอย่างรวดเร็วเนื่องจากต้องการแบ่งเวลาในการไปทำกิจกรรมได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสม แต่ว่ากลับมีกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะรีบกลับไปอ่านหนังสือ แต่จริงๆแล้วมีเรื่องอะไรที่มากกว่านั้นต้องคุยกัน เพราะต่างคนต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ว่า น่าจะลองไปคุยที่บ้านอิจิโกะจะได้บังหน้าว่ามาติวหนังสือที่บ้านเพื่อนกัน และชวนเพื่อนมาติวหนังสือด้วย และพ่อของอิจิโกะคงจะไม่ว่าอะไร ส่วนยูซึกับคารินคงกระตือรือร้นกันน่าดู

     

    พวกเขาขอให้เซนริ ยูกิ และคาอินมาเจอกันที่หน้าโรงเรียนหลังเลิกเรียนเสร็จ สามคนนี้มีงานของจักรวรรดิที่ต้องทำจึงสามารถเข้าๆออกๆตามที่ต่างๆได้โดยไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่ออกจะแปลกไปซักนิดเพราะว่า...

     

                “ทำไมถึงมีแต่คนจ้องเราล่ะ”ยูมิจิกะถามขึ้นคนแรกหลังจากที่พวกเขากำลังเดินไปยังบ้านของอิจิโกะกัน แต่ปรากฎว่าแค่เดินก็มีแต่สายตาญี่ปุ่นทุกคนมองมายังกลุ่มพวกเขาเป็นตาเดียว แล้วจ้องตาไม่กระพริบ “สงสัยเขาจะลงเสน่ห์ฉันซะแล้วมั้ง”

     

                “ฉันว่าไม่นะ ยูมิจิกะ”รันงิคุปฏิเสธทันขวัน แล้วพยักเพยิดไปทางด้านหลังซึ่งมีสมาชิกใหม่อีกสามคนตามมาติดๆ “ถ้าจะให้พูดฉันว่า คงจ้องสามคนนั้นมากกว่านะ”

     

                “ชิส์ หน้าตาดีจนน่าอิจฉา”เร็นจิบ่นอุบ ขณะที่คิระตบไหล่เพื่อนสมัยเรียนอย่างปลอบใจและปลงกับชะตาตัวเองที่เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ก็ยังดีที่ได้เป็นรองหัวหน้าหน่วยที่6 จะได้ไม่ดูเป็นหมาวัดเท่าไหร่ ส่วนคนที่ถูกอิจฉาเองก็ไม่ได้มีท่าทีดีใจ เพราะคาอินแค่เดินคุยตามประสาเด็กวัยรุ่นอารมณ์ดี ไม่สนใจสายตาที่มอง ส่วนเซนริก็เดินไปมีสีหน้าครุ่นคิดไป ส่วนยูกิเดินไปอ่านหนังสือไป ไม่สนใจสายตาของใครก็ตามที่อยู่บริเวณโดยรอบจ้องมาราวกับจะพุ่งเข้าไปหาให้ได้ แต่เพราะพลังบางอย่างทำให้รู้สึกเคารพยำเกรงอย่างน่าประหลาด

     

    การเดินทางกลับบ้านโดยมีสายตาประชาชีจ้องไปตลอดทางดูแปลกกว่าที่คิด จนกระทั่งพวกเขามาถึงโรงเรียนประถมคาราคุระมินามิที่ยูซึและคารินเรียนอยู่ แต่เวลานี้คงจะกลับบ้านกันหมดแล้ว และเดินไปอีกนั้นก็เป็นประตูบ้านมีกำแพงอิฐสีขาวอยู่

     

                “ว้าว บ้านนายน่าอยู่นะ”คาอินทัก ส่วนเซนริหยุดคิด ยูกิเงยหน้าจากหนังสือ แล้วมองไปที่บ้านขนาดกลางไม่ใหญ่ไม่เล็ก แต่มีต้นไม้ปลูกและลมพัดเย็นสบาย ในความคิดของสามคนนี้ค่อนข้างน่าอยู่มากทีเดียว “อย่างน้อยมันก็ไม่ได้อากาศหนาวปานจะแข็งเหมือนบ้านพวกฉันน่ะ”

     

                “เหอะๆ แต่ป๋าน่ะน่ารำคาญรู้รึเปล่า”อิจิโกะหันมาแก้ไขทุกอย่างทันที เพราะสำหรับเขาบ้านนี้ไม่น่าอยู่เอาเสียเลย พอเซนริมองคนอื่นๆเป็นเชิงถามว่า จริงหรือ แต่ละคนก็ส่ายหัวบอกว่าไม่รู้ด้วย ส่วนยูกิมีสีหน้านิ่งเฉยจนเย็นชา ไม่รู้สึกรู้สาอะไร อิจิโกะเข้าไปในบ้านแล้วเปิดประตู แต่ไม่ทันไรที่ลูกบิดประตูจะถูกบิดโดยเด็กหนุ่มสมาชิกในบ้าน มันก็ถูกเปิดผางออกอย่างแรง ส่วนพวกลูเคียมีสีหน้าราวกับบอกว่า มันเอาอีกแล้ว ขณะที่เซนริ ยูกิ คาอินมองตาไม่กระพริบ

     

                “ไง ไอลูกบ้า กลับมาไม่ทันเวลา ต้องอดข้าวเย็นนนนนน”อิชชินนั่นเอง เขากระโดดถีบลูกชายเข้าให้เต็มรัก คาอินอ้าปากค้างทันที แล้วขยี้ตาเพื่อให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป

     

                “โอ๊ยป๋า วันนี้มีแขกมา โอ๊ย”คนถูกถีบร้องโวยเป็นการใหญ่ทำให้คนถีบชะงักค้างกลางอากาศ แล้วมองมายังแขกที่ว่า

     

    คาอินนั้นช๊อคไปเรียบร้อย

     

    เซนริยืนจ้องแล้วมองด้วยสายตายากบรรยาย

     

    ส่วนยูกิจ้องตาไม่กระพริบ

     

                “เอ่อ... สวัสดีครับ”หัวหน้าราชองครักษ์พยายามหาคำทักทายเท่าที่คิดออกได้ พลางยิ้มเจื่อนๆให้เนื่องจากไม่ทันตั้งตัวกับการทักทายแบบนี้ “คุณคือพ่อของ... เอ่อ อิจิโกะใช่มั้ยครับ ผมเป็นเอ่อ... รุ่นพี่จากโรงเรียนที่จะมารวมชั่วคราวกับร.ร.ของพวกอิจิโกะ ชื่อคาอิน เซ็ทสึครัล วันนี้กะจะแวะมาเที่ยวบ้านและช่วยอธิบายการบ้าน”

     

    คำทักทายที่ฟังแล้วเนียนสุดๆทำให้แต่ละคนยอมซูฮก

     

                “ฮายาเตะ เซนริครับคุณลุง”

     

                “ยูกิ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”

     

    อีกสองคนเลยตามน้ำตาม เซนริและยูกิก้มหัวให้อีกฝ่ายเป็นมารยาท ส่วนอิชชินตะลึงไปเรียบร้อยเมื่อเห็นหน้าตาที่เหลือจินตนาการ

     

                “คุณพ่อค้า พี่ค้า ลูเคียจัง กินข้าว เอ๊ะ พาใครมาด้วยน่ะ”ยูซึวิ่งออกมาจากบ้านทั้งๆที่ในมือก็ถือตะหลิวค้างไว้อยู่แต่พอเห็นแขกที่ว่า ก็ถึงกับตกตะลึงไปอีกคน

     

                “คะ คนอะไรทำไมหล่องี้เนี่ย!!!!

     

    อ้าว ค้างไปสอง

     

                “ยูซึ ป๋า มัวเหม่ออะไรอยู่”คารินรายสุดท้าย และเป็นอย่างที่คิด เพราะข๊อคไปอีกคน

     

    ค้างสาม สรุป... มันจะได้คุยกันมั้ยเนี่ย?!

     

     

                “ต้องขอโทษจริงๆค่ะที่เสียมารยาท”ยูซึก้มหัวขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ สำหรับคนญี่ปุ่นแล้ว การจ้องหน้าคนอื่นเป็นการกระทำที่เสียมารยาทอย่างมาก หลังจากที่เรียกสติกลับคืนแล้วเชิญแขกทุกคนเข้ามาในห้องนั่งเล่นเรียบร้อย พร้อมจัดแจงหาน้ำมาให้ด้วย แต่ละคนนั่งกันอยู่บนโซฟา แล้วหยิบหนังสือเรียนมาตั้งวางไว้

     

    คาอินยกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

     

                “แหะๆ อย่างไงก็ขอรบกวนด้วยละกันนา”

     

                “ค่า”

     

    แล้วยูซึก็กระวีกระวาดออกไปจัดโต๊ะอาหารต่อ เพราะเหล่าสมาชิกในบ้านนี้คะยั้นคะยอเชิญให้ทานข้าวด้วย อิชชินแยกตัวไปทำงานเรื่องจัดยาให้คนไข้ในคลีนิคต่อ คารินมานั่งอยู่กับพวกพี่ๆทุกคนแล้วมองแต่ละคนด้วยสายตาแปลกๆ ราวกับรู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

     

                “พี่อิจจิ สาบานได้นะว่าเพื่อนพี่อิจจิเป็นคนธรรมดา”คนเป็นน้องสาวถามด้วยความไม่มั่นใจแล้วมองสำรวจไปทีละคน

     

    สัก สวมเสื้อนักเรียนรัดติ้ว (รันงิคุ) ฮิตซึกายะ โกร๋น มาสคาร่า หน้าเป็นเด็กติดยา นอกนั้นก็ปกติหมด ยกเว้นอีกสามคนที่มันจะหน้าตาดีผิดมนุษย์เกินไปรึเปล่า

     

    นี่พี่เรามีรสนิยมคบเพื่อนแบบนี้หรอเนี่ย???

     

                “คนธรรมดาจริงๆจ้า”ฮินาโมริที่ดูปกติสุดๆนอกจากลูเคียยิ้มสดใสให้กับเด็กหญิง คารินพยักหน้าหงึกอย่างไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แล้วก็มองไปที่อีกสามคนที่บอกว่าเป็นรุ่นพี่ที่พวกเขาเป็นคนช่วยแนะนำสถานที่ ให้มาลองเที่ยวบ้านแล้วมองไปทีละคน

     

    คนแรก หน้าตาหล่อ เท่าที่แนะนำมาเห็นบอกว่าเป็นประธานนักเรียน หน้าตาดีเหมือนแวมไพร์ในจินตนาการทุกคน สดใส อารมณ์ดี ใจดี สนุกสนาน เข้ากับคนได้ง่าย

     

    คนที่สอง เป็นผู้หญิง ที่... สวย เธอไม่เคยเห็นใครจะสวยได้ขนาดนี้มาก่อน สีผมก็ดูสวยกว่าคนทั่วไป ดวงตาสวยมาก ส่วนสูงยังกับนางแบบ ไม่สูงเกินไป แต่ดูดี และท่าทางนิ่งสงบใจเย็น

     

    คนที่สามที่อยากจะหยิกตัวเองแรงๆ เพราะไม่อยากเชื่อว่านี่มันโลกแห่งความเป็นจริง หล่อกว่ารูปสลักหรือเจ้าชายใดๆในโลก สง่างาม และดูอบอุ่นแฝงความอ่อนโยนในความสง่าไปตามๆกัน

     

                “พี่อิจจิมีปัญญาหาเพื่อนที่หน้าตาดีเทพขนาดนี้ได้ด้วยหรอ”

     

    ฉึก!!!!

     

                “นึกว่าจะมีแต่อันธพาลลุยซะอีก”

     

    ฉึก!!!!

     

                “ดูยังไงก็ยากจะเชื่อนะว่าจะมีคนหน้าตาดีขนาดนี้ในโลกด้วย”ยูซึเสริมแล้วยิ้มแห้งๆให้แขกทั้งสาม

     

                “ใช่ มาเทียบกับเขาแล้ว พี่อิจจิดูโหด โฉด เจ้าเล่ห์ หน้าบึ้งยังกับแมว ไร้มนุษยสัมพันธ์ หน้าตาแย่”

     

    ฉึก!!to the six power =[]=

     

    ช่วยด้วย น้องสุดที่รักมันด่าช๊านนนนนนนนนนนนนนนนนนน

     

    เร็นจิและอิกคาคุสะกดกลั้นอารมณ์ขันไม่อยู่ปล่อยก๊ากออกมาอย่างสุดจะทน แช้ด อิชิดะ โอริฮิเมะกลั้นหัวเราะจนปวดท้อง ในขณะที่ฮิตซึกายะถึงกับอมยิ้มออกมา

     

    น้องด่าสะใจเฟร่ยยยยย

     

     

                “ตกลงอยากจะถามอะไรบ้าง”คาอินนั่งลงบนพื้นห้องนอนของเด็กหนุ่มผมส้ม ตอนนี้ทุกคนมาอยู่ในห้องนี้จนหมด ดูเหมือนประชากรหนาแน่น และรอยูซึทำกับข้าวให้เสร็จก่อน (เห็นว่าตั้งใจจะทำเพิ่มสุดฝีมือ) อิจิโกะปิดล๊อคห้องให้เรียบร้อย แล้วนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือตนเอง เขานิ่งคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามออกมา

     

                “เรื่องปีศาจนั่น เป็นไปไม่ได้ที่มันจะหลุดมาง่ายๆเลย ฉันไม่เข้าใจว่ามันมาได้ไง แล้วมันต่างจากฮอลโลว์ตรงไหน เอาเป็นว่าเล่ามาให้หมดและเรื่องของพวกนายด้วย”

     

                “เอ่อ เซนริ นายประสานงานด้านนี้โดยตรง เรื่องการปกครองฉันไม่รู้เรื่อง เล่าทีดิ”แล้วคุณประธานนักเรียนก็โบ้ยงานให้เพื่อนที่มีศักดิ์เป็นว่าที่จักรพรรดิรับผิดชอบต่อไปทันที คนถูกโยนกลองให้ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรเพราะยังไงมันก็หน้าที่เขา

     

                “ตามที่บอกไปว่าเรามีการแบ่งขั้วอำนาจ ให้เป็นสองส่วนใหญ่ๆคือเทพและปีศาจ แน่นอนว่าเราก็มีเรื่องของจตุรเทพและจตุรอสูรเหมือนที่พวกนายยึดหลักตามความเชื่อ ในโลกของพวกฉันมันมีอยู่จริงๆ เป็นผู้คุ้มครองจักรวรรดิอยู่ แต่เอาเข้าจริงๆบางส่วนก็ไม่กินเส้นกัน บางคนก็เข้ากันได้ดี ซึ่งพวกที่เข้ากันได้จะเป็นราชวงศ์ของฝ่ายนั้นเรียนที่เซนต์ราฟาเอล”

     

    อธิบายชัดแจ่มแจ้งดีแฮะ

     

                “แล้วนี่นายไม่เบื่อตายหรอ เรียนกับศัตรูน่ะ”อิกคาคุถามบ้าง เพราะถ้าสมมติให้มาเรียนกับเอสปาด้า ก็คงยากที่จะอยู่ในสงบๆ

     

                “ฉันกับมกุฎราชกุมารฝ่ายนั้นยังจำเป็นต้องช่วยเหลือและคานอำนาจไม่ให้เกิดการนองเลือดอยู่ แต่โดยรวมทั้งสองฝ่ายก็มีทั้งดีและไม่ดี บ้าเลือด สารพัด แต่มกุฎราชกุมารที่เป็นเพื่อนนักเรียนเขาเป็นคนมีเหตุมีผลอยู่ ก็เลยอยู่คุยได้ แล้วบางทีเวลาเราจะปฏิบัติงานเช่น ฉันต้องไปจัดการเรื่องกบฎย่อยๆที่เกิดขึ้น ฉันก็ฝากให้เขาจดโน้ตให้ ถ้าเขาไปจัดการเรื่องงาน ฉันก็เป็นคนจดโน้ตงานให้ เป็นธรรมดา”

     

                “เดี๋ยวนะ ฉันพอจะเดาอะไรได้บ้างแล้ว”ฮิตซึกายะนึกอะไรขึ้นได้ “เคยได้ยินมาว่ามนุษย์อยู่กับปีศาจแทบไม่ได้ และจักรวรรดิก็แทบไม่มีมนุษย์แท้ๆ แสดงว่าราชวงศ์แต่ละอย่างจะไม่ใช่มนุษย์แท้ๆด้วยใช่ไหม เหมือนกับนาย และนายเป็นเผ่าพันธุ์อะไรหรือเชื้อสายอะไร ฉันว่าคงจะไม่ธรรมดา เพราะถ้าจะประสานงานกันกับปีศาจสูงๆได้ก็ต้องเป็นเผ่าพันธุ์ที่อืม ใกล้เคียงกัน”

     

                “เก่งนี่ เกือบเดาถูก”เซนริชม แต่ไม่รู้จะเรียกว่าชมได้รึเปล่าเพราะสีหน้าดูไร้ความรู้สึกเล็กน้อย เลยเหมือนพูดธรรมดาแต่ก็ดูใจดีทีเดียว “ถ้าจะให้รวมก็บวกขุนนางบางคนหรือแม้แต่หัวหน้าราชองครักษ์ก็ไม่ใช่มนุษย์แท้ๆ มันเลยเป็นสถานที่ที่พวกนายเข้าไปแล้วจะเสี่ยงถ้าเกิดไม่รู้จักใครเลย”

     

                “แล้วนาย เป็นอะไรน่ะ”แช้ดพยายามเลือกคำพูดที่ไม่ให้หมิ่นเบื้องสูงที่สุด แต่เซนริมีสีหน้าราวกับจะตอบดีมั้ย ยูกิเลยพูดขึ้นมาเบาๆว่า

     

                “อะไรคือสิ่งที่ตรงข้ามกับปีศาจ ฮายาเตะก็คือพวกนั้น แม้จะไม่ใช่แท้ๆก็ตาม แต่สายเลือดมีมากกว่า60%

     

    ตรงข้ามกับปีศาจ... ปีศาจคือความมืด ความมืดตรงข้ามกับแสงสว่าง ตัวแทนแห่งแสงสว่างคือ... เทพ เทพ!!!!!!!!!!!

     

                “สายเลือดเทพ!!!!!

     

    ทุกคนประสานเสียงออกมาพร้อมกันแต่ต้องรีบปิดปากเพราะตะโกนดังไปแล้ว ดวงตาเบิกกว้างจ้องเจ้าชายรัชทายาทที่กำลังนั่งบนพื้นเอาหลังพิงเตียงที่คนอื่นนั่งอยู่ โดยไม่ถือสาเรื่องยศศักดิ์ จริงอยู่ที่สายเลือดเทพ แต่นี่มันรูปงามเกินกว่าจะเป็นเทพ เกินกว่าคำว่าปีศาจ ก้าวข้ามขีดจำกัดทุกอย่างไปแล้ว แถมดูยังไงก็ไม่ใช่มนุษย์ ไม่มีความเป็นมนุษย์เลยซักนิด

     

                “ฉันนึกว่ามันมีแต่ในเกมส์ซะอีก”อิจิโกะบอกอย่างอึ้งๆ

     

                “เหลือเชื่อว่าจะมีอยู่จริง แต่ก็แหงล่ะ มนุษย์หน้าตาดีแบบนี้ไม่ต้องมีแข่งประกวดนายแบบแล้ว”

     

                “แล้วไงต่อ นอกจากคานอำนาจแล้ว เอ้อ จะว่าไป ราชวงศ์ไหนคนน้อยสุดน่ะ”

     

    เซนริ ยูกิ คาอินชะงักกึกในทันใด ส่วนเซนนะมีสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา แต่ละคนมองหน้ากันด้วยท่าทางคิดอะไรไม่ออก โดยเฉพาะสีหน้าของเจ้าชายนั้น มีอารมณ์ที่เจ็บปวดลึกๆชั่วแวบหนึ่งแล้วก็หายไป

     

                “เอ่อ ฉันถามอะไรผิดรึเปล่า”คิระถามอย่างไม่มั่นใจเมื่อเห็นสีหน้าแต่ละคน ซึ่งดูเหมือนจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง ความเงียบปกคลุมโดยพักใหญ่ สุดท้ายเซนนะจึงตอบมาเสียงค่อยๆราวกับไม่อยากจะตอบ

     

                “ราชวงศ์คุนะยูกิ ราชวงศ์ที่อันตรายที่สุด มีประมาณไม่ถึงสิบคน”

     

                “ห๊า ไม่ถึงสิบ!!”ลูเคียทวนคำอย่างไม่เชื่อหู เพราะปกติมันต้องเยอะกว่านี้อย่างต่ำสุดก็คือห้าสิบคน แต่ทำไมถึงไม่ถึงสิบได้ มันเกิดเรื่องอะไรรึเปล่า “ทำไมถึง...”

     

                “ราชวงศ์คุนะยูกิถูกฆาตกรรมหมู่เมื่อเกือบสิบปีก่อน”คำตอบนี้เป็นของเซนริที่ตอนนี้สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่หน้าต่าง ราวกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวที่ทำให้เขาต้องเสียเธอไป ฆาตกรรมที่เขาเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเต็มสองตา ภาพเปลวเพลิงมฤตยูที่เผาถูกสิ่งให้วอดวาย เพราะคุนะยูกิก็เคยอยู่ที่ฮอกไกโด จักรพรรดิแบ่งร่างของพระองค์ให้อยู่ที่นั่น ส่วนที่เหลือก็คือร่างจริงๆทั้งหมด ดวงตาสีฟ้าหรี่ลง เขายังจำวัตถุนั้นที่ฟันเข้าที่ร่างได้ดี มันราวกับเป็นภาพหลอนที่ยากจะลืมเลือนได้ โดยเฉพาะดวงตาสีน้ำเงินไพลินที่ฉายแววเยาะหยันซึ่งเขาเกลียดที่สุด สายตาของ... คนทรยศ

     

                “ใช่ข่าวของวันที่9ธันวาคมรึเปล่าครับ ข่าวเดียวกันรึเปล่า เพราะข่าวนั้นดังมาก เพราะเป็นการฆาตกรรมที่โหดเหี้ยมที่สุด”

     

    ยูกิพยักหน้าช้าๆราวกับตอบรับว่ามันใช่กับคำถามของอิชิดะ จนคนอื่นๆไม่กล้าตั้งคำถามขึ้นมาอีก เพราะดูท่ามันเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะถาม และพวกเขาก็ไม่อยากจะเล่าให้ฟังเท่าไหร่หรอก

     

    หลังจากที่ไม่อยากถามอะไรอีก จากการคุยเรื่องจักรวรรดิก็ต้องเปลี่ยนเป็น การคุยเรื่องการบ้านและอ่านหนังสือสอบแทน จนข้ออ้างที่ยกมาก็ดันมาใช้จริงๆ แต่ถือว่าโชคดีที่ครั้งนี้คนที่มาโลกมนุษย์เป็นคนที่เรียนชั้นมัธยมปลายปีสาม และมีการเรียนที่ค่อนข้างหนักมากพอสมควร จึงสามารถเป็นตัวช่วยได้ และท่าทีที่กดดันก็สลายไปทันที กลายเป็นเสียงพูดคุยเฮฮาในห้อง ส่วนเซนริและยูกิก็นั่งทำการบ้านไปตามเรื่อง คาอินสะสางงานของประธานนักเรียน (ยังไงซะก็คือเด็กนักเรียนอยู่วันยังค่ำ)

     

                “อะไรเนี่ย วิชาสังคมคิดจะฆ่าเด็กชัดๆ”เสียงของเร็นจิดังลั่นจนคนหลายคนหันมามอง กลุ่มที่นั่งทำวิชาสังคมมีเร็นจิ อิจิโกะ ลูเคีย ฮิตซึกายะ และฮินาโมริ

     

                “ถามว่าอะไรล่ะนั่น”อิชิดะถาม

     

                “ประเทศใดที่องค์การสหประชาชาติสำรวจแล้วว่าเป็นประเทศที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีและน่าอยู่ที่สุดในโลก 3 ปีติดกัน (ค.ศ.2000-2003) องค์การสหประชาชาติคืออะไรล่ะเนี่ยยย”

     

                “องค์การสหประชาชาติเอ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเกี่ยวกับสงครามโลกนะ”อิชิดะเริ่มจำไม่ได้ไปอีกคน (นี่ขนาดเด็กนักเรียนท๊อปอันดับหนึ่งของชั้นปี)

     

                “องค์การสหประชาชาติคือองค์การต่างๆของประเทศทั่วโลก ตั้งหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อรักษาสันติภาพ และความมั่นคงไม่ให้เกิดสงครามโลกอีก และแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคมของประชากร รวมถึงมนุษยธรรม ปัจจุบันสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา”เสียงทุ้มต่ำแลดูอ่อนโยนทว่าแฝงความมีอำนาจในน้ำเสียงนั้นอธิบาย ทุกคนหันไปมองเขา ยกเว้นคาอินและยูกิที่รู้อยู่แล้วก็ทำเรื่องของตัวเองไป

     

                “รู้ได้ไงอ๊า”ยูมิจิกะอ้าปากค้าง

     

                “ฉันเรียนตอนอยู่ม.ต้น ถ้าไม่เข้าใจก็ถามได้ไม่ว่า”

     

    พระเจ้าจ๊อตโต้ ผู้ชายอะไรใจดีโคตรๆๆๆๆๆๆ ถึงแม้จะไม่ได้ใจดีขนาดนั้นปานพ่อพระมาเกิดก็ตามที

     

                “สงครามโลก อธิบายหน่อย”แล้วก็เริ่มเกิดคำถามในที่สุด เซนริครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วอธิบาย

     

                “เอาสรุปง่ายๆละกัน ในสมัยก่อนโลกมนุษย์มันมีการล่าอาณานิคมกันก็ทำสงครามกัน มีอยู่สองครั้งที่เกิดเป็นสงครามโลก สงครามโลกครั้งที่1เกิดขึ้นเพราะรัชทายาทของออสเตรีย-ฮังการีถูกลอบสังหารโดยชาวเซอร์เบีย ก็เลยมีการทะเลาะกัน ต่อสู้กัน พวกอังกฤษ ฝรั่งเศสถือหางออสเตรีย ฮังการี ส่วนเยอรมันถือหางพวกเซอร์เบีย แล้วมีการทำสงครามขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ นี่คงเข้าใจนะ ถ้าฉันอธิบายละเอียดมันงงกว่านี้แน่ๆ”

     

    ก็เพราะยมทูตจากโซลโซไซตี้ไม่ได้เรียนเหมือนกัน จักรวรรดิจะเรียนเหมือนกับโลกมนุษย์ทุกอย่าง ดังนั้น ถ้าอธิบายละเอียดยิบๆคงไม่ต้องเข้าใจ (คนแต่งก็ขี้เกียจพิมพ์ มันย๊าวว)

     

                “ในสงครามโลกครั้งที่1 พวกเยอรมันเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ก็เลยมีการตั้งองการณ์สันนิบาตชาติ โดยให้กลุ่มประเทศที่แพ้ในสงครามต้องถูกจดสนธิสัญญาขึ้นมา โดยการชดใช้ค่าเสียหายในสงคราม เยอรมันมันเลยยากจนเข้าไป เศรษฐกิจที่นั่นตกต่ำ ครั้งนี้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ก็เลยขึ้นเป็นผู้นำและก่อสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้มีรัสเซีย และญี่ปุ่นแจมด้วย”

     

                wait a minute!!!!”อิกคาคุที่นั่งจดยิกๆตามคำอธิบายของเจ้าชายยกมือขึ้น ส่วนโอริฮิเมะก็ถามต่อ

     

                “ได้ยินว่าเป็นผู้นำทางการเมืองซึ่งคิดนโยบายเผด็จการจับมือกับใครซักคนด้วย”

     

    คาอินร้องอ๋อออกมาเพราะจำได้ว่าเป็นใคร ส่วนเซนริต้องอธิบายไปเรื่อยๆ (เซนริเป็นคนพูดเข้าใจง่าย)

     

                “ฮิตเลอร์จับมือกับเบนิโต มุโสลินี ผู้นำของอิตาลีเรื่องนโยบายการปกครองแบบเผด็จการพวกนี้เรียกตัวเองว่าฝ่ายอักษะ แล้วก่อสงครามเพราะความแค้นที่ทำให้เยอรมันเสียเปรียบอย่างรุนแรง สงครามโลกครั้งที่สองขยายวงกว้างและยาวนานกว่าสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่หนึ่งสี่ปี ครั้งที่สองกินเวลาหกปี ครั้งนี้ขยายวงกว้างมาที่เอเชียด้วย ญี่ปุ่นก็อยู่ฝ่ายอักษะ แล้วก็ประกาศยอมแพ้สงครามด้วยสาเหตุอะไรคนญี่ปุ่นควรจะรู้นะ”

     

                “ระเบิดปรมาณู”อิจิโกะตอบได้ในทันที (ถ้าแกไม่รู้ก็สมควรตายเฟร่ย)

     

                “แล้วฝ่ายอักษะก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตามเคย ครั้งนี้เลยจัดตั้งองค์การสหประชาชาติขึ้น เพราะสันนิบาตชาติทำอะไรไม่ได้ เอาแค่สงครามโลกพอ สงครามเย็นคงยาว”

     

    แต่ละคนมองหน้ากัน อืม สรุปนี่พวกเขาให้มกุฎราชกุมารมาเป็นครูรึเปล่า แต่ดูเหมือนเซนริจะไม่โกรธเท่าไหร่ เขายังเรื่อยๆอยู่แม้จะไม่ใช่คนพูดไร้สาระมาก แต่ในคำถามก็มีเกี่ยวกับ

     

                “เอ่อ มันเหมือนมีข้อนึงถามว่า ใครคือผู้นำสหภาพโซเวียตที่ประกาศอะไรประขาธิปไตยนี่แหล่ะ”ฮินาโมริมีสีหน้างุนงง เพราะเธอทำไม่ได้เลยซักกะข้อ

     

                “มิคาเอล กอร์บาชอฟ ประกาศนโยบายปฏิรูปประเทศ หรือpelestroika และนโยบายเปิดกว้างทางการเมืองคือglasnost

     

                “จำเข้าไปได้ไงเนี่ย”เร็นจิฟุบคาโต๊ะหนังสือที่เอามาตั้งเป็นโต๊ะล้อมวงได้ และแค่นี้ก็จะตายอยู่แล้ว

     

                “ถ้าไม่จำก็สอบตก”

     

                “แล้วเรื่องกำแพงเบอร์ลิน”ฮิตซึกายะสะกิดใจกับอันนี้มานานแล้ว เซนริจึงชี้ไปที่คาอินซึ่งมองมาอย่างเหรอหรา ชายหนุ่มบอกว่า นั่นแหล่ะ ถามเจ้าถิ่นสิ

     

                “อ๋อ กำแพงเบอร์ลิน ฉันยังแวะไปดูบ่อยๆ จำได้ๆ”คาอินพยักหน้า เนื่องจากเขามาจากเยอรมัน จึงสามารถรู้ได้ว่าประเทศตัวเองมีอะไร “คำถามว่าอะไรล่ะ”

     

                “เอ่อ ทำไมถึงมีการสร้างกำแพงเบอร์ลิน”

     

                “อ๋อ ง่ายยยยยย”เจ้าตัวลากยาวด้วยน้ำเสียงชวนหมั่นไส้ “ก็แค่หลังสงครามโลกครั้งที่สองก็มีสงครามเย็นแหล่ะ ระหว่างพวกประชาธิปไตย กับพวกคอมมิวนิสต์ ที่รัฐจะมีสิทธิ์เพียงผู้เดียว เพราะสงครามนั้นเยอรมันเลยแตกออกเป็นเยอรมันตะวันออกและตะวันตก เยอรมันตะวันออกคือคอมมิวนิส ใช้เมืองหลวงเดิมคือกรุงเบอร์ลิน ส่วนเยอรมันตะวันตกเป็นประชาธิปไตยคือกรุงเบิร์น โดยมีกำแพงเบอร์ลินคั่นไว้ ไม่ให้สองฝั่งไปมาหาสู่กันได้ แต่สุดท้านผู้นำของเยอรมันตะวันตกก็ร้องขอให้เยอรมันตะวันออกเป็นประชาธิปไตย คืองี้ การปกครองอ่ะ คอมมิวนิสรัฐจะเป็นเจ้าของทุกๆอย่าง ประชาชนไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเลย มันเลยพัฒนาช้าต่างจากประชาธิปไตย แล้วผู้นำเยอรมันตะวันออกก็ยอมรับฟังเลยทำลายกำแพงเบอร์ลินวันที่3ตุลาคม พ.ศ.2533 เข้าใจแจ่มแจ้งนะ= =d

     

                “แล้วเมืองหลวงล่ะ แฟรงเฟิร์ตป่ะ”

     

                “ไม่ช่ายย เบอร์ลินต่างหาก บ้านฉันก็อยู่ที่นั่นแหล่ะ”เจ้าตัวยิ้มสดใสให้แล้วไปจัดการงานของตัวเองต่อ

     

                “เอ่อแล้ว ประเทศไหนน่าอยู่น่ะ ขอเหตุผลด้วย”คำถามตกไปอยู่ที่เซนริซึ่งเริ่มปวดหัวแต่ก็รู้สึกขันในใจอย่างไงชอบกล เพราะพวกนี้ดูซื่อๆไร้เดียงสาสุดๆ

     

                “ตอบนอร์เวย์ เพราะมีประชากร4.5ล้านคน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีจำนวน 1,500,000 บาท ประชากรอ่านออกเขียนได้100% สภาพแวดล้อมดี มลภาวะน้อย สังคมสงบ อาชญากรน้อยมาก มีเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจมั่นคง”

     

    นอร์เวย์... น่าไปเที่ยวแฮะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×