คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : *Season 1*Episode5:The thing that can't return
Episode5: Sadism Poem =[]=!!!!
“ว่าไงน้า!!!!!!!!!”เร็นจิร้องแว๊กลั่น เมื่อได้รู้ข่าวบางอย่างในหลายวันต่อมา อาทิตย์กว่าๆที่พวกราชวงศ์มาอยู่ที่นี่ก็นับว่าใช้ชีวิตได้ปกติกว่ายมทูตจากโซลโซไซตี้ทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การกิน ทุกๆสิ่งก็จัดการกันเองได้ พวกเขาถือว่าไม่น่าห่วงมากถ้าเทียบกับพวกเร็นจิที่บางทีชอบหลุดแก๊ก โดยเฉพาะอิกคาคุที่ถือดาบไม้เดินไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ที่เร็นจิมีโวยวายก็เพราะว่าจะมีงานเต้นรำเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างสองโรงเรียน แน่นอนว่าเป็นข่าวที่ตื่นเต้น สำหรับยมทูตมันไม่ใช่ เพราะพวกเขาไม่ใช่พวกที่อยู่จักรวรรดิ จึงไม่ได้เต้นรำเท่าไหร่ (อีกนัยน์หนึ่งคือเต้นไม่เป็น) และตอนนี้ทำให้เร็นจิบ่นกระปอดกระแปดจนทำให้คนๆหนึ่งเริ่มหมดความอดทน เซนนะกอดอกขยับยิ้มเหี้ยมเกรียม
“เจ้าพูดมาก ข้าจะเตะ ออกตึกเรียน
ให้ผีเฮี้ยน เสียบฉีกร่าง กระดูกทิ้ง
เอาดาบแทง ให้ไม่มี ใครพึ่งพิง
ให้เจ้าสิง เฝ้าโรงเรียน จนบ้าตาย”
กลอนที่คิดได้สดๆของเซนนะนั้น เล่นเอาแต่ละคนกลืนน้ำลายแทบไม่ลงคอ เสียบฉีกร่าง กระดูกแงะทิ้ง
“ยัยท่านหญิงโรคจิตตตต”
“นายต่างหากโรคจิต”
“เธอแหล่ะ”
“นายแหล่ะ”
“สองคนนี้เถียงกันอีกแล้ว”คาอินยิ้มน้อยๆระหว่างที่นั่งตรงหน้าต่างมองการโต้เถียงฉอดๆใส่กัน วันนี้เซนริและยูกิไม่อยู่ซักพัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องมานั่งแหง็กกับเด็กรุ่นน้องแต่ละคน เพื่อหาอะไรแก้เบื่อทำ (แต่ถ้าพูดจริงๆก็เพราะว่าพวกอิจิโกะทำการบ้านภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยขอให้ช่วย= =)
“นั่นสิน่ะครับ”อิชิดะมีสีหน้าเบื่อหน่ายเช่นกัน “ว่าแต่มันมีเรื่องอะไรกันน่ะ ถึงได้มาโวยวายเล่าอาบาราอิ”
เร็นจิหันขวับมามองด้วยสายตากินเลือดกินเนื้อ
“เราต้องเต้นรำเป็นงานปิดท้ายก่อนปิดเทอมหน้าร้อน”
“แล้ว??”
“ก็ฉันเต้นเป็นซะที่ไหนเล่า!!!!!!!!!!!!!!!”
คาอินถึงบางอ้อทันที รู้แล้วว่ามันหมายถึงเรื่องอะไร
“คาอินเต้นเป็นรึเปล่า”โอริฮิเมะถาม หลังจากที่พวกเธอมาอยู่กับพวกเขาได้ซักพักก็เริ่มชินไปเรียบร้อย และจากสรรพนามเปลี่ยนจากคุณ ลงท้ายด้วยครับ ค่ะ ก็เป็นพูดคุยธรรมดา คนถูกถามเลิกคิ้วน้อยๆ
“ของง่ายๆน่ะ”
“ห๊า ของง่ายๆ”อิกคาคุตะโกนมาอีกทำให้ทุกคนในห้องหันมาเป็นตาเดียว วันนี้พวกเขามาประชุมเรื่องงานเทศกาลโรงเรียน ซึ่งจะรวมทุกชั้นปีและทุกโรงเรียนมาด้วยกัน แต่ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือเสียงของอิกคาคุทำให้พวกเขากลายเป็นจุดสนใจยิ่งกว่าเดิม เพราะสาวๆหลายคนจ้องแต่หัวหน้าองครักษ์คนนี้แทบตลอดเวลา จนผู้ชายหลายๆคนนึกอย่างจะหล่อได้แบบนั้นบ้าง แต่ทว่าคนถูกจ้องกลับไม่สนใจและคิดอะไรทั้งนั้น
“โธ่เอ๊ย อิกคาคุ ฉันเต้นรำมาสิบปีแล้วนะ จะไปยากได้ไง”คาอินพูดไปหัวเราะไปอย่างไม่ถือสากับท่าทางแบบนั้น
“แล้วเซนริคุงและยูกิจังล่ะ”รันงิคุถามบ้าง จนคาอินแทบจะหงายหลัง ถ้าไม่จับโต๊ะทันเสียก่อน ดวงตาสีเงินสวยของชายหนุ่มเบิกกว้าง
“สองคนนั้นระดับโปร แล้วเซนริถ้าเต้นไม่เป็นจะเรียกว่าเจ้าชายได้อีกหรอ=[]=???”
“เอ่อ มันก็จริง”
แน่นอนว่าเจ้าชายต้องเรียนรู้การเข้าสังคม ต้องเต้นรำทุกอย่างเป็น พวกจักรวรรดิตามที่ได้ยินมามีวิชาเต้นรำลีลาศเป็นภาคบังคับ และยิ่งอยู่เมืองนอกเมืองนาจะต้องเต้นรำและเข้าสังคมให้เป็นด้วย เป็นคำถามที่ไม่น่าถามเอาเลยจริงๆ
“แต่เอาเข้าจริงๆ ถ้าฉันเป็นพวกนาย จะหลีกเลี่ยงยุ่งกับพวกฉันให้มากที่สุด”
ยมทูตละสายตาจากงานของตนเองมองมายังหัวหน้าราชองครักษ์ที่ดูเผินๆมันก็เด็กมัธยมปลายอยู่วันยังค่ำ แต่สีหน้าของคาอินกลับแฝงความหมายลึกลับเอาไว้
“เพราะอะไรล่ะ”อิจิโกะถามบ้าง
“การที่มนุษย์ธรรมดามาสนิทกับคนของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามจะต้องทิ้งชีวิตครึ่งหนึ่งเอาไว้ พูดง่ายๆคือเหมือนตายไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
“ฮอลโลว์พวกเราก็เจอมาแล้วเอสปาด้าก็เจอมาแล้วยังจะอะไรอีกล่ะ”อิกคาคุถามอย่างเบื่อหน่าย แต่ทว่าอีกฝ่ายส่ายหน้าวืดๆ
“ควรจะรู้ไว้ว่าจักรวรรดิมันมีข้อดีและข้อเสีย และข้อเสียก็คือ ยมทูตที่เคยเป็นมนุษย์หรือวิญญาณมนุษย์ รวมทั้งพวกที่อยู่ในเซย์เรย์เทย์ คือสิ่งมีชีวิตที่เปราะบางที่สุดในความคิดของพวกฉัน จักรวรรดิถ้าจะพูดอีกนัยน์หนึ่ง มันก็เหมือนมีทั้งโลกแห่งความตายอยู่ในนั้นด้วย ทุกอย่างเกินจินตนาการ เอาง่ายๆ อะไรที่พวกนายคิดว่าไม่มีอยู่จริง มันก็จะมีอยู่จริง”น้ำเสียงแฝงบางอย่างเอาไว้ “ส่วนเรื่องบัลลังค์ อย่าลืมว่าก็มีการแก่งแย่งชิงเหมือนกัน จนมีเหตุนองเลือดอยู่หลายครั้ง การต่อสู้ของพวกฉันต่างจากพวกนายมาก พวกนายมีดาบฟันวิญญาณ วิถีมาร ความกล้า มิตรภาพ ฮอลโลว์ เอสปาด้า ไอเซ็นเท่านั้น นั่นถือเป็นอะไรที่ง่ายไปเลยสำหรับพวกฉัน”
“นายจะบอกว่าจักรวรรดิมีเทพและปีศาจ แวมไพร์ มนุษย์หมาป่า อสูรร้าย วิญญาณร้ายสารพัดอ่ะสิ เฮ้ย ล้อเล่นน่า”เร็นจิรีบหยุดพูดเมื่อเจอสายตาแต่ละคน ทว่าคำพูดต่อมาของคาอินก็ทำให้แทบช๊อค
“มีหมดและมันยิ่งกว่านี้อีก ถ้าพวกนายเคยได้ยินเรื่องเทพสี่ทิศ และอสูรร้ายในตำราภูผามหาสมุทร ล่ะก็ นายพอจะรู้ว่าจักรวรรดิเรามีพวกนี้อยู่”
ยิ่งอธิบายยิ่งนำพาความตกใจมากให้คนที่ฟังอยู่ตลอด แล้วนึกสงสัยว่า นั่นมันโลกอะไรฟร่ะ!!??
แล้วพวกประชาชนในนั้นไม่ตายก่อนหรอ อยู่ในที่แบบนั้นน่ะ??
“เอาล่ะ ตั้งใจฟังกันหน่อย ประธานนักเรียนพวกนายเค้าจะแจ้งอะไรน่ะ”
คาอินดึงความสนใจทุกคนไปยังประธานนักเรียน พี่สาวของเคย์โงะอีกครั้ง แต่ระหว่างนั้นสีหน้าที่สดใสกลับหม่นหมองลง
ที่ฉันไม่อยากให้นายสนิทกับพวกเรามากก็มีเหตุผลอีกอย่าง เหตุผลที่พวกนางไม่เข้าใจสิ่งที่พวกฉันต้องทำ และพวกนายอาจไม่คิดหน้าคิดหลังทำให้พวกฉันพลั้งมือฆ่าพวกนายก็ได้
โลกของการปกครองที่แท้จริง เต็มไปด้วยเทพ ปีศาจ และอสูรกายซึ่งมีสายเลือดยมทูตน้อยนิด
มนุษย์ที่บอบบางอย่างพวกนาย
ไม่เข้าใจมันหรอก
ใช่แล้ว
มนุษย์นั้นแสนจะบอบบาง จนฉันยังตกใจ
“นายไม่คิดจะเข้าประชุมหรอ”เสียงหวานไร้ความอ่อนโยนถามขึ้น หญิงสาวผมสีรัตติกาลกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องเรียนดนตรีของโรงเรียนคาราคุระ กับชายหนุ่มที่รูปงามคนหนึ่ง ภาพตรงหน้าไม่ต่างจาก เทพบุตรกับนางฟ้าในห้องดนตรีที่มีแสงอบอุ่นแลดูโรแมนติก แม้คนที่อยู่ในห้องจะไม่ได้มีอารมณ์คิดแบบนั้นก็ตาม เซนรินั่งพิจาณาแกรนด์เปียโนหลังใหญ่หลังเดียวในห้องเล็กๆ ซึ่งได้รับการดูแลรักษาอย่างดี ทว่าไม่ค่อยมีใครใช้นัก
“ฉันจำเป็นต้องใช้ความคิดและแยกตัวออกมาเพราะนี่ไม่ใช่ที่ๆคุมพลังวิญญาณได้ง่ายๆเลย”อีกฝ่ายตอบ ชายหนุ่มเปิดฝาเปียโนแล้วไล่โน้ตไปเรื่อยๆ และช่วงเวลานี้ไม่มีเด็กนักเรียนเพ่นพ่านแถวนี้ ดังนั้นจึงมีอะไรให้คุยเรื่องสำคัญๆได้อย่างสบาย เขาดูจะคุ้นเคยกับเครื่องดนตรีพวกนี้ดี ดังนั้นจึงไม่ทำเครื่องดนตรีพัง แต่ดูเหมือนเขาจะเล่นเป็น ส่วนยูกิที่ยืนมองเด็กรุ่นน้องที่ซึ่งกำลังประชุมไปหัวเราะไปแล้วหรี่ตาลง
นั่นคือที่ๆเธอไม่ควรจะเข้าไป
ถ้าไม่อยากให้มนุษย์ต้องมารับรู้เรื่องของพวกเธอ
ถ้าพวกเขารับรู้
ก็คงจะทำให้ชีวิตของพวกเขามาพัวพันกับความวุ่นวายซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องรับรู้
“นายดูเย็นชากว่าเดิม เครียดที่จะต้อง ลงมือ รึไง”
ชายหนุ่มไม่ตอบยังคงดีดเปียโนด้วยท่าทางอ่านได้ยากยิ่ง เมื่อไร้คำตอบ ยูกิก็ผ่อนลมหายใจ ดวงตาทรงอำนาจแต่ไร้ชีวิตมองยังเพื่อนตัวเอง แล้วมายืนด้านหลัง
“นายเข้าใจยากจริงๆนะ ให้ตายสิ ฉันไม่รู้ว่า เธอคนนั้น รู้ใจนายได้ยังไง”หญิงสาวบิดขี้เกียจ “หน้าตาดี แต่เข้าถึงได้ยาก สมชื่อจริงๆนะ”
เสียงเปียโนหยุดลง พร้อมกับใบหน้าที่หล่อเหลากว่าเทพองค์ใดในเทพปกรณัมมองมายังคนที่พูดอยู่
“ใช่ ฉันจะต้องทวงยัยนั่นคืนแน่ เธอในตอนนี้คงทำให้ยัยนั่นหลับไหลอยู่”
ยูกิเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ใช่ ถ้ามีฉันอยู่ เธอคนนั้นจะไม่มีวันกลับคืน เธอผู้ที่สำคัญกับนายมาก แต่เพราะเรื่องเมื่อหลายปีก่อนทำให้เธอคนนั้นต้องหลับไป”
เซนริลุกขึ้นจากแกรนด์เปียโน ชายหนุ่มหันมาประจันหน้ากับหญิงสาว
“ถึงเธอจะคือยัยนั่น แต่ยังไง คนที่ฉันรัก ก็ไม่ใช่บุคลิกของเธอ แต่เป็นบุคลิกของยัยนั่น”แล้วจากนั้นก็เดินไปที่ประตูของห้อง มือที่เตรียมจะเลื่อนประตูหยุดกึก พร้อมกับใบหน้าคมคายมองมายังอีกฝ่าย
“ก็ดีนี่ มีความคิดที่เป็นเลิศ ฉันเองก็ไม่ชอบอยู่แบบนี้หรอก แต่ว่านะเซนริ ฉันคงต้องเตือนความจำนายอีกรอบ”แล้ววันถุบางอย่างก็แล่นจากยูกิมาให้เซนริ คนรับมองมัน แล้วพออ่านข้อความในนั้น ดวงตาก็ทวีความเย็นเยียบปานน้ำแข็ง ทว่าแลดูทรงอำนาจไปตามๆกัน เขากำมันแน่นราวกับจะขยำทิ้ง
“ไม่ต้องเตือนฉันก็รู้ แต่ยังไง เลือดกษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ”
แล้วเขาก็เปิดประตูออกจากห้องไปทันที ส่วนยูกิเลิกคิ้วน้อยๆ แล้วนั่งเท้าคางมองแผ่นหลังที่เดินลับสายตาจากไป สีหน้านิ่งและไร้ชีวิตของเธอนั้นฉายแววหม่นหมอง เธอมองไปมือทั้งสองข้างของตนเอง จากนั้นก็กำมันแน่น
“ใช่ นายพูดถูกเซนริ ฉันเป็นแค่สิ่งของที่ดำเนินตามแผนของ เขาเท่านั้น เขา ผู้ทำให้นายต้องสูญเสียเธอไป ฉันไม่มีความรู้สึกจริงๆหรอก ฉันไม่ใช่... เธอคนนั้น”
นายอาจพูดแรงๆใส่ฉัน แต่นายไม่ได้ตั้งใจเซนริ ความรู้สึกของนายน่ะ... มันหนักหนากว่าความรู้สึกใครก็ตามที่เคยเจออุปสรรค นายมีอุปสรรคและอดีตที่ยากจะลืมเลือน น่าเสียดายที่ฉันมันไร้ความรู้สึก เลยไม่คิดแยแสนายเหมือนเธอ
ทางด้านเซนริที่ออกมาข้างนอก ร่างสูงกำหมัดแน่น เขาไม่เคยลืม เหตุการณ์วันนั้น เรื่องราวที่ทำให้ทุกอย่างมันไม่เหมือนเดิม
ใบหน้าคมคายขบกรามแน่น ราวกับทนความเจ็บปวดในอดีตของตนเองที่นับวันยิ่งทำร้ายเขา และสิ่งที่ยูกิ ซึ่งไม่ใช่ยูกิที่แท้จริงที่เขาผูกพัน ส่งมาให้ก็ยิ่งตอกย้ำมัน
เพราะเป็นมกุฎราชกุมาร จึงไม่อาจแสดงความรู้สึกส่วนตัว เพราะเขาต้องเป็นจักรพรรดิในวันข้างหน้า เขาจึงต้องไม่ให้ความอ่อนแอรั่วไหล
ซักวัน... เขาจะต้องทวงเธอกลับมา เพื่อจักรวรรดิทั้งสี่ เพื่อให้มันเป็นเหมือนเดิม และอาจจะเพื่อนตัวเขาและหลายๆคนที่รออยู่ รอวันที่เธอคนนี้จะตื่นขึ้นมา ก่อนที่เรื่องนั้นจะมาถึง ก่อนที่มันจะสายเกินไป
เซนริรวบรวมสมาธิอีกครั้ง เพื่อกลับเข้าสู่สีหน้าปกติที่ไม่ต้องการให้ใครมารู้เรื่องภายในราชวงศ์ แต่ทว่าทันใดนั้นความรู้สึกบางอย่างก็แล่นวาบเข้ามาในจิตใจ เป็นความรู้สึกที่ต่อต้านกับสัญชาตญาณดิบของเขา ยูกิคนนั้นที่เหมือนจะรู้ได้เช่นกันเปิดประตูออกมา สีหน้าเคร่งเครียด
เวลานี้ดูจากท้องฟ้า ก็คงจะเลิกประชุมได้แล้ว และถ้ายูกิเห็นไม่ผิด พวกนั้นกำลังจะไปย่านสรรพสินค้ากันอยู่
“เก็บเรื่องนั้นไว้ก่อนละกัน”ยูกิบอกซึ่งเซนริพยักหน้าอย่างเห็นด้วย ทั้งคู่รีบออกวิ่งลงไปที่ๆพวกยมทูตจะไปทันที
ย่านสรรพสินค้าชิบุย่า
ยังคงมีเด็กวัยรุ่นแต่งตัวคอสเพลและชุดนักเรียนเดินกันให้ว่อน ทั้งผู้ใหญ่และคนทุกวัยต่างก็เดินกันขวั่กไขว่ ดังนั้นการแต่งตัวแปลกๆจึงเหมือนแฟร์ชั่นที่นี่ไปเรียบร้อย อิกคาคุ ยูมิจิกะ และรันงิคุจึงไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ส่วนคาอินขอตัวไปทำงานต่อ เพราะทางโซลโซไซตี้มีเรื่องด่วนอยากให้ช่วย ดังนั้นพวกเขาจึงมาเดินกันเอง รันงิคุ ฮินาโมริ และโอริฮิเมะเดินกันให้ว่อนเพราะมีแต่ชุดน่ารักๆกว่าที่โซลโซไซตี้หลายเท่า (ก็นั่นมันมีแต่กิโมโน) ประธานนักเรียนของพวกเขาบอกว่า จะมีการแข่งขันตอบคำถามต่างๆ จึงอยากให้หาอุปกรณ์มาช่วยประดับหน่อย รวมถึงช่วยกันทำของรางวัลอีกด้วย
“ให้ตายสิ พี่สาวเคย์โงะถ้าจะปลื้มนายสุดๆไปเลยนะอิกคาคุ”อิจิโกะหัวเราะก๊ากหลังจากยูมิจิกะเผาวีรกรรมตอนอยู่บ้านเคย์โงะให้ฟัง ว่าพี่สาวเคย์โงะที่ชื่อมิซึโฮะนั้นสุดยอดแค่ไหน จับหาชุดลายหัวใจสีแดงชมพูแป๊ด แถมชอบผู้ชายเกรียนอีก วันหนึ่งรันงิคุไปเยี่ยมบ้านก็ดันเข้าใจผิด โกรธเป็นฟืนเป็นไฟใหญ่
“แกเงียบไปเลย อิจิโกะ หลอนเฟร่ย”
แต่เร็นจิยังคงหัวเราะไม่หยุด ส่วนอิจิโกะก็พึ่งจะรู้ว่า พี่สาวเพื่อนซี้มีรสนิยมเช่นนี้นี่เอง เขาก็พึ่งจะรู้ นึกว่าจะบ้าหนังพอกันซะอีก
“เอาล่ะ พอกันก่อนเถอะ”เซนนะยกมือห้าม “ฉันคิดว่าเรารีบจัดการซื้อของแล้วรีบๆกลับกันดีกว่าน่า”คำพูดที่ทำให้ยูมิจิกะถึงกับบิดขี้เกียจด้วยความเบื่อหน่าย
“โธ่ เซนนะ เธอกังวลอะไรเล่า เห็นอนาคตอะไร”
“บอกไปคงไม่เชื่อ แต่ควรจะรีบกลับเพราะที่นี่ไม่ปลอดภัยแล้ว”
แต่ละคนยังทำหน้างงจนเซนนะได้แต่ยกมือกุมขมับด้วยท่าทางปวดหัวเต็มที่เพราะไม่รู้จะพูดยังไงดีให้เข้าใจ แต่ก็พยายามอธิบายให้มากที่สุด
“เอาน่า รีบๆซื้อเถอะ ให้เวลาชั่วโมงนึงคงพอนะ”
“โอ๊สสส”
ทุกคนชูมือร่า แล้วรีบเดินเท้าต่อไป ทว่าเด็กสาวผู้เห็นอนาคตกลับยังมีสีหน้ากระวนกระวาย เธอมองไปทางด้านหลังซอยเปลี่ยวด้วยสีหน้าไม่ไว้วางใจกับมันเลย เหมือนเธอจะเห็นว่า... มีใครอยู่ตรงนั้นซ่อนตัวเตรียมจะฆ่าได้ทุกเมื่อ และที่สำคัญ กลิ่นอายของมัน ไม่ใช่มนุษย์หรือยมทูต แต่กลิ่นอายมันเหมือนสิ่งมีชีวิตในจักรวรรดิ สิ่งมีชีวิตที่ไม่พึงประสงค์สำหรับพวกเธอ...
หลังจากทุกคนซื้อของไปได้เกือบชั่วโมงก็เริ่มเมื่อยและพักบ่อยขึ้น จนเซนนะที่อยากให้ทุกคนรีบกลับลงแทบคลั่ง เพราะมาเจอพวกนี้แล้วจะช่วยอะไรมันทำได้ยากกว่าคนในจักรวรรดิเสียอีก สงสัยคงไม่คุ้นกับเรื่องพวกนี้กัน แต่เหลือเวลาอีกไม่มากที่พลังของมันจะเพิ่มถึงขีดสุด เด็กสาวเหลือบมองนาฬิกาข้อมือทุกครั้ง
“งั้นเรากลับกันเถอะ”เสียงสวรรค์จากฮิตซึกายะทีเริ่มเบื่อหน่ายจากการช๊อปปิ้งเข้าไปทุกที ตอนนี้ในมือของเด็กหนุ่มหรือลักษณะภายนอกควรเรียกว่าเด็กชายพะรุงพะรังไปด้วยสิ่งของต่างๆนาๆจนดูเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็ก เมื่อเจอประกาษิตจากหัวหน้าหน่วยทุกคนเลยไม่กล้าหือยอมทำตามแต่โดยดี
ทั้งหมดตั้งใจจะไปขึ้นรถเมย์กลับ และต้องผ่านซอยเปลี่ยวแห่งหนึ่ง เซนนะหันซ้ายหันขวาราวกับระแวดระวังจนลูเคียถามอย่างอดไม่ได้
“มันมีอะไรหรอ”
ถึงจะเป็นซอยเปลี่ยวที่ค่อนข้างคล้ายแหล่งเสื่อมโทรมตามแบบญี่ปุ่น ทว่าพวกเธอก็มีคนที่เยอะเอาการ เจออันธพาลเอาดาบฟาดหัวโครมเดียวก็ไม่น่าจะมีอันตราย แต่ทำไมเด็กสาวผู้เห็นอนาคตคนนี้ถึงได้แต่กระวนกระวายกันนะ??
แต่ความรู้สึกที่สบายใจนั้นเข้ามาครอบคลุมมาไม่นานเมื่อความรู้สึกหนาวยะเยือกจนอยากจะอาเจียนคลืบคลานราวกับจะรัดตรึงลำคอไว้ คนแรกที่หยุดเดินคือโอริฮิเมะ ถุงข้าวของที่ซื้อไว้ถูกปล่อยทิ้งลงก่อนที่เธอจะลงไปนั่งยองๆ มือกำรอบคอแล้วพยายามสูดลมหายใจลึกๆ
“โอริฮิเมะ เป็นอะไรน่ะ”รันงิคุถามอย่างเป็นห่วง แต่เธอเริ่มรู้สึกเหมือนกัน รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบนี้น่าสะพรึงกลัว มันไม่ใช่จิตของฮอลโลว์ แต่มันดูชั่วร้ายและดำมืดมากกว่านั้น ฮิตซึกายะสำรวจไปรอบๆ เขาไม่เคยเจอความรู้สึกแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต มันคือตัวอะไรกัน... เซนนะรู้สึกถึงมันได้อย่างรวดเร็ว
มาจากข้างบน!!!!
ตึง!!!
“หลบไป!”เด็กสาวตะโกนก้องพร้อมกับแต่ละคนทิ้งของในมือแล้วกระโดดหลบกันไปคนละทิศละทาง เมื่อสิ่งมีชีวิตบางอย่างแล่นลงมาบนพื้นดินทันทีที่สิ้นเสียง
เปรี้ยง!!
ทุกคนมองไปยังต้นเสียงซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าสยดสยองที่สุดเท่าที่ทุกคนเคยเห็นมา มันเหมือนมนุษย์ แต่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าขาดวิ่นเปื้อนเลือด ทั่วทั้งตัวปกคลุมด้วยเส้นเลือดสีแดงปูดโปน ดวงตาสีแดงก่ำส่อแววกระหายเลือด มันไม่ใช่ฮอลโลว์ แต่
“ปีศาจ”เซนนะพูดเบาๆพลางกลืนน้ำลายเอื๊อกแทบไม่ลงคอ “มันหลุดมาได้ไงกัน”
“ห๊า ปีศาจหลุดออกมาจากจักรวรรดิหรอ”เร็นจิถามอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ ระหว่างที่แต่ละคนเตรียมถอดกายหยาบยมทูตออกมา ส่วนเซนนะยังคงยืนนิ่ง “นี่พวกเธอปล่อยมันมาได้ไง”
“จำที่ยูกิอธิบายไม่ได้รึไงเล่า นี่มันคนละฝ่าย เป็นศัตรูกับพวกฉัน จะไปคุมมันได้ไงเล่า”
สิ้นเสียงอีกครั้งเมื่อมันกระโจนเข้าหาเหล่ามนุษย์ ด้วยความเร็วจนเหลือเชื่อ เขี้ยวที่ยาวโค้งพุ่งเข้าหา ฮินาโมริกระโดดหลบทำให้คมเขี้ยวเฉพาะไปที่ผนังบ้านใครซักคนจนเกิดร้อยร้าว
“เสียงอะไรน่ะ”เสียงพูดคุยในบ้านที่ถูกเจาะถามไปถามมา “ลองไปดูดีกว่า”
เซนนะตวัดสายตามองที่มัน ดวงตาสีสวยเปล่งประกายแล้วในมือก็ปรากฎเหมือนเส้นบางอย่างคล้ายริบบิ้น แต่มันเกิดจากแสงมาถักทอและมีอักษรญี่ปุ่นอยู่บนพื้นริบบิ้นนั่น มันเป็นสีม่วงตรงขอบและอักษรสีออกทอง เธอตวัดเข้าใส่ปีศาจที่เบิกตากว้างเมื่อเส้นพลังเจอเฉียดที่ปลายขา เลือดสีคล้ำก็กระจายลงมาเต็มพื้น จนที่เหลือตาค้าง
“เลือดทำไมมันสีเข้มขนาดนี้”อิชิดะพยายามควบคุมสติตนเองไม่ให้กระเจิง ส่วนเซนนะบังคับวัตถุในมือให้พุ่งเข้าโจมตีอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันรู้ทันจึงหลบได้ ปีศาจกระโดดเกาะอยู่ที่ผนังบ้านตรงท่อระบายน้ำ จากนั้นจึงพุ่งใส่ที่เหลือ
“เก็ทสึงะ เท็นโช!!!”
เขี้ยวจันทราซัดเข้าใส่ปีศาจแต่ทว่ามันหลบได้ มันกระโจนเข้าหาคนสร้างพลังดาบฟันวิญญาณ อิจิโกะเอาดาบซันเงสึตั้งรับ เมื่อมันพุ่งเข้ามาอีก ซาบิมารุของเร็นจิก็เข้าเล่นงานศัตรูซ้ำอีกที แต่ว่าอาวุธกลับถูกอสูรกายจับได้ มันกระชากดาบ
“เร็นจิ!!!”หลายเสียงประสานกัน อิจิโกะตั้งท่าจะใช้เขี้ยวจันทราอีกครั้ง แต่ทว่าปีศาจมันชะงักไปซะดื้อๆ ร่างสั่นระริก กว่าจะรู้ตัว ซันเงสึในมือก็ขยับโดยอัตโนมัติ!!! ไม่... มีมือๆหนึ่งจับที่คมดาบคล้ายมีดสปาต้า แล้วบังคับให้มันฟาดไปด้านหน้า เกิดพลังวิญญาณพุ่งออกไปและตั้งฉากตรงบริเวณที่ปีศาจอยู่พอดี มันล่าถอยไปในทันใด
“ตัวนี้เก่งไม่เบา”เสียงคุ้นหูดังขึ้น ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร ซาบิมารุของเร็นจิก็ถูกกระชากออกจากมือปีศาจ แล้วร่างของปีศาจก็สั่นระริก พลังวิญญาณที่ใสพิสุทธิ์บางอย่างกระแทกใส่มันจนมันกรีดร้องโหยหวนเดือดร้อนคนบริเวณนั้นที่ต้องยกมืออุดหูเป็นแถบแล้วก็ค่อยๆสลายไปในช่วงเวลาไม่กี่วินาที
อิจิโกะและเร็นจิมองไปยังคนช่วยเหลือ ชายหนุ่มร่างสูงสง่า ใบหน้าที่หล่อเหลาเกินกว่าจะมีอยู่จริง ดวงตาสีฟ้าเทอควอยซ์มองไปทีละคน แล้วก็รู้ได้ในทันที เพราะคนที่หน้าตาและมีสีตาสีนี้ก็มีแค่คนเดียว
“เซนริ!!!”
ความคิดเห็น