ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัวขโมยแห่งบารามอส [Baramos] The tale of happiness

    ลำดับตอนที่ #10 : Special Chapter 4 :: Bye Bye Demos

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 49




    Special Chapter 4 :: Bye Bye Demos


    ตอนพิเศษที่ ๔ :: ลาก่อนเดมอส




     

    "ทำไม...ทำไม...ทำไมฉันจะฆ่าพวกสัตว์ชั้นต่ำพวกนั้นไม่ได้!!" เฟรนเซลตวาด นัยน์ตาของเธอเริ่มเอ่อร้นไปด้วยหยาดน้ำใส "มันจะฆ่าเรา! มันจะฆ่าครอบครัวของเรา! นายได้ยินไหม! ครอบครัวของเราไปทำอะไรผิด! ไปทำอะไรผิด! ตอบ!! ตอบฉันสิ!!"



    ความเงียบคือคำตอบ ฟรานซิสหลุบนัยน์ตาลงต่ำยืนฟังเสียงสะอื้นไห้อย่างน่าอดสูของน้องสาวฝาแฝดของตน เขาไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปดี...ไม่รู้จริงๆ



    ครอบครัวของเราไปทำอะไรผิด...



    ทั้งท่านพ่อและท่านแม่ต่างก็ปกครองคาโนวาลด้วยเมตตาธรรม ท่านพ่อทรงเหน็ดเหนื่อยโหมงานหนักเพื่อประเทศและปวงประชามาโดยตลอด ภายใต้ร่มพระบารมีประชาชนต่างอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดมาเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเมื่อคราใดที่เกิดโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติร้ายแรงเกิดขึ้นทีไร ก็มักจะมีกลุ่มชนบางกลุ่มผู้กระหายอำนาจความเป็นใหญ่ปลุกระดมประชาชนกล่าวหาว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะธิดาแห่งความมืด...ธิดาแห่งความมืดเป็นผู้นำพาหายนะมาสู่เอเดน...เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไป



    ตลอดเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่มีผู้ก่อตั้งกลุ่มกบฏต่อต้านธิดาแห่งความมืด พวกเราต้องใช้ชีวิตอยู่กันอย่างระมัดระวังตัวตลอดเวลา เพราะนักฆ่าทั่วทุกสารทิศในเอเดนตั้งค่าหัวคนในครอบครัวเราไว้สูงเหลือเกิน ต่างแห่กันบุกรุกพระราชฐานส่วนในแห่งคาโนวาลเพื่อรอบสังหารคนในครอบครัวของเรา เป็นที่น่าสงสัยถึงแม้ว่าท่านพ่อจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็งถึงเพียรไร แต่ทำไมก็ยังมีนักฆ่าบางคนรอบเข้ามาได้สำเร็จ



    ต้องมีไส้ศึกเป็นคนใน...




    "เรฟ เก็บศพชายผู้นี้ให้เรียบร้อย" คำสั่งเสียงเรียบก่อนเจ้าชายคนสำคัญแห่งคาโนวาลจะเดินจากไปทิ้งไว้ให้นายนักฆ่าอยู่กับน้องสาวของตนเพียงลำพัง




    "พี่ฟรานซิสเห็นเราเป็นสัปเหร่อหรือไงเนี่ย" นายสัปเหร่อจำเป็นบ่นอุบอิบกับตัวเอง พลางเกาหัวแกรกๆ หันไปถลึงตาใส่ศพตัวต้นเหตุที่ทำให้ตนต้องเปลี่ยนอาชีพชั่วคราว "เพราะมันแท้ๆเชียว ให้ตายเถอะ!" แถมท้ายด้วยการสบถด้วยคำไม่สุภาพอีกสองสามคำ ก่อนเจ้าตัวจะเดินไปปฏิบัติภารกิจตามที่ตนได้รับมอบหมายมาสดๆร้อนๆ




    "เรฟ…" เสียงหวานแผ่วเบาเอ่ยเรียกนายนักฆ่าผมทรงอะโฟรให้หยุดฝีเท้าลงแล้วหันกลับมามอง

    "ฮะ มีอะไรให้หม่อมฉันรับใช้อีกล่ะกระหม่อม" น้ำสียงทีเล่นทีจริงตามแบบฉบับเฉพาะตัวของนายนักฆ่ารุ่นเยาว์ถูกยกขึ้นมาใช้อีกครั้ง




    "คนตระกูลเบอร์ดอส..." เฟรนเซลเกริ่นขณะค่อยๆยืดตัวยืนขึ้น "กำจัดทิ้งให้เรียบร้อยนะเข้าใจไหม" เสียงใสกล่าวนิ่งๆ ตวัดนัยน์ตาสีน้ำตาลมองมาสบประสานกับนัยน์ตาสีม่วงพราวระริก




    "ง่ะ เอาจริงหรือฮะ" นัยน์ตาม่วงฉายแววตื่นๆประกอบกับแสร้งทำหน้าเหรอหราถามออกไปทั้งๆที่รู้อยู่แกใจว่าคนตรงหน้าเอาจริงตั้งแต่แรกแล้ว หากในใจก็ยังนึกภาวนาให้เด็กหญิงตรงหน้าบอกว่าตนนั้นล้อเล่น เพราะตัวเขาเองก็ไม่ค่อยอยากรับงานนี้เท่าไหร่นักด้วยเหตุผลบางประการ อาจจะเป็นเพราะความเข้าใจในหัวอกของเพื่อนร่วมอาชีพเดียวกัน



    "ส่วนเรื่องค่าจ้าง ทำงานเสร็จเรียบร้อยค่อยมาคุยกับฉัน" คำพูดที่เปรียบเสมือนดั่งคำยืนยันจากเจ้าหญิงคนสำคัญแห่งคาโนวาล ก่อนนายนักฆ่าจะพยักหน้ารับรู้ในคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย นัยน์ตาสีม่วงฉายประกายสลดใจชั่วแวบหนึ่ง แวบเดียวเท่านั้น




    จำไว้เป็นนักฆ่าจะใจอ่อนไม่ได้...ปลิดชีวิตผู้อื่นเพื่อเงินคืออาชีพของเรา...




    คำสอนของท่านปู่ก้องกังวานอยู่ในหัวของเรฟ...ถึงแม้ท่านพ่อจะไม่เคยบอกกับเขาอย่างที่ท่านปู่บอก แต่เขาก็รู้ว่าคำสอนของท่านปู่เป็นความจริงที่ควรยอมรับในเมื่อเขาเกิดมาเป็นคนในตระกูลนักฆ่า




    ทุกคนเกิดมาต่างมีหน้าที่แตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือต้องทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด...




    สองมือของเขาแปดเปื้อนโลหิตแดงฉานตั้งแต่อายุห้าปี วิญญาณทั้งหลายที่เขาปลิดชีวิตไปบ้างก็วนเวียนรายล้อมอยู่รอบตัวเขาเพื่อรอวันที่จะล้างแค้น เขารู้ถึงจุดนี้ดี...แต่ไม่ยักจะสนใจ หน้าที่คือหน้าที่ เป็นนักฆ่าชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าต้องฆ่า




     
    "ง่า อะไรกันฮะ ถ้าผมเก็บเงินพี่ เอ๊ย! องค์หญิง ผมมีหวังโดนท่านพ่อจับไปตีก้นลายแน่ๆเลย" เรฟปั้นหน้าสยดสยองเมื่อนึกถึงวันวานที่เคยโดนพ่อของตนจับไปลงโทษ "ปรื๋อ!!" นายนักฆ่าส่ายหัวมืดเหมือนไล่ความคิดนั้นออกไป "ไม่เอาล่ะฮะ ผมทำให้ฟรีๆ"



    "คาโนวาลไม่เคยติดหนี้ใคร และจะไม่ยอมติดหนี้ใครด้วย! ทำงานเสร็จแล้วมาส่งบิลมาเก็บเงินกับฉัน" เสียงหวานใสกล่าวอย่างจริงจัง



    สายเลือดเข้มข้นของคิงคาโลคงถ่ายทอดมาสู่รุ่นลูกอย่างแท้จริง...




    เรฟสรุปในใจ เขาเคยได้ยินท่านพ่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับคิงคาโลมากมายโดยเฉพาะในเรื่องความหยิ่งในศักดิ์ศรีของคิงคาโลและวิสัยต่างๆของคาโนวาล พึ่งจะเคยมาได้ยินของจริงก็คราวนี้



    "ฮะๆ เก็บก็เก็บ แล้วองค์หญิงอย่าบ่นนะฮะถ้าผมเก็บแพง" นายนักฆ่าผมทรงอะโฟรกล่าวทีเล่นทีจริง




    ใช้ราชาศัพท์ไม่ได้เรื่อง...




    เฟรนเซลคำนึง ก่อนเจ้าตัวจะสาวเท้าไปยังศพของอดีตบุรุษผู้อาจหาร แล้วทรุดตัวลงนั่งคุกเข้าข้างหนึ่ง แบมือเรียวออกไปด้านหน้า ริมฝีปากพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะปรากฏอุปกรณ์สองชิ้นในมือเรียวนั้น




    ค้อน...กับตะปู...




    เอามาทำอะไร
    ?



    เรฟมองภาพตรงหน้าด้วยความฉงนงุนงงยิ่งนัก เขาไม่อาจคาดเดาความคิดของเจ้าหญิงคนสำคัญแห่งคาโนวาลออกเลย คิ้วเรียวสีนิลกาฬขมวดมุ่นเป็นโบขนาดย่อมๆ ไม่นานความฉงนนั้นก็เริ่มคลายลงเมื่อเฟรนเซลตรอกตะปูด้วยค้อนในมือลงบนกลางศีรษะของร่างไร้วิญญาณอันแสนน่าอนาถนั้น




    "นายเคยได้ยินไหม ความเชื่อโบราณ…" เฟรนเซลว่า "ถ้าตรอกตะปูลงบนกลางศีรษะของศพใด วิญญาณของศพนั้นจะไม่ได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย…" เธอค่อยๆเหยียดกายขึ้นตรง ก่อนสาวเท้าไปหานายนักฆ่าที่ยืนแน่นิ่งด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม




    "นายต้องทำอย่างนี้กับทุกคนในตระกูลเบอร์ดอสนะเข้าใจไหม" เฟรนเซลว่ายิ้มๆ ก่อนยื่นส่งค้อนในมือให้นายนักฆ่ารับไป "นายคงต้องไปหาตะปูเอาเองแล้วกันนะ"




    เรฟพยักหน้ารับรู้เล็กน้อย ร่างกายทั้งร่ายแข็งทื่อเหมือนถูกแช่แข็งไว้




    เขาต้องทำแบบตัวอย่างเมื่อครู่จริงๆใช่ไหม...






    แพขนตาสีเงินกระพริบถี่ๆ ก่อนค่อยๆเผยนัยน์ตาสีเทาหม่นคู่สวย เด็กชายผลุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างแช่มช้า ฉับพลันความรู้สึกปวดจี๊ดก็แวบเข้ามาในหัวจนต้องยกมือเรียวขาวซีดขึ้นกุมขมับแล้วจำใจเอนตัวลงนอนเช่นเดิม




    ตัวอุ่นๆ...ไข้ขึ้นอีกแล้วหรือเนี่ย...




    เฮ้อ...




    เด็กชายถอนหายใจเฮือกยาว ก่อนริมฝีปากเรียวจะกระตุกรอยยิ้มหยัน...รอยยิ้มที่มอบให้แก่ความน่าสมเพชของตนเอง พลางมือขาวซีดที่กำลังทาบอยู่บนขมับก็เลื่อนขึ้นไปเสยเรือนผมสีเงินยวงที่ตกลงมาปกหน้าปกตาให้หายเกะกะ




    "จวนจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว..." ออลเฟรย์พึมพำ นัยน์ตาสีเทาหม่นหมองทอแสงหม่นลงไปอีก ก่อนที่เจ้าตัวจะพลิกตัวนอนตะแคงข้างหันไปทางประตูระเบียงบานโตที่บัดนี้ถูกปิดบังโดยผ้าม่านสีขาวบริสุทธิ์ เรียวปากซีดๆขยับเหมือนบ่นอะไรขมุบขมิบในลำคอ ฉับพลัน ผ้าม่านสีขาวก็เรืองประกายแสงสีทองสว่างจ้ารูดเปิดออกจากกัน เผยให้เห็นท้องฟ้าของยามรัตติกาลผ่านทางกระจกประตูระเบียง...




    ท้องฟ้าของคืนนี้ไร้ดวงดาวและปราศจากแสงจันทร์สาดส่อง... มันทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าคืนนี้ฤกษ์เดินทางไม่ดีเอาเสียเลย มันดูเหมือน...ฝนจะตก
    !




    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
    !!



    เสียงเคาะประตูจากภายนอกห้องดังขึ้นสามครั้งอย่างผู้มีมารยาทดีพึงกระทำ เรียกให้เด็กชายเจ้าของห้องยันกายลุกขึ้นจากเตียงเป็นครั้งที่สอง หากอาการก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ออลเฟรย์นิ่วหน้ายกมือขึ้นกุมศีรษะ ก่อนค่อยๆหย่อนเท้าลงจากเตียงแล้วเดินไปเปิดประตูด้วยสีหน้าไม่ดีนัก




    ปวดหัว...




    เอี๊ยด
    !!



    "มีอะ....เหวอ!" โดยไม่ทันตั้งตัวเมื่อออลเฟรย์เปิดประตูออก ผู้มีมารยาทดีเมื่อครู่ก็จัดการรวบตัวเด็กชายแบกขึ้นพาดไหล่แล้วสาวเท้าเดินทอดน่องเอื่อยๆไปตามทางเดินยาวเหยียดโดยมีเจ้าคนถูกฉวยโอกาสอุ้มดิ้นเร่าๆอยู่บนไหล่




    "ท่านตาทำอะไรฮะ" ออลเฟรย์เริ่มโวย เขาโดนท่านตาจอมแสบของเขากลั่นแกล้งอีกแล้ว "ปล่อยนะฮะ"



    "ตาจะพาไปกินข้าว ตาสั่งให้นางกำนัลตั้งโต๊ะไว้ตั้งนานแล้ว ขืนช้าเดี๋ยวเย็นหมด" คนเป็นตาอธิบาย ปากก็ว่าขืนชักช้าอาหารจะเย็นหมด แต่ทว่าเจ้าตัวนั้นกลับเดินทอดน่องสบายๆไม่มีทีท่ารีบร้อนอะไรสักนิด...




    "มันจะเร็วกว่านี้นะฮะถ้าท่านตาปล่อยให้ผมลงเดินเอง" คนเป็นหลานเถียงต่อความอย่างไม่ยอมลดละ สีหน้าเริ่มส่อเค้าไม่พอใจน้อยๆ




    ท่านตาทำเหมือนเขาเป็นเด็กเล็กๆ...ให้ตายเถอะ
    !



    "เอ้า! อยากเดินเองก็ไม่บอก" ว่าแล้วก็ยอมปล่อยเด็กชายหัวเงินลงบนพื้นโดยสวัสดิภาพ "เจ้านี่จริงๆเลย ออลเฟรย์ บอกตาตั้งแต่แรกก็จบ" คนเป็นตาว่ายิ้มๆ มือข้างหนึ่งยกขึ้นมาขยี้หัวเงินๆตรงหน้าเล่นด้วยความเอ็นดูจนสาแก่ใจถึงยอมละมือออก หากหัวเงินๆที่ถูกประทุษร้ายกลับยุ้งเหยิงเสียรูปเสียทรง




    ฟู่
    !!




    ออลเฟรย์ผ่อนลมออกจากปากฟู่ใหญ่ ดวงหน้าขาวๆมุ่ยเบ้กึ่งไม่สบอารมณ์ "แล้วเจอกันที่โต๊ะอาหารนะฮะ" เจ้าตัวกล่าวก่อนหันกายสาวเท้าออกไปตามทางเดินที่มุ่งยังห้องอาหาร สองมือง่วนอยู่กับการจัดๆลูบๆผมให้เข้ารูปเข้าทรงหายยุ่งเหยิงตลอดทาง





    เมี๊ยว
    ~




    เสียงที่มาก่อนตัวของเจ้าแมวน้อยขนสีขาวปุกปุย พร้อมกระโจนเข้าหาเจ้าของแสนรักเข้าอย่างจัง เสียจนผู้เป็นเจ้าของล้มลงสะโพกกระแทกพื้น




    "โอ๊ย! เจ็บ" เด็กชายลูบสะโพกปอยๆ ก่อนยกเจ้าแมวน้อยตัวต้นเหตุขึ้นมาอยู่ตรงระดับสายตา "เล่นแรงนะเนี่ย เหมันต์จันทรา"



    "เมี๊ยว~"



    "ยังมีหน้ามาเหมียวอีก" เด็กชายเอ็ดเจ้าแมวน้อยทีเล่นทีจริง ก่อนจัดการเอามือขยี้ขนปุกปุยนั่นแก้แค้นจนหนำใจแล้วจึงวางเจ้าแมวลงกับพื้นและตนเองก็ยันตัวลุกขึ้น




    "ไปห้องอาหารกัน" ว่าเสร็จร่างสูงของออลเฟรย์ก็เดินนำลิ่วไปตามหลังด้วยเจ้าแมวน้อยที่วิ่งตามเจ้าของอย่างภักดี




    "เจ้ามาช้า ออลเฟรย์" จ้าวปีศาจที่นั่งรออยู่บนโต๊ะอาหารตัวยาวเอ็ดยิ้มๆเมื่อร่างสูงของหลานชายคนโปรดโผล่หน้าโผล่ตาเข้ามาในห้องอาหารพร้อมเจ้าแมวน้อย




    "ท่านตานั่นแหละฮะที่มาเร็วเกินไป" ออลเฟรย์กล่าวพร้อมเดินตรงไปยังเก้าอี้ฝั่งขวามือของผู้เป็นตาแล้วนั่งลง




    "ตาให้นางพวกนางกำนัลเอาสัมภาระทั้งหมดไปผูกไว้ที่เจ้าซอร์ทดรากอนเรียบร้อยแล้ว ที่เหลือก็แค่รอเจ้า" ผู้เป็นตากล่าวรายงาน ระหว่างที่นางกำนัลนำอาหารมาเสิร์ฟบนโต๊ะ นัยน์ตาสีนิลสังเกตเห็นแววหม่นหมองฉายชัดในนัยน์ตาสีเทาช่วงสั้นๆวูบหนึ่งทันทีที่กล่าวจบ ก่อนจะกลับเป็นเหมือนเดิม ห้องทั้งห้องอาหารเงียบกริบไปพักใหญ่



    "มื้อนี้อาหารน่าทานจังนะฮะ" ออลเฟรย์เริ่มเปิดบทสนทนานอกเรื่อง ก่อนตัดสเต็กชิ้นโตตรงหน้าแล้วจิ้มเข้าปาก "อร่อยด้วย"



    "แน่สิ ตาสั่งให้นางกำนัลทำสุดฝีมือเชียว" ผู้เป็นตาว่า





    "จริงๆแล้วเจ้าไม่อยากกลับคาโนวาลใช่ไหม" ผู้เป็นตาถามเขาด้วยน้ำเสียงไม่ส่อแววล้อเล่นแต่อย่างใดหลังจากที่นั่งรับประทานอาหารไปได้พักใหญ่ ออลเฟรย์เงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาสีนิลที่มองมาก่อนแล้ว แล้วฉีกยิ้มบาง




    "ท่านตาก็ไม่อยากให้ผมกลับเหมือนกันนั่นแหละฮะ" ออลเฟรย์ย้อนอย่างรู้ทัน ก่อนเจ้าตัวจะหัวเราะเบาๆ ขณะรวบมีดกับซ้อมแล้ววางมือจากจานอาหารแสนอร่อยตรงหน้า "อิ่มแล้วฮะ"



    ออลเฟรย์ลุกขึ้นจากเก้าอี้อย่างนุ่มนวล ก่อนสาวเท้าเดินไปยังเจ้าแมวน้อยที่นั่งตาแป๋วมุมห้อง "กลับร่างเดิมได้แล้วเหมันต์จันทรา" เด็กชายกล่าวพร้อมย่อตัวลงลูบหัวมันอย่างเบามือ



    "เมี๊ยว~"



    สิ้นเสียงร้องเจ้าแมวน้อยก็เรืองแสงสีทองอร่ามกลับกลายสู่ร่างเดิม...คทาเหมันต์แห่งดินแดนสโนว์แลนด์ค่อยๆลอยกลับสู่มือผู้เป็นเจ้าของ




    "ถ้าราชินีแห่งสโนว์องค์ปัจจุบันแลนด์ล่วงรู้ว่ามหาสมบัติแห่งสโนว์แลนด์ที่หายสาบสูญไปกว่าสามสิบปีตอนนี้อยู่ในครองครองของเจ้า คงรีบมาทวงคืนเป็นแน่เชียว" ผู้เป็นตาว่ายิ้มๆ




    "คงไม่มีใครรู้หรอกฮะ ยกเว้นท่านตากับผม" ว่าแล้วก็พึมพำอะไรบางอย่างก่อนคทาล้ำค่าจะเกิดแสงสีเงินยวงแล้วเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นแหวนวงขาวใสลงบนฝ่ามือของเด็กชาย เจ้าตัวจัดการสวมมันลงบนนิ้วนางข้างขวา




    "งั้นหมายความเจ้าจะไม่ใช้มันในเอเดนงั้นหรือ" เจ้าปีศาจถามด้วยความแปลกใจ




    "เดิมทีผู้ที่จะเป็นเจ้าของคทาล้ำค่านี้ได้จะต้องเป็นเจ้าแห่งจอมภูติเท่านั้น นั่นเป็นเครื่องยืนยันถึงพลังของมันได้เป็นอย่างดี ท่านตาก็รู้หนิฮะ" เจ้าปีศาจพยักหน้ารับ "ถ้ามีความจำเป็นจริงๆผมถึงจะใช้มัน"



    ลมหนาวยามราตรีในดินแดนเดมอสช่างหนาวจับใจ เหล่านางกำนัลและมหาเล็กแห่งพระราชวังเดมอสต่างยืนท้าลมหนาวส่งเสด็จองค์ชายของพวกเข้ากลับเอเดน ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมแล้วเหลือเพียงรอเวลาที่องค์ชายของพวกเขาจะขึ้นไปบนมังกรที่ถูกคัดสรรมาเป็นอย่างดี




    "ฝากความคิดถึงจากตาไปให้แม่เจ้าด้วยล่ะ และอย่าลืมบอกให้แม่เจ้าพาพี่เจ้าสองคนมาเยี่ยมตาบ้างเข้าใจไหม" เจ้าปีศาจกล่าวพร้อมสวมกอดหลานรักเสียแน่น "ส่งจดหมายมาหาตาบ่อยๆนะ"

    "ครับ" ออลเฟรย์รับคำ "ท่านตาก็รักษาตัวให้ดีนะครับ"



    พระราชแห่งวังเดมอสเริ่มห่างไกลออกไปจนลับตา เจ้าซอร์ทดรากอนบินด้วยความเร็วสูงปะทะลมหนาวยามคำคืน เพื่อทำเวลาให้ไปถึงชายแดนเดมอสให้เร็วที่สุด ประกอบกับลมที่เกิดจากการกระพือปีกอันใหญ่โตของมันยิ่งทำให้ผู้นั่งอยู่บนหลังรู้สึกหนาวจับใจราวกับกำลังจะเป็นไข้



    "บินช้าหน่อยได้ไหมซอร์ทดรากอน" มือขาวซีดที่ยิ่งขาวเมื่อปะทะลมหนาวลูบแผงคอกว้างของมันอย่างเบามือ เสียงพ่นลมหายใจเป็นการตอบรับพร้อมกับการกระพือปีกที่ช้าลงและความเร็วที่ลดลง




    "ขอบใจ" มือขาวซีดยกขึ้นกุมศีรษะอุ่นๆที่เจ้าตัวรู้สึกมึนๆในหัวสมอง ก่อนส่ายศีรษะราวกับจะไล่ความมึนนั้นออกไป "โอ๊ย ทำไมต้องมาไม่สบายเอาวันนี้ด้วย" เจ้าตัวบ่นอุบ ก่อนกระชับผ้าคลุมสีฟ้าอ่อนที่ตนสวมอยู่




    รอยยิ้มเย้ยหยันให้กับตัวเองปรากฏขึ้นบนดวงหน้าคมคาย...เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่อาจทราบได้ที่เขาต้องยิ้มแบบนี้ให้กับความน่าสมเพชของตัวเอง ร่างกายที่อ่อนแอและเปราะบางยิ่งกว่าผู้หญิงบางคนเสียอีก...ร่างกายที่เป็นเหตุให้เขาต้องทุกข์ทรมาน...ร่างกายที่เป็นเหตุพรากให้เขาห่างจากท่านพ่อและท่านแม่มานานถึงเจ็ดปี




    พอคิดถึงจุดนี้ ความสับสนก็ฉายชัดขึ้นมาในใจ เจ็ดปีมานี้เขาไม่เคยเห็นหน้าท่านพ่อและท่านแม่แม้แต่ครั้งเดียว เขาไม่สามารถกลับไปเอเดนได้เพราะปัญหาทางด้านสุขภาพ การเดินทางไกลอาจทำให้อาการป่วยของเขากำเริบขึ้นมาอีก แต่ท่านพ่อและท่านแม่ของเขาล่ะ ท่านไม่ได้มีปัญหาทางด้านสุขภาพที่เป็นอุปสรรค์ในการเดินทางไกล แล้วทำไมท่านถึงไม่เคยมาเยี่ยมเขาบ้างเลย เหตุผลเรื่องที่ว่าท่านพ่อติดงานอยู่ตลอดเวลาและการที่จะให้ท่านแม่มาคนเดียวนั้นเป็นอันตรายก็เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ค่อยขึ้นเท่าไหร่นัก




    หรือว่า...ท่านพ่อท่านแม่จะไม่เคยรักเขา หรือว่า...การที่เขาเป็นเจ้าชายรัชทายาทแห่งบารามอสทำให้ท่านพ่อและท่านแม่ไม่อยากให้เขารู้เรื่องราวภายในของคาโนวาลมากเกินไปถึงส่งเขามาอยู่ที่เดมอส...ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจ ก่อนรีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกจากหัว

    บ้าน่า คิดอะไรไร้สาระ มีพ่อแม่ที่ไหนกันที่ไม่รักลูกของตัวเอง




    แสงไฟส่องสว่างจากพื้นดินเบื้องล่างใกล้เข้ามาทุกที
    เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดีว่ามีคนมารอรับเขาที่ชายแดนคาโนวาลเรียบร้อยแล้ว และคงรอมาเป็นเวลานานพอสมควรเพราะเขามาล่าช้ากว่ากำหนดการมากทีเดียว




    ซอร์ทดรากอบค่อยๆบินลดระดับลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล แต่ถึงกระนั้นน้ำหนักตัวของมันก็ยังทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนมากทีเดียวเมื่อเท้าของมันกระทบถึงพื้น ออลเฟรย์ลูบแฝงคอกว้างของมังกรดำไปพลางรอจนแรงสั่นสะเทือนที่พื้นดินจะเริ่มสงบนิ่งเด็กชายจึงจัดการหย่อนลงตัวลงจากบันไดเชือกบนหลังมังกรทันที



    "ถวายบังคมพะยะค่ะ องค์ชายออลเฟรย์" คำพูดอย่างนอบน้อมพร้อมการถวายบังคมด้วยความเคารพยิ่งจากนายทหารผู้อาวุโสคนหนึ่งทันทีที่เขาลงจากหลังมังกร




    ดูจากท่าทางลักษณะของเขาแล้วออลเฟรย์จึงสรุปได้ว่าเขาคงเป็นขุนนางในราชสำนักที่มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นแน่ แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เด็กชายสนใจ นัยน์ตาสีเทาหม่นกวาดมองไปรอบๆราวกับกำลังมองหาใครบางคน แต่ก็เห็นแต่เพียงบุรุษตรงหน้าและนายทหารชั้นผู้น้อยประมาณยี่สิบนายที่หลังจากทำความเคารพเข้าแล้วต่างก็รีบไปนำสัมภาระของเขาบนหลังมังกรไปไว้ที่เวียนคันหรูที่จอดรออยู่อย่างขมักเขม้น



    "คิงคาโลทรงมอบหมายให้หม่อมฉันมาถวายการรับเสด็จพระองค์กลับวังพ่ะย่ะค่ะ" คำกล่าวต่อมาของนายทหารคนเดิมไขข้อคล่องใจของเขาได้กระจ่างทีเดียว เด็กชายจึงหันกลับมาให้ความสนบุคคลตรงหน้าขึ้นมาบ้าง นัยน์ตาสีเทาหม่นกวาดสำรวจเขาตั้งแต่ตรงหน้าหัวจรดเท้า

    อะไรบางอย่างทำให้เขารู้สึกไม่ไว้วางใจคนตรงหน้า...



    "ดูจากลักษณะของท่าน ท่านคงเป็นท่านแม่ทัพเดฟรานซ์ (เด-ฟราน) แห่งคาโนวาลผู้เกรียงไกรคนนั้น" ออลเฟรย์ว่า นัยน์ตาคู่คมจ้องลึกเข้าไปในนัยน์ตาสีฟ้าเข้มของบุรุษร่างฉกรรจ์ราวกับกำลังจะอ่านใจ




    "ทรงพระปรีชาสามารถยิ่งแล้ว พ่ะยะค่ะ หม่อมฉัน คือแม่ทัพเดฟรานซ์ เคย์ แห่งคาโนวาล" เขาตอบท่าทางเคารพนบนอบ "เชิญเสด็จขึ้นประทับบนเกวียนเถอะพ่ะย่ะค่ะ เลยกำหนดการมามากแล้ว"



    ออลเฟรย์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วทำตามอย่างว่าง่าย เจ้าตัวสาวเท้าเดินไปยังเกวียนคันงามที่มีธงประจำประเทศคาโนวาลและธงแห่งราชสำนักประดับอยู่



    เขาสังเกตได้ถึงความมันใหญ่ใฝ่สูงในตัวชายคนนี้จากดวงตาสีฟ้าเข้มคู่นั้น...




    เขาสังเกตได้ถึงภายใต้ท่าทางเคารพนบนอบนั้นเหมือนจะมีอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่...อะไรบางอย่างที่ไม่ดี...



    หรือเขาจะคิดมากไปเอง....




    ฉับพลันคำพูดของท่านตาเกรเซอร์ที่ท่านเคยกล่าวกับเขายามมาร่วมโต๊ะเสวยครั้งมาเยี่ยมท่านตาเอวิเดสเมื่อหนึ่งปีก่อนก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา




    "...มนุษย์ที่คิดว่าตัวเองนั้นเป็นสัตว์ประเสริฐ กล่าวหาสัตว์อื่นเป็นเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน แต่ทว่าตัวมนุษย์เองนั้นกลับทำสิ่งที่เลวยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานที่มนุษย์กล่าวหา สัตว์เดรัจฉานยังรักลูก ที่ฆ่าก็เพื่อให้ตนเองอยู่รอด แต่มนุษย์นั้นฆ่าผู้อื่นเพียงเพราะความสำราญของตน เพียงเพราะอำนาจ เพื่อที่จะได้มาซึ่งเกียรติยศและอำนาจมนุษย์ยอมหักหลังผู้อื่น มือที่ว่าสะอาดนั้นเปื้อนไปด้วยเลือดและหยาดน้ำตา เบื้องหน้าที่ขาวสะอาดแต่เบื้องหลังดำมืดดั่งรัตติกาลทมิฬ แล้วเช่นนี้มนุษย์ยังจะเรียกตนเองว่าเป็นสัตว์ประเสริฐได้อีกหรือ...




    ที่ตาพูดเช่นนี้ให้เจ้าฟังก็เพื่อจะสอนให้เจ้าได้คิด...มนุษย์มักกล่าวหาว่าพวกเราชาวปีศาจเป็นสิ่งชั่วร้าย แต่ไม่เคยเลยที่จะย้อนกลับไปดูถึงตัวเอง ว่าภายในของตนนั้นชั่วร้ายยิ่งกว่าสิ่งที่ตนกล่าวหามากเพียงไร




    อีกไม่กี่ปีเข้าคงต้องกลับไปยังเอเดนเพื่อทำหน้าที่ของเจ้า แต่จงจำคำพูดของตาไว้ให้ดี ที่นั่นไม่เหมือนกับที่เดมอส ดินแดนที่พวกเราชาวปีศาจอาศัยอยู่ เพราะพวกเราชาวปีศาจไม่เคยหลอกลวงหรือคิดจะปองร้ายใครเพียงเพื่อสร้างอำนาจให้แก่ตน หากพวกเรากระทำในสิ่งที่พวกเราคิดและเต็มใจที่จะทำด้วยความจริงใจ แต่มนุษย์นั้นไม่เหมือนกัน มนุษย์มักทำทุกอย่างเพื่อตัวเอง มักสวมหน้ากากต่อหน้าผู้อื่น และมักติฉินนินทราในความผิดพลาดของผู้อื่นโดยไม่หันกลับมามองความผิดพลาดของตนเอง เพราะฉะนั้นออลเฟรย์หลานจงจำคำพูดเหล่านี้ไว้ให้ดี ใช้สติปัญญาของเจ้าพิจารณาไตร่ตรองทุกสิ่งทุกอย่างให้รอบคอบ อย่าโอนอ่อนไปตามคำพูดของผู้อื่นและอย่าวางใจในการกระทำของใครเสียจนเกินไป"



    ออลเฟรย์เดินมาถึงเกวียนและกำลังจะก้าวเท้าขึ้นไปพลันสายตาของเขาก็ไปสะดุดกับคราบสีคล้ำที่เปรอะอยู่ข้างตัวเกวียน



    ………………………………………………………………………


    20/12/49

    อัพฉลองที่วันนี้ฤกษ์ดีไม่มีการบ้าน

    คำไหนหรือตัวไหนที่สะกดผิดก็ขอโทษด้วยละกัน เดี๋ยวไว้รอ Rewrite จะพาแก้ทีเดียว

                                                                                           yurikagarin

    19/12/49

    อัพฉลองสอบเสร็จ

                                                                            yurikagarin

    19/06/49 


    เอาไปเท่านี้ก่อนละกันน้า จริงๆกะจะแต่งให้ได้เยอะกว่านี้ แต่ไม่มีเวลาเลย คำผิดเดี๋ยวค่อยมาแก้ไขละกันนะ

    ไว้จะมาอัพนะ บายจ้า ขอบคุณสำหรับคอมเม้น

                                                                                     yurikagarin

    14/06/49


    ในที่สุดก็มาอัพอีกนิดเสียที การบ้านถมกันเป็นกองเลยให้ตายสิ

    เอิ๊ก! อัพงวดหน้าออลเฟรย์ได้แล้วแล้วโย่ว กว่ามันจะได้ออก บทคนอื่นแซงไปหมดแล้ว = =

    จะรีบมาอัพให้นะงับ ขอเม้นเหมือนเดิมก๊าบบบ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นน้า

                                                                                       yurikagarin

    11/06/49


    เอ๊ะ
    ! อะไรเค็มๆ = =a (กลิ่นของดองลอยมาเตะจมูก)

    อ่านะ ในที่สุดก็ได้ลัลลาเข้ามาอัพฟิคเสียที เอาไปแค่นี้ก่อนละกันน้า แล้วก็จริงๆมันก็ไม่ได้ตั้งใจจะดองหรอก demo totemo isogashi desu kara.

    อาจารย์ท่านก็สั่งงานกันเข้ามาเหมือนแข่งกันสั่งเลย ให้ตายเถอะ! เซง ถึงแม้มันจะได้หยุดในช่วงในหลวงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีก็เถอะ แต่ก็ไม่ได้หยุดสบายๆ ต้องมานั่งทำการบ้านๆๆๆๆ T^T

    อาจจะมาอัพช้าหน่อยน้า ขอโทษทีจ้า แต่ช่วงวันหยุดนี้จะพยายามมาอัพละกัน >< ขอบคุณทุกคอมเม้นน้า ขอคอมเม้นเหมือนเดิมล่ะ รักคนอ่านแล้วเม้นจัง จุ๊บๆ ><

    เมื่อไหร่ออลเฟรย์ของฉันมันจะได้ออกโรงอีกฟระ รู้สึกบทพระเอกมันจะตกไปเป็นของคาโลอีกแล้วนะเนี่ย = = มันเกิดอะไรขึ้น!! สงสัยต้องเริ่มลดบทคาโล อ้อ แล้วเมื่อไหร่ออลเฟรย์มันจะได้ออกจากวังเดมอสซะทีว้า งงตัวเอง ไหงยืดมาขนาดนี้

                                                                                          yurikagarin

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×