ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (จบแล้ว) DISTANT | CHANHUN HUNKAI BAEKDO

    ลำดับตอนที่ #9 : ( 18 x 25 ) - แปด : จำอะไรไม่ได้

    • อัปเดตล่าสุด 27 ส.ค. 59


    Distant ( 18-25)
    Chanyeol x Sehun By:ซรดจ.

    เจ็ด.


    จำอะไรไม่ได้.



     

     

    [ 11 - 18 ]




                      "เซฮุน จะกินหมูหรือเนื้อ" เสียงทุ้มของพี่ชายข้างบ้านเอ่ยถามและยื่นจานบาร์บีคิวมาตรงหน้า เด็กชายยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ชานยอลไม่เคยเห็นมันส่งผ่านมาจากน้องชายข้างบ้านเสียนาน



                      "อะไรก็ได้ ขอบคุณครับ" 


                     พอเซฮุนรับจานไปถือ ชานยอลก็นั่งลงข้างๆกัน  ลู่หานและอี้ฟานกำลังสนุกอยู่กับการทำกุ้งเผาและอาหารทะเล ชานยอลถอดสายตามองเพื่อนรักทั้งสองคนแล้วหันมามองเด็กชายข้างๆตัว เซฮุนก้มหน้าคาบบาร์บีคิวไว้ในปากและค่อยๆดึงเนื้อออกจากไม้ 

     
                      เซฮุนติดนิสัยการกินแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ จะก้มหน้าไปจนชิดจานหรือช้อนในมือและค่อยเลื่อนของกินใส่ปาก มันเป็นท่าทางที่ทั้งดูตลกและน่ารักในสายตาชานยอล


                      "เข้าม.หนึ่งตั้งใจเรียนล่ะ คิดไว้หรือยังว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร"
                     

                      "อยากเป็นผู้ใหญ่" คำตอบที่ผ่านริมฝีปากแดงๆของน้องชายออกมาโดยไม่ต้องคิดซ้ำก่อนพูดทำเอาชานยอลหัวเราะพรืด


                      "เป็นผู้ใหญ่น่ะได้เป็นอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวหรอก" มือยาวหยิบบาร์บีคิวในจานกินบ้าง อันที่จริงมันก็นานอยู่เหมือนกันที่ไม่ได้พูดคุยกับเซฮุนเลย ตอนนี้เจ้าตัวเล็กโตขึ้นเยอะ แถมยังเถียงเก่งอีก "หมายถึงอยากทำอาชีพอะไร"


                      "ผมพึ่งม.หนึ่งเอง จะให้คิดแล้วเหรอ"


                      "ก็คิดๆไว้ จะได้เตรียมตัวไง"


                      "พี่ชานยอลรีบสินะ" พอเจ้าแสบถามแบบนั้นชานยอลก็หัวเราะอีก จริงด้วยสินะ น้องเพิ่งจะขึ้นชั้นมัธยมเท่านั้นเองนี่นา


                      "เออว่ะ  พี่ลืมไป เอาไว้ช่วงม.3เราค่อยคิดก็ยังทันมั้ง ว่าจะเข้าสายอะไรตอนม.ปลาย"



                      "สายไปแล้ว" เซฮุนพึมพำและหัวเราะออกมา ลืมไปแล้วว่าเคยโกรธชานยอลเรื่องอะไร และก็ดีใจที่ได้กลับมาคุยกันอีกครั้งนึง



                    "แล้วคณะพี่ชานยอลเรียนเกี่ยวกับอะไร"



                   "เป็นวิศวกรไง ออกแบบ คำนวณ สร้างตึกสวยๆ"



                  "คำนวณ" เซฮุนทำหน้าเหม็นเขียว "ไม่เอาอะ ไม่ชอบ"



                  "แล้วเซฮุนชอบทำอะไร"



                  "ถ่ายรูป" เด็กชายตอบแล้วยิ้มจนตาปิด ชานยอลนิ่งคิดหน่อยๆ 


     
                  "นิเทศก็ได้อยู่นะ"



                  "คุยอะไรอยู่ครับสองพี่น้อง"ทายซิว่าเสียงใคร ชานยอลอยากจะเอาจานบาร์บีคิวโบกลู่หานให้กบาลแยก ตอนที่ไอ้เพื่อนรักเสนอหน้าแหลมๆมาส่งสายตาเจ้าชู้ แถมยังแนะนำตัวเองเสร็จสรรพ "พี่ชื่อลู่หานนะครับน้องเซฮุน"



                 "หวัดดีครับ รู้จักชื่อผมด้วยเหรอ" 
     


                 "ก็พี่ชานยอลมาคุยให้ฟังบ่อยๆว่ามีน้องชายข้างบ้านน่ารักมาก พึ่งได้มาเจอตัวจริงก็วันนี้ น่ารักสมราคาคุยเลยนะเนี่ยเรา" ไม่พูดเปล่า มือนิ่มๆของลู่หานเลื่อนไปหยิกแก้มเซฮุนหนึ่งทีจนชานยอลต้องขมวดคิ้ว นึกไม่ออกจริงๆว่าเคยไปเล่าอะไรพรรค์นั้นให้ลู่หานฟังตอนไหน ก็ไอ้ลู่หานพึ่งจะเดินมาถามเรื่องเซฮุนเมื่อตะกี้นี้เอง



                 "พี่ชานยอลเค้าพูดแบบนั้นเหรอฮะ" เด็กน้อยตาเป็นประกายตอนที่ถามลู่หานกลับ คนอายุมากกว่ายิ้มมุมปากแล้วเลิกคิ้วให้ชานยอล ดูอาการของเด็กคนนี้ตอนที่เขาบอกว่าชานยอลเอาเรื่องน้องไปพูดไปชมให้ฟังสิ ริมฝีปากแดงๆฉีกยิ้ม เก็บความรู้สึกดีใจไม่มิดขนาดนี้  ลู่หานหัวเราะนิดๆ ตอนที่ชานยอลทำสีหน้าพิลึกพิลั่นมองตอบกลับมา เขาอ่านเซฮุนขาดตั้งแต่ยังไม่เคยคุยเสียด้วยซ้ำว่าเด็กคนนี้คงจะคิดอะไรกับชานยอลจริงๆ


                 "เซฮุนมีแฟนหรือยัง พี่ชอบผู้ชายนะ" ทั้งอี้ฟานและชานยอลมองไปที่ไอ้เพื่อนตัวดีเป็นตาเดียว มึงออกตัวแรงมากลู่หาน แรงกว่าฟอร์มูล่าวันชนิดที่ว่าพอมันเอ่ยประโยคถัดมา ชานยอลถึงกับคิ้วกระตุกเลย "ถ้าน้องเซฮุนไม่มีใคร พี่ขอจีบได้ไหม"


                 "จ.." เซฮุนฟังแล้วดูเหมือนจะตกใจจนพูดไม่เป็นคำ "จีบเหรอครับ"



                 "ใช่ไง หรือเซฮุนมีใครที่ชอบอยู่แล้ว" เด็กชายกะพริบตางงๆ แล้วหันไปมองหน้าพี่ชายข้างบ้าน มองอี้ฟาน และก็มาจบลงที่ลู่หานอีกครั้ง  



                 "ยังไม่มีครับ ยังไม่มี แต่ไม่จีบนะพี่ เป็นพี่น้องกันดีกว่า" เหมือนเป็นวูบใหญ่ที่อึ้งไปหลายวินาที และเซฮุนก็เพียงแต่ฉีกยิ้มสดใสและโบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน  แม้จะบอกอย่างนั้น แต่เด็กอย่างไรซะก็เป็นเด็ก


                 อาการที่เซฮุนแสดงออกมันชัดเจนเสียจนไม่ต้องรอให้ใครมาอธิบาย



                 "มึงทำเชี่ยไรของมึงเนี่ยย" และก็เป็นชานยอลที่ลากคอเพื่อนรักออกมาเม้งแตกให้ห่างจากเซฮุนที่กำลังนั่งกินบาร์บีคิวอยู่ในโต๊ะตัวเดิม



                 "ก็พิสูจน์ไง"



                 "พิสูจน์ส้นตีนอะไรวะ" ชานยอลแหวออกมาเสียงดัง รู้สึกหวงน้องอย่างบอกไม่ถูก จะว่าไงดีล่ะ ก็กิตติศัพท์ของลู่หานมันไม่ใช่ย่อยเลย จะเด็ก หรือคนที่แก่กว่า  จะผู้ชาย หรือผู้หญิง ถ้าลู่หานชอบมันก็ไม่เคยเกี่ยง เดินหน้าจีบจนได้มาเชยชมสมอารมณ์หมายไปซะแทบทุกราย


                 แต่นี่มันน้องชายเขานะเว้ย แถมพึ่งเข้ามัธยมต้น!!



                 "พิสูจน์ว่าน้องมันชอบมึงไง"



                 "ชอบเชี่ยอะไร เด็กขนาดนั้นจะมาคิดอะไรกับกูวะ" ชานยอลหงุดหงิด ถึงพฤติกรรมของเซฮุนมันจะน่าสงสัยจริงๆก็เถอะ แต่อาจเป็นแค่เพราะเขาและน้องไม่ได้คุยกันมานาน พอได้กลับมาอยู่ในสายตาของกันและกันอีก เซฮุนที่ยังเด็กก็คงวางตัวไม่ถูก



                 "เยอะ" ว่าเข้าให้ ชานยอลน่ะ มาดเยอะ ฟอร์มเยอะอย่างนี้ตลอดแทบจะทุกเรื่อง



                 "ถ้าแบบกูเรียกเยอะ แบบมึงก็เรียกมหาศาลละ" เบรคลู่หานแล้วยื่นมือไปตบหัวเพื่อนตัวเล็ก ไอ้สัสหมั่นไส้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว ขอตบกบาลซักที



                 "ไอ้สัส ตบทำไม เดี๋ยวฉี่รดที่นอน" ลู่หานลูบหัวตัวเอง "มึง ความรัก มันไม่จำกัดอายุหรอกนะ เด็กแค่ไหนก็มีหัวใจเหมือนกัน มึงจะไปคาดเดาว่าน้องเค้าไม่ได้คิดอะไรแค่เพราะน้องเค้าเด็กอะ มันไม่ได้"



                 ชานยอลเกาหัวแกรกๆ "มึงไม่คิดว่ามันแปลกๆหรอ น้องอาจจะไม่ได้ชอบกูแบบนั้นก็ได้ อาจจะแค่ปลื้มไปตามประสาเด็ก"



                 "เด็กอีกละ เชี่ยนี่ เอะอะก็อ้างเด็ก" ลู่หานทำหน้าเซ็ง "แล้วแต่มึงจะคิดละกัน เอาที่มึงสบายใจเลย"


                 ชานยอลทำหน้าบึ้งตอนที่ลู่หานพูดแบบนั้นแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะ นั่งกินบาร์บีคิวกับเซฮุนและอี้ฟานต่อ  ร่างสูงถอนหายใจแล้วเดินตามกลับไปเงียบๆ  ตอนแรกก็ไม่ได้เครียดอะไรหรอก แต่ก็เพราะไอ้คำว่า 'เอาที่สบายใจ'ของลู่หานนี่แหละ ที่ทำให้เขาไม่สบายใจ









    [ 13 - 21 ]



                 "พี่ชานยอลล อธิบายการบ้านตรีโกณอันนี้ให้หน่อย" เสียงแจ้วๆของน้องชายข้างบ้านกลายเป็นสิ่งที่ชานยอลคุ้นเคยอีกครั้งหลังจากกลับมาพูดคุยกันตามปกติ เซฮุนยังคงเป็นเด็กดื้อที่น่ารักและขี้อ้อน  แต่ถ้ามีอะไรไปขัดใจให้ต้องอารมณ์บูด เจ้าตัวเล็กก็จะแผลงฤทธิ์ให้ต้องปวดหัวแทบทุกที


                 ผ่านไปเกือบสองปีชานยอลก็ยังคงไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วเซฮุนรู้สึกยังไงกับเขากันแน่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจะสังเกต ตัวเขาเองก็ยุ่งวุ่นวายกับการเรียนมหาวิทยาลัย



                 "ไม่ชอบคณิตศาสตร์เลย ไม่อยากเรียนสายวิทย์คณิตด้วย" พอน้องชายตัวเล็กบ่นออกมาแบบนั้น ชานยอลก็ได้แต่หัวเราะแล้วยีผมนิ่มของคนที่ตอนนี้ยึดโต๊ะเขียนหนังสือของเขาเป็นโต๊ะทำการบ้านคณิตศาสตร์อยู่



                 "ไม่ชอบก็เลือกเรียนอย่างอื่นที่มันเฉพาะทางไปเลย รู้ตัวเร็วก็ได้เปรียบ จะได้ไม่เสียเวลาทำสิ่งที่ไม่ชอบ"


                 "เป็นผู้ใหญ่นี่เหนื่อยจัง" เด็กชายฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานแล้วโอดครวญ



                 ในช่วงปีที่ผ่านมาเซฮุนสูงขึ้น 3-4เซ็นติเมตร ทั้งๆที่เคยรอคอยจะได้โตเป็นผู้ใหญ่มาตลอดแต่ไม่รู้ทำไมพอเริ่มโตจริงๆ ก็พบว่าสิ่งที่เคยเฝ้าฝันถึงมันมักจะมาพร้อมกับภาระรับผิดชอบยากๆเหนื่อยๆเสมอ


                 "ตอนนั้นยังบอกว่าอยากโตเป็นผู้ใหญ่อยู่เลย"


                 "ตอนนี้ไม่อยากแล้วอ่ะ" เซฮุนย่นจมูกตอนที่ก้มหน้าลงฟุบกับโต๊ะอีกครั้ง รู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาที่ประทับลงมาที่ผิวเนื้อบริเวณท้ายทอย


                  ในตอนที่เงยหน้าขึ้นมอง ก็กลายเป็นว่าชานยอลกำลังกางแขนคร่อมโต๊ะที่เซฮุนนั่งอยู่และก้มลงมาใกล้ ตอนที่เชยคางของเซฮุนขึ้นและประกบจูบที่ริมฝีปาก



                 แม้จะตกใจแต่เซฮุนก็ตอบรับสัมผัสนั้นของชานยอลอย่างเต็มใจ รู้สึกดีเวลาที่มือคู่ใหญ่นั้นสัมผัสไปแทบทุกส่วนของร่างกาย แม้ว่าเขาจะอายุแค่สิบสาม แต่ก็ไม่ใช่ว่าเซฮุนไม่ประสีประสาอะไรเลยซะทีเดียว



                 มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กผู้ชายที่จะสนใจเรื่องใต้สะดือ พอถึงวัยหนึ่ง และเซฮุนก็ไม่ใช่เด็กอ่อนต่อโลกที่จะไม่เคยได้เห็นสถานการณ์แบบนี้ แต่มันเป็นครั้งแรกที่ได้มาเจอกับตัว



                 เซฮุนแทบหยุดหายใจตอนที่มือหนาปลดซิปกางเกงและรูดมันลงไปกองที่ข้อเท้าพร้อมกับกางเกงชั้นใน แม้จะกลัวและสับสน แต่กลับอยากให้มันดำเนินต่อไปเพราะคนตรงหน้าคือชานยอล



                 ความรู้สึกโลดโผนตื่นเต้น เหมือนเลือดลมในกายวิ่งวุ่น ทำให้เซฮุนหายใจหอบ ใบหน้าของชานยอลพร่าเบลอเหมือนดวงตาเขาไม่สามารถจับโฟกัสได้ ที่ชัดเจนก็มีแต่ความรู้สึกหน่วงๆตรงหว่างขาตอนที่ชานยอลก้มลงจูบเฟ้นที่ซอกขาขาวของเขาจนเป็นจ้ำแดง  และใช้นิ้วเรียวเกี่ยวเอาไอ้นั่นของเซฮุนขึ้นมา ปรนเปรอด้วยริมฝีปาก เฉอะแฉะ อุ่นร้อน รู้สึกดีจนเซฮุนครางในลำคอออกมาอย่างพอใจทั้งที่ใบหน้าแดงก่ำ


                 เด็กชายวัยสิบสามเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ตอนที่ใช้ทั้งสองมือกดหัวของชานยอลที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นที่ตรงหว่างขาและทำให้เขารู้สึกดีจนแทบคลั่ง ตอนที่ลิ้นร้อนกดหนักๆที่ส่วนปลาย เซฮุนสะดุ้งสุดแรงและลืมตาตื่นในห้องนอนของตัวเองทั้งที่เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งตัว เด็กชายหายใจหอบและสอดมือเข้าไปสัมผัสความเฉอะแฉะในกางเกง กางมือดูคราบน้ำหนืดคาวที่ติดเรียวนิ้วออกมาและถอนหายใจยาว ตอนที่ลุกเข้าห้องน้ำไปทำความสะอาดตัวเอง


                 เขาเรียนได้เกรดสี่วิชาสุขศึกษาทุกเทอม ทำไมจะไม่เข้าใจล่ะ ว่าสิ่งที่ร่างกายตัวเองเป็นเรียกว่าอะไร แต่ที่เซฮุนไม่เข้าใจคือ  ทำไมต้องเป็นชานยอลด้วยนะ







                 หลายอาทิตย์หลังจากนั้น กว่าเซฮุนจะมองหน้าชานยอลได้แบบสนิทใจโดยไม่คิดถึงเรื่องลามกที่ฝันถึงในวันนั้น ถึงแม้มันจะเป็นพัฒนาการปกติของร่างกายผู้ชายวัยนี้ แต่เขาก็รู้สึกไม่ดีนักที่ตัวเองคิดเรื่องลามกพรรค์นั้นกับชานยอล


                 เซฮุนนึกถึงเพื่อนของชานยอลที่เคยเจอเมื่อปีกลาย คนที่พูดว่าชอบผู้ชายและจะจีบเขา


                 ตอนเด็กๆเซฮุนแค่คิดว่าเราอยากจะรักใครหรือชอบใครก็ได้ถ้าเรามีความสุข แต่พอโตขึ้นมาหน่อย สิ่งที่เรียกว่า'รสนิยมทางเพศ'ก็ทำให้เซฮุนได้เข้าใจว่า หากผู้ชายและผู้ชายรักกันในแบบนั้น มันเป็นอะไรที่สังคมค่อนข้างจะรับไม่ได้ จนมีคำเฉพาะมาไว้จำกัดความให้แปลกแยกเสียด้วยซ้ำ


                 เซฮุนไม่คิดว่าพี่ชายข้างบ้านจะเป็นหรอก แต่ที่ยังไม่มั่นใจในตอนนี้คือ แล้วตัวเขาเองล่ะ ชอบชานยอลด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่ ผูกพันธ์ พี่น้อง หรือแบบคนรัก

     
                  "คิดไรอยู่วะ" แม้จะเป็นแค่การแตะเบาๆที่หัวไหล่ แต่เซฮุนที่ในหัวยังคงคิดวนเวียนกับภาพชานยอลในความฝันก็สะดุ้งและหันขวับไปมอง บยอนแบคฮยอน เพื่อนร่วมชั้นเรียนที่เพิ่งจะย้ายมานั่งข้างๆไม่กี่วันที่ผ่านมา


                 "เหม่ออะไรวะ" แบคฮยอนเดินมานั่งที่นั่งข้างๆ "ไม่กินข้าวเหรอ จงอินมันถามหา"


                  "ไม่กินอะ พวกมึงกินเลย" เอาจริงๆเซฮุนแอบรำคาญเพื่อนที่ชื่อแบคฮยอนนี่นิดหน่อย ก็เพราะมันพูดมาก ชอบพูดแทรก แถมชอบทำอะไรตามใจตัวเองชอบอีกต่างหาก


                 "ไม่ได้ มึงต้องไปกินเลย เดี๋ยวปวดท้อง" แบคฮยอนจับข้อมือของเซฮุนแล้วลุกขึ้นยืน "ปะ แดกข้าวกัน ลุก"


                  เซฮุนมองหน้าแบคฮยอนสลับกับมือที่กำรอบข้อมือตัวเองแน่นแต่ดูเหมือนคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าจะไม่รู้สึกรู้สา จนสุดท้ายเซฮุนก็เลยต้องยอมเลยตามเลย ลุกไปกินข้าวตามที่อีกคนเซ้าซี้


                 ก็บอกแล้วว่าแบคฮยอนน่ารำคาญ








     
                "นี่เป็นไรปะ พักนี้ดูแบบ..แปลกๆ.."   เป็นคนที่สองที่ทักแบบนี้  คนแรกคือแบคฮยอน และคราวนี้ก็เป็นจงอิน  คนถูกตั้งคำถามได้แต่ส่ายหน้านิดๆ


               "ไม่มีอะไร"


              "มีอะไรไม่สบายใจบอกกันได้นะ" ท่าทางอบอุ่น รับฟังและเปิดเผยของจงอินทำให้เซฮุนรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย จงอินยิ้มบางๆแล้วพูดอย่างใจดี "คุยได้ทุกเรื่องเลย"


              เซฮุนอึกอัก ก้มลงตักข้าวใส่ปากแล้วลอบมองแบคฮยอนที่กำลังทำอ้อล้อใส่นัมจู เด็กสาวชั้นปีเดียวกันที่นั่งกินข้าวอยู่โต๊ะข้างๆ เขารู้สึกไว้ใจจงอินมากกว่าแบคฮยอนนิดหน่อย แต่จะให้มาคุยตรงนี้ก็ดูไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่


              "เดี๋ยวไว้พูดให้ฟัง"







     
               "คือ....มึงเคยฝันเปียกมั้ยวะ" หลังจากลากคอจงอินมาแอบยืนคุยกันที่ห้องน้ำหลังตึกเรียนที่ไม่ค่อยมีคนมาใช้ เซฮุนก็ตะกุกตะกักกระซิบถาม จงอินมองหน้าแล้วส่งเสียง 'หือ..' อยู่ในลำคอเหมือนถามความแน่ใจ คนคิ้วเข้มพยักหน้าอายๆ



                   ไม่รู้สิ มันไม่ใช่ความรู้สึกผิดในเชิงว่าตัวเองหมกมุ่นหรือแย่ที่ฝันเปียกหรอกนะ


                   แต่เขารู้สึกแย่ที่ใครคนที่อยู่ในฝัน มันดันเป็นชานยอล รู้สึกแย่ที่ทำให้พี่ชายข้างบ้านต้องเปรอะเปื้อนกับความคิดสกปรกของตัวเองโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว มองว่าเขาเป็นเด็กเซฮุน น้องชายข้างบ้านคนเก่า



                   "เคยดิ ธรรมชาติผู้ชาย" แม้จงอินจะดูอึ้งๆไปกับคำถาม แต่ก็ยังดีที่มีกะใจให้คำตอบเพื่อนตาดำๆที่กำลังไม่สบายอกไม่สบายใจ  เซฮุนมองหน้าจงอินแล้วเอ่ยเครียดๆ


                    "แล้ว....ตอนที่ฝัน...มึงฝันว่าอะไรวะ" ถามออกมาทั้งที่ไม่มองหน้าเพราะว่าอายเกินไป แล้วก็มานึกขึ้นได้ตอนเจอสีหน้าเหวอๆของจงอินนี่แหละ "เอ่อ กูถามเฉยๆนะ ไม่เล่าก็ได้"


                   "ทำไมอะ มึงฝันถึงใครเหรอ" จงอินตอบคำถามด้วยคำถาม แล้วทำเงียบคล้ายจะนิ่งคิด "หรือว่าไอ้แบคฮยอน.."


                  เพราะเซฮุนทำลับๆล่อๆกับแบคฮยอนตั้งแต่เมื่อกี้แน่ๆ จงอินถึงคิดว่าเป็นไอ้ปากมากนั่น


                   "ไม่ใช่เว้ย ไม่ต้องเดาหรอก" เซฮุนโบกมือปัดๆแล้วเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วหัวเราะ พูดกึ่งเล่นกึ่งจริง "กูไม่ฝันถึงมันหรอกพูดมากอะ รำคาญ หน้าแบบแม่งแค่เห็นก็หำหดแล้ว จะเกิดอารมณ์เหรอวะ"


                    พอเบี่ยงประเด็นไปเป็นเรื่องอื่น จงอินก็หัวเราะออกมา เซฮุนชอบจงอินมากกว่าแบคฮยอนก็ตรงนี้แหละ เป็นผู้ฟังที่ดี แม้ในบางทีจะเงียบไปหน่อย แต่ก็มีความร่าเริงแบบที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจ แม้จะเป็นความร่าเริงที่ดูหม่นๆเหมือนสีอมเทาก็ตาม



                     ทั้งเซฮุนและจงอินหัวเราะไปด้วยกัน และดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้กำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไร








     
                          หลังจากเรียนพิเศษวิชาคณิตศาสตร์ที่เกลียดแสนเกลียดเสร็จเรียบร้อย เซฮุนก็แทบจะพุ่งขึ้นรถไฟใต้ดินเพื่อไปต่อรถเมล์กลับบ้านเลย


              แม้จะเกลียดวิชานี้จับใจแต่เพื่อความสบายใจของแม่และไม่ไปรบกวนชานยอลมากเกินไป เขาเลยขออนุญาตแม่มาเรียนพิเศษ เพราะคิดว่าอย่างน้อยถ้าได้เรียนเสริมซักอาทิตย์ละสองครั้งสามครั้ง มันอาจจะทำให้หยักสมองอันน้อยนิดทางคณิตศาสตร์ของเขากระเตื้องขึ้นมาอีกหน่อย


                 อันที่จริงเซฮุนนึกอิจฉาจงอินอยู่นิดๆเหมือนกันที่รู้ว่าตัวเองอยากจะเรียนอะไรในระดับมหาวิทยาลัยตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมต้นเสียด้วยซ้ำ


                 ในครั้งแรกที่เจอกัน จงอินดูเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ไม่ค่อยเข้าสังคม จะมีก็แต่แบคฮยอนที่เป็นเพื่อนสนิทไปไหนมาไหนด้วยตลอด  ส่วนเซฮุนเองก็ไม่ได้สนิทกับใครในห้องเป็นพิเศษนอกจากโยซอบหนุ่มน้อยลูกศาสตราจารย์มหาลัยที่เรียนโคตรจะเก่ง และกีกวัง เพื่อนรักที่โดนทัณฑ์บนไปแล้วเพราะถูกจับได้ว่าซั่มรุ่นพี่ม.ห้าในห้องน้ำหญิงของโรงเรียน เรื่องราวฉาวโฉ่ใหญ่โต สุดท้ายกีกวังก็ลาออกไปและย้ายไปอยู่ที่อื่น ส่วนโยซอบก็ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่แคนาดา ปล่อยเขาเป็นหมาหัวเน่าอยู่คนเดียว


                    จงอินเป็นคนที่เริ่มเข้ามาชวนคุย และพยายามเข้าหา สร้างความสนิทสนมจนสุดท้ายก็กลายเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดในห้องของเซฮุนไปโดยปริยาย


                    จงอินเรียนเก่ง เก่งทั้งภาษา สังคมศาสตร์ และที่แน่ๆคือฉลาดคณิตศาสตร์กว่าเซฮุน แต่จงอินกลับมีเป้าหมายในการเรียนชัดเจนคือ อยากจะเข้ามหาลัยด้านศิลปะในตอนที่จบม.ปลาย


                      บ่อยๆที่เซฮุนไปนั่งดูจงอินซ้อมบัลเล่ต์ที่ชมรมและรู้สึกว่าเพื่อนคนนี้เก่งจริงๆ เขาชื่นชมที่จงอินมีความสามารถ ไม่เหมือนเขาที่ยังไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่าตัวเองอยากจะเป็นอะไร หรือเรียนอะไร



                     "ไงเตี้ย ซ่ามากเหรอมึงอะ"



                     พอก้าวขาพ้นชานชลาก็เจอช็อทเด็ดเลย ดูเหมือนว่านักเรียนมัธยมคนนึงกำลังถูกพวกเด็กพาณิชย์หน้าโหดรุมไถตังค์อยู่ที่อีกฟากของถนน เซฮุนกระชับเป้บนบ่าและนั่งรอรถเมล์ด้วยใจตุ้มๆต่อมๆหวังให้รถเมล์มันมาไวๆ  ไม่งั้นถ้าไอ้เด็กนั่นโดนซ้อมน่วม เขาอาจจะเป็นเหยื่อรายต่อไปก็เป็นได้ --เรื่องแบบนี้ริวจะไม่ยุ่ง



                    "สัด ซ่าพ่องดิ กูเป็นคนโว้ย ไม่ใช่โซดาสิงห์"


                    เซฮุนก้มหน้าลงมองพื้น เขย่าขาโดยไม่รู้ตัวด้วยความกดดัน ถ้าทำได้เขาอยากจะหายตัวแว้บไปจากตรงนี้ให้ไม่มีใครเห็นว่ามีตัวตนเสียเลย.. ว่าแต่...เสียงมันคุ้นๆ...


                    "ปากดีนักนะมึง กินตีนมั้ย"


                    "เก็บไว้แดกเองดิวะ"


                    เสียงห้าวที่ตะโกนแหวกอากาศทั้งที่ยืนอยู่ตัวคนเดียวโดยมีไอ้ร่างยักษ์กลุ่มใหญ่รุมล้อม มันช่างสะเนาะเพราะพริ้งด้วยเมโลดี้และเนื้อเสียงแสนคุ้นเคย พอเซฮุนเงยหน้าขึ้นมองก็ถึงบางอ้อ



    --แบคฮยอนตัวเร้าตีนนี่เอง




                    ถึงจะรู้สึกลำไยมันไปบ้างในบางที แต่เซฮุนก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผีอะไรมันสิง วินาทีที่แบคฮยอนกำลังโดนรุมสกรำยำด้วยตีน แทนที่เขาจะนั่งนิ่งๆหรือทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น  เซฮุนกลับทิ้งกระเป๋าเป้ไว้แถวนั้นและเดินอาดๆเข้าไปเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงยักคิ้วทำหน้ากวนบาทาและแผดเสียงดังอย่างมั่นอกมั่นใจ



                   "ไร้น้ำยาถึงขั้นต้องหมาหมู่เลยเหรอวะ ขี้กากว่ะ"


                  ---ขี้กากนี่หมายถึงตัวเขาเองน่ะนะ ไม่ใช่ไอ้พวกนั้นหรอก   เซฮุนคิดในใจ



                     ก็รู้ทั้งรู้แหละว่าสู้ไม่ไหว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงยอมเห็นไอ้แบคฮยอนโดนกระทืบไม่ได้ต่อให้ไม่ชอบหน้ามันก็เถอะ และหลังจากนั้นก็ไม่เหลือเวลาให้ได้คิด เพราะตีนเน้นๆ ได้ถูกโอนจากแบคฮยอนมาประเคนให้โอเซฮุนถึงที่



                   หนักๆ - เน้นๆ - สลิงไม่มี - สแตนด์อินไม่ใช้ -----ตีนเต็มๆ คอมโบ้แปดสิบ



                   วินาทีนั้นมันไม่ต่างอะไรกับภาพฉากบู๊ในหนังของเฉินหลง หลังจากโดนไปหลายตีนโดยไม่รู้ว่าตีนใครเป็นตีนใคร แบคฮยอนเอง เห็นตัวเล็กๆอย่างนั้นแต่เรื่องต่อยตีก็บู๊ไม่ยอมใครเหมือนกัน หลังจากตอบโต้ไปหลายดอก และก็โดนใส่ไปหลายหมัดสุดท้ายทั้งเซฮุนและแบคฮยอนก็หลุดออกมาได้ วิ่งเปิดแน่บกลับลงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินไปโดยที่สภาพเหมือนหมาทั้งคู่


                 เซฮุนหอบแฮ่กตอนที่มองแบคฮยอนที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างๆ


                  "หน้ามึงเละเหมือนศพเลยแบคฮยอน"


                 "มึงโงหัวดูหน้าตัวเองซะก่อนเหอะ" แบคฮยอนตอบและกลั้วหัวเราะในลำคอ ตอนนี้สภาพพวกเขาก็ดูทุเรศลูกกะตาพอกันนั่นแหละ ทั้งเบ้าตาม่วงๆ และแผลที่มุมปาก แถมเซฮุนยังเหมือนจะโดนอะไรกระแทกที่หางคิ้วอีก ไม่รู้ว่าแตกจนต้องเย็บหรือเปล่า



                   "กูกลับบ้านไม่ได้ชัวร์เลย" เซฮุนไม่กล้าโผล่หน้าเยินๆไปให้แม่เห็น รวมทั้งกลัวชานยอลจะเห็นแล้วโดนดุด้วยนั่นแหละ "แม่กูฆ่ากูตายแน่ถ้าเห็นสภาพ"


     
                 "นอนบ้านกูปะละ พ่อแม่กูไปสัมมนาที่ฮ่องกง" แบคฮยอนเอ่ยง่ายๆอย่างไม่คิดอะไร และนั่นก็ทำให้เซฮุนต้องหันมองก่อนจะตอบสั้นๆ



                  "เออ"  เซฮุนยิ้มกว้าง ไม่รู้ว่าทำไมถึงตอบตกลงทั้งที่คิดมาตลอดว่าแบคฮยอนเป็นคนที่น่ารำคาญสุดๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ความเป็นเพื่อนของเรามันก็เริ่มต้นตั้งแต่วันนั้นนั่นแหละ










    [ 18 - 25 ]



                    "เดี๋ยวสิบเอ็ดโมงผมจะเข้าห้องสมุดไปค้นเท็กซ์บุ๊ค พี่ว่างใช่ไหม"



                    แบคฮยอนที่ถือหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊คนิยายต่างประเทศเล่มนึงในมือหันมาถามคยองซูอย่างนึกได้  นักเรียนครุศาสตร์รุ่นพี่นั่งหน้าตูม ตักข้าวที่แบคฮยอนซื้อให้ใส่ปากแล้วพยักหน้าอย่างเสียไม่ได้



                   หลังจากที่ได้มาทำหน้าที่"เบ๊"ให้แบคฮยอน(จากนี้จะยอมเรียกชื่อก็ได้--)ได้ซักพัก คยองซูก็เริ่มชินกับนิสัยขี้สั่งจอมบงการของแบคฮยอน ตอนนี้เขากลายเป็นเหมือนตุ๊กตาเฟอร์บี้เสียกบาลที่แบคฮยอนคิดอยากจะให้ทำอะไรหรือกระเตงไปไหนก็ทำตามแต่ใจตัวเองชอบ แม้จะได้คุยกันมากขึ้น แต่ก็ไมได้ทำให้คยองซูรู้สึกมีความสุขหรือสนิทสนมกับไอ้เด็กเปรตนี่เลยซักนิด



                  "พี่ฟังอยู่ปะครับ"



                   "ฟัง" พูดทั้งหน้าหงิกๆ แบคฮยอนร้องอื้ออย่างพอใจแล้วก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือในมือต่อ ส่วนคยองซูก็ได้แต่นั่งกินข้าวไปเงียบๆ จนกระทั่งใกล้ถึงเวลาแปดโมง คยองซูติดรถของแบคฮยอนไปลงที่คณะเพื่อให้ทันเข้าเรียน เพราะแบคฮยอนขู่ว่าถ้าใช้วิธีเดินข้ามตึกไปเกือบครึ่งกิโล มีหวังไม่ทันแน่



                   ทันทีที่ก้าวลงจากรถคันสวยของนักศึกษาแพทย์  เพื่อนๆผู้น่ารักที่นั่งอยู่ที่โต๊ะประจำสาขาก็ต่างชูคอส่งแววตาและน้ำเสียงล้อเลียนกึ่งกวนประสาทมาให้อย่างพร้อมเพรียง



                  "ไงจ๊ะ พ่อตุ๊กตาหน้ารถ" ยัยนมโตผมม้าขนตาแพใหญ่ยักษ์นี่ชื่อฮยอนอา



                  "นี่เพิ่งรู้นะแก ว่าย้ายคณะจากครุไปเรียนคณะอื่นแล้ว" ส่วนตุ๊ดปากแดงที่จีบปากจีบคอพูดอยู่นี่ชื่อคีย์--- จริงๆพ่อแม่มันตั้งชื่อให้ว่าคิบอม แต่เวลาทำความรู้จักใคร มันก็ชอบไปแนะนำตัวกับชาวบ้านเขาว่าชื่อคีย์ โดยอ้างว่าเป็นชื่อในวงการ



                 "ย้ายคณะ? คณะอะไรวะ" คยองซูขมวดคิ้ว เขาไม่มีเวลามาคิดตามมุขอีพวกเพื่อนชั่วพวกนี้หรอกนะ



                "เทคนิคการจับแพทย์ไงแก" ดงอุนเพื่อนตุ๊ดหัวโปกกระโหลกไขว้อีกคนเอ่ยแซวด้วยเสียงสูงปรี๊ดและหัวเราะร่วนโดยมีฮยอนอากับคิบอมร่วมวงไพบูลย์ด้วย ขอให้เพื่อนเจริญๆเถอะครับ  คยองซูนั่งลงและควักเอาเลคเชอร์วิชาที่กำลังจะต้องเรียนขึ้นมาเปิดทวนก่อนเรียน



                ถึงยัยพวกนี้จะวี้ดว้ายไปซักหน่อย แต่ก็อยู่ด้วยกันมานานจนรู้ไส้รู้พุงรู้กึ๋นกันหมดแล้ว แม้จะมีจิกกัดบ้างแต่ก็รู้ๆกันอยู่ว่าแซวเพราะรักและรู้จักในตัวตนกันและกันดี



                ถ้าไม่รวมฮยอนซิก--เพื่อนผู้ชาย(ที่แมนแท้ๆทั้งแท่ง)อีกคนในกลุ่ม คยองซูคิดว่าเขาคงเป็นคนที่จืดชืดที่สุดแล้วในคณะครุศาสตร์ เอกมัธยมศิลป์แห่งนี้



                "งั้นคาบนี้พรีเซ้นท์งานเสร็จแล้วก็มีเก็บคะแนนอีกทีมิดเทอมเลยใช่ปะ"



                "ช่าย" ฮยอนอาลากเสียงยาวแล้วใช้หลอดตักวิปครีมจากแก้วช็อคโกแล็ตมิ้นท์ขึ้นมากิน



                "แก เรื่องนั้นไว้ก่อน ว่าแต่---พ่อหนุ่มคณะแพทย์ที่มาส่งแกนี่ยังไง เมื่อวานก็มา วันนี้ก็มา คืออะไรเอ่ย" คีย์ทำตาปิ๊งๆแล้วอมยิ้มโปรยวิ้งค์โดยมีฮยอนอาและดงอุนนั่งเงียบอย่าสนใจจดจ่อรอฟัง



                    คยองซูอยากจะแจกบัตรห้ามเสือกให้ทุกคนจริงๆ










     
                       "ไงสัส ช้ำใจจนไปทำงานไม่ได้เลยเหรอ"  อี้ฟานหัวเราะร่วนตอนที่ตบที่นอนปุๆจนชานยอลดึงผ้าห่มมาคลุมหัวแล้วตะโกนลอดจากใต้ผ้าห่มออกมาไล่



                        "ถ้าจะมากวนตีนมึงกลับไปให้ไกลๆรัศมีตีนกูเลย"



                      อี้ฟานมองเพื่อนรักที่นอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มแล้วยิ้มออกมาอย่างอารมณ์ดี มองไปรอบๆห้องของเพื่อนรัก ไม่ว่าจะอะไรก็มีแต่เรื่องของเด็กคนนั้นเต็มไปหมด--- เด็กที่ชื่อโอเซฮุน



                      ไม่ว่าจะเป็นรูปถ่ายคู่กัน ของขวัญที่ได้มาจากเซฮุน หรือสีผ้าปูเตียงที่ชานยอลเลือกมาเพราะเป็นสีโปรดของเซฮุน แถมนี่ที่ชานยอลโอดโอยไม่ยอมไปทำงาน ก็พอรู้ล่ะว่าส่วนนึงมันมาจากไข้หวัดใหญ่ที่ทำให้ต้องนอนแบ่บอยู่บนเตียงเสียหลายวัน แต่มันก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเพราะทะเลาะกับเด็กเซฮุนนั่น ชานยอลถึงป่วยใจไม่อยากจะหยิบจับทำมาหากินอะไร ใช้ชีวิตเหมือนซากศพ



                    เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าถ้าความรู้สึกตรงกันแล้วทำไมชานยอลถึงเอาแต่ยึกยักจนมันมีปัญหาบานปลายแบบนี้




                    "ถามจริงๆนะ กลัวอะไรวะ" ทำไมถึงต้องเก็บความรู้สึกอยู่แบบนี้ทั้งที่ตัวเองก็แคร์อีกฝ่ายมากพอดู



                     ชานยอลถอนหายใจแล้วตลบผ้าห่มออก มองหน้าอี้ฟานทั้งที่ตัวเองก็ยังนอนอยู่บนเตียง พูดตอบทั้งที่ตาก็ยังมองค้างอยู่บนเพดานห้องสีไข่"ไม่รู้ว่ะ--กูก็ไม่รู้ว่ากลัวอะไร"



                    ชานยอลนึกถึงคืนนั้น.. คืนที่เขาและเซฮุนไปตั้งแคมป์กันในป่าช่วงปิดเทอมใหญ่ ตอนที่เซฮุนบอกความในใจ และเขาก็ตอบปฏิเสธ นึกถึงตอนที่ริมฝีปากหอมหวานของเซฮุนเป็นฝ่ายมอบจูบให้กับเขา นึกถึงตอนที่เสียงแหบพร่าของเซฮุนกระซิบอยู่ที่ข้างหู



                      มันไม่ควร----ไม่ควรเลย




                   สำหรับเซฮุนมันอาจจะเป็นแค่อารมณ์ที่วูบไหวชั่วครู่ชั่วยาม แต่สำหรับคนที่ไม่ได้ใช้แค่ความรู้สึกตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างอย่างชานยอล เขาจำมันได้แม่นยำและตอกย้ำตัวเองมาตลอดว่าไม่ควร



                   อีกฝ่ายคงไม่เคยรู้หรือคิดจะสนใจ เซฮุนคงจำอะไรไม่ได้แล้ว
                  ผิดกับปาร์คชานยอล--ที่ไม่เคยลืม

     




    โ ป ร ด ติ ด ต า ม ต่ อ ต อ น ห น้ า
    _________________________
    หายไปนานจนลืมกันแล้วมั้งเนี่ย ฮืออ ช่วงนี้เพิ่งเสร็จมิดเทอมไป
    มาต่อแล้ว -..-);; อีพีนี้เนื้อหามันอาจจะชะวิ้งชะว้างไปนิดนึง
    อยากให้ทุกคนพึงระลึกเสมอว่า น้องเซฮุนในเรื่องคือเด็ก ที่เป็นเด็กจริงๆ
    เด็กที่อายุน้อยว่าชานยอล 7 ปี สังคมแตกต่าง อะไรหลายๆอย่างแตกต่าง
    แม้แต่ความคิด เหตุผล หรือความรู้สึก

    แท็ก : #พิชาน25น้องฮุน18
    / #ฮุนไคDistant
     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×