ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ( 18 x 25 ) - สิบสี่ : สูญเปล่า
Distant ( 18-25)
Chanyeol x Sehun / Sehun x Kai By:ซรดจ.
Chanyeol x Sehun / Sehun x Kai By:ซรดจ.
______________________________
แสงยามเช้าที่ลอดผ่านม่านเข้ามาแยงตาคล้ายจะบังคับว่าต้องตื่น ที่นอนของแบคฮยอนว่างเปล่าแต่เซฮุนไม่ได้นึกสงสัยอะไร เดาเอาว่าเพื่อนรักคงจะเรียนหนักในสายอาชีพแพทย์
เสียงผ่อนลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอของคนที่อยู่ข้างตัวและเสียงนกร้องจิ๊บๆมันช่างเป็นท่วงทำนองที่สอดประกานกันอย่างไพเราะน่าฟัง เซฮุนกอดคนที่นอนหันหลังให้แนบอก และนั่นก็ทำให้จงอินรู้สึกตัวตื่น แต่เซฮุนไม่ได้สนใจ ใช้อ้อมแขนรั้งจงอินเข้าหาตัว แล้วกระซิบเบาๆที่ข้างหู
"ไม่ไปเรียนได้ปะ"
"มันต้องไปอะ"
"มันต้องไปจริงๆอะ?"
"อือ..แล้วทำไมไม่หัดไปเรียนบ้าง โดดบ่อยไปแล้วปะวะ" เสียงบ่นของจงอินงัวเงีย และเซฮุนก็รู้สึกว่ามันไม่ได้จู้จี้หรือฟังน่ารำคาญอะไรเลย มันน่ารักเสียจนต้องหัวเราะออกมาตอนที่ได้ยิน และจูบย้ำที่ลาดไหล่เปลือยเปล่าจนอีกฝ่ายพลิกตัวหันกลับมาเผชิญหน้า
"ไม่เล่น"
"นี่ก็ไม่ได้เล่นไง มึงก็รู้ว่ากูเป็นคนเอาจริง..เอาจัง.."
เซฮุนพูดเน้นออกมาทีละคำทั้งท่าทางยียวน ดูจากท่าทางแล้วเช้านี้จะเป็นเช้าที่สดใสมากสำหรับโอเซฮุนในรอบหลายปีเลยทีเดียว จงอินใช้ฝ่ามือดันหน้าของเซฮุนออกตอนที่อีกฝ่ายหัวเราะเสียงดังและพยายามจะแกล้งจุ๊บตรงนั้นทีตรงนี้ทีให้เขารำคาญจนไม่อยากจะนอนต่อ
"ง่วง ขอนอนก่อน วันนี้ต้องไปเรียน"
"ก็ได้จ้ะ" เซฮุนเป็นคนเชื่อฟังเมียซะด้วยสิ เอาเถอะ ถ้าจงอินอยากนอนเค้าก็จะปล่อยให้นอนมือที่ยุกยิกอยู่ใต้ผ้าห่มเลิกก่อกวนคนกำลังหลับ ดึงผ้าห่มมาคลุมตัวจงอินไว้แล้วกอดเอวจงอินจากนอกผ้าห่ม เท้าแขนอีกข้างกับที่นอนแล้วมองคนที่หลับตาอยู่ตรงหน้า
"วันนี้เรียนวิชาอะไรอ่ะ" จงอินพึมพำถามทั้งที่ยังไม่ยอมลืมตา
"วิชาภาค แต่ไม่ต้องเข้าก็ได้มั้ง"
"ให้ตัดสินใจอีกที ไม่งั้นจะด่าแล้วนะ" ตอนนี้จงอินลืมตาขึ้นมองหน้าเซฮุนแล้ว แถมยังใช้นิ้วจิ้มไปกลางหน้าผากคนที่นอนอมยิ้มอยู่ตรงหน้า แต่ยังไม่ทันจะได้ด่าสมกับที่คาดโทษไว้ เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียก่อน
เซฮุนพลิกตัวมาหยิบโทรศัพท์และกรอกเสียงลงไป
"ฮัลโหลครับแม่.. ครับ.... เดี๋ยวจะกลับบ้านเดี๋ยวนี้ล่ะครับ"
[ 17- 23 ]
"ปิดเทอมนี้อยากจะไปไหน พี่มีให้เลือกสองแพลนสำหรับวันเสาร์นี้ ระหว่างเข้าป่า แคมปิ้ง ตกปลา กับไปทะเล ดำน้ำ เล่นบานาน่าโบ๊ท ดูสาวใส่บิกินี่!"
ชานยอลกางกระดาษเอสี่ที่ใช้ปากกาน้ำเงินแบ่งครึ่งเป็นสองฝั่ง และมีรูปกับลายมือเขียนยุกยิกถึงรายละเอียดโปรแกรมเที่ยวตามที่ร่ายให้น้องชายข้างบ้านฟัง แต่ดูเหมือนว่าชานยอลจะนำเสนอทริปหลังแบบออกหน้าออกตาสุดๆ แล้วทำไมเซฮุนถึงจะไม่รู้ล่ะว่าชานยอลอยากไปดูฝรั่งอึ๋มๆ นอนเปลือยอกอาบแดดน่ะ
คนอายุน้อยก้มหน้าก้มตาเปิดแม็กกาซีนอ่าน ทำเป็นว่าไม่สนใจนักตอนที่บอกคำตอบ
"ผมอยากไปตกปลา" ชานยอลกระพริบตาปริบๆ มองเซฮุนที่ยังคงไม่ยอมหันมามอง คือถ้าเผื่อไม่เข้าใจ คำตอบแบบนี้แถวบ้านเรียกว่าดักทางนะรู้ยัง อย่าหวังได้เห็นสาวไหนสำคัญกว่าโอเซฮุนเลยพี่ชาย!
"ทะเลก็มีที่ให้ตกปลานะ" ส่วนที่ตกปลาในป่าที่ว่า มันเป็นแม่น้ำ ปลาที่ตกได้ก็ปลาน้ำจืด กินไม่อร่อยหรอก! ---อันนี้ชานยอลแค่เถียงในใจ ไม่ได้พูดออกไป
"ไม่เอาอะ ก็ผมอยากไปป่า" คนอายุน้อยกว่าทำเสียงแข็งและยังคงไม่เงยหน้าขึ้นมองเด็ดขาด! อย่าคิดว่าจะชนะโอเซฮุนได้นะ ช้าไปสิบปี
"โอเค ยอมครับ ป่าก็ป่า" สุดท้ายแล้วพี่ชายข้างบ้านก็ยอมม้วนกระดาษที่แปะทริปให้เลือกแผ่นนั้นเก็บแล้วพูดต่ออย่างเอาใจ "เดี๋ยวพรุ่งนี้ไปเลือกซื้อเบ็ดตกปลากัน โอเคมั้ย"
"โอเค้" ตอนนี้เซฮุนเลิกสนใจแม็กกาซีนแล้วล่ะ อันที่จริงคือ เขาไม่ได้สนใจมันมาตั้งแต่แรกแล้ว แค่'แกล้ง'ทำเป็นสนใจเพื่อจะเรียกร้องความสนใจและเอาชนะชานยอลเท่านั้นแหละ และมันก็สำเร็จเสียด้วย ข้อเสนอจากชานยอลช่างน่ารักอะไรอย่างนี้
"แล้วงานที่ใหม่ว่าไงบ้างอะครับ"
"อืมมม...ก็เดี๋ยวเขาจะเรียกตัวเข้าไปอีกทีช่วงคริสมาสนี้แหละ ตอนนี้ก็เลยว่างๆ"
"ก็เลยมาพาน้องเที่ยวว่างั้น"
"ถ..ถูกต้องนะครับ" ชานยอลทำท่าถูกต้องนะครับชี้นิ้วแบบคุณปัญญารายการแฟนพันธุ์แท้ ตอนนี้เขาลาออกจากบริษัทญี่ปุ่นที่ทำอยู่ตามคำแนะนำของนายจ้าง ที่เสนอว่าความสามารถของชานยอลนั้นมากพอจะไปโตที่อื่นได้ และเจ้านายก็ไม่อยากตัดอนาคตของคนเก่งๆ ให้ดักดานเป็นได้มากที่สุดก็แค่หัวหน้าฝ่าย หรือรองประธานบริษัท
ชานยอลลาออกและได้รับการติดต่อแทบจะในทันทีให้เข้าทำงานในบริษัทออกแบบตกแต่งภายในของเยอรมันที่กำลังจะมีสาขาลูกในโซล หลังจากตกลงทำสัญญาจ้างเรียบร้อย ชานยอลก็มีเวลาว่างอีกยาวๆ กว่าที่สาขาใหม่ของบริษัทจะเปิด
หลังจากสัญญากับเซฮุนไว้ร่วมปี ในที่สุดเขาก็จะได้พาน้องเที่ยวแบบจริงๆจังๆเสียที
สามวันผ่านไปไวเหมือนโกหก ในที่สุดก็ถึงวันเสาร์ที่เขาและเซฮุนตั้งใจจะไปตั้งแคมป์กันเสียที และในตอนนี้คนที่ชานยอลตั้งใจจะพามาเที่ยวก็นั่งหาวหวอดอยู่ที่เบาะที่นั่งข้างๆ กำลังจัดผมหน้าม้าของตัวเองให้เข้าที่ ในมืออีกข้างก็ยังคงถือกล่องนมที่หยิบติดมือมาทานเป็นอาหารเช้าระหว่างเดินทาง
"กว่าจะได้ใบขับขี่เนี่ย ยากปะ" เซฮุนเอ่ยถามทั้งที่ยังไม่ละสายตาจากกระจก ชานยอลมองคนข้างตัวแล้วตอบคำถามของคนอายุน้อยกว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ
"ก็ไม่ยากนะ แต่ก็ต้องสอบขับในสนามที่เค้าเตรียมเอาไว้"
เซฮุนบุ้ยหน้า "แบบนี้ก็ยากน่ะสิ"
"แต่มันก็จำเป็นอะนะ เพื่อจะให้ได้ใบขับขี่มา ไม่งั้นวันดีคืนดี คุณตำหนวดเรียกตรวจใบขับขี่ ก็ซวยดิ"
"เป็นผู้ใหญ่นี่มันก็ยากเหมือนกันนะ"
"ถ้าแค่สอบใบขับขี่ยังว่ายากก็ไม่ต้องทำอย่างอื่นกันแล้วมั้ง
ชานยอลและเซฮุนหัวเราะกับประโยคนั้น เมื่อเห็นตรงกันในเรื่องนี้ เซฮุนจึงดูดนมกล่องของตัวเองต่อไปเงียบๆและทอดสายตามองไปนอกหน้าต่างรถ
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้มาเที่ยวด้วยกันแบบนี้ แต่เซฮุนก็ชอบ
เซฮุนเอาคางเกยหน้าต่างแล้วมองต้นไม้ที่ผ่านตาไปทีละต้นในตอนที่รถเคลื่อนที่ไปข้างหน้าโดยมีจุดหมายคือสถานที่สำหรับตั้งแคมป์ พ่อกับแม่ก็ไม่ค่อยได้มีเวลาพาเขาไปเที่ยวไกลๆเท่าไหร่นักหรอก ลำพังแค่จะหาเวลาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าสักอาทิตย์ก็ยังฟังดูจะเป็นไปได้ยาก
เสียงเพลงป็อปยุค90ที่เซฮุนจำชื่อวงไม่ได้กำลังถูกเปิดสุ่มเพลงไปเรื่อยๆโดยไม่เรียงตามแทร็ค แม้จะไม่ใช่เพลงที่เขานิยมชมชอบ แต่เซฮุนก็ร้องตามได้แทบทุกเพลง อาจเพราะเจ้าของรถเปิดมันบ่อยมาก บ่อยซะจนเซฮุนคิดเอาเองแบบตลกๆว่าชานยอลอาจจะมีซีดีเพลงติดรถอยู่แค่แผ่นนี้แผ่นเดียว
"วงนี้ชื่อวงอะไรนะ"
"BeeGees"
"พี่มีแผ่นนี้แผ่นเดียวเหรอ"
"ใช่" ชานยอลตอบรับหน้าชื่นตาบานจนเซฮุนหัวเราะออกมานิดๆ ดันเสือกมีแผ่นเดียวจริงๆซะด้วย
"ไม่หาซื้อแผ่นอื่นฟังบ้างอะ"
"ไม่รู้ดิ ก็ชอบอันนี้ แล้วมันก็ฟังได้เรื่อยๆ ยังไม่เบื่อ ก็เลยไม่ได้หาอันอื่นมาแทน"
ชานยอลให้เหตุผลที่ฟังดูตลกเสียจนเซฮุนไม่ทักท้วงอะไรต่อ นึกสนุกอยากจะหาซื้อซีดีเพลงเท่ๆที่เขาเองชอบฟังแบ่งให้ชานยอลได้ฟังด้วยกัน ถึงมันจะไม่ได้ใกล้ช่วงวันเกิดชานยอล หรือเทศกาลทั้งปีใหม่คริสมาสก็เถอะ แต่เซฮุนคิดว่าเค้าก็หาเหตุผลจะให้ของขวัญชานยอลได้อยู่ดี
พอได้คิดแบบนี้เซฮุนก็แอบอมยิ้มกับตัวเองด้วยความพอใจ และไม่พูดอะไรต่อจนกระทั่งผล็อยหลับไป เขาและชานยอลสนิทสนมและใกล้ชิดกันมากขึ้นทุกวันจนเซฮุนไม่เข้าใจเท่าไหร่กับสถานะความสัมพันธ์ระหว่างกัน รู้แค่มีความสุขแล้วก็สบายใจเวลาได้อยู่ใกล้ๆคนอายุมากกว่า ส่วนชานยอลเองก็ดูแลเขาอย่างดี.. วางเขาไว้ในตำแหน่งที่ทำให้เซฮุนเองก็พอใจไม่ใช่น้อย
ปฏิบัติอย่างแฟน แต่เรียกแทนด้วยคำว่า "พี่น้อง"
แม้จะไม่รู้ว่าชานยอลกำลังรออะไรอยู่ แต่เซฮุนก็อดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าในสักวันหนึ่งเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เขาและชานยอลจะให้ความชัดเจนได้เสียทีกับสถานะที่ตอนนี้ยังคงคลุมเครือ
[ 18- 25 ]
"มึงมาเช้ามากคยองซู" ดงอุนกล่าว
"อาจารย์น่าจะงดคลาส" และนี่ก็คือฮยอนอา "กูง่วง"
"เมื่อคืนคุยโทรศัพท์กับผัวดึก" ส่วนคนนี้คือคีย์ ที่หวดกลับมาให้ฮยอนอาอีกครั้ง
"เมื่อคืนกูอ่านกระทู้เจอศพบนตึกร้างสาทร ตาค้างเลยมึง นอนไม่หลับ ความเสือกมันมีมาก"
และดงอุนก็สวนกลับทันควัน "ใช่มะมึง กูนี่ปูเสื่อรอเลยค่ะ"
"ใครมันก็ช่างอุตริเอารูปศพมาทวิต คนยิ่งขวัญอ่อน จนกูต้องโทรไปอ้อนผัวเลยเอาะคิดดู" แม้แต่คีย์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้อ่านกระทู้ในตอนแรกก็ร่วมแสดงทรรศนะเช่นกัน
"แล้วคยองซูได้นอนพักผ่อนบ้างหรือเปล่า ทำไมตาเป็นหมีแพนด้าอย่างงั้นอะ"และสุดท้ายก็ฮยอนชิกที่ดูจะเป็นผู้เป็นคนที่สุดที่ทำให้บทสนทนาถูกวนกลับไปที่คยองซูอีกครั้ง สามสาวสวยจึงยุติการสนทนาและหันเหความสนใจกลับมาสู่เลคเชอร์วิชาเรียนและอาจารย์ที่ยืนบ่นเป็นหมีกินผึ้งอยู่ที่หน้าห้อง ก็การรอให้โดคยองซูพูดนี่แม่งใช้เวลานานราวกับรอให้อีนังแพนด้าหลินปิงเปิดปากพูดภาษาคนเลยค่ะ เพราะฉะนั้นบทสนทนาทุกอย่างเป็นอันจบ กลับไปตั้งใจเรียนหนังสือหนังหากันต่อ
"ว่าไง ไม่สบายใจอะไรบอกได้นะ"
"เปล่าหรอก ไม่ได้เป็นอะไร" คยองซูตอบกลับด้วยใบหน้าและท่าทีที่เรียบเฉยเสียจนฮยอนชิกเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายมีความรู้สึกยังไงต่อคำถามนั้น หรือว่าคยองซูไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกันแน่
ดวงตากลมที่มองไปยังจอโปรเจคเตอร์หน้าห้องดูเหมือนเหม่อลอยมากกว่าจะจดจ่อกับสิ่งที่ฉายขึ้นบนจอ พักใหญ่คยองซูก็เอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ตอนที่หันมามองหน้า
"นี่...ร้านหนังสือตรงสถานีรถไฟที่นายไปทำงานพิเศษเมื่อปิดเทอม..เค้าให้เงินดีหรือเปล่า.."
"ก็ดีนะ ลุงเจ้าของร้านก็ใจดี สนใจอยากลองไปทำดูเหรอ"
"อืม" ดวงตาปูดโปนเพราะไม่ได้นอนของคยองซูมองหน้าของฮยอนชิกแล้วยิ้มบางๆคล้ายจะขอร้องอยู่ในที มันเป็นรอยยิ้มที่ดูนุ่มนิ่มอ่อนโยนและขมขื่นผสมกัน ฮยอนชิกหยุดขมวดคิ้วด้วยความประหม่าและพูดออกมาไม่เต็มคำตอนที่ถูจมูกของตัวเองแรงๆ ทำท่าฟุดฟิดเพราะความขัดเขิน
"เดี๋ยวเย็นนี้เราพาคยองซูไปก็ได้"
ทันทีที่เซฮุนกลับถึงบ้าน จัดการจอดมอเตอร์ไซค์เข้าที่และเปิดประตูเข้าไปข้างใน ความรู้สึกมาคุก็จุกอกเสียจนเขาสัมผัสได้ วันนี้เขาสวมชุดนักศึกษามากันโดนด่า ใครจะรู้ล่ะว่าพ่อแม่จะเรียกมาคุยเรื่องอะไร
ดูเหมือนว่าจุนฮงจะตื่นมาทานข้าวเช้าและหลับไปอีกรอบหนึ่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น ส่วนพ่อกับแม่ยังคงอยู่ในครัวและรอให้เขากลับมาเพื่อพูดคุย เซฮุนทำใจกล้าเดินเข้าไปในครัวและยิ้มทักทาย
"มีอะไรหรือเปล่าครับ"
"นั่งลง พ่อมีเรื่องจะถาม" พ่อนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว พยักเพยิดไปที่เก้าอี้ตรงข้ามด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ เซฮุนวางกระเป๋าเป้ของตัวเองแล้วนั่งลงตามคำสั่ง ไอ้คำพูดวลีที่ว่า'พ่อมีเรื่องจะถาม'มันฟังดูแล้วไม่ใช่ลางดีเท่าไหร่เลย ในหัวเซฮุนแรนด้อมเรื่องไม่ดีที่แอบพ่อแม่ทำเรื่องนั้นเรื่องนี้แข่งกันผุดขึ้นมาเต็มหัวไปหมด
เงียบกันไปหลายอึดใจจนเซฮุนรู้สึกว่าจู่ๆบรรยากาศมันก็ตึงเครียดบีบคั้น จนเขาอยากจะลุกออกไปจากที่ตรงนี้เสียดื้อๆ ก่อนที่พ่อหรือแม่จะเปิดปากพูดเรื่องอะไรที่เขาไม่อยากจะตอบออกมา แต่เหมือนพระเจ้าจะไม่รับรู้ถึงความปรารถนานั้นเลย
"วันนี้มีเรียนหรือเปล่า" นั่นไง คำถามที่เขาไม่อยากจะตอบ
"มีครับ กำลังจะไป" เซฮุนโกหกคำโต ชาวาบไปทั้งตัวตอนที่เอ่ยตอบออกไป ในหูเหมือนมีเสียงกลองรัวระทึก และจิตสำนึกที่กระซิบบอกซ้ำไปซ้ำมา 'ชิบหายแล้ว ชิบหายแล้ว' ใช่.. ชิบหายแล้ว
"โกหกได้ทุกเม็ดจริงๆ" แม่ส่ายหน้าระอา แววตาที่มองฉายชัดว่ากำลังผิดหวัง เซฮุนได้แต่กลั้นใจขอให้คำโกหกของเขาได้ผล
"การที่พ่อแม่ยอมให้แกไปอยู่หอไม่ได้แปลว่าแกจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบหรอกนะ"
"พ่อพูดถึงอะไรอยู่ครับ" ถามทั้งๆที่รู้ แต่เซฮุนก็หวังอยู่ให้อะไรก็ตามแต่ช่วยดลบันดาลให้มันไม่ใช่อย่างที่เขาคิด
"โดดเรียนมากี่ครั้งแล้ว เมื่อเช้าพ่อกับแม่เจอชานยอล เค้าบอกว่าลูกติดเอฟ มันหมายความว่ายังไง"
เซฮุนอึกอัก นึกเกลียดปาร์คชานยอลขึ้นมาจับใจ ฟันคมบดกัดริมฝีปากสีอ่อนเพราะไม่รู้ว่าควรให้คำตอบแบบไหน พ่อที่ก่อนหน้านี้กางหนังสือพิมพ์อ่าน ตอนนี้ม้วนหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นและฟาดมันกับโต๊ะกินข้าวในตอนที่คาดคั้น
"หรือว่าบ่อยจนจำไม่ได้"
"ต่อไปไม่ต้องอยู่แล้วนะหอพัก กลับมานอนที่บ้าน" แม่ที่ยืนพิงเคาเตอร์ในครัวอยู่เช็ดมือกับผ้าลายตารางและพูดเรียบๆ แต่มันกลับกวนโทสะให้เซฮุนยิ่งรู้สึกเหมือนกำลังจะโดนริดรอนเสรีภาพที่เพิ่งได้มาไม่นาน
"ก็เพราะพ่อแม่ไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ ไม่เคยมีเวลาให้ผมเลย แล้วตอนนี้จะเอาอะไรกับผมอีกล่ะ" ดวงตาคมกริบและแพคิ้วหนาที่ขมวดมุ่นจ้องมองผู้ให้กำเนิดและกระแทกเสียงกลับ จะด่า จะตี เซฮุนก็ยอมได้ทั้งนั้น แต่การจะให้เขากลับมาพักที่บ้าน นั่นหมายความว่าเขาต้องแยกกับจงอิน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด
ชายหนุ่มลุกขึ้นเอากระเป๋าเป้พาดไหล่อีกครั้ง ทำท่าเหมือนพร้อมจะเดินออกจากวงสนทนาได้ทุกเมื่อที่ต้องการ
"โอเซฮุน!! ที่แม่เค้าพูดแบบนั้นก็เพราะเป็นห่วงแกนะ" พ่อเอ็ดเสียงดังจนดวงตาปูดโปนแทบจะถลนออกมา ตะเบ็งเสียจนลำคอตีบเป็นรอยลึกของเส้นเลือดชัดเจน เซฮุนไม่เคยเห็นพ่อโกรธขนาดนี้มาก่อนเลย.. ไม่เคยจริงๆ
"ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้" เซฮุนเอ่ยเรียบๆก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปยังทางที่เพิ่งจะเดินเข้ามาเมื่อไม่กี่สิบนาทีก่อน
"แกจะไปไหน"
"มหาลัย" ชายหนุ่มให้คำตอบทั้งที่ไม่หันกลับไปมองคู่สนทนา ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกจากบ้านโดยไม่แม้แต่เอ่ยคำบอกลา
KnockKnockKnockKnock!!!!
KnockKnockKnockKnock!!!!
เสียงเคาะประตูปึงปังเหมือนพายุหอบเอาความโกรธมาถึงหน้าห้องพักอาจารย์ ชานยอลที่นั่งตรวจคะแนนเก็บของนักศึกษาในคลาสอยู่นึกรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร จึงตอบกลับโดยไม่ได้มีกริยาอาการร้อนใจตาม
"เชิญครับ"
ทันทีที่บานประตูเปิดผางออกและถูกกระแทกปิดจนกระทบกับกรอบประตูดังโครม ผู้มาเยือนก็พ่นเอาจุดประสงค์ของตัวเองออกมาโดยไม่มีการกล่าวคำทักทาย ดีเท่าไหร่แล้วที่เซฮุนไม่กระโจนเข้าไปต่อยหน้าปาร์คชานยอลเสียเดี๋ยวนี้เลย
"พี่จะเอายังไงกะผมวะพูดมาเลยดีกว่า"
"สงบสติอารมณ์ นั่งลง แล้วก็กรุณาให้เกียรติผมในฐานะอาจารย์ด้วยครับ คุณโอเซฮุน" แม้จะไม่ชอบกริยาท่าทีที่ไม่น่ารักแบบนี้เลย แต่ชานยอลก็นึกรู้อยู่แล้วล่ะว่าเซฮุนจะต้องโกรธเสียจนเดือดดาลโวยวายอย่างนี้
"พี่เลิกแอ๊บเหอะ ก็พี่ไม่ใช่เหรอที่ฟ้องพ่อกับแม่ แล้วจะเอายังไงกับผมอีก"
"อันที่จริงจากเวลาเรียนของคุณ คุณหมดสิทธิ์สอบในวิชานี้ไปแล้ว ผมจะให้เกรดเอฟกับคุณก็ได้ เพียงแต่ว่าอาจารย์บยองฮีที่เป็นเจ้าของวิชาเขามองว่าไม่เหมาะ เพราะคุณ.. เพิ่งเริ่มเข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยเทอมแรก วิชานี้ควรจะเป็นวิชาเก็บเกรด ไม่ใช่วิชาดึงเกรด"
ชานยอลเงยหน้าขึ้นมองเซฮุนที่บัดนี้อยู่ในฐานะนักศึกษา สายตาเย็นชาที่มองผ่านกรอบแว่นทำให้เซฮุนชะงักไปก่อนจะตะกุกตะกักถามออกมาทั้งที่ยังคงมีอารมณ์โมโห
"ล..แล้วจะให้ผมทำยังไง"
"เชิญนั่งครับ" ตอนนี้ชานยอลสมเป็นผู้ใหญ่ที่อายุแก่กว่าเซฮุน 7 ปีขึ้นมาจริงๆ บรรยากาศระหว่างเราสองคนไม่เคยเป็นทางการอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยเป็นทางการเท่านี้จนกระทั่งชานยอลมองเซฮุนด้วยสายตาเย็นชาห่างเหินแบบที่ไม่เคยเห็น มันทำให้เขาได้ซึ้งเลยล่ะว่าที่ผ่านมาคนอายุมากกว่าใจดีกับตัวเองมากขนาดไหน
จนกระทั่งเซฮุนดูจะสงบอารมณ์ได้ด้วยตัวเอง ชานยอลก็ยื่นเอากระดาษคำตอบเทสท์ย่อยปึกใหญ่ที่ถูกตรวจเรียบร้อยแล้วให้เซฮุนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะออกคำสั่งทั้งที่ยังไม่เงยหน้าขึ้นมอง
"กรอกคะแนนลงในใบรายชื่อให้ผมด้วย ถ้ากรอกผิด ผมจะหักเอาจากคะแนนของคุณไปใส่ให้เพื่อนแทน"
ชานยอลจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเขากรอกถูกหรือผิด ถ้าไม่ตรวจซ้ำ แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมชานยอลถึงไม่ทำเองแทนที่จะมาใช้ให้เขาเป็นคนทำ แล้วอีกอย่าง เขาเองก็โดดเรียนแทบจะทุกคาบตั้งแต่ชานยอลเข้ามาเริ่มสอนเต็มตัว งานก็ไม่เคยส่ง เทสในห้องก็ไม่เคยทำ จะเอาคะแนนจากไหนมาให้หักกันล่ะ
เซฮุนอ้าปากหมายจะเถียง แต่ก็นึกรู้ตัวว่าภาษีด้อยกว่าชานยอลอยู่โข จึงหุบปากลงเงียบๆ และกรอกคะแนนลงในใบรายชื่อตามคำสั่ง ระหว่างที่ชานยอลก็นั่งตรวจเอกสารไปเงียบๆโดยไม่แม้แต่จะเหลือบมามองเซฮุนซักนิด
ครู่ใหญ่เซฮุนก็กรอกคะแนนทั้งหมดจนเสร็จ และส่งมันคืนให้กับชานยอลที่ยังคงตีสีหน้าเคร่งเครียดอยู่หลังกรอบแว่นตา ตั้งใจอ่านเอกสารงานวิจัยในมือ
"เสร็จแล้วครับ..อาจารย์"
เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่เข้ามาในห้องพักอาจารย์ที่ชานยอลสบตาเซฮุน มันยังคงเป็นแววตาแห้งแล้งเย็นชาแบบที่เซฮุนไม่คุ้นเคย มันเหินห่างเสียจนเซฮุนรู้สึกราวกับว่าระหว่างเขาและชานยอลเหมือนคนที่เพิ่งรู้จักกันในคลาสเรียนแค่ไม่กี่ครั้ง เป็นแค่ อาจารย์ชานยอล ไม่ใช่ พี่ชานยอล คนที่โตมาด้วยกัน
"จากนี้คุณต้องเข้ามาช่วยงานเอกสารผมทุกวันหลังเลิกเรียนเป็นการชดเชยเวลาเรียนที่คุณขาดไปจนกว่าชั่วโมงเรียนทั้งหมดของคุณจะครบ 80เปอร์เซ็นตามเกณฑ์ที่มีสิทธิ์สอบ" ชานยอลพูดช้าชัดทีละคำ เพื่อจะได้ไม่ต้องทวนซ้ำเป็นรอบที่สอง
"คุณไปได้แล้ว"
หลังจากพูดจบ ชานยอลก็ก้มลงอ่านงานวิจัยตรงหน้าต่อ มีบางครั้งบางคราวที่จดช็อตโน๊ตอะไรยุกยิก เซฮุนได้แต่มองภาพตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะก้มหัวให้และออกจากห้องมาด้วยความรู้สึกจุกๆในอกแบบอธิบายไม่ถูกอย่างไรพิกล
คล้อยหลังไปได้ชั่วอึดใจ ชานยอลก็ถอดแว่นตาและโยนเอกสารงานวิจัยส่งๆลงบนโต๊ะทำงานก่อนจะล้วงเอาโทรศัพท์มือถือออกมากดโทรออกและกรอกเสียงนุ่มนวลสุภาพสนทนากับผู้ใหญ่ที่อยู่ปลายสาย
"คุณป้าครับ น้องมาพบผมแล้วนะครับ.. ครับผม... ครับ เดี๋ยวผมจะคอยดูเรื่องเรียนให้...ครับ..." ชานยอลนิ่งฟังความต้องการจากแม่ของเซฮุนและตอบรับพลางก็ปลอบให้คนอายุมากกว่าเบาใจ
จะบอกว่าเขา'ฟ้อง'ตามที่เซฮุนกล่าวหาก็ไม่ได้ถูกเสียทีเดียวหรอก ต้องบอกว่าบังเอิญมากกว่าที่เขาตั้งใจจะเอาเอกสารแจ้งเวลาเรียนไปฝากจุนฮงเอาไว้เพื่อเรียกตัวเซฮุนให้มาพบ แต่กลายเป็นว่าเจอพ่อและแม่ของน้องแทน
จากคำบอกเล่าของทางบ้านเซฮุน ดูเหมือนคนที่ไม่เคยได้รับอิสระจะเตลิดเปิดเปิงระเริงไปกับชีวิตมหาลัย และการเป็นผู้ใหญ่ที่นึกเข้าใจไปเองว่ากำลังเป็น ชานยอลที่อยู่ใกล้ชิดน้องมาตลอดก็รู้สึกผิดเช่นกันที่ละเลยจนน้องเกเรได้ถึงขนาดนี้ เพราะสืบสาวราวเรื่องแล้ว ก็ไม่ใช่แค่วิชาของชานยอลที่เซฮุนขาดเรียนบ่อยๆ แต่รวมถึงวิชาของอาจารย์คนอื่นๆในภาค ที่ชานยอลต้องเดือดร้อนไปรบกวนบยองฮี ให้ขอผ่อนผันและเป็นที่มาของข้อต่อรองนั้นที่เขาได้เสนอให้กับเซฮุน
ไม่รุ้ทำไมชานยอลถึงได้รู้สึกว่า ถ้าหากชีวิตของโอเซฮุนจะพัง กึ่งหนึ่งมันก็มาจากความผิดของเขาด้วยเช่นกัน
เสียงโน๊ตเปียโนที่เรียงร้อยเป็นเพลงบรรเลงดังกังวาลในห้องๆเดิมที่คิมจงอินคุ้นเคย
ห้องเรียนบัลเล่ต์ห้องนี้เป็นที่ฝึกซ้อมของจงอินมาตั้งแต่สมัยเขาเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ตอนที่พ่อกับแม่แยกทางกัน แฟนใหม่ของแม่ค่อนข้างจะมีสังคมที่อู้ฟู่หรูหรา จงอินถูกแม่บังคับให้เลือกเรียนอะไรซักอย่างเพื่อเป็นงานอดิเรกและเขาก็เลือกการเรียนบัลเล่ต์ มันดีเชียวล่ะเวลาแม่ไปพูดอวดใครต่อใครว่าลูกชายมีความสามารถพิเศษคือการเต้นบัลเล่ต์
ห้องๆนี้ตั้งอยู่ที่ชั้นสองของอาคารโรงเรียนสอนบัลเล่ต์ย่านการค้าของโซล มันถูกปรับปรุงใหม่อยู่หลายครั้ง ทั้งเคยเป็นโรงละคร ถูกทิ้งให้ว่างนานหลายปี ใช้เป็นห้องเรียนไวโอลิน และสุดท้ายก็มาจบอยู่ที่การใช้ทำเป็นห้องสำหรับซ้อมบัลเล่ต์
ห้องสี่เหลี่ยมพื้นผ้า ถูกกรุด้านยาวด้านหนึ่งด้วยกระจกตลอดแนว ฝั่งตรงข้ามกันเป็นหน้าต่าง ห้องทั้งห้องจึงมีแดดอ่อนๆส่องถึงตลอดทั้งวัน ที่ข้างหน้าต่างตลอดความยาวของห้องเป็นราวจับสำหรับให้เด็กๆใช้ยืดตัว จงอินเคยนั่งร้องไห้ที่ตรงนั้น ตอนที่พบว่าการฝึกร่างกายให้ยืดหยุ่นมันยากลำบากเหลือเกิน
เปียโนหลังใหญ่ถูกจะวางไว้ที่มุมห้องใกล้ประตูฝั่งเดียวกับกระจก ในคลาสเบื้องต้นที่มีเด็กเรียนเป็นจำนวนมาก อาจารย์ผู้ฝึกซ้อมจะเป็นผู้เล่นเปียโนเพื่อให้จังหวะแก่เด็กๆ
จงอินพยุงร่างกายไว้กับบาร์เดี่ยว กางแขนขนานกับพื้นห้อง ลากเท้าวาดเป็นวงกลม ขยับขึ้นและลงอยู่อย่างนั้นนานสองนาน ตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ที่การเต้นบัลเล่ต์กลายเป็นสิ่งที่ช่วยฝึกสมาธิ จากที่เคยหนีออกจากบ้านเพราะโกรธที่โดนบังคับให้เรียนในสิ่งที่ไม่อยากจะเรียน กลับกลายเป็นว่าเขารักในศาสตร์นี้และวางเป้าหมายระดับมหาวิทยาลัยในด้านบัลเล่ต์ตั้งแต่ยังเรียนชั้นมัธยมต้น
จงอินพรูลมหายใจเข้าออกตอนที่ฉีกขาออกกว้างและเริ่มก้าวกระโดดด้วยปลายเท้าและหมุนตัวคว้างในอากาศอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่เพราะความเจ็บที่ยังคงตกค้างจากกิจกรรมก่อนเข้านอน สุดท้ายเลยได้แต่เดินหน้าเหยเกไปนั่งที่มุมห้องทั้งที่ยังไม่พอใจในการซ้อมของตัวเองวันนี้นัก
"เฮ้ วันนี้ทำไมดูไม่สดใสเลย" จงอินหันมองตามเสียงเรียก ผู้มาเยือนที่ถือกระดาษปึกใหญ่ไว้ในอ้อมแขน มือนึงถือแซนวิชที่มีรอยกัด อีกมือถือกระป๋องน้ำอัดลม ตอนที่โผล่หน้าเข้ามาในห้อง
แทมินใช้เท้าเขี่ยปิดประตูบานเลื่อนแล้วเข้ามานั่งที่เก้าอี้เปียโนตอนที่วางกระดาษในอ้อมแขนไว้บนหลังเปียโนและยกแซนวิชขึ้นกัดอีกคำ
"ทำไมวันนี้กลับดึกจังวะ"
จงอินตอบคำถามของแทมินด้วยคำถาม แต่ชายหนุ่มที่กำลังเพลิดเพลินกับแซนวิชแฮมชีสในมือก็ไม่ได้ว่าอะไร ยื่นใบปลิวหนึ่งใบจากกระดาษปึกที่ถือมาด้วยส่งให้จงอิน
"เอานี่มาติดประกาศ"
จงอินรับใบปลิวมากวาดสายตาอ่าน รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะของแทมินตอนที่มองใบปลิวตรงหน้าด้วยแววตาตื่นใจเหมือนได้พบลายแทงสมบัติ .. มันคือใบปลิวรับสมัครการคัดเลือกนักบัลเล่ต์ที่จะไปศึกษาต่อด้านศิลปะการเต้นที่อิตาลี อันเป็นความใฝ่ฝันสูงสุดของนักบัลเล่ต์หลายๆคน
"เอาแผ่นนั้นไปเลยก็ได้ ยังเหลืออีกเยอะเลย" แทมินยักคิ้วแล้วยกกระป๋องโค้กขึ้นดื่ม "จงอินก็อยากไปนี่นา ลองสมัครดูสิ"
"ทำอย่างกับว่ามันจะได้ง่ายๆอย่างนั้นแหละ" จงอินตอบติดตลกจนแทมินพลอยหัวเราะไปด้วย
"ว่าแต่วันนี้ทำไมยังไม่กลับอีก ซ้อมดึกจัง"
"เลิกซ้อมแล้วล่ะ เดี๋ยวว่าจะลงไปหาข้าวกิน"
"รอคนนั้นมารับก็บอก" แทมินหมายถึงเซฮุนที่คอยมารับมาส่งให้ได้เห็นหน้าค่าตากันบ่อยๆ
"อื้ม" จงอินตอบสั้นๆแล้วยิ้มกว้าง
จงอินไม่ใช่คนมีเพื่อนมาก เพราะรู้ตัวว่าเป็นคนที่ให้ความสนิทและเปิดใจให้ใครต่อใครยาก เขาจึงมักจะไม่เป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อน ในบรรดาเพื่อนสนิทที่มีอยู่ไม่กี่คน หนึ่งในนั้นก็คือแทมิน แต่ต่อให้สนิทกับแทมินมากแค่ไหน มันก็ยังน่าเขินอยู่ดีนั่นแหละเวลาที่โดนถามถึงเรื่องเซฮุน
"อยู่ก็โดนแซว ไปดีกว่า" พอเห็นสีหน้าล้อเลียน จงอินก็หัวเราะแล้วลุกขึ้นเก็บกระเป๋าสะพาย ก่อนจะเดินออกจากห้อง หันมาบอกลาและโบกใบปลิวในมือนิดๆ "ขอบใจนะสำหรับนี่"
หลังจากลงมาที่ด้านล่างของตึกเรียน จงอินเลือกซื้ออาหารกล่องแบบง่ายๆจากร้านสะดวกซื้อสองกล่อง สำหรับตัวเองและเซฮุนที่มาถึงหลังจากเขาจ่ายเงินเสร็จไม่นาน จงอินยื่นถุงข้าวกล่องจากร้านสะดวกซื้อนั้นให้เซฮุนตอนที่รับหมวกกันน็อคมาใส่ โดนมีเซฮุนที่ยังคงไม่ดับมอเตอร์ไซค์แจกแจงให้ฟัง
"วันนี้นอนบ้านนะ"
"ให้ไปค้างเหรอ"
"อืม" เพราะเซฮุนพูดเหมือนสั่งให้ทำ มากกว่าเป็นการขอร้องหรือบอกให้รู้ คนฟังจึงได้แต่พยักหน้าตามใจ ซ้อนท้ายโดยไม่ถามท้วงอะไรต่อ
ตลอดทางมีแต่ความเงียบจนจงอินนึกแปลกใจ มันไม่ใช่ความเงียบเพราะเซฮุนกำลังตั้งใจขับรถ แต่เป็นเพราะคนข้างๆตัวดูเคร่งเครียดผิดปกติ แต่เขาก็เก็บความสงสัยนั้นไว้จนถึงที่หมาย จงอินก็ลงจากรถและถอดหมวกกันน็อคด้วยท่าทางเก้ๆกังๆจนต้องออกปากบ่นขึ้นมา
"หมวกกันน็อคมึงนี่มันถอดยากจัง คราวหน้าไม่ใส่แล้วนะ"
"มานี่" เป็นเสียงของเซฮุนที่ตอบกลับอย่างใจเย็น และค่อยๆปลดสายรัดที่ใต้คางให้คนข้างๆตัว ก่อนจะส่งถุงอาหารกล่องให้จงอินถือไว้ตอนที่ตัวเองเลื่อนมอเตอร์ไซค์เข้าไปเก็บในโรงรถ
พอเข้ามาถึงในบ้าน จงอินก็นึกเข้าใจขึ้นมา ว่าบรรยากาศอึมครึมและความเงียบมันมาจากไหน พ่อและแม่ของเซฮุนตั้งท่าเหมือนรอให้ลูกชายคนโตกลับบ้าน แต่เซฮุนกลับไม่แม้แต่จะปรายตามองพวกท่านสักนิด เดินลิ่วๆไปเปิดตู้เย็น หยิบน้ำเปล่าออกมาสองขวดและปิดตู้เย็นโครมใหญ่จนชั้นวางจานที่อยู่ใกล้ๆกันสะเทือน หลังจากนั้นก็เดินขึ้นชั้นสองอันเป็นห้องนอนโดยไม่พูดอะไรกับทั้งพ่อและแม่ ส่วนจงอินก็ได้แค่โค้งให้พวกท่านแทนการทักทายและรีบเดินตามเซฮุนขึ้นห้องไป
"นี่ไปทะเลาะกับแม่อีท่าไหนเนี่ย"
"ก็..ไม่ให้นอนหอแล้วอะ..เขาจะให้อยู่บ้าน" เซฮุนวางขวดน้ำลงบนโต๊ะทำงานของตัวเอง เดินไปหยิบเอาโต๊ะญี่ปุ่นแบบพับมากางที่กลางห้อง และหยิบเอาถุงของกินแย่งจากมือจงอินไปแกะทาน
อารมณ์ที่ไม่คงที่ของโอเซฮุนและพฤติกรรมเมื่อครู่ที่ผ่านมาทำให้จงอินรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในสงครามเย็นยังไงอย่างงั้น และตอนนี้ดูเหมือนเซฮุนก็เริ่มจะพยศขึ้นมาหน่อยๆแล้ว
"เขารู้ล่ะสิว่ามึงโดดเรียน" จงอินพูดเบาๆเหมือนจะบ่นตอนที่แกะกระดุมข้อมือเสื้อเชิ้ตของตัวเองและพับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก นั่งลงที่ตรงข้ามกันของโต๊ะญี่ปุ่น และหยิบอาหารกล่องที่จงอินเลือกมาเป็นมื้อเย็นของตัวเองออกมาแกะทานบ้าง
"ก็บอกแล้วว่าอย่าขาดเรียนบ่อย"
"อย่าบ่นดิวะ แค่นี้ก็เครียดจะแย่แล้ว ถ้าไม่ได้เจอกันจะทำไง"
เซฮุนดึงสีหน้าหงุดหงิด ตอนที่ถามกลับกราดเกรี้ยวจนคนฟังตกใจ... ไม่เห็นจะต้องจริงจังขนาดนั้นเลย ทำอย่างกับว่าจะโดนกักบริเวณไม่ให้เห็นเดือนเห็นตะวันอย่างนั้นแหละ กับอีแค่การให้กลับมานอนที่บ้านแทนการค้างที่หอพัก
"มึงมันดื้อ" จงอินจิ้มหน้าผากเซฮุนที่ไม่ยอมตอบโต้อะไรนอกจากทำหน้าคว่ำเป็นตูดกลับมาแล้วเบ้หน้า พูดเสียงขึ้นจมูก
"ก็อยากเจอ อยากอยู่ด้วย"
"งั้นก็ไปเรียน" จงอินเท้าคางแล้วมองหน้าเซฮุน "ถ้าอยากจะให้เขาไว้ใจว่าดูแลตัวเองได้ ก็ต้องมีความรับผิดชอบกว่านี้"
เซฮุนฟังคำที่คนรักกล่าวสรุปแล้วอดทำหน้าเหม็นเบื่อไม่ได้ รู้สึกว่าอะไรก็ขัดใจไปเสียหมดทุกอย่าง แม้จะเอ่ยตอบรับ แต่ก็ทำน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายซะจนจงอินต้องดีดหน้าผากอย่างหมั่นเขี้ยว
"เป็นเด็กดีนะหนูโอ อย่าดื้อ เดี๋ยวพี่จงอินสุดหล่อไม่รักนะ
"เออ ไม่ต้องมารักเลยนะ" ทำเสียงเขียวใส่อีก.. โธ่ หนูโอเซฮุน จงอินอดหัวเราะไม่ได้
"ไม่ต้องห่วงเรื่องกูขนาดนั้นหรอกน่า..ไปจัดการชีวิตตัวเองให้ดี อย่าทำตัวติดกับกูมาก ยังไงเราก็ยังอยู่ด้วยกันไปอีกนานไม่ใช่เหรอ ทำอย่างกับกูจะหนีหน้าหายหัวไปวันนี้พรุ่งนี้อย่างนั้นแหละ" จงอินตักข้าวใส่ปากแล้วพูดทั้งที่ยังเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ
"ยังไงกูก็รักมึงอยู่แล้ว"
หลังจากเลิกเรียนฮยอนชิกและคยองซูก็ขึ้นรถประจำทางจากในมหาวิทยาลัยเพื่อไปยังร้านหนังสืออันเป็นที่หมาย
ร้านหนังสือแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดินหน้ามหาวิทยาลัย เป็นห้องแถวสองชั้นขนาดสองคูหา กระจกใสหน้าร้านถูกบดบังด้วยหน้าปกหนังสือต่างๆนานาจนเต็มพื้นที่ ที่ใกล้ประตูทางเข้ามีบ้านแมวขนาดเล็กตั้งอยู่คล้ายจะเป็นนายทวารเฝ้าร้าน ที่ข้างๆบ้านแมวเป็นชั้นวางหนังสือและตั้งหนังสือลดราคาที่กองเรียงรายกินพื้นที่ตลอดความยาวหน้าร้าน
ฮยอนชิกดูจะสนิทสนมกับทุกคนในร้านเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นคุณลุงเจ้าของร้าน ลูกชายวัย30ปลายของคุณลุง หรือเจ้าแฮปปี้ แมวเหมียวสก็อตทิชโฟล์ตวัย7เดือน
คุณลุงเจ้าของร้านแม้ภายนอกจะดูดุไปหน่อย แต่เมื่อฮยอนชิกเอ่ยฝากฝังขอให้รับคยองซูเข้าทำงาน คุณลุงก็ตอบรับอย่างใจดี และให้คยองซูเริ่มเข้าทำงานได้ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นไป
"ขอบคุณมากนะที่พาไปสมัครงาน แล้วก็มาส่ง" คยองซูยิ้มและบอกออกมาอย่างยินดี สีหน้ามีความสุขแบบนั้นของคยองซูทำให้ฮยอนซิกใจเต้น ท่าทางมีความสุขแบบนั้นของคยองซูดูมีสเน่ห์มากจริงๆ
"ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง"
!!!
"คยองซูระวังรถ" แรงกระชากของฮยอนซิกบวกกับเสียงแตรจากรถที่เกือบจะขับเฉี่ยวทำให้คยองซูตกใจผงะและอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนร่วมชั้นเรียนโดยไม่รู้ตัว ยืนค้างอยู่อย่างนั้นกลางถนนหลายวินาทีด้วยความช็อค
"เป็นอะไรหรือเปล่า" ระหว่างที่กำลังสำรวจความปลอดภัยของเพื่อนร่วมชั้นเรียนอยู่ ยังไม่ทันจะได้ส่งคยองซูเข้าบ้าน บุคคลที่สามก็โผล่เข้ามาโดยไม่รู้ที่มาที่ไปหรือเหตุและผลใดๆทั้งสิ้น เดินอาดๆเข้ามาชี้หน้าฮยอนซิกแล้วโวยวายอย่างเอาเรื่อง(และไม่ได้ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย)
"ที่พี่หายไป ไปอยู่กับหมอนี่ใช่มะ" แบคฮยอนถามเสียงสูง ยอมนั่งตากยุงรออยู่หลายชั่วโมง เพื่อที่จะได้มาเห็นกับตาว่าคยองซูกลับบ้านเสียดึกดื่นโดยที่มีผู้ชายหน้าตาท่าทางดี(แต่ก็น้อยกว่าเขาก็แล้วกัน)มาส่ง คำพูดของจุนฮเวที่ทักทายเขาในแรกเจอผุดเข้ามาในหัวของแบคฮยอนอีกครั้ง
ขายตัวงั้นเหรอ นี่สินะลำไพ่พิเศษของคยองซู
"ผมก็นึกว่าพี่จะหวงเนื้อหวงตัว ก็นึกว่าโกรธที่ผมบอกจะจีบ แต่จริงๆแล้ว ที่โกรธ เพราะกลัวผมมาวุ่นวายทำให้พี่เสียรายได้ใช่มะ" น้ำเสียงเย้ยหยันประชดประชันถูกพ่นใส่คนที่อายุมากกว่าโดยไม่ปล่อยให้คยองซูได้โต้ตอบสักคำ
"ยังไงละ ยังไง นอนกับพี่ต้องใช้เงินเท่าไหร่" ถ้าถอดรองเท้ามาตีหัวตัวเองได้แบบในตลกคาเฟ่แบคฮยอนคงจะทำแล้วล่ะ มันเจ็บจี๊ดๆในหัวใจแบบอธิบายไม่ถูกตอนที่เห็นไอ้กล้ามโตนี่ประคองพี่คยองซูข้ามถนน ทำอย่างกับว่าพี่คยองซูเป็นคนชราอย่างนั้นล่ะต้องมาพาข้ามถนน ไอ้ก้ามปูเอ้ย
"เหี้ย" ฮยอนซิกที่ยืนอยู่ข้างๆสบถและถลาเข้ามาคว้าคอเสื้อแบคฮยอนขึ้นมาจนแบคฮยอนเท้าลอยจากพื้น เพราะส่วนสูงที่ค่อนข้างจะต่างกัน หากฮยอนซิกตั๊นหน้าแบคฮยอนขึ้นมาจริงๆ มีหวังหมอนี่ต้องเละเป็นโจ๊กแน่ๆ
"ฮยอนซิก ปล่อยเถอะ เด็กนี่มันไม่รู้เรื่องอะไร"
"ใจดีซะด้วย ขอบคุณที่ปกป้องผ..." ยังไม่ทันที่ประโยคตัดพ้อกึ่งถากถางนั้นจะจบ คยองซูก็พูดแทรกขึ้นมา ทำเอาแบคฮยอนรู้สึกเหมือนโดนเอารองเท้าฟาดหน้าจริงๆ.. แม่งเจ็บไปถึงขั้วหัวใจเลย
"ฉันจะหาเงินค่าเสียหายมาใช้คืนให้เร็วที่สุด เลิกตามฉันได้แล้ว" ไม่มีแม้แต่ความสั่นไหวไม่มั่นใจในน้ำเสียง คยองซูพูดออกมาชัดถ้อยชัดคำเหมือนเก็บฝังสะสมเอาความรู้สึกเหล่านี้ไว้มานาน
"อย่าทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดี แล้วมายัดเยียดให้ผู้รับรู้สึกว่าเป็นหนี้บุญคุณ... ฉันไม่เคยต้องการมันเลย"
"ยกแฟ้มพวกนี้ไปเก็บที่ห้องสมุดคณะ ตู้ที่แปด ชั้นสอง"
"ครับ"
เป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้วที่เซฮุนมาช่วยงานชานยอลเพื่อชดเชยเวลาเรียนของตัวเอง ตอนนี้จงอินก็กลับไปนอนที่หอพักตามปกติแล้ว จะได้เจอกันบ้างก็ช่วงเช้าและเย็นตอนที่เซฮุนเป็นคนไปรับไปส่งอีกฝ่ายเรียน หลังจากจงอินเป็นคนพูดเกลี้ยกล่อม จากความดื้อรั้งดึงดันในทีแรก เซฮุนก็ดูจะอ่อนลงบ้างและยอมเชื่อฟังมากขึ้นทั้งกับทางบ้านและชานยอล
RRRRrrr!
เสียงข้อความเข้าจากโทรศัพท์มือถือที่สั่นอยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้เซฮุนชะงักและพยายามจะหอบแฟ้มตั้งใหญ่ไว้ด้วยมือเดียวเพื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดอ่านข้อความด้วยหวังว่ามันอาจจะมาจากใครคนที่จะทำให้ตนอารมณ์ดีขึ้น และก็เป็นอย่างที่คาด ..
ข้อความจากจงอิน
"วันนี้มีซ้อมรุ่นน้องแข่งชิงทุนไปอิตาลี มันคงเลิกดึกอะ อาจจะนอนที่โรงเรียนนะ ไม่ต้องเป็นห่วง มึงก็สู้ๆนะ คิดถึงมึงว่ะ /จงอิน"
เซฮุนอมยิ้มนิดๆ พิมพ์ข้อความตอบกลับไปด้วยมือเดียวทั้งที่ยังหอบแฟ้มที่ทั้งหนาหนักแถมเรียงซ้อนกันสูงท่วมหัว จนสุดท้ายก็เสียการทรงตัว ทำตั้งแฟ้มนั้นหล่นกระจาย หนำซ้ำยังกระแทกนิ้วเท้าอีกต่างหาก
เสียงโครมครามที่ดังขึ้นไม่ห่างจากห้องพักอาจารย์ทำให้ชานยอลที่ได้ยินรีบลุกมาดู พอเห็นสภาพเซฮุนที่เดินกะย่องกะแย่งพยายามเก็บรวบรวมแฟ้มพวกนั้นเข้าด้วยกันก็ถอนหายใจยาว เดินเข้ามาแตะที่แขนแล้วดึงเอาแฟ้มในอ้อมแขนไปจากเซฮุน
"เซฮุนไปทำแผล กล่องพยาบาลอยู่ข้างชั้นหนังสือในห้องพักครู เดี๋ยวพี่เก็บเอง"
แม้จะอยากเถียงว่าไม่ได้เป็นอะไรมากเลย แต่น้ำเสียงอบอุ่นและคำแทนตัวที่คุ้นเคยของชานยอลอีกครั้งก็ทำให้เซฮุนยอมทำตามอย่างว่าง่าย เมื่อถอดรองเท้าผ้าใบออกก็พบว่าเล็บเท้าคงโดนซักส่วนของแฟ้มกระแทกเข้าจนได้แผล เซฮุนเบ้หน้าตอนที่ดึงถุงเท้าชุ่มเลือดออก และใช้สำลีซับคราบเลือดออกตอนที่แข็งใจล้างแผลและทำแผลให้เสร็จก่อนชานยอลจะกลับมา
อันที่จริงก็ไม่ได้เป็นแผลอะไรใหญ่โต เพียงแต่เลือดออกมาเยอะเท่านั้นเอง ตอนที่ชานยอลเดินย้อนกลับมาและเห็นถุงเท้าเปื้อนเลือดที่กองอยู่ใกล้ๆกัน สีหน้าของชานยอลถึงได้เปลี่ยนเป็นหงุดหงิดตอนที่เดินกลับไปที่โต๊ะ หยิบกระเป๋ามาส่งให้เซฮุน อีกมือหนึ่งกำกุญแจรถยนต์ของตัวเองอยู่
"กลับบ้าน เดี๋ยวพี่ไปส่ง"
"แต่ผมเอามอไซค์มา"
"เท้าเจ็บแล้วจะขับได้ยังไง"
"ผมขับของผมได้ก็แล้วกัน" เซฮุนเถียงเสียงขึ้นจมูกแต่ชานยอลดูจะไม่ฟังคำต่อรองอีกแล้ว
"มานี่" เสียงเข้มตวาดตอนที่ลากแขนให้เซฮุนเดินตามไปที่ลานจอดรถ
"ปล่อยผม!" ตอนแรกเซฮุนก็ไม่เจ็บเท่าไหร่หรอกตีนน่ะ จะมาเจ็บเอาก็ตอนที่ชานยอลลากแขนให้เดินตามนี่แหละ เซฮุนเผลอตะโกนเพราะตกใจกับแรงรั้งของชานยอล แถมยังบีบต้นแขนจนเขาเจ็บไปหมด คนแก่กว่าลากเซฮุนถูลู่ถูกังไปที่รถ และแทบจะเหวี่ยงตัวเซฮุนยัดเข้าไปในเบาะที่นั่งฝั่งผู้โดยสารและกระแทกประตูรถใส่จนเซฮุนมึนงงและไม่ทันตั้งตัว
มารู้ตัวอีกที ชานยอลก็นั่งอยู่ที่เบาะนั่งข้างๆกัน ถอยรถจากที่จอดของมหาวิทยาลัยและออกรถอย่างเร็วจนเซฮุนตกใจ
"พี่เป็นบ้าอะไรของพี่!!! จอดรถเดี๋ยวนี้นะเว้ย!!! ผมไม่ได้เป็นไรมากเลยนะ" ทั้งที่ตั้งใจว่าจะไปหาจงอิน ซื้อของกินเข้าไปให้ แถมเจ้ามอเตอร์ไซค์สมรักษ์ก็ยังจอดอยู่ที่คณะ แต่ดูเหมือนชานยอลจะไม่ฟังเลย หรือไม่ก็แกล้งทำเป็นหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยิน
"..."
"ปาร์คชานยอล บอกว่าให้จอดรถ!!!"
เซฮุนตะคอก ไม่มีความเคารพ ไม่มีคำนำหน้าหรือหางเสียงลงท้าย อารมณ์โกรธที่พลุ่งพล่านของคนอายุน้อยกว่าไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มที่อายุปาเข้าไปเกินครึ่งห้าสิบรู้สึกสะทกสะท้าน ทั้งที่ในใจก็กำลังร้อนไม่แพ้กัน
"ปาร์คชานยอล"
"อยู่เงียบๆ" คนแก่กว่าบอกเรียบๆทำให้เซฮุนยิ่งเดือดดาล เขาไม่รู้หรอกว่าชานยอลคิดอะไรอยู่ แต่เส้นทางที่ชานยอลกำลังมุ่งหน้า มันคือถนนที่วิ่งออกนอกเมือง.. เซฮุนไม่เข้าใจว่าชานยอลกำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่
"ปาร์คชานยอล บอกว่าให้จอดรถ ปาร์ค.."
"หุบปากไปเงียบๆได้มั้ย" ประโยคคำถามสั้นๆแต่กลับเป็นคำพูดเจ็บแสบเหลือเกินเมื่อชานยอลเลือกจะพูดมันโดยใช้สุ้มเสียงที่ไม่เคยใช้กับโอเซฮุน คน
อายุน้อยกว่าดูจะเหวอไปตอนที่ตอบชานยอลด้วยเสียงสูงคล้ายไม่เชื่อหูตัวเองที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่จากชานยอล
"พี่ตะคอกผม"
ชานยอลถอนหายใจนิดๆตอนที่ฟังคำตัดพ้อต่อว่าจากเซฮุน
"พี่ไม่เคยตะคอกผม"
"อยู่เงียบๆ นอนก็ได้ เดี๋ยวถึงแล้วพี่จะปลุก"
ถึงชานยอลจะบอกอย่างนั้นก็เถอะ แต่ใครจะไปหลับลง หลังจากออกรถมาได้พักใหญ่ เซฮุนก็คิดถอดใจไปแล้วเรื่องจงอิน เขาคงไปหาจงอินไม่ทันแล้วแถมแบตโทรศัพท์มือถือก็ยังหมดอีก
ราวๆหนึ่งชั่วโมงแล้วที่ชานยอลขับรถออกมาจากมหาวิทยาลัย ตอนนี้บรรยากาศรอบๆข้างมีแต่ทิวทัศน์ภูเขามืดๆที่เซฮุนไม่รู้จัก ใครก็ได้ช่วยบอกให้อุ่นใจทีว่าชานยอลไม่ได้ขับพาเขาหลงทางน่ะ
"เราจะไปไหนกัน...ครับ" เซฮุนต่อท้าย นึกขึ้นมาได้ว่าชานยอลชอบบ่นเรื่องที่เขาพูดไม่เพราะ แต่คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ได้ตอบ มันเป็นจังหวะที่เงียบกันไปนานจนเซฮุนนึกขบขันว่าชานยอลอาจจะขับรถพาเขาหลงจริงๆ.. แถมตอนนี้ก็เริ่มดึกแล้วด้วย
ครู่ใหญ่ๆหลังจากนั้นชานยอลก็คงยอมรับว่ากำลังหลงทาง เมื่อเปิดจีพีเอสและเช็คเส้นทางอยู่สักพัก ชานยอลก็เลี้ยวรถเข้ามาจอดในรีสอร์ตสไตล์ญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง แต่หลังจากดับเครื่องแล้วชานยอลก็ยังคงไม่ลงจากรถ นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้นเกือบครึ่งนาที ไม่มีปี่มีขลุ่ย อยู่ๆชานยอลก็ถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"ยังจำคำถามตอนนั้นได้รึเปล่า"
"คำถามอะไร" เซฮุนตวัดสายตามอง ถามกลับเสียงเขียวทั้งที่ใจเต้นแรงตอนที่มองสายตาที่เหมือนจะตัดพ้อจากชานยอล หากลองคิดทบทวนให้ดีเซฮุนคงสามารถรู้คำตอบนั้นเองได้ไม่ยาก
[ 17- 23 ]
"พี่ครับ แล้วหลังจากนี้เราก็แค่รอให้ปลามันมาติดเหยื่อน่ะเหรอ"
"อื้มม"
ชานยอลพยักหน้าตอนที่ใช้เหยื่อที่ซื้อมาเตรียมไว้ตอนเช้าก่อนเกี่ยวเข้ากับปลายเบ็ด และหย่อนเบ็ดทิ้งเอาไว้ก่อนจะหันมาอธิบายให้คนอายุน้อยกว่าฟัง
"จากที่ฟังรุ่นพี่ที่เคยมาบอก ตรงนี้น่ะ ปลาเยอะ แต่มันจะไม่ค่อยกินเบ็ดหรอก"
"อ้าว"
เซฮุนทำปากบู้พอชานยอลพูดแบบนั้น คิ้วเข้มที่ถูกบังด้วยผมหน้าม้าขมวดจนแทบจะผูกกันเป็นโบว์ คนอายุมากกว่ามองเซฮุนแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
"แต่พี่..ถ้าปลาไม่กินเบ็ดแล้วเราจะมาตกกันไปทำไมล่ะ"
"อืม....ฆ่าเวลาตอนรอปลามั้ง"
หลังจากผูกเหยื่อเสร็จเรียบร้อยชานยอลก็เดินกลับมาที่เต๊นท์ที่กางไว้ เปิดเอาถังน้ำแข็งและหยิบโค้กออกมาสองกระป๋อง ส่งมันมาให้เซฮุน
"บางทีคนเราก็อยากจะหาเรื่องใช้เวลาคิดอะไรเงียบๆบ้าง ก็เลยเอาคำว่ารอปลาติดเบ็ดมาเป็นข้ออ้าง"
เซฮุนพยักหน้า เปิดโค้กกระป๋องและยกขึ้นจรดริมฝีปาก รับเอาน้ำรสขมซ่าลงคอ ทอดสายตามองแผ่นน้ำที่สะท้อนกับแสงอาทิตย์เป็นเงาระยิบระยับ นึกสนุกถอดถุงเท้าพาดไว้กับกิ่งไม้เล็กๆและพับขากางเกงขึ้นมาครึ่งน่อง ก่อนจะค่อยๆใช้ปลายเท้าจุ่มลงไปในแม่น้ำ ไม่รู้หรอกว่าลึกแค่ไหน แต่ความเย็นสดชื่นของมันก็ทำให้เซฮุนอดไม่ได้ที่จะเพลิดเพลินไปกับมันด้วยรอยยิ้ม
[ 18- 25 ]
"ครับคุณป้า.. ตอนนี้น้องอยู่กับผมครับ ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ"
เซฮุนนั่งอยู่ที่โซฟารับรองตอนที่ชานยอลกำลังเช็คอิน คนตัวสูงคุยโทรศัพท์กับแม่ของเซฮุนไปพลางก็พยายามจะอ่านที่อยู่ของโรงแรมจากใบปลิว
"ครับผม แถวๆอินชอนครับ ใช่ครับเป็นโรงแรม มาธุระของทางมหาลัยนิดหน่อยครับ ใช่ครับ ขอบคุณมากครับคุณป้า"
เซฮุนเบ้หน้า.. 'ธุระของทางมหาวิทยาลัย'กับผีน่ะสิ อยากให้แม่ได้มาเห็นตอนปาร์คชานยอลถูลู่ถูกังลากลูกแม่ขึ้นรถแล้วเหยียบมิดไมล์จากโซลจนมาโผล่อีกจังหวัดนึงจริงๆ เซฮุนหยิบเอาหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นที่วางอยู่บนโต๊ะกระจกของชุดรับแขกขึ้นมาเปิดผ่านๆ แต่มันก็ไม่ได้มีอะไรน่าสนใจ เอาเป็นว่าคืนนี้จะต้องค้างที่นี่สินะ เพราะชานยอลดันขับรถพาหลงเตลิดมาไกลเกินจะกลับบ้านแล้ว
"เซฮุน ตอนนี้ห้องนอนมันเหลืออยู่ห้องเดียว ไม่เป็นไรใช่ไหม"
ชานยอลชูกุญแจห้องในมือแล้วเลิกคิ้วถามนิดๆ เซฮุนปรายตามองแล้วยักไหล่ ก็เช็คอินแล้วยังจะมาถามอะไรเขาอีกล่ะ ถ้าบอกว่าไม่โอเค มีหวังชานยอลอาจจะปล่อยให้เขานอนตากน้ำค้างอยู่หน้าโรงแรมก็ได้
"แล้วแต่พี่สิ ก็พี่เป็นคนออกตังค์นี่ครับ"
[ 17- 23 ]
"พี่ครับผมหนาวจัง..."
เสียงงอแงของน้องชายวัยมัธยมปลายกระซิบเครืออยู่ข้างหูจนชานยอลอดเอ็นดูไม่ได้ ต้องรั้งร่างผอมบางนั้นมากอดซุกอยู่ด้วยกันในถุงนอนขนาดพอดีสำหรับสองคน ก่อนจะพูดกระเซ้าคล้ายจะเย้าแหย่
"บอกแล้วไงว่าให้เตรียมเสื้อกันหนาวหนาๆมา ดื้อ"
"ผมไม่ได้ดื้อนะ" เถียงทั้งที่เสียงขึ้นจมูก เซฮุนรู้ตัวเลยล่ะว่ากำลังจะไม่สบาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ขอให้ได้เถียงไว้ก่อน ชานยอลหัวเราะแล้วใช้ฝ่ามือใหญ่นั้นกดหัวกลมๆของเซฮุนซุกกับไหล่กว้าง
"ไม่ได้ดื้อแล้วเรียกอะไร หืม"
"ไม่รู้" พูดอู้อี้ทั้งที่อยู่ในอ้อมกอดของชานยอล สอดแขนกอดเอวหนาของพี่ชายข้างบ้านไว้ ตอนนี้ร่างกายของเราสองคนแนบชิดกันไปเสียแทบจะทุกส่วน ใกล้กันเสียจนเซฮุนอดคิดลามกไม่ได้แม้จะห้ามตัวเองมากแค่ไหนก็เถอะ
ก็ถ้าอะไร..อะไร..มันตื่นขึ้นมา มีหวังพี่ชานยอลต้องรู้แน่ๆ ว่าเขาแอบคิดลามกน่ะ
"พี่"
"หืม"
"ผมมีอะไรจะบอก"
ตอนนี้เซฮุนเงยหน้าที่ซุกอยู่กับไหล่ของชานยอล จ้องหน้าคนอายุมากกว่าที่นอนอยู่ตรงหน้า ใกล้กันแค่ลมหายใจกั้น ชานยอลจมูกแดงไปหมดคงเพราะอากาศหนาวมาก เซฮุนกดริมฝีปากที่ปลายจมูกแดงและกระซิบเสียงเบา
"ชอบ"
"หืม...ชอบอะไร"
"ชอบพี่ชานยอล.."
เซฮุนลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเคยถามอะไรแบบนั้นกับชานยอล..มันเป็นภาพเลือนๆ เบลอๆไม่ชัดเจน
"รักผมได้ไหม..."
เซฮุนเกือบจะจำไม่ได้แล้วว่าเคยใช้ฝ่ามือนุ่มนิ่มทั้งสองข้างของตัวเองประคองแก้มของชานยอลเข้ามาใกล้แล้วประกบริมฝีปาก มอบจูบแรกให้กับอีกคน จะหาว่าโอเซฮุนหมกมุ่นก็ได้นะ เพราะทั้งที่มันเป็นจูบแรกแท้ๆ แต่เซฮุนกลับทำมันได้อย่างไม่บกพร่องเลย และดูเหมือนชานยอลเองก็จะชอบสัมผัสนั้นเสียด้วยถึงได้เรียกชื่อเขาด้วยน้ำเสียงแบบนั้น
"เซฮุน"
"พี่ชานยอลรักผมได้ไหม...แบบที่...ผู้ใหญ่เค้าทำกัน...."
เซฮุนพูดทั้งหน้าแดงจัดเพราะความกระดากอายแต่ก็ทำใจกล้าเข้าสู้ มือนุ่มที่สอดกอดรอบเอวสอบของชานยอลลูบไล้อ้อยอิ่งและผลุบหายเข้าไปในกางเกงของร่างสูงก่อนจะกระซิบเสียงพร่าที่ข้างหู
"ผมชอบพี่"
"เซฮุน พอเถอะ "
เปลือกตาเงาที่ข่มฝืนหลับตาในที่สุดก็เปิดขึ้นสบตาเซฮุนตรงๆ ตอนนี้เซฮุนเหมือนวิญญาณหลุดลอยไปที่ไหนซักที่ ไม่ได้อยู่ตรงนี้อีกแล้ว ชานยอลกำรอบข้อมือเล็กและดันมันออกห่างจากตัว
"รักของพี่..ไม่ใช่แบบนี้...เซฮุนยังเด็กเกินไป....อย่าทำแบบนี้"
[ 18- 25 ]
"จะอาบน้ำก่อนไหม" เสียงเรียกของชานยอลทำให้คนที่ปล่อยความคิดลอยไปไกลได้สติอีกครั้ง เซฮุนสั่นหน้าแรงๆ รู้สึกอายขึ้นมาพอนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อตอนนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าฮอร์โมนที่พุ่งพล่านหรือความก๋ากั่นอยากลองแบบเด็กๆทำให้เอ่ยปากขอชานยอลออกไปแบบนั้น แต่พอมาคิดย้อนดูอย่างจริงจังแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องเท่าไหร่หรอกที่เขาจะโกรธอีกฝ่าย
ก็ตอนนั้นเซฮุนยังไม่จบม.ปลายเสียด้วยซ้ำ
"พี่อาบก่อนเถอะครับ" เซฮุนตอบและเสมองไปทางอื่น
ชานยอลมองคนที่นั่งจ๋อง ห่อไหล่มองออกไปนอกหน้าต่าง ทำท่าอย่างกับหมาเหงาแล้วก็รู้สึกผิด ก็ด้วยอารมณ์โมโหนั่นแหละ เซฮุนชอบดื้อด้านไม่เข้าเรื่อง เขาเองก็โมโหเหมือนกัน จากที่คิดว่าจะขับรถไปหาที่เงียบๆนั่งคุยกัน กลายเป็นว่ารู้ตัวอีกที ก็มาไกลถึงอินชอนแล้ว แถมยังหาทางกลับไม่ได้อีกต่างหาก
"เซฮุน"
"ครับ"
"คุยกันหน่อยสิ" คนอายุมากกว่าถอนหายใจและพาดชุดเสื้ออาบน้ำยูคาตะแบบญี่ปุ่นวางไว้ที่ปลายเตียงและยืนนิ่งรอให้เซฮุนหันมามองหน้า เซฮุนโตขึ้นมากจริงๆ ทั้งดวงตากลมๆ อ่อนเดียงสา สายตาขี้แกล้งดื้อดึงที่คอยออดอ้อนเอาใจ ตอนนี้ก็กลายเป็นดวงตาคมกริบเหมือนเหยี่ยว รุมร้อนคล้ายไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกอย่างให้ไหม้เกรียมหากมีอะไรไม่เป็นอย่างใจ
แม้แต่ทรงผมหน้าม้าที่เคยมองว่ามันน่ารักเข้ากับเซฮุน ก็กลายเป็นผมแสกกลางที่ยิ่งขับให้ดวงตาคมคู่นั้นดูแข็งกร้าวกว่าเดิม ไหล่เล็กๆและมือนุ่มนิ่มคู่นั้นเติบโตขึ้นอย่างสมชาย ตอนนี้เซฮุนไม่ใช่เด็กน้อยคนเดิมอีกแล้ว
"ตอนนี้...ไม่ได้คิดอะไรกับพี่แล้วใช่ไหม.."
แวบนึงที่ชานยอลแอบดีใจเมื่อเห็นแววตาคมกริบของเซฮุนวูบไหว แต่มันก็เพียงแค่ครู่เดียวเดียวเท่านั้น คนแก่กว่าคลี่ยิ้มหม่นและทอดเสียงทุ้มถามต่อ พยายามอดกลั้นที่จะบังคับไม่ให้เสียงนั้นสั่นเครือ
"หรือเพราะตอนนี้...จงอินเติมเต็มความรู้สึกพวกนั้นให้เราได้.. เราเลยไม่ต้องการพี่อีกแล้ว"
"...."
"เซฮุนเข้าใจใช่ไหม..ว่าทำไมตอนนั้นพี่ถึงห้ามไม่ให้เราทำ"
"ไม่แน่ใจ" เซฮุนตอบไม่เต็มเสียง รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ตอนที่ชานยอลกำลังทำเหมือนรั้งไม่อยากจะให้เขาต้องจากไปไหน ทั้งที่ตอนนี้ใจของเซฮุนก็ไปอยู่กับคนอื่นแล้วเกินครึ่งค่อนใจ ทำไมชานยอลถึงกลับมาช้าเหลือเกิน..
"ที่คบจงอิน เพราะว่ารัก..หรือเพราะอยากจะประชด"
"ผมไม่รู้" ซ่อนน้ำเสียงสั่นเครือไว้ไม่มิด ชานยอลต้องเดาออกแน่ๆว่าเซฮุนกำลังจะร้องไห้ ถึงบีบไหล่ของเขาไว้แน่นขนาดนี้ ตอนที่รั้งให้เซฮุนลุกขึ้นยืนและสบตาตรงๆตอนที่ถามต่อ ไม่เปิดช่องว่างให้ได้หลบสายตา ไม่เปิดโอกาสให้สามารถโกหกได้เลย.. ทำไมถึงใจร้ายแบบนี้นะปาร์คชานยอล
"ที่คอยหลบหน้า...เพราะเกลียดพี่..หรือกลัวจะลืมพี่ไม่ได้..."
".."
"พี่ไมได้ถามให้เซฮุนไขว้เขว..หรือไม่มั่นใจ... แต่เพราะพี่เองก็ยังอยากรู้เหมือนกัน"
ชานยอลพูดชัดเจนทีละคำตอนที่จ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีนิลของโอเซฮุนที่ตอนนี้ไม่สามารถจะซ่อนความปวดร้าวจากชานยอลได้อีกต่อไป ถ้ามันจะมีใครสักคนที่ผิด.. ก็คงจะเป็นโอเซฮุนเอง
โอเซฮุนเป็นแค่เด็กเอาแต่ใจ ที่เรียกร้องความสนใจจากพี่ชายด้วยการให้ความสำคัญกับอีกสิ่งมากกว่า ดื้อรั้นเสมอจนชานยอลต้องยอมตามใจ เสียนิสัยจนอาจเผลอทำร้ายใครสักคนที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรสักนิดให้ต้องมาเจ็บไปด้วยทัง้ที่ไม่จำเป็น
"ถ้าไม่ต้องการพี่แล้วจริงๆ....พี่จะได้เข้าใจ พี่จะไม่พยายามต่อ"
หากคิมจงอินเป็นหนังสือที่เซฮุนเลือกจะอ่านเพื่อฆ่าเวลา เลือกจะสนใจหนังสือเล่มนั้นเพื่อเอาชนะและเรียกร้องความสนใจจากปาร์คชานยอล มันก็สำเร็จแล้วล่ะ.. การง้องอนของปาร์คชานยอลช่างน่ารักอะไรอย่างนี้
น่ารักเสียจนโอเซฮุนลืมไปแล้วว่ามันอาจจะทำให้ใครคนหนึ่งต้องเจ็บเจียนตายกับคำว่ารักพล่อยๆของตัวเอง
"พี่รักเซฮุนนะ..เชื่อเถอะว่ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ"
'
- - - - - - - - - - - - - - - CUT SCENE- - - - - - - - - - - - - - - -
(ลิ้งค์บล็อคอยู่ที่ไบโอทวิตเตอร์)
กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้าแล้ว เซฮุนงัวเงียและพบว่าข้างตัวมีแต่ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศ ชานยอลคงลุกไปนานแล้ว หรือไม่ก็ไม่ได้นอนต่อ เพราะที่นอนนุ่มไม่ได้มีไออุ่นจากอีกคนหลงเหลืออยู่เลย
มองหาไม่นานก็เจอ ร่างสูงโปร่งของคนอายุมากกว่าสวมยูกาตะแบบผู้ชายสีน้ำเงินเข้ม ยืนอยู่ที่นอกระเบียง แม้ฟ้าจะยังไม่สางแต่ก็สว่างพอจะเห็นได้ชัดเจน ชานยอลกำลังสูบบุหรี่อยู่
เซฮุนลุกจากเตียงเงียบๆและเปิดประตูบานเลื่อนที่เชื่อมต่อไปยังระเบียง สอดแขนกอดรอบเอวของชานยอลแล้วจูบเบาๆที่ลาดไหล่กว้างอย่างเอาใจ
"ผมไม่ยักรู้ ว่าพี่สูบบุหรี่ด้วย"
"อืม...ก็เวลาเครียดๆน่ะ.."
เสียงของชานยอลทุ้มต่ำแหบแห้งเสียจนเซฮุนอยากจะมอบความชุ่มชื้นผ่านริมฝีปากให้ คนอายุมากกว่าดับบุหรี่ด้วยรู้สึกผิด เขาไม่อยากจะให้เซฮุนต้องมาดมควันก่อมะเร็งไปกับเขาด้วย
"ไม่กลับโซลได้ไหม.."
"เซฮุน" เสียงแหบแห้งของชานยอลเอ่ยเรียกแผ่วเบาจนเซฮุนใจสั่น
"อย่าไล่ผมไปนะ"
"ตอนนี้...เรามีแฟนอยู่แล้ว" มันเป็นความจริงที่ชานยอลรู้และเซฮุนก็ตระหนักดีว่ามันคือเรื่องจริง แม้จะอยากหนีจากมันแค่ไหนก็ปฏิเสธไม่ได้ จงอินมีสิทธิ์ในตัวเซฮุนอย่างสุจริต ไม่ได้ทำอะไรผิดเลยซักนิด
"พี่ก็รู้ว่าผมรักพี่ รักพี่คนเดียวมาตลอด" เซฮุนซุกหน้ากับแผ่นหลังของพี่ชายข้างบ้าน พูดเสียงเบาหวิว
"พี่เอง ก็รักผมไม่ใช่เหรอ" แววตาดื้นรั้นถามอย่างเอาเรื่อง และชานยอลก็รู้ว่าเซฮุนคงไม่ชอบใจถ้าได้ยินคำตอบที่ไม่น่าพึงใจเท่าที่ควร
"อืม.. รักสิ"
เสียบทุ้มเอ่ยตอบรับตอนที่จูบหน้าผากคนตรงหน้าค้างนิ่งไว้เนิ่นนาน
ในตอนนี้... วินาทีนี้..ชานยอลไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรแล้วเพื่อไม่ให้เสียเซฮุนไป
เป็นครั้งแรกที่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคำว่าผิดที่ ผิดเวลา มันเป็นยังไง
ติ ด ต า ม ต่ อ ต อ น ห น้ า
____________________________________
แท็ก : #พิชาน25น้องฮุน18 / #ฮุนไคDistant
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น