ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (จบแล้ว) DISTANT | CHANHUN HUNKAI BAEKDO

    ลำดับตอนที่ #32 : ( 18 x 25 ) - ยี่สิบเก้า : รัก คิดถึง รอ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 932
      10
      27 ส.ค. 59



     



     
    ยี่สิบเก้า. รัก คิดถึง รอ
    ______________________________


     


    20-26



                    ตลอดปีที่ผ่านมา เซฮุนแทบไม่มีเวลาให้คิดเรื่องที่เกิดขึ้นเท่าไหร่ หลังจากออกจากโรงพยาบาลและพักฟื้นอยู่ค่อนเดือน เซฮุนก็อาการดีขึ้นทันช่วงเวลาเปิดเทอมพอดี  ตอนนี้ไม่มีเด็กชายที่ชอบโดดเรียนให้คณาจารย์ในคณะนิเทศศาสตร์ต้องปวดหัวอีกแล้ว

                    เซฮุนเรียนเก่งและทำคะแนนได้ดีในแทบทุกวิชา ซ้ำยังเป็นนักกิจกรรมตัวยง ในเทอมนี้กำลังจะเป็นเทอมสุดท้ายของชั้นปีที่2แล้ว เซฮุนเป็นหัวหน้าชมรมถ่ายภาพของคณะ และมีความฝันเล็กๆว่าอยากจะเปิดแกลอรี่ภาพถ่ายธรรมชาติของตัวเอง


                    ส่วนจงอินหลังจากที่ใช้เวลาทำกายภาพบำบัดอยู่เกือบครึ่งปี เมื่อออกจากโรงพยาบาลและไปพักฟื้นที่บ้านโดยมีแทมินช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว ดูเหมือนจงอินเองก็ไม่สนใจเท่าใดแล้วที่จะจำเรื่องราวที่ผ่านมา  แม้จะรู้ว่ามีความทรงจำส่วนหนึ่งขาดหายไป แต่เขาก็ไม่ได้ขวนขวายที่จะตามหา


                    นิสัยของจงอินก็เปลี่ยนไปด้วย จงอินช่างพูดขึ้น สดใสและดูสนุกกับการใช้ชีวิต หลังจากพักฟื้นและกายภาพบำบัดจนร่างกายฟื้นตัวใกล้จะเต็มร้อย จงอินก็กลับไปหัดบัลเล่ต์อีกครั้ง

                    จะเพราะพรสวรรค์หรือทักษะที่จงอินเชี่ยวชาญเสียจนแทบฝังอยู่ในจิตวิญญาณก็ตาม หลังจากกลับมาทบทวนการเต้นโดยมีแทมิน กาอิน และพี่ๆที่โรงเรียนช่วยกันสอน จงอินก็สามารถฟื้นฟูเอาความสามารถด้านการเต้นกลับมาเกือบทั้งหมด หนำซ้ำแทมินให้ความเห็นว่าจงอินสามารถเต้นได้ดีกว่าเก่าเสียอีก แม้จะด้วยองศาและท่าทีในการเต้นที่แตกต่างออกไปจากเดิม แต่ก็ดูเป็นธรรมชาติและมีสเน่ห์ยิ่งกว่าเดิม


                    เช่นเดียวกันในการแสดงละครเวทีที่จงอินรับบทนำ วินาทีที่ม่านเวทีถูกเปิดออก แสงไฟสปอร์ตไลท์สาดส่องไปที่ใบหน้าของคิมจงอินที่อยู่บนเวที โอเซฮุนก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ แม้จะเศร้าแต่เขาก็ดีใจที่วันนี้จงอินอยู่ได้อย่างมีความสุข


                    "มาถ่ายรูปกันหน่อยๆ"


                    จงอินที่บัดนี้แข็งแรงเต็มที่แล้วสวมเสื้อผ้าที่ตัดเย็บขึ้นให้ดูเหมือนฉลองพระองค์ขององค์ชายแห่งประเทศที่ไม่มีใครรู้จักชื่อ รอยยิ้มสดใสและน้ำเสียงสดชื่นชักชวนให้ทั้งแบคฮยอนและเซฮุนเพื่อนรักมาถ่ายรูปร่วมกัน


                    นี่เป็นงานแสดงละครเวทีครั้งแรกของจงอินและเขาก็ทำมันได้ดีสมกับที่ตั้งใจและคาดหวังเอาไว้  ชื่นใจที่เห็นเพื่อนๆมาดูโชว์ที่ตัวเองแสดง จึงกวักไม้กวักมือทำท่าทีร่าเริงเสียจนแบคฮยอนและเซฮุนอดไม่ได้ที่จะยิ้มกว้างและเดินมาหา


                    วันนี้เซฮุนมาพร้อมกับชานยอล ส่วนแบคฮยอนก็มากับคยองซู จงอินกอดคอเพื่อนรักทั้งสองคนและถ่ายรูปโดยมีชานยอลเป็นตากล้อง


                    จงอินฉีกยิ้มกว้าง เป็นรอยยิ้มและแววตาที่สะท้อนออกมาซึ่งความสุขอย่างเปี่ยมล้นจนชานยอลที่อยู่หลังกล้องก็พลอยยิ้มตามไปด้วย.. มันดูเต็มอิ่มจากข้างใน ผิดจากคิมจงอินที่เขาเคยเจอราวกับคนละคน



                    จงอินมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมแล้วจริงๆ



                    "รู้กันยัง กูกับแทมิน สอบได้ทุนไปอิตาลี่นะ"


                    "จริงดิ" แบคฮยอนทำตาโตแล้วแอบเหล่ ทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอนที่เอ่ยแซว "มึงกะแทมินนี่ยังไงเนี่ย กิ๊กกันเหรอวะ"

                    "เปล่าาาาาาา" จงอินทำท่าทางตกใจพอได้ยินคำพูดนั้น รีบเอ่ยแก้ยกใหญ่ มองสีหน้าที่เจื่อนไปของเซฮุนแล้วทำเสียงใสหยอกเย้า


                    "ทำไมทำหน้างั้น ไม่ดีใจกะกูหรอ อิตาลี่เลยนะเว้ย"


                    "ดีใจดิวะ" เซฮุนชะงักไปนิดหน่อยกับคำพูดพวกนั้นก่อนจะเอ่ยตอบน้ำเสียงสดใสในแบบที่ทุกคนคงเข้าใจความหมาย เว้นก็แต่คิมจงอิน


                    "มึงมีความสุขก็ดีแล้ว"



     

                    "ขอบคุณนะครับที่พาไป"


                    เซฮุนกระซิบเสียงเบา เอ่ยขอบคุณคนอายุมากกว่าที่ตอนนี้ก็ยังคงอาศัยอยู่บ้านข้างๆ ทั้งที่ครอบครัวย้ายไปตั้งรกรากที่ต่างประเทศกันหมดแล้ว จากอุบัติเหตุครั้งนั้นพ่อและแม่ก็กลัวขึ้นสมองจนไม่ยอมให้ลูกชายทั้งสองขี่มอเตอร์ไซค์ไปไหนมาไหนเอง

                    เมื่อคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยคนขับเริ่มดับเครื่อง เซฮุนก็ปลดเข็มขัดนิรภัยออกและเตรียมจะลงจากรถ แต่ชานยอลก็กุมมือเย็นๆของเซฮุนเอาไว้และทำให้บรรยากาศระหว่างกันและกันตกอยู่ในความเงียบงัน


                    เซฮุนวางตัวดีเหลือเกิน หลังจากที่ออกจากโรงพยาบาล เขาและเซฮุนก็มีโอกาสได้พบกันน้อยลง ชานยอลไม่ได้ไปเป็นอาจารย์พิเศษที่คณะนิเทศศาสตร์อีกแล้ว นั่นก็ยิ่งทำให้ระยะห่างระหว่างเขาและน้องถูกแบ่งไว้อย่างชัดเจน


                    แม้จะเจ็บแต่ก็รู้ตัวว่าต้องเจ็บ ชานยอลไม่กล้าจะเอ่ยปากอะไรเพราะกลัวว่ามันจะทำให้เซฮุนรู้สึกไม่ดี เพราะรู้ว่าน้องเองก็ยังคงรู้สึกผิดเรื่องจงอินอยู่ ต่อให้ทุกวันนี้จงอินจะกลับมาสดใสเหมือนเก่าแล้ว แต่บาดแผลที่อยู่ในใจของเซฮุนก็ยังไม่เคยจางหายไป เหมือนแผลเป็นที่ต่อให้ผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ยังคงทิ้งร่องรอย

     
                    "เซฮุน"


                    ท่าทางอึกอักของชานยอลทำให้เซฮุนยิ้มออกมานิดๆและยื่นหน้าไปจูบเบาๆที่มุมปากของอีกฝ่าย


                    ไม่ใช่การจูบที่ดูดดื่ม ไม่ได้ร้อนแรงแผดเผา เป็นแค่การแตะริมฝีปากที่มุมปากเบาๆ และทำให้ชานยอลหัวใจเต้นเร็วแรงเมื่อเซฮุนผละออกและยิ้มจนดวงตากลมๆหยีเป็นเส้น


                    "ผมไม่เป็นไร... ขอบคุณนะครับพี่"


                    และในขณะที่ชานยอลกำลังอ้ำอึ้งเพราะการจูบที่เขาไม่ทันตั้งตัวจากเซฮุน เจ้าตัวเล็กก็หัวเราะคิกคักและลงจากรถวิ่งเผ่นกลับบ้าน กว่าชานยอลจะตั้งสติได้ก็ตอนที่ได้ยินเสียงเซฮุนกระแทกประตูหน้าบ้านปิดดังโครมนั่นแหละ

                    แม้เซฮุนจะเดินไปจนไกลแล้ว แต่รอยยิ้มก็ยังคงติดอยู่ที่มุมปากของชานยอล เช่นเดียวกับรอยจูบที่หวานซ่านไปถึงหัวใจ



                    ทันทีที่ถึงบ้าน สิ่งแรกที่เซฮุนทำคือการตรงเข้าไปกอดเอวคุณแม่และหอมแก้มนิ่มของผู้หญิงที่รักโอเซฮุนที่สุดในโลก


                    "ละครเวทีของจงอินเป็นไงบ้างจ๊ะ"


                    "สนุกดีครับ" เซฮุนบอกด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าที่โอเซยองคาดเดาไว้ในใจ


                    "มีเรื่องอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า หงอยเป็นลูกหมาเชียว"


                    "จงอินจะไปอยู่อิตาลี่แล้วครับ.. เค้า...เค้าได้ทุนบัลเล่ต์อะ" เซฮุนตะกุกตะกัก เรียบเรียงคำที่อัดอั้นค้างคาอยู่ในใจออกมา มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก จะว่าดีใจก็ใช่ แต่เซฮุนก็ยังคงรู้สึกโหวงๆในใจอยู่ดี


                    "ก็ดีน่ะสิจ๊ะ น่ายินดีกับจงอินนะ ที่จะได้ไปทำในสิ่งที่รักที่ชอบ"


                    "ครับ ก็ยินดีแหละ"


                    "ยังรู้สึกผิดอยู่ใช่ไหมล่ะ" คุณนายโอพูดอย่างรู้ทันและลูบหัวลูกชาย เซฮุนจับมือของแม่และแนบกับแก้มนิ่มของตัวเอง


                    "ก็ยังไม่ค่อยสบายใจครับ.. ผมควรดีใจกับเขาใช่ไหม ที่เขาอยู่อย่างมีความสุขได้แบบนี้"


                    "ใช่จ้ะ" เซยองยิ้มกว้างแต่ก็เอียงหน้าหลบเมื่อเซฮุนทำท่าจะหอมแก้มอีกรอบแล้วแสร้งทำหน้าดุคล้ายจะตำหนิ


                    "จุ๊บพี่ชานยอลแล้วยังจะมาจุ๊บแม่อีก เดี๋ยวเถอะ"


                    "แม่เห็นหรอครับ" เซฮุนตาโตแล้วถามเสียงอ่อย


                    "แม่น่ะ ดูออกตั้งนานแล้วนะ เรื่องเรากับพี่ชานยอล" คนเป็นแม่มองลูกชายสุดที่รักอย่างรู้ทันแล้วจิ้มหน้าผากเหม่งๆของเซฮุนพร้อมทั้งพูดอย่างใจดี


                    "จริงๆถ้าเซฮุนชอบพี่ชานยอล.. อยากจะคบหากัน แม่ก็ไม่ว่านะ.."


                    "แต่พ่อ.." เซฮุนยู่ปาก..นึกโกรธแม่ที่รู้ใจไปเสียหมด แม้ว่าพักหลังๆเขาจะพยายามวางตัวห่างจากชานยอลเพราะความรู้สึกไม่ดีที่ยังค้างอยู่ในใจ เขาไม่อยากจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวที่ถือโอกาสจากการที่จงอินจำอะไรไม่ได้ และกลับไปคบกับชานยอล


                    แต่เรื่องความรู้สึกที่อยู่ในใจน่ะ... มันไม่เคยจะเปลี่ยนมานานแล้ว.. เคยรักยังไง..เขาก็ยังคงรักชานยอลอยู่อย่างนั้น


                    "เรื่องพ่อน่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ยังไงแม่ก็จะพูดให้พ่อเค้าเข้าใจให้ได้ ทุกอย่างมันอยู่ที่เรานั่นแหละ" เซยองลูบผมนิ่มของลูกชาย


                    เซฮุนพยักหน้าและเงียบไปอย่างครุ่นคิด


                    "มันไม่เร็วเกินไปสำหรับเด็กแบบผมใช่ไหมครับ.."


                    "ไม่หรอกจ้ะ แม่ว่าหนูก็โตขึ้นตามวัยนะ" เซยองลูบหัวลูบชายและยิ้มบางๆอย่างใจดี "ส่วนเรื่องจงอิน.. แม่รู้นะว่ามันทำให้เซฮุนสะเทือนใจ.. แต่ลูกรู้ไหม..สุดท้ายแล้วสักวันนึงคนเราทุกคนก็ต้องมีทางเดินเป็นของตัวเองไม่ว่าจะดี หรือจะร้าย"


                    เซยองยิ้มและพูดจนจบ


                    "แต่ถ้ามันเป็นทางเลือกที่เขามีความสุข เราก็ควรจะยินดีกับทางนั้นนะ"





     


                    "มึงไปอยู่นู่น เวลาซ้อมเหนื่อยๆ ก็พักบ้างนะเว้ย อย่าฝืนตัวเอง เข้าใจมั้ย"


                    สุดท้ายก็ถึงเวลาที่ต้องไปจริงๆ  เซฮุนและแบคฮยอนแวะมาหาเพื่อจะอยู่กับเพื่อนในคืนสุดท้ายก่อนที่จงอินจะบินไปอิตาลี่  สุดท้ายแบคฮยอนก็กลับไปก่อน ส่วนเซฮุนขออยู่ช่วยจงอินเก็บกระเป๋า และขอแม่ไว้ว่าจะโทรให้ชานยอลมารับตอนที่จะกลับบ้าน


                    เซฮุนพูดขณะที่พับเสื้อยืดที่จงอินชอบใส่และวางมันเรียงลงในกระเป๋าเดินทางใบโต มันจะมีอะไรเจ็บกว่าการที่ต้องยิ้มและพูดคำลาทั้งที่ในใจอยากจะกอดคนตรงหน้าเอาไว้แทบขาดใจ และดูเหมือนจงอินก็จะสังเกตอาการพวกนั้นออก


                    "เออ กูอะชิวมาก แต่มึงอะดิ กูไม่อยู่อย่างอแงร้องไห้ขี้มูกโป่งนะเว้ย"


                    "โป่งแม่มึงสิ"  เซฮุนทำท่าจะปาถุงเท้าในมือใส่หน้าคนที่กำลังหัวเราะอย่างขบขัน


                    "ล้อเล่นก็ไม่ได้"


                    "กูจริงจังอยู่ป้ะ ช่วยดูด้วย" เซฮุนบ่นยาว "มึงต้องมีความสุขมากๆรู้มั้ย จากนี้ไปต้องใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุขสมกับที่อยากไปอยู่อิตาลี่มาทั้งชีวิตน้อยๆของมึงเลย เข้าใจปะ"


                    "เออ มึงก็เหมือนกัน" จงอินยิ้มและเอียงคอมองเซฮุนที่กำลังนั่งขัดสมาธิและพับเสื้อผ้าให้ตัวเอง "กูไม่รู้นะว่าทำไมมึงชอบทำสายตาเศร้าๆตลอด แต่ถ้ามันเป็นเพราะมึงยังรู้สึกผิดถึงเรื่องอุบัติเหตุวันนั้นอะ กูไม่เป็นไรแล้ว เลิกโทษตัวเองได้แล้วนะเว้ย กูเคยได้ยินแบคฮยอนมันพูดกะมึงเรื่องรู้สึกผิดอะไรก็ไม่รู้ แต่กู--"


                    "จงอิน.. กูขอโทษนะ"


                    "สำหรับอะไรวะ"


                    "สำหรับทุกอย่าง--ทั้งที่มึงจำได้แล้วก็จำไม่ได้"


                    เซฮุนรู้สึกเหมือนหัวใจดวงเล็กๆของตัวเองฟีบเล็กลงและห่อเหี่ยวตอนที่นึกถึงเรื่องชานยอล แต่คนตรงหน้ากลับยิ้มกว้างและบอกออกมาทั้งเสียงสดใส


                    "ไม่สำคัญหรอก ตอนนี้กูมีความสุขดีนะ มึงเองก็ต้องมีความสุขมากๆได้และ กูดูออกนะว่าพี่ชานยอลหูกางนั่นเค้าจีบมึงอยู่อะ"


                    เซฮุนหัวเราะออกมานิดๆแม้จะน้ำตาคลอก็ตามตอนที่ได้ยินคำว่าหูกาง 


                    "..ขอกอดได้มั้ยวะ"


                    "มาดิ"



                    จงอินกางแขนและมอบอ้อมกอดแน่ๆให้กับเซฮุน อ้อมกอดจากเพื่อนรักที่ปลดปล่อยความรู้สึกผิดบาปในใจของเซฮุนให้เป็นอิสระ ไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป






     

     
                    "ขอบคุณที่มารับนะครับ"


                    เซฮุนเอ่ยทันทีที่เปิดประตูเข้ามานั่งประจำที่ข้างคนขับในรถ ฉีกยิ้มร่าเริงให้ชานยอล คนอายุมากกว่ามองรอยยิ้มนั้นและอมยิ้มตอบกลับไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่ชานยอลไม่ได้เห็นท่าทางแบบนี้จากเซฮุน


                    "อารมณ์ดีเชียว"


                    "ครับ"


                    เซฮุนตอบรับ ดวงตากลมและใบหน้าสมบูรณ์แบบของชานยอลมองคนข้างตัวนิ่งๆและยิ้มบางโดยไม่ซักถามอะไรต่อ ขับรถพาเจ้าชายตัวน้อยๆของเขากลับบ้านตามหน้าที่สารถีซึ่งองค์ราชินีไว้วางใจ


                    ท่าทางสบายใจของเซฮุนทำให้สารถีอย่างชานยอลพลอยยิ้มตามไปด้วย แม้จะสงสัยว่าอีกฝ่ายเจอเรื่องอะไรดีๆมาถึงได้ดูมีความสุขขนาดนั้น แต่ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือที่น้องจะมีความสุขบ้าง


                    เรื่องราวในช่วงสองสามปีมานี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชานยอลคิดว่าหนักหน่วงเกินไปที่จะรับไหว น่าแปลกใจระคนปลาบปลื้มเมื่อพบว่าเขาจับมือคนที่รักไว้แน่นแค่ไหนเพื่อจะพาทั้งตัวเองและเซฮุนก้าวผ่านเรื่องราวพวกนั้นมาได้


                    "พี่ครับ" / "เซฮุน"


                    เมื่อเอ่ยปากเรียก ทั้งสองต่างก็มีท่าทีขัดเขินที่พูดออกมาในจังหวะเดียวกัน ชานยอลกระแอมและยิ้มออกมาอายๆก่อนจะบอกให้เซฮุนเป็นฝ่ายพูดก่อน สัญญาณไฟจราจรที่เปลี่ยนเป็นสีแดงทำให้ชานยอลมีเวลาช่วงสั้นๆที่จะหยุดฟังและมองหน้าของเซฮุนที่กำลังจะเริ่มพูด


                    "พี่ครับ" เซฮุนเริ่ม และหันมองคนข้างตัว "เราเป็นพี่น้องกันมานานแล้วนะ"


                    ชานยอลผงกหัวช้าๆ กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่าเซฮุนจะพูดอะไรต่อ หรืออาจเป็นเพราะแท้จริงเขาตื่นเต้นที่จะฟังมัน.. คำที่เขาไม่กล้าหวังว่าจะได้ยิน


                    "ผมไม่อยากเป็นพี่น้องกับพี่แล้ว.."


                    ยังไม่ทันที่เซฮุนจะเอ่ยอะไรต่อ ชานยอลก็ชิงพูดด้วยความรู้สึกอัดอั้นที่เต็มพิกัดราวกับรอคอยเวลาจะได้พูดคำนี้มาเนิ่นนาน.. ตอนนี้่มันไม่ได้ผิดที่ ผิดเวลาอีกต่อไปแล้ว และหัวใจของชานยอลก็ยอมศิโรราบแต่โดยดีที่จะเลิกโป้ปดและวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองอีกต่อไป


                    "พี่รักเซฮุน..." ชานยอลทำเสียงขึงขังผิดปกติจนเซฮุนเผลอกัดปากตัวเองด้วยความตื่นเต้น เสียงทุ้มลึกของชานยอลกล่าวถ้อยคำที่ไพเราะยิ่งกว่าบทเพลงไหนๆในโลก


                    "จากนี้ไป..ให้พี่ดูแลเซฮุนในฐานะคนรักนะ"



                    ประโยคคำถามนั้นดูเว้าวอนราวกับเป็นประโยคขอร้องและตัดพ้อเสียมากกว่าถามเพราะต้องการคำตอบ และแน่นอนว่าผู้ถูกวอนขอก็ยิ้มกว้างและตอบรับด้วยน้ำเสียงสดชื่น


                    "ครับ"


                    ไอเย็นจากเครื่องปรับอากาศและบรรยากาศมืดสลัวมันชวนให้หัวใจหวามไหวเหลือเกิน ริมฝีปากของชานยอลแห้งผากเสียจนเขาต้องแลบลิ้น รสจูบที่อ่อนละมุนราวกับขนมสายไหมที่ติดอยู่ที่ริมฝีปากเตือนให้ชานยอลนึกได้ว่าเซฮุนยังคงติดค้างเขาอยู่ มือหนาเลื่อนไปแตะที่พนักเบาะฝั่งผู้โดยสาร เช่นเดียวกับริมฝีปากที่หมายจะลิ้มรสชาติแสนหวานนั้นต่อจากวันก่อน


                    เซฮุนรู้ดีว่าชานยอลกำลังจะทำอะไร และเขาก้ยินยอมพร้อมใจ จะมีก็แต่เสียงแตรจากรถคันหลังเท่านั้นที่แผดเสียงอย่างเกเรเพื่อเตือนให้ชานยอลรู้ว่าสัญญาณไฟจราจรได้ถูกเปลี่ยนเป็นเขียวเสียแล้ว


                    ชานยอลหัวเราะนิดๆเพราะขำตัวเองก่อนจะเคลื่อนรถมุ่งตรงกลับบ้าน และในอึดใจต่อมา ทั้งเขาและเซฮุนก็หัวเราะร่าออกมาพร้อมๆกัน


                    ไม่มีไฟแดงอีกแล้ว ไม่มีอะไรที่จะหยุดชานยอลได้ เขากำลังพาเซฮุนเคลื่อนไปข้างหน้าตามที่ใจต้องการโดยไม่ต้องรั้งรออะไรอีกต่อไป








                    "พี่คยองซูทำไรกับเสื้อนักเรียนผมอะ จะรีดทำไม ไม่รีดดิโหย มันไม่เท่อะ"


                    ไม่ว่าผ่านเวลาไปนานแค่ไหนเสียงโวยวายของจุนฮเวก็ยังคงเป็นเสียงที่สร้างสีสันและเสียงหัวเราะให้กับคนในครอบครัวเสมอ ทันทีที่แบคฮยอนและคยองซูกลับมาถึงบ้าน น้องชายคนรองก็ถือชุดนักเรียนของตัวเองแล้วเอามาโวยวายกับคยองซูถึงหน้าบ้าน


                    หลังจากที่เคี่ยวเข็ญอยู่นานสุดท้ายแล้วจุนฮเวก็ยอมไปเรียนต่อในระดับมัธยมปลายตามที่คยองซูต้องการ แม้ว่าสาเหตุจะมาจากการบังคับกึ่งขู่เข็ญของแบคฮยอนก็ตาม


                    ด้วยความเอ็นดูที่แม่ของแบคฮยอนมีต่อคยองซู การจะอุ้มชูหรืออุปการะส่งเสียให้น้องๆของคยองซูเล่าเรียนจึงเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก เพียงแค่แบคฮยอนเอ่ยขอ  คุณนายบยอนก็ตอบตกลงอย่างใจกว้างเมื่อนึกถึงความขยันขันแข็งและอดทนสู้งานของคยองซูในครั้งที่เคยมาทำงานพิเศษเล็กๆน้อยๆให้กับบริษัทของเธอ


                    ตอนนี้คยองซูเรียนจบปริญญาตรีและสอบบรรจุเข้าเป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งที่ใกล้บ้าน ทั้งสวัสดิการและรายได้ก็มากพอจะช่วยจุนเจือครอบครัวโดยไม่ต้องใช้เงินจำกัดจำเขี่ยอย่างอดอยากแบบที่ผ่านมา


                    ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่เคยห่างเหินกันเพราะเรื่องพ่อแกแม่ฉันก็ดูเหมือนจะสามารถกลับมาดีดังเดิมได้อีกครั้งโดยมีแบคฮยอนเป็นกาวประสานใจ ถึงจุนฮเวจะยังไม่ทิ้งความดื้อดึงตามแบบฉบับของตัวเองก็ตาม

     
                    "เถียงพี่นี่คิดว่าเฟี้ยวมากเหรอวะ นั่นพี่ชายมึงนะกูจุนฮเว ขอโทษพี่คยองซูเดี๋ยวนี้"


                    "ไม่เอา เฮียอะ มันเป็นเทรนด์ คนเท่ๆไม่มีใครเค้ารีดเสื้อนักเรียนกันหรอก"


                    "กะผีล่ะสิ" แบคฮยอนแจกมะเหงกให้น้องชายคนรองของแฟนแล้วหันไปแย่งไม้แขวนเสื้อจากมือคยองซูแล้วทำท่าขู่จะฟาด


                    "ขอโทษก็ด้ะ เฮียนี่แม่ง คนเกลียมัวสุดๆ"


                    "เกลียมัวบ้านแกสิ"


                    "บ้านผมกะบ้านพี่คยองซูมันก็หลังเดียวกันอะ โอ๊ยๆๆ อย่าตี เดี๋ยวปั๊ดต่อยกลับเลยนี่"


                    จุนฮเวโวยวาย แย่งเสื้อนักเรียนและไม้แขวนเสื้อแล้วปึงปังขึ้นบ้านไป เหลือก็แต่แบคฮยอนและคยองซูที่ได้แต่มองหน้ากันแล้วขำออกมา


                    "วันนี้จะค้างนี่ใช่ไหม ขึ้นไปอาบน้ำนอนเถอะ"


                    "ได้ครับ" แบคฮยอนตอบทันควันแบบไม่ต้องคิด แต่ก็ไม่วายบ่นออดอ้อน "เดี๋ยวต้องอ่านหนังสืออีก ยังนอนไม่ได้หรอก"


                    "เรียนหมอนี่เนอะ เครียดน่าดู"


                    คยองซูบ่นตอนที่เดินนำขึ้นมาบนห้อง ตอนนี้แบคฮยอนเข้านอกออกในราวกับมันเป็นบ้านของเขาเอง คุ้นเคยกับทุกคนในบ้าน ไม่ว่าจะพี่น้องหรือพ่อแม่ของคยองซู


                    คนอายุมากกว่าพึมพำบางอย่างแล้วเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าแบคฮยอน และยืดตัวขึ้นจูบเบาๆที่ริมฝีปากสีสดของแบคฮยอนอย่างเอาใจ ก่อนจะยัดผ้าขนหนูใส่มือนักศึกษาแพทย์หน้าละอ่อน


                    "ไปอาบน้ำได้แล้ว! คนเกลียมัว"


                    คยองซูพูดอุบอิบแล้วปิดประตูห้องใส่หน้าเขาดังปัง แต่แบคฮยอนไม่โกรธหรอก..
                    ถึงขนาดนี้ก็คงไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ ว่าแบคฮยอนจะยิ้มหน้าบานขนาดไหน


     

     

    ติ ด ต า ม ต อ น จ บ ต อ น ห น้ า จ้ ะ
    ____________________________________
    แท็ก : #พิชาน25น้องฮุน18 / #ฮุนไคDistant


    เปิดจองแล้ว ไปโดนกันได้
    จิ้มนี่



     ตอนแรกกะจะให้อีพีนี้มีฉากพรีเมียม555555 แต่แบบหลายๆอย่าง อารมณ์มันยังไปไม่ถึง เอาไว้ตอนหน้าละกันนะ สัญญาว่าจะจัดหนัก จัดเต็ม /เขินม้วน/

    รู้นะว่าฟิคเรื่องนี้สายซุ่มเยอะ แต่ว่านะคะ ตอนหน้าอวสานแล้ว เลิกซุ่มกันได้แล้วนะทุกคน ! รายงานตัวด่วน 555555555555

     
     


    O W E N TM.


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×