ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ( 18 x 25 ) - ห้า : ไม่รู้จะตอบยังไง
Distant ( 18-25)
Chanyeol x Sehun / Sehun x Kai By:ซรดจ.
ห้า.
ไม่รู้จะตอบยังไง
[ 18-25 ]
"เดี๋ยวหนูไปเอาเฝือกออกวันไหนลูก"
"ศุกร์ครับ เดี๋ยวจงอินพาไป" เซฮุนตอบตอนที่นั่งกินข้าวผัดซึ่งบรรจุในชามสำหรับใส่บะหมี่ อันที่จริงตอนนี้เซฮุนรู้สึกว่าแขนเกือบจะหายเป็นปกติสมบูรณ์แล้ว เฝือกแข็งที่ห้อยอยู่ที่คอเป็นอวัยวะที่35 เลยแปรสภาพกลายเป็นสิ่งเกะกะที่ทำให้เขาทำอะไรไม่สะดวกสักอย่าง เซฮุนอยากจะกินข้าวด้วยช้อนและส้อมทั้งสองมือ หรือไม่ก็ใช้มือหนึ่งจับตะเกียบ ส่วนอีกมือถือถ้วยข้าว อะไรทำนองนั้น
"ไปกันยังไง มันจะสะดวกกันหรือเปล่า" หญิงสาวที่สวมผ้ากันเปื้อนลายตารางสีเหลืองสดใสนั่งลงทีโต๊ะกินข้าวตรงข้ามกันกับเซฮุน ไถ่ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยจนเซฮุนเกรงใจ แววตาเอื้ออาทรอย่างแท้จริงจากแม่เมื่อไหร่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย มันเป็นความเอื้ออาทรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคำที่พวกนักการเมืองเอามาใช้เรียกคะแนนให้ตัวเอง หากแต่เป็นความห่วงใยและหวังดีโดยไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ไม่อยากจะทำให้แม่เป็นห่วงมากเกินไป
"น่าจะรถเมล์ครับ แต่ไม่ได้ลำบากอะไรนะแม่ แค่นี้สบายมาก"
"แล้วทำไมเราไม่ให้พี่ชานยอลเค้าพาไป" พอได้ยินชื่อต้องห้ามนั้น เซฮุนก็รู้สึกเหมือนถั่วลันเตาที่ใส่อยู่ในข้าวผัดโดนเสียงที่ฟังดูฉงนสงสัยของแม่อัดจนกระเด็นไปติดคอ กลืนข้าวผิดจังหวะจนระคายหลอดอาหารให้ได้ไอโขล่กๆจนคนเป็นแม่ดุ
"กินช้าๆสิ ลูกคนนี้นี่ล่ะก็"
"เดี๋ยวผมพาจงอินไปดูหอพักต่อครับ ไม่เป็นไร" ปฏิเสธแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปหลายอึกให้สบายคอกว่าเดิมจากที่สำลัก
"เอ้อ พูดถึงจงอิน เค้าเป็นไงบ้างละลูก สอบติดที่ไหนคณะอะไร" แม่ถามเสียยืดยาวโดยมีเซฮุนคอยให้คำตอบอย่างยินดี ดูเหมือนแม่จะลืมคำถามก่อนหน้าไปแล้ว ว่าได้เอ่ยชื่อใครออกมา และเซฮุนเองก็ไม่ได้ใส่ใจอยากจะจดจำเช่นกัน บทสนทนาระหว่างแม่และเซฮุนดำเนินต่อไปโดยไม่มีชื่อของชานยอลมากวนใจเซฮุนอีกเลย
"เดินดีๆ ค่อยๆลง" อันที่จริงเซฮุนอยากจะบอกกับจงอินว่าเขาแค่แขนเดี้ยง ไม่ได้พิการซ้ำซ้อนเสียหน่อย ไอ้ความประคบประหงมเกินเหตุของเพื่อนข้างๆตัวที่ปกติจะเป็นฝ่ายถูกเขาและแบคฮยอนเทคแคร์แท้ๆ แต่พักหลังๆตั้งแต่เขาแขนหัก จงอินก็ดูจะรู้สึกผิดหน่อยๆและเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายเอาใจเขาบ้าง มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีเหมือนกัน
"ยังไหวเว่ย ไม่ต้องดูแลกูดีขนาดนั้น" แม้จะรู้สึกเขินแปลกๆก็เถอะ
"อยากให้หายไวๆไง ไม่งั้นใครจะส่งกูไปมหาลัยล่ะ" คนผิวเข้มพูดงึมงำ ไม่รู้ว่าโกรธหรืออายกันแน่ ใบหน้าง่วงงุน ท่าทางที่เหมือนกับคนพักผ่อนน้อยตลอดเวลา เงียบเสียจนเดาอารมณ์ยาก แถมยังคำพูดกำกวมและเรื่องราวสมัยเด็กๆที่เล่าให้ฟังระหว่างทางกลับบ้านเมื่อวันก่อนอีก ทำไมก็ไม่รู้ จู่ๆเซฮุนก็รู้สึกว่าเพื่อนรักน่าแกล้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
"เป็นห่วงก็บอก" สายตาเคืองขุ่นเขียวปั๊ดถูกส่งมาให้จนเซฮุนหัวเราะออกมา แม้จะไม่ได้คำตอบอะไรจากคิมจงอิน แต่สีหน้าเขินๆที่จงอินแสดงออกมันก็ชวนให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย
อันที่จริงเขาเองก็อยากรู้ว่าจงอินคิดยังไง ถึงพูดถ้อยคำกำกวมแบบนั้นออกมา นี่หรือเปล่าคนที่แบคฮยอนพยายามจะหมายถึง นี่ใช่ไหมคือความรู้สึกจริงๆของจงอิน หรือแท้จริงมันเป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีนัยยะอื่นใดนอกจากความทรงจำดีๆที่มีต่อกันในฐานะ'เพื่อน'
ทันทีที่รถประจำทางสีสันแสบตาจอดป้าย คยองซูก็วิ่งปรู้ดเข้ามาในมหาลัยอันเป็นที่รักด้วยความรีบเร่ง อันที่จริงคยองซูก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พ่อหนุ่มรถแพงคนนั้นโกรธเอาหรอก แต่เพราะไอ้เวสป้าไม่รักดีที่เขาใช้ส่งบะหมี่ให้คุณแม่น่ะสิที่สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด จะว่าเพราะไปชนเข้ากับรถแพงของไอ้หล่อนั่นก็ไม่น่าจะใช่(--คยองซูจะเรียกหมอนั่นว่าอย่างนี้แหละ เพราะถ้าเรียกชื่อก็จะดูสนิทสนมเกินไปหน่อย โดคยองซูไม่อยากจะสนิทกับคนบ้าหน้าเลือดแบบนั้น!) เพราะตอนที่ขับรถไปส่งบะหมี่ให้แม่เมื่อวานก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ แล้ววันนี้จะเกิดมาพยศอะไรเข้าล่ะ
พอคยองซูเดินเข้ามาถึงโรงอาหารรวมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่ที่ไอ้หล่อนั่นนัดเอาไว้ สอดส่ายสายตามองหาไม่นานก็เจอ ไอ้น่าเลือดส่งสายตาเคืองขุ่นมองมาแล้วก็ทำเมินเหมือนไม่สนใจ แถมพ่วงด้วยรังสีอำมหิตแบบที่ยืนห่างกันเป็นวายังสัมผัสได้ชัดเจน
"ผ..ผมขอโทษที่ให้รอนาน..คือ...รถของผมมัน-----"
"ไม่ต้องแก้ตัว ตามฉันมา"
นั่นไงล่ะ คยองซูว่าแล้วว่าคนหน้าเลือดต้องมีนิสัยเผด็จการเป็นรากเหง้า ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ใจคอคับแคบขนาดนี้ กะอีแค่จะฟังคำอธิบายให้จบประโยคนี่มันยากเย็นมากนักหรือไงนะ
"นาย.." คนที่เดินนำหน้าอยู่ๆก็หยุดแล้วหันมาจนคยองซูแทบจะเบรคไม่ทัน วันนี้ไอ้หล่อขี้สั่งใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวทับด้วยเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุม กับกางเกงยีนส์สีซีด แถมด้วยแว่นตากันแดด สาบานได้ว่าพี่มาทวงหนี้ ไม่ได้มาเดินแฟชั่นโชว์
"ค..ครับ"
"ชื่ออะไรนะ" มือเรียวถอดแว่นตาดำแล้วจ้องหน้า คยองซูรู้สึกเหมือนกำลังโดนสอบสวนจึงอ้อมแอ้มตอบกลับไป
"คยองซู" ตอนที่อีกฝ่ายจ้องกลับมา คยองซูก็เลยถือโอกาสจ้องหน้าหมอนี่กลับดูชัดๆ ตาเรียวเล็ก ริมฝีปากบางเฉียบ จมูกรั้น ผิวขาวหยวก ไหล่แคบตามแบบของผู้ชายรูปร่างเล็ก .. จริงๆแล้วไอ้หล่อนี่ก็ไม่ได้หล่อไปกว่าเขาซักเท่าไหร่หรอก
"เออ ตามมาคยองซู เราจะคุยเรื่องค่าเสียหายบนรถ" ไอ้หล่อใส่แว่นตาดำกลับเหมือนเดิมแล้วเดินตรงดิ่งนำไปยังที่จอดรถโดยไม่ถงไม่ถามถึงสุขภาพของคยองซูซักคำ.. คิดว่าเท่มากไหมล่ะนั่น เอาเลยครับพี่ เอาที่พี่สบายใจเลย
พอเดินตามมาถึงรถ คยองซูก็พบว่ารถทั้งคันถูกส่งไปทำสีใหม่เรียบร้อยแล้ว ไอ้หน้าหล่อใช้นิ้วควงกุญแจในมือก่อนจะเปิดประตูรถ มันก็ดูเท่อยู่หรอกนะ แต่คยองซูก็นึกสงสัยว่าแม่ของหมอนี่ ยอมให้หมอนี่ขับรถอีกได้ไง หลังจากชนกับเขาแล้วต้องโป๊สีใหม่ทั้งคัน ก็ถ้าลองเป็นแม่ของคยองซู มีหวังเขาอาจจะไม่ได้แตะรถคันนั้นอีกเลยตลอดชาติ
"ยืนอึ้งอะไรอยู่ ขึ้นรถ"
เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ คยองซูสงบปากสงบคำและเดินไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งผู้โดยสารข้างคนขับ และนั่งเงียบๆอย่างเรียบร้อย รอคอยให้ไอ้หล่อเป็นฝ่ายเริ่มคุยเสียที
"นายเรียนคณะอะไร"
"ศึกษาศาสตร์" ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความคิดเห็น เพราะงั้นแค่ตอบก็พอ
"ฉันเรียนคณะแพทย์" ไอ้หล่อถอดแว่นตาเก็บที่ช่องเก็บแว่นตาหน้ารถ ส่องกระจกที่ใช้มองหลัง จัดปอยผมหน้าม้าของตัวเอง ส่วนคยองซูก็ได้แต่นั่งอมน้ำลายต่อไปเงียบๆด้วยความสงสัยว่าใครไปถามมันตอนไหน
"รู้ไหมว่าค่าทำสีใหม่ที่ฉันต้องใช้คืนแม่มันเท่าไหร่"
"ไม่รู้" แล้วจะกั๊กทำไมเล่า แทนที่จะบอกๆมา "เท่าไหร่ล่ะ"
"ราวๆห้าแสนวอน" (ประมาณหมื่นห้าพันบาทไทย) พอฟังจบคยองซูรู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงขนาดตัวเหลือเท่ายางลบก้อนเล็กๆที่ถูกใช้งานไปจนเว้าแหว่ง ไม่ต่างอะไรกับเม็ดก๋วยจี้ที่ถูกถุยทิ้งไว้ข้างถนน มันช่างต่ำต้อยด้อยข้าเสียเหลือเกิน
"แล้วจะให้ฉันชดใช้ยังไงก็รีบพูดมา ฉันต้องกลับไปช่วยงานแม่ที่บ้าน" หาเงินมาใช้หนี้ไงล่ะ=_=
"เบ๊"
"ห๊ะ..." คยองซูขมวดคิ้วเหมือนฟังไม่เข้าใจจนแบคฮยอนต้องอธิบาย
"เป็นเบ๊ให้ฉัน 2 เทอม" พูดจบก็ชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์วิคตอรี่มาให้ วิคตอรี่จริงๆ คยองซูอยากจะเอาหน้าไถไปกับคอนโซลรถแล้วตะคอกใส่หน้าว่า 'หน้าเลือด' แต่ก็เกรงใจ
"เทอม2อาจจะได้แค่ช่วงต้นๆเทอมนะ ฉันต้องเตรียมเรื่องทำวิทยานิพนธ์ แล้วก็เตรียมเรื่องไปฝึกสอนด้วย" พูดเสียงอ่อย นี่ยังไม่รวมที่เขาต้องไปช่วยงานที่บ้านทุกๆเย็น แต่ไอ้หมอนี่คงไม่สนใจฟังหรอก
"นี่อยู่ปีไหนน่ะ"
"4อ่ะ ศึกษาศาสตร์จบ5ปี"
"อายุเท่าไหร่"
"25" ถามไปแทงหวยหรือยังไงกันนะ
"ผมอายุ 18" พอคนข้างๆตัวอ้อมแอ้มตอบ คยองซูชะงักค้างแล้วมองหน้าไอ้รูปหล่อชัดๆอีกที ทั้งสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปและท่าทางที่ดูอ่อนลงทำให้คยองซูรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย บางทีไอ้เด็กนี่อาจจะเกรงใจเขาขึ้นมาบ้าง
"แล้วฉันต้องชดใช้ยังไงนะ"
"เบ๊ไง 2เทอม" คนข้างๆตัวเว้นช่วง "ก็...บอกว่าไม่มีตังค์ไม่ใช่เหรอ" ฟังดูใจดีมีมนุษยธรรมที่อุตส่าห์เล็งเห็นในความลำบากยากจน แต่ใจความก็ยังคงเดิมคือให้เป็นเบ๊สองเดือน แลกกับค่าเสียหายห้าแสนวอน คยองซูขยี้ผมตัวเองแล้วพยักหน้า ยอมรับในเวรกรรมที่ทำมาคู่กับไอ้หน้าหล่อแต่โดยดี
"เออ จะให้ทำอะไรก็โทรบอกละกัน ฉันไปล่ะ" พูดจบก็ตั้งท่าจะเปิดประตูลงจากรถ แต่เจ้าของรถโน้มตัวมาใกล้จนปลายจมูกห่างกันไม่ถึงคืบ
"นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวผมไปส่ง" เอ่ยสรุปเองและก็ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้คยองซู แม้จะรู้สึกหงุดหงิดและไม่ชินในความลมเพลมพัดของเจ้าหนี้ผู้สวมแว่นตาดำและทำราวกับว่าเกาหลีใต้คือดวงอาทิตย์ก็เถอะ อย่างน้อยคยองซูก็รู้สึกว่า เบาะรถแพงของคุณเจ้าหนี้นี่ มันช่างนุ่มตูดดีเหลือเกิน
ว่าแต่ สรุปแล้วไอ้คุณเจ้าหนี้นักศึกษาแพทย์นี่มันชื่อว่าอะไรนะ..
"แขนเป็นไงบ้าง" หลังจากเซฮุนทำการถอดเฝือกเสร็จเรียบร้อยก็เดินยิ้มแต้มาหาจงอินที่หน้าห้องตรวจ พอเพื่อนรักเอ่ยถามแบบนั้น เซฮุนก็ยิ้มกว้างเสียจนตาปิดแถมแกว่งแขนโชว์อีกต่างหาก
"สบายมาก ขนของเข้าหอสบาย" เพราะภารกิจต่อจากการถอดเฝือกคือการย้ายเข้าหอพัก และดูเหมือนเซฮุนจะเห่อสุดๆกับการจะได้ย้ายจากบ้านมาอยู่หอพัก ถึงเอาแต่คุยฟุ้งตลอดทางตั้งแต่ออกจากบ้านว่าอยากจัดห้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
"ไม่ต้องเลย ยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ปวดแขนอีก" จงอินส่ายหน้าวืดตอนที่พูด รู้สึกเหมือนเพื่อนรักกลายเป็นเด็กอนุบาลที่ต้องมาคอยตามกำกับควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ดื้อซนจนเจ็บตัว จงอินมองเซฮุนแล้วก็ส่งกาแฟเย็นในมือให้ "อะ กินปะ เดี๋ยวต้องรอไอ้แบคฮยอนแป็บนึง เดี๋ยวมันมารับ"
"โอเค" จงอินและเซฮุนนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่โถงใหญ่ของโรงพยาบาล รอเวลาให้เพื่อนรักมารับไปดูหอพักที่จะใช้อยู่ร่วมกันสามคน ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากทำรถเป็นรอยจนได้ซ่อมทำสีใหม่ทั้งคัน สุดท้ายแม่ก็ยอมให้รถแบคฮยอนมาสำหรับขับไปเรียนจนได้
เป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีที่นั่งกันเงียบๆโดยไม่มีใครพูดอะไร ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่กันตามลำพัง แต่ที่ผ่านมาจงอินและเซฮุนไม่เคยนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆด้วยความรู้สึกอึกอักอึดอัดแบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
"หิวข้าวรึยัง" เซฮุนทำลายความเงียบขึ้นมา นักเรียนบัลเล่ต์ส่ายหัวดิก
"ทำไม หิวเหรอ" คนที่ถูกถามกลับส่ายหน้าเช่นกัน ก็เลยได้นั่งกันเงียบๆแบบนั้นต่อไปโดยไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าจงอินรู้สึกแบบเดียวกันไหม แต่สำหรับเซฮุน เขารู้สึกว่าบรรยากาศที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัว มันเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่จงอินพูดอะไรกำกวมนั้นออกมาให้เขาได้ฟัง มันแปลกไปจนเซฮุนรู้สึกอึดอัดที่จงอินยังคงทำตัวเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เขาก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะให้คำตอบกับจงอินยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองจะตอบรับความรู้สึกของจงอินได้ไหมถ้าคนข้างตัวเกิดชอบเขาขึ้นมาจริงๆ แต่สิ่งที่เซฮุนอยากรู้ และมันก็รบกวนจิตใจเขามากในตอนนี้ก็คือ จงอินคิดยังไงกันแน่
"ที่พูดวันก่อน.." เซฮุนเริ่ม น้ำเสียงไม่มั่นใจนัก ยอมรับตรงๆว่าค่อนข้างประหม่า
"แบคฮยอนมาแล้ว" ยังไม่ทันพูดจบจงอินพยักเพยิดไปที่รถของเพื่อนรักที่วนเข้ามาจอดและลุกขึ้นยืน เซฮุนไม่แน่ใจว่าจงอินได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นหรือเปล่า หรือแค่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรและเดินไปที่รถ เซฮุนก็เลยเลือกจะเดินตามไปเงียบๆและไม่ถามอะไรกวนใจต่อ
ไม่ใช่ว่าเซฮุนไม่เคยมีใครอื่นมาชอบ แต่ทุกๆครั้งเซฮุนจะมีคำตอบที่สามารถพูดบอกออกไปได้ทันที คือ'ไม่' แต่กับจงอิน เขาไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้ ไม่สามารถจะบอกว่า 'ใช่' เพราะยังคงไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง และไม่สามารถจะพูดว่า 'ไม่' ด้วยความรู้สึกที่มากพอจะไม่เรียกว่าโกหก
ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่เซฮุนรู้สึกมั่นใจเลยซักอย่าง
Chanyeol x Sehun / Sehun x Kai By:ซรดจ.
ห้า.
ไม่รู้จะตอบยังไง
[ 9-16 ]
"พ่อส่งลูกไปเรียน ไม่ได้ส่งเสียให้ไปเกเร กอดอก!!"
คุณพ่อตะเบ็งจนเส้นเลือดที่ข้างขมับปูดโปน มันก็น่าให้โกรธอยู่หรอก ก็ผลการเรียนของเซฮุนเทอมนี้ร่วงยับแบบไม่เหลือดีเลย เด็กชายยอมกอดอกและหันข้างให้กับคนเป็นพ่อที่กำไม้เรียวเอาไว้ในมือ ในแววตาหม่นของเด็กชายไม่มีประกายความหวาดกลัว เซฮุนเข้าใจดีว่าเหตุผลที่พ่อตีเป็นเพราะอะไร เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก
คุณพ่อเงื้อไม้สุดแขนแต่ยังไม่ทันจะตีคุณแม่ก็เข้ามาขวางและกอดเซฮุนไว้แน่นทั้งที่คุณพ่อเกือบจะฟาดลงมาอยู่แล้ว เซฮุนรู้ว่าพ่ออยากจะสอนให้รู้ว่าสิ่งที่ทำยังดีไม่พอ-- หรือถ้าพูดให้ถูกคือ มันยังไม่ดีต่างหาก พ่อโกรธและก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไรซักคำ แม่เอาแต่ร้องไห้และกอดเซฮุนเอาไว้
เซฮุนเข้าใจว่าการที่พ่อลงโทษเขา ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่พ่ออยากจะให้ลูกชายคนโตของตัวเองตั้งใจเรียนและก็เป็นเด็กดีให้สมกับความรักและห่วงใยที่ทั้งพ่อและแม่มอบให้เท่านั้น
"แม่ ผมไม่เป็นไรครับ" มือเล็กๆแกะมือของหญิงสาวออกไม่ให้เกาะกอดตัวเองเอาไว้ เซฮุนยิ้มบางๆให้ผู้เป็นแม่แล้วกอดอกและหันข้าง ยอมรับการลงโทษจากผู้เป็นพ่อ
แม่ไม่คุยกับพ่อหลายวัน คืนนั้นหลังจากเซฮุนเข้านอนแม่ก็เอายามาให้ทาและร้องไห้อยู่พักใหญ่ เด็กชายวัยประถมปลายทำอะไรไม่ได้มากกว่าการบีบมือหญิงสาวไว้และนั่งฟังคำปลอบโยนของแม่ที่พร่ำบอกว่าไม่เป็นไร แค่ผลการเรียน เทอมหน้าค่อยเริ่มเอาใหม่ก็ยังได้
จากวันนั้นเซฮุนก็สัญญากับตัวเองตลอดมาว่าเขาจะไม่มีวันทำให้แม่ต้องร้องไห้อีก
ในเทอมถัดมา เกรดเฉลี่ยของเซฮุนก็กลับมาดีขึ้นราวหน้ามือกับหลังเท้า แม้จะรู้สึกเบื่อกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ได้ถึงกับมีความสุข แต่เซฮุนก็รู้สึกว่ามันยังดีที่เขาไม่ได้ทุกข์อะไร ใช้ชีวิตในโรงเรียนกับเพื่อน กลับบ้าน อ่านหนังสือ ทำการบ้าน ทบทวนบทเรียน และก็นอนหลับพักผ่อน
ถึงจะได้เจอชานยอลบ้างในบางครั้งคราว แต่เซฮุนก็ทำเป็นมองข้ามๆไป ส่วนคนที่แก่กว่าก็ไม่ได้ใส่ใจจะทักทาย ความสัมพันธ์ระหว่างกันเลยกลายเป็น'ต่างคนต่างอยู่'ตั้งแต่วันนั้นมา
เซฮุนทำคะแนนสอบเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนด้วยคะแนนเต็มในทุกรายวิชา และนั่นก็ทำให้แม่มีความสุขมาก เขาเลยไม่อยากจะสนใจอีกแล้วว่าใครจะเป็นอย่างไร ก็เพราะเซฮุนชอบรอยยิ้มของแม่ที่สุด ขอแค่แม่ได้ยิ้มออกก็พอใจแล้ว
"พ่อส่งลูกไปเรียน ไม่ได้ส่งเสียให้ไปเกเร กอดอก!!"
คุณพ่อตะเบ็งจนเส้นเลือดที่ข้างขมับปูดโปน มันก็น่าให้โกรธอยู่หรอก ก็ผลการเรียนของเซฮุนเทอมนี้ร่วงยับแบบไม่เหลือดีเลย เด็กชายยอมกอดอกและหันข้างให้กับคนเป็นพ่อที่กำไม้เรียวเอาไว้ในมือ ในแววตาหม่นของเด็กชายไม่มีประกายความหวาดกลัว เซฮุนเข้าใจดีว่าเหตุผลที่พ่อตีเป็นเพราะอะไร เพราะฉะนั้นไม่เป็นไรหรอก
คุณพ่อเงื้อไม้สุดแขนแต่ยังไม่ทันจะตีคุณแม่ก็เข้ามาขวางและกอดเซฮุนไว้แน่นทั้งที่คุณพ่อเกือบจะฟาดลงมาอยู่แล้ว เซฮุนรู้ว่าพ่ออยากจะสอนให้รู้ว่าสิ่งที่ทำยังดีไม่พอ-- หรือถ้าพูดให้ถูกคือ มันยังไม่ดีต่างหาก พ่อโกรธและก็เอาแต่เงียบไม่ยอมพูดอะไรซักคำ แม่เอาแต่ร้องไห้และกอดเซฮุนเอาไว้
เซฮุนเข้าใจว่าการที่พ่อลงโทษเขา ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการที่พ่ออยากจะให้ลูกชายคนโตของตัวเองตั้งใจเรียนและก็เป็นเด็กดีให้สมกับความรักและห่วงใยที่ทั้งพ่อและแม่มอบให้เท่านั้น
"แม่ ผมไม่เป็นไรครับ" มือเล็กๆแกะมือของหญิงสาวออกไม่ให้เกาะกอดตัวเองเอาไว้ เซฮุนยิ้มบางๆให้ผู้เป็นแม่แล้วกอดอกและหันข้าง ยอมรับการลงโทษจากผู้เป็นพ่อ
แม่ไม่คุยกับพ่อหลายวัน คืนนั้นหลังจากเซฮุนเข้านอนแม่ก็เอายามาให้ทาและร้องไห้อยู่พักใหญ่ เด็กชายวัยประถมปลายทำอะไรไม่ได้มากกว่าการบีบมือหญิงสาวไว้และนั่งฟังคำปลอบโยนของแม่ที่พร่ำบอกว่าไม่เป็นไร แค่ผลการเรียน เทอมหน้าค่อยเริ่มเอาใหม่ก็ยังได้
จากวันนั้นเซฮุนก็สัญญากับตัวเองตลอดมาว่าเขาจะไม่มีวันทำให้แม่ต้องร้องไห้อีก
ในเทอมถัดมา เกรดเฉลี่ยของเซฮุนก็กลับมาดีขึ้นราวหน้ามือกับหลังเท้า แม้จะรู้สึกเบื่อกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่ได้ถึงกับมีความสุข แต่เซฮุนก็รู้สึกว่ามันยังดีที่เขาไม่ได้ทุกข์อะไร ใช้ชีวิตในโรงเรียนกับเพื่อน กลับบ้าน อ่านหนังสือ ทำการบ้าน ทบทวนบทเรียน และก็นอนหลับพักผ่อน
ถึงจะได้เจอชานยอลบ้างในบางครั้งคราว แต่เซฮุนก็ทำเป็นมองข้ามๆไป ส่วนคนที่แก่กว่าก็ไม่ได้ใส่ใจจะทักทาย ความสัมพันธ์ระหว่างกันเลยกลายเป็น'ต่างคนต่างอยู่'ตั้งแต่วันนั้นมา
เซฮุนทำคะแนนสอบเป็นอันดับหนึ่งของโรงเรียนด้วยคะแนนเต็มในทุกรายวิชา และนั่นก็ทำให้แม่มีความสุขมาก เขาเลยไม่อยากจะสนใจอีกแล้วว่าใครจะเป็นอย่างไร ก็เพราะเซฮุนชอบรอยยิ้มของแม่ที่สุด ขอแค่แม่ได้ยิ้มออกก็พอใจแล้ว
[ 18-25 ]
"เดี๋ยวหนูไปเอาเฝือกออกวันไหนลูก"
"ศุกร์ครับ เดี๋ยวจงอินพาไป" เซฮุนตอบตอนที่นั่งกินข้าวผัดซึ่งบรรจุในชามสำหรับใส่บะหมี่ อันที่จริงตอนนี้เซฮุนรู้สึกว่าแขนเกือบจะหายเป็นปกติสมบูรณ์แล้ว เฝือกแข็งที่ห้อยอยู่ที่คอเป็นอวัยวะที่35 เลยแปรสภาพกลายเป็นสิ่งเกะกะที่ทำให้เขาทำอะไรไม่สะดวกสักอย่าง เซฮุนอยากจะกินข้าวด้วยช้อนและส้อมทั้งสองมือ หรือไม่ก็ใช้มือหนึ่งจับตะเกียบ ส่วนอีกมือถือถ้วยข้าว อะไรทำนองนั้น
"ไปกันยังไง มันจะสะดวกกันหรือเปล่า" หญิงสาวที่สวมผ้ากันเปื้อนลายตารางสีเหลืองสดใสนั่งลงทีโต๊ะกินข้าวตรงข้ามกันกับเซฮุน ไถ่ถามด้วยน้ำเสียงห่วงใยจนเซฮุนเกรงใจ แววตาเอื้ออาทรอย่างแท้จริงจากแม่เมื่อไหร่ก็ไม่เคยเปลี่ยนเลย มันเป็นความเอื้ออาทรที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคำที่พวกนักการเมืองเอามาใช้เรียกคะแนนให้ตัวเอง หากแต่เป็นความห่วงใยและหวังดีโดยไม่คิดหวังสิ่งตอบแทน ถึงอย่างนั้นเซฮุนก็ไม่อยากจะทำให้แม่เป็นห่วงมากเกินไป
"น่าจะรถเมล์ครับ แต่ไม่ได้ลำบากอะไรนะแม่ แค่นี้สบายมาก"
"แล้วทำไมเราไม่ให้พี่ชานยอลเค้าพาไป" พอได้ยินชื่อต้องห้ามนั้น เซฮุนก็รู้สึกเหมือนถั่วลันเตาที่ใส่อยู่ในข้าวผัดโดนเสียงที่ฟังดูฉงนสงสัยของแม่อัดจนกระเด็นไปติดคอ กลืนข้าวผิดจังหวะจนระคายหลอดอาหารให้ได้ไอโขล่กๆจนคนเป็นแม่ดุ
"กินช้าๆสิ ลูกคนนี้นี่ล่ะก็"
"เดี๋ยวผมพาจงอินไปดูหอพักต่อครับ ไม่เป็นไร" ปฏิเสธแล้วยกแก้วน้ำขึ้นจรดริมฝีปาก ดื่มน้ำเข้าไปหลายอึกให้สบายคอกว่าเดิมจากที่สำลัก
"เอ้อ พูดถึงจงอิน เค้าเป็นไงบ้างละลูก สอบติดที่ไหนคณะอะไร" แม่ถามเสียยืดยาวโดยมีเซฮุนคอยให้คำตอบอย่างยินดี ดูเหมือนแม่จะลืมคำถามก่อนหน้าไปแล้ว ว่าได้เอ่ยชื่อใครออกมา และเซฮุนเองก็ไม่ได้ใส่ใจอยากจะจดจำเช่นกัน บทสนทนาระหว่างแม่และเซฮุนดำเนินต่อไปโดยไม่มีชื่อของชานยอลมากวนใจเซฮุนอีกเลย
"เดินดีๆ ค่อยๆลง" อันที่จริงเซฮุนอยากจะบอกกับจงอินว่าเขาแค่แขนเดี้ยง ไม่ได้พิการซ้ำซ้อนเสียหน่อย ไอ้ความประคบประหงมเกินเหตุของเพื่อนข้างๆตัวที่ปกติจะเป็นฝ่ายถูกเขาและแบคฮยอนเทคแคร์แท้ๆ แต่พักหลังๆตั้งแต่เขาแขนหัก จงอินก็ดูจะรู้สึกผิดหน่อยๆและเปลี่ยนมาเป็นฝ่ายเอาใจเขาบ้าง มันก็เป็นความรู้สึกที่ดีเหมือนกัน
"ยังไหวเว่ย ไม่ต้องดูแลกูดีขนาดนั้น" แม้จะรู้สึกเขินแปลกๆก็เถอะ
"อยากให้หายไวๆไง ไม่งั้นใครจะส่งกูไปมหาลัยล่ะ" คนผิวเข้มพูดงึมงำ ไม่รู้ว่าโกรธหรืออายกันแน่ ใบหน้าง่วงงุน ท่าทางที่เหมือนกับคนพักผ่อนน้อยตลอดเวลา เงียบเสียจนเดาอารมณ์ยาก แถมยังคำพูดกำกวมและเรื่องราวสมัยเด็กๆที่เล่าให้ฟังระหว่างทางกลับบ้านเมื่อวันก่อนอีก ทำไมก็ไม่รู้ จู่ๆเซฮุนก็รู้สึกว่าเพื่อนรักน่าแกล้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
"เป็นห่วงก็บอก" สายตาเคืองขุ่นเขียวปั๊ดถูกส่งมาให้จนเซฮุนหัวเราะออกมา แม้จะไม่ได้คำตอบอะไรจากคิมจงอิน แต่สีหน้าเขินๆที่จงอินแสดงออกมันก็ชวนให้เขาอารมณ์ดีไม่น้อย
อันที่จริงเขาเองก็อยากรู้ว่าจงอินคิดยังไง ถึงพูดถ้อยคำกำกวมแบบนั้นออกมา นี่หรือเปล่าคนที่แบคฮยอนพยายามจะหมายถึง นี่ใช่ไหมคือความรู้สึกจริงๆของจงอิน หรือแท้จริงมันเป็นเพียงคำพูดที่ไม่มีนัยยะอื่นใดนอกจากความทรงจำดีๆที่มีต่อกันในฐานะ'เพื่อน'
ทันทีที่รถประจำทางสีสันแสบตาจอดป้าย คยองซูก็วิ่งปรู้ดเข้ามาในมหาลัยอันเป็นที่รักด้วยความรีบเร่ง อันที่จริงคยองซูก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้พ่อหนุ่มรถแพงคนนั้นโกรธเอาหรอก แต่เพราะไอ้เวสป้าไม่รักดีที่เขาใช้ส่งบะหมี่ให้คุณแม่น่ะสิที่สตาร์ทเท่าไหร่ก็ไม่ติด จะว่าเพราะไปชนเข้ากับรถแพงของไอ้หล่อนั่นก็ไม่น่าจะใช่(--คยองซูจะเรียกหมอนั่นว่าอย่างนี้แหละ เพราะถ้าเรียกชื่อก็จะดูสนิทสนมเกินไปหน่อย โดคยองซูไม่อยากจะสนิทกับคนบ้าหน้าเลือดแบบนั้น!) เพราะตอนที่ขับรถไปส่งบะหมี่ให้แม่เมื่อวานก็ยังใช้งานได้เป็นปกติ แล้ววันนี้จะเกิดมาพยศอะไรเข้าล่ะ
พอคยองซูเดินเข้ามาถึงโรงอาหารรวมของมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถานที่ที่ไอ้หล่อนั่นนัดเอาไว้ สอดส่ายสายตามองหาไม่นานก็เจอ ไอ้น่าเลือดส่งสายตาเคืองขุ่นมองมาแล้วก็ทำเมินเหมือนไม่สนใจ แถมพ่วงด้วยรังสีอำมหิตแบบที่ยืนห่างกันเป็นวายังสัมผัสได้ชัดเจน
"ผ..ผมขอโทษที่ให้รอนาน..คือ...รถของผมมัน-----"
"ไม่ต้องแก้ตัว ตามฉันมา"
นั่นไงล่ะ คยองซูว่าแล้วว่าคนหน้าเลือดต้องมีนิสัยเผด็จการเป็นรากเหง้า ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้ใจคอคับแคบขนาดนี้ กะอีแค่จะฟังคำอธิบายให้จบประโยคนี่มันยากเย็นมากนักหรือไงนะ
"นาย.." คนที่เดินนำหน้าอยู่ๆก็หยุดแล้วหันมาจนคยองซูแทบจะเบรคไม่ทัน วันนี้ไอ้หล่อขี้สั่งใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาวทับด้วยเชิ้ตสีขาวไม่ติดกระดุม กับกางเกงยีนส์สีซีด แถมด้วยแว่นตากันแดด สาบานได้ว่าพี่มาทวงหนี้ ไม่ได้มาเดินแฟชั่นโชว์
"ค..ครับ"
"ชื่ออะไรนะ" มือเรียวถอดแว่นตาดำแล้วจ้องหน้า คยองซูรู้สึกเหมือนกำลังโดนสอบสวนจึงอ้อมแอ้มตอบกลับไป
"คยองซู" ตอนที่อีกฝ่ายจ้องกลับมา คยองซูก็เลยถือโอกาสจ้องหน้าหมอนี่กลับดูชัดๆ ตาเรียวเล็ก ริมฝีปากบางเฉียบ จมูกรั้น ผิวขาวหยวก ไหล่แคบตามแบบของผู้ชายรูปร่างเล็ก .. จริงๆแล้วไอ้หล่อนี่ก็ไม่ได้หล่อไปกว่าเขาซักเท่าไหร่หรอก
"เออ ตามมาคยองซู เราจะคุยเรื่องค่าเสียหายบนรถ" ไอ้หล่อใส่แว่นตาดำกลับเหมือนเดิมแล้วเดินตรงดิ่งนำไปยังที่จอดรถโดยไม่ถงไม่ถามถึงสุขภาพของคยองซูซักคำ.. คิดว่าเท่มากไหมล่ะนั่น เอาเลยครับพี่ เอาที่พี่สบายใจเลย
พอเดินตามมาถึงรถ คยองซูก็พบว่ารถทั้งคันถูกส่งไปทำสีใหม่เรียบร้อยแล้ว ไอ้หน้าหล่อใช้นิ้วควงกุญแจในมือก่อนจะเปิดประตูรถ มันก็ดูเท่อยู่หรอกนะ แต่คยองซูก็นึกสงสัยว่าแม่ของหมอนี่ ยอมให้หมอนี่ขับรถอีกได้ไง หลังจากชนกับเขาแล้วต้องโป๊สีใหม่ทั้งคัน ก็ถ้าลองเป็นแม่ของคยองซู มีหวังเขาอาจจะไม่ได้แตะรถคันนั้นอีกเลยตลอดชาติ
"ยืนอึ้งอะไรอยู่ ขึ้นรถ"
เถียงไปก็ไม่มีประโยชน์ คยองซูสงบปากสงบคำและเดินไปเปิดประตูรถฝั่งที่นั่งผู้โดยสารข้างคนขับ และนั่งเงียบๆอย่างเรียบร้อย รอคอยให้ไอ้หล่อเป็นฝ่ายเริ่มคุยเสียที
"นายเรียนคณะอะไร"
"ศึกษาศาสตร์" ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงความคิดเห็น เพราะงั้นแค่ตอบก็พอ
"ฉันเรียนคณะแพทย์" ไอ้หล่อถอดแว่นตาเก็บที่ช่องเก็บแว่นตาหน้ารถ ส่องกระจกที่ใช้มองหลัง จัดปอยผมหน้าม้าของตัวเอง ส่วนคยองซูก็ได้แต่นั่งอมน้ำลายต่อไปเงียบๆด้วยความสงสัยว่าใครไปถามมันตอนไหน
"รู้ไหมว่าค่าทำสีใหม่ที่ฉันต้องใช้คืนแม่มันเท่าไหร่"
"ไม่รู้" แล้วจะกั๊กทำไมเล่า แทนที่จะบอกๆมา "เท่าไหร่ล่ะ"
"ราวๆห้าแสนวอน" (ประมาณหมื่นห้าพันบาทไทย) พอฟังจบคยองซูรู้สึกเหมือนตัวเองหดเล็กลงขนาดตัวเหลือเท่ายางลบก้อนเล็กๆที่ถูกใช้งานไปจนเว้าแหว่ง ไม่ต่างอะไรกับเม็ดก๋วยจี้ที่ถูกถุยทิ้งไว้ข้างถนน มันช่างต่ำต้อยด้อยข้าเสียเหลือเกิน
"แล้วจะให้ฉันชดใช้ยังไงก็รีบพูดมา ฉันต้องกลับไปช่วยงานแม่ที่บ้าน" หาเงินมาใช้หนี้ไงล่ะ=_=
"เบ๊"
"ห๊ะ..." คยองซูขมวดคิ้วเหมือนฟังไม่เข้าใจจนแบคฮยอนต้องอธิบาย
"เป็นเบ๊ให้ฉัน 2 เทอม" พูดจบก็ชูสองนิ้วเป็นสัญลักษณ์วิคตอรี่มาให้ วิคตอรี่จริงๆ คยองซูอยากจะเอาหน้าไถไปกับคอนโซลรถแล้วตะคอกใส่หน้าว่า 'หน้าเลือด' แต่ก็เกรงใจ
"เทอม2อาจจะได้แค่ช่วงต้นๆเทอมนะ ฉันต้องเตรียมเรื่องทำวิทยานิพนธ์ แล้วก็เตรียมเรื่องไปฝึกสอนด้วย" พูดเสียงอ่อย นี่ยังไม่รวมที่เขาต้องไปช่วยงานที่บ้านทุกๆเย็น แต่ไอ้หมอนี่คงไม่สนใจฟังหรอก
"นี่อยู่ปีไหนน่ะ"
"4อ่ะ ศึกษาศาสตร์จบ5ปี"
"อายุเท่าไหร่"
"25" ถามไปแทงหวยหรือยังไงกันนะ
"ผมอายุ 18" พอคนข้างๆตัวอ้อมแอ้มตอบ คยองซูชะงักค้างแล้วมองหน้าไอ้รูปหล่อชัดๆอีกที ทั้งสรรพนามแทนตัวที่เปลี่ยนไปและท่าทางที่ดูอ่อนลงทำให้คยองซูรู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย บางทีไอ้เด็กนี่อาจจะเกรงใจเขาขึ้นมาบ้าง
"แล้วฉันต้องชดใช้ยังไงนะ"
"เบ๊ไง 2เทอม" คนข้างๆตัวเว้นช่วง "ก็...บอกว่าไม่มีตังค์ไม่ใช่เหรอ" ฟังดูใจดีมีมนุษยธรรมที่อุตส่าห์เล็งเห็นในความลำบากยากจน แต่ใจความก็ยังคงเดิมคือให้เป็นเบ๊สองเดือน แลกกับค่าเสียหายห้าแสนวอน คยองซูขยี้ผมตัวเองแล้วพยักหน้า ยอมรับในเวรกรรมที่ทำมาคู่กับไอ้หน้าหล่อแต่โดยดี
"เออ จะให้ทำอะไรก็โทรบอกละกัน ฉันไปล่ะ" พูดจบก็ตั้งท่าจะเปิดประตูลงจากรถ แต่เจ้าของรถโน้มตัวมาใกล้จนปลายจมูกห่างกันไม่ถึงคืบ
"นั่งนิ่งๆ เดี๋ยวผมไปส่ง" เอ่ยสรุปเองและก็ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้คยองซู แม้จะรู้สึกหงุดหงิดและไม่ชินในความลมเพลมพัดของเจ้าหนี้ผู้สวมแว่นตาดำและทำราวกับว่าเกาหลีใต้คือดวงอาทิตย์ก็เถอะ อย่างน้อยคยองซูก็รู้สึกว่า เบาะรถแพงของคุณเจ้าหนี้นี่ มันช่างนุ่มตูดดีเหลือเกิน
ว่าแต่ สรุปแล้วไอ้คุณเจ้าหนี้นักศึกษาแพทย์นี่มันชื่อว่าอะไรนะ..
"แขนเป็นไงบ้าง" หลังจากเซฮุนทำการถอดเฝือกเสร็จเรียบร้อยก็เดินยิ้มแต้มาหาจงอินที่หน้าห้องตรวจ พอเพื่อนรักเอ่ยถามแบบนั้น เซฮุนก็ยิ้มกว้างเสียจนตาปิดแถมแกว่งแขนโชว์อีกต่างหาก
"สบายมาก ขนของเข้าหอสบาย" เพราะภารกิจต่อจากการถอดเฝือกคือการย้ายเข้าหอพัก และดูเหมือนเซฮุนจะเห่อสุดๆกับการจะได้ย้ายจากบ้านมาอยู่หอพัก ถึงเอาแต่คุยฟุ้งตลอดทางตั้งแต่ออกจากบ้านว่าอยากจัดห้องเป็นแบบนั้นแบบนี้
"ไม่ต้องเลย ยังไม่หายดี เดี๋ยวก็ปวดแขนอีก" จงอินส่ายหน้าวืดตอนที่พูด รู้สึกเหมือนเพื่อนรักกลายเป็นเด็กอนุบาลที่ต้องมาคอยตามกำกับควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ดื้อซนจนเจ็บตัว จงอินมองเซฮุนแล้วก็ส่งกาแฟเย็นในมือให้ "อะ กินปะ เดี๋ยวต้องรอไอ้แบคฮยอนแป็บนึง เดี๋ยวมันมารับ"
"โอเค" จงอินและเซฮุนนั่งรอที่เก้าอี้ยาวที่โถงใหญ่ของโรงพยาบาล รอเวลาให้เพื่อนรักมารับไปดูหอพักที่จะใช้อยู่ร่วมกันสามคน ไม่น่าเชื่อว่าหลังจากทำรถเป็นรอยจนได้ซ่อมทำสีใหม่ทั้งคัน สุดท้ายแม่ก็ยอมให้รถแบคฮยอนมาสำหรับขับไปเรียนจนได้
เป็นเวลาเกือบสิบห้านาทีที่นั่งกันเงียบๆโดยไม่มีใครพูดอะไร ไม่ใช่ว่าไม่เคยอยู่กันตามลำพัง แต่ที่ผ่านมาจงอินและเซฮุนไม่เคยนั่งอยู่ด้วยกันเงียบๆด้วยความรู้สึกอึกอักอึดอัดแบบนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรก
"หิวข้าวรึยัง" เซฮุนทำลายความเงียบขึ้นมา นักเรียนบัลเล่ต์ส่ายหัวดิก
"ทำไม หิวเหรอ" คนที่ถูกถามกลับส่ายหน้าเช่นกัน ก็เลยได้นั่งกันเงียบๆแบบนั้นต่อไปโดยไม่พูดอะไร ไม่รู้ว่าจงอินรู้สึกแบบเดียวกันไหม แต่สำหรับเซฮุน เขารู้สึกว่าบรรยากาศที่ลอยฟุ้งอยู่รอบตัว มันเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่จงอินพูดอะไรกำกวมนั้นออกมาให้เขาได้ฟัง มันแปลกไปจนเซฮุนรู้สึกอึดอัดที่จงอินยังคงทำตัวเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เขาก็ยังไม่รู้หรอกว่าจะให้คำตอบกับจงอินยังไง ไม่รู้ว่าตัวเองจะตอบรับความรู้สึกของจงอินได้ไหมถ้าคนข้างตัวเกิดชอบเขาขึ้นมาจริงๆ แต่สิ่งที่เซฮุนอยากรู้ และมันก็รบกวนจิตใจเขามากในตอนนี้ก็คือ จงอินคิดยังไงกันแน่
"ที่พูดวันก่อน.." เซฮุนเริ่ม น้ำเสียงไม่มั่นใจนัก ยอมรับตรงๆว่าค่อนข้างประหม่า
"แบคฮยอนมาแล้ว" ยังไม่ทันพูดจบจงอินพยักเพยิดไปที่รถของเพื่อนรักที่วนเข้ามาจอดและลุกขึ้นยืน เซฮุนไม่แน่ใจว่าจงอินได้ยินประโยคก่อนหน้านั้นหรือเปล่า หรือแค่แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พูดอะไรและเดินไปที่รถ เซฮุนก็เลยเลือกจะเดินตามไปเงียบๆและไม่ถามอะไรกวนใจต่อ
ไม่ใช่ว่าเซฮุนไม่เคยมีใครอื่นมาชอบ แต่ทุกๆครั้งเซฮุนจะมีคำตอบที่สามารถพูดบอกออกไปได้ทันที คือ'ไม่' แต่กับจงอิน เขาไม่สามารถจะทำแบบนั้นได้ ไม่สามารถจะบอกว่า 'ใช่' เพราะยังคงไม่เข้าใจหัวใจตัวเอง และไม่สามารถจะพูดว่า 'ไม่' ด้วยความรู้สึกที่มากพอจะไม่เรียกว่าโกหก
ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่เซฮุนรู้สึกมั่นใจเลยซักอย่าง
"ตกลงหอนี้ละกัน กลางๆไม่ไกลมหาลัยพวกกูมากไป แล้วก็ใกล้มหาลัยมึงด้วย เซฮุนจะได้ไม่ต้องขับไกล" แบคฮยอนเอ่ยสรุปให้หลังจากพากันตระเวนหาหอพักตลอดทั้งบ่าย จนมาจบที่หอพักดีไซน์เรียบๆแต่ดูอบอุ่น ราคาไม่สูงมากนัก และมีห้องนอนกว้างพอจะวางเตียงได้สองหลังแบบมีที่ว่างเหลือสบายๆ
"เซฮุนชอบมั้ย" จู่ๆจงอินก็ถามขึ้นมาแบบนั้น เจ้าของชื่อสะดุ้งตอนที่หันไปมองหน้า
"อะไรนะ"
"ชอบหอนี้มั้ย"
"อ๋อ..หอ...ชอบๆ" เซฮุนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วแสร้งทำเป็นมองผ้าม่านสีครีม ไม่สบตาคนข้างๆตัว ส่วนจงอินก็เดินดูรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของห้องโดยไม่ได้สนใจ ถ้าจะมีใครที่จับความผิดปกติได้ ก็คงมีแต่แบคฮยอน
นักศึกษาแพทย์ตาตี่มองเซฮุนที มองจงอินที แล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด ไม่รู้จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงดี
"พวกมึงเป็นอะไรกันวะ" กระซิบถามตอนที่เดินมาดึงแขนให้เซฮุนค้อมตัวลงแล้วกอดคอ "ทะเลาะเชี่ยไรกันปะเนี่ย"
"ป...เปล่า ไม่ได้มีไร" พิรุจแบบชัดเจนมาก ถ้ามีเครื่องจับเท็จมันคงส่งเสียงดังจนหูแตกเตือนว่าเซฮุนกำลังโกหก แบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเซฮุนที่เลิกคิ้วกวนๆกลับ
"หรือจงอินบอกชอบมึงแล้ว"
"ห้ะ" เซฮุนหลุดอุทานเสียงดัง "มึงรู้เหรอ"
"มันบอกมึงแล้วเหรอวะ" แบคฮยอนเองก็มีท่าทางร้อนรนไม่แพ้กัน ไม่ใช่ว่าความแตกเพราะเขาถามขึ้นมาหรอกนะ เซฮุนทำหน้าอธิบายไม่ถูก เป็นเวลาหลายวินาทีตอนที่แบคฮยอนและเซฮุนจ้องกันไปมาแบบอึ้งแดกและไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยจนมีเสียงของใครอีกคนขัดขึ้นมา
"ยังไม่ได้บอก แต่กำลังจะบอก" แบคฮยอนไม่อยากจะจำได้เลยว่านั่นคือเสียงของจงอินที่พูดแทรกขึ้นมา เซฮุนเองก็รู้สึกเหมือนโดนไม้แข็งๆฟาดหัวจนสมองทำงานบกพร่องตอนที่มีบุคคลที่สามเข้ามาร่วมวงสนทนา เหมือนกำลังนินทาคนแล้วโดนจับได้
ทั้งแบคฮยอนและเซฮุนหันไปมองที่จงอิน
จงอินยังคงเป็นจงอินคนเดิมเหมือนที่เป็นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่ดูดีสมส่วน ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนคนที่หงุดหงิดง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสดใสราวกับทำให้ดอกไม้ทั้งโลกผลิบานเพียงแค่แย้มยิ้ม จงอินยังเป็นคนเดิม แต่สิ่งที่จงอินพูดสิ ที่ดูไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะออกมาจากปากของคิมจงอิน
"กูชอบมึง เซฮุน"
"....."
"มาคบกันมั้ย"
"เซฮุนชอบมั้ย" จู่ๆจงอินก็ถามขึ้นมาแบบนั้น เจ้าของชื่อสะดุ้งตอนที่หันไปมองหน้า
"อะไรนะ"
"ชอบหอนี้มั้ย"
"อ๋อ..หอ...ชอบๆ" เซฮุนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วแสร้งทำเป็นมองผ้าม่านสีครีม ไม่สบตาคนข้างๆตัว ส่วนจงอินก็เดินดูรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของห้องโดยไม่ได้สนใจ ถ้าจะมีใครที่จับความผิดปกติได้ ก็คงมีแต่แบคฮยอน
นักศึกษาแพทย์ตาตี่มองเซฮุนที มองจงอินที แล้วก็ทำหน้าครุ่นคิด ไม่รู้จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นยังไงดี
"พวกมึงเป็นอะไรกันวะ" กระซิบถามตอนที่เดินมาดึงแขนให้เซฮุนค้อมตัวลงแล้วกอดคอ "ทะเลาะเชี่ยไรกันปะเนี่ย"
"ป...เปล่า ไม่ได้มีไร" พิรุจแบบชัดเจนมาก ถ้ามีเครื่องจับเท็จมันคงส่งเสียงดังจนหูแตกเตือนว่าเซฮุนกำลังโกหก แบคฮยอนขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเซฮุนที่เลิกคิ้วกวนๆกลับ
"หรือจงอินบอกชอบมึงแล้ว"
"ห้ะ" เซฮุนหลุดอุทานเสียงดัง "มึงรู้เหรอ"
"มันบอกมึงแล้วเหรอวะ" แบคฮยอนเองก็มีท่าทางร้อนรนไม่แพ้กัน ไม่ใช่ว่าความแตกเพราะเขาถามขึ้นมาหรอกนะ เซฮุนทำหน้าอธิบายไม่ถูก เป็นเวลาหลายวินาทีตอนที่แบคฮยอนและเซฮุนจ้องกันไปมาแบบอึ้งแดกและไม่มีคำพูดใดจะเอื้อนเอ่ยจนมีเสียงของใครอีกคนขัดขึ้นมา
"ยังไม่ได้บอก แต่กำลังจะบอก" แบคฮยอนไม่อยากจะจำได้เลยว่านั่นคือเสียงของจงอินที่พูดแทรกขึ้นมา เซฮุนเองก็รู้สึกเหมือนโดนไม้แข็งๆฟาดหัวจนสมองทำงานบกพร่องตอนที่มีบุคคลที่สามเข้ามาร่วมวงสนทนา เหมือนกำลังนินทาคนแล้วโดนจับได้
ทั้งแบคฮยอนและเซฮุนหันไปมองที่จงอิน
จงอินยังคงเป็นจงอินคนเดิมเหมือนที่เป็นมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่ดูดีสมส่วน ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนคนที่หงุดหงิดง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ใบหน้าที่จะแปรเปลี่ยนเป็นสดใสราวกับทำให้ดอกไม้ทั้งโลกผลิบานเพียงแค่แย้มยิ้ม จงอินยังเป็นคนเดิม แต่สิ่งที่จงอินพูดสิ ที่ดูไม่น่าเชื่อเลยว่ามันจะออกมาจากปากของคิมจงอิน
"กูชอบมึง เซฮุน"
"....."
"มาคบกันมั้ย"
ติ ด ต า ม ต่ อ ต อ น ห น้ า
_________________________
#พิชาน25น้องฮุน18 / #ฮุนไคDistant
_________________________
#พิชาน25น้องฮุน18 / #ฮุนไคDistant
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น