ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ( 18 x 25 ) - สี่ : โตเป็นหนุ่ม
Distant ( 18-25)
Chanyeol x Sehun By:ซรดจ.
สี่.
โตเป็นหนุ่ม
[ 9-16 ]
เซฮุนจำไม่ได้แล้ว ว่าบรรยากาศหดหู่อึมครึมระหว่างเขากับชานยอลเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ดูเหมือนมันยังคงดำเนินไปเรื่อยๆอย่างต่อเนื่องโดยที่ไม่มีใครคิดจะหยุดมัน เซฮุนเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นสิ่งที่พวกผู้ใหญ่เรียกว่า 'น้อยใจ' แต่เซฮุนก็ไม่เข้าใจความหมายของคำๆนี้มากเท่าไหร่ เลยไม่กล้าจะจำกัดความสิ่งที่กำลังเป็นด้วยคำที่เขายังไม่เข้าใจมันดีพอ
ตอนนี้เซฮุนขึ้นชั้นประถม4แล้ว เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้นตอนที่แม่ฝากฝังให้พาจุนฮงที่จะเข้าเรียนชั้นประถม1ในปีนี้ไปส่งที่ห้องเรียน แม่มักจะชมเซฮุนด้วยคำพูดที่เขาชอบ เช่น "เป็นพี่ชายที่เก่งมาก" หรือ "เป็นลูกที่น่ารัก" นั่นทำให้เซฮุนมีความสุข
ตอนนี้เซฮุนไม่ได้พยายามจะพูดคุยกับพี่ชานยอลอีกแล้ว เพราะชานยอลมักจะอารมณ์เสียใส่เขา ไม่ก็ทำให้เขาอารมณ์เสียเวลาที่ต้องเจอหน้ากัน แม้จะเป็นแค่ช่วงสั้นๆตอนที่เซฮุนเดินออกมาทิ้งขยะหน้าบ้านก็ตามที แม่บอกว่าเป็นเพราะพี่ชานยอลกำลังโต"เป็นหนุ่ม" ก็เลยอารมณ์แปรปรวน เป็นเรื่องปกติ แต่เซฮุนกลับคิดว่ามันไม่ปกติอย่างที่แม่ว่า
เซฮุนเกลียดชานยอลคนที่ชอบตะโกนใส่
เซฮุนเกลียดชานยอลคนที่เอะอะก็ไล่กลับบ้าน
พอคิดแบบนี้แล้ว เซฮุนก็รู้สึกกลัวการโต'เป็นหนุ่ม' เพราะไม่อยากจะเป็นเหมือนปาร์คชานยอล
ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ไม่ได้คุยกัน แต่พอเริ่มคุยมันก็มักจะนำมาสู่การทะเลาะเบาะแว้งตลอด เซฮุนยังโกรธอยู่ และก็ใช้คำพูดที่ไม่ดีกับชานยอลซักเท่าไหร่ แต่เซฮุนไม่สนใจนัก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองอยู่ได้โดยไม่ต้องมีชานยอลแล้ว
"ทำอะไรน่ะ"
"ไม่ต้องมาจุ้น" ไม่อยากจะอวดเลยว่าเสียงตอนที่หันไปพูดกับชานยอลดูน่ากลัวแค่ไหน มันแทบจะกลายเป็นตะคอก และชานยอลก็ดูตกใจที่เซฮุนพูดจาแบบนั้น แม้รู้ตัวว่าไม่น่ารักแต่เซฮุนก็สะใจ
มือเล็กฉีกกระดาษจากทางโรงเรียนและทิ้งลงในกองไฟเล็กๆในสวนที่จุดขึ้นเพื่อเผาใบไม้ จ้างให้ก็ไม่บอกหรอกว่ามันคือจดหมายเรียกผู้ปกครอง
"พ่อแม่ไม่เคยสอนมารยาทเหรอโอเซฮุน"
"ผมมารยาทดี ไม่เหมือนคน-บาง-คนหรอก" เน้นเสียงทีละพยางค์ตอนที่พูดว่าคนบางคน ชานยอลคงจะรู้แล้วล่ะว่าเซฮุนหมายความถึงใคร พอเห็นพี่ชายข้างบ้านเริ่มหัวเสียและเดินเข้าบ้านไป เซฮุนก็ใช้ไม้สำหรับเขี่ยถ่าน เขี่ยให้กระดาษที่ปลิวไปที่พื้นใกล้ๆกันเข้าไปในกองไฟ
อันที่จริงเซฮุนไม่ได้รู้สึกสะใจแต่เซฮุนกำลังรู้สึกเสียใจ และคิดว่าตัวเองเกลียดชานยอล เกลียดจนไม่อยากจะเจอหน้าคนๆนี้อีกต่อไปแล้ว
"เซฮุน ทำอะไรลูก" เสียงของหญิงสาวผู้เป็นมารดาทำให้เด็กชายสะดุ้ง เซฮุนส่ายหน้าวืดกลบเกลื่อน ก่อนจะแสร้งทำเป็นเขี่ยๆกองกระดาษและใบไม้ที่บัดนี้ไหม้เกรียมและใกล้จะมอด แทบดูไม่ออกว่าก่อนหน้านี้สิ่งที่กลายเป็นเถ้าถ่านเคยเป็นอะไรมาก่อน
"เผาใบไม้ฮะ"
"ระวังไฟล่ะ อาหารเย็นเสร็จแล้วนะลูก เข้ามาล้างมือแล้วไปช่วยแม่จัดจานเร็วคนดี"
เซฮุนไม่ได้หันไปมองหน้าแม่ อันที่จริงเขาชอบนะเวลาที่แม่เรียกเขาว่า 'คนดี' แต่ตอนนี้พอได้ยินแม่เรียกแบบนั้น เขากลับรู้สึกเหมือนกำลังโกหกคำโต คงไม่มีคนดีที่ไหนเขาโดดเรียนกันหรอก แต่เซฮุนไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์เอาซะเลย ยิ่งวิทยาศาสตร์ยิ่งแล้วใหญ่ แล้วจะบอกแม่ได้ยังไงล่ะว่า'คนดี'ของแม่น่ะโดดเรียน
วันหยุดยาวช่วงคริสตมาสปีนี้ไม่สนุกเท่าไหร่ ตอนเด็กๆเซฮุนเคยชอบวันคริสตมาส วันที่อาจารย์ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์ที่ชื่ออาจารย์ชินดงจะใส่ชุดสีแดง และติดหนวดสีขาวฟูฟ่องนุ่มนิ่ม แจกของขวัญให้เด็กๆทุกคนในชั้นเรียนช่วงวันสุดท้ายก่อนจะเป็นวันหยุดติดต่อกันหลายวัน
เซฮุนชอบเล่นเกมแลกของขวัญ เราเรียกมันว่าเกม'บัดดี้' เป็นเกมที่พวกเราเล่นกันเองในครอบครัว เราจะจับฉลากขึ้นมาว่าจะได้ซื้อของขวัญให้ใครเพื่อจะเลือกของขวัญที่เหมาะสมเข้ากับคนที่จะได้รับ ในปีแรกๆที่จุนฮงยังแบเบาะ ชานยอลก็เคยเล่น'บัดดี้'กับครอบครัวของเราด้วยแม้จะไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวก็ตาม
เซฮุนเคยได้ตัวต่อเลโก้ที่สามารถจะต่อเป็นโมเดลไปเดอร์แมนจากชานยอลตอน6ขวบ และเซฮุนก็ชอบของขวัญชิ้นนี้เอามากๆ จนตั้งมันเอาไว้บนโต๊ะทำงาน
แต่ปีนี้ดูเหมือนว่าเกม'บัดดี้'จะไม่มีชานยอลอีกแล้ว อาจจะรวมถึงปีต่อๆไปด้วย แต่เซฮุนก็ไม่อยากจะนึกถึงอีกแล้วก็เลยพยายามจะหาเกมสนุกๆเล่นเพราะเบื่อที่จะเรียนหนังสือ พอๆกับเบื่อที่จะคิดถึงชานยอล
หลังจากเรียนวันสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย วันนี้อาจารย์ใจดีก็เลยปล่อยให้เด็กๆเลิกเรียนเร็วกว่าปกติ เซฮุนจึงพาจุนฮงกลับมาที่บ้านและสั่งให้จุนฮงนั่งเล่นอยู่ในห้อง ส่วนเขาก็ใช้เวลาช่วงที่พ่อแม่ยังไม่กลับบ้านเพื่อไปซื้อของขวัญ'บัดดี้'ให้แม่ ปีนี้เซฮุนจับได้ชื่อของแม่ เพราะฉะนั้นก็เลยอยากเก็บเป็นความลับตอนที่ไปซื้อของ
เซฮุนบรรจงเปิดตูดกระปุกรูปไอร่อนแมนของตัวเอง เทเงินออกมานับให้พอดีจำนวนโดยหยิบไปเผื่อเพิ่มนิดหน่อย เซฮุนตั้งใจว่าจะซื้อหนังสือภาพและคำกลอนเล่มหนึ่งให้แม่ เป็นคำกลอนที่อาจารย์เคยอ่านให้ฟังในชั้นเรียนวิชาภาษาเกาหลีและเซฮุนก็ชอบเอามากๆ ส่วนเงินที่เหลือ เซฮุนตั้งใจว่าจะซื้อขนมปังร้านที่ทุกคนในบ้านชอบ
ทางเดินจากบ้านไปร้านหนังสือไม่ไกลมากนัก แต่ต้องเดินไปอีกประมาณช่วงตึกหนึ่งถึงจะเป็นร้านขนมปัง เซฮุนคิดว่าเขาจะซื้อหนังสือเล่มที่ตั้งใจเลือกไว้ก่อน และซื้อขนมปังทีหลัง แล้วค่อยเดินกลับบ้าน
เซฮุนชอบเดินเล่น บรรยากาศครึกครื้นอบอุ่นในช่วงเทศกาลความสุขที่ใครๆก็ต่างออกมาจับจ่ายเลือกซื้อของขวัญให้แก่กัน ในตอนที่ท้องฟ้าเริ่มสลัว ร้านรวงต่างๆจะเปิดไฟประดับ แม้ว่าจะรู้สึก'เหงา'แต่เซฮุนก็ชอบอยู่กับความรู้สึกนี้ที่ได้คิดอะไรเล่นไปเรื่อยตามใจชอบ
ปกติแล้วร้านขนมปังจะมีไฟประดับดวงเล็กๆสีส้มติดอยู่เป็นระยะ หน้าร้านเป็นกระจกบานใหญ่สองบานที่อวดให้เห็นขนมปังและเค้กรสชาติต่างๆ วันนี้ที่หน้าประตูร้านประดับช่อมิสเซิลโทที่มีกระดิ่งกรุ๊งกริ๊งสีเหลืองทอง และก็มีไฟกระพริบทั้งสีแดง ส้ม เหลือง เขียววิ่งสลับกันไปมาเหมือนแมลงเล็กๆที่กำลังขยับ
ทีแรกเซฮุนตั้งใจว่าจะซื้อขนมปังทั้งหมด3ชิ้น ให้พ่อและแม่คนละหนึ่งชิ้นแทนคำขอบคุณที่ดูแลเขาและจุนฮงมาตลอด ส่วนชิ้นสุดท้ายเซฮุนตั้งใจว่าจะแบ่งกันคนละครึ่งกับจุนฮง แต่ถ้าน้องชายจะกินหมดทั้งชิ้นคนเดียว เขาก็ไม่ว่าอะไร
เซฮุนเคยได้ยินแม่พูดถึง'เด็กจรจัด'ที่หมายถึงเด็กที่ไม่มีบ้านเพราะว่ามี'ปัญหาครอบครัว'ก็เลยหนีออกจากบ้านมา ทีแรกเซฮุนนึกว่ามันเป็นคำพูดที่แม่ใช้ขู่ไม่ให้เขาและจุนฮงคิดจะหนีออกจากบ้านตามแบบในละคร แต่ในวันนั้นเซฮุนก็ได้เจอคนที่คล้ายกับ'เด็กจรจัด'ที่แม่พูดถึง
เด็กผู้ชายหน้าตามอมแมมที่ร้องไห้อยู่ที่ช่องว่างๆระหว่างช่วงตึกใกล้กับร้านหนังสือทำให้เซฮุนชะงัก เด็กคนนั้นดูเหน็ดเหนื่อย และ หิวโหย ตามที่แม่เคยเล่าให้ฟังไม่มีผิด
เด็กจรจัดคนนั้นเงยหน้าขึ้นมามองเซฮุนตอนที่เขาเอ่ยถามว่าทำไมถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ ดวงตากลมๆนั้นเหมือนเจ้าลัคกี้ไม่มีผิด เพราะอะไรไม่รู้เซฮุนก็เลยหยิบขนมปังส่งให้เด็กคนนั้นไปก้อนนึงและรีบกลับบ้าน
วันนั้นเซฮุนจำได้แม่นว่าแม่โกรธมากที่เขาทิ้งจุนฮงไว้ที่บ้านคนเดียว และก็โดนแม่ตีจนก้นลายเป็นของขวัญคริสตมาสชิ้นแรกของปี
[ 18-25 ]
"ไม่ปล่อย ไม่ปล่อย เซฮุนปั่นไปข้างหน้าสิ เดี๋ยวพี่จะคอยจับท้ายไว้ให้"
"พี่ชางยอง อย่าปล่อยนะ"
"เซฮุน"
"ไม่ปล่อยหรอก พี่อยู่นี่ไง"
"เซฮุน"
"เซฮุน ตื่นมาทานข้าวเช้าได้แล้วลูก จะได้ทานยา" เสียงทุ้มนุ่มของคนที่คุ้นเคยกลายเป็นเสียงหญิงสาวผู้ให้กำเนิด เซฮุนหยีตาเมื่อแดดสว่างจ้าส่องเข้ามาทางหน้าต่าง นึกเศร้าที่ฝันดีทำให้เขาเสียใจเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน ไม่ใช่เรื่องจริง
เมื่อคืนหลังจากชานยอลเดินกลับไปที่บ้านของตัวเอง เซฮุนก็นอนร้องไห้ตลอดทั้งคืนจนหลับไป มันเป็นความเจ็บปวดที่ตอกย้ำมาตลอดแต่เขาไม่เคยยอมรับมันได้
เซฮุนผุดลุกขึ้นนั่งและถอนหายใจยาว ค่อยๆพับผ้าห่มจัดเตียงให้เรียบร้อยด้วยมือเพียงข้างเดียว อดไม่ได้ที่จะทอดสายตามองไปที่หมอนใบข้างๆ อดนึกโกรธตัวเองไม่ได้ที่พูดคำว่ารักกับชานยอลทั้งที่ชานยอลก็เคยตอบปฏิเสธเขามาครั้งหนึ่งแล้ว
'เซฮุนยังเด็กเกินไป แล้วพี่ก็ไม่ได้คิดอะไรกับเราแบบนั้น'
เซฮุนถอนใจเมื่อนึกถึงน้ำเสียงอ่อนใจของชานยอลเมื่อสองปีก่อน เหตุผลทีพี่ชายข้างบ้านให้กับเขามันช่างฟังดูไม่เข้าท่าเอาเสียเลยในความรู้สึกของเซฮุน เขาต้องโตแค่ไหนล่ะถึงเพียงพอจะรักชานยอลได้
"พี่" เสียงแหลมของจุนฮงมาก่อนตัว เปิดประตูห้องเข้ามาทั้งที่ไม่ได้เคาะและถามเสียงใส "เสร็จยัง แม่ให้มาตาม วันนี้ทำโจ๊กหมูแบบที่พี่ชอบด้วย"
"ชานยอลกลับไปตอนไหนน่ะลูก" พอผู้เป็นแม่ถามขึ้นมาแบบนั้น ดูเหมือนมือไม้ของเซฮุนก็จะเปลี้ยขึ้นมาชั่วขณะ
เคร้ง
เสียงช้อนกระทบกับชามกระเบื้องดังจนคุณพ่อที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ยังต้องชะงักและเงยหน้าขึ้นมอง แม้แต่จุนฮงที่ตอนนี้สวมชุดนักเรียนมัธยมปลายและมีกระเป๋าเป้สีเหลืองสดใสอยู่ข้างๆก็หยุดชะงักและมองหน้าของพี่ชายเช่นกัน
เซฮุนลูบแขนข้างที่เข้าเฝือกเอาไว้แก้เก้อและอ้อมแอ้มตอบ "ม..ไม่แน่ใจครับ น่าจะตอนที่ผมหลับไปแล้ว"
"ชานยอลลืมรองเท้าหนังไว้น่ะลูก เดี๋ยวเอาไปคืนให้พี่เค้าหน่อยนะ" คุณแม่ตักข้าวต้มให้พ่อไปพลางก็พูดกับเซฮุนไปพลาง ยิ้มแย้มอย่างใจดีตอนที่หันมาพูดคล้ายจะกระซิบเย้าแหย่ให้ลูกชายขำ "เดี๋ยวพี่เค้าไม่มีรองเท้าไปทำงานนะ"
เซฮุนอมยิ้มเจื่อนๆและยกแก้วนมขึ้นจรดริมฝีปาก พ่อวางหนังสือพิมพ์ลงแล้ว และแม่ก็ง่วนอยู่กับการเตรียมเสื้อกันฝนใส่กระเป๋าให้จุนฮง ส่วนจุนฮงก็เลิกมองหน้าเขาและตักโจ๊กกิน
เซฮุนเคยชินกับการไม่เป็นที่สนใจ ไม่มีอะไรโดดเด่น แค่เพียงมีเพื่อนและคนที่เขารักอยู่ข้างๆ ปฏิบัติกับเขาด้วยความเข้าอกเข้าใจ ใช้ชีวิตสงบเงียบและเรียบง่ายเซฮุนก็พอใจแล้ว แม้ในบางทีจะมีเรื่องให้ต้องหงุดหงิดและรำคาญใจ แต่เซฮุนก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดี ที่คนรอบข้างปฏิบัติต่อเขาอย่างดีเสมอ
เขาเคยใคร่ครวญหลายครั้งว่าทำไมตัวเองถึงได้ชอบปาร์คชานยอล ทั้งที่ทุกวันนี้ ยิ่งอีกฝ่ายมีหน้าที่การงานและเจอกับสังคมใหม่ๆ พี่ชายก็ยิ่งเปลี่ยนไปด้วยสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้กลายเป็นชานยอลคนที่แตกต่างกับชานยอลคนก่อนอย่างสิ้นเชิง ยิ่งมีระยะห่างเท่าไหร่เซฮุนกลับยิ่งโหยหามากเท่านั้น
เซฮุนรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คนในแบบที่ชานยอลจะชอบ ไม่ผมยาวตาโตนมใหญ่เอวคอดน่ากอดน่าฟัดเหมือนพวกผู้หญิงที่ชานยอลชอบมอง
แต่แล้วยังไงล่ะ เด็กผู้ชายตัวสูงเก้งก้างไม่มีแรงดึงดูดทางเพศ(กับผู้ชายด้วยกัน)แบบเขา มันไม่มีหัวใจหรือไง เซฮุนกำช้อนแน่นตอนที่นึกถามตัวเองว่าทำไมถึงเป็นเขาไม่ได้ นึกใคร่ครวญว่า..ทำไม..ถึงมีแค่โอเซฮุนที่โดนชานยอลปฏิเสธ
"พ่อครับ"
อันที่จริงแล้ว..มันคงดีกว่าถ้าไปจากชานยอลซะ หนีไปจากสภาพแวดล้อมแบบนี้ที่ต้องเจอชานยอลอยู่เรื่อยๆ เซฮุนเดาว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้สึกอะไรถ้าเขาหายไป
ชานยอลทำงานในบริษัทรับออกแบบและตกแต่งบ้านที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง อายุอานามก็ใกล้เข้าวัยกลางคนเข้าไปทุกที ชานยอลคงมีโอกาสได้เจอใครต่อใครมากมาย ที่หากชอบใจและอยากเข้าหา ก็คงไม่น่าแปลกใจถ้าอีกฝ่ายจะสานต่อ
คนที่มีทุกอย่างครบ มีสังคมที่กว้างขวาง ขัดกันกับเขาทุกอย่างจะมาสนใจอะไร เซฮุนเข้าใจว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเขาคงอยู่นอกสายตาปาร์คชานยอลมานานแล้ว
"เปิดเทอมนี้ผมขอย้ายไปอยู่หอกับแบคฮยอนนะ"
"ก็เอาสิ" คนเป็นพ่อยิ้มอย่างใจดีตอนที่ตอบอนุญาต ความดีใจพุ่งขึ้นมาปริ่มในอก และเซฮุนก็รู้สึกว่าทุกอย่างกำลังจะดีขึ้น
"ขอบคุณฮะพ่อ"
"ถามจริง" แบคฮยอนถามเสียงสูงก่อนจะหัวเราะออกมาดังเสียจนจงอินที่นั่งอยู่ข้างๆก้มหน้าก้มตากินโกโก้เย็นในมือ อยากจะทำเป็นไม่รู้จักว่าที่นักศึกษาแพทย์ที่ชอบทำเอะอะมะเทิ่งในที่สาธารณะอยู่เรื่อย
"ถามอะไรเล่า"
"ก็ที่มึงบอกว่าจะย้ายไปอยู่หอกับกูไง" เซฮุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนเป็นเรื่องขำขันขนาดนั้นด้วยล่ะ กะอีแค่บอกว่าขอไปอยู่หอด้วยได้ไหมแค่นั้นเอง คนที่เข้าเฝือกแขนข้างซ้ายเอนตัวนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวยาวแล้วเอียงหัวหนุนหมอนอิง
"ก็จริงดิ" ขมวดคิ้วแล้วถามต่ออย่างนึกได้ "หรือมึงรังเกียจ"
"ไปใหญ่ละสัส ไม่ใช่ไง กูเห็นมึงติดบ้าน ติดพ่อติดแม่อย่างกับอะไรดี อยู่ๆบอกจะมาอยู่ด้วยกันก็เลยงง" แบคฮยอนเอ่ยสบายๆแล้วเอนตัวนอนพิงโซฟาเดี่ยวสีแดงเลือดหมูตัวใหญ่ ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านที่เขาชอบที่สุดจริงๆนะ ถึงแม้ว่าจงอินจะด่าว่าสิ้นเปลืองทุกครั้งที่พามากินก็เถอะ
"จงอินอะ ไปอยู่ด้วยกันปะ" พอเซฮุนที่นั่งอยู่ฟังตรงข้ามเอ่ยถามขึ้นมาแบบนั้น คนที่นั่งเงียบอยู่นานก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา แบคฮยอนเองก็มองหน้าเพื่อนทั้งสองคน เหมือนทั้งโต๊ะเงียบไปชั่ววูบก่อนที่จงอินจะอ้อมแอ้มตอบออกมา
"มหาลัยมันไกล" เป็นคำตอบที่ห่วยมาก แบคฮยอนกลั้นใจรอจะฟังอยู่ตั้งนาน คิมจงอินคิดเหตุผลบ่ายเบี่ยงได้ดีสุดแค่นี้เหรอ ตกลงว่าไอ้เพื่อนสองคนนี้จะลุ้นขึ้นมั้ยวะ คนนึงก็ชอบเขาแต่ไม่พูด อีกคนก็เอาแต่โง่อยู่นั่นแหละ ไม่เคยจะรู้ตัวว่าคนที่แอบรักตัวเองมันอยู่ใกล้แค่ใต้จมูก
มันก็จริงอยู่ที่จงอินกับเขาทั้งสองคนอยู่คนละมหาวิทยาลัย แต่มันก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรมากมายขนาดนั้น อีกอย่างเซฮุนก็ดูแฮปปี้กับการไปรับไปส่ง ให้บริการเป็นสารถีแก่เพื่อนสนิททั้งสองคนอยู่แล้ว
"กว่าจะเปิดเทอมแขนก็หายแล่ว" พูดไม่ทันขาดคำ เพื่อนตัวดีก็ยิ้มร่าก่อนจะแกว่งแขนข้างที่เข้าเฝือกให้ดู อาทิตย์หน้าก็จะถึงเวลาหมอนัดเอาเฝือกออกแล้ว ส่วนสมรักษ์ก็จัดการเคลมและจะซ่อมเสร็จในอีกไม่กี่วัน "บ้านมึงไกล กูยังไปรับไปส่งมึงได้เลยครับคุณนีนี่ครับ ก็มาอยู่ด้วยกันดิ ไม่ซีเรียส"
"ถามอะไรเล่า"
"ก็ที่มึงบอกว่าจะย้ายไปอยู่หอกับกูไง" เซฮุนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ทำไมต้องทำท่าทางเหมือนเป็นเรื่องขำขันขนาดนั้นด้วยล่ะ กะอีแค่บอกว่าขอไปอยู่หอด้วยได้ไหมแค่นั้นเอง คนที่เข้าเฝือกแขนข้างซ้ายเอนตัวนั่งกึ่งนอนบนโซฟาตัวยาวแล้วเอียงหัวหนุนหมอนอิง
"ก็จริงดิ" ขมวดคิ้วแล้วถามต่ออย่างนึกได้ "หรือมึงรังเกียจ"
"ไปใหญ่ละสัส ไม่ใช่ไง กูเห็นมึงติดบ้าน ติดพ่อติดแม่อย่างกับอะไรดี อยู่ๆบอกจะมาอยู่ด้วยกันก็เลยงง" แบคฮยอนเอ่ยสบายๆแล้วเอนตัวนอนพิงโซฟาเดี่ยวสีแดงเลือดหมูตัวใหญ่ ร้านกาแฟร้านนี้เป็นร้านที่เขาชอบที่สุดจริงๆนะ ถึงแม้ว่าจงอินจะด่าว่าสิ้นเปลืองทุกครั้งที่พามากินก็เถอะ
"จงอินอะ ไปอยู่ด้วยกันปะ" พอเซฮุนที่นั่งอยู่ฟังตรงข้ามเอ่ยถามขึ้นมาแบบนั้น คนที่นั่งเงียบอยู่นานก็เงยหน้าขึ้นมาสบตา แบคฮยอนเองก็มองหน้าเพื่อนทั้งสองคน เหมือนทั้งโต๊ะเงียบไปชั่ววูบก่อนที่จงอินจะอ้อมแอ้มตอบออกมา
"มหาลัยมันไกล" เป็นคำตอบที่ห่วยมาก แบคฮยอนกลั้นใจรอจะฟังอยู่ตั้งนาน คิมจงอินคิดเหตุผลบ่ายเบี่ยงได้ดีสุดแค่นี้เหรอ ตกลงว่าไอ้เพื่อนสองคนนี้จะลุ้นขึ้นมั้ยวะ คนนึงก็ชอบเขาแต่ไม่พูด อีกคนก็เอาแต่โง่อยู่นั่นแหละ ไม่เคยจะรู้ตัวว่าคนที่แอบรักตัวเองมันอยู่ใกล้แค่ใต้จมูก
มันก็จริงอยู่ที่จงอินกับเขาทั้งสองคนอยู่คนละมหาวิทยาลัย แต่มันก็ไม่ได้ห่างไกลอะไรมากมายขนาดนั้น อีกอย่างเซฮุนก็ดูแฮปปี้กับการไปรับไปส่ง ให้บริการเป็นสารถีแก่เพื่อนสนิททั้งสองคนอยู่แล้ว
"กว่าจะเปิดเทอมแขนก็หายแล่ว" พูดไม่ทันขาดคำ เพื่อนตัวดีก็ยิ้มร่าก่อนจะแกว่งแขนข้างที่เข้าเฝือกให้ดู อาทิตย์หน้าก็จะถึงเวลาหมอนัดเอาเฝือกออกแล้ว ส่วนสมรักษ์ก็จัดการเคลมและจะซ่อมเสร็จในอีกไม่กี่วัน "บ้านมึงไกล กูยังไปรับไปส่งมึงได้เลยครับคุณนีนี่ครับ ก็มาอยู่ด้วยกันดิ ไม่ซีเรียส"
"เอางี้" แบคฮยอนพูดต่อ "ค่าห้องกูกะเซฮุนหารสอง ค่าน้ำค่าไฟหารสาม แค่นี้เลย"
"นะๆ" คราวนี้เป็นเซฮุน "กูไม่อยากให้เข้ามหาลัยแล้วเราห่างกันอะ มาอยู่ด้วยกันเหอะ นะๆ"
ก็คาดคั้นกันซะขนาดนี้แล้วคิมจงอินจะตอบอะไรได้อีกล่ะ "อื้อ ก็ได้"
"จริงๆแล้วไม่ต้องมาส่งก็ได้นะ" ตอนนี้แบคฮยอนก็กลับบ้านของตัวเองไปแล้ว เหลือก็แต่จงอิน และเซฮุนที่ออกตัวแข็งขันว่ายังไงก็จะต้องไปส่งจงอินที่บ้านให้ได้แม้จะต้องนั่งรถเมล์ไปส่งเพราะแขนยังไม่หายดีก็ตามทีเถอะ
รถเมล์โดยสารสีแดงเข้มกำลังวิ่งไปตามถนนที่ทอดยาว แม้จะเริ่มโพล้เพล้แต่บนรถเมล์ก็ไม่ได้มีคนแออัดอะไรนัก แต่ความเงียบที่กำลังทำงานระหว่างคนสองคนต่างหากที่ทำให้จงอินรู้สึกอึดอัดจงต้องเริ่มเปิดปากชวนคุยเสียเอง
"นั่งไปนั่งมา มันลำบากมึงเปล่าๆ"
"ไม่เอา มันไม่ชิน" ทั้งที่เซฮุนพูดออกมาโดยที่ไม่ได้มองหน้าแท้ๆแต่ทำไมจงอินถึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกนะ ไม่รู้จะยิ้มยังไง ทำหน้ายังไง หรือทำเสียงแบบไหน กลัวจะพิรุจให้อีกคนจับได้ว่าดีใจกับคำว่า 'ไม่ชิน'
"แล้วชินไร"
"ชินไปส่งมึงที่บ้านไง กูเป็นห่วง"
"พูดอย่างงี้ รับ-ส่งกูไปจนวันตายเลยปะละ" หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วหันไปมองหน้าเซฮุนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
"กูห่วงจริงๆนะเนี่ย" เซฮุนพูดทั้งใบหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้เปื้อนรอยยิ้มจนจงอินต้องยิ้มกว้างจนตาปิดแล้วดีดเฝือกของคนแขนเดี้ยงดังเป๊าะเพื่อจะแหย่เล่น ดูพูดจาน่ารักขนาดนี้ ใครจะอดใจไม่รักไหววะเนี่ยรถเมล์โดยสารสีแดงเข้มกำลังวิ่งไปตามถนนที่ทอดยาว แม้จะเริ่มโพล้เพล้แต่บนรถเมล์ก็ไม่ได้มีคนแออัดอะไรนัก แต่ความเงียบที่กำลังทำงานระหว่างคนสองคนต่างหากที่ทำให้จงอินรู้สึกอึดอัดจงต้องเริ่มเปิดปากชวนคุยเสียเอง
"นั่งไปนั่งมา มันลำบากมึงเปล่าๆ"
"ไม่เอา มันไม่ชิน" ทั้งที่เซฮุนพูดออกมาโดยที่ไม่ได้มองหน้าแท้ๆแต่ทำไมจงอินถึงรู้สึกว่าตัวเองทำตัวไม่ถูกนะ ไม่รู้จะยิ้มยังไง ทำหน้ายังไง หรือทำเสียงแบบไหน กลัวจะพิรุจให้อีกคนจับได้ว่าดีใจกับคำว่า 'ไม่ชิน'
"แล้วชินไร"
"ชินไปส่งมึงที่บ้านไง กูเป็นห่วง"
"พูดอย่างงี้ รับ-ส่งกูไปจนวันตายเลยปะละ" หัวเราะกลบเกลื่อนแล้วหันไปมองหน้าเซฮุนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน
"เออ รู้แล้ว" ถนนที่จงอินใช้เดินทางกลับบ้านทุกวันดูเหมือนวันนี้จะยาวเป็นพิเศษ รู้สึกมีความสุขเหมือนเวลาหยุดไปชั่วขณะตอนที่ได้ตกหลุมรักใครข้างๆตัวมากขึ้นกว่าเก่า
"จำตอนเด็กๆได้ปะ"
"ตอนไหน"
"ประถม" เซฮุนขมวดคิ้ว นึกสงสัยว่าจู่ๆเพื่อนข้างๆตัวก็พูดเรื่องสมัยประถมขึ้นมา จงอินยิ้มขำเพราะรู้อยู่แล้วตั้งแต่ถามขึ้นมาว่าคู่สนทนาคงจำไม่ได้ ก็เขาและเซฮุนเพิ่งจะมาเริ่มรู้จักกันอย่างเป็นทางการสมัยเรียนมัธยมเองนี่นา
"ตอนนั้นกูทะเลาะกับแม่ แล้วก็โดนแฟนใหม่ของแม่ซ้อม" จงอินพูดเนิบๆช้าทีละคำโดยที่ไม่มองหน้า "วันนั้นกูหนีออกจากบ้าน โดนแฟนใหม่ของแม่ตีด้วย.."
"กูเคยสงสัยนะ ว่าทำไมแม่ถึงรักคนที่ทำร้ายแม่ ทั้งที่พ่อก็ตีแม่ ตีกู แต่แม่ก็ยังรัก"
"หรือจนแม้แต่ตอนที่แม่แต่งงานใหม่ แฟนใหม่แม่ก็ตีกู ตีแม่กู ด่าแม่กูสารพัด"
"กูสงสัยว่าคนเราจะอยู่กับคนที่ทำร้ายเราทุกวันได้ลงแค่เพราะคำว่ารักจริงๆเหรอ"
เซฮุนเงียบและนิ่งฟังในสิ่งที่เพื่อนพูด รู้สึกเหมือนสรรพสิ่งรอบข้างหยุดเคลื่อนไหวและมีแค่เขากับจงอินที่กำลังพูดเรื่องทุกข์สุขและการใช้ชีวิตแบ่งปันให้กัน เริ่มตั้งคำถามกับตัวเองเช่นกัน
นั่นสินะ.. เราจะอยู่กับคนที่ทำร้ายเราอยู่ทุกวัน เพียงเพราะคำว่า ' รัก 'จริงๆเหรอ
"กูไม่เคยเข้าใจเลยว่าคำว่ารักเป็นยังไง มันดีหรือแย่ กูไม่เคยพยายามหาคำตอบ ไม่เคยมีเรื่องพวกนั้นในหัวเลย" จงอินเว้่นแล้วหันมายิ้มให้ มันช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูสุขสมและขื่นขมไปพร้อมๆกัน "จนวันนั้นที่กูเจอเด็กคนนึง"
"เด็กคนที่ยื่นขนมปังให้กูที่ตอนนั้นมอมแมมสภาพดูไม่ได้ เด็กคนนั้นไม่พูดอะไรกับกูซักคำ แต่กูจำเค้าได้ไม่เคยลืม มันทำให้กูรู้ว่าการมอบสิ่งดีๆให้กันมันดีแค่ไหน"
เซฮุนเงียบและค่อยๆคลี่ยิ้มออกมาเหมือนโดนเซอร์ไพรซ์ด้วยของขวัญกล่องใหญ่ยักษ์เมื่อความทรงจำสมัยเด็กๆย้อนเข้ามาในหัว ทั้งตกใจและตลกเมื่อรู้ว่าเด็กมีปัญหาทางบ้านที่เคยเจอไม่ใช่ใครอื่นไกล แต่เป็นเพื่อนสนิทของตัวเอง
"ขอบคุณ ที่มึงดูแลกูมาตลอดนะ"
"อย่าบอกนะว่ามึงคือเด็กคนที่กูเคยเอาขนมปังให้.."
"เออ จำเพื่อนตัวเองไม่ได้เหรอ" แม้ว่าจะเป็นบทสนทนาที่ดูขัดเขิน แต่สุดท้ายแล้วก็จบลงด้วยเสียงหัวเราะ จงอินก็รู้สึกสบายใจที่พูดออกไป รู้สึกดีตอนที่ยิ้มกว้างให้เซฮุนและสัญญาว่าจะเป็นคนพาไปเอาเฝือกออกในสัปดาห์หน้า รู้สึกมีความสุขตอนที่เซฮุนยิ้มกับเรื่องราวสมัยเด็กๆที่เหมือนจิ๊กซอชิ้นที่สุดท้ายที่หายไปนาน จู่ๆก็ถูกเติมเต็มด้วยความทรงจำของใครอีกคน
มันถือเป็นการบอกชอบหรือเปล่านะ จงอินไม่เคยครุ่นคิดเรื่องอะไรนานเท่านี้มาก่อนเลย
ติ ด ต า ม ต่ อ ต อ น ห น้ า
_____________________
มีแท็กมาเพิ่มสำหรับคู่หลัก(?)อีกคู่ในเรื่อง #ฮุนไคDistant :>
แล้วมาช่วยกันเชียร์ว่าระหว่างระยะห่าง7ปีระหว่างสองพี่น้องข้างบ้าน
กับความใกล้ชิดที่ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งห่างของเพื่อนสนิท สุดท้ายแล้วมันจะจบยังไง
เฮ้ T____T)/ ถ้าอ่านแล้วชอบก็กระซิบบอกกันในแท็ก/คอมเม้นบ้างนะ
#พิชาน25น้องฮุน18 / #ฮุนไคDistant
_____________________
มีแท็กมาเพิ่มสำหรับคู่หลัก(?)อีกคู่ในเรื่อง #ฮุนไคDistant :>
แล้วมาช่วยกันเชียร์ว่าระหว่างระยะห่าง7ปีระหว่างสองพี่น้องข้างบ้าน
กับความใกล้ชิดที่ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งห่างของเพื่อนสนิท สุดท้ายแล้วมันจะจบยังไง
เฮ้ T____T)/ ถ้าอ่านแล้วชอบก็กระซิบบอกกันในแท็ก/คอมเม้นบ้างนะ
#พิชาน25น้องฮุน18 / #ฮุนไคDistant
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น