ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Eyes on You (YunJae...yaoi)

    ลำดับตอนที่ #4 : ผู้มาเยือน

    • อัปเดตล่าสุด 11 ต.ค. 52


    Title: Eyes on You (yaoi)

    Author: YunJaeKick

    Paring: Joong Yunho, Kim JaeJoong (Other TVfXQ’s member)

    Genre: Romance

    Rate: PG-13

     

    CHAPTER IV: ผู้มาเยือน

    BGM ---->เมียพี่มีชู้ เอ๊ยมะช่ายๆ Survivor ดีมะ ให้อารมณ์ประมาณว่าเอาให้รอดนะยองแซงกี้ 555+

    พูดเล่นทั้งปวง เพลง โอ๊ย โอ๊ย เวอร์พี่เบญ ชลาทิศอ่ะ เหมาะสุดแร้ว โดยเฉพาะท่อน...อยากจะกินกลืนเธอทั้งตัว บลาๆๆ...โอยยยยยย อิเจ๊จิ้นนนนนนนน >//<

     

    ฮยอนจุงกับผมเป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปี ตอนที่ยังไม่เดบิวแม้ว่าเราจะอยู่คนละค่ายแต่เราก็ไปเที่ยว ไปดื่มด้วยกันอยู่เสมอ จนเมื่อถึงวันนี้ วันที่เราทั้งสองต่างก็ทำความฝันได้สำเร็จ ผมคือทงบังชินกิส่วนฮยอนจุงคือ SS501 และที่สำคัญคือมิตรภาพของพวกเรายังไม่เปลี่ยนแปลงนั่นเอง

     

    “มากันแล้วเหรอ อาหารก็เสร็จพอดีเลยล่ะ”                                  ผมเดินกระเผลกๆตรงไปเปิดประตูด้วยตัวเองแบบลืมเจ็บเพราะว่าผมดีใจที่เพื่อนรักมาหาถึงบ้าน ผมกับฮยอนจุงตรงเข้าสวมกอดทักทายกันตามปกติ พร้อมทั้งเอ่ยถามถึงอาการป่วยของผมเล็กน้อย ส่วนยองแซงเองก็ยืนยิ้มตาหยีอยู่ข้างๆลีดเดอร์ของเขานั่นเอง

    “ว่าไงยองแซง มา...เข้ามาในบ้านก่อน”                        ผมเชิญชวนน้องชายคนนี้อย่างเป็นกันเอง

     

    “มื้อเย็นนี้ต้องฝากท้องด้วยแล้วนะครับ”                        ยองแซงโค้งทักทายผมอย่างสุภาพ ฮยอนจุงเคยบอกผมว่าเจ้าเด็กคนนี้ปลื้มผมจนถึงกับยึดถือเอาผมเป็นต้นแบบเลยทีเดียว ผมถึงได้รู้สึกเอ็นดูยองแซงเหมือนน้องชายแท้ๆแบบนี้ไง

     

    “โอ้โฮ อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาเลยนะ”

    “ดีเลย วันนี้ไม่เมาไม่เลิกนะทงบังชินกิ”                                       ฮยอนจุงชูถุงใส่โซจูขึ้นมาข้างหนึ่ง แถมมือข้างที่เหลือยังหอบหิ้วเอากับแกล้มมาด้วยเต็มอัตรา ถูกใจพวกเราสุดๆ ยูชอนถึงกับพุ่งเข้ามาช่วยถือโซจูอย่างทะนุทนอมกันเลยทีเดียว

     

    “มาๆๆ ยองแซง มานั่งกับพี่ตรงนี้เร็ว”                                           จุนซูเองก็มีท่าทางอารมณ์ดีมาก เขาตรงเข้ามากอดคอน้องเล็กคนใหม่ก่อนจะพาไปนั่งข้างๆที่โต๊ะอาหารในครัว

     

    “อ้าวยุนโฮ วันนี้ไม่ออกไปไหนเหรอ”                                           ฮยอนจุงหันไปทักทายยุนโฮที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟาเพียงลำพัง ผมเองก็เกือบลืมไปแล้วว่ายุนโฮยังอยู่ที่นี่ ก็หมอนั่นเอาแต่นั่งเงียบ ไม่พูดไม่จาเลยน่ะสิ

     

    “อืม...อยากพักผ่อนอยู่ที่บ้านมากกว่า นานๆทีจะได้หยุดกับเขาบ้าง”     

     

    ชริ ตอบสร้างภาพสุดๆ

     

    ก็เพราะว่าเพื่อนนายทิ้งไม่ใช่เหรอ ถึงต้องมานั่งเป็นหมีหงอยอยู่แบบนี้

    คงจะเซ็งน่าดูสินะ

     

    “หวัดดีครับพี่ยุนโฮ”                                           ยองแซงหันไปกล่าวทักทายพี่ใหญ่ของบ้านด้วยท่าทางสุภาพแบบสุดๆ สงสัยฮยอนจุงจะต้องพูดกรอกหูน้องว่ายุนโฮดุก่อนจะมาเยี่ยมผมแน่ น่าตลกจริงๆเลย

     

    “ตามสบายเลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ”                                  ส่วนยุนโฮเองก็ทำราวกับว่าตัวเองเป็นแบบนั้นจริง เขาหันไปให้ความสนใจกับรายการตรงหน้าต่อ ผมล่ะสงสัยว่าหมอนี่ไม่สบายหรือเปล่า ปกติไม่เห็นทำขรึมกับรุ่นน้องแบบนี้เลย แล้วนี่ถึงกับทำให้ยองแซงดูหงอยไปเลยทีเดียวนะเนี่ย

     

    “นี่ๆวันนี้อาหารเยอะแยะเลยล่ะ ฉันนะทำอยู่คนเดียว...เหนื่อยจะตาย”                 ผมบ่นพร้อมกับเริ่มตักอาหารใส่ชามเตรียมเสิร์ฟไปเรื่อยๆ

     

    “ให้ผมช่วยนะครับพี่แจจุง...โอ้โห...ได้ยินว่าพี่แจจุงทำอาหารเก่งมาก”

    “วันนี้ได้มาเห็นเองนี่ผมถึงกับทึ่งเลยล่ะครับ ต้องอร่อยมากแน่ๆเลย”                                    ยองแซงอาสาช่วยผมอีกแรง แถมยังเอ่ยปากชมผมจนผมแทบจะลอยเลยล่ะ

     

    เอาเลยน้องเอ๊ย ฝีมือพี่ต้องเทพสมคำร่ำลืออยู่แล้วล่ะนะ

     

    “งั้นก็ทานให้มากๆเลยนะยองแซง...ยุนโฮน่ะใจร้ายไม่ยอมมาช่วยกันเลยนะ”                                    ผมหันไปแขวะยุนโฮที่ปกติจะชอบมาช่วยผมในครัว ยิ่งทั้งตอนที่ยุ่งและผมเดินเหินไม่สะดวกแบบนี้เขายิ่งต้องเกาะติดผมอยู่ไม่ห่าง แต่วันนี้ทำไมถึงได้ทำตัวแปลกนักก็ไม่รู้

     

    “ช่างเถอะน่าแจจุง ลีดเดอร์อย่างเราก็ต้องการพักบ้างเป็นธรรมดา นี่ยองแซงก็มาช่วยแล้วไงล่ะ”                ฮยอนจุงยังคงชอบพูดปกป้องยุนโฮอยู่เสมอ ทั้งๆที่หมอนั่นแทบจะไม่ค่อยทำตัวน่ารักกับเขาสักเท่าไหร่

    “ระวังนะยองแซง เกิดอาหารรสชาติห่วยขึ้นมา รับรองว่าพี่แจจุงต้องโยนความผิดให้นายแน่”                      ชางมินที่เงียบมาหลายฉากก็หันมาแขวะผมจนได้

     

     เจ้าตัวเล็กนี่มันร้ายซะจริง

     

    “เก็บปากนายไว้กินข้าวดีกว่านะชางมิน...มาๆ อาหารพร้อมแล้วมาทานกันเถอะ”            

     

    “ว้าว...วันนี้พี่แจจุงทุ่มสุดฝีมือจริงๆนะ ดูสิยูชอนมีแต่อาหารที่ปกติอย่าหวังว่าจะทำให้เราทานเลย”              แหมจุนซู ไม่ต้องเปิดเผยจริงใจขนาดนั้นก็ได้ จะมีครั้งไหนที่นายเอ่ยชมฉันแค่อย่างเดียวไม่มีจิกกัดบ้างนะ

     

    “ก็วันนี้ยองแซงมาบ้านเราครั้งแรก ก็ต้องทำของที่เขาชอบมากหน่อยแหละนะ”                                ผมถาม ฮยอนจุงมาหมดแล้วว่ายองแซงชอบทานอะไรบ้าง ก็ผมอยากให้เขาประทับใจวงของเราให้มากที่สุดนี่นา อีกอย่างอาหารที่ทำแต่ละอย่างสมาชิกของผมก็ทานกันได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะชางมินที่แน่นอนว่าชอบทานไปเสียทุกอย่างแน่นอน

     

    “พี่แจจุงนี่ใจดีจริงๆเลยครับ”                            เห็นนายยิ้มได้พี่ก็มีความสุขเล้วน้องเอ๊ย

     

    “เอาล่ะๆ ฉันอยากกินแล้วนะ...พี่ยุนโฮทานข้าว”                       ยูชอนตะโกนเรียกยุนโฮเสียลั่นบ้าน คงกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้ยินเสียง เพราะปกติก็จะเดินมาทานเองโดยไม่ต้องเรียกอยู่แล้วนี่นา

     

    “อืม”                                      ยุนโฮตอบรับมาแค่นั้นก่อนที่จะลุกจากที่สิงสถิตแล้วตรงมายังโต๊ะอาหาร ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าว่าเขาไม่ยอมยิ้มเหมือนกับคราวที่พวกลิงเอสเจมา แถมผมยังแอบเห็นว่าเขาทำสายตาอำมหิตใส่ยองแซงด้วย

     

    อ๊ากกก นี่ถ้าฮยอนจุงโกรธขึ้นมาจะทำยังไงดีเนี่ย

     

    ผมล่ะกลุ้มใจจริงๆ

    .............................................................................................................

    บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเรียกได้ว่าครื้นเครงมากกว่าปกติ แจจุงนั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะ ผมนั่งถัดมาและเผชิญหน้าอยู่กับเจ้าเด็กวานซืนนั่น ข้างๆยองแซงคือจุนซูกับชางมิน ส่วนถัดจากผมเป็นฮยอนจุงที่กำลังสนใจขวดโซจูตรงหน้าอยู่กับยูชอน เวลานี้เราเหมือนกำลังแบ่งฝ่ายผู้ใหญ่กับเด็ก โดยมีแจจุงเป็นผู้ตัดสินอยู่ตรงกลางนั่นเอง

     

    “เป็นไงบ้างยองแซง อาหารอร่อยถูกปากหรือเปล่า”                                   แจจุงที่ถึงแม้จะเจ็บขาแต่ว่าปากยังคงใช้งานได้ตามปกติแถมยังโดนโซจูกรอกปากลงไปอีกมากกว่า 5 ขวด ทำให้เขาคุยจ้อไม่ยอมหยุดเลยทีเดียว

     

    “อร่อยมากครับพี่แจจุง ผมชอบทุกอย่างเลยครับ”                        ยองแซงเป็นเด็กดีไม่ยอมดื่มเหล้าที่พี่ๆยัดเยียดให้ เอาแต่ทานอาหารรสชาติพิเศษของแจจุงลูกเดียว แต่แทนที่ผมจะรู้สึกเอ็นดูเด็กเหมือนกับปกติ ทำไมผมถึงได้หมั่นไส้เจ้าหมอนี่นักนะ

     

    แล้วนั่นใครสั่งใครสอนให้นายมายิ้มตาหยีเหมือนฉันฮะ!

     

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ยองแซงนี่ปากหวานจริงๆเลยนะ ไว้วันหลังมาอีกๆ”

    “พี่จะทำให้เธอทานเยอะๆเลย”                                        แจจุงหัวเราะเปิดเผย เป็นภาพที่น่ามอง แต่มันจะไม่น่ามองก็ตรงที่ดันไปชวนเจ้านั่นมาอีกแล้วเนี่ยสิ นี่นายเห็นบ้านของเราเป็นโรงอาหารหรือไงกันนะ

     

    “ผมเกรงใจน่ะครับ ไม่อยากมารบกวนเวลาพักผ่อนของพวกพี่หรอก”                   อืม...เป็นเด็กก็ต้องหัดปฏิเสธบ้างแหละนะ

     

    “งั้นพี่ไปทำให้เธอทานที่บ้านเลยเอามั้ย ฮ่า ฮ่า”                           =..=! ----->(ความรู้สึกของอิหมี)

     

    “ไม่ต้องขนาดนั้นหรอกแจจุง แต่ว่างๆนายก็สอนยองแซงทำอาหารบ้างก็ได้”                                      คิมฮยอนจุงนายช่วยตัดประโยคหลังออกไปเลยได้มะ

     

    “ผมคงต้องมารบกวนถ้าพี่แจจุงว่างอีกนะครับ”          

     

    “ดีๆๆ แต่ว่านายไม่ต้องลำบากมาถึงนี่หรอกนะ”                         ใช่แล้วแจจุง นี่เป็นบ้านของทงบังชินกิที่ฉันมีอำนาจตัดสินใจเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว ไม่ใช่โรงเรียนสอนทำอาหารหรอกนะ

    “ เดี๋ยวพี่ไปสอนนายที่บ้านเองดีกว่า ฮ่า ฮ่า ลูกศิษย์น้อย”                          =[] =!!!

     

    “พี่แจจุงใจดีที่สุดเลยครับ ผมรักพี่ที่สุดเลย”                   โอยองแซง นายคงอยากตายมากสินะ กล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง ต่อหน้าผู้ใหญ่มากมายแบบนี้ช่างไม่รู้จักเวลาเอาเสียเลย

     

    แล้วนี่อะไรกัน...จุนซู ยูชอน ชางมิน ฮยอนจุง นี่พวกนายไม่ได้สนใจฟังเลยหรือ แจจุงกำลังถูกคุกคามอยู่นะ พวกนายอย่าทำให้ฉันรู้สึกว่าโลกนี้มีแค่สองคนนี้เท่านั้นสิ

     

    “พี่ก็ร้ากกกกเธอที่สุดเลย ยองแซงของพี่ โฮ๊ะๆๆ”                                       ผมหงุดหงิดและหงุดหงิดทวีคูณ ไม่รู้สิ ก็แค่พูดเล่นๆ(หรือเปล่า)ของแจจุงนี่นะ ทำไมผมถึงกับคอแห้งผาก ทานอะไรก็ไม่อร่อยเอาเสียเลย นี่มันเป็นอาหารรสชาติอร่อยที่สุดของแจจุงไม่ใช่หรือ ทำไมนายไม่รีบกินเข้าไปล่ะชองยุนโฮ

     

    “สงสัยพี่แจจุงจะเมาแล้วล่ะ นายอย่าไปถือสาคำพูดเขาเลยนะ”                               หวังว่าน้ำเสียงของผมจะยังฟังดูปกติอยู่นะ (ใช้ประโยคนี้อีกแล้ว แหะๆ - YunJaeKick)

     

    “ไม่หรอกครับพี่ยุนโฮ ผมชอบฟังเสียงของพี่แจจุงที่สุดเลย”                                    อย่ามายิ้มตาหยีใส่ฉันนะเฟร้ย

     

    เจ้าเด็กนี่ พยายามใจเย็นแล้วนะ

     

    ผมกำตะเกียบแน่นจนรู้สึกว่ามันจะหักคามืออยู่แล้ว ในหัวก็จินตนาการไปด้วยว่าเป็นคอของหมอนี่ อยากจับมาหักเป็นชิ้นเลยจริงๆนะ

     

    “เมาที่ไหนกันยุนโฮ ฉันก็พูดของฉันตามปกติ”

    “ว่าแต่นายเหอะ เป็นอะไรไปฮะไม่ยอมพูดจา ข้าวก็ไม่แตะ ไม่อร่อยหรือไง”                                     แจจุงหันมาทำท่าทางโวยวายใส่ผม ทีกับหมอนั่น ชริ

                   

    “ใช่ๆๆๆๆ วันนี้อาหารรสชาติห่วยทุกอย่างเลย ฉันฝืนใจทานไม่ลงจริงๆ”

    “พวกนายทานกันไปเถอะ”                                               พูดจบผมก็ลุกจากที่นั่งแล้วเดินเข้าห้องไปทันที หวังว่าจะไปอาบน้ำคลายความหงุดหงิดใจที่ไม่ทราบสาเหตุนี่เสียหน่อย ปล่อยให้พวกคนดีเขานั่งทานกันไป ขาดผมคนเดียวก็ไม่ทำให้บรรยากาศแย่ลงไปอยู่แล้ว

    .......................................................................................................

    ผมยังไม่ทันได้เข้าห้องน้ำอย่างที่ตั้งใจ ยูชอนก็โผล่เข้ามาขัดจังหวะเอาเสียก่อน

     

    “มีไร ทานข้าวรสชาติแย่ๆเสร็จแล้วเหรอ”                                    ผมยังคงพูดจาหาเรื่องแม้แต่กับยูชอนที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย

     

    ก็ถึงได้บ่นอยู่นี่ไง ว่าไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ

     

    “พี่ช่วยตามไปดูพี่แจจุงหน่อยสิ”                                      ยูชอนไม่เล่นกับผม แถมยังมาทำสีหน้าจริงจังใส่ผมอีก แล้วทำไมผมต้องตามไปดูแจจุงด้วยล่ะ

    “เมามากแล้วก็บอกว่าจะไปเดินเล่นข้างล่าง เสื้อกันหนาวก็ไม่ยอมเอาไป”

    “ผมกลัวว่าจะเป็นอันตราย พี่ช่วยตามไปดูหน่อยได้มั้ย”           

     

    บ้าเอ๊ย!

    ดื้อแล้วยังชอบทำตัวให้เป็นห่วงอยู่เรื่อย ตอนนี้ผมไม่ทันได้ซักยูชอนต่อแล้ว พอยูชอนพูดจบผมก็คว้าเอาเสื้อโค้ชตัวที่อยู่ใกล้มือที่สุดก่อนจะเดิน ไม่สิ วิ่งตามแจจุงไปต่างหาก

     

    00.50 am.

    บรรยากาศข้างล่างตึกเงียบสงัด เพราะว่าดึกมากแล้วจึงมีแค่ผมที่กำลังวิ่งตามหาแจจุงอยู่ในความมืดที่ยังพอมีแสงไฟจากตึกรามบ้านช่องสาดส่องเข้ามาทำให้มองเห็นทางเดินได้อย่างสบายๆ อยู่บ้าง

     

    “อยู่นั่นเอง”                                          ผมมองเห็นแจจุงนั่งอยู่ตรงม้านั่งตัวเดิมที่เราเคยมานั่งมองชางมินดื่มด้วยกัน แผ่นหลังของเขาสั่นไหวเล็กน้อย

     

    คงจะหนาวมากสินะ

    ผมไม่รอช้าที่จะเดินเข้าไปหาและเอาเสื้อคลุมไหล่บางนั้นไว้ทันที

    “หนาวมากนะเนี่ย กลับขึ้นไปบนบ้านกันเถอะนะ”                                                   น้ำเสียงของผมกลับมานุ่มนวลและอบอุ่นเหมือนเดิม ความหงุดหงิดใจไม่รู้ว่าจางหายไปไหนหมดแล้ว แต่แจจุงไม่หันมามองผม ไม่ยอมเคลื่อนไหวร่างกาย จนผมเองต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆเสียเอง

    “น่ะ...นายร้องไห้เหรอ แจจุง”                                         หัวใจของผมกระตุกวาบเมื่อได้เห็นน้ำตาของคนตรงหน้าร่วงหล่นลงมาเป็นสาย นี่ใครมันบังอาจทำให้แจจุงของผมร้องไห้ออกมาเนี่ย หรือว่าไอ้เด็กบ้านั่นจะทำอะไรเข้าแล้ว

     

    “ฉันอุตส่าห์ทำสุดฝีมือ ใครๆก็บอกว่าอร่อยที่สุด ฮึก...แม้แต่ชางมินเองก็ตาม”

    “แต่นายกลับบอกว่ามันห่วย ฮึก ฉันว่าคำพูดของนายเป็นความจริงที่สุดแล้วนะ”                                แจจุงยิ่งพูดยิ่งร้องหนักเข้าไปอีก นี่เขากำลังน้อยใจต่อคำพูดของผมอยู่เหรอเนี่ย

     

    ยุนโฮ ไอ้บ้าเอ๊ย!

    นี่นายโมโหจนลืมนึกถึงความรู้สึกของคนๆนี้ไปเลยหรือ

     

    “ไม่ใช่สักหน่อย วันนี้นายทำอาหารได้อร่อยทุกอย่างเลยนะ”

     

    “แล้วทำไมนายถึงบอกว่ามันไม่อร่อยล่ะ แถมยังโมโหใส่ฉันอีก”                                            วินาทีนั้นที่ผมขอให้แจจุงเป็นแบบนี้ทั้งตอนที่เมาและไม่เมา ท่าทางงอน เอาแต่ใจ แต่ก็ออดอ้อนแบบนี้ช่างเป็นภาพที่น่ามองมากจริงๆ

     

    แต่นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย

     

    “ฉันไม่ได้โมโหนายหรอกนะ แล้วอาหารก็อร่อยจริงๆ เชื่อฉันสิแจจุง”

     

    “ไม่เชื่อ นายกำลังโกหกฉันอยู่”                                       เอาเข้าแล้วล่ะ ชองยุนโฮ คราวนี้นายจะอธิบายยังไงดีล่ะ

     

    “ก็ฉัน...ฉัน...”

     

    “ฉันอะไร”                                            ผมโดนคนดื้อต้อนจนมุมเข้าจนได้

     

    “ฉันไม่ค่อยถูกชะตากับเจ้าเด็กนั่นน่ะ ก็เลยพาลพูดจาไม่เข้าหู แต่ว่าอาหารอร่อยจริงๆนะ”

     

    “หมายถึงยองแซงน่ะเหรอ ทำไมล่ะ...เขาออกจะเป็นเด็กที่น่ารักไม่ใช่เหรอยุนโฮ”                           ตรงไหนไม่ทราบ

    “บอกมาสิยุนโฮ ทำไม่นายไม่ชอบยองแซงล่ะ”                                           ดูเหมือนว่าแจจุงจะไม่ได้สนใจเรื่องอาหารอีกต่อไปแล้ว แต่เขากลับหันมาสนใจเรื่องของผมกับยองแซงแทน

     

    “ก็นั่นแหละน่า ไม่ชอบแบบไม่มีเหตุผลไม่ได้หรือไง”             

     

    “ไม่ได้ คนเราต้องมีเหตุผลสิ บอกมานะว่าเพราะอะไร”                                            ดื้อจริงๆเลยคนเนี้ย

     

    “ก็...ก็ฉันไม่ชอบให้ใครมายิ้มตาหยีเหมือนฉันนี่นา”                                 ผมพูดส่งๆไป แต่ก็สาบานได้ว่านี่คือเหตุผลจริงๆนะ ไม่มีเรื่องอื่นมาเกี่ยวข้องเลยจริง จริ๊ง

     

    “โธ่เอ๊ย!ยุนโฮ เรื่องแค่นี้นายก็เก็บมาคิดด้วยเหรอ”                                                     แหม ว่าคนอื่นไม่ได้มองตัวเองเลยนะ

     

    “ไม่รู้ล่ะ แล้วตอนนี้จะกลับได้ยัง เดี๋ยวก็ไม่สบายอีกหรอก”

     

    “อืมๆกลับก็กลับ แต่ยุนโฮ”                                               ผมลุกขึ้นหวังจะเดินนำแจจุงออกมาก่อนเพราะว่ารู้สึกเขินๆที่ตัวเองทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ แต่แจจุงก็ส่งเสียงเรียกจนผมต้องหันหลังกลับไปเผชิญหน้าอีกจนได้

     

    “มีอะไรเหรอแจจุง”

     

    “นายเป็นคนเดียวที่ฉันชอบมองเวลายิ้มตาหยีมากที่สุดเลยนะ”                                               คิมแจจุงพูดแล้วส่งยิ้มงดงามมาเพื่อให้ผมสบายใจ

     

    ชางมิน...ชางมินเอ๊ย

    ช่วยมาดึงพี่เอาไว้หน่อยสิ พี่รู้สึกว่ากำลังจะลอยแล้วอ่ะ

     

    “แบกฉันกลับหน่อยสิ”                                      แจจุงขอร้องผมในขณะที่ผมกำลังพยายามปั้นหน้าไม่ให้ยิ้มตาหยี

     

    “ไม่อ่ะ นายตัวหนักจะตายไป”

     

    “แต่ฉันเจ็บขามาก เดินไม่ไหวแล้วจริงๆนะ”                                                แจจุงทำหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้อีกครั้ง คราวนี้คงจะเจ็บจริงๆ บอกแล้วว่าอย่าดื่มเหล้า ชอบทำให้ผมต้องเป็นห่วงอยู่เรื่อยเลยเชียว

     

    “เจ็บอีกแล้วเหรอ มาสิ...ฉันจะแบกนายกลับเอง”                                       ผมไม่รอช้าที่จะให้แจจุงขึ้นขี่หลัง เราสองคนเดินกลับบ้านไปในท่ามกลางแสงสว่างเพียงเล็กน้อยเหล่านั้น ผมรู้สึกว่าแผ่นหลังของผมอบอุ่นและแจจุงเองก็อารมณ์ดีขึ้นอย่างมากมาย ที่สำคัญคือแจจุงตัวไม่หนักเลยสักนิด แบบนี้ต่อให้แบกไปอีก 10 ปีผมก็ยังเต็มใจ

     

    ณ กองบัญชาการทงบังชินกิ ที่เดิม

     

    “ขอบคุณมากนะครับพี่ฮยอนจุงที่มาช่วยพวกเราพิสูจน์ความจริง”                                          จุนซูที่แอบซุ่มมองพี่ชายทั้งสองอยู่หันมากล่าวขอบคุณผู้มาเยือนด้วยรอยยิ้มอิ่มเอมใจ

     

    “พี่เต็มใจอยู่แล้วล่ะ เฮ้อ...เห็นแจจุงมีคนดูแลแบบนี้พี่ก็จะได้หายห่วงสักที”                                        ฮยอนจุงเอ่ยตอบด้วยท่าทางสบายอารมณ์ไม่แพ้กัน

     

    “โดยเฉพาะยองแซง พี่ขอบคุณจริงๆที่นายยอมเสียสละตัวเองในครั้งนี้อ่ะ”                                         จุนซูหันไปขอบคุณยองแซงอย่างสุดซึ้ง

     

    “ไม่เป็นไรครับพี่จุนซู แค่ผมไม่โดนพี่ยุนโฮกระโดดหักคอก็ดีมากแล้วล่ะครับ”                  ยองแซงเรียกเสียงหัวเราะจากพวกแอบซุ่มได้ทันที

     

    “เป็นไงล่ะจุนซู คราวนี้คงหายข้องใจแล้วสินะ”                                          ยูชอนเอ่ยกับจุนซูที่เป็นฝ่ายวางแผนการทั้งหมดจนสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

     

    “ใช่ หายข้องใจแล้วก็กระจ่างชัดเลยล่ะ ฉันรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองจริงๆนะยูชอน”         

     

    “ก็แน่ล่ะสิ พี่จุนซูน่ะทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง นอกจากวางแผนเจ้าเล่ห์แบบนี้อ่ะ”                                              ชางมินพูดท่าทางอ่อนใจก่อนจะลุกหายเข้าไปทางห้องนั่งเล่น ทำให้ทุกคนที่อยู่ในวงสนทนาถึงกลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางที่จุนซูเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดหาคำพูดมาต่อกรกับเจ้าตัวร้ายของบ้านไม่ได้ จนถึงกับหน้าเปลี่ยนสีไปเลยทีเดียว

    ...........................................................................................

    To Be Continued

    YunJaeKick

     

    ป๋อล๋อ. ขอได้รับความขอบคุณ สองสมาชิก SS501 ผู้เสียสละตนอีกครั้ง รับรองได้ว่าผู้เขียนไม่ได้มีจุดประสงค์สะปอยด์เลยจิงจิ๊ง โฮ๊ะๆๆ               



    ป๋อล๋อ. มั่ว ค.ศ. เน้อ อย่าคิดมาก เด๋วตีนกาขึ้นแล้วครีบิ้วจะขายดีเกิน กร๊ากกก

     

     

     

     

     

     

     

    ฝันดีคร้า.


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×