ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Excuse me, Can I sniff you ? — vkook °

    ลำดับตอนที่ #8 : Breath Touch & Skin

    • อัปเดตล่าสุด 9 ก.ย. 62



    Chapter 8 : Breath Touch & Skin

     

                  ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ


                  “อือ...”


                  คิ้วของผมขมวดเข้าหากันทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ก่อนนอนดังวนไปวนมาจนน่ารำคาญ เดิมทีผมไม่เคยชอบที่ตัวเองต้องตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกเลย แต่พอย้ายมาอยู่หอ มันก็ดันกลายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผมตื่นไปเรียนทัน


                  ผมจำใจยืดแขนออกไปนอกผ้าห่มเพื่อกดหยุดนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง ถึงจะแอบไม่มีแรงนิดๆแต่สุดท้ายเสียงที่ดังลั่นห้องก็เงียบสงบลง สมองที่หลับไปประมาณ 6 ชั่วโมงเริ่มวางลำดับสิ่งที่ต้องทำโดยที่ร่างกายยังคงนอนแน่นิ่งเป็นผักอยู่บนเตียง


                  แม่ฮะ จองกุกไม่อยากไปเรียนเลย


                  ผมคิดงอแงในใจ ยิ่งช่วงบ่ายจะต้องออกไปช่วยเพื่อนซื้อของทำกิจกรรมแล้วด้วย แค่นึกถึงก็มีตัวขี้เกียจมาทับแล้ว


                  ครืดๆ...ครืดๆ


                  คิ้วขมวดเข้าหากันหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อเสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นหลังจากห้องสงบลงไปไม่นาน ผมจำใจลืมตามองเพดานสีขาวก่อนจะถอนหายใจและรวบรวมแรงถีบผ้าห่มออกจากตัว เสียงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง ผมเลื่อนสายตามัวๆเนื่องจากไม่ได้ใส่แว่นมองไปยังตรงโต๊ะข้างเตียงแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย


                  จะโทรมาปลุกทุกวันเลยหรือไง เหมือนกลัวไม่มีเพื่อนไปเรียนอะ


                  “ไง...”


                  ผมกรอกเสียงแหบๆที่ยังไม่ตื่นดีทักทายจีมินที่โทรมาปลุกผมเป็นประจำทุกวัน


                  [ ตื่นยัง? ]

                  “เพิ่งตื่น”

                  [ อาบน้ำมาเรียนได้แล้ว อย่าลืมว่าตอนบ่ายมึงมีไปซื้อของ ]

                  “อืมๆ ไม่ลืมหรอก”


                  ผมพยักหน้ารับแม้อีกฝ่ายจะไม่มีทางได้เห็นก่อนจะปรือตามองไปยังปฏิทินที่แขวนไว้บนฝาผนัง เผื่อว่าวันนี้ยังมีสิ่งอื่นที่ผมต้องทำนอกเหนือจากซื้อของอีก


                  เวรกรรม ยังไม่ได้ใส่แว่นนี่หว่า


                  ผมพ่นลมหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าปฏิทินไม่ได้อยู่ในระยะใกล้พอที่ผมจะสามารถอ่านตัวอักษรที่จดไว้บนนั้นได้ แต่จะให้ผมลุกไปหยิบแว่นตอนนี้ก็ไม่ใช่ ผมขี้เกียจอยู่


                  ขี้เกียจ!!!


                  [ อย่าลืมตามเรื่องรายงานกลุ่มด้วยนะสัด กูทำส่วนของกูใกล้เสร็จแล้ว ]

                  “ทำไมมึงดูคึกคักเร็วจังวะ นี่เพิ่ง 7 โมงไม่ใช่เหรอ”


                  ผมถามออกไปหลังจากที่รู้สึกว่าเสียงของจีมินดูตื่นเต็มที่และพร้อมจะออกไปผจญโลกกว้างแล้ว ผิดกับผมที่ยังนั่งหัวยุ่งเป็นรังนกอยู่บนเตียง


                  [ กูตื่นมาออกกำลังกายนานแล้ว ]

                  “อ๋อเหรอ”

                  [ เออออออออ แล้วนี่จะให้กูขับไปรับมั้ย ]

                  “อืม...ก็ได้นะ แต้งกิ้วมึง”

                  [ รีบไปอาบน้ำซะไอ้ลูกหมา ]


                  ลูกหมาบ้านมึงสิ


                  ผมด่าในใจแต่ก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่เปิดศึกเถียงน้ำลายฟูมปากกับจีมินแต่เช้า ผมเลื่อนสายตาเบลอๆมองไปรอบๆห้องแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาดังๆ


                  ต้องไปเรียนจริงๆเหรอ? เมื่อวานกว่าจะเลิกเรียนก็ 5 โมง วิญญาณยังไม่กลับเข้าร่างเลย


                  ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวานที่สภาพตัวเองหลังเลิกเรียนไม่ต่างจากศพเท่าไหร่นัก โชคดีที่วันนี้ถึงจะมีเรียนเช้า แต่ช่วงบ่ายผมไม่มีเรียนเลยน่าจะรีบกลับมานอนได้


                  เออลืม ต้องไปซื้อของนี่หว่า


                  “แม่งเอ๊ย...”


                  ผมหลับตาและเอนหลังล้มตัวลงนอนอีกครั้ง ด้านมืดในจิตใจสั่งให้ผมนอนต่อและไม่สนใจวิชาที่ต้องเรียนในตอนเช้า ส่วนด้านสว่างกำลังหันไปดึงพลังงานมาสะสมเพื่อให้ผมลุกขึ้นจากเตียง


                  ต้องไปเรียนแต่ก็อยากนอนต่อจัง...


                  ในจังหวะที่ผมกำลังสับสนในชีวิตอยู่นั้น โทรศัพท์ที่กำอยู่ก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ จีมินต้องรู้ทันแน่ๆว่าผมนอนต่อแบบนี้ ผมสบถคำหยาบในใจและกดรับสายโดยไม่คิดที่จะเปิดตาดูชื่อบนหน้าจอก่อน


                  และดูเหมือนจะเป็นเรื่องผิดพลาดแรกที่เกิดขึ้นในวันนี้


                  “กูตื่นแล้วไอ้เหี้ย ไม่ต้องโทรตามแล้วโว้ยยยยยย”


                  งอแง ผมอยากจะงอแงจริงๆ มันเหนื่อยจนร่างจะแหลกย่อยสลายแทรกตัวกลืนไปกับที่นอนอยู่แล้ว ฮือ


                  [ .... ]

                  “มึง กูไม่ไปเรียนได้ปะวะ”

                  [ .... ]

                  “เงียบนี่มึงด่ากูอยู่ใช่มั้ยจีมิน”

                  [ อ่า...นี่ไม่อยากไปเรียนเหรอครับ ]


                  ....


                  หือ?!!!!!


                  ด-เดี๋ยวนะ ทำไมเสียงมัน...


                  ผมรีบเอาโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูชื่อที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ และทันทีที่ผมเห็นว่าเป็นใคร อาการง่วงนอนทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง ดวงตาที่ปรืออยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเบิกกว้าง ริมฝีปากก็เผยอขึ้นเล็กน้อยด้วยความอึ้ง


                พี่แทฮยอง


                  ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนรับสายวะจองกุก!!!


                  แล้วเมื่อกี้พูดอะไรออกไป โอ๊ยยยยยยยยย


                  “พ-พี่...ผมไม่...”

                  [ อยากไปเรียนหน่อยได้มั้ย พี่อุตส่าห์จะไปรับ ]


                  เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงก๊อกแก๊กที่เหมือนปลายสายกำลังหยิบจับทำอะไรอยู่สักอย่าง ผมนั่งเอ๋อไปหลายวิก่อนที่จะเริ่มกระพริบตาเรียกสติให้กลับเข้าร่าง


                  แต่เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ...จะมารับ?


                  “มะ ไม่เป็นไรครับ! จีมินจะมารับ”


                  ผมรีบตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยอาการที่ตื่นเต็มตา หัวใจของผมเต้นเร็วราวกับไปวิ่งรอบสนามมา 4 รอบ ให้ตายเถอะ พี่จะโทรมาหาทำไมแต่เช้าเนี้ย?! โอ๊ยยยยย แล้วผมก็ดันรับสายแบบโคตรหยาบคายด้วย


                  [ มันออกมาหรือยัง ]

                  “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

                  [ บอกมันได้มั้ยว่าไม่ต้องมารับแล้ว ]

                  “ต-แต่ว่า...”

                  [ พี่อยากไปส่งเราอะ ได้ปะ ]

                  “....”


                  ช็อค


                  ผมนั่งมองผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินของตัวเองด้วยสติที่กระเด็นหลุดลอยออกไปอีกรอบ สมองของผมเหมือนเก็บเสียงเมื่อครู่มาเปิดซ้ำไปซ้ำมาวนอยู่ภายในหัว เอาไงดี ผมจะทำยังไงดี พี่เขาจะมารับผมไปส่งที่มอเหรอ แล้วทำไมต้องทำน้ำเสียงเสียดายแบบนั้นด้วย ค-แค่ไปส่งเองนะ


                  [ จองกุก ]

                  “ครับ!


                  ผมสะดุ้งและเอ่ยตอบกลับไปเสียงดัง พี่แทฮยองเงียบไปนิดก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาให้ได้ยิน


                  โอ๊ย ตอนเช้าๆสติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ทำไมผมต้องทำให้ตัวเองอับอายด้วยเนี้ย


                  [ เดี๋ยวพี่โทรไปบอกจีมินเอง ]

                  “แต่ว่า...”

                  [ พี่ขึ้นรถแล้วนะครับ กำลังจะขับออกไป อีก 20 นาทีเจอกันหน้าหอนะ ]

                  “เดี๋ยวสิพี่!

                  [ อาบน้ำให้สะอาดนะครับ พี่จะรอดม ]

                  “พี่แทฮยอง!!!


                  สายถูกตัดไปพร้อมๆกับผมที่แหกปากเรียกชื่อของอีกฝ่ายดังลั่นอย่างไม่สนว่าห้องข้างๆจะด่าหรือเปล่า ผมผละโทรศัพท์ออกจากหูมาดูเวลาบนหน้าจอก่อนจะต้องรีบเด้งตัวออกจากที่นอนและคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความไวแสง


                  เจอเสียงพี่แทฮยองเข้าไป เล่นเอาตื่นเต็มตา


                  ผมพ่นลมหายใจออกมาหนักๆเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ถึงแม้วันนั้นผมจะอธิบายไปแล้วว่าไลน์สามารถโทรได้เหมือนกัน แต่พี่แทฮยองก็ยังงอแงจะเอาเบอร์ของผมให้ได้


                  ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก ผมใช้คำว่างอแง


                  พี่เขาหาเรื่องตื้อผมโดยการส่งไลน์มาหาไม่เลิก จนผมที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยเปิดโทรศัพท์เล่น กลับกลายเป็นต้องเปิดเช็คทุกๆชั่วโมงเพื่อดูว่าพี่แทฮยองส่งอะไรมา ตอนแรกก็ไม่อยากตอบหรอกครับ แต่ไปๆมาๆก็ต้องตอบเพราะเขาส่งไลน์มาบอกจีมินให้ผมตอบข้อความของเขาด้วย ฝั่งจีมินก็ดันคิดไปเองว่าพี่เขาส่งมาเรื่องงาน มันเลยด่าผมยกใหญ่ว่าทำไมไม่เช็คไลน์


                  สุดท้ายผมก็ต้องยอมคุยกับพี่แทฮยอง จนตอนนี้กลายเป็นว่าผมกับเขาคุยกันทุกวัน


                  ก็...ก็สนุกดี อาจจะเพราะผมไม่ค่อยได้คุยกับใครด้วยล่ะมั้ง


                  ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงได้เบอร์ของผมไป คิดแล้วก็หงุดหงิด อยากจะถามจริงๆว่าพี่เขาว่างนักหรือไง ทำไมถึงได้คอลไลน์มากวนได้ทุกคืน แล้วชอบคอลมาตอนผมจะนอน จะไม่รับก็ไม่ได้เพราะดันเผลอกดเข้าไปดูข้อความของเขาก่อนแล้ว ผมก็บอกนะว่าให้พี่แทฮยองเลิกคอลมาหาตอนกลางคืน แต่เขาก็ไม่ยอม จะยอมก็ต่อเมื่อผมให้เบอร์โทร


                  ครับ และผมก็จำใจให้เบอร์ไปเพื่อตัดความรำคาญ


                  ซึ่งก็แปลกดีที่พี่เขาหยุดคอลหาผมตามที่บอกและเปลี่ยนมาโทรหาเวลามีเรื่องสำคัญแทน เรื่องสำคัญที่ว่าก็คือเรื่องงานกลุ่มนั่นแหละครับ โล่งใจที่พี่เขายังมีสาระอยู่บ้าง


                  ผมปิดฝักบัวเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันเอวและเดินออกจากห้องน้ำ กิจวัตรประจำวันในเช้าวันนี้ท่าทางจะเป็นไปอย่างเร่งรีบกว่าทุกวัน ปกติผมจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้อง แต่นี่พี่แทฮยองจะมาเร็วกว่านั้น ทำให้ผมต้องรีบสุดๆเพราะไม่อยากให้พี่เขารอ


                  “ลืมอะไรอีกหรือเปล่าวะ”


                  ผมพึมพำหลังจากแต่งตัวเสร็จและหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเรียบร้อยแล้ว ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรสักอย่างเลยวะ แต่ช่างมันเถอะ รีบลงไปดีกว่า คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบรองเท้าคู่โปรด(เพราะมีคู่เดียว)ออกมาใส่ก่อนจะเดินออกจากห้องและล็อคประตูให้แน่นหนา


                  สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อก้าวเท้าออกมาที่หน้าตึกก็คือรถยี่ห้อหรูสีขาวมุกที่สตาร์ทเครื่องจอดรออยู่ที่ถนน ผมรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังรถคันที่จำได้ดีว่าเป็นของใคร


                  “สวัสดีครับ”

                  “อรุณสวัสดิ์”


                  ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อขึ้นมาบนรถแล้วเห็นว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ได้ใส่ชุดนิสิตเหมือนทุกครั้ง แถมผมที่เป็นสีน้ำตาลยังกลับกลายเป็นสีดำ


                  พี่แทฮยองไปทำอะไรมา


                  “ทำไมผม...”

                  “อ๋อ ไปย้อมกลับมาเป็นสีดำน่ะ เป็นไง โอเคมั้ย”


                  คนที่วันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษเอ่ยถามพลางเอานิ้วจับเส้นผมของตัวเองขึ้น ผมมองใบหน้าแสนดูดีก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป


                  จะบอกไม่ได้ว่าเขาหล่อขึ้นกว่าเดิม


                  พอเห็นว่าผมพยักหน้า พี่แทฮยองก็ยิ้มกว้างจนตาแทบปิด เขาหัวเราะด้วยความพอใจก่อนจะหันไปเหยียบคันเร่งเพื่อขับออกจากซอย ผมแอบมองคนข้างๆที่ใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงลายทางที่ดูยังไงก็คล้ายกางเกงนอนด้วยแววตาสงสัย พอเลื่อนขึ้นไปมองใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่


                  เขาไม่ได้มีเรียนตอนเช้าเหรอ


                  “ทำไมพี่ไม่ใส่ชุดนิสิตล่ะ?”


                  ผมเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย พี่แทฮยองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่


                  “หืม? ใส่ทำไม?”

                  “ก็ใส่ไปเรียนไง”

                  “อ๋อ พี่มีเรียนตอนสายๆน่ะ”


                  คำตอบของเขาทำให้คิ้วของผมขมวดติดกันแน่น ทำไมเรียนสายแล้วตื่นเช้าล่ะ จริงๆควรจะเอาเวลาไปนอนมากกว่านะ หรือมีธุระอย่างอื่น


                  “แล้วพี่ตื่นทำไมแต่เช้า”

                  “อยากมาส่งเรา”


                  !!!!!


                  “เดี๋ยวส่งเสร็จจะกลับไปอาบน้ำแล้วค่อยออกมาอีกที”

                  “พี่!

                  “ครับ?”

                  “งี้ก็ไม่ต้องมารับผมก็ได้ปะ เอาเวลาไปนอนเถอะ ผมก็นึกว่าพี่มีเรียนตอนเช้าเหมือนกันเลยไม่ได้ปฏิเสธ รู้งี้ผมไม่ให้พี่มารับหรอก”


                  ผมว่าออกไปยาวเหยียดเนื่องจากคิดว่าอีกฝ่ายทำไม่ถูก แถมผมก็รู้สึกแย่นิดๆที่พี่เขามารับผมทั้งๆที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า ผมหันหน้าเครียดๆไปมองคนที่กำลังขับรถ พี่แทฮยองละสายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะเหยียบเบรกเมื่อข้างหน้าติดไฟแดง


                  “ก็พี่อยากมาส่งเรา ไม่ได้หรือไง”

                  “....”

                  “อยากทำ เข้าใจมั้ย”

                  “....”

                  “ยอมๆให้พี่ทำเถอะ เดี๋ยวพี่นอนไม่หลับ”

                  “...มันเกี่ยวอะไรกับการนอนไม่หลับเล่า...”


                  ผมบ่นพึมพำขณะที่หันกลับมาก้มลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตัก พอพี่แทฮยองตอบกลับมาด้วยคำพูดที่สื่อถึงความหม่นหมองเล็กๆแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองเผลอพูดแรงไป ถ้าพี่เขาไม่ได้อยากมารับ จะมีเรียนหรือไม่มีเรียนพร้อมกันเขาก็คงไม่มาหรอก


                  ผมหันไปมองพี่แทฮยองอีกครั้ง พี่เขานั่งทอดสายตามองไปข้างหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรในใจอยู่ ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องที่พูดใส่กันเมื่อกี้หรอกครับ ผมเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากพูดกับเขา


                  “ขอโทษครับ ผมแค่ไม่อยากให้พี่ลำบาก”

                  “เรื่องเราไม่ลำบากสำหรับพี่หรอก”


                  น้ำหนักมือถูกวางลงบนหัวของผมอย่างแผ่วเบา นิ้วเรียวขยับแทรกไปตามเส้นผมเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปตั้งใจขับรถเช่นเดิม ผมมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่เบาะคนขับ ความรู้สึกบริเวณศีรษะยังคงอยู่ อาจเพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจอพี่นัมจุนด้วยล่ะมั้งเลยเผลอรู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆไป


                  แปลกจริงๆนั่นแหละ


                  ผมนั่งรถต่อไปอีกไม่นาน พี่แทฮยองก็ขับมาถึงมหาวิทยาลัยที่รักที่วันนี้ผมไม่ค่อยอยากจะมาเรียนเท่าไหร่ บรรยากาศด้านนอกก็อึมครึมเหมือนท้องฟ้ากำลังเตรียมพร้อมที่จะปล่อยฝนลงมา


                  “ให้ส่งที่คณะเลยมั้ยหรือจะแวะทานข้าวก่อน”

                  “ทานข้าวก่อนครับ พี่ส่งผมตรงโรงอาหารคณะก็ได้”

                  “อืม เดี๋ยวพี่ทานข้าวด้วยดีกว่า”


                  ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยเพราะเวลาตอนนี้ก็สมควรที่จะหาอาหารใส่ท้องได้แล้ว พี่แทฮยองเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานจอดเล็กๆด้านข้าง เนื่องจากเรามาเช้าจึงทำให้ยังมีที่จอดหลงเหลืออยู่บ้าง เมื่อรถจอดสนิท ผมก็จัดการเปิดประตูและหิ้วสัมภาระทุกอย่างลงไป


                  “ปี 1 ไม่ต้องแต่งตัวถูกระเบียบแล้วเหรอ?”


                  จู่ๆคนที่เพิ่งลงจากอีกฝั่งหนึ่งของรถก็เอ่ยถามพลางกดล็อครถ ในมือของพี่เขาถือกุญแจ กระเป๋าสตางค์ และโทรศัพท์ไว้เพียงแค่นั้น ผมมองคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ปี 2 ก่อนจะหน้าเสียเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างได้


                  “พี่อย่าบอกใครได้ปะ”


                  จริงๆผมต้องแต่งตัวถูกระเบียบนั่นแหละ แต่วันนี้ขี้เกียจเลยไม่ได้ทำ อีกทั้งไม่มีเหตุที่จะได้เจอพวกรุ่นพี่ ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะเอาเนคไทมาผูกไว้ที่คอ แต่ใครจะไปคิดว่าคนแรกที่ได้เจอของวันดันเป็นรุ่นพี่ของตัวเองซะได้


                  พี่แทฮยองสบตากับผมที่ยืนรออยู่เล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ มือเรียวที่วันนี้ไม่ได้ใส่แหวนแต่ยังคงมีสร้อยข้อมือยกขึ้นมาจับๆบริเวณปกเสื้อของผม ดวงตาของเขาไล่มองไปตามเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวของผมที่ปลายของมันไม่ได้ถูกยัดใส่เข้าไปในกางเกง


                  “บอกทำไมล่ะ ตั้งแต่เรียนมาพี่ก็ไม่เคยแต่งตัวถูกระเบียบตามที่เขาบอกหรอก”


                  ผมควรจะรู้สึกโล่งอกที่ตัวเองรอดหรือควรรู้สึกทึ่งกับความเป็นพี่แทฮยองดี


                  ในจังหวะที่ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน คนตรงหน้าก็ถือโอกาสฉวยแฟ้มที่บรรจุชีทเรียนไปถือไว้ในมือ ผมมองการกระทำของเขาด้วยแววตาสงสัยก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอาแฟ้มแตะลงมาบนหัวของผมเบาๆ


                  “ไปทานข้าวกัน”

                  “อ่า...ครับๆ”


                  ผมเดินตามพี่แทฮยองเข้าไปด้านในโรงอาหารที่มีคนนั่งอยู่พอประมาณ เราสองคนหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณร้านค้าซึ่งมีของน่ากินเต็มไปหมด ผมกวาดสายตาไล่มองด้วยความลังเล วันนี้ผมไม่ได้มีร้านที่อยากกินเป็นพิเศษด้วยสิ


                  ยากล่ะ เรื่องกินน่ะยากที่สุดแล้ว


                  “กินอะไรดี...”


                  ผมบ่นพึมพำออกมาก่อนที่จะต้องรีบหันไปมองด้านข้างเมื่อจู่ๆก็มีน้ำหนักแขนวางลงมาที่บ่าของผม พี่แทฮยองที่ก่อนหน้านี้ยืนห่างจากผมพอสมควรขยับเข้ามาใกล้จนไหล่และหลังของผมชนกับตัวเขา


                  ด-เดี๋ยวสิ พี่กอดคอผมทำไม


                  ผมสบตากับพี่แทฮยองด้วยแววตาตั้งคำถาม จะเอาแขนพี่เขาออกจากไหล่ก็กลัวว่าจะดูเป็นการเสียมารยาท แต่ผมที่ไม่ค่อยโดนใครสกินชิปบ่อยนักก็ค่อนข้างไม่ชินกับอะไรแบบนี้จนแอบรู้สึกอึดอัด


                  “อยากกินสุกี้ไก่”

                  “ร้านนู้นมีขายครับ”


                  ผมตอบพลางบุ้ยปากไปยังร้านเกือบริมสุด ผมพยายามขยับตัวออกห่างจากคนที่ถือโอกาสมากอดคอผมเอาไว้อย่างแนบเนียนที่สุด แต่ในจังหวะที่ผมจะทำสำเร็จ แขนที่วางอยู่บนบ่าก็ขยับดึงให้ผมกลับเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ผมเบิกตากว้างด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก


                  ให้ตายสิ ผมแค่ไม่อยากแตะต้องตัวกับพี่เข้าใจบ้างมั้ย ปล่อยผมออกไปโว้ยยยย


                  “แล้วเราจะกินอะไร”

                  “ผมยังตัดสินใจไม่ได้เลย”

                  “สุกี้สิ กินด้วยกัน”

                  “ต-แต่...”

                  “นะๆ”


                  พี่ปล่อยผมก่อนได้มั้ยเล่า!!! ผมทำตัวไม่ถูกแล้วนะ!


                  ผมเม้มริมฝีปากอย่างอึดอัดเมื่อแขนของเขายังคงกอดคอผมเอาไว้แน่น ลำพังแค่พี่แทฮยองเข้ามาอยู่ใกล้ๆในลักษณะที่ไม่ได้แตะตัว ผมก็สติหลุดทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว  ยิ่งมากอดคอกันแบบนี้ ผมยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ถึงตอนนี้จะเริ่มไม่กลัวการพูดคุยกับเขาแล้วแต่ก็ใช่ว่าผมจะโอเคหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ


                  “โอเค ผมจะทานด้วย แต่ช่วย...ช่วยพี่เอาแขนออกก่อนได้มั้ย”

                  “ไม่ชอบเหรอ?”

                  “ก็...มันหนัก”


                  ผมเลี่ยงตอบโดยสร้างเหตุผลปลอมๆออกไปเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย พี่แทฮยองเอียงใบหน้ามองผมเล็กน้อยก่อนจะขยับนิ้วมาแตะใต้คางของผมและผละตัวออกห่าง


                  “แต่พี่ชอบนะ ตัวเราหอมดี”

                  “พี่!

                  “ก็บอกแล้วไงว่าจะรอดม”


                  ผมได้แต่กัดฟันจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ ซึ่งก็เป็นเวรกรรมอะไรของผมไม่รู้ที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย แถมยังส่งยิ้มหล่อจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องหันมอง พี่แทฮยองจัดการดันผมให้เดินไปยังร้านขายสุกี้ด้วยกันและสั่งอาหารจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ


                  “พี่ เดี๋ยวผมคืนเงินนะ”


                  ผมเอ่ยขึ้นเมื่อได้รับจานสุกี้ไก่แห้งมาไว้ในมือแล้ว ผมสูดกลิ่นหอมๆของอาหารเข้าจมูกก่อนจะเงยหน้าหันไปมองพี่แทฮยองที่สั่งสุกี้ไก่น้ำทาน


                  “ไม่ต้องคืนหรอก”

                  “ไม่ได้สิ”

                  “ตัวเราแค่นี้เอง พี่เลี้ยงไหว”


                  หือ?


                  ผมถึงกับขมวดคิ้วใส่คนที่สูงกว่าตัวเองเพียงไม่กี่เซนติเมตร ถ้าให้พูดตามตรงพี่แทฮยองตัวสูงกว่าผมแค่หน่อยเดียวเองนะ แต่ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่ใกล้ๆพี่เขา ผมมักชอบรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลง ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด


                  “ตัวแค่นี้อะไรล่ะ ผมโตแล้ว”

                  “ก็เลี้ยงไหวอยู่ดีนั่นแหละ ถือดีๆระวังหก”

                  “พี่นั่นแหละถือดีๆ”


                  ผมพูดย้อนใส่อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเขาใช้มือข้างเดียวในการถือถ้วยที่มีน้ำร้อนๆอยู่เกือบล้นขอบ คนที่ใส่กางเกงนอนลายทางหัวเราะเบาๆและเดินนำผมไปยังโต๊ะว่าง ผมขอบอกตามตรงว่าสภาพการแต่งตัวของพี่แทฮยองตอนนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรโผล่มาในมหาลัยแบบสุดๆ ผมที่ต้องเดินข้างๆพี่เขาก็แอบอายนิดหน่อยเพราะมีแต่คนมอง


                  เป็นจุดสนใจยิ่งกว่าเดิมอีก


                  “พี่ไม่อายเหรอ ใส่ชุดนอนมาแบบนี้”


                  ผมเอ่ยถามหลังจากนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายแล้ว คนที่กำลังคนสุกี้น้ำเพื่อลดความร้อนเลื่อนสายตาขึ้นมามองผมเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปากเหมือนเอ็นดูในคำถามของผม


                  รู้สึกแปลกชะมัดที่พี่เขายิ้มเสมอเวลาผมเอ่ยปากพูดก่อน


                  “ไม่อาย แต่ก็แปลกดี เพราะเป็นครั้งแรกที่ใส่มา”

                  “วันหลังก็อาบน้ำให้มันเรียบร้อยก่อนสิครับ”

                  “โฮซอกเคยบอกว่าคนใส่ชุดนอนมักเซ็กซี่”


                  ผมชะงักมือที่กำลังจะยกช้อนส่งอาหารเข้าปาก ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นของผมมองไปยังคนตรงหน้าที่วางช้อนส้อมลงและเอามือขึ้นมาเท้าคางตัวเองด้วยท่วงท่าอย่างกับเป็นนายแบบ...


                  “เป็นไง”

                  “....”

                  “เซ็กซี่ปะ?”


                  ถามเสร็จก็ยักคิ้วข้างขวาขึ้นหนึ่งทีราวกับต้องการยุให้ผมเอ่ยปากตอบคำถามกลับไป


                  ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอึ้งก่อนจะกระพริบตาปริบๆเพื่อเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา ผมไล่สายตามองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ แต่เพราะสายตาของพี่แทฮยองที่จับจ้องมา ทำให้ผมเกิดอาการทำตัวไม่ถูกจนอยากจะมุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด


                  ม-มองอะไรนักหนาเล่า?! หน้าคนนะไม่ใช่ยูเอฟโอ


                  จู่ๆหัวใจของผมก็เกิดอาการคึกคักในแบบที่ตัวผมเองไม่ได้ต้องการในขณะนี้ ผมค่อยๆเลื่อนสายตาจากใบหน้าของพี่แทฮยองไปมองสิ่งรอบตัว ผมหวังเล็กๆว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเบลอในสิ่งที่ตัวเองถามและลืมๆไปซะว่าผมจะต้องตอบเขา แต่ผ่านไปหลายวินาที พี่แทฮยองก็ยังคงนั่งรอคำตอบจากปากของผมอย่างใจจดใจจ่อเหมือนเดิม


                  “ไม่รีบกินล่ะครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”


                  ผมกลั้นใจพูดเบี่ยงประเด็นแล้วก้มหน้าก้มตากินสุกี้แห้งของตัวเองต่อโดยไม่คิดที่จะเงยหน้ากลับขึ้นไปสบตากับพี่แทฮยองอีก ผมทานสุกี้ต่อไปอีกสองสามคำก็รู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะไม่ขยับตัวทานอาหารต่อเสียที คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้ากันพลางพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย


                  อยู่กับพี่แทฮยองนี่เหนื่อยชะมัด เหนื่อยที่ต้องจัดการกับอาการแปลกๆของตัวเอง


                  “กินต่อสิครับ”


                  ผมเอ่ยทั้งๆที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับอาหารในจานที่หายไปเกือบครึ่งแล้ว ปกติผมไม่ใช่คนกินเร็วมากขนาดนี้ แต่อาจเป็นเพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์คับขันต่อจิตใจ ผมจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตายัดวุ้นเส้นใส่ปากโดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองกำลังกินเร็วกว่าปกติ


                  “อยากให้ทานก็ตอบมาก่อนสิว่าเซ็กซี่หรือเปล่า”

                  “ไม่ตอบครับ”

                  “แสดงว่าเซ็กซี่”

                  “ไม่ใช่สักหน่อย!

                  “จองกุก เงยหน้าขึ้นก่อน”

                  “....”

                  “จองกุก”


                  ชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ มันดูนุ่มนวลเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่าคำๆนั้นเป็นชื่อของตัวผมเอง มือที่จับช้อนอยู่กำแน่นขึ้นเล็กน้อย พร้อมๆกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันอย่างลืมตัว ขายาวๆของอีกฝ่ายยังคงเหยียดมาพิงกับขาของผมใต้โต๊ะ พี่แทฮยองขยับขากระแทกเบาๆเป็นการเร่งให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา


                  พี่จะให้ผมมองหน้าทั้งๆที่เพิ่งโดนถามด้วยคำถามแบบนั้นเหรอครับ พี่คงไม่รู้ตัวว่าหน้าตาอย่างพี่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เสียอาการกันทั้งนั้นแหละ


                  ผมเอาส้อมจิ้มๆลงไปบนสุกี้ก่อนจะกลั้นใจเลื่อนสายตาขึ้นไปหาพี่แทฮยอง ใบหน้าแสนมีเสน่ห์ของอีกฝ่ายยังคงมองตรงมาหาผม ริมฝีปากของพี่แทฮยองยกยิ้มขึ้นนิดๆหลังจากที่สบตาผมไปได้สักพัก


                  “หน้าแดง”

                  “หะ?”

                  “เขินเหรอ?”


                  ถามเสร็จก็ละสายตากลับไปสนใจกินสุกี้น้ำของตัวเองแล้วทิ้งภาระอันหนักอึ้งทางอารมณ์ไว้ให้ผมแต่เพียงผู้เดียว จู่ๆความรู้สึกร้อนวูบก็ปรากฏขึ้นที่บริเวณคอก่อนจะค่อยๆลามมาถึงใบหน้า สมองของผมเริ่มคิดสรรหาสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการในตอนนี้ และมันก็หนีไม่พ้นคนตรงหน้า


                  ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองเป็นแบบนี้หนักขึ้นเรื่อยๆเวลาอยู่กับพี่แทฮยอง มันควรจะเริ่มชินได้แล้วไม่ใช่เหรอ


                  “พ-เพ้อเจ้อ! ผมไม่ได้เขินสักหน่อย!


                  ผมเอ่ยออกไปเสียงดังแถมยังดูลนลานแบบสุดๆ พี่แทฮยองเลิกคิ้วสูงขึ้นพร้อมกับทำสีหน้าบ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดปฏิเสธไปเลยสักนิด


                  “งั้นหน้าแดงเพราะอะไร”

                  “ก-ก็ผมกินสุกี้!


                  ....


                  ตอบอะไรออกไปวะเนี้ยยยยยยย แล้วสุกี้บ้านใครเขาสีแดงกัน ซอสน่ะมันออกสีแดงๆส้มๆ แต่พอมันมาผสมแล้วมันก็ไม่ได้แดงขนาดนั้นมั้ย


                  ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดทันทีที่รู้ว่าตัวเองพลาด เสียงหัวเราะเบาๆที่ดังออกมาจากคนตรงข้ามยิ่งทำให้ผมประสาทเสีย พี่แทฮยองวางช้อนลงแล้วเอื้อมมือมาวางแหมะไว้บนหัวของผม เขาขยับโยกหัวไปมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมดูไม่ออกว่าเอ็นดูหรือปลอบใจกันแน่


                  ฮึ่ย! จะเพราะเอ็นดูหรือปลอบใจที่ผมพูดพลาดมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ!!!

                  อยู่กับพี่ทีไรอารมณ์แปรปรวนน่าหงุดหงิดทุกที!


                  “อย่าทำหน้าบูดสิ”

                  “ก็พี่แกล้งผม”

                  “แย่จัง ไม่ดีเลยเนอะ”


                  สัมผัสได้ถึงความจริงใจ 0% และความน่าหมั่นไส้อีก 100%


                  “ครับ เป็นพี่ที่ไม่ดี สู้พี่นัมจุนก็ไม่ได้”

                  พี่?”


                  พี่แทฮยองมองผมด้วยท่าทีชะงักไปนิด เขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวก่อนที่จะรู้สึกตัวและรีบส่งยิ้มจางๆมาให้ ผมมองท่าทาง แปลกๆของเขาแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรให้มาก ผมเลือกที่จะกลับมาตั้งใจกินอาหารเช้าของตัวเองให้หมด เพื่อที่จะให้ทันขึ้นไปนั่งจองที่ก่อนที่คลาสจะเริ่ม


                  และทุกอย่างก็เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ผมกับพี่แทฮยองนั่งทานสุกี้กันไปเงียบๆโดยไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรหาเรื่องขึ้นมาอีก ผมเอ่ยปากถามเรื่องงานกลุ่มเล็กน้อย ซึ่งก็ได้รู้ว่าพี่เขาก็ทยอยทำให้อยู่ อีกเดี๋ยวก็คงเสร็จและส่งงานส่วนของเขามาให้ผมได้


                  “อย่าลืมตามงานกับอีกสองคนที่อยู่คณะอื่นด้วยล่ะ”


                  พี่แทฮยองเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราเอาจานชามไปเก็บเรียบร้อยแล้ว ผมถือแฟ้มของตัวเองไว้ในมือและเดินตามพี่แทฮยองไป ผมตั้งใจที่จะเดินไปส่งเขาที่รถก่อนที่จะเดินไปหาจีมินที่คณะ


                  “ครับ ผมไม่ลืมหรอก พี่ก็อย่าลืมนะว่ามีควิซสัปดาห์นี้”


                  คนอายุมากกว่าพยักหน้ารับก่อนจะหยุดเดินและหมุนตัวมาหาผมเมื่อเรามาถึงจุดที่รถจอดอยู่แล้ว พี่แทฮยองยกมือขึ้นมาใช้นิ้วเกลี่ยผมด้านหน้าของผมให้เข้าที่ก่อนจะส่งยิ้มและเอ่ยปากถาม


                  “วันนี้เราเลิกกี่โมง”

                  “เลิกเที่ยงครับ แต่ตอนบ่ายต้องไปซื้อของกับเพื่อนต่อ”

                  “อืม...งั้นมีอะไรก็ไลน์มานะ”

                  “ผมไม่มีอะไรต้องไลน์หาพี่หรอก รีบกลับไปอาบน้ำเถอะครับ จะได้มาเรียนทัน”


                  ผมตอบและยกมือขึ้นดันให้อีกฝ่ายเดินไปที่รถ พี่แทฮยองยกยิ้มหัวเราะตามสไตล์ของเขาก่อนจะยอมเดินไปที่รถแต่โดยดี ผมยืนมองพี่แทฮยองอยู่ตรงฟุตบาท จะว่าไปการที่พี่เขาใส่ชุดนอนมามหาลัยมันก็ไม่ได้อยู่แย่อะไร


                  อาจจะเพราะเป็นพี่แทฮยองด้วยล่ะมั้ง


                  “จองกุก”


                  ผมเลิกคิ้วสูงขึ้นเมื่อคนที่เพิ่งเปิดประตูรถฝั่งคนขับเอ่ยเรียกชื่อผม พี่แทฮยองยกแขนขึ้นวางบนกรอบประตูรถและมองตรงมาทางนี้...


                  “ยิ้มให้ดูหน่อย”


                  ....


                  ยิ้ม?


                  ทำไมต้องให้ผมยิ้มด้วยล่ะ


                  ผมยืนเอ๋ออยู่ที่เดิมเพราะไม่เข้าใจในคำร้องขอของอีกฝ่าย สมองน้อยๆเริ่มประมวลหาสาเหตุที่คำขอนั้นถูกเอ่ยออกมา แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก แถมตัวผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธเขาด้วย


                  สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามที่พี่เขาบอก


                  ผมค่อยๆขยับริมฝีปากยิ้มทั้งๆที่ในหัวยังมีความสับสนงุนงงหลงเหลืออยู่ แต่การยิ้มโดยตั้งใจมันดูจะยากเกินไปสำหรับคนมนุษย์สัมพันธ์ต่ำอย่างผม สุดท้ายรอยยิ้มที่ได้ก็ดูแหยงๆเหมือนไม่ได้ต้องการจะยิ้มเท่าไหร่


                  พี่แทฮยองส่ายหัวปฏิเสธรอยยิ้มอันไม่ได้เรื่องของผม เขายกนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะขยับมันตามริมฝีปากของตัวเองที่เผยยิ้มหวานเป็นตัวอย่างส่งมาให้ ถึงจะงงๆแต่ผมก็พอเข้าใจว่าพี่เขาต้องการให้ผมยิ้มดูดีกว่านี้ พอส่งยิ้มตัวอย่างเสร็จ คนอายุมากกว่าก็รีบหุบยิ้มและสงสายตาแกมบังคับมาแทน ท่าทางของพี่แทฮยองดูตลกเสียจนผมอยากจะขำออกมาให้รู้แล้วรู้รอด


                  อะไรจะอยากเห็นรอยยิ้มของผมขนาดนั้นครับ พี่ควรรีบกลับไปอาบน้ำมั้ย


                  ผมค่อยๆขยับมุมปากยกขึ้นเพราะเริ่มกลั้นขำในสิ่งที่ตัวเองเห็นไว้ไม่อยู่ สุดท้ายก็เลยกลายเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้ตั้งใจเผยออกมา ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตากลับขึ้นไปสบตากับพี่แทฮยอง เขามองหน้าผมสักพักก่อนที่แววตาจะอ่อนลงและมีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า...


                  “ตั้งใจเรียนนะ”

                  “....”

                  “ขอบคุณที่ยิ้มให้ มีแรงขึ้นมาเลยว่ะ”


                  พี่แทฮยองยิ้มกว้างขึ้นพร้อมกับย่นจมูกด้วยท่าทีที่โคตรมีความสุข ผมมองท่าทางของเขาก่อนจะรีบเลื่อนสายตาไปมองทางอื่นเพราะดันรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเสียก่อน


                  บอกให้คนอื่นยิ้มให้ ทั้งๆที่ตัวเองมีรอยยิ้มที่โคตรสดใสอยู่แล้วเนี้ยนะ


                  “พี่ก็...”

                  “....”

                  “ตั้งใจเรียนนะครับ”




     


                “แล้วมึงจะไปไหนต่อปะ?”


                  ผมหันไปมองตามเสียงของเพื่อนร่วมสาขาที่พากันมาซื้อของสำหรับทำงานกิจกรรมด้วยกัน พวกหน้าที่หาของกับทำพร็อพมักเป็นหน้าที่ของผมมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ก็คนมันไม่ได้กล้าแสดงออกถึงขนาดที่จะไปเป็นตัวตั้งตัวตีทำนู้นทำนี้ ช่วยอะไรเขาได้ก็ช่วยไว้ก่อนแหละเนอะ


                  “ว่าจะไปซื้อของเข้าหอนิดหน่อย”

                  “งั้นเดี๋ยวกูเอาของกลับไปที่มอก่อนแล้วกัน มึงหาของแล้วกลับหอเลยก็ได้ พวกมันยังไม่เริ่มทำวันนี้หรอก”

                  “อ่า...งั้นก็ได้ กลับดีๆ”

                  “บาย”


                  ผมโบกมือน้อยๆลาเพื่อนที่หิ้วพวกกระดาษสีและอุปกรณ์ต่างๆกลับไปยังรถที่มันขับมาจอดไว้ในซอย ตอนนี้ผมอยู่ที่ตลาดใกล้ๆกับมหาลัยที่ถึงแม้ตลาดจะวายไปนานแล้ว แต่ก็ยังคงมีร้านต่างๆเปิดขายของอยู่ตามซอย พวกรุ่นพี่แนะนำให้เรามาซื้ออุปกรณ์ทำงานที่นี่เพราะมีราคาถูกกว่าร้านทั่วไป ซึ่งผมกับเพื่อนก็พร้อมใจกันมาซื้อของตามรายการที่ได้รับมา


                  ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร รีบซื้อของอย่างอื่นแล้วกลับหอไปนอนดีกว่า


                  ผมเริ่มออกเดินอีกครั้งโดยมีเป้าหมายคือการหาซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นใหม่ที่เพิ่งออกวางขายเมื่อไม่นานมานี้ ผมชอบให้สิ่งรอบๆตัวมีกลิ่นหอมและค่อนข้างซีเรียสหากในห้องมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ทำให้ผมเป็นคนชอบทำความสะอาดไปโดนปริยาย


                  ผมเดินหาตามร้านขายของทั่วไปแต่ก็ไม่มีร้านไหนที่วางขายกลิ่นใหม่เลย ไอ้เรามันก็ไม่ได้อยากแบกร่างไปซื้อที่ห้างไง ผมถอนหายใจอย่างเสียดายก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจเดินออกจากร้านขายของชำเพื่อเดินออกจากซอยไปยังริมถนนใหญ่


                  ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆสีดำลอยมารวมตัวกันอยู่สักพักใหญ่แล้ว บรรยากาศมันมืดครึ้มเสียจนผมอยากรีบเปิดว๊าบกลับห้อง เพราะถ้าตกขึ้นมาผมคงติดฝนจนไปไหนไม่ได้แน่ๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ออกตัวรีบเดิน น้ำหยดเล็กๆก็ทิ้งตัวลงแหมะที่กลางหัว


                  แย่ละ ฝนตกเหรอวะ ผมไม่ได้พกร่มมานะโว๊ย!


                  เร็วกว่าความคิด ขาของผมเริ่มออกตัววิ่งตรงไปยังฟุตบาทริมถนนใหญ่ทันที อย่างน้อยก็ขออยู่ที่ป้ายรถเมล์ละกัน ถ้ามีรถมาจะได้รีบนั่งกลับหอ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งไปถึงป้ายรถเมล์ ฝนเม็ดใหญ่ๆก็พากันเทตกลงมาจากฟ้าอย่างไร้ความปราณี


                  ให้ตายเหอะ เปียกไปหมดแล้ว


                  ผมรีบถอดแว่นออกมาเช็ดทันทีที่เข้ามาหลบฝนใต้ป้ายรถเมล์สำเร็จ อย่าพูดถึงเสื้อผ้าครับ มันเปียกพอสมควรเลย ผมใส่แว่นกลับเข้าไปเหมือนเดิมก่อนจะมองออกไปด้านนอก


                  ลมก็แรง ฝนก็ตกหนัก พายุเข้ากะทันหันหรือไงวะ


                  คนเริ่มเข้ามาหลบในนี้กันมากขึ้น ผมจึงต้องขยับตัวไปยืนริมๆเพื่อให้ผู้หญิงยืนด้านใน ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อคิดว่าไม่น่าจะได้กลับหอง่ายๆ ทุกอย่างรอบตัวดูวุ่นวายเสียจนผมอยากหลบหายไปในท่อ


                  ผมยืนเหม่อออกไปข้างนอกพักใหญ่พลางภาวนาให้ฝนที่ไม่มีท่าทีจะหยุดสงบลงเสียที ผมคิดนู้นคิดนี้ไปเรื่อยก่อนจะสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น ผมรีบหยิบขึ้นมาเปิดดูก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ส่งไลน์มา


                Taehyung : กลับหอยัง?


                  ท่าทางจะเรียนเสร็จแล้ว


                  ผมคิดในใจก่อนจะขยับนิ้วกดหน้าจอพิมพ์ตอบอีกฝ่ายไปตามความเคยชินที่เกิดขึ้นในช่วงนี้


                KooKookie : ยังครับ

                KooKookie : ผมคุยด้วยไม่ได้นะพี่ ติดฝนอยู่ ไม่อยากใช้โทรศัพท์


                  ทันทีที่กดส่ง ข้อความก็ขึ้นว่าอ่านแล้วราวกับอีกฝ่ายเปิดหน้าจอไว้รอคำตอบ ผมจะจัดการปิดโทรศัพท์เก็บกลับลงกระเป๋ากางเกงแล้ว ถ้าหน้าจอไม่ได้แสดงสายเรียกเข้าจากใครบางคนขึ้นมาเสียก่อน


                  ...ก็บอกว่าไม่อยากใช้โทรศัพท์ไง ยังจะโทรมาอีก...


                  “พี่ ผมไม่อยากคุย...”

                  [ ตอนนี้อยู่ไหน ]


                  ผมชะงักไปนิดเมื่อปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าปกติ เสียงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้ผมพอจะเดาออกว่าพี่แทฮยองน่าจะเพิ่งเลิกเรียนจริงๆ


                  “อยู่ป้ายรถเมล์แถวตลาดครับ กำลังหาทางกลับหอ”

                  [ ตลาดมันอยู่คนละฝั่งคนละทางกับหอเราเลยไม่ใช่เหรอ ]

                  “....”

                  [ ติดฝนอยู่ใช่มั้ย? ]

                  “ครับ...”

                  [ รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวพี่ไปรับ ]

                  “แต่...”


                  ยังไม่ทันที่ผมจะได้ปฏิเสธ สายก็ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางมองไปข้างนอกที่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆแถมยังสาดเข้ามาทำเอาผมเปียกไปทั้งตัว


                  ไปไหนไม่ได้ ยังไงก็ต้องอยู่ตรงนี้ตามที่พี่แทฮยองบอกอยู่ดีนั่นแหละ


                  ผมยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างน้อยมันก็ช่วยให้อุ่นขึ้นมานิดนึง ฝนตกหนักกับลมแรงๆเป็นอะไรที่แย่มาก เพราะมันจะหนาวขึ้นเป็นเท่าตัว รู้งี้ไม่อยู่ตามหาน้ำยาปรับผ้านุ่มต่อก็ดีสิ จะได้รีบกลับหอ น่าจะถึงก่อนฝนตกด้วยซ้ำ


                  ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว แต่ฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องและผมก็พอเดาได้ว่ามันน่าจะตกยาวไปถึงช่วงค่ำแน่ๆ ยังดีหน่อยที่ถนนแถวนี้ไม่ติดมากนักแต่ก็ไม่ได้วิ่งปร๋อเหมือนในเวลาปกติ ดวงตาของผมเริ่มรู้สึกหนักอึ้งด้วยเหตุที่เสียงฝนตกมันดังเกินไปบวกกับการนอนไม่ค่อยพอจากเมื่อคืน


                  โอ๊ย อยากกลับห้องนอนชะมัด


                  ....


                  ปี๊น!


                  เฮือก!!!


                  ผมสะดุ้งทันทีที่มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น ผมรีบมองไปยังจุดที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเสียงก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อกระจกรถที่ติดฟิล์มดำสนิททั้งคันค่อยๆเลื่อนลงมาจนสามารถเห็นคนที่อยู่ด้านใน...


                  ...พี่แทฮยอง...


                  ทันทีที่รู้ว่าเป็นรถของใคร ผมก็รีบก้าวขาออกไปนอกป้ายรถเมล์และเปิดประตูขึ้นรถด้วยความรวดเร็ว ไม่ไหวแล้ว หนาวฉิบหายเลย อยากออกไปจากตรงนี้เร็วๆ


                  “สวัสดีครับ”

                  “ให้ตายเถอะจองกุก ทำไมเปียกงี้วะ”


                  พี่แทฮยองที่ปิดกระจกรถและเคลื่อนรถออกมาจากจุดนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเครียดๆ เขารีบปรับแอร์ให้รถทั้งคันอุ่นขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อกันหนาวที่เบาะหลังมาวางลงบนตักของผม


                  “ด-เดี๋ยวค่อยคุยได้มั้ย”


                  หนาวจนปากแข็งไปหมดแล้ว


                  ผมเม้มริมฝีปากแน่นพยายามไม่ให้ฟันกระทบกันมากเกินไป ผมกางเสื้อคลุมสีเขียวเข้มของพี่แทฮยองมาคลุมตัว พยายามให้มันไม่แนบกับตัวมาจนเกินไปเพราะผมก็ไม่ได้อยากให้เสื้อของพี่เขาเปียก


                  พี่แทฮยองที่อยู่ในชุดนิสิตสะอาดตาแตกต่างจากเมื่อเช้าหันมามองผมเป็นระยะๆก่อนจะถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมาจับเสื้อกันหนาวของเขาให้ซุกเข้ามาหาตัวผมยิ่งกว่าเดิม


                  “ใส่ไปเลยไม่ต้องกลัวเปียก หนาวจะตายห่าอยู่แล้วยังจะมาเกรงใจ”

                  “ก็มัน...”

                  “ใส่เดี๋ยวนี้จองกุก พี่ไม่พูดซ้ำ”


                  สุดท้ายผมก็ทนสายตาโคตรดุของอีกฝ่ายไม่ได้เลยจำใจจับเสื้อกันหนาวที่ดูมีราคาใส่ให้เรียบร้อย ซึ่งผลก็คืออุ่นขึ้นทันตาเห็น ผมเริ่มโฟกัสมองไปด้านนอกรถและก็พบว่าฝนมันตกหนักมากจริงๆ หนักชนิดที่พี่แทฮยองก็ต้องค่อยๆขับคลานไปเพื่อความปลอดภัย ผมหันไปมองคนข้างๆก่อนจะพบว่าพี่เขามีสีหน้าเครียดพอตัว


                  “หนาวมากมั้ย?”


                  พี่แทฮยองเอ่ยถามและหันมาทันทีที่รถจอดติดไฟแดง ผมส่งยิ้มเจื่อนๆให้เขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ถึงจะไม่หนาวเท่าก่อนหน้านี้แต่มันก็ยังหนาวมากอยู่ดี มือเรียวถูกยื่นเข้ามาทาบที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา ตอนแรกผมก็จะผงะหน้าออกอยู่หรอก แต่ความอบอุ่นจากผ่ามือของพี่เขาทำให้ผมชะงัก


                  “...มือพี่อุ่นจัง...”


                  ผมเผลอพูดออกไปเบาๆ ซึ่งสิ่งที่ได้รับต่อมาก็คือการที่มืออุ่นๆเคลื่อนลงไปแตะที่ข้างแก้มและเลื่อนลงไปที่คอ...


                  “อย่าเพิ่งหลับนะ โอเคมั้ย?”

                  “อื้ม”


                  ผมพยักหน้ารับแม้จะรู้สึกหนักไปทั้งตัวก็ตาม พี่แทฮยองละมือกลับไปขับรถต่อ ผมมองออกไปตามข้างทางก่อนจะเริ่มเกิดความสงสัยเมื่อรถไม่ได้ไปอยู่ในเลนสำหรับกลับรถ


                  “พี่...”

                  “ไปคอนโดพี่ก่อน ฝนหยุดแล้วค่อยว่ากัน”





     

                ติ๊ด!


                  ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยคีย์การ์ดสีดำสนิท พี่แทฮยองเดินนำเข้าไปก่อนจะดึงตัวผมที่ยืนสั่นเป็นลูกนกให้เข้าไปด้านในห้องและปิดประตู


                  “ถอดรองเท้าเร็ว”


                  ผมรีบถอดรองเท้าออกตามที่พี่แทฮยองบอกก่อนจะถูกคว้าข้อมือให้เดินตามเขาเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว ผมไม่รู้ว่าถูกพาเดินมาทางไหน รู้ตัวอีกทีตัวเองก็มาอยู่ในห้องน้ำแล้ว ผมมองสำรวจไปรอบๆก่อนจะพบว่ามันเป็นห้องน้ำที่กว้างและสะอาดพอตัว


                  ไม่สิ สะอาดมากๆเลยแหละ


                  “อาบน้ำซะ เดี๋ยวพี่ส่งซักชุดเราให้ ส่วนชุดที่จะเปลี่ยนก็หยิบจากในตู้ได้เลย ใส่ตัวไหนก็ได้พี่ไม่หวง ห้องเสื้อผ้าเดินต่อเข้าไปทางนู้นนะ”


                  ผมหันไปมองตามนิ้วของคนตรงหน้าก็พบกับกรอบประตูใสที่เชื่อมไปยังห้องที่มีลักษณะเหมือนคลังเสื้อผ้า ผมพยักหน้าขึ้นลงช้าๆเพราะกำลังตะลึงกับโครงสร้างห้องแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต


                  หรู...สัมผัสได้ว่าหรูตั้งแต่เห็นตึกคอนโดแล้ว


                  พอสั่งทุกอย่างและเอาผ้าเช็ดตัวให้แล้ว พี่แทฮยองก็เดินออกไปจากห้องน้ำโดยที่ไม่ลืมกำชับว่าให้สระผมให้เรียบร้อย ผมที่ยังเบลอๆกับอาการหนาวจากการตากฝนก็พยักหน้ารับไปแบบงงๆ


                  ผมรีบเข้าไปอาบน้ำสระผมเพราะรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่แย่พอตัว และด้วยความที่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง ผมจึงลังเลเล็กน้อยที่จะหยิบนู้นหยิบนี้ใช้ แต่ผมขอยอมรับเลยว่าเซ้นส์การเลือกกลิ่นสบู่ของพี่แทฮยองดีใช้ได้


                  ผมใช้เวลาไม่นานนักก็อาบน้ำเสร็จและจัดการเลือกเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงบอลที่ดูธรรมดาที่สุดในตู้ออกมาใส่ ผมแอบตะลึงเล็กน้อยกับเสื้อผ้ามากมายที่พี่เขามี แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะพี่แทฮยองก็ดูเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้ว


                  “พี่แทฮยอง”


                  ผมเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของห้องเบาๆเมื่อออกจากห้องน้ำมาเจอกับเตียงนอนสีขาวนุ่มน่านอน ห้องถูกตกแต่งด้วยสีน้ำตาลเอิร์ธโทนค่อนไปทางขาว ผมมองไปรอบๆอย่างสำรวจก่อนจะสะดุ้งเมื่อเจ้าของชื่อที่ผมเพิ่งเรียกเดินผ่านประตูห้องนอนเข้ามาหา


                  ดวงตาสีดำสนิทมองผมด้วยแววตาแปลกๆก่อนจะก้าวเข้ามาหยิบผ้าเช็ดหัวที่ผมพาดไว้ที่คอไปกางออกและทำการวางแหมะลงบนหัวของผม มือเรียวจัดการขยับผ้าให้ถูไปมากับเส้นผม ผมก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองที่อยู่ห่างจากปลายเท้าของอีกฝ่ายไม่เท่าไหร่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ


                  ครั้งแรกเลยที่มีคนเช็ดหัวให้นอกจากแม่


                  ผมโดนพี่แทฮยองเช็ดหัวให้นานพอที่เส้นผมจะเริ่มแห้ง เขาชะลอความเร็วลงก่อนจะเลื่อนมือมาทาบที่แก้มทั้งสองข้างและออกแรงจับผมที่ก้มมองพื้นอยู่ให้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา


                  “ไดร์เป่าผมอยู่ตรงตู้นั้นนะ พี่ขอเคลียร์งานแป๊บนึง เป่าเสร็จก็เดินออกไปหาพี่ข้างนอก โอเคมั้ย”

                  “อ่า...ครับ”


                  พี่แทฮยองผละออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนมีเรื่องด่วนที่จำเป็นต้องทำ ผมยืนเอ๋อนิดๆแต่ก็หาไดร์เป่าผมเจอและจัดการใช้มันให้เป็นประโยชน์ พอผมแห้งสนิทดีผมก็เดินออกไปด้านนอกห้องที่ตอนเข้ามาผมไม่ได้มีจังหวะสังเกตอะไรเท่าไหร่


                  ให้ตาย

                  โคตรใหญ่เลย แน่ใจใช่มั้ยว่านี่คือคอนโด


                  ผมเดินออกมาด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงเพราะเพดานห้องรับแขกสูงมากแถมข้างๆยังมีบันไดสำหรับเดินขึ้นไปที่ชั้นสองอีก ผมมองสำรวจไปเรื่อยๆก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่พี่แทฮยอง เขากำลังนั่งจ้องโน้ตบุ๊คอยู่ที่โซฟาตรงกลางห้อง พอผมเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ละสายตาจากหน้าจอและเงยหน้ามาส่งยิ้มให้ผม


                  “สบายตัวขึ้นมั้ย”

                  “โอเคแล้วครับ ขอบคุณที่มารับผมนะ”

                  “เราต้องกินยาแก้หวัดกันไว้ก่อน เดี๋ยวป่วยขึ้นมาจะยุ่งเอา”


                  พี่แทฮยองบอกพลางเลื่อนแผงยาที่วางอยู่บนโต๊ะมาทางนี้ ผมมองยาด้วยใบหน้าสะอิดสะเอียนแต่ก็ถึงแม้จะไม่อยากทานแค่ไหน ผมก็รู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ป่วย เพราะถ้าป่วยขึ้นมาต้องแย่มากแน่ๆ ใกล้สอบแล้วด้วย คิดได้แบบนั้นผมจึงพยักหน้าตอบรับพี่แทฮยองไปอย่างเข้าใจ


                  “แต่ผมต้องหาอะไรรองท้องก่อนกินยา ในครัวพอมีอะไรทำกินได้บ้างมั้ยครับ?”

                  “ก็พอมีอยู่มั้ง ไม่แน่ใจเรื่องของสดแต่มาม่ามีแน่ๆ”

                  “งั้นผมขอบุกครัวพี่นะ”

                  “บุกทั้งห้องพี่ก็ไม่ว่าครับ :)


                  มันใช่จังหวะที่ควรพูดแบบนี้ที่ไหนกัน เฮ้อ


                  คนอายุมากกว่าผมยกยิ้มแล้วยันตัวลุกขึ้นยืน เขาจัดการปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คลงและจัดเอกสารวางให้พอเป็นระเบียบ


                  “งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ฝนท่าทางจะตกอีกยาว”


                  พูดจบก็ยกมือขึ้นมาแตะคางผมเบาๆและเดินหายเข้าไปในห้องนอน ผมมองไปรอบๆห้องอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องครัว อย่างแรกที่ผมทำก็คือการเปิดตู้เย็นดูว่าพอจะมีของสดอะไรทำได้บ้าง และสิ่งที่ผมได้พบก็คือความแปลกประหลาดที่ผมไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน


                  ...ทำไม...ทำไมทุกอย่างถึงเขียนวันที่แปะไว้ล่ะ...


                  ผมมองของในตู้เย็นด้วยความรู้สึกงุนงง มันเต็มไปด้วยกล่องต่างๆมากมายที่เก็บของกินไว้ข้างใน แต่ที่แปลกคือทุกกล่องมีวันที่เขียนแปะติดเอาไว้ ไหนจะพวกน้ำหรือของกินอื่นๆก็มีวันหมดอายุแปะเอาไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด ผมไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน


                  อย่างน้อยที่บ้านผมก็ไม่ได้ทำแบบนี้แน่ๆ


                  ผมพยายามมองข้ามความแปลกประหลาดนี้ไปและหาเนื้อสัตว์ที่พอจะมาทำคู่กับมาม่าได้ หลังจากที่ผมยืนพิจารณาของในตู้เย็นอยู่พักใหญ่ ผมก็พอจะสรุปได้ว่าพี่แทฮยองไม่ใช่คนที่จะทำอาหารเอง ของที่อยู่ในกล่องก็น่าจะมีคนทำมาไว้ให้มากกว่า


                  สุดท้ายผมก็ได้ไส้กรอกกับไข่ไก่ติดไม้ติดมืออกมาวางไว้ตรงโต๊ะทำกับข้าว ผมหยิบซองมาม่าที่วางเด่นหราอยู่ข้างๆเตามาอ่านฉลากดูให้แน่ใจก่อนจะก้มๆเงยๆหาหม้อมาใส่น้ำและจัดการตั้งเตา อย่างอื่นในครัวก็ดูปกติดีครับ จะมีก็แต่ของในตู้เย็นนั่นแหละที่ดูผิดปกติที่สุด


                  “เริ่มทำแล้วเหรอ?”


                  เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในจังหวะที่ผมกำลังยกตัวขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ ผมหันไปมองตามเสียงก็เห็นพี่แทฮยองเดินเช็ดหัวเข้ามาในโซนห้องครัว พี่เขาใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงนอนขายาว สภาพเหมือนตอนเจอกันช่วงเช้าไม่มีผิด จะมีก็แต่ลายกางเกงที่ทำให้รู้ว่าเป็นคนละชุดกัน


                  “จะอร่อยมั้ยเนี้ย”

                  “ผมทำมาม่าอร่อยนะพี่”


                  ผมแอบอวดในความสามารถของตัวเอง พี่แทฮยองยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอาผ้าเช็ดผมพาดคอเดินไปเปิดตู้เย็น พี่เขายืนมองไปมองมาสักพักก่อนจะหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมาเปิดแล้วยกดื่ม


                  “งานเยอะเหรอครับ?”


                  ผมเอ่ยถามเพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้เขาดูยุ่งๆ พี่แทฮยองหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ


                  “ก็พอตัว แต่ยังอยู่ในจุดที่รับไหว”

                  “ถ้าเยอะมาก งานกลุ่มส่งให้ผมช้าหน่อยก็ได้นะพี่”

                  “ไม่มีปัญหาหรอก ทำทันอยู่แล้ว”


                  พี่แทฮยองส่งยิ้มจางๆมาให้ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆแล้วหันหลังยืนพิงกับขอบโต๊ะที่ผมกำลังนั่งอยู่


                  “แล้ว...ห้องนี้พี่ตกแต่งเองเหรอ?”

                  “อืม แต่งเอง”

                  “ดูสบายตาดีครับ”

                  “อยากแต่งให้มันดูไม่เยอะ กลับมาเหนื่อยๆจะได้รู้สึกสบาย”


                  ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะสภาพห้องมันก็ทำให้รู้สึกสบายจริงๆนั่นแหละ โล่งๆกว้างๆ ไม่ค่อยมีอะไรรกหูรกตา

                  แอบอิจฉานิดๆนะเนี้ยที่พี่เขาได้อยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมเหมาะกับการพักผ่อนขนาดนี้


                  “พูดเยอะจังนะ ตื่นเต้นหรือไงได้มาห้องคนอื่น”

                  “ก็นิดนึง”


                  ผมตอบและหลุดขำออกมา ผมจะไม่ตื่นเต้นหรอกถ้าคอนโดของพี่แทฮยองเป็นคอนโดปกติทั่วไป แต่นี่มันไม่ใช่ไง ผมไม่ค่อยได้สัมผัสอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เกิดก็อยู่แต่บ้านเป็นหลังมาตลอด


                  “สบู่อาบน้ำพี่ก็โคตรหอมเลยอะ ผมชอบ”


                  ผมเอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองประทับใจมากที่สุด นี่ขนาดอาบน้ำเสร็จมาสักพักใหญ่แล้วนะ กลิ่นหอมยังลอยฟุ้งอยู่เต็มตัวไปหมด ซึ่งกลิ่นหอมๆที่ผมชอบก็ลอยออกมาจากคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเช่นเดียวกัน


                  “เหรอ”


                  พี่แทฮยองตอบแค่นั้นโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามองผม ปฏิกิริยาของเขาทำให้ผมแปลกใจจนต้องเลื่อนสายตาไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ยังคงดูดีอยู่ไม่เสมอไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ผมขยับมือเข้าไปจับผ้าเช็ดผมให้เข้าไปชิดกับคอของพี่เขามากกว่าเดิมเพราะน้ำจากเส้นผมที่ไม่แห้งสนิทดีกำลังหยดจนไปเปียกเสื้อยืดของเขา


                  “พี่ไม่คิดว่ามันหอมเหรอ ผมว่ามันหอมมากๆเลยนะ”

                  “ก็ไม่รู้สิ”

                  “หอมจริงๆนะ พี่ลองดม...”


                  ....


                  ...พี่ลองดมกลิ่นบนตัวพี่ดูสิ...


                  คำพูดที่ผมต้องการสื่อลอยหายและสลายไปในอากาศทันทีที่อีกฝ่ายวางกระป๋องน้ำอัดลมลงและพลิกตัวหันมาหาผม ผมเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าที่ผมเพิ่งรู้สึกชื่นชมไปเมื่อสักครู่ลอยเด่นอยู่ในระยะที่ใกล้กว่าปกติ ดวงตาคมสบตากับผมก่อนที่จะขยับแขนทั้งสองข้างมากักกั้นไว้ไม่ให้หนีไปทางซ้ายหรือขวา นิ้วเรียวยาวของเขาทับลงมาบนนิ้วมือของผมที่ยันโต๊ะไว้เล็กน้อย


                  “พ-พี่...”


                  ผมเค้นเสียงที่หลุดลอยหายไปให้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับค่อยๆเอนตัวไปด้านหลังเพื่อสร้างระยะห่าง แต่แล้วลมหายใจก็ต้องสะดุดเมื่อพี่แทฮยองขยับแขนเข้ามาจนชิดกับสีข้างของผมและยันพื้นโต๊ะด้านหลังไว้ ทำให้สุดท้ายหลังของผมที่พยายามเอนหนีถูกหยุดไว้โดยช่วงแขนของเขา


                  ผมรีบเลื่อนแววตาตื่นตระหนกขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายซึ่งมันก็ทำให้ผมยิ่งทำตัวไม่ถูก หัวใจของผมทำงานหนักขึ้นมาอย่างกระทันหัน ความรู้สึกชาวูบวาบแปลกๆก็ปรากฏอยู่ตรงบริเวณช่องท้อง ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่าที่สุดในชีวิต


                  แปลก

                  ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด

                  แต่มันกลับรู้สึก...


                  “จองกุก”


                  น้ำเสียงทุ้มต่ำที่แหบกว่าปกติเล็กน้อยเรียกสติแตกกระเจิงของผมให้ไปกองอยู่ที่ตัวเขาอีกครั้ง ผมรวบรวมความกล้าและใช้แววตาสั่นๆจ้องเข้าไปในตาของอีกฝ่าย แววตาของพี่แทฮยองดูวูบไหว เหมือนเขามีอะไรในใจมากมายที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ผมไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรในจุดนั้นมากนัก เพราะสิ่งเดียวที่ผมกำลังกังวลในขณะนี้คือระยะห่างที่ค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ


                  มันใกล้...ใกล้จนผมได้กลิ่นสบู่ชัดเจนจากตัวของเขา


                  “...พี่พยายามอดทนแล้วนะ...”

                  “....”

                  “...อดทนมาก...”

                  “....”

                  “...มากแล้วจริงๆ...”


                  น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงหยุดลงก่อนที่ความใกล้ชิดจนน่าใจหายจะเข้าแทรกจนผมเผลอกลั้นลมหายใจของตัวเองไว้ เข่าทั้งสองข้างถูกแทรกด้วยตัวของคนที่กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาประชิดช่วงคอ ผมรีบหดคอหนีตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติพร้อมกับมือที่ยกขึ้นเพื่อยันไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้


                  แต่พี่แทฮยองก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด


                  มือทั้งสองข้างของผมถูกจับรวบไปไว้ด้านหลังพร้อมกับมือข้างซ้ายของเขาที่จับข้อมือของผมล็อคเอาไว้แน่น ในจังหวะที่ผมตกใจอยู่นั่นเองทำให้การระวังตัวลดน้อยลง สุดท้ายพี่แทฮยองก็สามารถโน้มใบหน้าลงมาประชิดคอของผมได้สำเร็จ...


                  “พี่...!!!

                  “ช่วยอยู่นิ่งๆสัก 1 นาทีได้มั้ย”

                  “....”

                  “ขอแค่...1 นาที”


                  เสียงกระซิบที่ดังอยู่ชิดใบหูทำให้ร่างทั้งร่างของผมชะงักค้าง ลมร้อนๆที่กระทบลงบนผิวก็เหมือนยาชาชั้นดีที่ทำให้ผมไม่กล้าที่จะขยับตัว...


                  สมองทั้งหมดหยุดทำงาน...เพียงเพราะน้ำเสียงของเขา...


                  ผมปิดตาแน่นเมื่อลมหายใจอุ่นค่อยๆขยับเคลื่อนจากใบหูลงไปยังซอกคออีกครั้ง ผมไม่รู้ว่าการที่ตัวเองเลือกที่จะหลับตาหนีจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่ แต่ที่แน่ๆมันทำให้ผมรู้สึกหน่วงในช่องท้องยิ่งกว่าเดิม ...ทุกอย่างมันดูชัดเจน แม้ผมจะเห็นเพียงแค่ความมืด... ผมรู้ว่าร่างของพี่แทฮยองขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจของผมกระทบกับไหล่ของเขาและสะท้อนกลับมา สัมผัสบริเวณช่วงคอก็ชัดเจนมากขึ้น เขายังคงไม่แตะจมูกลงบนผิวของผม แต่การที่พี่เขาค่อยๆไล่ดมกลิ่นจากตัวผมไปอย่างช้าๆทำให้ผมรู้สึกสติแตกมากกว่าเดิม


                  ลมหายใจของผมเริ่มติดขัดอย่างน่าสงสาร


                  แรงที่กดมือของผมทั้งสองข้างเอาไว้ค่อยๆคลายออกเปลี่ยนเป็นวางทับไว้เฉยๆ หัวใจของผมเต้นแรงและดังที่สุดเท่าที่ผมได้เคยสังเกตมาทั้งชีวิต ลมหายใจที่เคยติดขัดกลับกลายเป็นหายใจถี่ขึ้นเมื่อปลายจมูกของอีกฝ่ายเฉียดโดนผิวเป็นระยะ ผมคิดที่จะเอ่ยปากห้ามแต่เสียงที่เคยมีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และนั่นทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก...


                  ผมหนีไม่ได้


                  ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดวนไปวนมาอยู่ที่บริเวณช่วงคอทำให้ผมรู้สึกตัวลอย ผมค่อยๆปรือตาขึ้นและสิ่งแรกที่เห็นก็คือช่วงไหล่แข็งแรงกับปลายผมที่ยังคงเปียกชื้น...


                  จริงสิ พี่เขายังไม่ได้เช็ดผม


                  ความคิดในสมองเริ่มสะเปะสะปะปนกันมั่วไปหมด ผมนั่งนิ่งปล่อยให้สัมผัสที่ไม่เคยได้รับเกิดขึ้นกับตัวเองต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าเวลามันผ่านไปนานมากแค่ไหนแล้ว แต่ที่แปลก...ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรืออึดอัดเหมือนตอนแรกๆที่รู้จักกับพี่แทฮยอง


                  ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวตัวเอง...


                  ในระหว่างที่สติของผมเหมือนถูกโยนให้ลอยเคว้ง สัมผัสเบาๆก็เกิดขึ้นบริเวณต้นขา มือที่เคยร้อนกลับกลายเป็นเย็นเพราะเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ สัมผัสที่ว่าค่อยๆเลื่อนสูงขึ้นไปพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นแรงเป็นเจ้าเข้าของผม มือที่ถูกจับไขว้อยู่ด้านหลังขยับมากำปลายเสื้อยืดของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น มือเย็นเฉียบละหายไปจากต้นขาก่อนจะค่อยๆขยับแทรกเข้ามาใต้เสื้อยืดสีขาวที่ผมใส่อยู่


                  และทันทีที่สัมผัสเย็นแตะลงที่ผิวเนื้อด้านใน ผมก็หาเสียงของตัวเองเจออีกครั้ง...


                  “...พี่แทฮยอง”

                  “....”

                  “ย-หยุดได้มั้ย...ผม...ผมไม่...”


                  ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นและไร้ซึ่งความมั่นใจ มือเรียวของคนอายุมากกว่าค่อยๆวางลงแนบสนิทกับช่วงเอวของผม ความเย็นจากฝ่ามือค่อยๆแผ่กระจายเข้ามาหาและความร้อนจากตัวของผมก็ถ่ายทอดไปยังมือของอีกฝ่ายเช่นกัน


                  ในตอนแรกผมคิดว่าถ้อยคำของตัวเองคงไม่มีความหมายอะไร แต่พอผ่านไปสักพักความรู้สึกอุ่นตรงช่วงคอก็จางหายไป พี่แทฮยองขยับใบหน้าออกมาสบตากับผมนิ่ง เขาละมือออกจากช่วงเอวและขยับไปจับมือของผมที่ยังคงกำเสื้อเขาไว้แน่นจนยับไปหมด ลมหายใจของเรากระทบกันเล็กน้อยก่อนที่พี่แทฮยองจะใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยประโยคบางอย่างที่ทำให้ผมหูอื้อไปชั่วขณะ...


                  ....


                  ต้องมาอาบน้ำที่นี่บ่อยๆแล้วนะ

     

     

     

     


    TALK ;   ผ่ามมมมมมมม กลับมาแล้วทุกคนนนนน ฮือออออออ สอบเสร็จแล้วววววว กรี๊ดดดดดดดดดดด โอเค สงบสติอารมณ์ก่อน ให้เวลาสามวิค่ะ ใครจะกรี๊ดก็กรี๊ดให้เสร็จ ใครจะทุบหมอนจะอ่านซ้ำก็เอาให้เต็มที่ค่ะ 555555555

                  กราบสวัสดีมิตรรักแฟนฟิคทั้งหลาย ขออภัยอย่างสูงที่มาช้าเพราะกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่กับมิดเทอมตัวร้ายที่ทำร่างกายทรุดโทรมแทบเป็นซากศพ ใครตามทวิตจะรู้ดีว่าเรานั้นแทบร้องไห้เป็นสายเลือด หวังว่าจะยังมีคนรอไรท์เตอร์ตัวน้อยๆคนนี้อยู่นะคะ ไหนๆก็มาถึงตอนที่ 8 แล้ว ก็อยากจะขอแนะนำตัวเป็น 3 ประเด็นหลักพอกรุบกริบ

                  1.สวัสดีก๊าบ 5555555 เป็นสาวน้อยย่างเข้าสู่วัยบรรลุนิติภาวะ เกิดวันเดียวกับคุณพัคจีมิน ตอนนี้กำลังเผชิญการเรียนที่หนักหนาสาหัส จะเรียกไรท์ก็ได้ค่ะ ส่วนชื่อจริงหาไม่อยากหรอก เพราะชอบเรียกชื่อตัวเองในแอคประจำบ่อยๆ5555555

                  2. เป็นอาร์มี่เลือดบริสุทธิ์ที่ไม่มีเพื่อนสนิทติ่งเลยสักคน ใช่ค่ะ หวีดคนเดียวชิปคนเดียวมาหลายปี ฉันไร้เพื่อน55555555 จะอยู่กับบังทันไปจนวันตาย มั่นคงในความรักมากค่ะ เมนคือจองกุกกับพี่แท (อะควบสองไปเรย) ส่วนอีก5คนคือเหนือเมนค่ะ (เลือกไม่ได้ หลายใจแต่รักมั่นคงนะจ้ะ)

                  3. อยากยอมรับไว้ก่อนเลยว่าเป็นสายพันธุ์ไฮบริด ชิปทั้งวีกุกและกุกวีค่ะ ถึงจะชิปสองโพแต่ก็สนับสนุนการไม่คว่ำโพคนอื่นนะ! (เป็นคนมีมารยาท แม่ต้องภูมิใจ) เริ่มแรกเราชิปแบบไม่มีโพค่ะ แค่เชื่อมั่นว่าเค้าเป็นแฟนกัน (บอกไว้ก่อน เผื่อต่อไปแว๊บไปแต่งกุกวีจะได้เข้าใจตรงกันเนอะว่าเราชิปอยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวกับยอดวิวหรืออะไรอย่างอื่น แคร์นักอ่านเลยต้องบอกไว้ก่องงง รักนะจุ๊บๆ ส่วนเรื่องนี้วีกุกนะคะ ไม่สลับไม่พลิก วางเรื่องไว้แล้วว่าวีกุกเท่านั้น วีกุกตัวโตๆ วีกุกตัวใหญ่ๆ สบตาฉัน!!) ส่วนอีกคู่ที่ชิปจริงจังคือมินม่อน ม่อนมินก็ได้ เขินๆ (อินี่ก็สลับโพตลอด เดี๊ยะ)

                  แนะนำตัวเสร็จแล้วก็ใครใคร่อยากคุยก็ไปโผล่ในแท็กได้นะ พูดง่ายก็คือเหงานั่นแหละ เป็นคนอยากมีเพื่อนแต่คุยไม่เก่ง (เวรกรรมของแกแล้ว) ท็อควันนี้พูดมากเนอะ เซลล์สมองโดนทำลายจากการสอบมันจะเพี้ยนๆแบบนี้แหละค่ะทุกคน55555555

                  หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะทำให้วันจ.ที่แสนเหน็ดเหนื่อยดีขึ้นบ้างนะคะ เราขอบคุณทุกคนมากจริงๆ รู้สึกผิดที่ปั่นให้เร็วกว่านี้ไม่ได้ ขอบคุณนะคะที่ยังรอกันอยู่ ใครผ่านไปเห็นทวิตฟิคเราก็ช่วยจิ้มๆรีให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค้าบบบบ ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะ จะรีบฟื้นร่างพังๆให้เร็วที่สุด ใครชอบก็คอมเม้นท์หรือกดหัวใจให้หน่อยยยย มันเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับเค้าเลย ฮือออออออ

     

    Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ ( เหรอเขียนแบบนี้นะ ><)

    Twitter : @yumsyou

     

     .

     

    สุขสันต์วันเกิดจองกุกสุดที่รักย้อนหลัง

     

    * คำเตือน : สถานการณ์ถูกปรับแต่งไม่ให้เหมือนในหนังเป๊ะนะคะ อ่านเอาฟินพอ เรามีเพิ่มๆไปหน่อย ถือว่าเป็นของแถมที่ให้รอนาน และก็งงๆเหมือนกันว่าตัวเองแต่งออกมาเป็นโพอะไร เอาเป็นว่ามโนว่าเป็นบุคลิกพี่แทตัวจริงกับจองกุกตัวจริงแล้วกันนะคะ 5555555 *

     

    ฟิคสั้นมากไม่แสวงกำไร /ไหว้ย่อ/

     

     

                  “ถึงแล้วครับ ถึงแล้ว ตื่นครับทุกคน”


                  เสียงร่าเริงของพี่โฮซอกดังขึ้นทันทีที่เครื่องบินจอดสนิทแล้ว ทุกคนที่นั่งอยู่ในโลกของตัวเองเริ่มขยับตัวและส่งเสียงพูดคุยกันอย่างเช่นทุกครั้ง ผมจัดการหาวออกมาครั้งใหญ่ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้พี่นัมจุนที่กำลังนั่งเก็บของอยู่ข้างๆ ทัวร์ของพวกเราดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้วครับ ผมปวดเมื่อยตัวนิดหน่อย แต่สภาพโดยรวมก็ยังดีอยู่


                  ผมหันไปรวบรวมของใช้ส่วนตัวของตัวเองเก็บลงกระเป๋าบ้าง ซึ่งพอเก็บเสร็จเสียงเปิดประตูเครื่องก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนถือกระเป๋าราวกับอยากจะออกไปจากเครื่องบินลำนี้ที่นั่งเบื่อมาหลายชั่วโมงเสียที


                  “จองกุก อย่าลืมเช็คของอีกรอบนะ”

                  “ครับๆ”


                  ผมขานรับพี่ยุนกิที่เอ่ยเตือน ทุกคนพากันทยอยเดินลงจากเครื่องโดยไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณพนักงานต้อนรับ ผมคงคิดว่าทุกคนลงไปหมดแล้ว ถ้าสายตาไม่เหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งเสียก่อน ผมมองใบหน้าที่ยังตื่นไม่เต็มที่ก่อนจะลุกขึ้นถือกระเป๋าเดินไปหาเขา


                  “โอเคมั้ยครับ?”

                  “อืม แค่เหนื่อย”


                  เสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบโดยที่สายตายังคงมองไปรอบๆเพื่อเช็คว่ามีของอะไรหลงเหลืออยู่มั้ย ผมไม่อยากกวนอีกฝ่ายมากนัก เพราะอารมณ์ของเขายังไม่เข้าที่หลังจากตื่นนอน


                  “งั้นผมไปก่อนนะ รีบตามลงไปนะครับ”


                  ผมเอ่ยบอกอีกฝ่ายแล้วละสายตาหันไปมองทางเดินเพื่อที่จะเตรียมก้าวเท้าไปข้างหน้า


                  “เดี๋ยว”


                  ผมที่กำลังจะเดินไปหยุดชะงักเมื่อมือของผมถูกคว้าไว้ ผมก้มลงมองมือเรียวที่มีแหวนเส้นเล็กๆกับสร้อยข้อมือประดับอยู่ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองใบหน้าอันแสนดูดีของอีกฝ่าย


                  งอแง...


                  พี่แทฮยองกำลังงอแง


                  “ต้องลงจากเครื่องแล้วนะครับ”


                  ผมพูดเสียงเบาเพื่อเตือนให้คนที่กำลังมีท่าทีงอแงรู้ตัว ผมกระชับจับมือพี่แทฮยองกลับและออกแรงดึงเบาๆเชิงบอกให้เขาลุกขึ้นได้แล้ว


                  “อือ...อุ้มหน่อยไม่ได้เหรอ ขี้เกียจเดินชะมัด”


                  พูดไปก็เอาหัวมาพิงที่แขนของผม ให้ตายเถอะ ทำไมจู่ๆก็ขี้อ้อนขึ้นมาแบบนี้ ผมมองหัวสีอ่อนด้วยความลังเลก่อนที่สุดท้ายจะยอมถอนหายใจและตอบตกลงไป


                  “ก็ได้ครับ ลุกขึ้นเร็ว”

                  “จองกุกกี้สุดยอด ฮิฮิ”


                  ผมมองรอยยิ้มที่ดูสดใสขึ้นแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ผมจัดการย้ายกระเป๋ามาสะพายด้านหน้าและย่อตัวลงเตรียมรับน้ำหนักของคนที่อายุมากกว่า


                  พี่แทฮยองโน้มตัวลงมาขึ้นหลังของผมก่อนจะใช้ขาตวัดเกี่ยวเอวเอาไว้แน่น ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังอยู่ข้างใบหู แก้มของอีกฝ่ายแนบลงมาติดกับใบหน้าของผมพร้อมกับแขนที่กระชับกอดผมแน่นขึ้น


                  “ดูพอใจมากเลยนะครับ”

                  “ก็ได้ขี่หลังนายไง”


                  ผมใช้แขนเกี่ยวขาคนบนหลังไว้และออกเดินไปข้างหน้า ใบหูยังคงถูกยุ่งด้วยริมฝีปากเหมือนทุกครั้งที่ผมให้เขาขึ้นหลัง พี่แทฮยองใช้ริมฝีปากหนาของตัวเองงับส่วนปลายของใบหูผมเบาๆก่อนจะกระซิบถ้อยคำบางอย่างที่ทำเอาผมแทบสะดุดบันไดที่กำลังเดินลง...


                  “เดี๋ยวคืนนี้ไปหาที่ห้องนะ”

                  “....”

                  “อยากนอนกอดแฟนว่ะ”

                  “กอดหมอนข้างก็นุ่มเหมือนกันแหละครับ เผลอๆนุ่มกว่าด้วยซ้ำ”


                  ผมเอ่ยขัดความตั้งใจของคนด้านหลังก่อนจะย่อตัวปล่อยให้พี่แทฮยองยืนเมื่อเดินมาถึงรถแล้ว ผมกับพี่แทฮยองรีบก้าวขึ้นรถเพราะไม่อยากให้ทุกคนรอนานไปมากกว่านี้ และทันทีที่ประตูปิดลง ดวงตาคู่สวยที่คนนับล้านอยากจ้องมองก็ตวัดมาหาผมทันที


                  “หมอนมันแทนนายได้ที่ไหน”

                  “ก็คล้ายๆกันแหละครับ”

                  “หมอนมันไม่เร้าใจ”

                  “พี่แทฮยอง”

                  “หื้มมมม”

                  “ผมบอกว่างดไงครับ งด”

                  “งั้นไม่นอนกอดก็ได้ แต่มาแช่น้ำด้วยกันแทน”

                  “พี่แทฮยอง! จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย”

                  “อืม จะเอาให้ได้”

                  “พี่ไม่ปวดเมื่อยตัวหรือไง เมื่อวานก็หมดแรงทันทีที่ลงจากเวทีเลยไม่ใช่เหรอ”

                  “ก็นี่ไง ยิ่งต้องแช่น้ำเลย”

                  “พี่แทฮยอง!!!

                  :)

                  .

                  .

                  .

                  .

                  “คุณแทฮยอง คุณจองกุกครับ ผมก็อยู่ในรถเหมือนกันนะครับ จองโฮซอกยังอยู่ตรงนี้ ช่วยเกรงใจกันด้วยคร้าบ เหม็นความรักคร้าบ ขอบคุณคร้าบ”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×