คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Breath Touch & Skin
Chapter 8 : Breath Touch & Skin
ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ ตี๊ดๆ
“อือ...”
คิ้วของผมขมวดเข้าหากันทันทีที่รู้สึกตัวตื่นขึ้น เสียงนาฬิกาปลุกที่ตัวเองตั้งไว้ก่อนนอนดังวนไปวนมาจนน่ารำคาญ เดิมทีผมไม่เคยชอบที่ตัวเองต้องตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุกเลย แต่พอย้ายมาอยู่หอ มันก็ดันกลายเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้ผมตื่นไปเรียนทัน
ผมจำใจยืดแขนออกไปนอกผ้าห่มเพื่อกดหยุดนาฬิกาที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง
ถึงจะแอบไม่มีแรงนิดๆแต่สุดท้ายเสียงที่ดังลั่นห้องก็เงียบสงบลง สมองที่หลับไปประมาณ
6 ชั่วโมงเริ่มวางลำดับสิ่งที่ต้องทำโดยที่ร่างกายยังคงนอนแน่นิ่งเป็นผักอยู่บนเตียง
แม่ฮะ จองกุกไม่อยากไปเรียนเลย
ผมคิดงอแงในใจ ยิ่งช่วงบ่ายจะต้องออกไปช่วยเพื่อนซื้อของทำกิจกรรมแล้วด้วย
แค่นึกถึงก็มีตัวขี้เกียจมาทับแล้ว
ครืดๆ...ครืดๆ
คิ้วขมวดเข้าหากันหนักยิ่งกว่าเดิมเมื่อเสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นหลังจากห้องสงบลงไปไม่นาน
ผมจำใจลืมตามองเพดานสีขาวก่อนจะถอนหายใจและรวบรวมแรงถีบผ้าห่มออกจากตัว
เสียงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง
ผมเลื่อนสายตามัวๆเนื่องจากไม่ได้ใส่แว่นมองไปยังตรงโต๊ะข้างเตียงแล้วจึงเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มากดรับสาย
จะโทรมาปลุกทุกวันเลยหรือไง เหมือนกลัวไม่มีเพื่อนไปเรียนอะ
“ไง...”
ผมกรอกเสียงแหบๆที่ยังไม่ตื่นดีทักทายจีมินที่โทรมาปลุกผมเป็นประจำทุกวัน
[
ตื่นยัง? ]
“เพิ่งตื่น”
[
อาบน้ำมาเรียนได้แล้ว อย่าลืมว่าตอนบ่ายมึงมีไปซื้อของ ]
“อืมๆ ไม่ลืมหรอก”
ผมพยักหน้ารับแม้อีกฝ่ายจะไม่มีทางได้เห็นก่อนจะปรือตามองไปยังปฏิทินที่แขวนไว้บนฝาผนัง
เผื่อว่าวันนี้ยังมีสิ่งอื่นที่ผมต้องทำนอกเหนือจากซื้อของอีก
เวรกรรม ยังไม่ได้ใส่แว่นนี่หว่า
ผมพ่นลมหายใจออกมาเมื่อรู้ว่าปฏิทินไม่ได้อยู่ในระยะใกล้พอที่ผมจะสามารถอ่านตัวอักษรที่จดไว้บนนั้นได้
แต่จะให้ผมลุกไปหยิบแว่นตอนนี้ก็ไม่ใช่ ผมขี้เกียจอยู่
ขี้เกียจ!!!
[
อย่าลืมตามเรื่องรายงานกลุ่มด้วยนะสัด กูทำส่วนของกูใกล้เสร็จแล้ว ]
“ทำไมมึงดูคึกคักเร็วจังวะ นี่เพิ่ง
7 โมงไม่ใช่เหรอ”
ผมถามออกไปหลังจากที่รู้สึกว่าเสียงของจีมินดูตื่นเต็มที่และพร้อมจะออกไปผจญโลกกว้างแล้ว
ผิดกับผมที่ยังนั่งหัวยุ่งเป็นรังนกอยู่บนเตียง
[
กูตื่นมาออกกำลังกายนานแล้ว ]
“อ๋อเหรอ”
[ เออออออออ แล้วนี่จะให้กูขับไปรับมั้ย ]
“อืม...ก็ได้นะ แต้งกิ้วมึง”
[ รีบไปอาบน้ำซะไอ้ลูกหมา ]
ลูกหมาบ้านมึงสิ
ผมด่าในใจแต่ก็มีมารยาทมากพอที่จะไม่เปิดศึกเถียงน้ำลายฟูมปากกับจีมินแต่เช้า
ผมเลื่อนสายตาเบลอๆมองไปรอบๆห้องแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาดังๆ
ต้องไปเรียนจริงๆเหรอ? เมื่อวานกว่าจะเลิกเรียนก็
5 โมง วิญญาณยังไม่กลับเข้าร่างเลย
ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวานที่สภาพตัวเองหลังเลิกเรียนไม่ต่างจากศพเท่าไหร่นัก โชคดีที่วันนี้ถึงจะมีเรียนเช้า แต่ช่วงบ่ายผมไม่มีเรียนเลยน่าจะรีบกลับมานอนได้
เออลืม ต้องไปซื้อของนี่หว่า
“แม่งเอ๊ย...”
ผมหลับตาและเอนหลังล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
ด้านมืดในจิตใจสั่งให้ผมนอนต่อและไม่สนใจวิชาที่ต้องเรียนในตอนเช้า
ส่วนด้านสว่างกำลังหันไปดึงพลังงานมาสะสมเพื่อให้ผมลุกขึ้นจากเตียง
ต้องไปเรียนแต่ก็อยากนอนต่อจัง...
ในจังหวะที่ผมกำลังสับสนในชีวิตอยู่นั้น
โทรศัพท์ที่กำอยู่ก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง ให้ตายเถอะ จีมินต้องรู้ทันแน่ๆว่าผมนอนต่อแบบนี้
ผมสบถคำหยาบในใจและกดรับสายโดยไม่คิดที่จะเปิดตาดูชื่อบนหน้าจอก่อน
และดูเหมือนจะเป็นเรื่องผิดพลาดแรกที่เกิดขึ้นในวันนี้
“กูตื่นแล้วไอ้เหี้ย ไม่ต้องโทรตามแล้วโว้ยยยยยย”
งอแง ผมอยากจะงอแงจริงๆ
มันเหนื่อยจนร่างจะแหลกย่อยสลายแทรกตัวกลืนไปกับที่นอนอยู่แล้ว ฮือ
[
.... ]
“มึง กูไม่ไปเรียนได้ปะวะ”
[
.... ]
“เงียบนี่มึงด่ากูอยู่ใช่มั้ยจีมิน”
[
อ่า...นี่ไม่อยากไปเรียนเหรอครับ ]
....
หือ?!!!!!
ด-เดี๋ยวนะ ทำไมเสียงมัน...
ผมรีบเอาโทรศัพท์ออกจากหูเพื่อดูชื่อที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์
และทันทีที่ผมเห็นว่าเป็นใคร อาการง่วงนอนทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ดวงตาที่ปรืออยู่ก็แปรเปลี่ยนเป็นเบิกกว้าง ริมฝีปากก็เผยอขึ้นเล็กน้อยด้วยความอึ้ง
พี่แทฮยอง
ทำไมไม่ดูให้ดีก่อนรับสายวะจองกุก!!!
แล้วเมื่อกี้พูดอะไรออกไป
โอ๊ยยยยยยยยย
“พ-พี่...ผมไม่...”
[
อยากไปเรียนหน่อยได้มั้ย พี่อุตส่าห์จะไปรับ ]
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงก๊อกแก๊กที่เหมือนปลายสายกำลังหยิบจับทำอะไรอยู่สักอย่าง
ผมนั่งเอ๋อไปหลายวิก่อนที่จะเริ่มกระพริบตาเรียกสติให้กลับเข้าร่าง
แต่เมื่อกี้เขาพูดว่าอะไรนะ...จะมารับ?
“มะ ไม่เป็นไรครับ! จีมินจะมารับ”
ผมรีบตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยอาการที่ตื่นเต็มตา
หัวใจของผมเต้นเร็วราวกับไปวิ่งรอบสนามมา 4 รอบ ให้ตายเถอะ พี่จะโทรมาหาทำไมแต่เช้าเนี้ย?! โอ๊ยยยยย
แล้วผมก็ดันรับสายแบบโคตรหยาบคายด้วย
[ มันออกมาหรือยัง ]
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
[
บอกมันได้มั้ยว่าไม่ต้องมารับแล้ว ]
“ต-แต่ว่า...”
[ พี่อยากไปส่งเราอะ ได้ปะ ]
“....”
ช็อค
ผมนั่งมองผ้าปูที่นอนสีน้ำเงินของตัวเองด้วยสติที่กระเด็นหลุดลอยออกไปอีกรอบ
สมองของผมเหมือนเก็บเสียงเมื่อครู่มาเปิดซ้ำไปซ้ำมาวนอยู่ภายในหัว เอาไงดี
ผมจะทำยังไงดี พี่เขาจะมารับผมไปส่งที่มอเหรอ แล้วทำไมต้องทำน้ำเสียงเสียดายแบบนั้นด้วย
ค-แค่ไปส่งเองนะ
[
จองกุก ]
“ครับ!”
ผมสะดุ้งและเอ่ยตอบกลับไปเสียงดัง
พี่แทฮยองเงียบไปนิดก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาให้ได้ยิน
โอ๊ย ตอนเช้าๆสติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว
ทำไมผมต้องทำให้ตัวเองอับอายด้วยเนี้ย
[
เดี๋ยวพี่โทรไปบอกจีมินเอง ]
“แต่ว่า...”
[ พี่ขึ้นรถแล้วนะครับ กำลังจะขับออกไป อีก 20 นาทีเจอกันหน้าหอนะ
]
“เดี๋ยวสิพี่!”
[
อาบน้ำให้สะอาดนะครับ พี่จะรอดม ]
“พี่แทฮยอง!!!”
สายถูกตัดไปพร้อมๆกับผมที่แหกปากเรียกชื่อของอีกฝ่ายดังลั่นอย่างไม่สนว่าห้องข้างๆจะด่าหรือเปล่า
ผมผละโทรศัพท์ออกจากหูมาดูเวลาบนหน้าจอก่อนจะต้องรีบเด้งตัวออกจากที่นอนและคว้าผ้าเช็ดตัววิ่งเข้าห้องน้ำไปด้วยความไวแสง
เจอเสียงพี่แทฮยองเข้าไป
เล่นเอาตื่นเต็มตา
ผมพ่นลมหายใจออกมาหนักๆเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์ตลอดหลายวันที่ผ่านมา
ถึงแม้วันนั้นผมจะอธิบายไปแล้วว่าไลน์สามารถโทรได้เหมือนกัน แต่พี่แทฮยองก็ยังงอแงจะเอาเบอร์ของผมให้ได้
ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอก
ผมใช้คำว่างอแง
พี่เขาหาเรื่องตื้อผมโดยการส่งไลน์มาหาไม่เลิก
จนผมที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยเปิดโทรศัพท์เล่น
กลับกลายเป็นต้องเปิดเช็คทุกๆชั่วโมงเพื่อดูว่าพี่แทฮยองส่งอะไรมา ตอนแรกก็ไม่อยากตอบหรอกครับ
แต่ไปๆมาๆก็ต้องตอบเพราะเขาส่งไลน์มาบอกจีมินให้ผมตอบข้อความของเขาด้วย ฝั่งจีมินก็ดันคิดไปเองว่าพี่เขาส่งมาเรื่องงาน
มันเลยด่าผมยกใหญ่ว่าทำไมไม่เช็คไลน์
สุดท้ายผมก็ต้องยอมคุยกับพี่แทฮยอง
จนตอนนี้กลายเป็นว่าผมกับเขาคุยกันทุกวัน
ก็...ก็สนุกดี
อาจจะเพราะผมไม่ค่อยได้คุยกับใครด้วยล่ะมั้ง
ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมเขาถึงได้เบอร์ของผมไป
คิดแล้วก็หงุดหงิด อยากจะถามจริงๆว่าพี่เขาว่างนักหรือไง
ทำไมถึงได้คอลไลน์มากวนได้ทุกคืน แล้วชอบคอลมาตอนผมจะนอน จะไม่รับก็ไม่ได้เพราะดันเผลอกดเข้าไปดูข้อความของเขาก่อนแล้ว
ผมก็บอกนะว่าให้พี่แทฮยองเลิกคอลมาหาตอนกลางคืน แต่เขาก็ไม่ยอม จะยอมก็ต่อเมื่อผมให้เบอร์โทร
ครับ และผมก็จำใจให้เบอร์ไปเพื่อตัดความรำคาญ
ซึ่งก็แปลกดีที่พี่เขาหยุดคอลหาผมตามที่บอกและเปลี่ยนมาโทรหาเวลามีเรื่องสำคัญแทน
เรื่องสำคัญที่ว่าก็คือเรื่องงานกลุ่มนั่นแหละครับ
โล่งใจที่พี่เขายังมีสาระอยู่บ้าง
ผมปิดฝักบัวเมื่ออาบน้ำเสร็จแล้วก่อนจะเอื้อมไปหยิบผ้าเช็ดตัวมาพันเอวและเดินออกจากห้องน้ำ
กิจวัตรประจำวันในเช้าวันนี้ท่าทางจะเป็นไปอย่างเร่งรีบกว่าทุกวัน
ปกติผมจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงในการอาบน้ำแต่งตัวออกจากห้อง
แต่นี่พี่แทฮยองจะมาเร็วกว่านั้น ทำให้ผมต้องรีบสุดๆเพราะไม่อยากให้พี่เขารอ
“ลืมอะไรอีกหรือเปล่าวะ”
ผมพึมพำหลังจากแต่งตัวเสร็จและหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพายเรียบร้อยแล้ว
ทำไมรู้สึกเหมือนตัวเองลืมอะไรสักอย่างเลยวะ แต่ช่างมันเถอะ รีบลงไปดีกว่า
คิดได้ดังนั้นผมก็หยิบรองเท้าคู่โปรด(เพราะมีคู่เดียว)ออกมาใส่ก่อนจะเดินออกจากห้องและล็อคประตูให้แน่นหนา
สิ่งแรกที่ผมเห็นเมื่อก้าวเท้าออกมาที่หน้าตึกก็คือรถยี่ห้อหรูสีขาวมุกที่สตาร์ทเครื่องจอดรออยู่ที่ถนน
ผมรีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังรถคันที่จำได้ดีว่าเป็นของใคร
“สวัสดีครับ”
“อรุณสวัสดิ์”
ผมชะงักไปเล็กน้อยเมื่อขึ้นมาบนรถแล้วเห็นว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยไม่ได้ใส่ชุดนิสิตเหมือนทุกครั้ง
แถมผมที่เป็นสีน้ำตาลยังกลับกลายเป็นสีดำ
พี่แทฮยองไปทำอะไรมา
“ทำไมผม...”
“อ๋อ ไปย้อมกลับมาเป็นสีดำน่ะ
เป็นไง โอเคมั้ย”
คนที่วันนี้ดูสดใสเป็นพิเศษเอ่ยถามพลางเอานิ้วจับเส้นผมของตัวเองขึ้น
ผมมองใบหน้าแสนดูดีก่อนจะพยักหน้าตอบกลับไป
จะบอกไม่ได้ว่าเขาหล่อขึ้นกว่าเดิม
พอเห็นว่าผมพยักหน้า
พี่แทฮยองก็ยิ้มกว้างจนตาแทบปิด เขาหัวเราะด้วยความพอใจก่อนจะหันไปเหยียบคันเร่งเพื่อขับออกจากซอย
ผมแอบมองคนข้างๆที่ใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงลายทางที่ดูยังไงก็คล้ายกางเกงนอนด้วยแววตาสงสัย
พอเลื่อนขึ้นไปมองใบหน้าเปื้อนยิ้ม ผมก็ยิ่งงุนงงเข้าไปใหญ่
เขาไม่ได้มีเรียนตอนเช้าเหรอ
“ทำไมพี่ไม่ใส่ชุดนิสิตล่ะ?”
ผมเอ่ยถามในสิ่งที่สงสัย
พี่แทฮยองเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะหมุนพวงมาลัยเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนใหญ่
“หืม? ใส่ทำไม?”
“ก็ใส่ไปเรียนไง”
“อ๋อ พี่มีเรียนตอนสายๆน่ะ”
คำตอบของเขาทำให้คิ้วของผมขมวดติดกันแน่น
ทำไมเรียนสายแล้วตื่นเช้าล่ะ จริงๆควรจะเอาเวลาไปนอนมากกว่านะ หรือมีธุระอย่างอื่น
“แล้วพี่ตื่นทำไมแต่เช้า”
“อยากมาส่งเรา”
!!!!!
“เดี๋ยวส่งเสร็จจะกลับไปอาบน้ำแล้วค่อยออกมาอีกที”
“พี่!”
“ครับ?”
“งี้ก็ไม่ต้องมารับผมก็ได้ปะ
เอาเวลาไปนอนเถอะ ผมก็นึกว่าพี่มีเรียนตอนเช้าเหมือนกันเลยไม่ได้ปฏิเสธ
รู้งี้ผมไม่ให้พี่มารับหรอก”
ผมว่าออกไปยาวเหยียดเนื่องจากคิดว่าอีกฝ่ายทำไม่ถูก
แถมผมก็รู้สึกแย่นิดๆที่พี่เขามารับผมทั้งๆที่ตัวเองไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า ผมหันหน้าเครียดๆไปมองคนที่กำลังขับรถ
พี่แทฮยองละสายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะเหยียบเบรกเมื่อข้างหน้าติดไฟแดง
“ก็พี่อยากมาส่งเรา ไม่ได้หรือไง”
“....”
“อยากทำ เข้าใจมั้ย”
“....”
“ยอมๆให้พี่ทำเถอะ
เดี๋ยวพี่นอนไม่หลับ”
“...มันเกี่ยวอะไรกับการนอนไม่หลับเล่า...”
ผมบ่นพึมพำขณะที่หันกลับมาก้มลงมองมือของตัวเองที่วางอยู่บนตัก
พอพี่แทฮยองตอบกลับมาด้วยคำพูดที่สื่อถึงความหม่นหมองเล็กๆแล้วก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตัวเองเผลอพูดแรงไป
ถ้าพี่เขาไม่ได้อยากมารับ จะมีเรียนหรือไม่มีเรียนพร้อมกันเขาก็คงไม่มาหรอก
ผมหันไปมองพี่แทฮยองอีกครั้ง
พี่เขานั่งทอดสายตามองไปข้างหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรในใจอยู่ ซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องที่พูดใส่กันเมื่อกี้หรอกครับ
ผมเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจเอ่ยปากพูดกับเขา
“ขอโทษครับ
ผมแค่ไม่อยากให้พี่ลำบาก”
“เรื่องเราไม่ลำบากสำหรับพี่หรอก”
น้ำหนักมือถูกวางลงบนหัวของผมอย่างแผ่วเบา
นิ้วเรียวขยับแทรกไปตามเส้นผมเล็กน้อยก่อนจะผละออกไปตั้งใจขับรถเช่นเดิม ผมมองเสี้ยวหน้าของคนที่นั่งอยู่เบาะคนขับ
ความรู้สึกบริเวณศีรษะยังคงอยู่ อาจเพราะช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้เจอพี่นัมจุนด้วยล่ะมั้งเลยเผลอรู้สึกอบอุ่นใจแปลกๆไป
แปลกจริงๆนั่นแหละ
ผมนั่งรถต่อไปอีกไม่นาน
พี่แทฮยองก็ขับมาถึงมหาวิทยาลัยที่รักที่วันนี้ผมไม่ค่อยอยากจะมาเรียนเท่าไหร่
บรรยากาศด้านนอกก็อึมครึมเหมือนท้องฟ้ากำลังเตรียมพร้อมที่จะปล่อยฝนลงมา
“ให้ส่งที่คณะเลยมั้ยหรือจะแวะทานข้าวก่อน”
“ทานข้าวก่อนครับ พี่ส่งผมตรงโรงอาหารคณะก็ได้”
“อืม เดี๋ยวพี่ทานข้าวด้วยดีกว่า”
ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วยเพราะเวลาตอนนี้ก็สมควรที่จะหาอาหารใส่ท้องได้แล้ว
พี่แทฮยองเลี้ยวรถเข้าไปจอดในลานจอดเล็กๆด้านข้าง เนื่องจากเรามาเช้าจึงทำให้ยังมีที่จอดหลงเหลืออยู่บ้าง
เมื่อรถจอดสนิท ผมก็จัดการเปิดประตูและหิ้วสัมภาระทุกอย่างลงไป
“ปี 1 ไม่ต้องแต่งตัวถูกระเบียบแล้วเหรอ?”
จู่ๆคนที่เพิ่งลงจากอีกฝั่งหนึ่งของรถก็เอ่ยถามพลางกดล็อครถ
ในมือของพี่เขาถือกุญแจ กระเป๋าสตางค์ และโทรศัพท์ไว้เพียงแค่นั้น
ผมมองคนที่มีศักดิ์เป็นพี่ปี 2 ก่อนจะหน้าเสียเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างได้
“พี่อย่าบอกใครได้ปะ”
จริงๆผมต้องแต่งตัวถูกระเบียบนั่นแหละ
แต่วันนี้ขี้เกียจเลยไม่ได้ทำ อีกทั้งไม่มีเหตุที่จะได้เจอพวกรุ่นพี่
ผมจึงไม่เห็นความจำเป็นอะไรที่จะเอาเนคไทมาผูกไว้ที่คอ
แต่ใครจะไปคิดว่าคนแรกที่ได้เจอของวันดันเป็นรุ่นพี่ของตัวเองซะได้
พี่แทฮยองสบตากับผมที่ยืนรออยู่เล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ
มือเรียวที่วันนี้ไม่ได้ใส่แหวนแต่ยังคงมีสร้อยข้อมือยกขึ้นมาจับๆบริเวณปกเสื้อของผม
ดวงตาของเขาไล่มองไปตามเสื้อเชิ้ตสีขาวบนตัวของผมที่ปลายของมันไม่ได้ถูกยัดใส่เข้าไปในกางเกง
“บอกทำไมล่ะ ตั้งแต่เรียนมาพี่ก็ไม่เคยแต่งตัวถูกระเบียบตามที่เขาบอกหรอก”
ผมควรจะรู้สึกโล่งอกที่ตัวเองรอดหรือควรรู้สึกทึ่งกับความเป็นพี่แทฮยองดี
ในจังหวะที่ผมอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน
คนตรงหน้าก็ถือโอกาสฉวยแฟ้มที่บรรจุชีทเรียนไปถือไว้ในมือ ผมมองการกระทำของเขาด้วยแววตาสงสัยก่อนจะชะงักเมื่ออีกฝ่ายเอาแฟ้มแตะลงมาบนหัวของผมเบาๆ
“ไปทานข้าวกัน”
“อ่า...ครับๆ”
ผมเดินตามพี่แทฮยองเข้าไปด้านในโรงอาหารที่มีคนนั่งอยู่พอประมาณ
เราสองคนหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณร้านค้าซึ่งมีของน่ากินเต็มไปหมด
ผมกวาดสายตาไล่มองด้วยความลังเล วันนี้ผมไม่ได้มีร้านที่อยากกินเป็นพิเศษด้วยสิ
ยากล่ะ เรื่องกินน่ะยากที่สุดแล้ว
“กินอะไรดี...”
ผมบ่นพึมพำออกมาก่อนที่จะต้องรีบหันไปมองด้านข้างเมื่อจู่ๆก็มีน้ำหนักแขนวางลงมาที่บ่าของผม
พี่แทฮยองที่ก่อนหน้านี้ยืนห่างจากผมพอสมควรขยับเข้ามาใกล้จนไหล่และหลังของผมชนกับตัวเขา
ด-เดี๋ยวสิ พี่กอดคอผมทำไม
ผมสบตากับพี่แทฮยองด้วยแววตาตั้งคำถาม
จะเอาแขนพี่เขาออกจากไหล่ก็กลัวว่าจะดูเป็นการเสียมารยาท
แต่ผมที่ไม่ค่อยโดนใครสกินชิปบ่อยนักก็ค่อนข้างไม่ชินกับอะไรแบบนี้จนแอบรู้สึกอึดอัด
“อยากกินสุกี้ไก่”
“ร้านนู้นมีขายครับ”
ผมตอบพลางบุ้ยปากไปยังร้านเกือบริมสุด
ผมพยายามขยับตัวออกห่างจากคนที่ถือโอกาสมากอดคอผมเอาไว้อย่างแนบเนียนที่สุด
แต่ในจังหวะที่ผมจะทำสำเร็จ
แขนที่วางอยู่บนบ่าก็ขยับดึงให้ผมกลับเข้าไปใกล้ยิ่งกว่าเดิม ผมเบิกตากว้างด้วยท่าทีเลิ่กลั่ก
ให้ตายสิ ผมแค่ไม่อยากแตะต้องตัวกับพี่เข้าใจบ้างมั้ย
ปล่อยผมออกไปโว้ยยยย
“แล้วเราจะกินอะไร”
“ผมยังตัดสินใจไม่ได้เลย”
“สุกี้สิ กินด้วยกัน”
“ต-แต่...”
“นะๆ”
พี่ปล่อยผมก่อนได้มั้ยเล่า!!! ผมทำตัวไม่ถูกแล้วนะ!
ผมเม้มริมฝีปากอย่างอึดอัดเมื่อแขนของเขายังคงกอดคอผมเอาไว้แน่น
ลำพังแค่พี่แทฮยองเข้ามาอยู่ใกล้ๆในลักษณะที่ไม่ได้แตะตัว ผมก็สติหลุดทำตัวไม่ถูกอยู่แล้ว
ยิ่งมากอดคอกันแบบนี้
ผมยิ่งทำตัวไม่ถูกเข้าไปใหญ่ ถึงตอนนี้จะเริ่มไม่กลัวการพูดคุยกับเขาแล้วแต่ก็ใช่ว่าผมจะโอเคหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ
“โอเค ผมจะทานด้วย
แต่ช่วย...ช่วยพี่เอาแขนออกก่อนได้มั้ย”
“ไม่ชอบเหรอ?”
“ก็...มันหนัก”
ผมเลี่ยงตอบโดยสร้างเหตุผลปลอมๆออกไปเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายจิตใจของอีกฝ่าย
พี่แทฮยองเอียงใบหน้ามองผมเล็กน้อยก่อนจะขยับนิ้วมาแตะใต้คางของผมและผละตัวออกห่าง
“แต่พี่ชอบนะ ตัวเราหอมดี”
“พี่!”
“ก็บอกแล้วไงว่าจะรอดม”
ผมได้แต่กัดฟันจ้องคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่พอใจ
ซึ่งก็เป็นเวรกรรมอะไรของผมไม่รู้ที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีจะสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อย
แถมยังส่งยิ้มหล่อจนคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องหันมอง พี่แทฮยองจัดการดันผมให้เดินไปยังร้านขายสุกี้ด้วยกันและสั่งอาหารจ่ายเงินให้เสร็จสรรพ
“พี่ เดี๋ยวผมคืนเงินนะ”
ผมเอ่ยขึ้นเมื่อได้รับจานสุกี้ไก่แห้งมาไว้ในมือแล้ว
ผมสูดกลิ่นหอมๆของอาหารเข้าจมูกก่อนจะเงยหน้าหันไปมองพี่แทฮยองที่สั่งสุกี้ไก่น้ำทาน
“ไม่ต้องคืนหรอก”
“ไม่ได้สิ”
“ตัวเราแค่นี้เอง พี่เลี้ยงไหว”
หือ?
ผมถึงกับขมวดคิ้วใส่คนที่สูงกว่าตัวเองเพียงไม่กี่เซนติเมตร
ถ้าให้พูดตามตรงพี่แทฮยองตัวสูงกว่าผมแค่หน่อยเดียวเองนะ
แต่ไม่รู้ทำไมเวลาอยู่ใกล้ๆพี่เขา ผมมักชอบรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กลง
ทั้งๆที่ก็ไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด
“ตัวแค่นี้อะไรล่ะ ผมโตแล้ว”
“ก็เลี้ยงไหวอยู่ดีนั่นแหละ ถือดีๆระวังหก”
“พี่นั่นแหละถือดีๆ”
ผมพูดย้อนใส่อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเขาใช้มือข้างเดียวในการถือถ้วยที่มีน้ำร้อนๆอยู่เกือบล้นขอบ
คนที่ใส่กางเกงนอนลายทางหัวเราะเบาๆและเดินนำผมไปยังโต๊ะว่าง ผมขอบอกตามตรงว่าสภาพการแต่งตัวของพี่แทฮยองตอนนี้เป็นอะไรที่ไม่ควรโผล่มาในมหาลัยแบบสุดๆ
ผมที่ต้องเดินข้างๆพี่เขาก็แอบอายนิดหน่อยเพราะมีแต่คนมอง
เป็นจุดสนใจยิ่งกว่าเดิมอีก
“พี่ไม่อายเหรอ ใส่ชุดนอนมาแบบนี้”
ผมเอ่ยถามหลังจากนั่งลงตรงข้ามอีกฝ่ายแล้ว
คนที่กำลังคนสุกี้น้ำเพื่อลดความร้อนเลื่อนสายตาขึ้นมามองผมเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มมุมปากเหมือนเอ็นดูในคำถามของผม
รู้สึกแปลกชะมัดที่พี่เขายิ้มเสมอเวลาผมเอ่ยปากพูดก่อน
“ไม่อาย แต่ก็แปลกดี
เพราะเป็นครั้งแรกที่ใส่มา”
“วันหลังก็อาบน้ำให้มันเรียบร้อยก่อนสิครับ”
“โฮซอกเคยบอกว่าคนใส่ชุดนอนมักเซ็กซี่”
ผมชะงักมือที่กำลังจะยกช้อนส่งอาหารเข้าปาก
ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นของผมมองไปยังคนตรงหน้าที่วางช้อนส้อมลงและเอามือขึ้นมาเท้าคางตัวเองด้วยท่วงท่าอย่างกับเป็นนายแบบ...
“เป็นไง”
“....”
“เซ็กซี่ปะ?”
ถามเสร็จก็ยักคิ้วข้างขวาขึ้นหนึ่งทีราวกับต้องการยุให้ผมเอ่ยปากตอบคำถามกลับไป
ผมมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกอึ้งก่อนจะกระพริบตาปริบๆเพื่อเรียกสติของตัวเองให้กลับคืนมา
ผมไล่สายตามองอีกฝ่ายอย่างสำรวจ แต่เพราะสายตาของพี่แทฮยองที่จับจ้องมา
ทำให้ผมเกิดอาการทำตัวไม่ถูกจนอยากจะมุดดินหนีไปให้รู้แล้วรู้รอด
ม-มองอะไรนักหนาเล่า?! หน้าคนนะไม่ใช่ยูเอฟโอ
จู่ๆหัวใจของผมก็เกิดอาการคึกคักในแบบที่ตัวผมเองไม่ได้ต้องการในขณะนี้
ผมค่อยๆเลื่อนสายตาจากใบหน้าของพี่แทฮยองไปมองสิ่งรอบตัว ผมหวังเล็กๆว่าอีกฝ่ายจะปล่อยเบลอในสิ่งที่ตัวเองถามและลืมๆไปซะว่าผมจะต้องตอบเขา
แต่ผ่านไปหลายวินาที พี่แทฮยองก็ยังคงนั่งรอคำตอบจากปากของผมอย่างใจจดใจจ่อเหมือนเดิม
“ไม่รีบกินล่ะครับ เดี๋ยวเย็นหมดนะ”
ผมกลั้นใจพูดเบี่ยงประเด็นแล้วก้มหน้าก้มตากินสุกี้แห้งของตัวเองต่อโดยไม่คิดที่จะเงยหน้ากลับขึ้นไปสบตากับพี่แทฮยองอีก
ผมทานสุกี้ต่อไปอีกสองสามคำก็รู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะไม่ขยับตัวทานอาหารต่อเสียที
คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้ากันพลางพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย
อยู่กับพี่แทฮยองนี่เหนื่อยชะมัด
เหนื่อยที่ต้องจัดการกับอาการแปลกๆของตัวเอง
“กินต่อสิครับ”
ผมเอ่ยทั้งๆที่สายตายังคงจับจ้องอยู่กับอาหารในจานที่หายไปเกือบครึ่งแล้ว
ปกติผมไม่ใช่คนกินเร็วมากขนาดนี้ แต่อาจเป็นเพราะตอนนี้อยู่ในสถานการณ์คับขันต่อจิตใจ
ผมจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตายัดวุ้นเส้นใส่ปากโดยที่ไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองกำลังกินเร็วกว่าปกติ
“อยากให้ทานก็ตอบมาก่อนสิว่าเซ็กซี่หรือเปล่า”
“ไม่ตอบครับ”
“แสดงว่าเซ็กซี่”
“ไม่ใช่สักหน่อย!”
“จองกุก เงยหน้าขึ้นก่อน”
“....”
“จองกุก”
ชื่อของผมถูกเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
มันดูนุ่มนวลเสียจนไม่อยากจะเชื่อว่าคำๆนั้นเป็นชื่อของตัวผมเอง
มือที่จับช้อนอยู่กำแน่นขึ้นเล็กน้อย พร้อมๆกับริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันอย่างลืมตัว
ขายาวๆของอีกฝ่ายยังคงเหยียดมาพิงกับขาของผมใต้โต๊ะ
พี่แทฮยองขยับขากระแทกเบาๆเป็นการเร่งให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา
พี่จะให้ผมมองหน้าทั้งๆที่เพิ่งโดนถามด้วยคำถามแบบนั้นเหรอครับ
พี่คงไม่รู้ตัวว่าหน้าตาอย่างพี่จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เสียอาการกันทั้งนั้นแหละ
ผมเอาส้อมจิ้มๆลงไปบนสุกี้ก่อนจะกลั้นใจเลื่อนสายตาขึ้นไปหาพี่แทฮยอง
ใบหน้าแสนมีเสน่ห์ของอีกฝ่ายยังคงมองตรงมาหาผม ริมฝีปากของพี่แทฮยองยกยิ้มขึ้นนิดๆหลังจากที่สบตาผมไปได้สักพัก
“หน้าแดง”
“หะ?”
“เขินเหรอ?”
ถามเสร็จก็ละสายตากลับไปสนใจกินสุกี้น้ำของตัวเองแล้วทิ้งภาระอันหนักอึ้งทางอารมณ์ไว้ให้ผมแต่เพียงผู้เดียว
จู่ๆความรู้สึกร้อนวูบก็ปรากฏขึ้นที่บริเวณคอก่อนจะค่อยๆลามมาถึงใบหน้า
สมองของผมเริ่มคิดสรรหาสิ่งที่น่าจะเป็นสาเหตุของอาการในตอนนี้ และมันก็หนีไม่พ้นคนตรงหน้า
ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองเป็นแบบนี้หนักขึ้นเรื่อยๆเวลาอยู่กับพี่แทฮยอง
มันควรจะเริ่มชินได้แล้วไม่ใช่เหรอ
“พ-เพ้อเจ้อ! ผมไม่ได้เขินสักหน่อย!”
ผมเอ่ยออกไปเสียงดังแถมยังดูลนลานแบบสุดๆ
พี่แทฮยองเลิกคิ้วสูงขึ้นพร้อมกับทำสีหน้าบ่งบอกว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูดปฏิเสธไปเลยสักนิด
“งั้นหน้าแดงเพราะอะไร”
“ก-ก็ผมกินสุกี้!”
....
ตอบอะไรออกไปวะเนี้ยยยยยยย แล้วสุกี้บ้านใครเขาสีแดงกัน
ซอสน่ะมันออกสีแดงๆส้มๆ แต่พอมันมาผสมแล้วมันก็ไม่ได้แดงขนาดนั้นมั้ย
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดทันทีที่รู้ว่าตัวเองพลาด
เสียงหัวเราะเบาๆที่ดังออกมาจากคนตรงข้ามยิ่งทำให้ผมประสาทเสีย พี่แทฮยองวางช้อนลงแล้วเอื้อมมือมาวางแหมะไว้บนหัวของผม
เขาขยับโยกหัวไปมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ผมดูไม่ออกว่าเอ็นดูหรือปลอบใจกันแน่
ฮึ่ย! จะเพราะเอ็นดูหรือปลอบใจที่ผมพูดพลาดมันก็ไม่ดีทั้งนั้นแหละ!!!
อยู่กับพี่ทีไรอารมณ์แปรปรวนน่าหงุดหงิดทุกที!
“อย่าทำหน้าบูดสิ”
“ก็พี่แกล้งผม”
“แย่จัง ไม่ดีเลยเนอะ”
สัมผัสได้ถึงความจริงใจ 0% และความน่าหมั่นไส้อีก 100%
“ครับ เป็นพี่ที่ไม่ดี
สู้พี่นัมจุนก็ไม่ได้”
“พี่?”
พี่แทฮยองมองผมด้วยท่าทีชะงักไปนิด
เขาดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ในหัวก่อนที่จะรู้สึกตัวและรีบส่งยิ้มจางๆมาให้ ผมมองท่าทาง แปลกๆของเขาแต่ก็ไม่ได้คิดอะไรให้มาก
ผมเลือกที่จะกลับมาตั้งใจกินอาหารเช้าของตัวเองให้หมด เพื่อที่จะให้ทันขึ้นไปนั่งจองที่ก่อนที่คลาสจะเริ่ม
และทุกอย่างก็เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง
ผมกับพี่แทฮยองนั่งทานสุกี้กันไปเงียบๆโดยไม่มีฝ่ายใดพูดอะไรหาเรื่องขึ้นมาอีก ผมเอ่ยปากถามเรื่องงานกลุ่มเล็กน้อย
ซึ่งก็ได้รู้ว่าพี่เขาก็ทยอยทำให้อยู่ อีกเดี๋ยวก็คงเสร็จและส่งงานส่วนของเขามาให้ผมได้
“อย่าลืมตามงานกับอีกสองคนที่อยู่คณะอื่นด้วยล่ะ”
พี่แทฮยองเอ่ยขึ้นหลังจากที่เราเอาจานชามไปเก็บเรียบร้อยแล้ว
ผมถือแฟ้มของตัวเองไว้ในมือและเดินตามพี่แทฮยองไป ผมตั้งใจที่จะเดินไปส่งเขาที่รถก่อนที่จะเดินไปหาจีมินที่คณะ
“ครับ ผมไม่ลืมหรอก
พี่ก็อย่าลืมนะว่ามีควิซสัปดาห์นี้”
คนอายุมากกว่าพยักหน้ารับก่อนจะหยุดเดินและหมุนตัวมาหาผมเมื่อเรามาถึงจุดที่รถจอดอยู่แล้ว
พี่แทฮยองยกมือขึ้นมาใช้นิ้วเกลี่ยผมด้านหน้าของผมให้เข้าที่ก่อนจะส่งยิ้มและเอ่ยปากถาม
“วันนี้เราเลิกกี่โมง”
“เลิกเที่ยงครับ แต่ตอนบ่ายต้องไปซื้อของกับเพื่อนต่อ”
“อืม...งั้นมีอะไรก็ไลน์มานะ”
“ผมไม่มีอะไรต้องไลน์หาพี่หรอก รีบกลับไปอาบน้ำเถอะครับ
จะได้มาเรียนทัน”
ผมตอบและยกมือขึ้นดันให้อีกฝ่ายเดินไปที่รถ
พี่แทฮยองยกยิ้มหัวเราะตามสไตล์ของเขาก่อนจะยอมเดินไปที่รถแต่โดยดี ผมยืนมองพี่แทฮยองอยู่ตรงฟุตบาท
จะว่าไปการที่พี่เขาใส่ชุดนอนมามหาลัยมันก็ไม่ได้อยู่แย่อะไร
อาจจะเพราะเป็นพี่แทฮยองด้วยล่ะมั้ง
“จองกุก”
ผมเลิกคิ้วสูงขึ้นเมื่อคนที่เพิ่งเปิดประตูรถฝั่งคนขับเอ่ยเรียกชื่อผม
พี่แทฮยองยกแขนขึ้นวางบนกรอบประตูรถและมองตรงมาทางนี้...
“ยิ้มให้ดูหน่อย”
....
ยิ้ม?
ทำไมต้องให้ผมยิ้มด้วยล่ะ
ผมยืนเอ๋ออยู่ที่เดิมเพราะไม่เข้าใจในคำร้องขอของอีกฝ่าย
สมองน้อยๆเริ่มประมวลหาสาเหตุที่คำขอนั้นถูกเอ่ยออกมา แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก
แถมตัวผมเองก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะปฏิเสธเขาด้วย
สุดท้ายก็ต้องยอมทำตามที่พี่เขาบอก
ผมค่อยๆขยับริมฝีปากยิ้มทั้งๆที่ในหัวยังมีความสับสนงุนงงหลงเหลืออยู่
แต่การยิ้มโดยตั้งใจมันดูจะยากเกินไปสำหรับคนมนุษย์สัมพันธ์ต่ำอย่างผม สุดท้ายรอยยิ้มที่ได้ก็ดูแหยงๆเหมือนไม่ได้ต้องการจะยิ้มเท่าไหร่
พี่แทฮยองส่ายหัวปฏิเสธรอยยิ้มอันไม่ได้เรื่องของผม
เขายกนิ้วชี้ทั้งสองข้างขึ้นก่อนจะขยับมันตามริมฝีปากของตัวเองที่เผยยิ้มหวานเป็นตัวอย่างส่งมาให้
ถึงจะงงๆแต่ผมก็พอเข้าใจว่าพี่เขาต้องการให้ผมยิ้มดูดีกว่านี้ พอส่งยิ้มตัวอย่างเสร็จ
คนอายุมากกว่าก็รีบหุบยิ้มและสงสายตาแกมบังคับมาแทน ท่าทางของพี่แทฮยองดูตลกเสียจนผมอยากจะขำออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
อะไรจะอยากเห็นรอยยิ้มของผมขนาดนั้นครับ
พี่ควรรีบกลับไปอาบน้ำมั้ย
ผมค่อยๆขยับมุมปากยกขึ้นเพราะเริ่มกลั้นขำในสิ่งที่ตัวเองเห็นไว้ไม่อยู่
สุดท้ายก็เลยกลายเป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ได้ตั้งใจเผยออกมา ผมยกมือขึ้นมาเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะเลื่อนสายตากลับขึ้นไปสบตากับพี่แทฮยอง
เขามองหน้าผมสักพักก่อนที่แววตาจะอ่อนลงและมีรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนใบหน้า...
“ตั้งใจเรียนนะ”
“....”
“ขอบคุณที่ยิ้มให้ มีแรงขึ้นมาเลยว่ะ”
พี่แทฮยองยิ้มกว้างขึ้นพร้อมกับย่นจมูกด้วยท่าทีที่โคตรมีความสุข
ผมมองท่าทางของเขาก่อนจะรีบเลื่อนสายตาไปมองทางอื่นเพราะดันรู้สึกแปลกๆขึ้นมาเสียก่อน
บอกให้คนอื่นยิ้มให้ ทั้งๆที่ตัวเองมีรอยยิ้มที่โคตรสดใสอยู่แล้วเนี้ยนะ
“พี่ก็...”
“....”
“ตั้งใจเรียนนะครับ”
“แล้วมึงจะไปไหนต่อปะ?”
ผมหันไปมองตามเสียงของเพื่อนร่วมสาขาที่พากันมาซื้อของสำหรับทำงานกิจกรรมด้วยกัน
พวกหน้าที่หาของกับทำพร็อพมักเป็นหน้าที่ของผมมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยม ก็คนมันไม่ได้กล้าแสดงออกถึงขนาดที่จะไปเป็นตัวตั้งตัวตีทำนู้นทำนี้
ช่วยอะไรเขาได้ก็ช่วยไว้ก่อนแหละเนอะ
“ว่าจะไปซื้อของเข้าหอนิดหน่อย”
“งั้นเดี๋ยวกูเอาของกลับไปที่มอก่อนแล้วกัน
มึงหาของแล้วกลับหอเลยก็ได้ พวกมันยังไม่เริ่มทำวันนี้หรอก”
“อ่า...งั้นก็ได้ กลับดีๆ”
“บาย”
ผมโบกมือน้อยๆลาเพื่อนที่หิ้วพวกกระดาษสีและอุปกรณ์ต่างๆกลับไปยังรถที่มันขับมาจอดไว้ในซอย
ตอนนี้ผมอยู่ที่ตลาดใกล้ๆกับมหาลัยที่ถึงแม้ตลาดจะวายไปนานแล้ว
แต่ก็ยังคงมีร้านต่างๆเปิดขายของอยู่ตามซอย พวกรุ่นพี่แนะนำให้เรามาซื้ออุปกรณ์ทำงานที่นี่เพราะมีราคาถูกกว่าร้านทั่วไป
ซึ่งผมกับเพื่อนก็พร้อมใจกันมาซื้อของตามรายการที่ได้รับมา
ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร รีบซื้อของอย่างอื่นแล้วกลับหอไปนอนดีกว่า
ผมเริ่มออกเดินอีกครั้งโดยมีเป้าหมายคือการหาซื้อน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นใหม่ที่เพิ่งออกวางขายเมื่อไม่นานมานี้
ผมชอบให้สิ่งรอบๆตัวมีกลิ่นหอมและค่อนข้างซีเรียสหากในห้องมีกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น
ทำให้ผมเป็นคนชอบทำความสะอาดไปโดนปริยาย
ผมเดินหาตามร้านขายของทั่วไปแต่ก็ไม่มีร้านไหนที่วางขายกลิ่นใหม่เลย
ไอ้เรามันก็ไม่ได้อยากแบกร่างไปซื้อที่ห้างไง ผมถอนหายใจอย่างเสียดายก่อนที่สุดท้ายจะตัดสินใจเดินออกจากร้านขายของชำเพื่อเดินออกจากซอยไปยังริมถนนใหญ่
ผมเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆสีดำลอยมารวมตัวกันอยู่สักพักใหญ่แล้ว
บรรยากาศมันมืดครึ้มเสียจนผมอยากรีบเปิดว๊าบกลับห้อง
เพราะถ้าตกขึ้นมาผมคงติดฝนจนไปไหนไม่ได้แน่ๆ แต่ไม่ทันที่ผมจะได้ออกตัวรีบเดิน น้ำหยดเล็กๆก็ทิ้งตัวลงแหมะที่กลางหัว
แย่ละ ฝนตกเหรอวะ ผมไม่ได้พกร่มมานะโว๊ย!
เร็วกว่าความคิด ขาของผมเริ่มออกตัววิ่งตรงไปยังฟุตบาทริมถนนใหญ่ทันที
อย่างน้อยก็ขออยู่ที่ป้ายรถเมล์ละกัน ถ้ามีรถมาจะได้รีบนั่งกลับหอ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะวิ่งไปถึงป้ายรถเมล์
ฝนเม็ดใหญ่ๆก็พากันเทตกลงมาจากฟ้าอย่างไร้ความปราณี
ให้ตายเหอะ เปียกไปหมดแล้ว
ผมรีบถอดแว่นออกมาเช็ดทันทีที่เข้ามาหลบฝนใต้ป้ายรถเมล์สำเร็จ
อย่าพูดถึงเสื้อผ้าครับ มันเปียกพอสมควรเลย ผมใส่แว่นกลับเข้าไปเหมือนเดิมก่อนจะมองออกไปด้านนอก
ลมก็แรง ฝนก็ตกหนัก พายุเข้ากะทันหันหรือไงวะ
คนเริ่มเข้ามาหลบในนี้กันมากขึ้น
ผมจึงต้องขยับตัวไปยืนริมๆเพื่อให้ผู้หญิงยืนด้านใน ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อคิดว่าไม่น่าจะได้กลับหอง่ายๆ
ทุกอย่างรอบตัวดูวุ่นวายเสียจนผมอยากหลบหายไปในท่อ
ผมยืนเหม่อออกไปข้างนอกพักใหญ่พลางภาวนาให้ฝนที่ไม่มีท่าทีจะหยุดสงบลงเสียที
ผมคิดนู้นคิดนี้ไปเรื่อยก่อนจะสะดุ้งเมื่อโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงสั่น ผมรีบหยิบขึ้นมาเปิดดูก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่ส่งไลน์มา
Taehyung : กลับหอยัง?
ท่าทางจะเรียนเสร็จแล้ว
ผมคิดในใจก่อนจะขยับนิ้วกดหน้าจอพิมพ์ตอบอีกฝ่ายไปตามความเคยชินที่เกิดขึ้นในช่วงนี้
KooKookie : ยังครับ
KooKookie : ผมคุยด้วยไม่ได้นะพี่ ติดฝนอยู่ ไม่อยากใช้โทรศัพท์
ทันทีที่กดส่ง ข้อความก็ขึ้นว่าอ่านแล้วราวกับอีกฝ่ายเปิดหน้าจอไว้รอคำตอบ
ผมจะจัดการปิดโทรศัพท์เก็บกลับลงกระเป๋ากางเกงแล้ว ถ้าหน้าจอไม่ได้แสดงสายเรียกเข้าจากใครบางคนขึ้นมาเสียก่อน
...ก็บอกว่าไม่อยากใช้โทรศัพท์ไง
ยังจะโทรมาอีก...
“พี่ ผมไม่อยากคุย...”
[ ตอนนี้อยู่ไหน ]
ผมชะงักไปนิดเมื่อปลายสายเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นกว่าปกติ
เสียงที่ดังแทรกเข้ามาทำให้ผมพอจะเดาออกว่าพี่แทฮยองน่าจะเพิ่งเลิกเรียนจริงๆ
“อยู่ป้ายรถเมล์แถวตลาดครับ กำลังหาทางกลับหอ”
[
ตลาดมันอยู่คนละฝั่งคนละทางกับหอเราเลยไม่ใช่เหรอ ]
“....”
[
ติดฝนอยู่ใช่มั้ย? ]
“ครับ...”
[
รออยู่ตรงนั้น เดี๋ยวพี่ไปรับ ]
“แต่...”
ยังไม่ทันที่ผมจะได้ปฏิเสธ สายก็ถูกตัดไปอย่างรวดเร็ว
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่พลางมองไปข้างนอกที่ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆแถมยังสาดเข้ามาทำเอาผมเปียกไปทั้งตัว
ไปไหนไม่ได้
ยังไงก็ต้องอยู่ตรงนี้ตามที่พี่แทฮยองบอกอยู่ดีนั่นแหละ
ผมยกแขนขึ้นมากอดอกอย่างน้อยมันก็ช่วยให้อุ่นขึ้นมานิดนึง ฝนตกหนักกับลมแรงๆเป็นอะไรที่แย่มาก เพราะมันจะหนาวขึ้นเป็นเท่าตัว รู้งี้ไม่อยู่ตามหาน้ำยาปรับผ้านุ่มต่อก็ดีสิ จะได้รีบกลับหอ น่าจะถึงก่อนฝนตกด้วยซ้ำ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่แล้ว
แต่ฝนก็ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องและผมก็พอเดาได้ว่ามันน่าจะตกยาวไปถึงช่วงค่ำแน่ๆ
ยังดีหน่อยที่ถนนแถวนี้ไม่ติดมากนักแต่ก็ไม่ได้วิ่งปร๋อเหมือนในเวลาปกติ ดวงตาของผมเริ่มรู้สึกหนักอึ้งด้วยเหตุที่เสียงฝนตกมันดังเกินไปบวกกับการนอนไม่ค่อยพอจากเมื่อคืน
โอ๊ย อยากกลับห้องนอนชะมัด
....
ปี๊น!
เฮือก!!!
ผมสะดุ้งทันทีที่มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้น
ผมรีบมองไปยังจุดที่น่าจะเป็นต้นเหตุของเสียงก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อกระจกรถที่ติดฟิล์มดำสนิททั้งคันค่อยๆเลื่อนลงมาจนสามารถเห็นคนที่อยู่ด้านใน...
...พี่แทฮยอง...
ทันทีที่รู้ว่าเป็นรถของใคร ผมก็รีบก้าวขาออกไปนอกป้ายรถเมล์และเปิดประตูขึ้นรถด้วยความรวดเร็ว
ไม่ไหวแล้ว หนาวฉิบหายเลย อยากออกไปจากตรงนี้เร็วๆ
“สวัสดีครับ”
“ให้ตายเถอะจองกุก ทำไมเปียกงี้วะ”
พี่แทฮยองที่ปิดกระจกรถและเคลื่อนรถออกมาจากจุดนั้นเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเครียดๆ
เขารีบปรับแอร์ให้รถทั้งคันอุ่นขึ้นก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบเสื้อกันหนาวที่เบาะหลังมาวางลงบนตักของผม
“ด-เดี๋ยวค่อยคุยได้มั้ย”
หนาวจนปากแข็งไปหมดแล้ว
ผมเม้มริมฝีปากแน่นพยายามไม่ให้ฟันกระทบกันมากเกินไป
ผมกางเสื้อคลุมสีเขียวเข้มของพี่แทฮยองมาคลุมตัว
พยายามให้มันไม่แนบกับตัวมาจนเกินไปเพราะผมก็ไม่ได้อยากให้เสื้อของพี่เขาเปียก
พี่แทฮยองที่อยู่ในชุดนิสิตสะอาดตาแตกต่างจากเมื่อเช้าหันมามองผมเป็นระยะๆก่อนจะถอนหายใจแล้วเอื้อมมือมาจับเสื้อกันหนาวของเขาให้ซุกเข้ามาหาตัวผมยิ่งกว่าเดิม
“ใส่ไปเลยไม่ต้องกลัวเปียก
หนาวจะตายห่าอยู่แล้วยังจะมาเกรงใจ”
“ก็มัน...”
“ใส่เดี๋ยวนี้จองกุก พี่ไม่พูดซ้ำ”
สุดท้ายผมก็ทนสายตาโคตรดุของอีกฝ่ายไม่ได้เลยจำใจจับเสื้อกันหนาวที่ดูมีราคาใส่ให้เรียบร้อย
ซึ่งผลก็คืออุ่นขึ้นทันตาเห็น ผมเริ่มโฟกัสมองไปด้านนอกรถและก็พบว่าฝนมันตกหนักมากจริงๆ
หนักชนิดที่พี่แทฮยองก็ต้องค่อยๆขับคลานไปเพื่อความปลอดภัย
ผมหันไปมองคนข้างๆก่อนจะพบว่าพี่เขามีสีหน้าเครียดพอตัว
“หนาวมากมั้ย?”
พี่แทฮยองเอ่ยถามและหันมาทันทีที่รถจอดติดไฟแดง
ผมส่งยิ้มเจื่อนๆให้เขาเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ ถึงจะไม่หนาวเท่าก่อนหน้านี้แต่มันก็ยังหนาวมากอยู่ดี
มือเรียวถูกยื่นเข้ามาทาบที่หน้าผากของผมอย่างแผ่วเบา
ตอนแรกผมก็จะผงะหน้าออกอยู่หรอก แต่ความอบอุ่นจากผ่ามือของพี่เขาทำให้ผมชะงัก
“...มือพี่อุ่นจัง...”
ผมเผลอพูดออกไปเบาๆ ซึ่งสิ่งที่ได้รับต่อมาก็คือการที่มืออุ่นๆเคลื่อนลงไปแตะที่ข้างแก้มและเลื่อนลงไปที่คอ...
“อย่าเพิ่งหลับนะ โอเคมั้ย?”
“อื้ม”
ผมพยักหน้ารับแม้จะรู้สึกหนักไปทั้งตัวก็ตาม
พี่แทฮยองละมือกลับไปขับรถต่อ ผมมองออกไปตามข้างทางก่อนจะเริ่มเกิดความสงสัยเมื่อรถไม่ได้ไปอยู่ในเลนสำหรับกลับรถ
“พี่...”
“ไปคอนโดพี่ก่อน
ฝนหยุดแล้วค่อยว่ากัน”
ติ๊ด!
ประตูห้องถูกเปิดออกด้วยคีย์การ์ดสีดำสนิท
พี่แทฮยองเดินนำเข้าไปก่อนจะดึงตัวผมที่ยืนสั่นเป็นลูกนกให้เข้าไปด้านในห้องและปิดประตู
“ถอดรองเท้าเร็ว”
ผมรีบถอดรองเท้าออกตามที่พี่แทฮยองบอกก่อนจะถูกคว้าข้อมือให้เดินตามเขาเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ผมไม่รู้ว่าถูกพาเดินมาทางไหน รู้ตัวอีกทีตัวเองก็มาอยู่ในห้องน้ำแล้ว ผมมองสำรวจไปรอบๆก่อนจะพบว่ามันเป็นห้องน้ำที่กว้างและสะอาดพอตัว
ไม่สิ สะอาดมากๆเลยแหละ
“อาบน้ำซะ เดี๋ยวพี่ส่งซักชุดเราให้
ส่วนชุดที่จะเปลี่ยนก็หยิบจากในตู้ได้เลย ใส่ตัวไหนก็ได้พี่ไม่หวง ห้องเสื้อผ้าเดินต่อเข้าไปทางนู้นนะ”
ผมหันไปมองตามนิ้วของคนตรงหน้าก็พบกับกรอบประตูใสที่เชื่อมไปยังห้องที่มีลักษณะเหมือนคลังเสื้อผ้า
ผมพยักหน้าขึ้นลงช้าๆเพราะกำลังตะลึงกับโครงสร้างห้องแปลกใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเลยในชีวิต
หรู...สัมผัสได้ว่าหรูตั้งแต่เห็นตึกคอนโดแล้ว
พอสั่งทุกอย่างและเอาผ้าเช็ดตัวให้แล้ว
พี่แทฮยองก็เดินออกไปจากห้องน้ำโดยที่ไม่ลืมกำชับว่าให้สระผมให้เรียบร้อย
ผมที่ยังเบลอๆกับอาการหนาวจากการตากฝนก็พยักหน้ารับไปแบบงงๆ
ผมรีบเข้าไปอาบน้ำสระผมเพราะรู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสภาพที่แย่พอตัว
และด้วยความที่ไม่ใช่ห้องของตัวเอง ผมจึงลังเลเล็กน้อยที่จะหยิบนู้นหยิบนี้ใช้
แต่ผมขอยอมรับเลยว่าเซ้นส์การเลือกกลิ่นสบู่ของพี่แทฮยองดีใช้ได้
ผมใช้เวลาไม่นานนักก็อาบน้ำเสร็จและจัดการเลือกเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงบอลที่ดูธรรมดาที่สุดในตู้ออกมาใส่
ผมแอบตะลึงเล็กน้อยกับเสื้อผ้ามากมายที่พี่เขามี
แต่ก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่เพราะพี่แทฮยองก็ดูเป็นคนให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้าอยู่แล้ว
“พี่แทฮยอง”
ผมเอ่ยเรียกชื่อเจ้าของห้องเบาๆเมื่อออกจากห้องน้ำมาเจอกับเตียงนอนสีขาวนุ่มน่านอน
ห้องถูกตกแต่งด้วยสีน้ำตาลเอิร์ธโทนค่อนไปทางขาว
ผมมองไปรอบๆอย่างสำรวจก่อนจะสะดุ้งเมื่อเจ้าของชื่อที่ผมเพิ่งเรียกเดินผ่านประตูห้องนอนเข้ามาหา
ดวงตาสีดำสนิทมองผมด้วยแววตาแปลกๆก่อนจะก้าวเข้ามาหยิบผ้าเช็ดหัวที่ผมพาดไว้ที่คอไปกางออกและทำการวางแหมะลงบนหัวของผม
มือเรียวจัดการขยับผ้าให้ถูไปมากับเส้นผม ผมก้มลงมองปลายเท้าของตัวเองที่อยู่ห่างจากปลายเท้าของอีกฝ่ายไม่เท่าไหร่ด้วยความรู้สึกตื่นเต้นแปลกๆ
ครั้งแรกเลยที่มีคนเช็ดหัวให้นอกจากแม่
ผมโดนพี่แทฮยองเช็ดหัวให้นานพอที่เส้นผมจะเริ่มแห้ง
เขาชะลอความเร็วลงก่อนจะเลื่อนมือมาทาบที่แก้มทั้งสองข้างและออกแรงจับผมที่ก้มมองพื้นอยู่ให้เงยหน้าขึ้นไปสบตากับเขา
“ไดร์เป่าผมอยู่ตรงตู้นั้นนะ พี่ขอเคลียร์งานแป๊บนึง
เป่าเสร็จก็เดินออกไปหาพี่ข้างนอก โอเคมั้ย”
“อ่า...ครับ”
พี่แทฮยองผละออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนมีเรื่องด่วนที่จำเป็นต้องทำ
ผมยืนเอ๋อนิดๆแต่ก็หาไดร์เป่าผมเจอและจัดการใช้มันให้เป็นประโยชน์
พอผมแห้งสนิทดีผมก็เดินออกไปด้านนอกห้องที่ตอนเข้ามาผมไม่ได้มีจังหวะสังเกตอะไรเท่าไหร่
ให้ตาย
โคตรใหญ่เลย แน่ใจใช่มั้ยว่านี่คือคอนโด
ผมเดินออกมาด้วยความรู้สึกตื่นตะลึงเพราะเพดานห้องรับแขกสูงมากแถมข้างๆยังมีบันไดสำหรับเดินขึ้นไปที่ชั้นสองอีก
ผมมองสำรวจไปเรื่อยๆก่อนที่สายตาจะไปหยุดอยู่ที่พี่แทฮยอง เขากำลังนั่งจ้องโน้ตบุ๊คอยู่ที่โซฟาตรงกลางห้อง
พอผมเดินเข้าไปใกล้ เขาก็ละสายตาจากหน้าจอและเงยหน้ามาส่งยิ้มให้ผม
“สบายตัวขึ้นมั้ย”
“โอเคแล้วครับ ขอบคุณที่มารับผมนะ”
“เราต้องกินยาแก้หวัดกันไว้ก่อน
เดี๋ยวป่วยขึ้นมาจะยุ่งเอา”
พี่แทฮยองบอกพลางเลื่อนแผงยาที่วางอยู่บนโต๊ะมาทางนี้
ผมมองยาด้วยใบหน้าสะอิดสะเอียนแต่ก็ถึงแม้จะไม่อยากทานแค่ไหน ผมก็รู้ดีว่าตัวเองอยู่ในสถานะที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ป่วย
เพราะถ้าป่วยขึ้นมาต้องแย่มากแน่ๆ ใกล้สอบแล้วด้วย คิดได้แบบนั้นผมจึงพยักหน้าตอบรับพี่แทฮยองไปอย่างเข้าใจ
“แต่ผมต้องหาอะไรรองท้องก่อนกินยา ในครัวพอมีอะไรทำกินได้บ้างมั้ยครับ?”
“ก็พอมีอยู่มั้ง
ไม่แน่ใจเรื่องของสดแต่มาม่ามีแน่ๆ”
“งั้นผมขอบุกครัวพี่นะ”
“บุกทั้งห้องพี่ก็ไม่ว่าครับ :)”
มันใช่จังหวะที่ควรพูดแบบนี้ที่ไหนกัน
เฮ้อ
คนอายุมากกว่าผมยกยิ้มแล้วยันตัวลุกขึ้นยืน
เขาจัดการปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คลงและจัดเอกสารวางให้พอเป็นระเบียบ
“งั้นพี่ไปอาบน้ำก่อนนะ ฝนท่าทางจะตกอีกยาว”
พูดจบก็ยกมือขึ้นมาแตะคางผมเบาๆและเดินหายเข้าไปในห้องนอน
ผมมองไปรอบๆห้องอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปในห้องครัว อย่างแรกที่ผมทำก็คือการเปิดตู้เย็นดูว่าพอจะมีของสดอะไรทำได้บ้าง
และสิ่งที่ผมได้พบก็คือความแปลกประหลาดที่ผมไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน
...ทำไม...ทำไมทุกอย่างถึงเขียนวันที่แปะไว้ล่ะ...
ผมมองของในตู้เย็นด้วยความรู้สึกงุนงง
มันเต็มไปด้วยกล่องต่างๆมากมายที่เก็บของกินไว้ข้างใน แต่ที่แปลกคือทุกกล่องมีวันที่เขียนแปะติดเอาไว้
ไหนจะพวกน้ำหรือของกินอื่นๆก็มีวันหมดอายุแปะเอาไว้อย่างชัดเจนทั้งหมด
ผมไม่เคยเห็นใครทำแบบนี้มาก่อน
อย่างน้อยที่บ้านผมก็ไม่ได้ทำแบบนี้แน่ๆ
ผมพยายามมองข้ามความแปลกประหลาดนี้ไปและหาเนื้อสัตว์ที่พอจะมาทำคู่กับมาม่าได้
หลังจากที่ผมยืนพิจารณาของในตู้เย็นอยู่พักใหญ่
ผมก็พอจะสรุปได้ว่าพี่แทฮยองไม่ใช่คนที่จะทำอาหารเอง ของที่อยู่ในกล่องก็น่าจะมีคนทำมาไว้ให้มากกว่า
สุดท้ายผมก็ได้ไส้กรอกกับไข่ไก่ติดไม้ติดมืออกมาวางไว้ตรงโต๊ะทำกับข้าว
ผมหยิบซองมาม่าที่วางเด่นหราอยู่ข้างๆเตามาอ่านฉลากดูให้แน่ใจก่อนจะก้มๆเงยๆหาหม้อมาใส่น้ำและจัดการตั้งเตา
อย่างอื่นในครัวก็ดูปกติดีครับ จะมีก็แต่ของในตู้เย็นนั่นแหละที่ดูผิดปกติที่สุด
“เริ่มทำแล้วเหรอ?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นในจังหวะที่ผมกำลังยกตัวขึ้นไปนั่งบนโต๊ะ
ผมหันไปมองตามเสียงก็เห็นพี่แทฮยองเดินเช็ดหัวเข้ามาในโซนห้องครัว
พี่เขาใส่เสื้อยืดสีดำกับกางเกงนอนขายาว สภาพเหมือนตอนเจอกันช่วงเช้าไม่มีผิด จะมีก็แต่ลายกางเกงที่ทำให้รู้ว่าเป็นคนละชุดกัน
“จะอร่อยมั้ยเนี้ย”
“ผมทำมาม่าอร่อยนะพี่”
ผมแอบอวดในความสามารถของตัวเอง
พี่แทฮยองยกยิ้มมุมปากก่อนจะเอาผ้าเช็ดผมพาดคอเดินไปเปิดตู้เย็น
พี่เขายืนมองไปมองมาสักพักก่อนจะหยิบกระป๋องน้ำอัดลมออกมาเปิดแล้วยกดื่ม
“งานเยอะเหรอครับ?”
ผมเอ่ยถามเพราะเห็นว่าก่อนหน้านี้เขาดูยุ่งๆ
พี่แทฮยองหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้ารับ
“ก็พอตัว แต่ยังอยู่ในจุดที่รับไหว”
“ถ้าเยอะมาก งานกลุ่มส่งให้ผมช้าหน่อยก็ได้นะพี่”
“ไม่มีปัญหาหรอก ทำทันอยู่แล้ว”
พี่แทฮยองส่งยิ้มจางๆมาให้ก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ใกล้ๆแล้วหันหลังยืนพิงกับขอบโต๊ะที่ผมกำลังนั่งอยู่
“แล้ว...ห้องนี้พี่ตกแต่งเองเหรอ?”
“อืม แต่งเอง”
“ดูสบายตาดีครับ”
“อยากแต่งให้มันดูไม่เยอะ
กลับมาเหนื่อยๆจะได้รู้สึกสบาย”
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะสภาพห้องมันก็ทำให้รู้สึกสบายจริงๆนั่นแหละ
โล่งๆกว้างๆ ไม่ค่อยมีอะไรรกหูรกตา
แอบอิจฉานิดๆนะเนี้ยที่พี่เขาได้อยู่ในที่ที่สภาพแวดล้อมเหมาะกับการพักผ่อนขนาดนี้
“พูดเยอะจังนะ
ตื่นเต้นหรือไงได้มาห้องคนอื่น”
“ก็นิดนึง”
ผมตอบและหลุดขำออกมา
ผมจะไม่ตื่นเต้นหรอกถ้าคอนโดของพี่แทฮยองเป็นคอนโดปกติทั่วไป แต่นี่มันไม่ใช่ไง
ผมไม่ค่อยได้สัมผัสอะไรแบบนี้สักเท่าไหร่ เพราะตั้งแต่เกิดก็อยู่แต่บ้านเป็นหลังมาตลอด
“สบู่อาบน้ำพี่ก็โคตรหอมเลยอะ ผมชอบ”
ผมเอ่ยถึงสิ่งที่ตัวเองประทับใจมากที่สุด
นี่ขนาดอาบน้ำเสร็จมาสักพักใหญ่แล้วนะ กลิ่นหอมยังลอยฟุ้งอยู่เต็มตัวไปหมด
ซึ่งกลิ่นหอมๆที่ผมชอบก็ลอยออกมาจากคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเช่นเดียวกัน
“เหรอ”
พี่แทฮยองตอบแค่นั้นโดยที่ไม่แม้แต่จะหันมามองผม
ปฏิกิริยาของเขาทำให้ผมแปลกใจจนต้องเลื่อนสายตาไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างที่ยังคงดูดีอยู่ไม่เสมอไม่ว่าจะมองจากมุมไหน
ผมขยับมือเข้าไปจับผ้าเช็ดผมให้เข้าไปชิดกับคอของพี่เขามากกว่าเดิมเพราะน้ำจากเส้นผมที่ไม่แห้งสนิทดีกำลังหยดจนไปเปียกเสื้อยืดของเขา
“พี่ไม่คิดว่ามันหอมเหรอ
ผมว่ามันหอมมากๆเลยนะ”
“ก็ไม่รู้สิ”
“หอมจริงๆนะ พี่ลองดม...”
....
...พี่ลองดมกลิ่นบนตัวพี่ดูสิ...
คำพูดที่ผมต้องการสื่อลอยหายและสลายไปในอากาศทันทีที่อีกฝ่ายวางกระป๋องน้ำอัดลมลงและพลิกตัวหันมาหาผม
ผมเบิกตากว้างเมื่อใบหน้าที่ผมเพิ่งรู้สึกชื่นชมไปเมื่อสักครู่ลอยเด่นอยู่ในระยะที่ใกล้กว่าปกติ
ดวงตาคมสบตากับผมก่อนที่จะขยับแขนทั้งสองข้างมากักกั้นไว้ไม่ให้หนีไปทางซ้ายหรือขวา
นิ้วเรียวยาวของเขาทับลงมาบนนิ้วมือของผมที่ยันโต๊ะไว้เล็กน้อย
“พ-พี่...”
ผมเค้นเสียงที่หลุดลอยหายไปให้กลับมาอีกครั้งพร้อมกับค่อยๆเอนตัวไปด้านหลังเพื่อสร้างระยะห่าง
แต่แล้วลมหายใจก็ต้องสะดุดเมื่อพี่แทฮยองขยับแขนเข้ามาจนชิดกับสีข้างของผมและยันพื้นโต๊ะด้านหลังไว้
ทำให้สุดท้ายหลังของผมที่พยายามเอนหนีถูกหยุดไว้โดยช่วงแขนของเขา
ผมรีบเลื่อนแววตาตื่นตระหนกขึ้นไปมองหน้าอีกฝ่ายซึ่งมันก็ทำให้ผมยิ่งทำตัวไม่ถูก
หัวใจของผมทำงานหนักขึ้นมาอย่างกระทันหัน ความรู้สึกชาวูบวาบแปลกๆก็ปรากฏอยู่ตรงบริเวณช่องท้อง
ผมลอบกลืนน้ำลายลงคอด้วยความประหม่าที่สุดในชีวิต
แปลก
ผมไม่ได้รู้สึกอึดอัด
แต่มันกลับรู้สึก...
“จองกุก”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่แหบกว่าปกติเล็กน้อยเรียกสติแตกกระเจิงของผมให้ไปกองอยู่ที่ตัวเขาอีกครั้ง
ผมรวบรวมความกล้าและใช้แววตาสั่นๆจ้องเข้าไปในตาของอีกฝ่าย
แววตาของพี่แทฮยองดูวูบไหว เหมือนเขามีอะไรในใจมากมายที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ ผมไม่ได้รู้สึกสงสัยอะไรในจุดนั้นมากนัก
เพราะสิ่งเดียวที่ผมกำลังกังวลในขณะนี้คือระยะห่างที่ค่อยๆหดเล็กลงเรื่อยๆ
มันใกล้...ใกล้จนผมได้กลิ่นสบู่ชัดเจนจากตัวของเขา
“...พี่พยายามอดทนแล้วนะ...”
“....”
“...อดทนมาก...”
“....”
“...มากแล้วจริงๆ...”
น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงหยุดลงก่อนที่ความใกล้ชิดจนน่าใจหายจะเข้าแทรกจนผมเผลอกลั้นลมหายใจของตัวเองไว้
เข่าทั้งสองข้างถูกแทรกด้วยตัวของคนที่กำลังโน้มใบหน้าเข้ามาประชิดช่วงคอ ผมรีบหดคอหนีตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติพร้อมกับมือที่ยกขึ้นเพื่อยันไหล่ของอีกฝ่ายเอาไว้
แต่พี่แทฮยองก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด
มือทั้งสองข้างของผมถูกจับรวบไปไว้ด้านหลังพร้อมกับมือข้างซ้ายของเขาที่จับข้อมือของผมล็อคเอาไว้แน่น
ในจังหวะที่ผมตกใจอยู่นั่นเองทำให้การระวังตัวลดน้อยลง
สุดท้ายพี่แทฮยองก็สามารถโน้มใบหน้าลงมาประชิดคอของผมได้สำเร็จ...
“พี่...!!!”
“ช่วยอยู่นิ่งๆสัก 1 นาทีได้มั้ย”
“....”
“ขอแค่...1 นาที”
เสียงกระซิบที่ดังอยู่ชิดใบหูทำให้ร่างทั้งร่างของผมชะงักค้าง
ลมร้อนๆที่กระทบลงบนผิวก็เหมือนยาชาชั้นดีที่ทำให้ผมไม่กล้าที่จะขยับตัว...
สมองทั้งหมดหยุดทำงาน...เพียงเพราะน้ำเสียงของเขา...
ผมปิดตาแน่นเมื่อลมหายใจอุ่นค่อยๆขยับเคลื่อนจากใบหูลงไปยังซอกคออีกครั้ง
ผมไม่รู้ว่าการที่ตัวเองเลือกที่จะหลับตาหนีจะเป็นทางเลือกที่ดีหรือไม่
แต่ที่แน่ๆมันทำให้ผมรู้สึกหน่วงในช่องท้องยิ่งกว่าเดิม ...ทุกอย่างมันดูชัดเจน
แม้ผมจะเห็นเพียงแค่ความมืด... ผมรู้ว่าร่างของพี่แทฮยองขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจของผมกระทบกับไหล่ของเขาและสะท้อนกลับมา
สัมผัสบริเวณช่วงคอก็ชัดเจนมากขึ้น เขายังคงไม่แตะจมูกลงบนผิวของผม
แต่การที่พี่เขาค่อยๆไล่ดมกลิ่นจากตัวผมไปอย่างช้าๆทำให้ผมรู้สึกสติแตกมากกว่าเดิม
ลมหายใจของผมเริ่มติดขัดอย่างน่าสงสาร
แรงที่กดมือของผมทั้งสองข้างเอาไว้ค่อยๆคลายออกเปลี่ยนเป็นวางทับไว้เฉยๆ
หัวใจของผมเต้นแรงและดังที่สุดเท่าที่ผมได้เคยสังเกตมาทั้งชีวิต
ลมหายใจที่เคยติดขัดกลับกลายเป็นหายใจถี่ขึ้นเมื่อปลายจมูกของอีกฝ่ายเฉียดโดนผิวเป็นระยะ
ผมคิดที่จะเอ่ยปากห้ามแต่เสียงที่เคยมีก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และนั่นทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก...
ผมหนีไม่ได้
ลมหายใจอุ่นร้อนที่เป่ารดวนไปวนมาอยู่ที่บริเวณช่วงคอทำให้ผมรู้สึกตัวลอย
ผมค่อยๆปรือตาขึ้นและสิ่งแรกที่เห็นก็คือช่วงไหล่แข็งแรงกับปลายผมที่ยังคงเปียกชื้น...
จริงสิ พี่เขายังไม่ได้เช็ดผม
ความคิดในสมองเริ่มสะเปะสะปะปนกันมั่วไปหมด
ผมนั่งนิ่งปล่อยให้สัมผัสที่ไม่เคยได้รับเกิดขึ้นกับตัวเองต่อไปโดยไม่รู้เลยว่าเวลามันผ่านไปนานมากแค่ไหนแล้ว
แต่ที่แปลก...ผมไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรืออึดอัดเหมือนตอนแรกๆที่รู้จักกับพี่แทฮยอง
ซึ่งนั่นแหละที่ทำให้ผมรู้สึกกลัวตัวเอง...
ในระหว่างที่สติของผมเหมือนถูกโยนให้ลอยเคว้ง
สัมผัสเบาๆก็เกิดขึ้นบริเวณต้นขา มือที่เคยร้อนกลับกลายเป็นเย็นเพราะเขาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
สัมผัสที่ว่าค่อยๆเลื่อนสูงขึ้นไปพร้อมๆกับหัวใจที่เต้นแรงเป็นเจ้าเข้าของผม
มือที่ถูกจับไขว้อยู่ด้านหลังขยับมากำปลายเสื้อยืดของคนตรงหน้าเอาไว้แน่น มือเย็นเฉียบละหายไปจากต้นขาก่อนจะค่อยๆขยับแทรกเข้ามาใต้เสื้อยืดสีขาวที่ผมใส่อยู่
และทันทีที่สัมผัสเย็นแตะลงที่ผิวเนื้อด้านใน
ผมก็หาเสียงของตัวเองเจออีกครั้ง...
“...พี่แทฮยอง”
“....”
“ย-หยุดได้มั้ย...ผม...ผมไม่...”
ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงกระท่อนกระแท่นและไร้ซึ่งความมั่นใจ
มือเรียวของคนอายุมากกว่าค่อยๆวางลงแนบสนิทกับช่วงเอวของผม ความเย็นจากฝ่ามือค่อยๆแผ่กระจายเข้ามาหาและความร้อนจากตัวของผมก็ถ่ายทอดไปยังมือของอีกฝ่ายเช่นกัน
ในตอนแรกผมคิดว่าถ้อยคำของตัวเองคงไม่มีความหมายอะไร
แต่พอผ่านไปสักพักความรู้สึกอุ่นตรงช่วงคอก็จางหายไป พี่แทฮยองขยับใบหน้าออกมาสบตากับผมนิ่ง
เขาละมือออกจากช่วงเอวและขยับไปจับมือของผมที่ยังคงกำเสื้อเขาไว้แน่นจนยับไปหมด ลมหายใจของเรากระทบกันเล็กน้อยก่อนที่พี่แทฮยองจะใช้น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยประโยคบางอย่างที่ทำให้ผมหูอื้อไปชั่วขณะ...
....
“ต้องมาอาบน้ำที่นี่บ่อยๆแล้วนะ”
TALK ; ผ่ามมมมมมมม กลับมาแล้วทุกคนนนนน
ฮือออออออ สอบเสร็จแล้วววววว กรี๊ดดดดดดดดดดด โอเค สงบสติอารมณ์ก่อน
ให้เวลาสามวิค่ะ ใครจะกรี๊ดก็กรี๊ดให้เสร็จ ใครจะทุบหมอนจะอ่านซ้ำก็เอาให้เต็มที่ค่ะ
555555555
กราบสวัสดีมิตรรักแฟนฟิคทั้งหลาย ขออภัยอย่างสูงที่มาช้าเพราะกำลังทนทุกข์ทรมานอยู่กับมิดเทอมตัวร้ายที่ทำร่างกายทรุดโทรมแทบเป็นซากศพ
ใครตามทวิตจะรู้ดีว่าเรานั้นแทบร้องไห้เป็นสายเลือด หวังว่าจะยังมีคนรอไรท์เตอร์ตัวน้อยๆคนนี้อยู่นะคะ
ไหนๆก็มาถึงตอนที่ 8 แล้ว ก็อยากจะขอแนะนำตัวเป็น
3 ประเด็นหลักพอกรุบกริบ
1.สวัสดีก๊าบ 5555555 เป็นสาวน้อยย่างเข้าสู่วัยบรรลุนิติภาวะ
เกิดวันเดียวกับคุณพัคจีมิน ตอนนี้กำลังเผชิญการเรียนที่หนักหนาสาหัส จะเรียกไรท์ก็ได้ค่ะ
ส่วนชื่อจริงหาไม่อยากหรอก เพราะชอบเรียกชื่อตัวเองในแอคประจำบ่อยๆ5555555
2. เป็นอาร์มี่เลือดบริสุทธิ์ที่ไม่มีเพื่อนสนิทติ่งเลยสักคน ใช่ค่ะ
หวีดคนเดียวชิปคนเดียวมาหลายปี ฉันไร้เพื่อน55555555 จะอยู่กับบังทันไปจนวันตาย
มั่นคงในความรักมากค่ะ เมนคือจองกุกกับพี่แท (อะควบสองไปเรย) ส่วนอีก5คนคือเหนือเมนค่ะ (เลือกไม่ได้ หลายใจแต่รักมั่นคงนะจ้ะ)
3. อยากยอมรับไว้ก่อนเลยว่าเป็นสายพันธุ์ไฮบริด ชิปทั้งวีกุกและกุกวีค่ะ ถึงจะชิปสองโพแต่ก็สนับสนุนการไม่คว่ำโพคนอื่นนะ! (เป็นคนมีมารยาท แม่ต้องภูมิใจ) เริ่มแรกเราชิปแบบไม่มีโพค่ะ แค่เชื่อมั่นว่าเค้าเป็นแฟนกัน
(บอกไว้ก่อน เผื่อต่อไปแว๊บไปแต่งกุกวีจะได้เข้าใจตรงกันเนอะว่าเราชิปอยู่แล้ว
ไม่ได้เกี่ยวกับยอดวิวหรืออะไรอย่างอื่น แคร์นักอ่านเลยต้องบอกไว้ก่องงง
รักนะจุ๊บๆ ส่วนเรื่องนี้วีกุกนะคะ ไม่สลับไม่พลิก
วางเรื่องไว้แล้วว่าวีกุกเท่านั้น วีกุกตัวโตๆ วีกุกตัวใหญ่ๆ สบตาฉัน!!) ส่วนอีกคู่ที่ชิปจริงจังคือมินม่อน ม่อนมินก็ได้ เขินๆ (อินี่ก็สลับโพตลอด
เดี๊ยะ)
แนะนำตัวเสร็จแล้วก็ใครใคร่อยากคุยก็ไปโผล่ในแท็กได้นะ
พูดง่ายก็คือเหงานั่นแหละ เป็นคนอยากมีเพื่อนแต่คุยไม่เก่ง (เวรกรรมของแกแล้ว)
ท็อควันนี้พูดมากเนอะ เซลล์สมองโดนทำลายจากการสอบมันจะเพี้ยนๆแบบนี้แหละค่ะทุกคน55555555
หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะทำให้วันจ.ที่แสนเหน็ดเหนื่อยดีขึ้นบ้างนะคะ
เราขอบคุณทุกคนมากจริงๆ รู้สึกผิดที่ปั่นให้เร็วกว่านี้ไม่ได้ ขอบคุณนะคะที่ยังรอกันอยู่
ใครผ่านไปเห็นทวิตฟิคเราก็ช่วยจิ้มๆรีให้หน่อยนะคะ ขอบคุณค้าบบบบ ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะ
จะรีบฟื้นร่างพังๆให้เร็วที่สุด ใครชอบก็คอมเม้นท์หรือกดหัวใจให้หน่อยยยย มันเป็นกำลังใจที่ดีที่สุดสำหรับเค้าเลย ฮือออออออ
Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ
( ‘เหรอ’ เขียนแบบนี้นะ ><)
Twitter : @yumsyou
สุขสันต์วันเกิดจองกุกสุดที่รักย้อนหลัง
* คำเตือน : สถานการณ์ถูกปรับแต่งไม่ให้เหมือนในหนังเป๊ะนะคะ
อ่านเอาฟินพอ เรามีเพิ่มๆไปหน่อย ถือว่าเป็นของแถมที่ให้รอนาน และก็งงๆเหมือนกันว่าตัวเองแต่งออกมาเป็นโพอะไร เอาเป็นว่ามโนว่าเป็นบุคลิกพี่แทตัวจริงกับจองกุกตัวจริงแล้วกันนะคะ 5555555 *
ฟิคสั้นมากไม่แสวงกำไร /ไหว้ย่อ/
“ถึงแล้วครับ ถึงแล้ว
ตื่นครับทุกคน”
เสียงร่าเริงของพี่โฮซอกดังขึ้นทันทีที่เครื่องบินจอดสนิทแล้ว
ทุกคนที่นั่งอยู่ในโลกของตัวเองเริ่มขยับตัวและส่งเสียงพูดคุยกันอย่างเช่นทุกครั้ง
ผมจัดการหาวออกมาครั้งใหญ่ก่อนจะหันไปส่งยิ้มให้พี่นัมจุนที่กำลังนั่งเก็บของอยู่ข้างๆ
ทัวร์ของพวกเราดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้วครับ ผมปวดเมื่อยตัวนิดหน่อย
แต่สภาพโดยรวมก็ยังดีอยู่
ผมหันไปรวบรวมของใช้ส่วนตัวของตัวเองเก็บลงกระเป๋าบ้าง
ซึ่งพอเก็บเสร็จเสียงเปิดประตูเครื่องก็ดังขึ้นพร้อมกับที่ทุกคนพากันลุกขึ้นยืนถือกระเป๋าราวกับอยากจะออกไปจากเครื่องบินลำนี้ที่นั่งเบื่อมาหลายชั่วโมงเสียที
“จองกุก อย่าลืมเช็คของอีกรอบนะ”
“ครับๆ”
ผมขานรับพี่ยุนกิที่เอ่ยเตือน
ทุกคนพากันทยอยเดินลงจากเครื่องโดยไม่ลืมที่จะกล่าวขอบคุณพนักงานต้อนรับ
ผมคงคิดว่าทุกคนลงไปหมดแล้ว ถ้าสายตาไม่เหลือบไปเห็นใครอีกคนหนึ่งเสียก่อน
ผมมองใบหน้าที่ยังตื่นไม่เต็มที่ก่อนจะลุกขึ้นถือกระเป๋าเดินไปหาเขา
“โอเคมั้ยครับ?”
“อืม แค่เหนื่อย”
เสียงทุ้มต่ำเอ่ยตอบโดยที่สายตายังคงมองไปรอบๆเพื่อเช็คว่ามีของอะไรหลงเหลืออยู่มั้ย
ผมไม่อยากกวนอีกฝ่ายมากนัก เพราะอารมณ์ของเขายังไม่เข้าที่หลังจากตื่นนอน
“งั้นผมไปก่อนนะ รีบตามลงไปนะครับ”
ผมเอ่ยบอกอีกฝ่ายแล้วละสายตาหันไปมองทางเดินเพื่อที่จะเตรียมก้าวเท้าไปข้างหน้า
“เดี๋ยว”
ผมที่กำลังจะเดินไปหยุดชะงักเมื่อมือของผมถูกคว้าไว้
ผมก้มลงมองมือเรียวที่มีแหวนเส้นเล็กๆกับสร้อยข้อมือประดับอยู่ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองใบหน้าอันแสนดูดีของอีกฝ่าย
งอแง...
พี่แทฮยองกำลังงอแง
“ต้องลงจากเครื่องแล้วนะครับ”
ผมพูดเสียงเบาเพื่อเตือนให้คนที่กำลังมีท่าทีงอแงรู้ตัว
ผมกระชับจับมือพี่แทฮยองกลับและออกแรงดึงเบาๆเชิงบอกให้เขาลุกขึ้นได้แล้ว
“อือ...อุ้มหน่อยไม่ได้เหรอ
ขี้เกียจเดินชะมัด”
พูดไปก็เอาหัวมาพิงที่แขนของผม
ให้ตายเถอะ ทำไมจู่ๆก็ขี้อ้อนขึ้นมาแบบนี้ ผมมองหัวสีอ่อนด้วยความลังเลก่อนที่สุดท้ายจะยอมถอนหายใจและตอบตกลงไป
“ก็ได้ครับ ลุกขึ้นเร็ว”
“จองกุกกี้สุดยอด ฮิฮิ”
ผมมองรอยยิ้มที่ดูสดใสขึ้นแล้วก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้
ผมจัดการย้ายกระเป๋ามาสะพายด้านหน้าและย่อตัวลงเตรียมรับน้ำหนักของคนที่อายุมากกว่า
พี่แทฮยองโน้มตัวลงมาขึ้นหลังของผมก่อนจะใช้ขาตวัดเกี่ยวเอวเอาไว้แน่น
ผมได้ยินเสียงหัวเราะของเขาดังอยู่ข้างใบหู
แก้มของอีกฝ่ายแนบลงมาติดกับใบหน้าของผมพร้อมกับแขนที่กระชับกอดผมแน่นขึ้น
“ดูพอใจมากเลยนะครับ”
“ก็ได้ขี่หลังนายไง”
ผมใช้แขนเกี่ยวขาคนบนหลังไว้และออกเดินไปข้างหน้า
ใบหูยังคงถูกยุ่งด้วยริมฝีปากเหมือนทุกครั้งที่ผมให้เขาขึ้นหลัง
พี่แทฮยองใช้ริมฝีปากหนาของตัวเองงับส่วนปลายของใบหูผมเบาๆก่อนจะกระซิบถ้อยคำบางอย่างที่ทำเอาผมแทบสะดุดบันไดที่กำลังเดินลง...
“เดี๋ยวคืนนี้ไปหาที่ห้องนะ”
“....”
“อยากนอนกอดแฟนว่ะ”
“กอดหมอนข้างก็นุ่มเหมือนกันแหละครับ
เผลอๆนุ่มกว่าด้วยซ้ำ”
ผมเอ่ยขัดความตั้งใจของคนด้านหลังก่อนจะย่อตัวปล่อยให้พี่แทฮยองยืนเมื่อเดินมาถึงรถแล้ว
ผมกับพี่แทฮยองรีบก้าวขึ้นรถเพราะไม่อยากให้ทุกคนรอนานไปมากกว่านี้
และทันทีที่ประตูปิดลง ดวงตาคู่สวยที่คนนับล้านอยากจ้องมองก็ตวัดมาหาผมทันที
“หมอนมันแทนนายได้ที่ไหน”
“ก็คล้ายๆกันแหละครับ”
“หมอนมันไม่เร้าใจ”
“พี่แทฮยอง”
“หื้มมมม”
“ผมบอกว่างดไงครับ งด”
“งั้นไม่นอนกอดก็ได้
แต่มาแช่น้ำด้วยกันแทน”
“พี่แทฮยอง! จะเอาให้ได้เลยใช่มั้ย”
“อืม จะเอาให้ได้”
“พี่ไม่ปวดเมื่อยตัวหรือไง
เมื่อวานก็หมดแรงทันทีที่ลงจากเวทีเลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็นี่ไง ยิ่งต้องแช่น้ำเลย”
“พี่แทฮยอง!!!”
“ :) ”
.
.
.
.
“คุณแทฮยอง คุณจองกุกครับ ผมก็อยู่ในรถเหมือนกันนะครับ
จองโฮซอกยังอยู่ตรงนี้ ช่วยเกรงใจกันด้วยคร้าบ เหม็นความรักคร้าบ ขอบคุณคร้าบ”
ความคิดเห็น