คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : It's Not a Date Pt. 2
Chapter 7 : It’s Not a Date Pt.2
“หยุดทำให้พี่ใจเต้นได้แล้วนะ”
....
“พี่ก็เหนื่อยเป็นนะครับน้องจองกุก”
ทำยังไงดี
ผมกำลังหายใจไม่ออก จู่ๆร่างทั้งร่างก็เบาขึ้นราวกับน้ำหนักที่มีทั้งหมดจะสลายกลืนไปกับอากาศ
ดวงตาของผมพร่ามัว มีเพียงดวงตาสีดำสนิทที่ผมสามารถเห็นได้ในตอนนี้ สัมผัสอุ่นร้อนจากฝ่ามือของอีกฝ่ายบริเวณแก้มของผมน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ย้ำเตือนให้ผมรู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่
รู้สึกเหมือนจะเป็นลม
“พ-พี่...”
“หืม?”
เจ้าของดวงตาคู่สวยขานรับเบาๆ
เขาเอียงศีรษะมองหน้าผมเล็กน้อยก่อนที่มือเรียวของเขาจะมีการขยับเกิดขึ้น นิ้วโป้งค่อยๆลูบไปมาที่แก้มของผมราวกับมันเป็นสิ่งที่น่าทะนุถนอมที่สุดในชีวิต
ไม่ไหว...ไม่ไหวจริงๆแล้วนะ
เหมือนพี่แทฮยองจะขยับริมฝีปากพูดอะไรสักอย่าง
แต่หูของผมในตอนนี้ไม่สามารถรับเสียงอย่างอื่นได้อีกต่อไป อย่างเดียวที่ผมได้ยินจนรู้สึกหนวกหูคือเสียงหัวใจที่วันนี้ดูจะทำงานหนักผิดปกติ
“พี่...”
“....”
“ผ-ผมอยากเข้าห้องน้ำ”
ผมพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆที่แสดงถึงอาการใกล้หมดแรง
สถานการณ์ทุกอย่างบีบให้ผมหมดทางหนีได้อย่างแปลกประหลาด
และสถานที่เดียวที่ผมนึกถึงในเวลาแบบนี้ก็คือห้องน้ำเพื่อนรักที่ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันไปทางไหน
รู้แค่ว่าจะต้องไปก่อนที่ตัวเองจะทำตัวไม่ถูกไปมากกว่านี้
“จะหนีเหรอ?”
“อืม”
ผมส่งเสียงในลำคอเบาๆเป็นการยอมรับ
ริมฝีปากของพี่แทฮยองยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ยังคงไม่ปล่อยมือออกจากแก้มของผม
“ให้หนี 10 นาทีพอมั้ย”
“ 20 ได้มั้ย”
“ให้ได้แค่ 15 นาที ไปนานเดี๋ยวคิดถึง”
“....”
“โอเคมั้ย?”
ผมนิ่งไปนิดก่อนจะรีบพยักหน้ารับ
พี่แทฮยองหัวเราะออกมาเบาๆก่อนที่ความอบอุ่นบริเวณแก้มจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว
คนตรงหน้ายกมือขึ้นข้างตัวเชิงบอกว่าเขายอมปล่อยให้ผมหนีได้แล้วนะ ผมรีบสูดหายใจเข้าปอดลึกๆดึงสติแล้วก้าวถอยหลังออกมาให้ห่างจากพี่เขา
ห้องน้ำ...ผมจะไปห้องน้ำ
แต่ห้องน้ำที่ว่ามันอยู่ตรงไหนวะ
ผมเลื่อนสายตามองซ้ายมองขวาอย่างไม่แน่ใจ
ถึงจะไม่รู้ทางแต่จิตใจของผมตอนนี้เปิดประตูโดเรม่อนไปโผล่ที่ห้องน้ำแล้วนะ ฮือ ห้องน้ำมันไปทางไหนวะ
ผมไม่ค่อยมาห้างนี้ด้วยสิ ผมไม่รู้!
ระหว่างที่ผมสับสนอยู่ พี่แทฮยองที่ยืนสังเกตอาการผมก็หัวเราะออกมาอีกรอบ
เขาสางผมสีน้ำตาลของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะยื่นมือสุดแขนมาหาผม...
“เดี๋ยวพี่พาไปส่งห้องน้ำ”
ผมมองรอยยิ้มกว้างที่ดูมีความสุขนักหนาของคนที่เพิ่งเสนอความช่วยเหลือ
ซึ่งก็เป็นคนเดียวกันกับคนที่ทำให้ผมมีอาการแปลกประหลาดแบบนี้ ผมสบตากับพี่แทฮยองอย่างไม่มั่นใจนัก
แต่พี่เขาก็ยังคงรอยยิ้มไว้บนใบหน้าพลางขยับมือเชิงบอกให้ผมไปกับเขา
“เร็วๆ เดี๋ยวหมดเวลานะ”
“เริ่มนับตอนไปถึงห้องน้ำสิครับ
อย่าโกงสิ”
ผมเอ่ยก่อนจะพ่นลมหายใจหนักๆออกมาและก้าวเข้าไปหาพี่แทฮยอง
พี่เขาคว้าข้อมือของผมไปจับไว้ก่อนเบี่ยงตัวให้ผมก้าวเข้าไปยืนข้างๆ คนอายุมากกว่าไม่ได้พูดอะไรกับผมอีก
เขาทำเพียงพูดพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองเบาๆ
ซึ่งผมก็ดันได้ยินมันอย่างชัดเจน
“ฉุดกลับบ้านเลยดีมั้ยเนี่ย”
ค่อยยังชั่ว
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อในที่สุดตัวเองก็กลับมาอยู่ในสภาวะปกติอีกครั้ง
ผมก้มลงจัดเสื้อของตัวเองให้เรียบร้อยพลางก้าวขาเดินออกจากห้องน้ำเพื่อกลับไปเผชิญหน้ากับบุคคลอันตรายแห่งปี
ทันทีที่ผมเดินออกมาด้านนอก ร่างสูงที่กำลังยืนพิงเสาเล่นโทรศัพท์รอผมอยู่ก็ปรากฎขึ้นแก่สายตา
เฮ้อ เห็นหน้าพี่เขาแล้วก็อดหนักใจไม่ได้ ผมยอมรับตามตรงว่าอยู่กับพี่แทฮยองแล้วผมรู้สึกเหนื่อย
เหนื่อยกับตัวเองที่เสียศูนย์ทุกครั้ง
ผมรวบรวมกำลังใจทั้งหมดที่มีอยู่ในตัวก่อนจะเดินตรงไปหาเขา
แต่ในจังหวะที่ผมจะเข้าไปหา จู่ๆก็มีผู้หญิงสองคนโผล่ตัดหน้าเข้าไปคุยกับพี่แทฮยองเสียก่อน
เท้าทั้งสองข้างของผมหยุดชะงัก ดวงตาก็มองตรงไปยังเจ้าของใบหน้าแสนดูดีที่ละสายตาจากหน้าจอขึ้นมามองผู้หญิงสองคนนั้น
เนื่องจากผมยืนอยู่ห่างจากจุดที่พี่แทฮยองยืนอยู่พอสมควรทำให้ผมไม่รู้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน
แต่หนึ่งในผู้หญิงสองคนนั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมายื่นให้พี่เขา
ขอเบอร์? ขอไลน์? หรือขอถ่ายรูป?
คำถามมากมายโผล่ขึ้นมาในหัวจนสมองเบลอไปชั่วขณะ
บางอย่างในตัวผมก็กำลังส่งสัญญาณแปลกๆกระจายไปทั่วร่าง ผมไม่เข้าใจว่าลึกๆในตัวของผมต้องการจะสื่ออะไร
ผมรู้แค่ว่ามันน่ารำคาญเวลาที่มีความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคยเกิดขึ้น
ผมมองพี่แทฮยองที่ส่งยิ้มพร้อมกับส่ายหัวปฏิเสธสองสาวไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ
แต่เหมือนอีกฝ่ายจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเธอยังคงพยายามพูดหว่านล้อมให้พี่แทฮยองยอมรับโทรศัพท์ไปให้ได้
ในชั่วพริบตา ผมสังเกตเห็นแววตาที่แข็งกร้าวขึ้นของคนที่อายุมากกว่า
ท่าทางจะไม่ชอบแหะ
ผมคิดในใจหลังจากที่สรุปท่าทีทั้งหมดของพี่แทฮยองได้
ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะโอเคซะอีกที่มีคนเข้ามาแบบนี้ แต่ดูเหมือนผมจะคิดผิดไป ไม่ใช่คนหน้าตาดีทุกคนที่ชอบให้ตัวเองเป็นจุดเด่นสินะ
ผมขยับกรอบแว่นบนใบหน้าของตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะชะงักเมื่อดวงตาคู่สวยเลื่อนมาสบกันพอดี
พี่แทฮยองส่งยิ้มจางๆให้ผมก่อนจะหันไปพูดกับผู้หญิงสองคนนั้นเล็กน้อยและเดินหลบออกมาด้วยความว่องไว
“ไปไหนต่อดี”
พี่แทฮยองเอ่ยถามพลางเอามือมาดันหลังผมให้ออกเดิน
ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของพี่แทฮยองและรีบหันกลับมาก้มลงมองพื้น
ดีนะที่หนีไปตั้งหลักในห้องน้ำได้ ไม่งั้นผมคงใจสู้มองหน้าเขาไม่ไหวแน่ๆ ความรู้สึกอบอุ่นที่เคยสัมผัสบริเวณแก้มยังคงตราตรึงอยู่ในหัวสมองของผม
และมันก็ไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไปได้ง่ายๆ
“พี่อยากทำอะไรหรือเปล่าล่ะครับ ผมไม่มีอะไรที่อยากทำเป็นพิเศษ”
“งั้นเดินเล่นกันมั้ย?”
เดินเล่น? ในห้างอะนะ?
ผมหันไปมองพี่แทฮยองด้วยสายตางุนงงเล็กน้อย
เพราะปกติเวลาที่ผมมาห้าง ผมไม่ได้มาเดินเล่นไง ผมมาซื้อของ พอซื้อเสร็จก็กลับ
ไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นแต่อย่างใด ถึงจะงงๆแต่ผมก็ยอมเดินตามพี่แทฮยองไปเรื่อยๆอย่างว่าง่าย
ผมกวาดสายตามองไปยังร้านต่างๆ
สมองก็ยังคงคิดวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่ได้เห็น
ถามได้มั้ยนะ?
ผมลอบแอบมองคนข้างๆด้วยความรู้สึกที่ไม่มั่นใจ
แต่ก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่าจะถามหรือไม่ถาม
พี่แทฮยองก็ดันหันหน้ามาสบตากับผมเสียก่อน ราวกับรู้ตัวว่าผมกำลังมองอยู่อย่างไรอย่างนั้น
“มีอะไรหรือเปล่า”
“พี่”
“หืม?”
“ไม่ชอบเหรอ เวลาที่มีคนเข้ามาหา”
ผมเอ่ยถามด้วยความสงสัย อีกฝ่ายเลิกคิ้วสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของผม
พี่แทฮยองส่งเสียงตอบรับในลำคอก่อนจะเผยยิ้มพร้อมกับเสียงหัวเราะแห้งๆออกมา
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่ชอบหรอก”
“....”
“มีคนสนใจมันก็ดี
แต่พี่ไม่ชอบถ้าเขาจะล้ำเส้นเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัว”
“....”
“เมื่อกี้เขาขอเบอร์น่ะครับ”
“อ๋อ...”
ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจในสิ่งที่พี่แทฮยองต้องการสื่อ
ก่อนหน้าที่ผมจะตกลงมาในวันนี้ ผมได้ทำการค้นหาเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับตัวของพี่เขา
และก็ได้รู้ว่าพี่แทฮยองค่อนข้างมีชื่อเสียงมากในมหาวิทยาลัย แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีตำแหน่งเป็นเดือนหรือเป็นนักกิจกรรมอะไรเลยก็ตาม
ซึ่งรูปส่วนใหญ่ของเขาที่มีอยู่ตามเพจก็เป็นรูปแอบถ่ายทั้งนั้น
ผมจึงพอเดาได้ว่าพี่แทฮยองมีโลกส่วนตัวอยู่พอสมควรเลย
อัธยาศัยดีแต่จะสนิทด้วยจริงๆน่ะยาก
“แล้วเราไม่คิดจะขอเบอร์พี่บ้างเหรอ?”
จู่ๆอีกฝ่ายก็เอ่ยถามขึ้นพลางชะลอฝีเท้าลง
ผมรีบกระพริบตาดึงตัวเองให้ออกจากความคิดก่อนจะหันหน้าไปมองคนข้างๆ
“ขอทำไมครับ ผมไม่อยากได้สักหน่อย”
“โห ใจร้ายจัง”
“ผมก็มีไลน์พี่แล้วหนิ จะเอาเบอร์ไปอีกทำไมล่ะครับ”
ผมตอบไปตามความจริง ยุคนี้คนเขาขอเบอร์เพื่อไปแอดไลน์กันทั้งนั้นแหละ
มีไลน์ก็แทบไม่จำเป็นต้องมีเบอร์โทรแล้ว เพราะงั้นผมจะขอเบอร์พี่เขาไปทำไมล่ะ ไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร
“เอาไว้โทรหาตอนฉุกเฉินไง”
“ฉุกเฉินผมก็ต้องโทรหาคุณตำรวจสิครับ
จะโทรหาพี่ทำไม”
“งั้นไว้โทรคุยเฉยๆ”
“ถ้าแบบนั้น คอลไลน์เอาก็ได้ครับ”
“คอลได้ใช่มั้ย?”
“ครับ มันก็ต้องคอลได้สิ”
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความรู้สึกงุนงง
ไลน์ก็มีฟังก์ชั่นสำหรับคอลอยู่แล้วหนิ ถามอะไรแปลกๆ พี่เขาก็น่าจะเคยคอลคุยกับเพื่อนบ้างไม่ใช่หรือไง
ก็ต้องรู้สิว่าไลน์น่ะมันคอลได้ แต่ก่อนที่ผมจะงงไปมากกว่านี้
จู่ๆพี่แทฮยองก็เอามือมาแตะที่แขนของผมเบาๆให้ผมหันไปมองเขา
ใบหน้าหล่อของเขาปรากฏรอยยิ้มกริ่มที่ผมไม่เข้าใจว่าเขาจะยิ้มแบบนี้ให้ทำไม
“งั้นพี่จะคอลหานะครับ”
“....”
“ได้ยินเสียงเราก่อนนอนคงหลับฝันดีน่าดู”
อะไรของเขาวะ
ผมเหมือนโดนน็อคด้วยคำพูดที่ไม่สามารถตีความได้ว่าอีกฝ่ายพูดขึ้นมาได้ยังไง
สมองน้อยๆของผมเริ่มทำงานหนักอีกครั้ง ผมว่าผมต้องหัดเชื่อพี่นัมจุนที่บอกให้กินพวกวิตามินบำรุงสมองบ้างแล้ว
รู้สึกว่าช่วงนี้ตัวเองจะใช้สมองเยอะเกินไป
เมื่อกี้ผมพูดถึงเรื่องแอพไลน์ที่สามารถคอลได้ไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไมพี่เขาวนมาเรื่องที่จะคอลหาผมได้ล่ะ?
....
หรือว่า...ที่ถามก่อนหน้านี้ไม่ใช่เรื่องแอพ
ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อนึกย้อนกลับไปยังคำถามก่อนหน้านี้
‘คอลได้ใช่มั้ย?’ ของพี่ไม่ได้หมายถึงไลน์สามารถคอลได้ใช่มั้ย แต่มันหมายถึงเขาคอลหาผมได้ใช่มั้ย
ไม่ได้! พี่คอลหาผมไม่ได้ครับ!!!
ผมหันหน้าตื่นๆไปหาพี่แทฮยองและรีบส่ายหัวปฏิเสธจนแว่นขยับเลื่อนลงไปที่ปลายจมูก
ไม่ๆ พี่เข้าใจผิดแล้วครับ!
ผมไม่ได้ให้พี่คอลมาหานะ ไม่เอา ไม่คอล!!!
“หึๆ เป็นอะไรครับ แว่นตกหมดแล้ว”
พี่แทฮยองเอื้อมมือเอานิ้วมาดันแว่นของผมให้กลับไปยังจุดที่เหมาะสม
ผมมองรอยยิ้มกว้างตรงหน้าก่อนจะรีบเอ่ยปากอธิบายออกไป จะปล่อยให้เขาเข้าใจผิดแบบนี้ไม่ได้
“ผมไม่ได้ให้พี่คอลหาผมนะ
ไม่ต้องคอลมา”
“พูดจาทำร้ายจิตใจกันอีกแล้วนะครับ”
ไม่ต้องมาแสร้งทำหน้าน้อยใจเลย!!! ใครเขาจะไปเชื่อ!
ผมจะอ้าปากเถียงตอบกลับไป แต่ผมก็ต้องหยุดทุกอย่างเอาไว้ก่อนเมื่อพี่แทฮยองหยิบโทรศัพท์ที่สั่นเป็นเจ้าเข้าขึ้นมาดูและส่งสัญญาณขอเวลานอก
ดูจากสีหน้าแล้วน่าจะเป็นสายสำคัญ
เหอะ พักรบให้ก็ได้
ผมยอมยืนสงบปากสงบคำโต้เถียงทุกอย่างไว้ในใจและปล่อยให้พี่แทฮยองยืนทำธุระ
เขารับสายด้วยถ้อยคำสุภาพจนผมแปลกใจ ถ้าสุภาพแบบนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องงาน ผมคาดคะเนไปตามสิ่งที่รู้
ผมมองอีกฝ่ายที่มีสีหน้าจริงจังขึ้น เขาเงียบฟังปลายสายก่อนจะตอบตกลงบางอย่างและกดวางสาย
“เฮ้อ ท่าทางจะไม่ได้อยู่ด้วยกันทั้งวันแล้วล่ะ”
เครื่องหมายคำถามตัวโตๆโผล่ขึ้นมาเหนือหัวของผมทันทีที่ฟังพี่แทฮยองพูดจบ
พี่เขาเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันมาส่งยิ้มเสียดายให้ผม
ถ้าผมยิ้มดีใจออกไปจะเป็นการเสียมารยาทหรือเปล่าครับ
“รู้นะว่าดีใจ
ไม่ต้องกลั้นยิ้มก็ได้ครับ”
รู้ทันอีก!!!
ผมยิ้มเจือนทันทีที่อีกฝ่ายรู้ทันว่าผมไม่ได้อยากจะอยู่กับเขานานนัก
อ่า...พอเขารู้ก็ดันรู้สึกแย่ขึ้นมาซะงั้น
ผมยกมือขึ้นเกาหัวเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะแห้งๆตอบกลับไป
“ติดงานเหรอครับ?”
“อืม เดี๋ยวพี่ต้องไปรับภาพจากอีกแกลเลอรี่หนึ่งมาเตรียมจัดแสดงน่ะ
ไม่คิดว่าเขาจะเร่งนัดให้เร็วขึ้นขนาดนี้”
รับภาพ?
ผมเลิกคิ้วสูงขึ้นเมื่ออีกฝ่ายพูดถึงรูปภาพซึ่งเป็นสิ่งที่ผมให้ความสนใจมาตลอดหลายปี
ผมชอบถ่ายรูปนะแต่ไม่เคยได้ไปเดินชมพวกแกลเลอรี่เลย งานจัดแสดงผลงานชื่อดังทั้งที่เป็นภาพวาดและภาพถ่าย
ผมก็ไม่มีโอกาสได้ไปชมสักครั้ง
“พี่ต้องไปรับเองกับมือเลยเหรอครับ?”
ผมเอ่ยถามด้วยความสนใจ
พี่แทฮยองเลื่อนสายตามามองผมเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบกลับมา
“ก็ไม่เชิงหรอก
พี่ต้องไปเช็คความเรียบร้อยก่อนรับภาพมาน่ะ เซ็นรับเสร็จก็ให้ทีมงานแบกกลับไปเก็บที่แกลเลอรี่ของพี่”
“อ๋อ...”
ผมพยักหน้ารับน้อยๆก่อนที่พี่แทฮยองจะเอ่ยบอกว่าจะไปส่งผมที่หอก่อนแล้วค่อยไปทำงาน
แต่เนื่องจากยังมีเวลาอีกนิดหน่อย
เราก็เลยยังเดินเรื่อยเปื่อยอยู่ในห้างโซนที่เป็นของเด็กเล่น
ผมสัมผัสได้ว่าพี่แทฮยองเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัดหลังจากที่ผมเผลอแสดงออกว่าไม่อยากจะอยู่กับพี่เขา
จริงๆ...อยู่กับเขาก็ไม่ได้แย่สักเท่าไหร่
แค่ผมอดระแวงไม่ได้เท่านั้นเอง
“แกลเลอรี่ที่พี่ต้องไปอยู่ห่างจากนี้มากมั้ยครับ?”
“มันอยู่ชานเมืองน่ะ
ก็ค่อนข้างไกลอยู่”
คนที่กำลังใช้มือจับตุ๊กตานุ่มนิ่มเล่นเอ่ยตอบเบาๆก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดูนาฬิกา
ลมหายใจถูกพ่นออกมาหนักๆและตามมาด้วยแววตาที่แสดงถึงความกังวลใจ ผมมองท่าทีแปลกๆของพี่แทฮยองด้วยจิตใจที่ยังคงสนใจกับเรื่องราวการทำงานของแกลเลอรี่
ถามอีกหน่อยจะได้มั้ยนะ
“ส่วนใหญ่แกลเลอรี่จะตั้งอยู่ชานเมืองเหรอครับ”
“ก็ไม่เชิงหรอก
มันแล้วแต่ว่าแกลเลอรี่จะมีคาแรคเตอร์แบบไหน ที่ตั้งอยู่ในเมืองมันก็มี”
“แล้วที่พี่จะไปนี่เป็นยังไงอะ”
“เป็นแกลเลอรี่ของนักวาดท่านหนึ่งน่ะ
มีสวนข้างๆ มีห้องหนังสือ และก็มีคาเฟ่”
อยากไปจัง
ผมคิดในใจแต่จะให้พูดออกไปก็คงไม่ใช่
พี่แทฮยองจะไปทำงานนะ ผมไม่ควรไปยุ่งหรอก
ผมถอนหายใจเบาๆและหันไปมองตุ๊กตานุ่มนิ่มที่พี่แทฮยองเล่นอยู่ ผมเอื้อมมือไปจับแขนมันขยำเล่นบ้าง
ในหัวก็ยังคงจินตนาการถึงแกลเลอรี่ที่ว่า
....
“ไปด้วยกันมั้ย?”
“ครับ?”
ผมที่เผลอเหม่อลอยไปชั่วขณะสะดุ้งเมื่อจู่ๆนิ้วก็ดันขยับไปโดนมือของพี่แทฮยอง
ผมเงยหน้าหันไปมองคนข้างๆและกระพริบตาปริบๆเชิงบอกให้เขาช่วยขยายความเพิ่มเติมที ซึ่งคำถามที่ได้ยินชัดๆอีกรอบจากปากของอีกฝ่ายก็ทำเอาเบิกตากว้างขึ้น
“ไปแกลเลอรี่ด้วยกันมั้ย?”
“ป-ไปได้เหรอครับ”
“ไปได้สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ
เขาเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมนะ”
“....”
“อยากไปมั้ย?”
“จะรบกวนหรือเปล่าครับ
พี่ต้องทำงานไม่ใช่เหรอ”
ผมเอ่ยถามตามความกังวลของตัวเองในตอนแรก
ใจผมน่ะอยากไปมากๆเลยเพราะไม่เคยมีโอกาสได้ไปมาก่อน
แต่จะให้ไปแล้วทำให้พี่แทฮยองทำงานไม่สะดวก ผมก็ไม่เอาหรอกนะ
ดวงตาสีดำสนิทสบตากับผมก่อนที่เขาจะคลี่ยิ้มกว้าง
“ระหว่างที่พี่คุยงาน
เราก็ไปเดินดูรอบๆสิ”
“....”
“ไม่กวนหรอก”
“งั้น...ผมไปครับ”
@ Y Gallery
...สวยจัง...
ผมมองอาคารสีขาวที่ถูกสร้างขึ้นให้มีลักษณะโปร่งด้วยความรู้สึกตื่นเต้น
ตึกตรงหน้าสวยกว่าที่คิดเอาไว้เยอะมาก แถมบริเวณรอบๆก็ดูดีเสียจนผมอยากใช้เวลาอยู่นานๆ
ผมมองไปยังทางเข้าที่ออกแบบให้มีทางเดินข้ามบ่อน้ำขนาดใหญ่
หากมองผิวเผินก็อาจเหมือนเราเดินอยู่บนน้ำเพื่อเข้าไปยังตัวตึก
โคตรสวยเลยอะ
“จองกุก”
เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นมาจากด้านหลัง
ผมจึงรีบละสายตาจากวิวตรงหน้าและหันกลับไปมองคนที่เพิ่งเปิดประตูลงจากรถ
พี่แทฮยองถอดแว่นกันแดดสีชาที่ใส่มาตลอดทางออกมาเกี่ยวไว้ที่คอเสื้อก่อนจะหันไปเปิดประตูด้านหลังรถคันหรูเพื่อหยิบอะไรสักอย่าง
ผมเดินกลับไปหาเขาเผื่อว่าอีกฝ่ายต้องการความช่วยเหลืออะไร แต่ทันทีที่ผมเห็นว่าพี่เขาหยิบอะไรออกมา
ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความตกตะลึง
“ระหว่างนี้ก็ไปเดินเล่นถ่ายรูปรอก่อน
ใช้ได้ตามสบายเลย”
มือเรียวที่ใส่แหวนเต็มไปหมดยื่นกล้องยี่ห้อแพงที่มีจุดสีแดงอลังการแปะอยู่มาให้
ผมยกมือขึ้นรับด้วยความรวดเร็วเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ถือด้วยความระมัดระวังมากนัก
แต่เดี๋ยว...จะให้ผมใช้เหรอ?
มันแพงโคตรๆเลยนะ!!!
“พ-พี่”
“หือ?”
“มันแพง...”
“ใช้ไปเถอะ
พี่ซื้อมาใช้ไม่ได้ซื้อมาเก็บ”
“....”
ผมมองกล้องราคาแพงในมืออย่างไม่มั่นใจนัก
ความกังวลเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นก้อนขนาดใหญ่อยู่ตรงอก มันแพงมาก แพงจนผมไม่เคยคิดว่าจะได้มาจับของจริง
แถมยังจะได้ใช้ถ่ายรูปด้วย ดีที่ไม่ใช่กล้องฟิล์ม ไม่งั้นผมคงไม่กล้าแม้แต่จะจับ
“มันไม่พังง่ายๆหรอก
เราก็ใช้กล้องเป็นหนิ”
“ครับ...”
ผมยังคงใช้สายตากังวลจับจ้องไปที่ตัวกล้อง
มือใหญ่ของคนข้างๆวางลงบนหัวของผมก่อนจะเลื่อนลงไปยังต้นคอและลากย้อนกลับมาลูบที่แก้ม
ผมรีบเงยหน้ากลับขึ้นไปมองพี่แทฮยองที่กลับมามือไวอีกครั้ง
แต่ก่อนที่ผมจะได้ต่อว่าอะไรออกไป พี่เขาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“ไม่ต้องรีบนะ เรามีเวลาถึงช่วงบ่ายแก่ๆ”
งั้นผมก็อยู่ได้นานๆเลยสิ
ผมคิดในใจพลางพยักหน้าตอบกลับอีกฝ่ายไป
ผมกับพี่แทฮยองพากันเดินเข้ามาในตัวแกลเลอรี่ก่อนที่พี่เขาจะแยกไปทำงาน ส่วนผมก็แยกไปเดินดูรูปในแกลเลอรี่ที่จัดเอาไว้อย่างสวยงาม
เราเดินทางมาถึงที่นี่เร็วกว่าที่คิดไว้
ทำให้มีเวลาว่างอีกหลายชั่วโมงก่อนที่จะถึงช่วงเวลาที่ถนนหนทางติดเป็นพิเศษ
ระหว่างทางที่นั่งรถมา ผมกับพี่แทฮยองไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก
จะมีก็แต่คุยเรื่องเพลงที่พี่เขาเปิดฟังบนรถ
เขาเป็นคนรสนิยมดีแม้กระทั่งกับเพลงที่ฟัง
ผมนึกแปลกใจเหมือนกันนะว่าคนที่มีศิลปะในจิตใจขนาดนั้นทำไมถึงซิ่วจากคณะที่เป็นเหมือนความฝันมาเข้าคณะบริหาร
ถ้าเป็นผม ผมคงไม่มีทางซิ่วแน่ๆ เพราะผมชอบงานถ่ายรูปมากๆ
ถึงแม้จะไม่มีโอกาสได้ทำมันอย่างจริงจังก็เถอะ
ผมเดินดูงานศิลปะไปเรื่อยๆ อาจเพราะเป็นวันธรรมดาจึงมีคนมาชมแกลเลอรี่อยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่ก็ดีครับ ผมไม่ค่อยชอบที่ที่มีคนเยอะเท่าไหร่ ผมเดินดูนู้นดูนี้ไปสักพักสายตาก็มองย้อนกลับไปเห็นพี่แทฮยองที่กำลังยืนยิ้มพูดคุยกับชายอายุมากท่านหนึ่งด้วยท่าทีที่สุภาพและให้ความเคารพมากๆ
คงจะเป็นเจ้าของผลงานและแกลเลอรี่แห่งนี้สินะ
ไม่ต้องเดาให้ยากก็คงเป็นอย่างที่ผมคิด
เพราะทางฝ่ายชายอายุมากมีคนเดินติดตามอยู่ตลอดเวลา
ผมสังเกตเห็นว่าพวกเขาเริ่มเดินชมรูปภาพแต่ละรูปที่จัดแสดงและพูดคุยตอบกลับกันไปมา
อดคิดไม่ได้เลยว่าตัวเองได้เข้ามาเห็นอีกมุมหนึ่งของพี่แทฮยองที่คนไม่น่าจะได้เห็นกันง่ายๆ
เขาดูมีความสุขมากแถมแววตายังเปล่งประกายระยิบระยับ
ริมฝีปากของผมขยับเผยยิ้มจางๆออกมาอย่างไม่รู้ตัว
อาจเพราะผมไม่เคยตามใครมาทำงานมั้งถึงได้รู้สึกแปลกๆแบบนี้ ไม่ใช่แปลกในทางที่ไม่ดีนะ
มันแปลกในทางที่ดี
พี่เขาโคตรเท่เลย
ระหว่างที่ผมเผลอมองไปยังพี่แทฮยอง มีอยู่ชั่วขณะที่ดวงตาคู่สวยมองตรงมายังผมและรอยยิ้มอันแสนมีเสน่ห์ก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสมบูรณ์แบบ
ผมชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะรีบหมุนตัวหันหลังเดินออกไปยังสวนข้างนอกที่มีงานประติมากรรมจัดแสดงอยู่
ผมว่าผมเริ่มมีปัญหากับรอยยิ้มของพี่เขา
มันชอบทำให้ผมรู้สึกแปลกๆตรงอก
ผมกำมือนวดคลึงปกติอกของตัวเองเบาๆ
หัวใจที่จู่ๆก็เต้นแรงเริ่มสงบลงหลังจากที่ผมยืนหายใจเข้าออกลึกๆอยู่หลายนาที
พอตัวเองกลับมาเป็นปกติ ผมก็หยิบกล้องราคาเป็นแสนที่ห้อยคอไว้ขึ้นมาเปิดถ่าย
ด้วยความที่ผมเล่นกล้องเป็นอยู่แล้วทำให้ใช้เวลาเพียงไม่นาน ผมก็สามารถเข้าใจปุ่มต่างๆได้อย่างง่ายดาย
ผมเดินเล่นถ่ายรูปไปสักพักใหญ่ก็เริ่มรู้สึกร้อนจึงตัดสินใจเดินกลับเข้ามาในห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือทางศิลปะเอาไว้
ชั้นหนังสือวางตั้งเรียงกันในระยะที่เพียงพอสำหรับเดินสวนกันระหว่างคนสองคนเท่านั้น
ซึ่งห้องๆนี้ล้อมรอบด้วยกระจกใสและติดกับห้องจัดแสดง
ทำให้ผมมองเห็นว่าพี่แทฮยองยืนอยู่ตรงไหน
คิดถูกจริงๆที่มาด้วย
ผมจินตนาการมาตลอดว่าการที่ได้มาแกลเลอรี่ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะมันต้องเป็นอะไรที่มีความสุขมากแน่ๆ
ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่ผมคิดไว้ ผมยอมรับว่าตัวเองกำลังมีความสุขมากๆ
มากจนแทบหุบยิ้มลงไม่ได้
ศิลปะยังคงเป็นสิ่งที่ผมชอบเสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนและเส้นทางที่ผมเลือกจะเป็นเช่นไร
คงต้องยกประโยชน์ให้พี่แทฮยองสินะ
ผมนึกถึงใบหน้าเปื้อนยิ้มที่บังเอิญหันไปเห็นในขณะที่นั่งรถมายังสถานที่แห่งนี้
ดูยังไงก็รู้ว่าเจ้าตัวมีความสุขมากที่ผมมาด้วย ถ้าแค่มารับรูป คงไม่ต้องรอยยิ้มกว้างขนาดนั้นหรอกครับ
ผมหันกลับมาสนใจหนังสือมากมายที่วางเรียงกันอยู่บนชั้น
ผมเดินไล่สายตาดูไปเรื่อยๆก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงบริเวณที่มีหนังสือเกี่ยวกับการถ่ายภาพวางอยู่
ผมหยิบออกมาดูสองสามเล่มแล้วจึงเลือกเพียงหนึ่งเล่มเพื่อยืนอ่านฆ่าเวลา
ผมยืนอ่านหนังสือด้วยความเพลิดเพลินไปสักพักใหญ่
หนังสือที่เริ่มอ่านมาตั้งแต่หน้าแรกก็ดำเนินมาจนถึงครึ่งเล่ม
ผมไม่รู้ว่าพี่แทฮยองเสร็จธุระหรือยัง แต่เขาคงหาผมเจอแหละ
เพราะที่นี่ก็ไม่ได้ใหญ่ขนาดที่จะหากันไม่เจอ
ในระหว่างที่สมาธิของผมหลุดออกจากหนังสือและเผลอคิดไปหาคนที่มาด้วยกัน
เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นภายในห้องสมุดก่อนจะดังเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ
ผมเห็นร่างของใครบางคนผ่านทางหางตา ซึ่งผมก็ไม่ได้ตกใจมากนักเพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นใคร...
ผมยังคงจดจ่อกับการอ่านหนังสือต่อไปโดยไม่สนใจคนที่เข้ามายืนซ้อนด้านหลังและเอาแขนยื่นมาจับชั้นหนังสือตรงหน้าผม
ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากตัวของอีกฝ่ายทำให้ผมสัมผัสได้ว่าเขายืนใกล้กับผมมากแค่ไหน
ตอนแรกผมก็กะจะเมินๆการกระทำของเขาไป...
ถ้าหูไม่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างก่อน
“หอมมั้ยครับ?”
“อืม หอมมาก”
เสียงสูดลมหายใจดังแรงขึ้นและมันก็ใกล้มากกว่าเมื่อสักครู่
คิ้วของผมขมวดติดกันแน่นก่อนจะรีบผงะหันไปมองคนด้านหลังที่เอียงใบหน้าโน้มลงมาตรงบริเวณคอของผม
ผมขยับตัวเบี่ยงไปทางขวานิดนึงทำให้ชนเข้ากับแขนที่จับชั้นหนังสือไว้
“ขออนุญาตก่อนเป็นมั้ยครับ”
“ขอแล้วจะให้ดมเหรอ?”
“ไม่ครับ”
“งั้นจะขอให้โดนปฏิเสธทำไมล่ะ”
มารยาทน่ะ พี่เข้าใจบ้างมั้ย?!
พี่แทฮยองยักคิ้วใส่ผมสองทีด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
ผมมองท่าทีของเขาด้วยความรู้สึกรำคาญใจก่อนจะส่ายหัวและหันกลับมาจดจ่ออ่านหนังสือต่อ
ซึ่งพอเห็นว่าผมไม่ได้ว่าอะไรไปมากกว่านั้น อีกฝ่ายก็ยิ่งได้ใจ
พี่แทฮยองยังคงสูดกลิ่นของผมเข้าจมูกอย่างต่อเนื่องโดยที่ผมเองก็ได้ยินเสียงลมหายใจของเขาดังอยู่ข้างๆ
ผมพยายามควบคุมสติของตัวเองให้อยู่นิ่งและไม่แตกกระเจิงไปกับการกระทำของคนด้านหลัง
ถึงหัวใจมันจะเริ่มเต้นเป็นเจ้าเข้าเลยก็เถอะ
“เขาบอกว่าร้านคาเฟ่ของแกลเลอรี่มีไอติมรสใหม่”
“....”
“อยากลองทานมั้ย?”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นใกล้ใบหูในระยะที่ทำเอาผมสะดุ้ง
บ้าหน่า...เขาอยู่ใกล้ขนาดนี้เลยเหรอ ผมเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้รับรู้ถึงระยะห่างที่แท้จริงระหว่างผมกับคนด้านหลัง
โอ๊ย! อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว!!!
ตัวอักษรที่เคยอ่านรู้เรื่องกลับกลายเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้เมื่อผมไม่สามารถโฟกัสสายตาได้อีกต่อไป
ผมกระชับมือที่จับหนังสือให้แน่นขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะต้องเบิกตากว้างเท่าไข่ห่าน
เมื่อมีน้ำหนักบางอย่างทิ้งลงมาที่บริเวณไหล่ข้างซ้าย...
“อ่านเสร็จหรือยัง พี่อยากพาเราไปกินไอติมนมกล้วยแล้วนะ”
ทำยังไงดี...มือของผมกำลังสั่น
ผมมองหนังสือในมือที่สั่นกึกๆด้วยหัวใจที่แทบจะเต้นหลุดออกมาจากอก
ร่างทั้งร่างก็นิ่งชะงักค้างอยู่ในท่าเดิมที่เพิ่มเติมคือมีคางของคนด้านหลังวางอยู่ที่ไหล่
ทุกอย่างรอบตัวดับสนิท ผมไม่สามารถใช้สายตาจับจ้องไปยังจุดใดจุดหนึ่งได้เลย
ความสนใจของผมโดนคนที่ชื่อคิมแทฮยองแย่งไปทั้งหมด
“ทำไมมือสั่น”
“ฮ-เฮ้ย...”
ผมเผลออุทานออกมาเมื่อมือเรียวยาวยกขึ้นมาจับมือสั่นๆของผมที่กำลังกางหนังสือ
ผมมองมือข้างซ้ายของตัวเองที่ตอนนี้มีความอบอุ่นเกาะกุมอยู่แล้วลมหายใจก็เริ่มออกอาการติดขัด
มือสวยที่มีแว่นวงบางประดับอยู่ค่อยๆใช้นิ้วดันให้นิ้วของผมหลุดออกจากหนังสือ ซึ่งมันก็แสนง่ายดายเมื่อผมเองก็ไม่มีแรงอะไรจะไปสู้กับคนด้านหลังอยู่แล้ว
แค่แรงจะยืนยังไม่มีเลย
อาการสมองเบลอทำตัวไม่ถูกมันกลับมาอีกแล้ว
ให้ตาย ผมอยากหนีไปเข้าห้องน้ำชะมัด
หนังสือขนาดพอดีมือถูกแย่งไปโดยฝีมือของพี่แทฮยอง
มือเรียวจัดการปิดหนังสือและเสียบกลับเข้าไปในชั้นด้วยท่วงท่าที่สวยงามก่อนจะเอียงหัวที่เกยไหล่ของผมอยู่แนบเข้ามาติดกับแก้มของผม
“พ-พี่...”
“ครับ?”
“ช-ช่วยออกห่างก่อนได้มั้ย”
“....”
“ผม...ผมหายใจไม่ออก”
สิ้นเสียงคำขอร้องอันแสนลำบากลำบน น้ำหนักบริเวณไหล่ก็ค่อยๆจางหายไป
ผมลอบพ่นลมหายใจที่แสนอึดอัดออกมาจากปอดก่อนจะรวบรวมความกล้าหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับคนด้านหลัง
พี่แทฮยองสบสายตากับผมตรงๆก่อนจะย้ายมือสอดเข้าไปในกระเป๋ากางเกงด้วยท่าทีสบายๆ
ผิดกับผมที่ยังคงทำตัวไม่ถูกและสีหน้าก็คงเจือนไปตามสภาพ ผมเลื่อนสายตามองไปรอบๆด้วยความรู้สึกประหม่าที่ไม่น่าเกิดขึ้นในตอนนี้ก่อนจะเอ่ยปากถามอีกฝ่ายไป
“เสร็จงานแล้วเหรอครับ”
“อื้ม ขนรูปขึ้นรถบรรทุกเรียบร้อย
ตอนนี้ว่างแล้ว”
“ขนไปหลายรูปเหรอครับ?”
ผมเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ความรู้สึกทำตัวไม่ถูกเมื่อครู่ถูกโยนทิ้งไปอย่างรวดเร็วและแทนที่ด้วยความสงสัย
พี่แทฮยองพอเห็นปฏิกิริยาของผมก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและพยักหน้าตอบกลับมา
“ท่าทางจะสนใจเรื่องพวกนี้มากเลยนะเรา”
พูดจบก็เอามือมาดันหลังให้ผมออกเดินไปยังคาเฟ่ที่เชื่อมกับห้องสมุด
พี่แทฮยองเลือกนั่งตรงโต๊ะติดริมกระจกและเลือกที่จะสั่งกาแฟไปแบบไม่คิดที่จะเปิดเมนูดู
ผมเหลือบสายตามองคนตรงข้ามเล็กน้อยก่อนจะก้มกลับลงมาดูเมนูที่พนักงานเอามาให้เมื่อสักครู่
“วันนี้ทางร้านของเรามีไอศกรีมรสใหม่นะคะ
รสบานาน่ามิลค์ สนใจรับมั้ยคะ?”
อ๋อ
รสใหม่ที่พี่แทฮยองบอกก่อนหน้านี้
....
เดี๋ยวนะ
บานาน่ามิลค์?
นมกล้วย!!!
ผมรีบหันไปพยักหน้ารัวๆกับพนักงานก่อนจะชี้ๆบนเมนูบอกให้เขาทำเมนูวาฟเฟิลไอศกรีม
เพิ่มพิเศษวิปครีมด้วย พนักงานทวนเมนูให้ฟังเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังเคาน์เตอร์
ผมยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงของหวานที่ตัวเองสั่งไปโดยที่ลืมไปเสียสนิทว่ายังมีอีกคนนั่งอยู่ตรงข้าม
ผมเผลอเงยหน้าที่มีแต่รอยยิ้มขึ้นมาสบตากับพี่แทฮยอง เขามองผมอยู่ก่อนนานแล้ว
เจ้าของดวงตาสวยยกยิ้มแล้วจึงเอ่ยถามผมด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
“ชอบทานของหวานเหรอ?”
“ใครไม่ชอบบ้างล่ะครับ”
ผมเผลอทำปากยื่นตอบกลับอีกฝ่ายไป
พี่แทฮยองหัวเราะน้อยๆก่อนที่จะหันไปสนใจกาแฟที่มาเสิร์ฟอย่างรวดเร็ว
พี่เขาหยิบแก้วกาแฟเย็นขึ้นมาดื่มพลางมองหน้าผมเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
ซึ่งไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็เอ่ยสิ่งที่คิดให้ผมได้ยิน
“ถึงว่าล่ะทำไมแก้มโคตรนิ่ม”
“ผมไม่ได้อ้วน!”
“พี่ก็ไม่ได้บอกว่าอ้วนหนิครับ
เอวเล็กขนาดนั้น”
“พ-พูดเบาๆสิครับ”
โอ๊ย ผมอยากจะบ้าตาย
เป็นเพราะนั่งติดกระจกแน่ๆถึงได้รู้สึกร้อนๆหนาวๆสลับกันไปแบบนี้
ผมเลือกที่จะก้มลงเล่นกล้องแทนที่จะต่อล้อต่อเถียงกับพี่แทฮยองต่อไป
ผมเลื่อนดูรูปที่ตัวเองถ่ายไว้ด้วยความพอใจ อยากได้เก็บไว้ชะมัด คงต้องขอให้พี่เขาส่งมาให้
ผมเหลือบสายตาขึ้นไปมองคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะก่อนที่โลกทั้งใบจะหยุดชะงักนิ่ง
ใบหน้าหล่อหันไปหากระจกและใช้สายตาจับจ้องไปยังวิวด้านนอกที่ยังคงดูสดใส
แสงแดดส่องเข้ามาพอประมาณ ซึ่งมันก็พอดิบพอดีที่จะทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายเด่นชัดขึ้น
...ดวงตา...จมูก...ริมฝีปาก...สันกราม...
ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าภาพตรงหน้าดูดีมากจริงๆ
ก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรต่อ
มือก็ขยับยกกล้องขึ้นโดยอัตโนมัติ
ผมมองภาพตรงหน้าผ่านเลนส์กล้องเป็นครั้งสุดท้ายและขยับนิ้วกดลงที่ปุ่มชัตเตอร์...
แชะ!
เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นตามมาด้วยดวงตาคู่นั้นที่ละจากวิวด้านนอกหันมามองผม
พี่แทฮยองเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความงุนงงว่าผมถ่ายอะไร เขาไม่รู้หรอกว่าผมถ่ายเขา
เพราะผมรีบเบี่ยงกล้องหนีไปมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว
ขืนปล่อยให้รู้ว่าผมแอบถ่าย คิดเหรอว่าคนอย่างพี่แทฮยองจะไม่เหลิง
จะว่าไป...ผมก็เริ่มจับทางอีกฝ่ายได้มากขึ้นกว่าเก่าแล้วแหะ
ถึงอาการอยากหนีไปเข้าห้องน้ำจะยังมีอยู่เรื่อยๆเลยก็เถอะ
ผมนั่งกดนู้นกดนี้เล่นไปสักพักขนมที่สั่งไปก็มาเสิร์ฟ
ไอศกรีมสีเหลืองนวลโปะอยู่บนวาฟเฟิลพร้อมกับวิปครีมขนาดพิเศษตามที่ผมสั่งไปแบบเป๊ะๆ
งู้ยยยยยยย รีบกินสิครับรออะไร
ผมรีบถอดกล้องที่คล้องคออยู่ไปวางบนโต๊ะแล้วจัดการหยิบช้อนส้อมขึ้นมาจ้วงอย่างไว
อือหื้อ ไอศกรีมหอมมาก ทำไมอร่อยงี้อะ!
“อร่อยขนาดนั้นเลย?”
เสียงของพี่แทฮยองดังขึ้นตามด้วยมือที่ขยับเอื้อมมาหยิบกล้องไปส่องเล่น
จังหวะการกินของผมหยุดชะงักเพราะจำใจเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่ายที่ถามคำถามด้วยน้ำเสียงขี้เล่น
“อร่อยสิครับ”
“เหรอ”
“ไม่เชื่อก็ลองกินสิครับ”
“ไม่ล่ะ”
เอ๊า!
ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อคนฝั่งตรงข้ามทำเหมือนจะไม่เชื่อว่ามันอร่อยจริงๆ
แถมยังไม่ยอมลองชิมด้วย อะไรวะ ของแบบนี้มันต้องลองก่อนถึงจะตัดสินได้สิ
นี่ผมว่ามันก็อร่อยโคตรๆเลยนะ ผมมองขนมที่ตัวเองกินไปเกือบครึ่งด้วยความรู้สึกไม่ค่อยพอใจในคนตรงหน้า
พี่แทฮยองยังคงเล่นกล้องสลับกับดื่มกาแฟเย็นต่อไปแบบไม่สนใจอะไรอีก
ไม่ได้ๆ เรื่องของกินน่ะไม่ได้นะ
ผมไม่ยอม!
“ไม่ลองกินดูก่อนจริงๆเหรอ อร่อยนะ”
ผมเอ่ยพลางขยับเท้าไปสะกิดขาอีกฝ่ายใต้โต๊ะเบาๆ ดวงตาสีดำสนิทกลับมาสนใจมองหน้าผมอีกครั้ง พี่แทฮยองนิ่งไปก่อนจะเผยยิ้มจางๆและส่ายหน้าตอบกลับมา
“ไม่เป็นไร เรากินไปเถอะ”
“พี่ลองกินก่อนจะได้รู้ว่าอร่อย”
“เห็นเรากินก็รู้แล้วว่าอร่อย”
“ไม่รู้หรอกจนกว่าจะได้ลอง”
ผมจัดการหั่นวาฟเฟิลออกมาชิ้นหนึ่งและตักไอติมโปะลงไป พี่แทฮยองมองการกระทำของผมด้วยแววตาสงสัยก่อนที่จะเบิกตากว้างขึ้นนิดๆเมื่อผมใช้ช้อนตักขนมยื่นไปตรงหน้าเขา
“กิน”
ผมเอ่ยคำสั้นๆแล้วสบตากับพี่แทฮยองตรงๆ
พี่เขามองผมด้วยแววตาที่โคตรจะแปลกใจก่อนที่ต่อมาจะแปรเปลี่ยนเป็นการยกยิ้มอย่างพอใจขึ้นแทน
“เร็ว รีบกิน”
“กินแล้วพี่จะได้อะไรครับ”
โว๊ะ! มันใช่เรื่องที่จะมาหวังผลมั้ย!
“ได้กินของอร่อยไง”
“แค่นั้น?”
“พี่จะอยากได้อะไรอีกล่ะครับ
แค่ของอร่อยนี่ก็ดีมากแล้วนะ”
“....”
“เร็ว ผมเมื่อยแขน”
พอผมบ่นออกไปแบบนั้น พี่แทฮยองก็หลุดหัวเราะก่อนจะยกมือมาพยุงมือของผมที่จับช้อนไว้
ดวงตาคู่สวยยังคงสบตากับผมในขณะที่พี่เขายอมอ้าปากรับขนมไปกิน ช้อนที่ผมถืออยู่ว่างเปล่าแล้วแต่อีกฝ่ายก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือที่จับมือของผมไว้
ไหนจะสายตาที่จ้องมาทั้งๆที่กำลังเคี้ยวขนมอยู่ในปาก
หน้าของผมร้อน...ร้อนมาก
“อ-อร่อยมั้ย?”
ผมเอ่ยถามออกไปด้วยเสียงที่ไม่ดังเท่าก่อนหน้านี้
พี่แทฮยองสบตากับผมนิ่งๆราวกับต้องการใช้เวลาพิจารณาสิ่งที่อยู่ในปาก
ผมเผลอเม้มริมฝีปากของตัวเองอย่างแรงเมื่อจู่ๆเขาก็เอามืออีกข้างมาดึงช้อนในมือของผมไปถือ
ส่วนมือข้างที่จับมือของผมอยู่ก็แทรกนิ้วโป้งเข้ามาวางๆไว้ตรงบริเวณฝ่ามือ
พี่แทฮยองจับช้อนโยกไปมาก่อนจะวางมันลงที่ขอบจาน...
“ก็อร่อยดี”
“....”
“แต่จะอร่อยกว่านี้ถ้าเราป้อนพี่อีกหนึ่งคำ”
!!!!!
“ป้อนพี่อีกหนึ่งคำได้มั้ยครับ?”
สิ้นเสียงของพี่แทฮยอง
หูของผมก็เหมือนจะดับไปชั่วขณะและแทนที่ด้วยเสียงตึกๆของสิ่งที่อยู่บริเวณอกด้านซ้าย
ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเบลอไปหมด ผมไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องโฟกัสมองสิ่งไหน
อาการทำตัวไม่ถูกเกิดขึ้นเป็นรอบที่ล้านของวัน
ในระหว่างที่ผมกำลังสับสนอยู่นั้น จู่ๆมือที่โดนจับไว้ก็ถูกดึงให้เข้าไปใกล้อีกฝ่ายมากขึ้นตามด้วยสัมผัสจากริมฝีปากก็ทาบทับลงมาที่หลังนิ้วชี้ของผม ดวงตาของผมเบิกกว้างขึ้นแต่สมองก็ยังประมวลผลไม่เร็วพอที่จะดึงมือกลับมา...
“กินเลอะเทอะนะเรา”
“....”
“มือก็เลอะ...”
“....”
“ปากก็เลอะ”
....
“ให้พี่เช็ดให้มั้ย?”
.
.
.
.
ผมเผลอรุกแรงเกินไป
ผมมองน้องที่ตอนนี้กำลังเดินเล่นอยู่ในสวนกับผม
เขากำลังใช้กล้องถ่ายไก่ที่เดินมาจากไหนก็ไม่รู้ ถึงจะกลับมาเป็นปกติแล้ว
แต่ก็ใช่เวลานานพอสมควรกว่าที่น้องจะดึงสติให้กลับมาได้
ตอนแรกที่น้องยื่นช้อนมาจะป้อนให้
ผมยอมรับว่าตกใจมากๆและไม่คิดจะทำอะไรน้อง แต่พอผมเอื้อมมือไปประคองมือน้องเท่านั้นแหละ...
มันอดไม่ได้ที่จะแกล้ง
ทั้งแกล้งทั้งทำจริง
ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองทำอะไรลงไป
รู้อีกทีก็หาเรื่องไปจูบนิ้วน้องแล้ว
นัมจุนฆ่าผมแน่
ผมถอนหายใจพลางก้มลงมองหน้าจอโทรศัพท์ที่บอกเวลาอันสมควร
ถ้าไม่รีบออกตอนนี้คงจะต้องไปติดบนถนนเป็นชั่วโมงแน่ๆ ผมละสายตาไปมองน้องที่วันนี้ดูยิ้มเยอะกว่าทุกๆครั้งที่ได้เจอกัน
และพอยิ่งได้จับกล้อง เจ้าตัวก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น
ดูก็รู้ว่าน้องชอบแบบนี้
ตอนแรกผมก็คิดหนักว่าน้องจะชอบมั้ย
เพราะเอาเข้าจริงๆพวกแกลเลอรี่ก็ดูน่าเบื่อสำหรับบางคน แต่โชคดีที่น้องไม่ใช่หนึ่งในคนเหล่านั้น
ไม่อย่างนั้นผมคงต้องดับความคิดทุกอย่างเกี่ยวกับน้องทิ้ง เพราะสิ่งพวกนี้คือสิ่งที่ผมกำลังใช้เป็นอาชีพ
และถ้าน้องไม่อิน...ผมกับน้องก็คงเข้ากันไม่ได้
แต่ก็อย่างที่เห็นแหละครับ เรื่องนี้คงไม่ใช่ปัญหาอะไร
เอาจริงๆ น้องเป็นคนฉลาดนะ ฉลาดในเรื่องการเข้าใจพฤติกรรมของคนอื่น
อาจจะเพราะเป็นคนเงียบๆด้วยล่ะมั้ง เลยมีโอกาสได้สังเกตอะไรหลายๆอย่าง
“จองกุก”
“ครับ”
“ต้องกลับแล้วนะ”
คนที่กำลังก้มๆเงยๆถ่ายไก่อยู่หันมามองผมด้วยแววตาที่ทำเอาผมใจอ่อนยวบ
...น้องยังไม่อยากกลับ... ดวงตากลมโตหลังกรอบแว่นมองผมสักพักก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจลุกขึ้นยืนและเดินมาหาผมทางนี้
“กลับก็ได้ครับ”
อย่าทำเสียงแบบนี้ได้มั้ยเนี้ย
ผมมองคนข้างๆที่ดูจ๋อยลงอย่างเห็นได้ชัด
ปากเล็กๆน่ารักยื่นออกมาเล็กน้อยเหมือนกับกำลังเสียดายอะไรบางอย่าง
น้องหันไปโบกมือลาไก่นิรนามราวกับไม่อยากจะจากไป แต่จะให้อยู่ต่อก็ไม่ได้หรอกครับ
ผมไม่อยากให้น้องกลับดึก
น้องยังคงเดินก้มมองรูปในกล้องสลับกับหันไปมองตัวตึกที่กำลังเดินห่างออกมา
ให้ตายเถอะ ถ้ารู้ว่าชอบจะพามาตั้งแต่เช้าเลย
“คราวหน้าไปแกลเลอรี่ของพี่มั้ย”
ผมเอ่ยถามออกไป ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นแววตาเปล่งประกายทะลุแว่นของคนที่อายุน้อยกว่า
รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าน่ารัก มันเป็นรอยยิ้มกว้างที่ตัวผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นจากน้อง
แถมรอยยิ้มนั้นก็กำลังส่งมาให้ผมอีกด้วย...
“พี่จะพาผมไปเหรอ?”
“ถ้าเราอยากไปนะ”
“แล้วแกลเลอรี่ของพี่สวยหรือเปล่า?”
“สวยมั้ง...ไม่รู้สิ”
“พูดแล้วห้ามเบี้ยวนะ”
“ครับๆ”
ผมละสายตาจากอีกฝ่ายและเร่งฝีเท้าให้เดินนำหน้าน้องขึ้นมาเล็กน้อย
รอยยิ้มที่ไม่สามารถหุบลงได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผม ผมชอบชะมัดเวลาน้องคุยกับผมอย่างเป็นธรรมชาติ
ถึงเวลาเขินจะน่ารักเหมือนกัน แต่การที่น้องพูดกับผมแบบนี้มันดีกว่าจริงๆ
ผมเขินน้องว่ะ ทำไงดีวะ
หุบยิ้มไม่อยู่แล้วเนี่ย
....
“พี่แทฮยอง”
เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นมาจากคนด้านหลัง
เท้าของผมชะงักนิ่งพร้อมๆกับหัวใจที่เหมือนถูกกระชากแรงๆ ผมรีบหันกลับไปมองคนที่ส่งเสียงเรียกผมก่อนจะยิ่งแปลกใจเมื่อเห็นว่าเขากำลังถือกล้องเล็งมาทางนี้...
แชะ!
คนที่เพิ่งกดชัตเตอร์ส่งยิ้มกว้างจนตาแทบปิดมาให้ผม
น้องหัวเราะเบาๆในขณะที่ก้มลงเปิดรูปที่เพิ่งถ่ายเมื่อครู่ดู พอได้เห็นรูปที่ตัวเองถ่ายก็ยิ้มกว้างขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะชอบใจในสิ่งที่ตัวเองเพิ่งทำไป
“เป็นอย่างที่คิดจริงๆด้วย”
“....”
“ตอนเผลอก็ยังหล่อเหมือนเดิม”
น้องพูดด้วยน้ำเสียงปกติ ซึ่งมันก็ดังมากพอที่จะทำให้ผมที่ยืนอยู่ห่างไม่มากได้ยิน
ดวงตากลมโตของน้องละสายตาจากกล้องเลื่อนขึ้นมามองผม เราสบตากันอยู่สักพักก่อนที่น้องจะเป็นฝ่ายส่งยิ้มกว้างมาให้ผม...
“ขอบคุณที่พามานะครับ”
พูดจบก็เดินผ่านผมไปขึ้นรถด้วยท่าทีมีความสุข
ผมยืนอึ้งอยู่หลายวินาทีก่อนที่จะเริ่มกระพริบตาเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
อ่า...สติผมปลิวเพราะรอยยิ้มของน้อง
ถ้าน้องยิ้มบ่อยๆ
ผมคงไม่ตายเลยเหรอวะ
ผมอมยิ้มน้อยๆพลางหมุนตัวเดินไปยังรถของตัวเองที่มีคนขึ้นไปนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
หัวใจของผมยังคงเต้นแรงเมื่อนึกถึงชื่อของตัวเองที่ดังออกมาจากปากของน้อง
น้องเรียกชื่อของผมให้ได้ยินเป็นครั้งแรกเลยนะ
รู้สึกเหมือนตัวจะลอยๆ
ผมเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งอยู่หลังพวงมาลัยก่อนจะรีบกดปุ่มสตาร์ทและเปิดเพลงที่ฟังค้างไว้
ผมภาวนาลึกๆให้น้องไม่หันมาพูดอะไรกับผมตอนนี้ เพราะถ้าน้องพูด ผมคงจะทำตัวไม่ถูกแน่ๆ
ผมเหลือบสายตาไปมองคนข้างๆที่ตอนนี้ให้ความสนใจกับรูปในกล้อง ซึ่งมันก็เป็นสัญญาณที่ดีต่อจิตใจที่เริ่มไม่คงที่ของผม
เคยได้ยินมามากมายว่าการตกหลุมรักบางทีมันก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ
แต่ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขนาดนี้
...เพียงแค่รอยยิ้มกับเสียงเรียกชื่อ...
....
ผมตกหลุมรักน้องว่ะ
TALK ; ตายอย่างสงบศพสีชมพูเว่อร์
มีใครเขินบ้างมั้ยคะ คือเราเขินมากๆ เขินโคตรๆ เขินตัวโตๆ เขินใหญ่ๆไปเลย
ฮือออออออ หนูอยากได้พี่แทฮยองเป็นของตัวเองงงง กรี๊ดดดดดดดดดดดดด แง่มแง้ววววว
(อะ หวีดเองก็เป็น ขอเสียงคนหวีดเป็นเพื่อนด้วยค่ะ 555555)
ขอบคุณทุกคนที่ให้ความสนใจกับฟิคเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณมากจริงๆ ตอนแรกไม่คิดว่าจะมีคนมาอ่านเยอะขนาดนี้ 5555555 ตกใจมากจริงๆค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณยังไง
ได้แต่ตั้งใจหาเวลาปั่นฟิคให้อย่างดุเดือดท่ามกลางสมรภูมิมิดเทอมที่ไล่บี้เข้ามา
สองสามวีคนี้อาจจะมีหายๆไปนะ เพราะต้องรีบอ่านหนังสือแล้ว สอบวันแรกคือวันเกิดนกุก
อยากจะร้องไห้ แต่ไม่ได้หายลับนะคะ เดี๋ยวกลับมาอัพพพพ ไม่ทิ้งกันนนนน
ดูหนังบังทันจบไปเมื่อวันศ.แล้วดันอยากแต่งเหตุการณ์สั้นๆของโมเม้นอันยิ่งใหญ่ที่โผล่ในหนังค่ะ
(ใช่ค่ะ ฉากนั้นแหละ ตรงเครื่องบิน นี่สปอยปะวะเนี้ย55555 ใครยังไม่ได้ดูรีบไปดูนะ อินี่ไม่ไหวแล้ว ฮือ
คู่นี่มันต้องหลังกล้อง แม่เจ้าโว้ย ช่วยด้วย ฮืออออออ สายตาคนพี่มันกรี๊ดมาก)
จริงๆพิมพ์ไว้แล้วแต่รอหาโอกาสลงฮะ555555555
หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ
ใครชอบก็คอมเม้นกรีดร้องไม่ก็กดหัวใจให้เค้านิดนึงนะ เค้าจะได้รู้ว่ายังมีคนรออ่านอยู่
ทุกคนอ่านฟิคแล้วเขินขนาดไหน เราอ่านคอมเม้นก็เขินขนาดนั้นแหละค่ะ555555 ขอบคุณนะคะ เจอกันตอนหน้าน้าาาา ตอนหน้าเป็นตอนที่เรารอคอยอยากจะแต่งมากๆเลยค่ะ
ฮืออออ
Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ
( ‘เหรอ’ เขียนแบบนี้นะ ><)
ความคิดเห็น