ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Excuse me, Can I sniff you ? — vkook °

    ลำดับตอนที่ #6 : It's Not a Date Pt. 1

    • อัปเดตล่าสุด 5 ส.ค. 62



    Chapter 6 : It’s Not a Date Pt.1

     

                  ผมเคยได้ยินมาว่า จุดจบของบางสิ่ง คือ จุดเริ่มต้นของบางอย่างเสมอ

                  หากคำว่า คือ เป็นเสมือนเครื่องหมายเท่ากับ จุดเริ่มต้นก็อาจจะเป็นจุดจบของบางสิ่งเช่นกัน

                  แล้วเราจะแยกได้อย่างไรว่าตอนนี้เป็นจุดเริ่มต้นหรือจุดจบ


                  อาจจะอยู่ที่...มุมมอง?


                  ผมเชื่อว่าคนเราสามารถมองทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้มากกว่าหนึ่งมุมเสมอ อยู่ที่ว่าเราจะเลือกมองมุมไหนก็เท่านั้น

                  ยิ่งเราเปิดใจมองไปรอบๆได้กว้างมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเข้าใจโลกใบนี้ได้มากขึ้นเท่านั้น

                  คำถามคือ แต่เราจะเปิดใจได้กว้างเท่าไหนกันเชียว

                  อย่างน้อยๆก็น่าจะมีสิ่งที่เรียกว่า ความกลัว นี่แหละที่คอยปิดหูปิดตาและทำลายความกล้าของเราอยู่เสมอ

                  จากมุมนี้ ความกลัวก็คงเป็นสิ่งชั่วร้ายที่ควรกำจัดทิ้งไปให้พ้นๆ

                  แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง...จริงๆแล้วความกลัวก็ยังมีประโยชน์อยู่ไม่ใช่เหรอ?


                  ผมละสายตาจากผืนผ้าใบที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสันมากมายขึ้นไปมองภาพพระอาทิตย์ตกดินที่อยู่ตรงหน้า พระอาทิตย์ที่แสนโหดร้ายในตอนกลางวันกำลังแผ่แสงที่สวยงามที่สุดไปตามก้อนเมฆ สีแดงอมส้มผสมด้วยสีชมพูสะท้อนเข้ามาในดวงตาของผม


                  ใครจะไปรู้...อาจจะมีคนที่ว่าพระอาทิตย์ในตอนกลางวันกำลังชมพระอาทิตย์ในตอนนี้อยู่ก็ได้

                  จุดจบของช่วงเวลากลางวันกำลังจะมาถึง และจุดเริ่มต้นของเวลากลางคืนก็กำลังจะมาถึงเช่นกัน


                  อย่างว่าแหละ...อยู่ที่มุมมองจริงๆ


                  ครืดๆ


                  แสงจากโทรศัพท์ที่มืดสนิทมาตลอดช่วงบ่ายสว่างจ้าขึ้น เสียงแรงสั่นสะเทือนเรียกให้ผมออกจากภวังค์ความคิดที่เผลอจมดิ่งไปนานหลายนาที ผมหันไปเพ่งสายตาอ่านชื่อบนหน้าจอ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดไปจากการคาดเดาสักเท่าไหร่ ผมเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์มารับสายก่อนจะหันไปกดหยุดเพลงบรรเลงเบาๆที่เปิดทิ้งไว้


                  [ เปิดประตูหน่อยโว้ยยยยย ]


                  เสียงน่าปวดหัวดังออกมากระทบหูเข้าอย่างจัง ใบหน้าของผมบิดเบี้ยวเล็กน้อยก่อนจะถอนหายใจและเอ่ยตอบกลับไป


                  ดีที่มันส่งข้อความมาบอกก่อนตั้งแต่เมื่อวานว่าจะมาหาวันนี้

                  อย่างน้อยก็ยังมีความเกรงใจกันอยู่บ้าง


                  “รอแป๊บนึง ขอเก็บของก่อน เพิ่งวาดรูปเสร็จ”

                  [ เออ รีบๆล่ะ ]


                  สายถูกตัดไปอย่างรู้งาน ผมผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆเพื่อทิ้งความคิดและอารมณ์ที่เผลอสร้างขึ้นมาตลอดการวาดรูปในช่วงบ่าย ผมมองพระอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้าเป็นสิ่งสุดท้ายก่อนจะวางแปรงและลุกขึ้น จริงๆแล้วห้องนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้เป็นห้องนอนแต่เมื่อซื้อมาแล้ว ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจกับระเบียบแบบแผนเดิมสักเท่าไหร่


                  คอนโดของผมมีลักษณะเป็นคอนโดสองชั้นที่ชั้นหนึ่งแบ่งเป็นห้องครัว ห้องรับแขกขนาดใหญ่ และห้องว่างหนึ่งห้อง ส่วนชั้นสองเป็นห้องนอนที่มีกระจกใสขนาดใหญ่ไว้รับวิวพระอาทิตย์ตกดิน


                  ใช่ครับ ผมจัดการย้ายห้องนอนลงไปยังห้องว่างด้านล่างและจัดห้องด้านบนเป็นห้องวาดรูปแทน


                  “รอกันไม่เป็นหรือไง”


                  ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูที่คนข้างนอกจงใจเคาะแก้เบื่อ ผมถอนหายใจเตรียมรับกับความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วินาทีก่อนจะเอื้อมมือไปปลดล็อกและเปิดประตูออก


                  ....


                  “ไอ้เหี้ย เจอเพื่อนก็ยิ้มสิวะ”

                  “ถามกูสักคำยังว่าอยากเจอหรือเปล่า”


                  ผมถามโฮซอกที่แปรเปลี่ยนเป็นทำหน้ามุ่ยทันทีที่เห็นว่าผมเปิดประตูต้อนรับด้วยใบหน้าที่นิ่งสนิท ผิดกับเขาที่ฉีกยิ้มกว้างรออยู่ก่อนแล้ว ผมใช้เท้าดันประตูให้กว้างขึ้นเพื่อให้โฮซอกและแขกอีก 2 คนเดินเข้ามาด้านใน


                  “ถุย ดูหน้าก็รู้แล้วว่าอยากเจอ”

                  “มึงตาบอดหรือไง ใครเขาจะอยากเจอมึง”

                  “โหเฮีย ทำไมพูดจาใจร้ายงี้อะ”


                  โฮซอกหันไปงอแงใส่เฮียยุนกิที่ยืนทำหน้าเซ็งโลกอยู่ด้านหลัง เฮียใช้สายตานิ่งๆมองโฮซอกก่อนจะยกขาขึ้นถีบเบาๆให้อีกฝ่ายออกเดิน โฮซอกบ่นอุบอิบแต่ก็ยอมเดินหิ้วถุงบางอย่างเข้าไปในห้อง ผมหลุดหัวเราะออกมาเบาๆกับเหตุการณ์เมื่อครู่ผิดกับเฮียที่ถอนหายใจส่ายหัวด้วยความเอือมระอา ท่าทางจะโดนลากออกจากถ้ำแบบไม่ทันได้ตั้งตัวอีกแล้ว ไม่งั้นคงไม่มาในชุดเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบนี้หรอก


                  “ไงมึง วาดรูปเพลินเลยดิ”

                  “ก็ประมาณนั้นแหละเฮีย ติดลมไปหน่อย”

                  “อืม”


                  คนที่ส่วนสูงไม่ค่อยได้มาตรฐานเท่าไหร่เดินผ่านผมเข้าไปในห้องด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับผมมองตามเฮียด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มก่อนจะหันมามองอีกคนที่มือทั้งสองข้างถือถุงลักษณะเดียวกับโฮซอก แต่เดี๋ยว...ทำไมมันใหญ่จังวะ! ผมขมวดคิ้วทันทีเมื่อเห็นถุงที่ใหญ่กว่าปกติ และคาดว่าข้างในก็คงเป็นกระป๋องเครื่องดื่มที่หยิบมาแบบมั่วๆตามโฮซอกสไตล์


                  พวกมึงจะมาทำอะไรที่ห้องกูกันแน่ครับ


                  “กูไม่ได้ซื้อ โฮซอกเป็นคนซื้อ”


                  นัมจุนรีบออกปากปฏิเสธเมื่อเห็นว่าผมเริ่มทำสีหน้าไม่ไว้วางใจ ผมละสายตาจากถุงไปมองหน้านัมจุนก่อนจะถอนหายใจและขยับมือบอกให้เขาเดินเข้ามาในห้อง


                  “เออกูรู้ มึงไม่ซื้อเยอะขนาดนี้หรอก”


                  ผมตอบพลางแย่งถุงจากมือนัมจุนมาช่วยถือ แต่ก่อนที่ผมจะได้คุยอะไรกับนัมจุนต่อ เสียงโวยวายก็ดังออกมาจากห้องครัว ซึ่งเจ้าของห้องอย่างผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับให้ความวุ่นวายบุกรุกห้องตัวเองต่อไป


                  “แท กูมีเรื่องจะคุยกับมึงว่ะ”


                  จู่ๆนัมจุนก็เอ่ยขึ้น ผมหันไปมองหน้าเขาอย่างแปลกใจ ซึ่งสิ่งที่ได้พบก็คือสีหน้าและแววตาที่เคร่งเครียดกว่าเดิม ผมก็พอจะเดาออกว่านัมจุนจะพูดเรื่องอะไร มันมีอยู่ไม่กี่เรื่องหรอกที่ทำให้เพื่อนคนนี้ของผมเครียดได้ ผมอ้าปากจะเอ่ยตอบกลับแต่เสียงตะโกนจากในห้องครัวก็ดังขัดขึ้นเสียก่อน ผมกับนัมจุนมองหน้ากันอย่างรับรู้ชะตากรรมก่อนจะเป็นผมที่ถอนหายใจออกมาและพยักหน้ารับ


                  “ได้ แต่ไว้ก่อนนะ ขอไปเคลียร์ในครัวก่อน”

                  “เออ หนักฉิบหายเลยเนี้ย”


                  นัมจุนก้มลงมองถุงที่ตัวเองถืออยู่ราวกับมันเป็นภาระชิ้นโตในชีวิต เสียงโวยวายยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องและไม่ว่าจะฟังยังไง ผมก็ได้ยินแต่เสียงของโฮซอก ส่วนอีกหนึ่งชีวิตที่อยู่ในห้องครัวกลับเงียบสนิทราวกับไม่มีตัวตน


                  โวยวายเองคนเดียวก็เป็นว่ะเพื่อนกู


                  “มึงพูดอะไรคนเดียววะโฮซอก”


                  นัมจุนที่เดินตามผมเข้ามาในครัวเอ่ยถามคนที่กำลังก้มๆเงยๆหยิบของจากในถุงยัดใส่เข้าไปในตู้เย็น


                  “กูพูดกับเฮีย!

                  “อ่าว มึงพูดกับกูเหรอ?”


                  เฮียยุนกิที่ยืนกอดอกพิงโต๊ะทำอาหารอยู่เอ่ยถามพลางเบิกตาเล็กๆให้กว้างขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย ผมมองท่าทางกวนๆของเฮียก่อนจะหลุดขำออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ส่วนคนที่เป็นประเด็นก็รีบหันมายืนตั้งท่าเตรียมหาเรื่องเต็มที


                  ให้ตายสิ พวกนี้มาทีไรไม่เคยสงบเลยจริงๆ


                  “เฮีย! ผมอุตส่าห์ลากเฮียออกมาเจอโลกภายนอกนะ!!!

                  “กูขอมึงหรือยังเหอะ”

                  “ไม่ขอก็จะทำ! แล้วนี่มึงหัวเราะเหี้ยไรไอ้แท!!

                  “มึงแม่งขี้โวยวาย”


                  ผมเอ่ยตอบไปแบบขำๆก่อนจะหันมาจัดการหยิบกระป๋องน้ำต่างๆในถุงออกมาวางเรียงกันบนโต๊ะ นัมจุนคนดีที่ทนเห็นโฮซอกโวยวายต่อไปอีกไม่ไหวก็จัดการวางถุงลงข้างๆผมและพุ่งตัวเข้าไปล็อกคอโฮซอกให้ย้ายไปช่วยหาของที่พอจะทำกินแก้เบื่อแทน


                  “ไอ้นัมจุนมันทนอยู่กับไอ้บ้านี่ไปได้ยังไงวะ”


                  เฮียยุนกิที่ขยับตัวย้ายมายืนใกล้ๆผมเอ่ยขึ้นลอยๆพลางมองไปยังนัมจุนที่ตอนนี้เป็นฝ่ายรับกรรมยืนฟังโฮซอกพูดใส่ไม่หยุด มันไปอดอยากปากแห้งไม่ได้พูดมาจากไหนวะ เจอกันทีไรก็พูดหูดับตับไหม้เสียงดังไม่เคยเกรงใจใคร ได้ข่าวว่ามันกับนัมจุนก็อยู่ห้องเดียวกันไม่ใช่เหรอ ทำอย่างกับไม่ได้คุยกันมานานอย่างนั้นแหละ


                  “แท กูเก็บตู้เย็นให้มั้ย?”

                  “ขอบคุณครับเฮีย”

                  “แม่มึงนี่ก็ขยันทำอาหารมาให้เนอะ รู้ทั้งรู้ว่าลูกไม่มีเวลาทาน”

                  “ฮ่าๆ แม่ผมก็อย่างนี้แหละ”


                  ผมยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงผู้หญิงที่คลอดและเลี้ยงดูตัวเองมาอย่างดี ถึงผมจะแยกออกมาอยู่เองคนเดียวนานแล้ว แต่แม่ก็ยังแอบเอาของกินมาให้ถึงที่เสมอ แม่ชอบมาแบบไม่ได้บอกกล่าว รู้อีกทีก็มีของกินเต็มตู้ไปหมด จะปฏิเสธก็ไม่ได้ด้วย เดี๋ยวแม่งอนกลับไปฟ้องพ่อ


                  รายนั้นก็รักแฟนตัวเองมากเกิน ล่าสุดพ่อก็ลงทุนพาแม่ไปเกาหลีเพราะแม่บ่นอยากเจอนักร้องที่ตัวเองติ่งสมัยเรียน


                  “อันไหนยังทานได้ก็เก็บไว้นะเฮีย พรุ่งนี้ผมไม่มีเรียน ต้องอยู่ห้องทั้งวัน”

                  “อืม เดี๋ยวจัดการให้”


                  เฮียยุนกิหยิบกล่องสูญญากาศมากมายของแม่ผมออกมาวางเรียงและเปิดออกดมว่ากลิ่นยังปกติดีอยู่มั้ย เห็นง่วงๆแบบนี้ แต่เฮียยุนกิทำอาหารโคตรอร่อยเลย เสียดายที่เฮียไม่ค่อยชอบทำ โดยให้เหตุผลว่าแค่ออกไปซื้อของก็เหนื่อยแล้ว


                  คนพลังงานต่ำ ต้องเข้าใจเขานะครับ


                  “จริงๆพี่ซอกจินก็จะมาด้วย แต่ดันติดโชว์ปิ้งปลาสลิดที่ร้าน”

                  “แล้วเฮียไม่ไปโชว์กับเขาเหรอ หุ้นส่วนไม่ใช่หรือไง?”

                  “กูยอมไปยืนร้องเพลงหน้าหอดีกว่าไปปิ้งปลาสลิดโชว์กับไอ้พี่บ้านั่น ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำ ร้านหมูกระทะจำเป็นต้องมีโชว์แปลกๆทุกวีคเลยเหรอมึง”


                  ผมหัวเราะกับท่าทีขี้บ่นของเฮียยุนกิ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพี่ซอกจินต้องจัดโชว์แปลกๆที่ร้านทุกอาทิตย์ ทั้งโชว์กินกุ้งมังกรในคำเดียว โชว์รีดนมวัวที่เอาวัวจริงๆมาที่ร้าน แต่ที่แย่สุดก็คงเป็นการโชว์เล่นมุกสดของเจ้าตัว เล่นเอง ขำเอง ลูกค้าก็ขำนะ แต่พี่ซอกจินคงไม่รู้ว่าที่เขาขำกันเป็นเพราะเสียงหัวเราะของพี่แกล้วนๆ


                  “เฮ้ย ป๊อปคอร์นในถุงนี่มันทำยังไงวะ?”


                  เสียงโฮซอกเอ่ยถามขึ้น ผมที่กำลังยุ่งๆกับการเอาน้ำเอาขนมออกจากถุงจึงไม่ได้เงยหน้าขึ้นไปมองและเลือกที่จะเงียบเพื่อให้เฮียยุนกิตอบแทน


                  “เอาเข้าไมโครเวฟไง”

                  “แล้วต้องใช้เวลาเท่าไหร่อะเฮีย”

                  “พวกมึงสองคนจะถามทำซากอะไร อ่านวิธีทำบนฉลากสิวะไอ้ควาย”


                  หึๆ เป็นไงหล่ะ โดนด่าเลยสิพวกมึง


                  ผมยกยิ้มเมื่อเฮียยุนกิที่ยืนอยู่ตรงตู้เย็นเกรี้ยวกราดใส่อีกสองคนที่ยืนงงอยู่หน้าไมโครเวฟ ผมเหลือบสายตาขึ้นไปมองก็เห็นนัมจุนยืนขมวดคิ้วอ่านตัวอักษรเล็กๆบนกล่อง ส่วนโฮซอกก็ยืนทำหน้าบูดหันมาทางนี้


                  “ทำไมเฮียต้องเกรี้ยวกราด”

                  “มึงมันน่ารำคาญไงโฮซอก”

                  “ผมจะงอนเฮียแล้วนะ”

                  “เออ เรื่องของมึงเลย”

                  “จำไว้เลยนะเฮีย!!!

                  “ไม่จำ เรื่องมึงเปลืองสมองกูสุดแล้ว”

                  “เฮียยยยยยยยยย”


                  ผมยิ้มขำเมื่อเฮียก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนองกับความเป็นโฮซอก ส่วนคนที่ยืนฮึดฮัดอยู่ก็โดนนัมจุนเรียกให้หันกลับไปอ่านวิธีทำบนกล่องที่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกันทั้งคู่


                  เฮ้อ ชาตินี้ผมจะได้กินป๊อปคอร์นมั้ยดีกว่า


                  ผมวางน้ำอัดลม 3 กระป๋องสุดท้ายลงท่ามกลางกระป๋องเบียร์ที่เยอะกว่าประมาณ 4 เท่า เฮียยุนกิยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำภารกิจเก็บตู้เย็นให้ผมต่อไปอย่างแข็งขัน ผมอยากเข้าไปช่วยอยู่หรอกนะ แต่ก็ไม่รู้จะช่วยยังไงเพราะมันไม่ใช่งานที่ผมถนัดเอาเสียเลย


                  “ไอ้แท ถ้วยใหญ่ๆอยู่ตรงไหนวะ”

                  “ตู้ทางขวา”


                  ผมเอ่ยตอบนัมจุนไปโดยที่ยังคงใช้สายตาจ้องมองเฮียยุนกิที่ดมกล่องนู้นกล่องนี้ไปแบบเพลินๆ มีหลายกล่องเชียวที่ทานไม่ได้แล้ว รู้สึกแย่ชะมัด แต่ขอโทษนะครับแม่ แททานไม่ทันจริงๆ


                  เสียงกดไมโครเวฟดังขึ้นพร้อมกับเสียงไชโยเบาๆจากโฮซอก เพิ่งจะเวฟกันเหรอไอ้พวกบ้า จริงๆแค่เอาเข้าไมโครเวฟมันใช้เวลาไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ้ำ ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะต้องเลิกคิ้วสูงเมื่อจู่ๆเฮียยุนกิก็หันมาหา


                  “พวกมันถามหาถ้วยทำไมวะ?”

                  “ไว้ใส่ตอนเวฟเสร็จมั้งเฮีย”

                  “มึงคิดเหรอว่าพวกมันจะเตรียมพร้อมขนาดนั้น”


                  เออว่ะ ปกติโฮซอกไม่ใช่คนที่คิดล่วงหน้าสักเท่าไหร่ ส่วนนัมจุนก็ไม่ถนัดเรื่องทำนู้นทำนี้ในครัวอยู่แล้ว ล่าสุดยังเกือบทำร้านพี่ซอกจินไหม้เลย


                  แล้วทำไม...

                  ผมกับเฮียยุนกิหันไปมองอีกสองคนอย่างพร้อมเพรียง โฮซอกกำลังยืนหัวเราะเอิ้กอ้ากโม้เรื่องอะไรบางอย่างกับนัมจุนอยู่ คิ้วของผมขมวดเข้าหากันพลางเพ่งสายตาไปยังไมโครเวฟที่มีแสงสีส้มๆแผ่ออกมาเล็กน้อย


                  ....


                  ทำไมถ้วยถึงไปอยู่ในนั้นวะ?!!!


                  ผมมองด้วยความรู้สึกงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น ป๊อปคอร์นที่ผมมีมันเป็นแบบสำเร็จรูปไม่ใช่เหรอ? ป๊อปคอร์นสำเร็จรูปที่พอโยนถุงเข้าไปในไมโครเวฟเม็ดมันก็จะแตกและถุงก็จะขยายใหญ่


                  แล้วทำไมมันไม่มีถุงแต่กลับมีถ้วยอยู่ในนั้นวะ


                  “ไอ้เหี้ย!!! พวกมึงทำเหี้ยไรกันวะ?!


                  ในระหว่างที่ผมกำลังยืนงงอยู่ จู่ๆเฮียยุนกิก็ตะโกนลั่นจนโฮซอกและนัมจุนสะดุ้งหันมามอง พวกมันมองผมสลับกับเฮียยุนกิด้วยแววตาตั้งคำถามก่อนจะเป็นโฮซอกที่เริ่มทำหน้าแตกตื่น


                  “อะไรเฮีย ผ-ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ”

                  “กดหยุดไมโครเวฟเดี๋ยวนี้!!!

                  “เดี๋ยวสิเฮีย จะกดหยุดทำไม มันก็...”


                  และในตอนนั้นเองที่ผมได้รู้ว่าทำไมเฮียยุนกิถึงมีท่าทีตกใจขนาดนั้นเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นถุงป๊อปคอร์นที่โดนตัดและของด้านในก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้ว


                  เดาได้ไม่ยากว่าเมล็ดข้าวโพดโดนเทใส่ถ้วยในไมโครเวฟไปหมดแล้ว


                  และที่สำคัญไอ้ถ้วยใบนั้นเสือกไม่มีฝาปิด


                  ไอ้เหี้ยเอ๊ยยยยยยยย


                  “ไอ้ควายยยยย กดหยุดเดี๋ยวนี้!!!

                  “ไรวะไอ้แท นี่มึงก็เป็นไปกับเฮียอีกคนเหรอ กูจะน้อยใจแล้วนะ”


                  น้อยใจบ้านพ่อมึงสิ ไมโครเวฟกูจะระเบิดเพราะพวกมึงเนี้ย!!!


                  “สัตว์!!!

                  “ไอ้แทใจเย็นดิวะ อย่าไปด่าโฮซอกสิ”

                  “เหี้ยเอ๊ยยยยย นัมจุนมึงกดหยุดไมโครเวฟเดี๋ยวนี้!!!

                  “ไม่ จนกว่ามึงจะใจเย็น”

                  “ใจเย็นเหี้ยไร ไมโครเวฟกูระเบิดแล้วสัตว์!!!!


                  ผมตะโกนลั่น ใจหนึ่งก็อยากจะพุ่งตัวไปกดปิดเอง แต่อีกใจก็กลัวว่ามันจะระเบิดขึ้นมาตอนผมเข้าไปกด ไอ้เวรเอ๊ยยยย พวกมึงช่วยกดหยุดให้กูได้มั้ยครับ แม่งงงงงง


                  “หะ?”

                  “ระเบิด?”


                  ....


                  “เฮ้ยยยยยยย”

                  “ไอ้ฉิบหาย!!!!


                  โฮซอกกับนัมจุนพร้อมใจกันแหกปากลั่นแล้วรีบวิ่งออกห่างจากไมโครเวฟ โอ๊ยยยยยยย กูไม่ได้บอกให้พวกมึงหนี พวกมึงไม่มีสิทธิ์หนี พวกมึงต้องกดหยุดไมโครเวฟให้กู!!!!


                  “ไอ้เหี้ยๆ ทำยังไงดีวะ ไอ้แททำยังไง?!

                  “สัตว์ ก็กูบอกให้มึงกดหยุด”

                  “ไม่เอาโว้ย!!! กูไม่กล้า!!! นัมจุนมึงทำเร็ว”

                  “กูไม่ทำ!!!

                  “ไอ้เหี้ยยยยย ไอ้เพื่อนเลววววว”

                  “พวกมึงทั้งคู่นั่นแหละเพื่อนเลว กดหยุดให้กูเดี๋ยวนี้!!!!!


                  สิ้นเสียงตะโกนของผมทั้งห้องก็เงียบสนิทก่อนที่เสียงเปาะแปะจะเริ่มดังขึ้น ผมเบิกตากว้างหันไปมองไมโครเวฟที่ด้านในเริ่มมีการขยับตัวแปลกๆ และตอนนั้นเองที่เสียงโฮซอกกรีดร้องโหยหวนดังขึ้นราวกับเสียงประกอบภาพยนตร์สยองขวัญ


                  ป๊อปคอร์นคลั่งฆ่าล้างโคตร


                  “เงียบ!!!!!!


                  กึก!


                  “พวกมึงหุบปากไปให้หมด”


                  ทุกอย่างชะงักนิ่งทันทีที่เฮียยุนกิตะโกนแทรกขึ้นมา ผมกับโฮซอกและนัมจุนมองหน้ากันก่อนจะหันไปมองเฮียยุนกิที่ตอนนี้ถือกระทะไว้ในมือ


                  เชรดเข้ มีอุปกรณ์


                  เฮียยุนกิค่อยๆเดินถือกระทะเป็นโล่เดินไปยังไมโครเวฟ ผมกับเพื่อนอีกสองชีวิตที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งมองตามด้วยแววตาลุ้นสุดขีด และในไม่กี่อึดใจ เฮียยุนกิก็เอื้อมมือไปกดปุ่มยกเลิกบนตัวเครื่อง แสงสีส้มดับลงพร้อมๆกับเสียงเปาะแปะที่ค่อยๆดังช้าลง


                  เฮ้อ...


                  ผมถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เฮียยุนกิลดกระทะในมือลงก่อนจะหมุนตัวหันมามองนัมจุนกับโฮซอกด้วยสายตาหงุดหงิด


                  “พวกมึงทำเหี้ยไรกันเนี้ย?!

                  “ก็พวกผมไม่รู้หนิเฮียยยยย”

                  “กูก็บอกให้มึงอ่านฉลาก แล้วทำไม...”


                  ตู้ม!!!!


                  ....


                  ไอ้เหี้ย...เกิดอะไรขึ้นวะ...


                  ผมที่ปิดหูและย่อตัวลงที่พื้นตามสัญชาตญาณเอาตัวรอดค่อยๆลืมตาขึ้น หัวใจของผมเต้นแรง สมองก็เบลอด้วยความตกใจ


                  ระ...ระเบิดเหรอ?


                  ก็เฮียยุนกิปิดแล้วไง ทำไม...


                  “ฮ-เฮีย...”


                  ผมเอ่ยเรียกคนที่จำได้ว่าอยู่ใกล้ไมโครเวฟที่สุดก่อนจะรีบผุดตัวลุกขึ้น ดวงตาที่เบิกกว้างด้วยความแตกตื่นมองไปยังจุดเกิดเหตุอย่างมีความหวัง...


                  ....


                  เอ๋?


                  ผมมองเฮียยุนกิที่ยืนหลับตาแน่นเอากระทะบังหัวตัวเองไว้ ก็ไม่ได้เป็นอะไรหนิ ผมเลื่อนสายตาไปยังไมโครเวฟที่อยู่เลยหลังเฮียไป อ่าว ไมโครเวฟผมก็ดูปกติดี ผมกลับมาสบตากับเฮียยุนกิที่สุดท้ายก็กล้าลืมตาขึ้น เฮียมองผมด้วยสายตาอึ้งๆก่อนจะรีบลดกระทะในมือลงและหันไปยังไมโครเวฟ


                  ทำไมมันไม่ระเบิดวะ ก็เมื่อกี้นี้มัน...


                  “โทษทีเพื่อน เมื่อกี้เสียงโทรศัพท์กูเอง แหะๆ”


                  นัมจุนเอ่ยขึ้นพลางล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมาชูให้เห็น โฮซอกที่เผลอคว้ามีดมาถือไว้ก็รีบหันไปมองคนข้างๆด้วยท่าทีที่ยังคงตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่


                  “ไอ้เหี้ย...”


                  เฮียยุนกิอุทานก่อนจะทรุดตัวลงนั่งที่พื้น ส่วนผมก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกที่ไม่เกิดเหตุอะไรขึ้นในห้องของตัวเอง


                  บ้าหรือไงวะ ตั้งเสียงแจ้งเตือนเป็นเสียงระเบิด แล้วเอาซะเหมือนเลยนะมึง


                  หัวใจเกือบวายตาย!!!!


                  “อ-ไอ้...กูจะฆ่ามึง!!!!

                  “กูขอโทษโว้ยยยยยย มึงๆ มึงวางมีดลงก่อน”

                  “ไม่!!! กูเกือบกลั้นหายใจตายไปแล้วมั้ยล่ะ!

                  “เชี้ยยยยยยย”


                  และความวุ่นวายก็ดำเนินต่อไป




     

                  สรุปมึงมีเรื่องอะไรจะคุยกับกูวะ?


                  ผมเปิดกระป๋องน้ำอัดลมพลางทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา นัมจุนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ฝั่งขวาเลื่อนสายตาขึ้นมองผมก่อนจะยกกระป๋องเบียร์ในมือขึ้นจิบ เฮียยุนกิกับโฮซอกเดินมานั่งลงเช่นกัน โดยที่โฮซอกมีป๊อปคอร์นถ้วยใหม่ติดมือมาด้วย


                  “ได้ข่าวว่ามึงชวนน้องกูไปเที่ยว”

                  “มึงรู้ได้ไงวะ?”


                  ผมเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เรื่องที่ผมชวนน้องไปเที่ยวโดยใช้ข้ออ้างเงินหนึ่งพันบาทเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้และผมเองก็ไม่ได้บอกใครด้วย


                  “จองกุกมาถามกูว่าไปดีมั้ย”

                  “มึงเป็นผู้ปกครองหนิเนอะ”


                  ผมเอ่ยยิ้มๆเมื่อลืมนึกไปว่านัมจุนเป็นเหมือนพี่ชายของน้อง เท่าที่รู้มาก็ไม่ได้เป็นพี่น้องกันจริงๆหรอก แต่ด้วยความที่สนิทกันมาก น้องจะนับถือนัมจุนเป็นพี่จริงๆก็ไม่น่าแปลกใจอะไร


                  แต่แอบตกใจนิดหน่อยที่น้องไปปรึกษานัมจุน

                  ขอคิดเข้าข้างตัวเองได้มั้ยว่าน้องคิดมากเรื่องของผม

                  เฮ้อ รู้งี้ขอนัมจุนก่อนดีกว่า เรื่องจะได้ง่ายหน่อย


                  “คราวก่อนที่กูอนุญาต รู้ใช่มั้ยว่ากูเห็นใจมึงและก็อยากให้จองกุกได้รู้จักคนใหม่ๆบ้าง”

                  “....”

                  “ถึงมึงจะไปทักน้องกูด้วยประโยคโคตรเหี้ยอย่างนั้นก่อนก็เถอะ”


                  ก็คนมันตกใจนี่หว่า จู่ๆก็ได้กลิ่นหอมแบบนั้น


                  ผมเถียงกลับไปแต่ก็เป็นเพียงในใจเท่านั้น ไม่กล้าโต้ตอบกลับไปตรงๆหรอกครับ น้องอยู่ในกำมือของนัมจุน ลองนัมจุนสั่งห้ามน้องไม่ให้ยุ่งกับผมสิ เหอะๆ น้องก็คงยอมทำตามโดยไม่สงสัยถามอะไรเป็นแน่แท้


                  “กูไม่ทำอะไรน้องมึงหรอก”

                  “ตอนนี้มึงยังไม่ทำไง”


                  หือ?


                  คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคที่นัมจุนพูดออกมา ผมยกกระป๋องน้ำอัดลมขึ้นดื่มก่อนจะหันไปมองนัมจุนที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่


                  “หมายความว่าไง”

                  “กูรู้ว่าตอนนี้มึงอยู่ใกล้น้องกูเพราะอะไรและความรู้สึกของมึงตอนนี้อย่างมากสุดก็แค่เอ็นดูน้องกู”

                  “....”

                  “จองกุกเองก็คงยังไม่ได้รู้สึกอะไรกับมึงไปมากกว่ารุ่นพี่ที่โคตรแปลกประหลาด”


                  พูดขนาดนี้มึงด่ากูโรคจิตเลยเถอะ


                  ผมมองหน้านัมจุนด้วยสมองที่ยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่มันต้องการสื่อ ผมหันไปมองโฮซอกกับเฮียยุนกิที่นั่งอยู่อีกฝั่ง โฮซอกดูไม่ได้สนใจอะไรกับเหตุการณ์ตอนนี้มากนัก ผิดกับเฮียที่นั่งฟังอย่างจริงจัง


                  “มึงต้องการจะบอกอะไรกูวะนัมจุน”


                  ผมเอ่ยถามออกไปตรงๆ พอเรื่องจริงจังล่ะชอบพูดอ้อมโลก อย่างว่าแหละนัมจุนมันเป็นคนใจดี มันจะถนอมจิตใจคนรอบข้างเสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ระหว่างที่ผมนั่งรอฟังคำขยายความจากนัมจุน เสียงถอนหายใจก็ดังมาจากเฮียยุนกิ เฮียหยิบเบียร์กระป๋องใหม่ไปเปิดก่อนจะเป็นฝ่ายไขข้อข้องใจของผม


                  “ที่นัมจุนจะบอกก็คือ ตอนนี้มึงยังไม่คิดล้ำเส้นอะไรกับน้อง และน้องก็ยังไม่คิดอะไรกับมึง แต่ถ้าวันหนึ่งน้องรู้สึกกับมึงขึ้นมาทั้งๆที่มึงก็แค่เอ็นดู เรื่องมันจะยุ่งเข้าใจมั้ย”

                  “....”

                  “วันนี้มันเลยอยากจะมาถามมึงว่ารู้สึกยังไงกับน้องกันแน่”

                  “....”

                  “กูพูดถูกมั้ยนัมจุน”

                  “อืม ตามที่เฮียบอกนั่นแหละ”


                  ที่แท้ก็เป็นห่วงน้องสินะ


                  ผมพยักหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าผมเข้าใจในสิ่งที่มันต้องการสื่อ นัมจุนคงคิดมากเรื่องนี้จนเผลอมโนไปไกลมากแน่ๆ แต่ผมก็เข้าใจมันนะ เข้าใจดีเลยด้วย เพราะเรื่องความรู้สึกมันละเอียดอ่อน ยิ่งกับคนที่ดูข้างในเปราะบางแบบน้องแล้วด้วย...


                  ตัดไฟแต่ต้นลม...ถ้าผมไม่ได้คิดอะไรก็ควรวางตัวให้ดี นัมจุนคงคิดแบบนั้น


                  “เฮ้อ จะว่ายังไงดีล่ะมึง”

                  “....”

                  “เอาตรงๆกูก็ยังไม่มั่นใจมากขนาดนั้นว่ะ กูรู้สึกอยากอยู่ใกล้ๆน้อง ตอนแรกก็คงเป็นเพราะกลิ่นแหละ แต่ตอนนี้กูว่าแม่งไม่ใช่”

                  “....”

                  “น้องมึงแม่งโคตรน่ารักเลย น่าเอ็นดูด้วย ยังรู้จักกันไม่นานแต่เหมือนน้องมาเปิดสวิตช์สัญชาตญาณการดูแลคนอื่นของกูอะ กูเห็นน้องแล้วกูอยากจะเข้าไปอยู่ใกล้ๆ อยากช่วยอยากดูแล”

                  “แบบพี่น้อง?”

                  “แล้วจากที่มึงมอง มึงคิดว่าแบบไหนล่ะ พี่น้องหรืออย่างอื่น”


                  ผมถามนัมจุนกลับ ถ้ามันมั่นใจว่าผมคิดแค่พี่น้อง มันก็คงไม่มานั่งถามผมจริงจังขนาดนี้หรอก นัมจุนสบตากับผมก่อนจะถอนหายใจและเลื่อนสายตาไปมองทางอื่น บรรยากาศในห้องเริ่มตึงเครียดเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคนเดียว...


                  “กูรู้ว่าเรื่องความรู้สึกมันเร่งกันไม่ได้”

                  “....”

                  “แต่มึงรีบมั่นใจได้มั้ย อย่างน้อยก็เพื่อจองกุก”


                  สุดท้ายนัมจุนก็เรียบเรียงประโยคที่ดีที่สุดออกมา ซึ่งมันก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด


                  “อืม กูไม่ทำให้น้องเสียใจหรอก”

                  “....”

                  “น้องไม่เหมาะกับการเสียใจ”

                  “ก็ดี”


                  นัมจุนกับผมพยักหน้าพร้อมกันเป็นอันเข้าใจว่าได้ตกลงกันแล้ว โฮซอกก็แสนรู้งาน มันส่งถ้วยป๊อปคอร์นมาให้กินเหมือนรอคอยเวลาที่ผมกับนัมจุนจะเคลียร์กันเสร็จ


                  “งั้นกูบอกน้องให้ไปกับมึงได้แล้วกัน”


                  พูดจบก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งหาใครบางคนที่พนันได้เลยว่ายังไงก็ต้องเป็นน้องแน่ๆ เห็นแล้วก็อิจฉา ผมน่ะตั้งแต่โดนบล็อกคราวนั้นก็ไม่กล้าจะส่งข้อความไปหาน้องสักเท่าไหร่ ถ้าผมเผลอส่งอะไรไปไม่ถูกใจแล้วน้องกดบล็อกผมอีกรอบขึ้นมาจะทำยังไง


                  น้องกล้าบล็อกไลน์ผม นั่นแหละที่ทำให้ผมกลัว


                  “รู้งี้กูขอมึงก่อนตั้งแต่แรกดีกว่า”


                  ผมเอ่ยลอยๆและยัดป๊อปคอร์นเข้าปาก เฮียยุนกิหยิบรีโมทไปเปิดทีวีดูเป็นที่เรียบร้อย ส่วนโฮซอกก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกมส์ พอเรื่องจบก็เอาใหญ่เชียวนะครับ แหม


                  “แล้วมึงจะพาน้องไปไหน?”

                  “ไปทานข้าว”

                  “แค่นั้น?”

                  “จะแค่นั้นได้ไงเล่า อยู่ที่ว่าตอนนั้นน้องอยากทำอะไร”

                  “....”

                  “ถ้าน้องสนใจอยากทำอะไร กูก็จะพาน้องทำหมดแหละ”


                  ผมเอ่ยตอบตามความคิดของตัวเองที่ตั้งใจไว้พลางเหม่อมองไปยังจอโทรทัศน์ที่กำลังฉายรายการเพลงอยู่ นัมจุนเองก็เงียบไปเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิดของตัวเอง


                  “แล้วถ้าจองกุกไม่อยากไปกับมึงล่ะไอ้แท”

                  “ไอ้นี้ มึงอย่าพูดอย่างนั้นดิวะ กูยิ่งไม่มั่นใจในตัวเองอยู่”


                  ผมหันไปว่าโฮซอกที่กำลังนั่งหัวเราะ ให้ตายเหอะ สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุดก็คงเป็นการที่น้องปฏิเสธนี่แหละ ถึงมันจะมีวิธีบังคับอยู่ก็ตามเถอะ แต่ผมก็ไม่อยากทำไง ผมอยากเป็นคนดีๆในสายตาน้องบ้าง


                  “จะว่าไป...เป็นมึงก็ดี”


                  หือ?


                  ผมเลิกคิ้วสูงและหันไปมองนัมจุนที่จู่ๆก็พูดขึ้นด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม มันหันมามองผมก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ ผมไม่เข้าใจในสิ่งที่มันพูดจนกระทั่งมันเอ่ยปากขยายความในประโยคถัดมา...


                  “มึงเป็นคนช่างสังเกต ถึงจองกุกไม่พูด มึงก็น่าจะมองออกว่าน้องต้องการอะไร”

                  “....”

                  “ดูแลดีๆล่ะ”

                  “อื้ม”


     

                  .

                  .

                  .

                  .


     

    สุดสัปดาห์


                ชุดนี้ก็น่าจะโอเคแล้วแหละ


                  ผมมองตัวเองในกระจกอย่างไม่ค่อยมั่นใจว่าควรแต่งตัวแบบนี้ออกไปกับคนที่นัดผมไว้ดีหรือเปล่า กางเกงยีนส์กับเสื้อยืดโอเวอร์ไซต์สีดำมันจะดูธรรมดาไปมั้ย มันจะโอเคกับสถานที่ที่พี่เขาจะพาไปหรือเปล่า


                  ไม่มั่นใจเลย


                  ทั้งชีวิตผมไม่ค่อยได้มีโอกาสออกไปเที่ยวกับใครสักเท่าไหร่ พอถึงเวลาเข้าจริงๆเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไง


                  หลังจากนั่งเครียดมาทั้งคืน ในที่สุดก็สรุปกับตัวเองได้ว่าควรใส่อะไรที่สบายๆ ผมขยับแว่นมองตัวเองในกระจกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะถอนหายใจและหันไปหยิบกระเป๋าคาดตัวใบเล็กมาใส่โดยไม่ลืมที่จะเช็คก่อนว่าเงินหนึ่งพันบาทยังอยู่ดีหรือไม่


                  โอเค ยังอยู่ดี


                  เมื่อมั่นใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ผมก็หยิบโทรศัพท์เดินมาใส่รองเท้าผ้าใบสีขาวตรงประตู พี่แทฮยองบอกว่าจะมารับตอนสิบโมง ผมไม่รู้ว่าพี่เขาจะมาถึงหรือยัง แต่ยังไงก็ลงไปรอที่หน้าหอก่อนแล้วกันเนอะ


                  ผมล็อกประตูห้องให้เรียบร้อยก่อนจะเดินลงบันไดมาด้านล่าง ตอนแรกผมก็ลังเลอยู่นานว่าควรจะตอบรับคำชวนของพี่แทฮยองดีมั้ย จะว่ายังไงดี...ไม่เชิงว่าผมกลัวพี่เขาหรอกนะ แต่แค่มันมีบางอย่างบอกให้ผมคิดมาก


                  ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะคิดมากเรื่องพี่เขาไปทำไม

                  ถึงขนาดที่ต้องทักไปปรึกษาพี่นัมจุน


                  ผมเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยจนมาถึงด้านล่างของหอและทันทีที่ผมเงยหน้าขึ้นไปมองด้านนอก ดวงตาก็ต้องเบิกกว้างเมื่อรถคันหรูที่ผมไม่คิดว่าจะมาก่อนเวลากำลังจอดอยู่


                  ด-เดี๋ยวสิ ทำไมมาเร็วล่ะ นัดกัน 10 โมงไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เพิ่ง 9 โมงครึ่งเอง ไม่ใช่ว่ามารอที่นี่ก่อนนานแล้วหรอกนะ


                  ให้ตายสิ ผมกลายเป็นฝ่ายทำให้พี่เขารอเหรอ


                  ผมรีบเร่งฝีเท้าวิ่งเหยาะๆไปยังรถสีขาวมุกด้วยจิตใจที่วุ่นวายกว่าก่อนหน้านี้ แต่พอมาถึงใกล้ๆก็พบว่ารถไม่ได้สตาร์ทไว้และเจ้าของก็ไม่น่าจะอยู่บนรถด้วย ผมยืนมองยานพาหนะตรงหน้าด้วยความรู้สึกงุนงงถึงที่สุด


                  ....


                  “อ๊ะ!


                  ผมสะดุ้งและผละตัวถอยหนีทันทีที่มีความเย็นแตะเข้าที่แก้มข้างขวาของตัวเอง ผมรีบหันไปมองสาเหตุของความเย็นก่อนที่จะชะงักเมื่อเห็นรอยยิ้มกว้างของใครอีกคนปรากฏอยู่บนสายตา...


                  ไง


                  เจ้าของรอยยิ้มสดใสเอ่ยทักทายพลางยกนิ้วขึ้นมาจิ้มแก้มผมตรงบริเวณที่โดนความเย็นไปเมื่อกี้ ผมมองพี่แทฮยองด้วยความแปลกใจก่อนจะยิ่งแปลกใจมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่าอีกมือหนึ่งของเขากำลังถือแก้วน้ำที่มีนมชมพูบรรจุอยู่ด้านใน


                  “สวัสดีครับ”


                  ผมเอ่ยตอบกลับไปเสียงเบาพลางใช้สายตาไล่มองคนตรงหน้า พี่แทฮยองใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวใหญ่ๆที่ปลดกระดุมด้านบนลงสองเม็ด ปลายเสื้อถูกยัดเข้าด้านในกางเกงสแล็คสีดำที่พอดีกับความยาวขา ส่วนแขนเสื้อที่ยาวเกินไปก็ไม่ถูกให้ความสนใจพับขึ้น แต่พอพี่เขายกมือปลายแขนเสื้อกลับขยับเผยให้เห็นสร้อยข้อมือเส้นเล็กๆกับแหวนบนนิ้ว


                  บางทีผมก็แปลกใจว่าคนที่ดูดีแบบนี้ทำไมถึงมาให้ความสนใจกับผมมากนัก


                  “ซื้อมาให้”


                  คิ้วของผมเลิกขึ้นสูงเมื่อนมเย็นถูกส่งมาให้รับไว้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ผมมองน้ำสีชมพูที่ถูกย้ายมายังมือของผมก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองอีกฝ่าย


                  “พี่ไม่ทานเหรอครับ?”

                  “พี่ซื้อไปทานบนรถแล้ว เห็นว่าอร่อยดีก็เลยลงมาซื้อให้เรา”


                  อ๋อ... ผมพยักหน้ารับแล้วก้มลงดูดนมเย็นที่ได้มา อืม...หวาน แต่ไม่ได้หวานมากจนเลี่ยน ผมดื่มนมเย็นไปสองสามอึกก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้


                  “งั้นพี่ก็มานานแล้วสิ”


                  ผมรีบถามด้วยน้ำเสียงตื่นๆ ให้ตายเถอะ ถ้าเขามีเวลาซื้อนมเย็นให้ตัวเองก่อนก็แสดงว่าเขามาถึงที่นี่ก่อนนานพอสมควร แล้วทำไมไม่ไลน์บอกล่ะ ผมจะได้รีบลงมา งี้เขาก็รอนานเลยสิ ผมพ่นคำบ่นออกมาในใจมากมายพลางเบือนสายตามองไปทางอื่น แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆดังออกมาจากคนตรงหน้า พี่แทฮยองมองผมยิ้มๆก่อนจะเอื้อมมือมาแตะใต้คางของผมเบาๆ...


                  “รอได้ครับ จะให้รอนานกว่านี้พี่ก็รอเราได้ ไม่ต้องทำหน้าเครียดขนาดนั้นหรอก”

                  “พี่นัมจุนสอนว่าห้ามให้คนอื่นรอ”

                  “อยู่กับพี่ก็ทำนิสัยเสียบ้างก็ได้ พี่ไม่ว่าหรอก”


                  ผมที่กำลังดูดนมเย็นไปอีกหนึ่งอึกชะงักค้างก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นมองพี่แทฮยองด้วยความแปลกใจกับคำพูดของเขา ดวงตาสีดำสนิทมองผมด้วยแววตาอบอุ่นก่อนจะยื่นมือเข้ามาจับหลอดที่ผมดูดอยู่ ปลายนิ้วเรียวแตะเข้ากับริมฝีปากเย็นจัดของผมเพียงเสี้ยววิก่อนที่หลอดจะถูกดึงออกจากปากของผมไป


                  “แต่พี่ไม่อนุญาตให้เรากัดหลอดนะครับ”

                  “พี่นัมจุนยังไม่ว่าผมเลย!

                  “ฮ่ะๆ ขึ้นรถเถอะ จะได้ไปกัน”


                  ผมเผลอทำปากยื่นใส่อีกฝ่ายแล้วดึงหลอดตัวเองกลับเข้ามาใส่ปาก พี่แทฮยองหัวเราะเบาๆก่อนจะเอามือมาดันผมให้หมุนตัวเดินไปยังประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับ


                  “แต่งตัวแบบนี้ก็เหมาะกับเราดีนะ”

                  “ครับ?”


                  ผมหันไปมองคนด้านหลังที่จัดการเปิดประตูให้เสร็จสรรพ เหอะๆ ผมไม่ทำรถพี่เป็นรอยหรอกครับ ไม่ต้องหวงรถเบอร์นี้ก็ได้ แต่อย่างว่าแหละมันแพงหนิ ผมก้าวเข้าไปอยู่ระหว่างประตูกับตัวรถที่พร้อมจะเข้าไปนั่งเป็นครั้งที่ 3 พี่แทฮยองวางมือข้างซ้ายของเขาลงตรงขอบประตูก่อนจะส่งยิ้มแสนดูดีมาให้


                  ทำไมวันนี้...พี่เขาดูยิ้มเก่งกว่าปกติ


                  “ดูน่ารักดีครับ”


                  ....


                  ทำไมจู่ๆหัวใจมัน...


                  ผมขึ้นไปนั่งบนรถด้วยสภาพสมองที่หยุดทำงานไปชั่วขณะ ประตูถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนที่ปล่อยระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ เขาเดินอ้อมไปขึ้นทางฝั่งคนขับก่อนจะจัดการสตาร์ทรถด้วยความรวดเร็ว ผมหันไปมองใบหน้าด้านข้างของอีกฝ่ายช้าๆและรีบกลับมาก้มมองมือของตัวเองที่วางไว้บนตัก


                  น่ารัก? มันใช่คำที่สมควรชมคนอย่างผมเหรอ?


                  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆหวังบอกหัวใจที่เกิดคึกคักทำงานเร็วขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุให้เต้นช้าลงอีกนิด เพราะตอนนี้ผมรู้สึกร้อนวูบวาบที่หน้าอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน รถค่อยๆเคลื่อนไปด้านหน้าตามการควบคุมของเจ้าของ ผมมองไปยังถนนในซอยด้วยสายตาเบลอๆก่อนจะสะดุ้งเมื่อจู่ๆคนข้างๆก็เรียกชื่อผม


                  “จองกุก”

                  “ค-ครับ?”

                  “คาดเข็มขัดด้วย”

                  “อ่า ครับๆ”


                  ผมรีบหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดให้เรียบร้อยพลางลอบพ่นลมหายใจหนักๆออกมาโดยระวังไม่ให้อีกฝ่ายสังเกตเห็น แต่ลมหายใจก็ต้องกระตุกเมื่อเสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามขึ้น


                  “กลัวเหรอ?”

                  “ค-ครับ? เอ่อ ไม่ได้กลัวนะ”

                  “หือ?”


                  พี่แทฮยองหันมามองเล็กน้อยเมื่อผมดันตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก ผมสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพราะรู้สึกเหมือนออกซิเจนในปอดจะไม่เพียงพอขึ้นมาซะงั้น


                  ทำไมจู่ๆก็ทำตัวไม่ถูกแบบนี้ ให้ตายเถอะ นี่ยังเช้าอยู่เลยนะ กว่าจะได้กลับหอ ผมคงไม่ช็อคตายไปก่อนเลยเหรอ


                  อยากหนีไปเข้าห้องน้ำอีกแล้ว ฮือ




     

                  “นี่ครับ”


                  ผมยื่นเงินหนึ่งพันบาทไปให้คนที่กำลังนั่งทานอาหารญี่ปุ่นอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ เขาช้อนตาขึ้นมองธนบัตรสีเทาในมือของผมก่อนจะถอนหายใจแล้วยอมรับคืนไปแต่โดยดี


                  “ไม่ได้ใช้เลยสินะ”

                  “ก็พี่ฝากไว้หนิครับ ผมจะใช้ได้ยังไงล่ะ”


                  ผมตอบแล้วคีบปลาแซลม่อนเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากที่พี่แทฮยองให้ผมนั่งคิดมาตลอดทางว่าอยากทานอะไร สุดท้ายเราก็มาจบกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ในห้างใจกลางเมือง ตอนแรกผมก็เถียงขาดใจว่าให้พี่เขาเป็นฝ่ายเลือกร้านดีกว่า เงินหนึ่งพันบาทที่จะเลี้ยงก็เป็นเงินของเขา แต่คิดเหรอครับว่าคนอย่างผมจะเถียงสู้ได้


                ถ้ายังไม่ยอมเลือกร้าน พี่จะพาเราไปทานข้าวที่บ้านให้มันจบๆ เอามั้ย?


                  และนั่นคือคำขู่ที่ผมได้รับ ใครเขาจะไปบ้านพี่!! แค่นี้ผมก็ไม่อยากจะยุ่งกับพี่ไปมากกว่านี้แล้วครับ เฮ้อ พูดมาแบบนี้ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกไปจากการยอมทำตามที่อีกฝ่ายต้องการ สุดท้ายผมก็กลั้นใจบอกสิ่งที่อยากทานให้เขารับรู้


                  ผมเคี้ยวอาหารที่อยู่ในปากพลางมองอีกฝ่ายที่กำลังคีบซูชิคำโตไปยังจานของตัวเอง แต่จะว่าไปก็แปลก คราวนี้ผมไม่ได้รู้สึกเกร็งกับพี่แทฮยอง ทั้งๆที่ปกติเวลามาทานอาหารกับคนที่ไม่สนิทผมจะกินได้น้อยแท้ๆ ผมมองแซลม่อนที่หดหายไปอย่างรวดเร็วก่อนจะเงยหน้ากลับไปหาคนตรงข้าม


                  ....


                  หือ?


                  ผมรีบกลั้นเสียงหัวเราะที่จะหลุดออกมาไว้อย่างสุดชีวิตแล้วรีบบังคับให้มุมปากของตัวเองหุบยิ้มลง แต่มันก็ไม่ทันการ เมื่อพี่แทฮยองเลื่อนสายตาขึ้นมาเห็นท่าทีของผม คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันอัตโนมัติราวกับต้องการถามว่าผมขำอะไร


                  และท่าทางแบบนั้นนั่นแหละครับ ที่ทำให้สุดท้ายผมก็ไม่สามารถกลั้นเสียงหัวเราะได้อีกต่อไป


                  “ฮ่าๆ คำใหญ่ไปก็แบ่งสิครับ อย่ายัดเข้าไปเยอะเกินสิ”


                  ผมเอ่ยปากบอกคนอายุมากกว่าแล้วเอื้อมมือหยิบกระดาษทิชชู่ส่งไปให้ คนที่กำลังเคี้ยวซูชิจนแก้มบวมออกมาทั้งสองข้างชะงักก่อนจะหรี่ตามองผมอย่างคาดโทษ เขายอมรับทิชชู่จากมือของผมไปโดยดีและรีบขยับฟันเคี้ยวของในปากกลืนลงกระเพาะ


                  ผมจะไม่ขำเลยนะ ถ้าพี่เขาไม่แก้มป่องขนาดนั้น


                  คราวที่ได้นั่งตรงข้ามกันในร้านหมูกระทะ ผมไม่ได้สนใจการกินของพี่แทฮยองมากนัก อาจเป็นเพราะตอนนั้นกังวลจนเกินไป แต่มาคราวนี้ผมรู้สึกสบายใจกว่าครั้งก่อน ทำให้ผมสังเกตเห็นว่าพี่เขาจะยื่นริมฝีปากออกมาเล็กน้อยเวลาเคี้ยว พอไปรวมกับแก้มป่องๆที่มาจากการมีอาหารอยู่ในปากมากเกินไป มันเลยทำให้ผมหลุดขำออกมาอย่างห้ามไม่ได้


                  ใครจะไปคิดว่าคนที่ดูดีมากๆคนหนึ่งจะเปลี่ยนบุคลิกทันทีเวลาทานอาหาร


                  “หยุดหัวเราะได้แล้ว”


                  คนที่เป็นสาเหตุทำให้ผมหัวเราะเอ่ยเสียงดุพลางเอากระดาษทิชชู่เช็ดปาก


                  “ก็มันขำหนิครับ ฮ่ะๆ”

                  “มีอะไรน่าขำ แค่กินคำใหญ่ไปเท่านั้นเอง”

                  “พี่ก็รู้ว่าตัวเองหน้าตาดี เวลากินก็ช่วยกินให้หล่อๆเหมือนหน้าหน่อยสิครับ”


                  ผมพูดยิ้มๆก่อนจะก้มลงมาสนใจอาหารของตัวเองต่อ แต่พอเคี้ยวไปสักพัก ผมก็รู้สึกว่าอีกคนเงียบไปและนั่นก็เป็นสาเหตุทำให้ผมเริ่มคิดมาก ...ทำไมเงียบไปหล่ะ? หรือไม่ชอบที่เราพูดไปเมื่อกี้ โอ๊ยจองกุก อีกแล้วเหรอ พูดไม่คิดอีกแล้ว... ผมด่าตัวเองในใจพลางเงยหน้าขึ้นไปสบตากับพี่แทฮยอง แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อพี่เขากำลังนั่งเท้าคางมองผมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม...


                  “จะชมว่าพี่หล่อก็พูดตรงๆได้นะครับ”

                  “....”

                  “ชมอ้อมๆแบบนี้พี่เขิน”


                  !!!!


                  ไปกันใหญ่แล้ว!


                  อะไรคือการที่พี่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่หันไปดื่มน้ำ ทำเหมือนไม่กล้ามองหน้าผมแบบนั้นล่ะครับ?! ผมอ้าปากค้างกับท่าทีที่ดูคิดเองเออเองแบบสุดๆของอีกฝ่ายก่อนจะรวบรวมสติและปฏิเสธออกไป


                  “ม-ไม่ใช่! ผมไม่ได้ชมพี่!

                  “ไม่ทันแล้วครับ ได้ยินเต็มสองหูเลยว่าหล่อ”

                  “ผมไม่...”

                  “หาจังหวะชมพี่นานมั้ย เล่นเอาใจสั่นเลยนะเนี้ย”


                  โอ๊ย ปวดหัว


                  ผมมองรอยยิ้มขี้เล่นของพี่แทฮยองก่อนจะพ่นลมหายใจแรงๆออกมาอย่างหงุดหงิด ผมไม่ได้จะชมพี่!!!...ถึงแม้ในประโยคจะมีคำชมก็เถอะ แต่ผมไม่ได้ตั้งใจจะชมโว๊ยยยยยย ผมส่งสายตาดุที่สุดในชีวิตไปให้พี่แทฮยองที่ยังคงนั่งยิ้มตาพริ้ม


                  ฮึ่ย!!!!


                  “โอ๋ๆ ไม่ต้องเขินจนหน้าดำหน้าแดงขนาดนั้นก็ได้”

                  “ผมไม่ได้เขิน!

                  “แต่ชมว่าพี่หล่อ”

                  “ไม่...”

                  “น่ารักเหมือนกันนะเรา”


                  อย่าชมผมว่าน่ารักได้มั้ยเล่า!!! ความรู้สึกร้อนแปลกๆเริ่มไล่ขึ้นมาจนถึงใบหู ผมเม้มริมฝีปากมองใบหน้าที่...เออ!!! หล่อก็ได้ ยอมรับก็ได้ว่าพูด! พอใจหรือยัง!! ผมตะโกนในใจเสียงดังลั่นก่อนจะขยับขาของตัวเองฟาดใส่ขาของคนตรงข้ามด้วยความหมั่นไส้


                  ปึก!


                  “โอ๊ย!


                  สมน้ำหน้า!


                  ผมมองพี่แทฮยองที่ตอนนี้ใบหน้าหล่อๆ หล่อแบบโคตรหล่อของพี่เขาบิดเบี้ยวไปด้วยความเจ็บ ดวงตาคมตวัดขึ้นมามองหน้าผมก่อนจะก้มลงไปจับๆขาตัวเอง


                  “กล้าเตะพี่?”

                  “ครับ แต่พี่หาเรื่องผมก่อน”


                  ผมพูดปกป้องตัวเองเสร็จก็กอดอกเบือนหน้าหนีไปมองทางอื่น ใครใช้ให้พี่แกล้งผมก่อนล่ะ มันทำตัวไม่ถูกเข้าใจบ้างมั้ย ผมไม่ได้มีภูมิคุ้มกันเรื่องพวกนี้มากเหมือนคนอื่นนะ โดนผมเตะนิดแตะหน่อยก็ดี จะได้ไม่ต้องมาแกล้งกันอีก ผมคิดและตั้งใจว่าจะเมินพี่แทฮยองไม่ว่าพี่เขาจะพูดอะไรก็ตาม แต่มันก็ไม่เป็นไปตามที่ผมคิด เมื่อประโยคถัดมาที่พี่เขาพูดสามารถทำให้ผมสะดุดเข้าอย่างจัง


                  “จองกุก”

                  “....”

                  “พี่เจ็บนะ”

                  “....”


                  จ-เจ็บเหรอ?


                  ผมค่อยๆหันกลับไปสบตากับพี่แทฮยองช้าก่อนจะพบว่าเขาพูดด้วยสายตาจริงจัง ...แย่แล้ว... เจ็บจริงดิ หัวใจของผมเหมือนตกวูบลงไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อได้รู้ว่าการกระทำของผมเมื่อครู่ทำให้พี่เขาเจ็บจริงๆ ผมว่าผมยั้งแรงแล้วนะ พี่ไม่น่าเจ็บมากนี่นา ทำไม...


                  “...ขอโทษครับ”


                  ผมเอ่ยเสียงเบา ตัวก็รู้สึกเหมือนหดเล็กลงจนเหลือเพียงไม่กี่เซ็น ริมฝีปากของผมเม้มแน่นและความกดดันแบบแปลกๆก็ถูกสร้างขึ้นมาทับตัวของผมเอง ผมไม่ได้ตั้งใจให้พี่เขาเจ็บนะ ใครจะไปคิดว่ามันจะเจ็บขนาดนี้เล่า


                  “เขินแล้วใช้ความรุนแรงแบบนี้ ตัวพี่ก็ช้ำกันพอดีสิครับ”


                  ....


                  หือ?


                  ผมรีบเงยหน้าขึ้นจากความรู้สึกผิดที่เผลอจมลงไปก่อนจะพบว่าพี่แทฮยองกำลังนั่งยิ้มมองผมราวกับไม่เคยเจ็บที่ขามาก่อน


                  เดี๋ยวสิ อย่าบอกนะว่า...


                  “ล้อเล่นครับ :)


                  ผมไม่คุยกับพี่แล้ว!!!!


                  เสียงหัวเราะอันน่าหมั่นไส้ของพี่แทฮยองดังขึ้นก่อนที่เขาจะหันไปบอกพนักงานให้คิดเงิน ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาเจอคนแบบนี้ในชีวิตด้วยนะ คนที่จัดการด้วยยาก น่ารำคาญ น่าหงุดหงิดไปหมด แถมยังโรคจิตอีกต่างหาก ผมอยู่อย่างสงบสุขมาตลอดเกือบ 20 ปี เพิ่งจะมาสติแตกหงุดหงิดที่สุดก็ตอนที่ได้เจอคนๆนี้นี่แหละ


                  ทั้งหงุดหงิดทั้งทำตัวไม่ถูก


                  พอพี่แทฮยองจ่ายเงินเสร็จ ผมก็รีบลุกออกจากร้านไปด้วยสีหน้าบึ้งตึงอย่างปิดไม่มิด ไม่รู้ล่ะ ผมจะกลับ ผมหงุดหงิด ขืนอยู่กับพี่เขานานกว่านี้คงได้สติแตกกลายเป็นคนบ้าแน่ๆ


                  “จองกุก”


                  เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นไล่หลังมาพร้อมกับฝีเท้าที่วิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ผมรีบสับขาเดินหนีแต่สุดท้ายมันก็ไม่พ้นฝ่ามือที่มาคว้าแขนของผมไว้ให้หยุดเดิน แผ่นหลังของผมเอนไปกระแทกเข้ากับตัวของคนด้านหลัง ซึ่งผมก็รีบตั้งหลักยืนและหันกลับไปมองด้วยความรวดเร็ว


                  “ผมจะกลับ”

                  “ไม่ให้กลับ นี่เพิ่งเที่ยงเอง”

                  “ผมไม่อยากอยู่ให้พี่แกล้งแล้วนะ”

                  “ไม่แกล้งแล้วก็ได้ อยู่กับพี่ก่อนนะ พี่ยังไม่อยากกลับห้อง”


                  ผมสบตากับคนที่ยกนิ้วก้อยขึ้นมาราวกับจะบอกว่า ถ้าไม่เชื่อกันจะให้สัญญาไว้ก็ได้นะ


                  สัญญาอะไรล่ะ เป็นเด็กหรือไงกัน


                  ผมมองนิ้วก้อยที่ชูอยู่ตรงหน้าสลับกับคนที่ยังคงจับแขนของผมเอาไว้แน่น ดวงตาคู่สวยมองผมด้วยสายตาที่แฝงสัญญาณการอ้อนเอาไว้


                  อันตราย

                  คนๆนี้อันตรายชะมัด


                  ผมนิ่งไปและปล่อยให้สมองประมวลผล เมื่อกี้ผมยังหงุดหงิดจะเป็นจะตายอยู่เลย ทำไมตอนนี้กลับมาลังเลแบบนี้ล่ะ บ้าบอชะมัด พี่เขาต้องวางยาอะไรผมแน่ๆ! ผมขมวดคิ้วยุ่ง ความหงุดหงิดเริ่มกลับมาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพราะพี่แทฮยอง ผมกำลังหงุดหงิดที่ตัวเองมีอารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างรวดเร็ว


                  เปลี่ยนเพราะคนที่กำลังทำตัวเหมือนอ้อนผมอยู่นี่แหละ


                  “นะ”

                  “นะอะไรครับ”

                  “อยู่ด้วยกันก่อนนะ”


                  พี่แทฮยองส่งยิ้มตาปิดกลับมาให้ เล่นเอาตาผมแทบเบลอเพราะออร่าแปลกๆที่แผ่ออกมาจากรอยยิ้ม เนี่ย นี่ก็เป็นอีกอย่างที่ผมหงุดหงิด


                  ทำไมผมต้องรู้สึกแพ้พี่แทฮยองตลอดเลยด้วย


                  “โอเคๆ ก็ได้ครับ แต่พี่ห้ามแกล้งผมอีกนะ”


                  พูดจบผมก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วจะผละตัวออกห่างจากเขา แต่แขนเจ้ากรรมก็ดันโดนอีกฝ่ายล็อกไว้เสียก่อน ผมจึงเซกลับมายืนชิดกับพี่แทฮยองเหมือนเดิม ผมกำลังจะหันไปโวยวายแต่ก็มีสิ่งที่เรียกว่านิ้วก้อยยกขึ้นมาแทรกเสียก่อน


                  “เกี่ยวก้อยเร็ว”

                  “ไม่เกี่ยวครับ โตแล้ว”

                  “โตแล้วก็เกี่ยวได้”

                  “เอ๊ะ พี่”


                  ผมเตรียมตัวจะเถียงพี่แทฮยองกลับไปชุดใหญ่ แต่คำพูดทั้งหมดก็ต้องถูกเก็บไว้เมื่อการเกาะกุมถูกเปลี่ยนจากแขนมาเป็นแก้มทั้งสองข้างแทน ดวงตาหลังกรอบแว่นของผมเบิกกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน


                  นอกจากแม่แล้วก็ไม่เคยมีใครทำแบบนี้กับผม


                  แก้มของผมถูกทาบด้วยมืออุ่นๆทั้งสองข้างของคนที่อายุมากกว่า เสียงหัวใจก็เต้นเร็วและดังขึ้นจนผมไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นหัวใจของตัวเอง ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผ่านเลนส์แว่นเข้ามาในตาของผมก่อนจะเผยยิ้มจางๆที่ทำเอาสติที่เหลืออยู่ของผมถูกพัดปลิวไป...


                  “นี่”


                  คนตรงหน้าเอ่ยเสียงเบาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน มือเรียวยาวของเขาขยับยกแก้มของผมขึ้นลงบีบเข้าคลายออกราวกับเป็นก้อนนุ่มนิ่มอะไรสักอย่าง แต่สภาพผมในตอนนี้ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะยกมือขึ้นห้าม


                  ร่างกายของผมเหมือนถูกตรึงไว้ด้วยดวงตาสวยคู่นั่น


                  “ไม่รู้ตัวเลยเหรอว่ายิ่งหงุดหงิด...”

                  “....”

                  ก็ยิ่งน่ารัก


                  !!!!


                  “หยุดทำให้พี่ใจเต้นได้แล้ว”

                  ....

                  “พี่ก็เหนื่อยเป็นนะครับน้องจองกุก”


     

                  .

                  .

                  .

                  .


     

                  เฮ้ยๆๆๆๆๆ ทำไมมันจับแก้มน้องอย่างนั้นวะ?! กูจะแจ้ง กูจะแจ้ง!!!


                  ผมยืนกอดอกพิงกำแพงมองคนที่กำลังนั่งยองๆโผล่หัวออกไปสอดแนมด้วยสายตาสุดเอือมระอา แค่แต่งตัวมิดชิดปิดหน้าปิดตามากกว่าคนทั่วไปก็ผิดปกติมากพอแล้ว ยังจะมาทำตัวลับๆล่อๆอีก


                  “โฮซอก กลับเหอะ แทมันไม่ทำอะไรจองกุกหรอก”

                  “ไม่ได้! นัมจุนสั่งกูมา แลกกับค่าเช่าห้องครึ่งนึงเลยนะโว้ยจีมิน”


                  ผมกลอกตาหนึ่งตลบก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองคนสองคนที่กำลังยืนแกล้งกันอยู่กลางห้าง ผมไม่เห็นว่าจะมีอะไรน่าเป็นห่วง จองกุกมันไม่ใช่คนโง่ ส่วนแทฮยองก็ไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องไม่ดีสักหน่อย


                  ท่าทางนัมจุนจะขี้หวงไม่ใช่เล่น


                  “โฮซอก กลับ”

                  “เดี๋ยวดิวะ”

                  “ไม่งั้นกูกลับก่อนแล้วนะ”

                  “เฮ้ยๆ อย่าเพิ่งทิ้งกู กูไม่อยากกลับเองงงง”


                  โฮซอกตวัดแขนมากอดขาผมไว้อย่างรวดเร็ว ผมพ่นลมหายใจหนักๆก่อนจะออกแรงลากอีกฝ่ายไปทั้งๆที่เขาเกาะขาของผมเอาไว้


                  สวัสดีครับ ผมชื่อพัคจีมิน อายุ 22 ปี มีคนบอกว่าผมเป็นศูนย์รวมของความหล่อ น่ารัก และเซ็กซี่ วันว่างๆชอบอ่านหนังสือกับไปคาเฟ่แมว ชอบขับบิ๊กไบก์เพราะได้เสยผมเวลาถอดหมวก รถแพงๆก็มีนะครับแต่ไม่ใช้ ความสูงอาจจะไม่มาก แต่ที่ผ่านมาก็ไม่มีคนไหนบอกว่าความสูงของผมเป็นปัญหา


                  สำหรับวันนี้ ผมโดนโฮซอกลากลงจากเตียงตั้งแต่ 8 โมงเช้าเพื่อมาสอดแนมการเดท


                  เดท?


                  ส่วนตัวแล้วผมไม่ค่อยอินกับคำว่าเดทสักเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะผมยังไม่เคยอยากทำอะไรแบบนี้กับใครมาก่อน


                  อืม...


                  แต่ถ้าเป็นเดทบนเตียงก็ว่าไปอย่าง

     

     

     

     

    TALK ;   กรี๊ดพี่แทฮยอง กด 1 , กรี๊ดจีมิน กด 2 , ให้กำลังใจน้องกุก กด 3  ใครจะว่ายังไงไม่รู้แต่เราขอกระทืบแป้นเลข 2 แรงๆไปเลยค่ะ กรี๊ดดดดดดดดดดดด ฉันหาซีนพี่พัคใส่ได้แล้วเว้ยแกร อร๊ายยยยยยยยย แย่งซีนพี่แทฮยองหมดเลยโว้ย นี่ฉันทำอะไรลงไปปปป

                  สวัสดีค่ะทุกคนนนน ในวีคที่ผ่านมาเราค่อนข้างเจอเรื่องหนักหนาสาหัสและมีเรื่องให้ผิดหวังนิดหน่อย ก็เลยรู้สึกคิดถึงทุกคนมากเป็นพิเศษ 555555 เซฟโซนเราอยู่ในโลกของการเขียนจริงๆ รีบมาอัพที่สุดแล้วนะ ;_;ทช้าไม่ทันใจก็ต้องทำใจกันไปนะคะ5555555

                  ตอนนี้พี่แทฮยองถึงเนื้อถึงตัวมากกว่าเดิม ถึงขั้นจับแก้มน้องแล้วค่ะ ส่วนจกุกก็เริ่มแสดงตัวตนที่เป็นธรรมชาติออกมาให้พี่แทเห็นมากขึ้น น้องเริ่มเปิดใจอย่างไม่รู้ตัว เราอยากให้ฟิคเรื่องนี้ค่อยๆเป็นค่อยๆไปในเรื่องความรู้สึก จะให้หวังอะไรปุ๊บปั๊บก็คงไม่ได้นะคะ55555555 แต่ใจอิไรท์คือวิ่งไปนู้นแล้วววว แอบคิดเหมือนกันนะว่าจะแต่งคู่รองดีมั้ย แต่ก็คงแยกเรื่องไปเลยเพราะไม่อยากให้มีปัญหาสำหรับคนที่ไม่ได้ชิปคู่นั้นเนอะ เราจุ๊ๆแอบคิดอยากแต่งอยู่คู่นึง แต่ไม่รู้ว่ามีประชากรร่วมเรือมั้ย55555555 ใครชิปคู่ไหนอีกก็ลองบอกมาได้นะคะ

                  Talkตอนนี้อาจจะยาวหน่อยนะ เพราะอยากพูดถึงฉากบางฉากที่อาจจะดูแปลกๆในสายตาบางคน ซึ่งฉากนั้นก็คือฉากที่จองกุกได้นั่งใกล้พี่แทในคลาสอันเป็นสาเหตุมาจากผู้ช่วยสอนบอกให้ย้ายที่ ซึ่งถ้าใครเรียนมหาลัยจะรู้ว่าเหตุการแบบนี้แทบไม่น่าเกิดขึ้น55555555 แต่มันเกิดขึ้นจริงๆกับเราเองค่ะ และมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของฟิคเรื่องนี้ด้วย เรานั่งแบบจองกุกเลยแต่โดนสั่งใหเขยิบที่ เพราะคนเริ่มเต็มห้องและที่นั่งตรงกลางแถวไม่มีใครนั่ง อินี่โดนบอกให้เขยิบเพื่อให้คนมาช้าได้เข้ามานั่งริม ซึ่งบอกเลยว่าหงุดหงิดมากๆ5555555 คุณเพื่อนก็บอกว่า “อาจจะมีคนหล่อๆมานั่งก็ได้นะมึง” ไอ้เราก็ตอบกลับไปว่า “จองกุกอะหรอ? หรือพี่แท?” หลังจากตอบเพื่อนไป จู่ๆสารเคมีชิปเปอร์ก็หลั่งในสมองและฟิคก็เกิดขึ้นอย่างว่องไว จบค่ะ555555555

                  หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ ใครชอบก็คอมเม้นท์ กดให้กำลังใจ หรือจะไปพูดคุยในแท็กก็ได้นะ แต่ในแท็กจะแวะไปตอบได้ง่ายหน่อย555555 เราจะมีกำลังใจแต่งฟิคหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับแรงเชียร์ของทุกคนแล้วนะคะ กริ๊บกริ๊วววววววว ขอบคุณทุกคนมากนะค้าบบบบบบ /ไหว้ย่อประหนึ่งนางงาม

     

    Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ ( เหรอเขียนแบบนี้นะ ><)

    Twitter : @yumsyou


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×