ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Excuse me, Can I sniff you ? — vkook °

    ลำดับตอนที่ #5 : Gets Angry

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 62



    Chapter 5 : Gets Angry

     

                  “พี่ได้กลิ่นไม่ชัดเลย”

                  “....”

                  “คงต้องลองดมใกล้ๆก่อน”


                  ....


                  พี่ขอดมใกล้ๆหน่อยได้มั้ยครับ?


                  อ-อะไรนะ


                พี่ขอดมใกล้ๆหน่อยได้มั้ยครับ?’

                พี่ขอดมใกล้ๆ...

                ...ดมใกล้ๆ...


                  ดมใกล้ๆ!!!!!


                  ผมเบิกตากว้างมองใบหน้าแสนดูดีที่มักเป็นจุดเด่นเสมอไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหน ทำไมจู่ๆก็มาอยู่ใกล้ขนาดนี้ล่ะ?! ผมกระพริบตารัวๆก่อนจะกดหัวไปยังเบาะข้างหลังหวังให้เกิดระยะห่างเพียงเล็กน้อยก็ยังดี แต่ความหวังของผมก็ต้องสลายหายไปเมื่อเขาขยับเข้ามาใกล้อีก ผมมองดวงตาคู่สวยด้วยลมหายใจที่เริ่มติดขัด ปลายจมูกที่ใกล้จะชนกันยิ่งทำให้ผมคิดอะไรไม่ออก


                  พี่เขาหล่อ

                  หล่อมากๆด้วย


                  มือที่วางอยู่บนหนังสือทั้งสองข้างค่อยๆขยับเข้ามาจับประสานกันด้วยความประหม่า ...ทำยังไงดี ทำยังไงดี ทำยังไงดี... ผมถามตัวเองวนไปวนมาซ้ำๆ เมื่อกี้ผมพูดถึงเรื่องกลิ่นหมูกระทะไม่ใช่เหรอ ทำไมมาจบแบบนี้ได้ล่ะ ผมเม้มริมฝีปากแน่น สมองก็เริ่มเบลอจนอยากจะหนีหลับไปเสียดื้อๆ


                  “เอ่อ...”

                  “....”

                  “พ-พี่หมายถึง...”

                  “....”

                  “ก-กลิ่นหมูกระทะใช่มั้ยครับ?”


                  ผมกลั้นใจถามออกไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะอีกฝ่ายอยู่ใกล้เพียงนิดเดียว แววตาจริงจังวูบไหวเล็กหน่อยก่อนที่ริมฝีปากจะยกยิ้มขึ้น


                  ผมไม่ไหว...ไม่ไหวกับสิ่งที่กำลังเจออยู่


                  “ไม่ใช่ครับ พี่ไม่ได้หมายถึงกลิ่นหมูกระทะ”

                  “....”

                  “พี่หมายถึงกลิ่นเรา”

                  “ต-แต่ว่าผมกำลังพูดถึงกลิ่นหมู...”

                  “ตอบคำถามพี่ก่อนสิครับ”


                พี่ขอดมใกล้ๆหน่อยได้มั้ยครับ?


                  จู่ๆน้ำเสียงของเขาที่พูดประโยคนั้นก็ดังขึ้นมาในหัวอีกรอบ โอ๊ยยยยยย ผมไม่ชอบเลยเวลาที่ตัวเองทำอะไรไม่ถูก แถมจะหนีก็หนีไม่ได้อีก ผมเลื่อนสายตาไปมองประตูรถซึ่งเป็นทางหนีเดียวของตัวเอง แต่มันก็ถูกขวางไว้ด้วยแขนที่มาคร่อมกั้นไว้


                  เอาไงดีล่ะจองกุก แกจะทำยังไง


                  ผมกลับมาสบตากับพี่แทฮยองอีกครั้งด้วยใจที่กล้าๆกลัวๆ เขายังคงมองผมด้วยแววตาเฝ้ารอคำตอบ ถ้าผมไม่ตอบอะไรออกไป เขาก็คงไม่ยอมปล่อยผมลงจากรถเป็นแน่


                  “ถ้า...”

                  “....”

                  “ถ้าผมตอบว่าไม่ได้...พี่จะว่าอะไรมั้ยครับ”


                  ผมกลั้นใจถามออกไปในที่สุดก่อนจะรีบหลบตามองต่ำลง ความเงียบกลับมาครอบคลุมรถทั้งคันอีกครั้ง เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนานมากๆ พี่แทฮยองยังคงเงียบสนิทและผมก็ไม่คิดที่จะเลื่อนสายตากลับขึ้นไปมองหน้าพี่เขาด้วย


                  “ว่าสิ”

                  “ต-แต่ผมไม่ชอบให้ใครมาโดนตัว”

                  “แค่ดมครับ ไม่ใช่หอม”


                  หือ?


                  ผมชะงักเมื่อฉุกคิดอะไรบางอย่างได้ สมองน้อยๆของผมเริ่มประมวลผลความแตกต่างระหว่างคำว่าดมและคำว่าหอมที่เป็นกริยา ถึงจะคล้ายกันแต่มันก็ต่างกันอยู่นะ ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนสมัยเด็กๆที่แม่ชอบเรียกให้ผมวิ่งเข้าไปหอม ตอนนั้นผมแนบจมูกเข้ากับแก้มของแม่เต็มแรง


                  นั่นคือการหอม แต่ดมนี่มัน...


                  “ถ้าพี่จะดมใกล้ๆ...ตอนนี้ผมว่าก็ใกล้มากแล้วนะครับ”


                  ผมแย้งออกไปก่อนที่หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นมาอีกจังหวะเมื่อพี่แทฮยองเอียงใบหน้าและโน้มเข้ามาจนลมหายใจแตะเข้าที่ใบหูของผม ผมจะขยับตัวหนีไปด้านข้างแต่ไหล่ก็ไปชนกับแขนที่เท้าเบาะอยู่ของพี่เขา ทำให้สุดท้ายก็ไม่สามารถหนีจากลมหายใจร้อนๆได้


                  “พ-พี่ มันใกล้ไป”

                  “ก็ทำให้เรารู้ไงครับ...ว่ามันยังใกล้ได้อีก”


                  น้ำเสียงทุ้มต่ำของเขาดังอยู่ใกล้ใบหูของผมมากๆจนต้องรีบหดคอหนี พอผมหนี พี่เขาก็ขยับตามมาติดๆ ลมหายใจของผมเริ่มติดขัดและสุดท้ายก็เผลอกลั้นหายใจไปโดยไม่รู้ตัว ผมเกร็งตัวนิ่งก่อนจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองแรงๆเพื่อเรียกสติ


                  ผมใช้สายตาที่เริ่มเบลอแม้จะใส่แว่นมองไปยังไหปลาร้าของอีกฝ่ายที่โผล่พ้นเสื้อมาให้เห็นในระยะประชิด เสียงสูดลมหายใจเข้าลึกๆและผ่อนออกของเขาดังชัดเจนยิ่งกว่าเสียงลมหายใจของผมอีก ท่ามกลางสถานการณ์ที่ผมตกเป็นรองและไม่สามารถหนีไปไหนได้ ประสาทสัมผัสบางอย่างก็บังเอิญทำงานได้ดีจนเกินไป


                  ...กลิ่นสะอาดจัง...


                  ผมคิดในใจพลางมองไปยังบ่าของคนตรงหน้าที่น่าจะเป็นที่มาของกลิ่นสะอาด แต่ในจังหวะที่สมองเริ่มกลับมาว่างเปล่า จู่ๆพี่แทฮยองก็ขยับแขนที่เท้าเบาะอยู่ให้ชิดเข้ามาหาผมยิ่งกว่าเดิม ทำให้ตอนนี้ผมเหมือนกำลังจะถูกพี่เขากอดอย่างไรอย่างนั้น


                  ด-เดี๋ยวสิครับ แบบนี้มัน...


                  “พี่อย่าแกล้งสิครับ ผมจะร้องไห้แล้วนะ”


                  ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนแรงพลางยกมือขึ้นไปดันช่วงบ่าของคนอายุมากกว่าให้ออกห่าง ผมได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอของเขา แต่ด้วยสภาพตัวเองที่สับสนมึนงงทำให้ผมไม่โต้ตอบอะไรออกไป


                  “ร้องไห้ก็แย่สิครับ พี่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”


                  ยังไม่ได้ทำอะไร?


                  พี่ทำเต็มๆเลยครับ!!!


                  คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อรู้สึกติดใจกับสิ่งที่พี่แทฮยองพูดออกมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเขาอยู่ห่างจากผมในระยะที่ปลอดภัยกว่าเดิม ซึ่งนั่นก็ช่วยให้ผมกลับมาหายใจได้เป็นปกติอีกครั้ง


                  “ค่อยๆเป็นค่อยๆไปแล้วกันเนอะ”


                  หมายความว่ายังไง...?


                  ผมสบตากับพี่แทฮยองอย่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด เขามองสีหน้างงๆของผมแต่ก็ไม่ได้พูดอธิบายอะไรออกมา เขาทำเพียงส่งยิ้มอ่อนโยนกลับมาให้ รอยยิ้มของเขาดูไม่มีพิษไม่มีภัยผิดกับการกระทำเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง


                  “พี่ดีใจที่วันนี้เราทานเยอะนะ”


                  ผมมองตามคนที่ยอมขยับกลับไปนั่งที่ของตัวเอง มือใหญ่ๆถูกยกขึ้นมาวางแหมะไว้บนหัวของผม เรียวนิ้วขยับแทรกไปตามเส้นผมเบาๆก่อนจะผละออกไป


                  ถึงเขาจะทำตัวโรคจิต

                  แต่ทำไมการกระทำบางอย่างถึงดูอบอุ่นแบบนี้นะ


                  “งั้น...ผมไปก่อนนะครับ ขอบคุณที่มาส่ง”


                  ผมพูดออกไปด้วยท่าทีเก้ๆกังๆ เพราะไม่แน่ใจว่าพี่แทฮยองจะยอมปล่อยผมให้ลงจากรถไปดีๆหรือเปล่า จะมีลูกไม้ไหนมาแกล้งกันอีก แต่พอหันไปเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนที่ถูกส่งมาก็ทำให้ผมเบาใจลงและกล้าที่จะเอื้อมมือไปเปิดประตูรถ ผมหยิบสัมภาระทุกอย่างของตัวเองแล้วจัดการก้าวลงจากรถในที่สุด


                  “อย่าลืมฉีดสเปรย์ดับกลิ่นในรถนะครับ”


                  ผมก้มลงไปบอกคนที่อยู่ในรถเป็นอย่างสุดท้าย เจ้าของใบหน้าหล่อพอเห็นว่าผมเตือนอีกครั้งก็ยิ้มกว้างและพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง ผมโบกมือน้อยๆให้เขาก่อนจะปิดประตูและหมุนตัวเดินเข้าไปในหอ


                  รอด


                  รอดแล้ว


                  ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่เมื่อตระหนักได้ว่าตัวเองหลุดพ้นจากสถานการณ์อันตรายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมจับกระเป๋าสะพายไปด้านหลังดีๆพลางเดินกอดหนังสือเล่มโตเข้าไปด้านในตัวตึก ในหัวก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่จะต้องทำอย่างการเคลียร์งานหรืออ่านหนังสือทบทวนบทเรียนในคืนนี้ อย่างที่เคยบอกแหละครับว่าผมหัวไม่ดีเท่าไหร่ ก็ต้องพยายามกันไปเนอะ


                  "วันนี้นั่งรถหรูมาเชียวนะ"


                  อีกแล้ว...


                  คิ้วของผมกระตุกเข้าหากันเล็กน้อยเมื่อดันไปได้ยินประโยคที่ไม่รื่นหูดังออกมาจากคนที่นั่งอยู่ตรงเก้าอี้หน้าห้องผู้ดูแลหอ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆและรีบก้าวขายาวๆเดินผ่านไปยังบันได ผมไม่อยากมีปัญหาเพราะยังไงก็ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน แต่จนแล้วจนรอด คำพูดเสียดสีก็ดังออกมาอย่างต่อเนื่องเหมือนจงใจจะยั่วโมโหกัน


                  “ทำตัวหยิ่งไปเถอะ สุดท้ายก็ง่ายกับพวกคนมีตังค์”


                  ผมรีบสับขาขึ้นบันไดไปให้เร็วที่สุดเพราะไม่อยากฟังคำพูดที่กล่าวหากันพล่อยๆ ผมไม่ใช่คนประเภทที่พร้อมจะมีเรื่องทุกเมื่อ ถ้าไม่สุดจะทนจริงๆก็จะยอมปล่อยไป จะให้ไปมีปากมีเสียงกับคนอื่นน่ะ ไม่ไหวหรอกครับ ผมไม่ค่อยสู้คน


                  ทันทีที่มาหยุดอยู่หน้าห้อง ผมก็รีบหยิบกุญแจไขเข้าไปด้านในและหมุนตัวลงกลอนประตูให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมหอบหายใจเบาๆและพยายามยืนนิ่งเงียบเพื่อจับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นด้านนอก


                  เสียงฝีเท้าค่อยๆดังชัดขึ้นราวกับเขากำลังเดินมาทางนี้ มือของผมกระชับสายกระเป๋าสะพายพลางภาวนาในใจให้เสียงฝีเท้าหยุดลง และก็เป็นอีกครั้งที่คำขอของผมเป็นจริง เสียงฝีเท้าเอื่อยๆหยุดลงก่อนถึงประตูห้องของผม ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ช่วงอึดใจหนึ่งก่อนที่เสียงฝีเท้าจะดังขึ้นอีกครั้งและค่อยๆไกลออกไปจนสุดท้ายก็หายไปในที่สุด


                  เขาไปแล้วสินะ


                  “เป็นเหี้ยไรวะ”


                  ผมเอ่ยปากบ่นกับพฤติกรรมที่ได้เจอพลางเอื้อมมือไปกดเปิดไฟในห้องให้สว่างขึ้น นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ถ้าจะให้นับจริงๆก็น่าจะเป็นครั้งที่ 4 แล้วที่ผมต้องรีบวิ่งขึ้นบันไดมาหลบในห้อง ผมไม่รู้มากนักว่าเขาเป็นใครมาจากไหน สิ่งที่รู้เพียงอย่างเดียวคือเขาเป็นหลานเจ้าของหอที่มีหน้าที่เฝ้าหอในช่วงกลางคืน ดังนั้นทุกครั้งที่ผมกลับดึกจะได้เจอเขาพร้อมกับคำพูดประมาณนี้เสมอ


                  จิตน่าจะไม่ปกติของจริง คนปกติที่ไหนจะมาพูดใส่คนอื่นแบบนี้ล่ะ แถมยังเดินตามขึ้นมาอีก


                  ทำไมชีวิตของผมต้องมีแต่คนแปลกๆเข้ามาหาด้วยวะ


                  ผมถอนหายใจออกมาดังๆก่อนจะวางกระเป๋าและทิ้งตัวลงนอนบนเตียง ตอนตัดสินใจเช่าหอนี้ ผมไม่ได้คิดอะไรเยอะเลยครับ เห็นว่าถูกดีก็เลยเช่า ผมไม่ค่อยอยากเบียดเบียนเงินของพ่อกับแม่สักเท่าไหร่ แค่นี้สถานการณ์ที่บ้านก็ย่ำแย่พอแล้ว และถึงพี่นัมจุนจะย้ำนักย้ำหนาว่าขอเงินพี่เขาก่อนได้ แต่ใครมันจะอยากไปรบกวนล่ะครับ แค่คอยห่วงใยผมก็รู้สึกขอบคุณมากพอแล้ว


                  ครืดๆ


                  ในจังหวะที่ผมเหม่อมองขึ้นไปบนเพดานห้องนั้น จู่ๆเสียงโทรศัพท์สั่นก็ดังขึ้น มีไม่กี่คนหรอกครับที่จะไลน์มาหาผม ถ้าไม่ใช่จีมินก็น่าจะเป็นพี่นัมจุน ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูก่อนจะต้องชะงักเมื่อชื่อไลน์ที่เด้งขึ้นมาไม่ใช่ทั้งสองคนที่ผมคาดเดาไว้


                  แต่กลับเป็นชื่อไลน์ของคนที่ผมยอมปลดบล็อกไปเมื่อสัปดาห์ก่อน


                  Taehyung


                  รสนิยมตั้งชื่อห่วยชะมัด หรือเป็นคนไม่คิดมากเรื่องพวกนี้ก็ไม่รู้


                  จู่ๆรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ก็ลอยเข้ามาในหัว ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อยก่อนจะยอมปลดล็อคหน้าจอเข้าไปอ่าน ถึงผมจะเลิกบล็อกพี่แทฮยองไปนานแล้วแต่เขาก็ไม่ได้ส่งอะไรมากวนเลย จริงๆผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าพี่เขามีไลน์ของผม


                  ผมขยับแว่นให้ขึ้นมาบนดั้งก่อนจะนิ่งไปเมื่อได้เห็นข้อความที่พี่แทฮยองส่งมา


                  Taehyung : ฝันดีนะครับ


                  นานแล้วเหมือนกันที่ไม่มีใครพูดประโยคแบบนี้กับผม


                  ผมมองหน้าจอแชทที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำทักทายจากเขาเมื่อตอนนู้นกับคำว่าฝันดีในตอนนี้ ผมควรจะตอบอะไรกลับไปมั้ย? ส่งสติ๊กเกอร์เหรอ? จะทิ้งให้เขาเห็นแค่ว่าผมอ่านแล้วก็คงจะไม่ดี เพราะยังไงเขาก็อายุมากกว่าผม


                  ว่าแต่ตอนนี้เขาถึงบ้านแล้วเหรอ? หรือยังขับรถอยู่?


                  ผมนอนคิดวนไปวนมาอยู่หลายนาที ผมไม่ได้มีเพื่อนมากนักทำให้ปกติไม่ต้องคอยตอบแชทใคร สุดท้ายผมก็เลยพูดไม่เก่งทั้งในชีวิตจริงและโลกโซเชียล แต่ผมก็ไม่ได้มองว่ามันเป็นปัญหาอะไรมากนะ แค่แอบรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยก็เท่านั้น


                  “ตอบอะไรดีล่ะเนี้ย”


                  ผมบ่นพึมพำเมื่อเวลาผ่านมาเกือบ 5 นาทีแล้วแต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้เสียที  ป่านนี้พี่เขาก็คงเห็นว่าผมอ่านแต่ไม่ตอบไปแล้วแน่ๆ เฮ้อ ทำไมยากจังวะ หรือจริงๆแล้วเป็นผมเองที่ทำให้เรื่องมันยาก ผมนอนอ่านคำว่าฝันดีซ้ำๆและสุดท้ายก็ตัดสินใจพิมพ์ในสิ่งที่น่าจะพูดในชีวิตจริงตอบกลับไป


                  ผมไม่รู้ว่าเขาจะคิดยังไง แต่ก็คงเป็นคำตอบที่ดีที่สุดแล้วล่ะ


                  KooKookie : พี่ก็ฝันดีนะครับ




     

                น่าจะมาเร็วกว่านี้


                  ผมยืนมองคนมากมายที่พากันต่อแถวซื้อข้าวกลางวันกันในโรงอาหารด้วยความรู้สึกท้อแท้ เนื่องจากตอนนี้มันเป็นเวลาเที่ยงแล้ว ทำให้คนในโรงอาหารหนาแน่นกว่าปกติ แถมร้านอาหารแต่ละร้านก็แข่งกันแถวยาวจนไม่รู้ว่าร้านไหนเป็นผู้ชนะ


                  วันนี้ผมอยากกินอาหารดีๆที่ไม่ใช่ข้าวปั้นในร้านสะดวกซื้อนะ


                  ผมพ่นลมหายใจออกมายาวๆก่อนจะตัดสินใจเดินดูก่อนว่าแถวของร้านไหนพอจะสู้ได้ ผมมีเรียนต่อตอนบ่ายที่คณะ ทำให้เวลาก็เป็นสิ่งสำคัญที่ผมจะต้องกังวลในตอนนี้


                  “จองกุก!


                  เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ซึ่งมันก็ดังพอที่คนแถวๆนี้จะหันไปมองด้วยความสนใจ ผมเองก็รีบหันกลับไปมองก่อนจะอยากมุดดินหนีเมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนชูมือสุดแขนโบกไปมาเหมือนกลัวว่าผมจะมองไม่เห็นเขา


                  ผมมองเห็นครับ และไม่ใช่แค่ผมด้วย คนทั้งโรงอาหารก็มองเห็นพี่ครับพี่โฮซอก


                  ผมส่งยิ้มเจือนๆไปให้คนที่กำลังก้าวขาเดินเร็วๆมาทางนี้ พี่โฮซอกส่งยิ้มกว้างให้ผมก่อนจะพุ่งตัวเข้ามากอดคอและโยกไปมา


                  “ไอ้นัมจุนมันบ่นคิดถึงแหละ”


                  พี่โฮซอกพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริงพลางเอามือมายีหัวของผมจนยุ่งไปหมด หลังจากที่ผมได้ไปทานหมูกระทะและได้รู้จักกับเพื่อนๆของพี่นัมจุน วันต่อมาไลน์ของผมก็มีคนแอดมามากมาย ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอกครับ เป็นพี่โฮซอก พี่ยุนกิ และพี่จินนั่นแหละที่แอดมา พวกพี่ๆส่งไลน์มาทักทายผมบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นพี่โฮซอกนี่แหละครับที่ทักมาคุยกับผมบ่อยสุด


                  “พี่โฮซอกสบายดีนะครับ”

                  “โคตรสบายดีเลย แต่ช่วงนี้ซ้อมหนักไปหน่อย”


                  พี่โฮซอกตอบพลางบุ้ยปากไปยังข้อเท้าของตัวเองที่มีผ้าพันเอาไว้ ดูแล้วไม่น่าจะเจ็บอะไรเพราะเมื่อกี้ก็เพิ่งวิ่งมาหาผม น่าจะพันไว้กันบาดเจ็บมากกว่า


                  “ได้ข่าวว่าจะไปทำงานที่ร้านพี่ซอกจินเหรอ?”

                  “ใช่ครับ ผมอยากได้งานพิเศษอยู่พอดี พอพี่เขาถาม ผมก็เลยรีบตกลง”

                  “ดีแล้วล่ะ”

                  “แล้วพี่โฮซอกมาทานข้าวที่นี่เหรอครับ?”


                  ผมเอ่ยถามเมื่อนึกขึ้นได้ว่าคณะของพี่โฮซอกอยู่ไกลจากโรงอาหารนี้พอสมควรเลย ถ้าเป็นไปได้ก็คงไม่มีใครอยากถ่อมาถึงนี้เพียงเพื่อแค่ทานอาหารหรอก


                  “เปล่าๆ พี่เอาของมาให้แทฮยองน่ะ เดี๋ยวก็กลับหอแล้ว”


                  พี่โฮซอกตอบพลางจับผมหมุนตัวและชี้ไปยังจุดที่มีคนคุ้นตายืนอยู่กับเพื่อนๆ


                  เป็นอย่างที่เคยคิดจริงๆด้วย พี่แทฮยองโดดเด่นจริงๆนั่นแหละ


                  ผมมองคนที่อยู่ในชุดนิสิตผิดระเบียบด้วยความรู้สึกแปลกๆ ผมไม่เคยได้เห็นเขาในมุมมองแบบนี้มาก่อน มุมมองที่ผมเป็นฝ่ายเห็นพี่เขาอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ พี่แทฮยองยืนคุยบางอย่างอยู่กับเพื่อนก่อนจะเผยรอยยิ้มกว้างและหัวเราะออกมา


                  คนบางคนก็เกิดมาเพื่อโดดเด่นจริงๆนั่นแหละ


                  ผมยืนเหม่อมองพี่แทฮยองไปได้สักพักก่อนจะต้องชะงักเมื่อจู่ๆใบหน้าหล่อก็หันมาทางนี้ ดวงตาสีดำสนิทมองตรงมาที่ผมอย่างไม่ลังเล ผมไม่รู้แน่ชัดว่าเขาทำสีหน้าแบบไหน แต่ก่อนที่จะได้สงสัยอะไรต่อ เสียงกระซิบเบาๆก็ดังขึ้นข้างหู...


                  “นี่ ได้ข่าวว่าสนิทกับแทฮยองเหรอ?”

                  “ม-ไม่นะครับ ผมไม่ได้สนิท”


                 ผมรีบหันกลับไปปฏิเสธพี่โฮซอกทันที ก็ไม่ได้สนิทจริงๆหนิ ผมแทบไม่รู้จักพี่แทฮยองเลยด้วยซ้ำ แค่พี่เขาชอบเข้ามาหาผมเฉยๆ พี่โฮซอกมองหน้าผมก่อนจะหลุดหัวเราะออกมา เขาเอามือวางบนหัวของผมสองสามทีก่อนจะลดแขนที่กอดคอผมไว้ลง


                  “แต่ไอ้แทอยากสนิทกับเรานะ”


                  หือ?


                  “ไปละ รีบหาข้าวกินนะ”

                  “อ่า ครับ”


                  ผมตอบพี่โฮซอกที่โบกมือน้อยๆแล้วหมุนตัวเดินจากไป ผมยังคงอึ้งกับสิ่งที่พี่โฮซอกพูดเมื่อสักครู่ ...อยากสนิท...อย่างนั้นเหรอ? ผมว่าเขาแค่อยากดมกลิ่นของผมมากกว่า ผมถอนหายใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่พี่เขาจู่โจมผมบนรถ แค่คิดก็อยากจะทำบุญแล้ว เผื่อชีวิตจะได้มีความปลอดภัยมากขึ้น


                  ผมเดินดูร้านอาหารต่ออีกหน่อยก่อนจะตัดสินใจต่อคิวร้านอาหารตามสั่งที่ถึงแม้แถวจะยาวแต่ก็ดูรวดเร็วที่สุด อีกทั้งผมยังต้องรีบไปเรียนต่อ หาอะไรยัดใส่ท้องได้ก็ต้องยัดแล้วล่ะครับตอนนี้


                  ผมยืนต่อแถวพร้อมกับคิดเมนูที่ต้องการไว้ในหัว แถวหดสั้นลงอย่างต่อเนื่องซึ่งผมก็ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจเลือกถูกร้าน ผมยืนก้มๆเงยๆมองนู้นมองนี้ไปเรื่อยก่อนที่เสียงพูดจากด้านหน้าจะดังขึ้นเรียกความสนใจทั้งหมดไป


                  “เฮ้ย! อย่าแซงแถวดิวะ”


                  เกิดอะไรขึ้น?


                  ผมชะโงกหน้ามองไปยังต้นแถวที่กำลังมีผู้ชายสองคนตั้งท่ามีเรื่องกันอยู่ อากาศก็ร้อน หิวก็หิว โปรดอย่ามีเรื่องกันเลยครับ ผมคิดในใจแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรต่อ เพราะคิดว่าสุดท้ายก็จะคงยอมๆกันไป


                  แต่เหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ


                  “ไรมึง มีปัญหาอะไร”

                  “พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอสัตว์! อย่ามาทำตัวหมาๆ เห็นบ้างมั้ยว่าคนเขาต่อแถวกันอยู่”

                  “อ่าวไอ้เหี้ย พ่อแม่กูเกี่ยวไรด้วยวะ?!

                  “มีลูกนิสัยอย่างมึงไง!

                  “มึงจะเอาใช่มั้ย!!!

                  “เออ!!!!


                  เสียงกรี๊ดของผู้หญิงดังขึ้นพร้อมๆกับความแตกตื่นจากด้านหน้า ผู้คนต่างพากันกรูถอยหลังมาจนเบียดกันไปหมด ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก รู้ตัวอีกทีผมก็ถูกคนที่หลบเหตุการณ์อันตรายเช่นกันกระแทกมาทางด้านข้าง คู่ที่วางมวยกันอยู่ขยับไปเรื่อยในวงกว้างทำให้ตอนนี้ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนี้พากันถอย และผมที่ยืนอยู่ก็ถูกกระแทกอย่างแรงจากคนที่ต้องการแทรกตัวหนี


                  ปึก!


                  “โอ๊ย!


                  ผมร้องออกมาเมื่อแรงกระแทกมันแรงจนทำให้ร่างของผมเสียหลักเซไปด้านหลัง ขาของผมเองก็ตั้งหลักไม่ทันทำให้เซถอยไปมากกว่าที่คิดและคาดว่าสุดท้ายก็น่าจะล้มลงกระแทกพื้น แต่ในจังหวะที่จะร่วงลงไป จู่ๆก็มีแขนมาคว้าเอวของผมกอดเอาไว้อย่างหวุดหวิด หลังของผมกระแทกเข้ากับอกของใครสักคนที่เป็นเจ้าของแขน ผมก้มลงมองเล็กน้อยก่อนจะเห็นมือคุ้นตาที่มีสร้อยเส้นเล็กๆและเชือกสีแดงผูกอยู่...


                  “ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”


                  เสียงแบบนี้มัน...ใช่จริงๆด้วย


                  แขนแข็งแรงจับผมให้ยืนทรงตัวดีๆก่อนจะค่อยๆคลายการกอดรัดบริเวณเอวออกไป ผมรีบหันกลับไปมองคนที่ช่วยผมเอาไว้และก็ได้พบกับใบหน้าแสนดูดีที่ตอนนี้มีร่องรอยของความหงุดหงิดปรากฏอยู่อย่างชัดเจน


                  “พี่...”

                  “เห็นว่าอันตรายก็รีบหนีออกมาสิ ไม่ใช่มัวแต่ยืนเอ๋อ ต้องรอให้โดนลูกหลงก่อนหรือไง”


                  ผมยืนกระพริบตาปริบๆฟังคำพูดของอีกฝ่ายที่ดูยังไงก็เป็นการดุ พี่แทฮยองมองผมด้วยสายตาไม่พอใจและหงุดหงิดเอามากๆ พอผมเห็นอีกฝ่ายเป็นเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากแน่น เขาเหมือนอยากจะพูดอะไรใส่ผมอีกแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจเงียบแทน


                  “...ขอโทษครับ”


                  ผมเอ่ยเสียงเบาเพราะรู้ว่าตัวเองก็ผิดจริงๆนั่นแหละที่ไม่รีบเดินหนีออกมาและถ้าไม่ได้พี่เขาผมก็คงล้มกระแทกพื้นไปแล้ว เสียงพ่นลมหายใจหนักๆดังออกมาจากคนตรงหน้า พี่แทฮยองมองหน้าผมด้วยแววตาสับสนก่อนจะจัดการยัดแท็บเล็ตคู่ใจกับหนังสือหนึ่งเล่มมาให้ผมถือ


                  “ถือไว้แล้วเดินตามมา”

                  “หะ?”


                  ผมเลิกคิ้วขึ้นสูงแต่ก่อนที่จะได้ถามอะไรออกไป พี่แทฮยองก็เดินนำลิ่วไปยังร้านเกือบริมสุดเสียแล้ว ผมรีบหอบหิ้วสัมภาระของเขาเดินตามไปและก็ได้เห็นว่าร้านที่พี่แทฮยองเลือกนั้นเป็นร้านข้าวราดแกงธรรมดาที่แถวค่อนข้างสั้น ผมมองแผ่นหลังกว้างของคนข้างหน้าด้วยความรู้สึกที่ห่อเหี่ยวลง


                  เขาหงุดหงิดผมแน่ๆเลย


                  ปกติในทุกๆครั้งที่ได้พบกัน พี่แทฮยองมักมีรอยยิ้มให้ผมเสมอ ถึงจะดูโรคจิตไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าการที่พี่เขาทำหน้าตึงแบบนี้ ผมก้มหน้ามองของในมือด้วยความรู้สึกผิดที่เกิดขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้


                  “ขอโทษที่ไม่ระวังตัวนะครับ”

                  “จะทานอะไร”


                  อ่า... เสียงทุ้มต่ำเอ่ยถามแทรกขึ้นราวกับจงใจที่จะปล่อยผ่านคำขอโทษของผม ผมมองเสี้ยวหน้าที่ยังคงร่องรอยของความหงุดหงิด ทำไมพี่ต้องทำให้ผมรู้สึกแย่แบบนี้ด้วย ในเมื่อไม่รู้จะต้องทำอย่างไรกับคนตรงหน้า ผมจึงเลือกที่จะหันไปชี้อาหารที่อยากกินให้เขารู้แทน


                  รอเพียงไม่นานก็ถึงคิวของเรา พี่แทฮยองจัดการบอกป้าคนขายในสิ่งที่ผมชี้และหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา ผมมองการกระทำของเขาด้วยความตกใจก่อนจะรีบเอ่ยปากแย้ง


                  “พี่ เดี๋ยวผมจ่ายเอง”


                  แต่คำพูดของผมก็ไม่ได้ผลเมื่อเขายื่นเงินของตัวเองจ่ายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมเม้มปากและพ่นลมหายใจออกมาอย่างจนปัญญา ตอนนี้ถึงผมจะพูดหรือทำอะไร เขาก็คงเมินอยู่ดีนั่นแหละ


                  ผมเดินตามคนอายุมากกว่ามายังโต๊ะที่ยังมีที่ว่างอยู่ พี่แทฮยองวางจานอาหารและทิ้งตัวนั่งลงที่เก้าอี้ ท่าทีนิ่งๆของเขาทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ผมค่อยๆขยับเข้าไปนั่งฝั่งตรงข้ามและวางของของพี่เขาลงบนโต๊ะ ผมเลื่อนจานข้าวเข้ามาใกล้ตัวเองพลางสังเกตคนที่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่น


                  ทำยังไงดี ผมอึดอัด


                  ผมกลั้นใจทานอาหารที่จะอร่อยกว่านี้ถ้าสถานการณ์ที่กำลังเจอไม่ใช่แบบนี้ ผมเคี้ยวอาหารในปากช้าๆพลางคิดว่าควรพูดอะไรออกไปดี...


                  “พี่ไม่มีเรียนเหรอครับ?”

                  “ไล่?”

                  “ป-เปล่าครับ”


                  ผมรีบก้มหน้างุดๆกลับมาหาจานข้าวเพื่อนรักที่ดูเหมือนจะเป็นที่พึ่งเดียวของผม ผมยอมรับว่าตอนนี้ตัวเองค่อนข้างกลัวคนตรงหน้ามากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา พี่แทฮยองยังคงจดจ่ออยู่กับการพิมพ์ตอบแชทใครสักคนในโทรศัพท์ ผมไม่อยากกวนใจเขาอีกจึงเลือกที่จะนั่งทานอาหารเงียบๆต่อไป


                  ผมใช้เวลาไม่นานก็จัดการอาหารทั้งหมดในจานจนเกลี้ยง ในจังหวะที่ผมรวบช้อนวางบนจานดีๆ คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็ลุกขึ้นและหยิบจานของผมเดินตรงไปยังที่เก็บจานโดยไม่บอกกล่าวอะไรกันเลยสักคำ ผมที่กำลังอึ้งๆจึงรีบหยิบของของพี่เขาเดินตามไป


                  “ต่อไปเรียนที่ไหน”


                  คนด้านหน้าที่ผมกำลังเดินตามถามขึ้นเมื่อเราทั้งคู่เดินออกมาจากโรงอาหารแล้ว ผมรีบชะงักเท้าทันทีที่พี่เขาหยุดเดินและหมุนตัวหันมา ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองผมราวกับต้องการค้นหาคำตอบอะไรบางอย่าง ซึ่งมันก็ทำให้ผมทำตัวไม่ถูก ผมเลื่อนสายตามองไปมองมารอบๆเพราะไม่อยากสบตากับพี่เขานานนัก


                  “เรียนที่คณะครับ”

                  “งั้นเดี๋ยวไปส่ง”


                  ไปส่ง?


                  ผมทวนถามในใจก่อนจะสะดุ้งโหยงเมื่อจู่ๆพี่แทฮยองก็เอื้อมมือมาวางบนหัว ปลายนิ้วเรียวยาวสางเส้นผมของผมเบาๆเหมือนต้องการจะจัดผมยุ่งๆให้ดูเรียบร้อย ผมกระพริบตาปริบๆมองคนที่กำลังจดจ่ออยู่กับหัวของผม


                  ทำไมหัวใจต้องเต้นเร็วด้วย


                  “กลัวกันขนาดนั้นเลยเหรอ?”

                  “ครับ?”


                  ดวงตาแสนมีเสน่ห์เลื่อนลงมาสบตากับผม พี่เขาผละมือกลับไปแล้วแต่ผมก็ยังคงรู้สึกถึงความอบอุ่นตรงบริเวณศีรษะ ผมมองแววตาที่อ่อนลงก่อนจะค่อยๆพยักหน้าตอบกลับไป


                  “ก็พี่กำลังโกรธผม”

                  “ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”

                  “....”

                  “ทำไมเวลาคนอื่นเข้าใกล้ถึงไม่ตกใจ แต่ทำไมพอเป็นพี่เราถึงสะดุ้งตลอด กลัวกันมากขนาดนั้นเลยเหรอ”


                  ผมสบตากับพี่แทฮยองย่างไม่รู้จะเอ่ยคำพูดอะไรตอบกลับไป ไม่ใช่ว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาถามหรอกนะ ผมยังฉลาดพอที่จะปะติดปะต่อสิ่งที่ทำให้พี่เขาถามคำถามนี้ออกมาได้ คงจะสังเกตเห็นตอนที่พี่โฮซอกกอดคอผมสินะ


                  ผมไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ที่พี่แทฮยองเป็นคนช่างสังเกต ไม่งั้นเขาคงไม่จมูกดีมาติดใจกลิ่นของผมหรอก แถมการกระทำหลายๆอย่างก็ทำให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่คอยมองคนรอบข้างจริงๆ


                  “ช่างเถอะ ไม่ต้องตอบก็ได้”


                  เจ้าของใบหน้าหล่อพ่นลมหายใจออกมายาวๆก่อนจะใช้มือเอื้อมมาดันหลังให้ผมออกเดิน ผมหันไปมองพี่แทฮยองที่เดินอยู่ข้างๆกันเล็กน้อย ในสมองก็ยังคงคิดหาคำตอบที่ดีให้กับคำถามเมื่อสักครู่ของเขา


                  ผมมองทัศนียภาพตามทางเดินที่มุ่งไปสู่ตึกคณะ แถวนี้ต้นไม้เยอะมากทำให้ไม่ค่อยร้อนเท่าไหร่ ส่วนลมก็พัดมาเป็นพักๆช่วยให้คลายร้อนได้บ้าง ผมมองสีเขียวที่อยู่รอบตัวเต็มไปหมดก่อนจะตัดสินใจหันไปหาคนข้างๆที่เดินอยู่ด้วยกัน


                  “พี่โฮซอกไม่ได้ชอบดมกลิ่นของผมเหมือนพี่หนิครับ ผมเลยไม่จำเป็นต้องกลัวเขา”


                  ความเงียบเข้าปกคลุมบรรยากาศระหว่างผมกับพี่แทฮยองอีกครั้ง ไม่มีใครปริปากพูดอะไรอีกจนมาถึงตึกคณะ ผมยังคงรู้สึกไม่ดีกับการที่พี่เขาหงุดหงิดอันเป็นเหตุเนื่องมาจากผม และก็คงจะรู้สึกแย่เอามากๆถ้าจากกันไปโดยที่พี่เขายังความหงุดหงิดไว้แบบนี้ ผมมองบันไดเข้าตึกคณะที่อยู่ตรงหน้าก่อนจะตัดสินใจคว้าปลายเสื้อของพี่แทฮยองเอาไว้ให้หยุดเดิน...


                  “ถ้าพี่ยังเคืองที่ผมไม่ระวังตัวจนทำให้พี่ต้องเข้ามาช่วย ผมก็ขอโทษนะครับ”

                  “....”

                  “แต่อย่าหงุดหงิดได้มั้ย มันไม่ดีกับพี่นะ”


                  ผมพูดงึมงำจนเริ่มไม่มั่นใจว่าอีกฝ่ายจะฟังรู้เรื่องหรือเปล่า ผมมองมือของตัวเองที่ยังคงกำปลายเสื้อเชิ้ตของพี่แทฮยองเอาไว้แน่น ผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับมายังไง เพราะเขาเงียบไปนานเหลือเกิน ความรู้สึกไม่มั่นใจตีตื้นขึ้นมาจนท่วมหัวไปหมด


                  ผมพูดออกไปถูกมั้ยนะหรือพูดตรงเกินไป ต้องพูดตรงเกินไปแน่ๆเลย โอ๊ยจองกุก ยังไงเขาก็อายุมากกว่าเรานะ จะพูดอะไรก็ต้องระวังนิดนึงสิ


                  ความคิดวิ่งวนไปมาในสมองจนใกล้ที่จะสติแตก ผมรีบปล่อยมือจากปลายเสื้อเชิ้ตเมื่อรู้สึกตัวว่าเริ่มกำแน่นจนเกินไป


                  “ผ-ผม...ผม...”

                  “มานี่มา”


                  ข้อมือของผมถูกคว้าไว้และดึงให้เดินตามไปยังมุมตึกที่ไม่มีใครเดินผ่าน ผมมาหยุดยืนอยู่ตรงผนังตึกก่อนจะค่อยๆเลื่อนสายตาขึ้นไปมองคนที่ยังคงจับข้อมือของผมไว้


                  “จะต้องทำยังไงถึงจะเลิกกลัวกัน”


                  พี่แทฮยองเอ่ยถามด้วยสายตาจริงจังกว่าทุกครั้ง ซึ่งคำถามของเขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานในการคิด เพียงแค่ได้ฟังจบผมก็สามารถตอบกลับได้ในทันที


                  “เลิกจ้องจะดมกลิ่นผมสิครับ ผมไม่ได้หอมขนาดนั้นนะ”

                  “หอมสิ ทำไมจะไม่หอม”

                  “มันไม่ได้หอมนะ...พี่...”


                  ผมชะงักเมื่อมือเรียวเอื้อมมาแตะใต้คางของผมเร็วๆก่อนที่ใบหน้าเรียบนิ่งจะขยับเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กๆและแววตาที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู...


                  “ไม่หอมสำหรับเรา แต่มันหอมสำหรับพี่”

                  “....”

                  “จะให้เลิกดมคงทำไม่ได้หรอกครับ เพราะแค่เรายืนอยู่ใกล้ๆ พี่ก็ได้กลิ่นแล้ว”


                  โรคจิต!!!

                  ทำไมต้องมาจมูกดีกับผมด้วยเนี้ย?!


                  ผมว่าอีกฝ่ายในใจแต่ก็ไม่กล้าพูดออกไปหรอกครับ คิ้วของผมขมวดเข้าหากันเล็กน้อยก่อนจะต้องรีบยืนนิ่งเมื่อคนตรงข้ามขยับก้าวเข้ามาใกล้ พี่แทฮยองส่งยิ้มจางๆให้ก่อนจะโน้มใบหน้าลงมาข้างใบหูของผม...


                  “โดนดมมากๆเดี๋ยวเราก็ชิน”

                  “พ-พี่!!!!


                  ผมรีบใช้มือผลักอีกฝ่ายให้ถอยออกไปไกลๆเมื่อสัมผัสได้ว่าเขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วจะไม่ให้ผมกลัวได้ยังไงครับ!!! พี่เล่นทำตัวแบบนี้ ผมก็ต้องระแวงไว้ก่อนสิ! ผมส่งสายตาไม่พอใจกลับไปให้พี่แทฮยอง แต่อย่าคิดเชียวว่าพี่เขาจะรู้สึกผิด ดูรอยยิ้มของเขาซะก่อน กว้างกว่าเมื่อกี้นี้อีก


                  “เอาเป็นว่าพี่จะดมเนียนๆแล้วกันนะ”

                  “ไม่ใช่สิครับ!

                  “ส่วนเรื่องวันนี้ เราต้องระวังตัวกว่านี้รู้มั้ย พี่เป็นห่วงนะครับ”


                  บอกให้ระวังเรื่องอื่น แต่ทีเรื่องของตัวเองบอกให้ชิน


                  ผมแอบเถียงพี่แทฮยองในใจ ซึ่งเขาก็น่าจะรู้ตัวแหละว่าตัวเองกำลังโดนเถียง ไม่งั้นคงไม่หัวเราะออกมาแบบนี้หรอก


                  “แล้วนี่เราเรียนกี่โมง”

                  “บ่ายโมง...เฮ้ย!


                  ผมเบิกตากว้างแล้วรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูเวลา ฉิบหายยยยยยย บ่ายโมง 5 นาทีแล้ว โอ๊ยยยยยยยย ไอ้กุก ทำไมแกลืมดูนาฬิกาวะ?! ผมรีบเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สมองเริ่มลำดับเหตุการณ์ว่าเราควรเดินไปทางไหน ขึ้นลิฟต์หรือขึ้นบันไดดี ให้ตายเถอะ มัวแต่สนใจเรื่องพี่แทฮยองจนลืมไปเลยว่ามีเรียน


                  แย่จริง!!!


                  “งั้นผมขอตัว...”


                  หมับ!


                  “ผมไม่เล่นแล้วนะพี่!!!


                  ผมขึ้นเสียงใส่คนที่สอดแขนเข้ามาล็อคเอวของผมเอาไว้ พี่อย่าเพิ่งมาทำตัวเป็นมารผจญในชีวิตการเรียนของผมได้มั้ย?! ผมจะไปเรียนโว้ยยยยย ผมโวยวายในใจพลางพยายามดิ้นและแงะแขนให้ออกจากเอวของตัวเอง


                  “พี่ปล่อยผม! มันสายแล้ว!

                  “ขอดมอีกครั้งนึงแล้วจะปล่อย”

                  “พี่ ผมไม่เล่นด้วยนะ ผมจะไปเรียนนนน”

                  “งั้นก็ไม่ปล่อย”


                  เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของคนด้านหลังทำเอาผมประสาทจะกิน มันใช่เวลาที่จะเอาอะไรแบบนี้มาต่อรองกันมั้ย ผมต่อว่าคนอายุมากกว่าที่ทำตัวไม่สมกับอายุ แขนที่กอดเอวของผมอยู่ก็รัดแน่นขึ้นราวกับจะตอกย้ำว่าเขาเอาจริงในสิ่งที่พูดนะ


                  ฮึ่ย!!!


                  “ก็ได้ๆ รีบดมผมเร็วๆเลย ผมจะไปเรียน!!

                  “จัดไปครับคนเก่ง”


                  ผมรีบหลับตาแน่นและเตรียมรับลมหายใจที่จะมากระทบผิว แต่แล้วผมก็ต้องชะงักเมื่อแขนที่อยู่ตรงเอวคลายออก ผมลืมตาขึ้นด้วยความรู้สึกแปลกใจก่อนจะเห็นว่าแขนที่เคยล็อคเอวของผมไว้ขยับขึ้นมาวางมือบนหน้าผาก ในระหว่างที่ผมสับสนว่าเขาจะทำอะไร สัมผัสบริเวณด้านหลังก็เรียกความสนใจทั้งหมดไปก่อนที่ทุกอย่างในหัวจะแตกกระจายเมื่อความนิ่มหยุ่นแปลกๆแตะลงมาที่ศีรษะของผม...


                  สาบานสิว่านั่นไม่ใช่ริมฝีปาก


                  ....


                  “ตั้งใจเรียนนะ”

     


                  .

                  .

                  .

                  .


     

                ผมติดใจเอวน้อง


                  ผมก้มลงมองช่วงแขนของตัวเองก่อนจะเผยยิ้มกว้างออกมาอย่างเก็บไม่อยู่ ความอบอุ่นจากตัวน้องยังคงติดอยู่ที่บริเวณแขนเพราะเจ้าตัวเพิ่งวิ่งหนีหน้าตั้งเข้าไปในตึกเมื่อสักครู่นี้เอง


                  หนีไปพร้อมหนังสือและแท็บเล็ตของผม


                  แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ จริงๆผมไม่มีเรียนแล้ว แค่อยากเดินมาส่งน้องเรียนที่ตึกเฉยๆ ผมหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงแผ่นหลังที่ไม่รู้ว่ารีบวิ่งไปเรียนหรือวิ่งหนีผมกันแน่


                  น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้กอดเอวใครสักคนที่พอดีแขนขนาดนั้น


                  ผมยอมรับครับว่าตอนแรกผมไม่เคยสนใจอย่างอื่นเลยนอกจากกลิ่นของน้อง แต่ทุกอย่างเหมือนจะเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ที่ผมได้นั่งสังเกตน้องในร้านหมูกระทะ ดวงตาใต้กรอบแว่นของน้องสวยมาก ริมฝีปากเล็กน่ารัก ผิวก็เนียนนุ่ม ล่าสุดก็เป็นเอวนี่แหละที่พอดิบพอดีไปหมด


                  ผิดมั้ยที่เริ่มอยากทำอย่างอื่นนอกไปจากการดม


                  นัมจุนรู้คงได้ยกฝูงปูมาหนีบผมลงไปหมกใต้ทะเลแน่ๆ


                  ผมถอนหายใจเมื่อคิดถึงหน้าเพื่อนที่เป็นอุปสรรคกับเรื่องสำคัญในชีวิตตอนนี้ มันไม่ผิดหรอกครับที่หวงน้อง ถ้าผมมีน้องน่ารักแบบนั้นผมก็คงทำตัวไม่ต่างจากมันหรอก


                 จะว่าไปเรื่องเมื่อช่วงเที่ยงนี่ก็หวุดหวิดเหมือนกัน


                  ผมจะเดินออกจากโรงอาหารไปแล้วครับแต่หูดันไปได้ยินเสียงโวยวายเข้าเสียก่อน สมองของผมนึกถึงน้องเป็นอันดับแรกก็เลยตัดสินใจรีบวิ่งกลับไปดู และก็ได้เห็นน้องยืนอึ้งกับเหตุการณ์แถมโดนชนจนเกือบล้มกระแทกพื้นถ้าผมไม่ไปคว้าเอาไว้เสียก่อน


                  น้องโดนชนแรงมากนะ ถ้าล้มไปคงได้เจ็บตัวมากกว่าปกติ


                  จริงๆผมก็ไม่ได้หงุดหงิดเรื่องที่น้องไม่ระวังตัวหรอกครับ แต่ที่แสดงออกไปแบบนั้นเพราะผมหงุดหงิดกับเรื่องอื่น


                  เรื่องอื่นที่ก็มีสาเหตุมาจากน้องเช่นกัน


                  ผมถอนหายใจพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู หน้าจอยังคงแสดงให้เห็นแชทกลุ่มที่ชวนให้กลับมารู้สึกหงุดหงิดอีกครั้ง

     

                  > ไม่สนิทแต่พอคุยได้ (5) <

                Hobi : น้องจองกุกนี่น่ารักชะมัด ให้กูกอดคอกับยีหัวด้วย

                จินนี่มาแล้วจ้านายจ๋า : อุบ๊ะ!!!!

                จินนี่มาแล้วจ้านายจ๋า : *สติ๊กเกอร์กอดรัดฟัดเหวี่ยง*

                Taehyung : อย่ายุ่งกับน้อง

                Hobi : โอ๊ะโอ๋ อะไรมึง ทำไม่ได้อย่างกูล่ะสิ อิอิ

                Taehyung : สัตว์! บอกว่าอย่ายุ่งก็อย่ายุ่งดิวะ

                SG : ยอมรับเหอะ

                SG : น้องกลัวมึงจะตายไอ้แท

                Taehyung : เฮีย น้องไม่ได้กลัวผม

                SG : ใครจะไม่กลัวคนที่มาขอดมกลิ่นตัวเองบ้างวะถามจริง

                Hobi : แต่ตัวน้องนุ่มนิ่มมากเลยนะ

                Taehyung : ไอ้เพื่อนเหี้ย ของกู

                NJoonie : นั่นน้องกู ไอ้เพื่อนเหี้ย

                Hobi : กร๊ากกกกกกกกกกกก 5555+

     

                  ผมไม่ได้หงุดหงิดเรื่องที่น้องโดนชน แต่ผมหงุดหงิดเรื่องที่น้องกลัวผมต่างหาก ทำไมผมจะไม่เห็นว่าน้องดูนิ่งแค่ไหนตอนที่โฮซอกกอดคอ แล้วดูตอนที่น้องอยู่กับผมสิ ไม่สั่นก็ต้องหนี ผมรู้ดีว่าสาเหตุที่ทำให้น้องกลัวคืออะไร แต่จะให้ผมเลิกทำก็คงไม่ได้เช่นกัน


                  ผมเลิกดมกลิ่นน้องไม่ได้


                  ครืดๆ


                  แรงสั่นสะเทือนในมือเรียกผมให้หลุดออกจากภวังค์ความคิดที่ไหลไปเรื่อย ผมกดออกจากแชทกลุ่มเพื่อไปดูข้อความที่เพิ่งเด้งขึ้นมา และเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนส่ง ริมฝีปากของผมก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้...


                  น้องกลิ่นหอม : ผมเผลอหยิบของพี่มาด้วย ขอโทษนะครับ พี่รีบใช้มั้ย แต่ผมยังออกไปไม่ได้นะ แค่เข้าช้าอาจารย์ก็มองจะแย่แล้ว


                  เพิ่งรู้ตัวสินะว่าหยิบติดมือไป ผมยิ้มก่อนจะรีบขยับนิ้วพิมพ์ตอบกลับไป


                Taehyung : ไม่เป็นไร พี่ไม่ต้องใช้แล้ว

                น้องกลิ่นหอม : แน่นะ

                Taehyung : แน่ครับ

                  น้องกลิ่นหอม : แล้วผมจะคืนพี่ได้ตอนไหน

                  Taehyung : เลิกเรียนค่อยเอามาคืนก็ได้ พี่ยังอยู่คณะถึงเย็น


                  อ่า...โกหกไปซะแล้ว แผนที่จะกลับไปวาดรูปคงต้องยกเลิกไปก่อน


                  น้องกลิ่นหอม : ผมเลิกบ่ายสองครึ่ง จะรีบลงไปนะครับ ขอโทษจริงๆ

                  น้องกลิ่นหอม : *สติ๊กเกอร์กระต่ายไหว้*


                  ใครสั่งใครสอนให้ใช้สติ๊กเกอร์กระต่ายแก้มบวม


                  ผมมองสติ๊กเกอร์ที่น้องใช้ด้วยความรู้สึกงู้ยๆในใจ ผมจิ้มเข้าไปดูสติ๊กเกอร์ที่ว่าอย่างรวดเร็ว ใช้เวลากดๆเลื่อนๆเพียงไม่นานก็ได้รู้ว่ามีสติ๊กเกอร์ของแครอทเหี่ยวที่เป็นเพื่อนกับกระต่ายแก้มบวมด้วย


                  ซื้อสิครับ รออะไรล่ะ


                  ผมอยากเอาไว้ใช้กับน้อง ผมคิดว่าน้องน่าจะชอบ ผมยกยิ้มชื่นชมในความคิดของตัวเองก่อนที่บางอย่างจะแว๊บเข้ามาในหัว


                 ....


                 Taehyung : จองกุก

                 Taehyung : เสาร์นี้ว่างมั้ย

                 Taehyung : พี่อยากได้เงินหนึ่งพันบาทคืน


                 ....


                 Taehyung : พาพี่ไปเลี้ยงข้าวหน่อยดิ

     

     

     

     

    TALK ;   ผมติดใจเอวน้อง ไอ้คนอย่างเราพิมพ์ไปก็คิดดีไม่ได้เลย โอ๊ยยยยยย บ้าจริง!!!

                  สวัสดีค่ะนักอ่านที่น่ารักทุกคนนน คราวนี้เรามีเรื่องอยากจะมาบอกไว้นิดหน่อย ด้วยความซวยอะไรก็ไม่รู้ ทำให้เทอมนี้เราได้ลงแต่วิชาที่มีงานเยอะมากเลยค่ะ ยอมรับว่าอันตรายต่อโรคไมเกรนของนี่มาก5555และอาจจะเบียดเบียนเวลาในการแต่งฟิคด้วย เดิมทีเราตั้งใจว่าจะอัพฟิคทุกสุดสัปดาห์ค่ะ ถ้างานเยอะก็คงต้องเลื่อนออกไป แต่สัญญาว่าจะพยายามบาลานซ์ทุกอย่างให้ดีที่สุดนะ ที่มาอัพตอนนี้ได้ก็เร่งสุดๆแล้ว แงงงงง

                  ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และกำลังใจที่มีให้กันนะคะ เราอ่านหมดนะ แต่อาจจะไม่ได้ตอบทุกคน หรือใครอยากจะไปโผล่ในทวิตเตอร์ก็ได้นะคะ555555 พวกที่เกี่ยวกับความคืบหน้าของฟิคจะอยู่ในแอคนักเขียน>>>@yumsyou ส่วนชีวิตประจำวันเราที่ใช้หวีดสามีทั้ง7คือแอคนี้>>>@dabswaggy__ss ที่แยกกันเพราะเราเวิ่นมาก เดี๋ยวหวีดกลบฟิคหมด เราอาจจะคุยไม่เก่งแต่อยากคุยด้วยนะ555555 ได้มีโอกาสเห็นนักอ่านแนะนำฟิคเราก็รู้สึกขอบคุณจากใจจริงเลยค่ะ รักกกกก

                  หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ ตอนนี้ภาษาอาจจะมึนๆนิดนึงเพราะเหนื่อยมาก ใครชอบก็ฝากหวีดคอมเม้นท์&จิ้มๆหัวใจให้ด้วยยย ขอให้ทุกคนมีความสุขกับวันหยุดพรุ่งนี้นะคะ ส่วนใครไปคอนLANYอาจจะได้เจอกัลลล555555 ตอนนี้ขอลาไปปั่นงานก่อน เจอกันคราวหน้านะคะ เราจะตามติดพี่แทกับน้องกุกไปเที่ยวกันนน กริ๊บกริ๊วววววว

    Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ ( เหรอเขียนแบบนี้นะ ><)

    Twitter : @yumsyou


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×