คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : Please Step Back
Chapter 3 : Please Step Back
ก๊อกๆ
“มึงจะอยู่ในนั้นอีกนานมั้ย
กูอยากกลับหอแล้ว”
“เลิกเรียนแล้วเหรอ...?”
“เออ อาจารย์ปล่อยก่อนเวลา”
ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก
ถึงผมจะชอบหนีมาซุกหัวอยู่ในห้องน้ำ แต่ก็ใช่ว่าจะชอบอยู่ในห้องน้ำนะครับ
พอผมเปิดประตูออกก็เจอจีมินยืนทำหน้าเบื่อโลกอยู่
เขาโยนกระเป๋าที่ผมลืมทิ้งไว้ในห้องคืนให้และหมุนตัวเดินนำลิ่วออกจากห้องน้ำไป
“คราวหน้าอย่าลุกหายไปแบบนี้อีกนะโว้ย
กูเป็นห่วงแทบตาย”
จีมินหันมาดุผมที่รีบเร่งฝีเท้าเดินไปให้ทันเขา
ผมมองอีกฝ่ายที่ดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาก่อนจะส่งยิ้มเจือนตอบกลับไป
“เฮ้อ ยังจะมายิ้มโง่ให้กูอีก
มึงปล่อยให้กูนั่งเรียนคนเดียว!!!”
“ขอโทษคร้าบบบ
จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
“จะคอยดู”
ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆตอบกลับไป
จีมินเดินนำผมไปยังที่จอดรถจักรยานยนต์ เรานัดกันไว้ว่าหลังเลิกเรียนจะต้องพากันไปที่ศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย
มีหลายวิชาที่เราจำเป็นต้องซื้อหนังสือเพื่อเตรียมใช้เรียนในสัปดาห์หน้า
“เอาไปใส่”
จีมินส่งหมวกกันน็อคสีขาวมาให้ผมในขณะที่เขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบก์คันหรูของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เอามาเรียนแบบนี้ไม่กลัวถูกคนขโมยเหรอ?”
“ถ้ามันจะโง่ขโมย
ก็ปล่อยให้มันโง่ไปเถอะ”
ผมส่ายหัวกับคำตอบที่โคตรไร้ความกังวลของอีกฝ่าย
จีมินมีข้อแตกต่างจากผมอยู่ประมาณสองสามข้อ อย่างแรก เขาค่อนข้างมีฐานะ
สังเกตได้จากเครื่องใช้ต่างๆที่ดูก็รู้ว่าแพง
แต่เขาก็ไม่ได้ขี้อวดหรือหยิ่งเลยแม้แต่น้อย อย่างที่สอง เขาเป็นคนอัธยาศัยดี
อีกทั้งยังกล้าลุยกล้าชน จะบอกว่าห้าวก็ถูกครับ และอย่างที่สาม เขาค่อนข้างหัวดี
ไม่ต้องพยายามมากมายอะไรก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เรียนได้
แตกต่างจากผมที่สอบติดที่นี่ได้ก็โคตรบุญในชีวิตแล้ว
“มึงถือให้กูที”
ผมรับกระเป๋าของจีมินมากอดไว้เมื่อขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
คนด้านหน้าจัดการใส่หมวกกันน็อคสีดำของตัวเองก่อนจะสตาร์ทเครื่องขับออกไป
ใช้เวลาเพียงไปนาน
ผมกับจีมินก็มาถึงหน้าศูนย์หนังสือที่วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ
พอจีมินจอดเทียบข้างฟุตบาทเสร็จ ผมก็ก้าวลงมายืนที่พื้นและถอดหมวกกันน็อค ตอนแรกผมก็ไม่กล้านั่งหรอกครับ
ไอ้ยานพาหนะที่ดูอันตรายแบบนี้น่ะ
แต่จีมินมันบังคับให้ผมนั่งโดยให้เหตุผลว่าถ้าจะเป็นเพื่อนเขาก็ต้องนั่งให้ได้
เพราะเขาชอบใช้ยานพาหนะสองล้อนี้มากๆ
“ทำไมคนเยอะจังวะ”
จีมินขมวดคิ้วยุ่งทันทีที่ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วเห็นว่าคนในศูนย์หนังสือค่อนข้างเยอะ
เขาเสยผมไปข้างหลังก่อนจะก้าวลงจากลูกรักของตัวเองและดึงหมวกกันน็อคในมือของผมไปเก็บ
“รีบซื้อรีบกลับเหอะ
กูโคตรหิวเลย”
“ขากลับแวะกินอะไรก่อนมั้ย”
“อืมก็ดี มึงอยากกินอะไรมั้ยล่ะ”
“อะไรก็ได้ที่ถูกๆ
ซื้อหนังสือเสร็จคงจนไปทั้งเดือน”
ผมตอบคำถามจีมินขณะที่เราทั้งคู่เดินเข้ามาด้านใน
จีมินพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะดึงผมให้เดินแทรกคนเข้าไปดูหนังสือที่วางเรียงกันเป็นตั้ง
เราช่วยกันไล่สายตาหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง...
“ไอ้เหี้ย
ปาหัวหมาแตกเลยนะ”
จีมินมองหนังสือบัญชีด้วยสีหน้าพะอืดพะอมแทบอ้วก ส่วนผมเหรอครับ แหะๆ สติหลุดไปอึดใจหนึ่ง ทำไมมันหนาแบบนี้ล่ะเฮ้ย?! จะเรียนรอดมั้ยวะเนี้ย ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆก่อนจะจำใจเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมือ
หนัก!
“นี่กูต้องซื้อหนังสือพวกนี้จริงๆเหรอวะ
แค่เห็นก็รู้สึกเป็นพิษกับตัวเอง”
“ซื้อๆไปเถอะ”
ผมจัดการยัดหนังสือใส่มือจีมินที่ยืนเบ้ปากไม่ยอมขยับตัวไปหยิบเสียที
เขาก้มลงมองหน้าปกก่อนจะถอนหายใจและสั่งให้ผมแยกไปหาหนังสือจำเป็นของวิชาอื่นๆในคณะ
ส่วนเขาจะไปบุกฝ่าคนไปหยิบหนังสือวิชาบูรณาการเอง
ผมเดินมองซ้ายมองขวาหาป้ายบอกหมวดหมู่ที่เขียนว่าบริหาร
ซึ่งพอมาถึงก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนเปิดหนังสืออ่านอยู่
“พี่นัมจุน!”
ผมเรียกอีกฝ่ายก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ร่างสูงเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ละสายตาจากหนังสือและหันมามองผม
รอยยิ้มอบอุ่นที่ผมชอบมองปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างเช่นทุกครั้ง
“ใส่ชุดนักศึกษาแล้วก็เท่ดีหนิเรา”
พี่นัมจุนเอ่ยชมพลางเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ
พี่นัมจุนเป็นลูกเพื่อนสนิทของแม่
เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ พี่นัมจุนเป็นคนที่เรียนเก่งมากกกก ฉลาดมากกกก
ทำอะไรก็ดีไปหมด โคตรไอดอลผมเลย!
แถมพี่เขาก็ยังรักผมเหมือนน้องชายแท้ๆเราจึงสนิทกันมากเลยครับ เพิ่งจะมาห่างๆไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่ก็ตอนที่พี่นัมจุนเข้ามหาลัยนี่แหละ
แต่พอพี่เขารู้ว่าผมเข้าเรียนในสาขาเดียวกัน เขาก็รีบพุ่งตัวหอบชีทเรียนมาประเคนให้ถึงที่
ผมก็หวังว่าตัวเองจะใช้ชีทที่พี่ให้อย่างคุ้มค่าที่สุด
“แล้วนี่เรียนวีคแรกเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีครับ
ถึงจะเห็นเนื้อหาวิชาแล้วท้อๆหน่อย”
“เอาหน่า
สู้หน่อย...แล้วที่หอเป็นไง พี่ว่าจะแวะไปหา เรานี่ก็จะประหยัดไปไหน บอกให้เลือกหอดีๆไปเลยก็ไม่เชื่อ”
“ก็หอดีๆมันแพง
ผมจ่ายไม่ไหวหรอก”
“จ่ายไม่ไหวก็มาบอก
เดี๋ยวจัดการให้”
ผมมองพี่นัมจุนด้วยแววตาเกรงใจอย่างถึงที่สุด
เจ้าตัวก็คงรู้แหละว่าผมรู้สึกอย่างไร แต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยและหาโอกาสสยบความเกรงใจของผมอยู่ทุกครั้ง
“สัญญามาก่อน
ถ้าอยู่ไปแล้วมีปัญหา ต้องย้ายออกตามคำสั่งพี่”
“แต่ว่า...”
“จองกุก”
“โอเคๆ ก็ได้ครับ
ยอมแล้ว”
สุดท้ายผมก็แพ้ให้กับสายตาโคตรดุของอีกฝ่าย
พี่นัมจุนยืนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผมต่อไปอีกสักพักก่อนจะขอปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่นต่อ
แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายออกปากบังคับให้ผมเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันละครเวทีที่กำลังจะจัดขึ้น
เหมือนว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างสาขาภายในคณะบริหาร
ซึ่งสาขาผมได้รางวัลมาหลายปีแล้ว
รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบทำกิจกรรม
พี่ก็ยังจะมาบังคับกันอีก เฮ้อ
“เมื่อกี้ยืนคุยกับใครวะ?”
จีมินที่หอบหนังสือมาประมาณสี่เล่มเอ่ยถามพลางหันไปมองคนที่เพิ่งเดินไป
“พี่ชายน่ะ”
“อ๋อ
ที่บอกว่าอยู่ปี 3 สาขาเราใช่ปะ?”
“อื้ม”
ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบหนังสือที่ต้องการเล่มอื่นๆมาถือเพิ่ม
การจ่ายเงินเป็นไปด้วยดีแม้ว่าจะต้องถือหนังสือหนักๆต่อคิวนานหน่อย ราคารวมทั้งหมดไม่หนักหนาอย่างที่คิดแต่ก็เล่นเอาเงินในกระเป๋าของผมเกือบเซอยู่เหมือนกัน
คงต้องหางานพิเศษทำเพิ่มแล้วสิ
“มึงนี่นะ
หาหอที่มันดูปลอดภัยกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ ถ้ากูไม่ขับมาส่งก็ต้องเดินเข้ามาเปลี่ยวๆถูกมั้ย?”
จีมินที่นั่งคร่อมอยู่บนบิ๊กไบก์เอ่ยพลางเสยผมยุ่งๆไปด้านหลัง
ดวงตาคมมองไปรอบๆก่อนจะถอนหายใจและกลับมามองผมด้วยสายตาดุๆ
“พี่กูบ่นพอแล้ว
มึงไม่ต้องบ่นอีกก็ได้นะ”
“ต้องบ่นสิไอ้เหี้ย
ถ้ามึงโดนโจรฉุดขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็โทรเรียกมึงมาช่วยไงครับ”
ผมตอบกลับหน้าตายจนคนที่อาสามาส่งผมถึงหอต้องยกนิ้วขึ้นมาดีดหน้าผากของผมด้วยความหมั่นไส้
ไอ้เหี้ย เจ็บ!
“ปากดี! จะเรียกกูว่าตายเป็นเพื่อนน่ะสิ!”
“ฮ่าๆ
ขับกลับดีๆนะ”
“รับทราบ เออ
ส่วนเรื่องงานพิเศษ เดี๋ยวกูลองไปถามพี่ที่เปิดร้านอาหารอยู่แถวนี้ให้ว่ารับพนักงานเพิ่มหรือเปล่า”
“แต้งกิ้ววววว”
จีมินใส่หมวกกันน็อคอีกครั้งและเตรียมสตาร์ทเครื่องขับออกไป
ผมยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอส่งจีมินให้ขับออกไปก่อนแต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อคนที่ทำท่าว่าจะขับออกไปกลับเปิดหมวกกันน็อคหันมาหาผม
“เออมึง กูลืมบอก”
“ว่า”
“ตอนที่มึงไปซุกหัวในส้วม
อาจารย์เขาให้จับกลุ่มทำรายงานส่งก่อนมิดเทอม”
ทำไมต้องย้ำด้วยว่าผมไปซุกหัวอยู่ในห้องน้ำ
แค่นี้ก็อับอายพอแล้ว ผมเบ้ปากน้อยๆแต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะการเล่าของจีมิน เพราะสิ่งที่เขาพูดอยู่ก็เป็นงานเป็นการทั้งนั้น
“กูที่นั่งเด๋ออยู่คนเดียวก็เลยไม่รู้จะจับกลุ่มกับใคร
มึงที่เป็นเพื่อนกูก็ดันไม่อยู่ช่วยคิดห่าอะไรเลย”
“นี่กำลังด่ากูถูกมั้ย”
“เออรู้ตัวหนิ”
ผมเบะปากเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอความเมตตาจากจีมิน
แต่เจ้าตัวกลับเมินเฉยและก้มลงไปหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจิ้มๆทำอะไรสักอย่าง
ครืดๆ
หือ?
คิ้วของผมยกสูงขึ้นเมื่อจู่ๆโทรศัพท์ของตัวเองก็สั่น
สมองน้อยๆประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าสาเหตุน่าจะมาจากสิ่งที่จีมินทำเมื่อครู่
ผมจึงล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู...
“ตอนนั้นทั้งห้องแม่งโคตรวุ่นวาย อาจารย์รำคาญเลยหักดิบให้ทุกคนจับกลุ่มกับคนที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกัน”
“....”
“ก็เลยกลายเป็นว่ากลุ่มเรามี กู มึง
เพื่อนที่อยู่เศรษฐศาสตร์อีก 2 คน และก็มีรุ่นพี่หน้าหล่อๆที่นั่งอยู่ข้างๆมึงอะ
เขาอยู่สาขาเดียวกับพวกเราด้วยโว้ย ชื่อแทฮยอง ตอนแรกกูก็กลัวว่าจะทำงานด้วยยาก
แต่พอรู้ว่าเขาอายุเท่ากับกูก็เลยสบายใจหน่อย เขาให้กูเรียกชื่อเฉยๆได้ด้วยว่ะ”
“....”
“เออนั่นแหละ กดเข้ากลุ่มด้วยนะ
มีรายละเอียดงานอยู่ในโน้ต กูไปละ บายมึง”
จีมินเอามือมาตบไหล่ผมหนักๆสองสามทีก่อนจะบิดคันเร่งขับออกไป
ผมมองหน้าจอที่แสดงคำเชิญให้เข้ากลุ่มด้วยสภาพจิตที่หลุดลอยหายไปกับสายลมและคาดว่าจะไม่หวนกลับมาในเร็วๆนี้
ทำไม...
ทำไมล่ะครับ?!!!
ราวกับมีเมฆฝนลอยมาปลดทุกข์อยู่เหนือหัว
โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับผมครับ ผมไม่ได้น่ารักขนาดที่จะมาเล่นด้วยถี่ขนาดนี้นะ
ผมยังคงยืนนิ่งมองหน้าจออยู่อย่างคนไร้ทางหนี
มันจะดีกว่านี้ถ้าพี่เขาไม่ใช่คนที่มาขอผมดมกลิ่น
มันจะดีกว่านี้ถ้าพี่เขาไม่ใช่คนที่ทำให้ผมรู้สึกอับจนจนต้องหนีออกไปห้องน้ำ
และมันจะดีกว่านี้ถ้าผม...
ดรอปทิ้งแม่งเลยดีมั้ยวะ?!
ไม่เรียนแล้ววิชานี้!
....
ก็ไม่ได้ไงจองกุก ต้องเรียนครับ
เซลล์สมองด้านดีออกโรงขัดขวางความคิดอันตรายให้ออกไปไกลๆ
ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจกดตอบรับคำเชิญ
ก็แค่งานกลุ่ม ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก
ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็แค่หนี...หนีให้รอดเหมือนทุกครั้ง
“...อยู่ห่างๆไว้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร...”
ผมพึมพำบอกตัวเองขณะหมุนตัวเดินเข้าไปในหอ
สายตาก็มองดูรายชื่อคนในกลุ่มที่มีอยู่ 5 คนถ้วน ถ้าแค่นั่งใกล้กัน ทำงานร่วมกัน คุยกันบ้างตอนเจอหน้า
ผมว่าก็น่าจะพอไหวอยู่นะ พี่เขาไม่น่าจะกล้าทำอะไรน่ากลัวๆใส่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น
แต่ขอล่ะ ขออย่างเดียว อย่ามายุ่งกับผมให้มากไปกว่านี้เลย
แค่วันนั้นกับวันนี้ก็เกินพอแล้วครับ
....
ครืดๆ
....
Taehyung
: สวัสดีครับ :)
แล้วทำไมพี่ต้องทักแชทเดี่ยวมาหาผมด้วยครับเนี้ย?!
ฮืออออออ สวรรค์ไม่เมตตากุกเลย
แม่งเอ๊ย! อยากเข้าส้วม!
สัปดาห์ต่อมา
หนักเกินความจำเป็นจริงๆ
ผมมองหนังสือบัญชีเล่มหนาในมือก่อนจะถอนหายใจให้กับเช้าที่เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่ค่อยดีนัก
ไม่สิ มันไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
เมื่อคืนคนที่อยู่ห้องข้างๆอาละวาดเสียงดัง
ทั้งทำลายข้าวของแถมตะโกนด่าฟ้าด่าดินไปทั่ว
ทำให้ผมซึ่งเรียนเหนื่อยมาทั้งวันได้แต่หลับๆตื่นๆอยู่ทั้งคืน
ทุกอย่างเพิ่งมาสงบลงตอนประมาณตี 4
ซึ่งผมต้องตื่น 8 โมงเพื่อมาส่งงานและเข้าเรียนตอน 9 โมง
พอมาถึงมหาลัยและกำลังจะมุ่งไปซื้อข้าวกล่องมาประทังชีวิตให้อยู่รอดพ้นไปถึงตอนกลางวัน
กระเป๋าสตางค์เจ้ากรรมก็ดันไม่อยู่ประจำที่ ผมเลยต้องอดทานข้าวเช้าไปตามระเบียบ
สรุปคือ ผมได้นอนเต็มอิ่มเพียงแค่ 4 ชั่วโมงและขณะนี้ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า
“ฮัลโหล”
ผมเปลี่ยนมาถือหนังสือด้วยมือข้างซ้ายและใช้มือข้างขวาล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ
ผมหนักใจกับหนังสือบัญชีจริงๆนะครับ
ถึงนี่จะเป็นแค่วิชาเบื้องต้นที่เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เด็กสาขาบัญชีจะต้องเรียน
แต่สำหรับผมที่หัวไม่ค่อยจะมาด้านนี้อยู่แล้วถือว่าสาหัส
ยังไม่รู้เลยว่ามิดเทอมนี้จะเอาตัวรอดไปได้ยังไง
[
จองกุก มึงโอเคใช่มั้ยเรื่องเป็นหัวหน้ากลุ่ม ]
เสียงที่ยังดูงัวเงียยังไม่ตื่นดีของจีมินดังออกมาจากโทรศัพท์
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนจะกระชับหนังสือและเดินเลี้ยวเข้าตัวตึกคณะ
“โอเคสิ แค่ต้องรวมเล่มเอง ถึงรวมเล่มมันจะต้องคอยแก้งานคนอื่นก็เถอะ แต่กูโอเคนะเพราะงานก็แบ่งกันไปแล้วว่าใครทำอะไร”
[ งั้นก็ดี กูแค่เป็นห่วงกลัวว่ามึงไม่อยากทำ ]
ผมหัวเราะน้อยๆให้กับคำพูดของจีมินพลางรีบเดินไปต่อแถวรอลิฟต์ที่ตอนนี้ยาวเป็นหางว่าว
อาจจะเพราะใกล้เวลาเรียนแล้วมั้งทุกคนเลยแห่กันมาที่ลิฟต์จนแถวมันยาวออกมาจนเกือบถึงหน้าตึก
“แล้วนี่มึงอยู่ไหนแล้ว?”
[ จอดลูกรักที่ลานจอดแล้วครับ กำลังเดินไป มึงขึ้นไปรอก่อนเลย ]
“อย่าลืมไปส่งงานก่อนด้วยนะมึง”
[ รับทราบ...เฮ้อ ไม่อยากเรียนเลยว่ะ ]
เสียงพึมพำแสนท้อแท้ดังออกมาเบาๆราวกับกำลังบ่นลอยๆ
พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ่งห่อเหี่ยว สภาพร่างกายก็ไม่พร้อมจะมาเรียนอยู่แล้วและยังต้องเจอวิชานี้อีก
ตายแน่ๆ
“วันศุกร์ก็ต้องเรียนอีก...”
[ โห ย้ำเตือนกูมาก กูอุตส่าห์พยายามปลอบใจตัวเองอยู่ ]
“ฮ่าๆ รีบมาแล้วกัน กูจะเข้าลิฟต์ละ
ไว้เจอกัน”
[ บายยยย ]
ผมวางสายจากจีมินในจังหวะที่ต้องขยับไปด้านหน้าเพราะแถวหดสั้นลง
ท่าทางตอนเข้าลิฟต์ต้องอัดกันแน่นแหงๆ
ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะกดแอพพลิเคชั่นนกสีฟ้าขึ้นมาเล่นระหว่างรอ
ผมขยับตามแถวไปเรื่อยๆจนสุดท้ายลิฟต์ที่เป็นของผมก็เปิดรับผู้โดยสาร
“ชั้น 10 ด้วยครับ ขอบคุณครับ”
ผมเอ่ยบอกคนที่ยืนอยู่ตรงมุมด้านหน้าก่อนจะเดินเข้าไปยืนด้านในสุดของลิฟต์
และก็เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ครับ
คนพากันเบียดเข้ามาในลิฟต์จนผมต้องขยับไปอยู่ตรงมุม
และข้อเสียของการยืนอยู่ด้านในคือ คุณจะถูกเบียดมากที่สุด
ผมยังคงใช้สายตาจับจ้องอ่านข่าวในทวิตเตอร์พลางทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อในคนเข้ามาได้เยอะๆ
ลิฟต์มันก็มีแค่ 2 ตัวกับคนในคณะที่โคตรเยอะ
ในชั่วโมงเร่งด่วนก็ต้องอัดๆกันไปแบบนี้ล่ะครับ
ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงและคนที่อยู่ด้านหน้าขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม
ใกล้ขนาดที่ว่าโทรศัพท์ที่ถืออยู่จะแตะเข้ากับเสื้อของเขาแล้ว
แต่เดี๋ยว...
ทำไมเสื้อมีกระดุมด้านหลัง
ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งแปลกๆของคนที่อยู่ด้านหน้า
เสื้ออะไรมีสาบกระดุมอยู่ด้านหลังวะ มันไม่ใช่ปะวะ ด้วยความสงสัยผมจึงละสายตาจากข่าวอาชญากรรมเลือดสาดขึ้นไปมองชัดๆ...
อ๋อ ไม่ใช่ด้านหลัง
นี่มันด้านหน้าของเสื้อ
....
หือ?! ทำไมเขายืนหันเข้าด้านในล่ะ?!
ติ๊ง!
“ไอ้แท เราเรียนชั้น 4 ปะวะ?”
“อืม ชั้นนี้แหละ แต่มึงไปก่อนเลย”
ดวงตาของผมเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังอยู่ในระยะที่ใกล้จนหน้าตกใจ
ผมสัมผัสได้ว่าคนในลิฟต์พากันทยอยเดินออกไปเป็นจำนวนมากราวกับเกือบทั้งหมดเรียนที่ชั้นนี้
“กูขอไปทำธุระที่ชั้น 10 ก่อน”
!!!!!
เดี๋ยว!! พี่จะไปทำไมชั้น 10 ครับ?!
ผมยืนกำโทรศัพท์แน่นไปพร้อมๆกับสติที่แตกกระเจิงหายไปทางช่องลม
ประตูลิฟต์ปิดลงแล้วแต่คนด้านหน้าก็ยังไม่ยอมเขยิบห่างออกไป
ทั้งๆที่ตอนนี้ในลิฟต์ไม่มีคนอื่นแล้วแท้ๆ!!!
ผมหันไปมองผนังลิฟต์ด้านข้างที่ติดกระจกไว้ก่อนจะสบถชื่อสัตว์เลื่อยคลานตัวโตๆในใจ...
ทำไมต้องเจอด้วยวะเนี้ย!
ผมเผลอกัดริมฝีปากแน่นเมื่อมองไปในกระจกแล้วเห็นพี่เขาใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองผมพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น
แต่ก่อนที่ผมจะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากให้พี่เขาขยับออกห่าง จู่ๆเจ้าของร่างที่สูงกว่าผมหน่อยก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ศีรษะของผมมากกว่าเดิม
และในตอนนั้นเองที่ผมชะงักค้างและกลายร่างเป็นตุ๊กตาอับเฉาที่ใช้ถ่วงเรือ
ลมหายใจร้อนๆถูกพ่นออกมาก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ถึงการหายใจเข้าที่นานกว่าปกติ
โง่ขนาดไหนก็ต้องรู้ว่าอาการแบบนี้คือการสูดกลิ่น
เขากำลังสูดกลิ่นของผมอยู่
ใบหน้าที่ผมเห็นด้วยว่าหล่อเบี่ยงไปด้านขวาของผมเล็กน้อยและค่อยๆขยับต่ำลงมาเรื่อยๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้โดนตัวผมเลย แต่เพราะลมหายใจอุ่นๆที่กระทบผิวทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น
มือไม้ก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งๆเบิกตาให้กว้างเท่าไข่ห่าน ลมอุ่นร้อนขยับไล่ไปตามกรอบหน้าของผม
เหมือนเขาพยายามสูดกลิ่นเข้าปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
และดวงตาของผมก็แทบหลุดจากเบ้าเมื่อริมฝีปากสวยได้รูปมาหยุดอยู่ตรงใบหูและกระซิบถ้อยคำที่ทำเอาผมอยากสลายร่างกลายเป็นไอไป
ณ ตอนนี้
....
“ทำไมบล็อกไลน์พี่ล่ะครับ?”
....
ทำไมเขารู้ล่ะ?!
ใช่ครับ
หลังจากวันนั้นที่เขาทักไลน์ผมมา ผมที่สติแตกไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงแก้ปัญหาด้วยการกดบล็อกไปแบบมึนๆและคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้
ไม่รู้ที่ไหนล่ะ!!! เขารู้โว้ยไอ้กุก!
แย่ชะมัด อยากหนีไปเข้าห้องน้ำ
ผมมองไหล่ของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอด
ทำไมพี่ต้องอยากมายุ่งกับผมด้วยครับ ผมไม่เล่นด้วยนะ อยากดมก็ไปขอคนอื่นดมสิ
หน้าหล่อๆอย่างพี่น่าจะมีคนยอมช่วยเหลืออยู่นะ
ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะต้องหดคอหนีเมื่อลมหายใจอุ่นๆเลื่อนต่ำลงมายังช่วงคอและเข้าใกล้มากขึ้นจนถึงระยะอันตราย
“ช-ช่วยถอยออกไป...”
ผมใส่หนังสือบัญชีเล่มใหญ่ที่ถือกอดไว้ดันอกพี่เขาให้ถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว
พอระยะห่างระหว่างเราเพิ่มมากขึ้น เขาก็เลือกที่จะสบตากับผมก่อนจะก้มลงไปมองหนังสือที่แตะอยู่ตรงอกแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ
“จะไม่แตะตัวกันเลยถูกมั้ย”
น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยถามพลางแย่งหนังสือไปถือหน้าตาเฉย
ผมมองการกระทำของเขาด้วยสายตางุนงงก่อนจะยิ่งสับสนเมื่อนิ้วเรียวขยับเข้ามาดันแว่นของผมขึ้นเล็กน้อย...
“แล้วสรุปบล็อกเบอร์พี่ทำไมครับ?”
“ผมไม่ตอบได้มั้ยครับ”
“งั้นก็ดมต่อเนอะ”
หือ?!!!!!
ผมเบิกตากว้างและรีบใช้มือดันตัวอีกฝ่ายที่ทำท่าจะเข้ามาใกล้ไว้
เห็นมั้ย เขาดมกลิ่นผมจริงด้วย!!! ผมไม่ได้มโนไปเองนะ พี่เขาดมกลิ่นผมจริงๆ!
ผมขมวดคิ้วยุ่งและเลื่อนสายตาขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย
ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูอยากแกล้งผมนักหนา
“...โรคจิต”
“เป็นคำด่าที่น่ารักที่สุดเลยนะครับ”
โรคจิต!!!
ผมอยากจะรวบรวมพลังต่อปากต่อคำกลับไปอยู่หรอกนะ
แต่เนื่องจากวันนี้ผมนอนไม่พอแถมยังหิวโคตรๆเลยได้แต่ใช้สายตาหงุดหงิดมองอีกฝ่ายผ่านเลนส์แว่น
“ไปทำอะไรที่ชั้น 10 เหรอ?”
“ส่งงาน”
“พูดไม่มีหางเสียงเลยนะปี 1”
“ไปส่งงานครับ”
ผมพ่นลมหายใจออกไปอย่างโล่งอกเมื่อพี่เขาขยับตัวเปลี่ยนมายืนข้างๆผมแทน
อย่างน้อยก็ไม่น่าอึดอัดเท่ากับยืนประจันหน้ากันล่ะนะ และก็น่าจะปลอดภัยจากวิธีการดมกลิ่นของพี่เขามากกว่า
“แล้ว...พี่ไปทำอะไรชั้น 10 เหรอครับ?”
ผมเอ่ยถามและขยับตัวเล็กน้อยให้ระยะห่างกับคนข้างๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัย
เขาถือวิสาสะเปิดหนังสือเรียนของผมดูก่อนจะเหลือบสายตาไปมองเลขลิฟต์ที่เคลื่อนมาหยุดที่ชั้น
10 พอดี...
“มาส่งเราไง”
!!!!
พูดจบก็ปิดหนังสือและใช้มือข้างที่ว่างเอื้อมมาคว้าข้อมือของผมไปจับเอาไว้แน่น
ผมรีบก้มลงมองข้อมือตัวเองด้วยความตกใจก่อนที่จะต้องรีบก้าวขาตามแรงดึงออกไปจากลิฟต์
“ส่งงานของอาจารย์อะไร”
“เอ่อ...อาจารย์...”
ผมอ้ำๆอึ้งๆกับคำถามที่ได้รับมา
คือผมจำชื่ออาจารย์ไม่ได้ไง รู้แค่ว่าจะมีตู้อยู่หน้าห้องสาขาการตลาด
เดี๋ยวเห็นก็รู้เอง ผมหันซ้ายหันขวาเพราะก็ไม่เคยมาชั้นนี้มาก่อน
“เพื่อนบอกว่ามีตู้อยู่หน้าห้องการตลาด...”
ผมพึมพำตอบกลับไป ซึ่งในไม่กี่วิต่อมา
ผมก็ต้องเดินเลี้ยวขวาไปตามแรงดึง ผมมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองข้อมือของตัวเองที่ถูกจับไว้อีกครั้ง
“พี่ครับ ปล่อยก่อนได้มั้ย?”
“ไม่ได้ เดี๋ยวหนีไปห้องน้ำอีก”
“!!!!”
ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆเมื่อคำตอบของเขาทำให้ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา
ให้ตายสิ น่าอายชะมัด ลุกพรวดพราดไปห้องน้ำขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเราหนี
เฮ้อ
ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะต้องหยุดเดินเมื่ออีกฝ่ายดึงให้ผมเดินไปตรงตู้ที่แต่ละช่องมีชื่ออาจารย์แปะอยู่
“เอ่อ...ผมไม่หนีแล้วครับ
ปล่อยก่อนได้มั้ย ผมจะได้หยิบงานส่ง”
ผมหันไปบอกคนข้างๆ
ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี ผมปลดสายสะพายออกจากไหล่และหยิบกระเป๋ามาวางไว้บนตู้
ผมหยิบใบงานที่ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อเย็นวานออกมาแล้วก้มลงหาชื่ออาจารย์ตามที่ปรากฏอยู่ตรงด้านบนของกระดาษ
“อ่า...ขอบคุณครับ”
ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วเรียวของคนข้างๆชี้ไปยังตู้ที่ผมต้องการ
หลังจากที่ผมจัดการหย่อนใบงานส่งเรียบร้อย ผมก็ปิดกระเป๋าและหยิบมันมาสบายหลังเหมือนเดิม
หมับ!
ผมสะดุ้งทันทีที่มีมือมาจับข้อมือของผมไว้อีกครั้ง
ถึงคราวนี้จะไม่แน่นอย่างเมื่อครู่แต่มันก็เลื่อนต่ำลงจนเกือบถึงฝ่ามือของผม พี่เขาดึงผมให้ออกเดินกลับไปยังบริเวณโถงลิฟต์
“นอนไม่พอเหรอ?”
“ค-ครับ?”
“หน้าดูง่วงๆ”
ดวงตาคมมองสำรวจไปตามใบหน้าของผมอย่างละเอียด
ผมที่ไม่ค่อยโดนใครจ้องหน้าขนาดนี้จึงได้แต่ทำตัวไม่ถูกและเลื่อนสายตาหลบไปมองทางอื่น
“ก็...ก็นิดหน่อยครับ”
“แล้วทานข้าวเช้าหรือยัง?”
“ยังครับ”
“ทำไม”
“ผมลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้อง”
ผมตอบตามจริงก่อนจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์และหันไปมองหนังสือของตัวเองที่อีกฝ่ายยึดไปถือไว้
...ผมอยากได้คืน ผมอยากถือเอง... ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาด้วยความลังเลก่อนจะอ้าปากเอ่ยออกไป...
“ขอ...”
“แล้วเรียนชั้นไหน?”
หะ...ผมชะงักเมื่อดวงตาคมหันมามองผมอีกครั้งและเอ่ยถามแทรกขึ้นมา
“ชั้น 6 ครับ”
“กี่โมง”
“9 โมงครับ”
“งั้นก็ยังมีเวลาอยู่”
“อ่า จะว่างั้นก็ได้ครับ”
ผมก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือที่บอกเวลา
8 โมงครึ่ง เราสองคนยืนรอเพียงไม่นานลิฟต์ก็เปิดออก
พี่เขาเดินเข้าไปก่อนตามด้วยผมที่กึ่งๆโดนลากเข้าไป ผมเห็นว่าพี่เขากดชั้น 1
แทนที่จะเป็นชั้น 4 แต่ผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไร
ผมเอื้อมมือจะไปกดชั้น 6 แต่ก็ถูกหนังสือของตัวเองกั้นเอาไว้
“ลงไปชั้น 1 ด้วยกันก่อน”
“ไม่ไปครับ ผมมีเรียน”
“ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย”
“ผมอยากไปนั่งรอในห้อง”
“ให้พี่ไปนั่งดมตัวเราในห้องหรือลงไปชั้น
1 ด้วยกัน...เลือก”
“!!!!”
ผมรีบหันขวับไปมองหน้าของคนข้างๆซึ่งมันก็เต็มไปด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังจะบอกว่าที่พูดไปเมื่อกี้น่ะ
ไม่ได้ล้อเล่น ผมลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะค่อยๆลดนิ้วที่หวังจะกดชั้นลง
สุดท้ายผมก็ต้องยอมลงมาที่ชั้นล่างสุดและเดินตามพี่โรคจิตต้อยๆ
ขืนไม่ยอม พี่เขาก็ได้มานั่งกับผมในห้องจริงๆสิครับ อย่าว่าผมกลัวเกินเหตุเลย
เขากล้าทำแน่ๆ ดูหน้าก็รู้แล้ว
ผมถอนหายใจและมองร้านขนมตรงหน้าที่โดนลากให้มาด้วย
ที่แท้ก็หาเพื่อนลงมาซื้อขนม เป็นงงเลยมั้ยล่ะ ผมไม่ได้สนใจอะไรตรงหน้ามากนัก
เพราะเดี๋ยวมองก็ยิ่งหิวกว่าเดิม ผมต้องอดทนไปให้ถึงตอนกลางวัน ผมวางแผนไว้แล้วว่าจะขอยืมตังค์จีมินใช้ซื้อข้าวกินไปก่อน
“แซนวิชไส้ทูน่าหรือแฮมชีส”
“ครับ?”
ผมหันไปมองคนข้างๆที่หันมาถามก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองแซนวิชที่วางเรียงรายอยู่...
“เอาที่พี่ชอบสิครับ”
ผมเอ่ยตอบไป จะมาถามทำไมวะ
หรือพี่เขาชอบกินทั้งสองรสแต่ตัดสินใจไม่ได้? ผมยืนงงกลางดงขนมไปได้สักพัก
คนที่ปล่อยข้อมือของผมไปจ่ายเงินก็หันกลับมาจับอีกครั้ง
โดยที่ครั้งนี้เป็นการจับข้อมือของผมไว้หลวมๆแถมยังเลื่อนต่ำลงมายังฝ่ามือยิ่งกว่าเดิม
ผมรู้สึกอายเล็กน้อยที่โดนจับดึงให้เดินไปมาเหมือนเด็ก
ผมโดนลากให้เดินเข้าลิฟต์ไปอีกครั้ง ซึ่งก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากบอก
คนข้างๆก็จัดการกดเลข 6 ให้ผมเป็นที่เรียบร้อย
ในลิฟต์ยังคงมีคนใช้บริการเยอะอยู่ แต่ก็ไม่เยอะเท่าตอนที่ผมขึ้นไปชั้น 10
“ไม่ออกเหรอครับ?”
ผมกระซิบถามเบาๆเมื่อลิฟต์จอดที่ชั้น
4 ซึ่งเป็นชั้นที่เขาต้องไปเรียน เจ้าของใบหน้าที่แสนสะดุดตาส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ
...อะไรวะ ไม่ไปเรียนหรือไงกัน...
ผมพึมพำในใจแต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่คิดจะพูดออกไป
ติ๊ง!
ในที่สุดประตูลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้น
6 เป็นสัญญาณบ่งบอกผมว่าอิสระใกล้มาถึงแล้วววว
แต่ช้าก่อน ผมไม่ควรรีบดีใจเร็วเกินไป ผมเหลือบสายตาไปมองคนที่ยังคงจับข้อมือของผมลากไปลากมา
เขาลากผมให้ออกมาจากลิฟต์ก่อนจะพาเดินตรงไปยังโถงตรงกลางชั้นที่มีทางแยกเดินไปตามห้องเรียนต่างๆ
“ครับ?”
“ให้”
ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อจู่ๆถุงพลาสติกสีใสที่มีแซนวิชและขนมนมเนยพอประมาณถูกยัดใส่มือ
ผมก้มลงมองของที่รับมาก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่ไม่เข้าพวกอยู่ในนั้น
แบงก์พัน!!!!
พี่จะมาใส่แบงก์พันมาในถุงพลาสติกไม่ได้นะโว้ย!
ผมเตรียมจะยื่นถุงทั้งถุงคืนแต่ก็ถูกอีกฝ่ายหยุดการกระทำไว้
ผมใช้สายตามองเขาอย่างไม่เข้าใจและพยายามดันถุงให้เขารับคืน
“บอกว่าให้ไง”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”
“ยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่เหรอ?”
“ก็ใช่ครับ แต่ผมไม่อยากรับ เกรงใจ”
ผมพูดปฏิเสธรัวๆและเปลี่ยนมาพยายามยัดถุงกลับใส่มือให้พี่เขาถือ
แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ
“เอาไปเถอะ เดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่อง”
“แต่ว่า...”
“จองกุก อย่าดื้อได้ปะวะ”
ผมชะงักเมื่อได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากของคนตรงหน้าพร้อมกับประโยคที่ติดหงุดหงิดน้อยๆที่ต้องมาหลบการคืนถุงจากผม
คิ้วของผมค่อยๆขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจว่าพี่เขาจะหงุดหงิดทำไม
“ดุทำไม ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”
“ก็เราขี้เกรงใจ”
“ผมไม่...”
“งั้นปลดบล็อกไลน์เป็นค่าตอบแทน”
ปมคิ้วค่อยๆคลายออกเมื่อได้ยินข้อเสนอที่พูดออกมาเพื่อให้ผมยอมรับถุงขนมไป
ผมมองหน้าเขาและก้มลงมามองของในถุง...
จะว่าไป...โดยรวมพี่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่
ดูเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไปนี่แหละ จะแปลกก็ตรงที่มีพฤติกรรมชอบดมกลิ่น
ดมกลิ่นของผม? ผมมีกลิ่นตัวชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าตัวหอม เอ๊ะ
หรือเพราะเราตัวหอม? เออสิ ใครมันจะไปอยากดมกลิ่นเหม็นวะ
อาจด้วยอาการนอนไม่พอกับการที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า
ทำให้สมองของผมรวนเล็กน้อย ผมมองแซนวิชที่น่าจะประทังความหิวของตัวเองได้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
นอกจากการดมกลิ่นที่แปลกโคตรๆแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีกับผมนะ
ตอนดมก็ไม่ได้แตะตัวกันเลยด้วย แต่ผมเป็นพวกไม่ชินกับการใกล้ชิดขนาดนั้นล่ะมั้ง
สติเลยแตกนิดหน่อย(?)
“ก็ได้ครับ แต่พี่ต้องเอาเงินคืนไป”
ผมหยิบแบงก์สีเทาออกจากถุงและส่งคืนให้
ขนมไม่กี่อย่างแลกกับการปลดบล็อกน่ะโอเค แต่จะให้เพิ่มหนึ่งพันบาทเข้าไปด้วยนี่คงจะไม่ไหว
ดวงตาสีดำสนิทมองเงินในมือผมด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ
เฮ้ย ไม่เอาดิ ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ
แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดโต้แย้งหรือออกแรงยัดเงินกลับใส่มือของเขา
น้ำเสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยประโยคที่เล่นเอาผมปวดหัวออกมา
“กลัวเงินหาย ฝากไว้ก่อนได้มั้ย?”
กลัวเงินหาย?! ข้ออ้างประเภทไหนวะ!
ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆทันทีที่ฟังจบ เงินมันจะหายได้ยังไงถ้าเอาใส่กระเป๋าสตางค์ไว้น่ะครับ
พี่ก็ดูเป็นคนมีฐานะอยู่แล้ว ไม่น่าจะต้องกลัวเงินหายนะ
“ไม่เอางี้สิครับ”
“พี่บอกว่าอย่าดื้อไง”
“ไม่ได้ดื้อครับ แต่มันมากไป”
“ก็บอกว่าขอฝากไว้ก่อน
ถ้าอยากได้คืนเดี๋ยวบอกเอง”
“....”
“เร็วๆ ต้องไปเรียนแล้ว”
จริงสิ พี่เขาก็ต้องไปเรียน
ผมก้มลงมองนาฬิกาที่อยู่ตรงข้อมือก่อนจะถอนหายใจและยอมเก็บเงินหนึ่งพันบาทกลับใส่ถุง
ถ้าผมยังคงเถียงต่อไป ชาตินี้ก็คงไม่ต้องเรียนกันแล้วล่ะ
“รีบอยากได้คืนเร็วๆนะครับ
ผมไม่อยากรับฝากไว้นาน”
และนั่นคือประโยคที่ผมพอจะพูดออกไปได้
ผมโค้งหัวน้อยๆให้กับคนที่อายุมากกว่าและหมุนตัวเดินไปยังห้องเรียนที่รอผมอยู่
แต่ผมที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเมื่อเสียงทุ้มต่ำที่เริ่มคุ้นเคยเรียกชื่อของผมขึ้นมาอีกครั้ง...
“จองกุก”
“?”
“ลืมหนังสือ”
!!!!
ฉิบหาย
ผมอุทานในใจเสียงดังก้องร่างและรีบหมุนตัวกลับไปรับหนังสือบัญชีเจ้าปัญหาคืน
พี่เขาคืนหนังสือให้ผมโดยดี แต่พอผมจะหมุนตัวกลับ ต้นแขนก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน
ผมสบตากับอีกฝ่ายผ่านเลนส์แว่นหน้าเตอะของตัวเอง เขามองผมด้วยแววตาลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจอ้าปากพูด...
“พี่ชื่อคิมแทฮยอง”
“....”
“เพราะฉะนั้น...ต่อไปก็เรียกชื่อของพี่ด้วยนะ”
อ่า...
ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะขยับใบหน้าขึ้นลงเป็นการตกลง
รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แสนดูดีนั่น
ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงหลายๆคนในคลาสเมื่อวันศุกร์จะหันมามองกันใหญ่
ขนาดผมเป็นผู้ชาย...ผมยังยอมรับเลยว่าดูดีมากจริงๆ
ในระหว่างที่ผมกำลังยืนซาบซึ้ง
จู่ๆใบหน้าที่ว่าก็โน้มลงมาใกล้และหยุดอยู่ข้างๆใบหน้าของผม
ระยะห่างมันใกล้เสียจนผมรู้สึกถึงลมหายใจของเขา...
....
ดม
เขาดมกลิ่นผมอีกแล้ว
แถมดมเสร็จก็ยิ้มหน้าบานโบกไม้โบกมือลาผม
ทำเอาสมองน้อยๆนึกย้อนกลับไปสมัยเด็กๆที่เคยเลี้ยงหมาอยู่ตัวหนึ่ง มันจะมีท่าทางแบบนี้แหละเวลาที่ผมให้ขนม
หรือพี่เขาเป็นหมาวะ?
ต้องใช่แน่ๆ
พี่แทต้องเป็นหมาแน่ๆ
ว่าแต่...พี่เขาชอบแซนวิชแฮมชีสเหรอ?
ชอบเหมือนกันเลยแหะ
.
.
.
.
น้องน่ารัก แถมยังหอม
ผมมองคนที่ดูยังไงก็เรียกว่าเด็กเนิร์ดเดินถือถุงพลาสติกหายเข้าไปในห้องเรียน
วันนี้น้องดูไม่สดชื่น...ผมเห็นตั้งแต่เดินอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามมอแล้ว
ผมขับรถจากคอนโดมาเรียนอย่างเช่นทุกวัน
แต่ไม่เหมือนทุกวันตรงที่สายตาดันมองไปเห็นคนที่เดินอยู่ตรงฟุตบาท น้องเหม่อมาก เบลอถึงขั้นเกือบโดนรถที่ออกมาจากซอยชน
พอมีโอกาสถามผมเลยเอ่ยถามและก็พบความจริงว่า
นอกจากนอนไม่พอแล้วยังไม่ได้ทานข้าวเช้าอีก
มันน่าจับตีจริงๆ
สุดท้ายผมก็ซื้อของว่างที่พอรีบกินได้ก่อนเข้าเรียนให้
แต่ก็ดันติดปัญหาที่เจ้าตัวเป็นคนขี้เกรงใจ หลังจากที่ได้คุยกันทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาและก็วันนี้
ผมสรุปได้ทันทีว่าน้องดื้อ ถ้าแย้งได้ก็จะแย้ง แต่ถ้าแย้งไม่ได้น้องก็จะดื้ออยู่เงียบๆภายในใจเป็นหมื่นแสนล้านคำ
ผมไม่ค่อยชอบคนที่มีนิสัยแบบนี้สักเท่าไหร่
แต่พอนิสัยแบบนี้ไปอยู่บนตัวน้องแล้วก็ดูน่ารักดี
...ไม่สิ โคตรน่ารักเลย...
...ให้ตายสิ ผมเริ่มหลงแล้วว่ะ...
“ไอ้แท”
เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นจากด้านหลังและพอผมหันไปมองตามต้นเสียงก็พบหน้าของคนที่ตั้งแต่ปิดเทอมไปก็ไม่ได้เจอกันเลย
“ว่าไงครับคุณคิมนัมจุนนนน
ไม่เจอกันตั้งนาน”
ผมยิ้มทักทายคนที่อยู่ปีสูงกว่าแต่มีสถานะเป็นเพื่อนด้วยท่าทีเป็นกันเอง
อย่างที่เคยบอกไปครับ ผมรู้จักกับนัมจุนก่อนที่จะซิ่วมาเรียนที่นี่อีก
เพราะเขาเป็นเพื่อนของโฮซอกมาตั้งแต่มัธยม แถมตอนนี้ก็ยังเป็นรูมเมทกันอีก เวลาผมไปหาโฮซอกที่ห้องก็เลยได้เจอกันบ่อยๆจนสุดท้ายก็สนิทกันไปโดยปริยาย
“มาทำอะไรตรงนี้วะ?”
“ส่งน้อง”
“น้อง?”
“น้องที่เล่าให้ฟังไง”
ผมพูดไปยิ้มไป
นัมจุนมองหน้าผมก่อนจะเลื่อนสายตามองผ่านไหล่ของผมไปยังห้องเรียน ผมคาดว่าเขาน่าจะทันเห็นผมกับน้องยืนคุยกันอยู่นั่นแหละแต่ไม่ได้เข้ามาหา
“มึงจำที่กูบอกได้มั้ยว่ามีน้องที่เหมือนน้องชายแท้ๆของกูเข้ามาเรียนสาขาเราปีนี้”
“อือ จำได้ๆ”
ผมงงเล็กน้อยที่จู่ๆนัมจุนก็เปลี่ยนเรื่องคุย
แถมสีหน้ายังดูซีเรียสต่างไปจากปกติ เราสองคนมองหน้ากันครู่ใหญ่และก็เป็นนัมจุนนั่นแหละที่ทำลายความเงียบลง
“น้องที่มึงยืนคุยอยู่เมื่อกี้น่ะ”
“....”
“น้องกู”
TALK ; ถ้านี่เป็นพี่แท จะจับน้องเข้ามุมแล้วฟัดแรงๆ แต่ไม่ได้ๆ
ต้องคีพลุคก่อน ถ้ารุกแรงไปเดี๋ยวกระต่ายตื่นกันพอดีเนอะ ฮี่ๆๆๆๆๆๆ (อิไรท์ไม่น่าไว้วางใจ)
สวัสดีค่ะทุกคนนนนนน กริ๊บกริ๊วววววว
เมื่อวานมีโมเม้นอะแกร๊!!! นี่เขินจองกุกเข้าไปจุ๊บกล้องโทรศัพท์มาก
แต่ที่เขินกว่าคือมือที่ไปจับโทรศัพท์ด้วยอะทับนิ้วพี่แทอยู่ เป็นคนเขินกับอะไรจุ๊บจิ๊บแบบนี้แหละค่ะ
แงงงงงงงง โฮกกกกกกๆๆๆ
โอเค ดึงสติกลับมาก่อนพี่น้อง5555555 หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ ปกติเราไม่ค่อยถนัดแนวน่ารักสดใสเท่าไหร่เลยออกจะเขินๆที่แต่งแนวนี้55555 ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กันในตอนที่ผ่านมานะคะ ใครชอบก็คอมเม้นท์&จิ้มๆให้กำลังใจเค้าหน่อยน้าาา พรุ่งนี้มหาลัยเปิดเรียนแล้ว
จิตใจห่อเหี่ยวมากแม่ จิร้องไห้55555
ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ
พี่แทที่เริ่มหลงความน่ารักจะหาวิธีดมตัวน้องกุกให้ใกล้กว่านี้อีกได้มั้ย แล้วคนที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆของน้องกุกอย่างพี่นัมจุนจะทำยังไง
น้องกุกจะได้คืนเงินหนึ่งพันบาทกับพี่แทตอนไหน ต้องรอติดตามกันต่อไปน้าาา /พูดเหมือนพิธีกรการ์ตูนช่อง9เว่อร์555555
ขอบคุณทุกๆคนที่แวะมาอ่านตอนนี้นะคะ ขอบคุณค่าาาา รักกกกกกก
Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ
( ‘เหรอ’ เขียนแบบนี้นะ ><)
Twitter : @yumsyou
ความคิดเห็น