ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Excuse me, Can I sniff you ? — vkook °

    ลำดับตอนที่ #3 : Please Step Back

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 62



    Chapter 3 : Please Step Back

     

                  ก๊อกๆ


                  “มึงจะอยู่ในนั้นอีกนานมั้ย กูอยากกลับหอแล้ว”

                  “เลิกเรียนแล้วเหรอ...?”

                  “เออ อาจารย์ปล่อยก่อนเวลา”


                  ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ถึงผมจะชอบหนีมาซุกหัวอยู่ในห้องน้ำ แต่ก็ใช่ว่าจะชอบอยู่ในห้องน้ำนะครับ พอผมเปิดประตูออกก็เจอจีมินยืนทำหน้าเบื่อโลกอยู่ เขาโยนกระเป๋าที่ผมลืมทิ้งไว้ในห้องคืนให้และหมุนตัวเดินนำลิ่วออกจากห้องน้ำไป


                  “คราวหน้าอย่าลุกหายไปแบบนี้อีกนะโว้ย กูเป็นห่วงแทบตาย”


                  จีมินหันมาดุผมที่รีบเร่งฝีเท้าเดินไปให้ทันเขา ผมมองอีกฝ่ายที่ดูจะอารมณ์เสียขึ้นมาก่อนจะส่งยิ้มเจือนตอบกลับไป


                  “เฮ้อ ยังจะมายิ้มโง่ให้กูอีก มึงปล่อยให้กูนั่งเรียนคนเดียว!!!

                  “ขอโทษคร้าบบบ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”

                  “จะคอยดู”


                  ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆตอบกลับไป จีมินเดินนำผมไปยังที่จอดรถจักรยานยนต์ เรานัดกันไว้ว่าหลังเลิกเรียนจะต้องพากันไปที่ศูนย์หนังสือของมหาวิทยาลัย มีหลายวิชาที่เราจำเป็นต้องซื้อหนังสือเพื่อเตรียมใช้เรียนในสัปดาห์หน้า


                  “เอาไปใส่”


                  จีมินส่งหมวกกันน็อคสีขาวมาให้ผมในขณะที่เขาขึ้นคร่อมบิ๊กไบก์คันหรูของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


                  “เอามาเรียนแบบนี้ไม่กลัวถูกคนขโมยเหรอ?”

                  “ถ้ามันจะโง่ขโมย ก็ปล่อยให้มันโง่ไปเถอะ”


                  ผมส่ายหัวกับคำตอบที่โคตรไร้ความกังวลของอีกฝ่าย จีมินมีข้อแตกต่างจากผมอยู่ประมาณสองสามข้อ อย่างแรก เขาค่อนข้างมีฐานะ สังเกตได้จากเครื่องใช้ต่างๆที่ดูก็รู้ว่าแพง แต่เขาก็ไม่ได้ขี้อวดหรือหยิ่งเลยแม้แต่น้อย อย่างที่สอง เขาเป็นคนอัธยาศัยดี อีกทั้งยังกล้าลุยกล้าชน จะบอกว่าห้าวก็ถูกครับ และอย่างที่สาม เขาค่อนข้างหัวดี ไม่ต้องพยายามมากมายอะไรก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เรียนได้ แตกต่างจากผมที่สอบติดที่นี่ได้ก็โคตรบุญในชีวิตแล้ว


                  “มึงถือให้กูที”


                  ผมรับกระเป๋าของจีมินมากอดไว้เมื่อขึ้นมานั่งซ้อนท้ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คนด้านหน้าจัดการใส่หมวกกันน็อคสีดำของตัวเองก่อนจะสตาร์ทเครื่องขับออกไป


                  ใช้เวลาเพียงไปนาน ผมกับจีมินก็มาถึงหน้าศูนย์หนังสือที่วันนี้ดูคึกคักเป็นพิเศษ พอจีมินจอดเทียบข้างฟุตบาทเสร็จ ผมก็ก้าวลงมายืนที่พื้นและถอดหมวกกันน็อค ตอนแรกผมก็ไม่กล้านั่งหรอกครับ ไอ้ยานพาหนะที่ดูอันตรายแบบนี้น่ะ แต่จีมินมันบังคับให้ผมนั่งโดยให้เหตุผลว่าถ้าจะเป็นเพื่อนเขาก็ต้องนั่งให้ได้ เพราะเขาชอบใช้ยานพาหนะสองล้อนี้มากๆ


                  “ทำไมคนเยอะจังวะ”


                  จีมินขมวดคิ้วยุ่งทันทีที่ถอดหมวกกันน็อคออกแล้วเห็นว่าคนในศูนย์หนังสือค่อนข้างเยอะ เขาเสยผมไปข้างหลังก่อนจะก้าวลงจากลูกรักของตัวเองและดึงหมวกกันน็อคในมือของผมไปเก็บ


                  “รีบซื้อรีบกลับเหอะ กูโคตรหิวเลย”

                  “ขากลับแวะกินอะไรก่อนมั้ย”

                  “อืมก็ดี มึงอยากกินอะไรมั้ยล่ะ”

                  “อะไรก็ได้ที่ถูกๆ ซื้อหนังสือเสร็จคงจนไปทั้งเดือน”


                  ผมตอบคำถามจีมินขณะที่เราทั้งคู่เดินเข้ามาด้านใน จีมินพยักหน้าอย่างรับรู้ก่อนจะดึงผมให้เดินแทรกคนเข้าไปดูหนังสือที่วางเรียงกันเป็นตั้ง เราช่วยกันไล่สายตาหาสิ่งที่ต้องการก่อนจะไปหยุดอยู่ที่หนังสือเล่มหนาเล่มหนึ่ง...


                  “ไอ้เหี้ย ปาหัวหมาแตกเลยนะ”


                  จีมินมองหนังสือบัญชีด้วยสีหน้าพะอืดพะอมแทบอ้วก ส่วนผมเหรอครับ แหะๆ สติหลุดไปอึดใจหนึ่ง ทำไมมันหนาแบบนี้ล่ะเฮ้ย?! จะเรียนรอดมั้ยวะเนี้ย ผมพ่นลมหายใจออกมาแรงๆก่อนจะจำใจเอื้อมไปหยิบหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมือ


                       หนัก!


                  “นี่กูต้องซื้อหนังสือพวกนี้จริงๆเหรอวะ แค่เห็นก็รู้สึกเป็นพิษกับตัวเอง”

                  “ซื้อๆไปเถอะ”


                  ผมจัดการยัดหนังสือใส่มือจีมินที่ยืนเบ้ปากไม่ยอมขยับตัวไปหยิบเสียที เขาก้มลงมองหน้าปกก่อนจะถอนหายใจและสั่งให้ผมแยกไปหาหนังสือจำเป็นของวิชาอื่นๆในคณะ ส่วนเขาจะไปบุกฝ่าคนไปหยิบหนังสือวิชาบูรณาการเอง


                  ผมเดินมองซ้ายมองขวาหาป้ายบอกหมวดหมู่ที่เขียนว่าบริหาร ซึ่งพอมาถึงก็ต้องยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าใครกำลังยืนเปิดหนังสืออ่านอยู่


                  “พี่นัมจุน!


                  ผมเรียกอีกฝ่ายก่อนจะรีบก้าวเท้าเข้าไปหาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ร่างสูงเมื่อได้ยินเสียงเรียกก็ละสายตาจากหนังสือและหันมามองผม รอยยิ้มอบอุ่นที่ผมชอบมองปรากฏอยู่บนใบหน้าอย่างเช่นทุกครั้ง


                  “ใส่ชุดนักศึกษาแล้วก็เท่ดีหนิเรา”


                  พี่นัมจุนเอ่ยชมพลางเอื้อมมือมาลูบหัวเบาๆ


                  พี่นัมจุนเป็นลูกเพื่อนสนิทของแม่ เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ พี่นัมจุนเป็นคนที่เรียนเก่งมากกกก ฉลาดมากกกก ทำอะไรก็ดีไปหมด โคตรไอดอลผมเลย! แถมพี่เขาก็ยังรักผมเหมือนน้องชายแท้ๆเราจึงสนิทกันมากเลยครับ เพิ่งจะมาห่างๆไม่ได้ติดต่อกันเท่าไหร่ก็ตอนที่พี่นัมจุนเข้ามหาลัยนี่แหละ แต่พอพี่เขารู้ว่าผมเข้าเรียนในสาขาเดียวกัน เขาก็รีบพุ่งตัวหอบชีทเรียนมาประเคนให้ถึงที่


                  ผมก็หวังว่าตัวเองจะใช้ชีทที่พี่ให้อย่างคุ้มค่าที่สุด


                  “แล้วนี่เรียนวีคแรกเป็นยังไงบ้าง”

                  “ก็ดีครับ ถึงจะเห็นเนื้อหาวิชาแล้วท้อๆหน่อย”

                  “เอาหน่า สู้หน่อย...แล้วที่หอเป็นไง พี่ว่าจะแวะไปหา เรานี่ก็จะประหยัดไปไหน บอกให้เลือกหอดีๆไปเลยก็ไม่เชื่อ”

                  “ก็หอดีๆมันแพง ผมจ่ายไม่ไหวหรอก”

                  “จ่ายไม่ไหวก็มาบอก เดี๋ยวจัดการให้”


                  ผมมองพี่นัมจุนด้วยแววตาเกรงใจอย่างถึงที่สุด เจ้าตัวก็คงรู้แหละว่าผมรู้สึกอย่างไร แต่ก็เลือกที่จะเมินเฉยและหาโอกาสสยบความเกรงใจของผมอยู่ทุกครั้ง


                  “สัญญามาก่อน ถ้าอยู่ไปแล้วมีปัญหา ต้องย้ายออกตามคำสั่งพี่”

                  “แต่ว่า...”

                  “จองกุก”

                  “โอเคๆ ก็ได้ครับ ยอมแล้ว”


                  สุดท้ายผมก็แพ้ให้กับสายตาโคตรดุของอีกฝ่าย พี่นัมจุนยืนถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของผมต่อไปอีกสักพักก่อนจะขอปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่นต่อ แต่ก่อนจะไปก็ยังไม่วายออกปากบังคับให้ผมเข้าร่วมกิจกรรมแข่งขันละครเวทีที่กำลังจะจัดขึ้น เหมือนว่าจะเป็นการแข่งขันระหว่างสาขาภายในคณะบริหาร ซึ่งสาขาผมได้รางวัลมาหลายปีแล้ว


                  รู้ทั้งรู้ว่าผมไม่ชอบทำกิจกรรม พี่ก็ยังจะมาบังคับกันอีก เฮ้อ


                  “เมื่อกี้ยืนคุยกับใครวะ?”


                  จีมินที่หอบหนังสือมาประมาณสี่เล่มเอ่ยถามพลางหันไปมองคนที่เพิ่งเดินไป


                  “พี่ชายน่ะ”

                  “อ๋อ ที่บอกว่าอยู่ปี 3 สาขาเราใช่ปะ?”

                  “อื้ม”


                  ผมพยักหน้ารับก่อนจะหยิบหนังสือที่ต้องการเล่มอื่นๆมาถือเพิ่ม การจ่ายเงินเป็นไปด้วยดีแม้ว่าจะต้องถือหนังสือหนักๆต่อคิวนานหน่อย ราคารวมทั้งหมดไม่หนักหนาอย่างที่คิดแต่ก็เล่นเอาเงินในกระเป๋าของผมเกือบเซอยู่เหมือนกัน


                  คงต้องหางานพิเศษทำเพิ่มแล้วสิ

     




                  “มึงนี่นะ หาหอที่มันดูปลอดภัยกว่านี้หน่อยไม่ได้เหรอ ถ้ากูไม่ขับมาส่งก็ต้องเดินเข้ามาเปลี่ยวๆถูกมั้ย?”


                  จีมินที่นั่งคร่อมอยู่บนบิ๊กไบก์เอ่ยพลางเสยผมยุ่งๆไปด้านหลัง ดวงตาคมมองไปรอบๆก่อนจะถอนหายใจและกลับมามองผมด้วยสายตาดุๆ


                  “พี่กูบ่นพอแล้ว มึงไม่ต้องบ่นอีกก็ได้นะ”

                  “ต้องบ่นสิไอ้เหี้ย ถ้ามึงโดนโจรฉุดขึ้นมาจะทำยังไง”

                  “ก็โทรเรียกมึงมาช่วยไงครับ”


                  ผมตอบกลับหน้าตายจนคนที่อาสามาส่งผมถึงหอต้องยกนิ้วขึ้นมาดีดหน้าผากของผมด้วยความหมั่นไส้


                  ไอ้เหี้ย เจ็บ!


                  “ปากดี! จะเรียกกูว่าตายเป็นเพื่อนน่ะสิ!

                  “ฮ่าๆ ขับกลับดีๆนะ”

                  “รับทราบ เออ ส่วนเรื่องงานพิเศษ เดี๋ยวกูลองไปถามพี่ที่เปิดร้านอาหารอยู่แถวนี้ให้ว่ารับพนักงานเพิ่มหรือเปล่า”

                  “แต้งกิ้ววววว”


                  จีมินใส่หมวกกันน็อคอีกครั้งและเตรียมสตาร์ทเครื่องขับออกไป ผมยืนอยู่ที่เดิมเพื่อรอส่งจีมินให้ขับออกไปก่อนแต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นเมื่อคนที่ทำท่าว่าจะขับออกไปกลับเปิดหมวกกันน็อคหันมาหาผม


                  “เออมึง กูลืมบอก”

                  “ว่า”

                  “ตอนที่มึงไปซุกหัวในส้วม อาจารย์เขาให้จับกลุ่มทำรายงานส่งก่อนมิดเทอม”


                  ทำไมต้องย้ำด้วยว่าผมไปซุกหัวอยู่ในห้องน้ำ แค่นี้ก็อับอายพอแล้ว ผมเบ้ปากน้อยๆแต่ก็ไม่ได้ขัดจังหวะการเล่าของจีมิน เพราะสิ่งที่เขาพูดอยู่ก็เป็นงานเป็นการทั้งนั้น


                  “กูที่นั่งเด๋ออยู่คนเดียวก็เลยไม่รู้จะจับกลุ่มกับใคร มึงที่เป็นเพื่อนกูก็ดันไม่อยู่ช่วยคิดห่าอะไรเลย”

                  “นี่กำลังด่ากูถูกมั้ย”

                  “เออรู้ตัวหนิ”


                  ผมเบะปากเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอความเมตตาจากจีมิน แต่เจ้าตัวกลับเมินเฉยและก้มลงไปหยิบโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงขึ้นมาจิ้มๆทำอะไรสักอย่าง


                  ครืดๆ

                  หือ?


                  คิ้วของผมยกสูงขึ้นเมื่อจู่ๆโทรศัพท์ของตัวเองก็สั่น สมองน้อยๆประมวลผลอย่างรวดเร็วว่าสาเหตุน่าจะมาจากสิ่งที่จีมินทำเมื่อครู่ ผมจึงล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดู...


                  “ตอนนั้นทั้งห้องแม่งโคตรวุ่นวาย อาจารย์รำคาญเลยหักดิบให้ทุกคนจับกลุ่มกับคนที่นั่งอยู่ในแถวเดียวกัน”

                  “....”

                  “ก็เลยกลายเป็นว่ากลุ่มเรามี กู มึง เพื่อนที่อยู่เศรษฐศาสตร์อีก 2 คน และก็มีรุ่นพี่หน้าหล่อๆที่นั่งอยู่ข้างๆมึงอะ เขาอยู่สาขาเดียวกับพวกเราด้วยโว้ย ชื่อแทฮยอง ตอนแรกกูก็กลัวว่าจะทำงานด้วยยาก แต่พอรู้ว่าเขาอายุเท่ากับกูก็เลยสบายใจหน่อย เขาให้กูเรียกชื่อเฉยๆได้ด้วยว่ะ”

                  “....”

                  “เออนั่นแหละ กดเข้ากลุ่มด้วยนะ มีรายละเอียดงานอยู่ในโน้ต กูไปละ บายมึง”


                  จีมินเอามือมาตบไหล่ผมหนักๆสองสามทีก่อนจะบิดคันเร่งขับออกไป ผมมองหน้าจอที่แสดงคำเชิญให้เข้ากลุ่มด้วยสภาพจิตที่หลุดลอยหายไปกับสายลมและคาดว่าจะไม่หวนกลับมาในเร็วๆนี้


                  ทำไม...


                  ทำไมล่ะครับ?!!!


                  ราวกับมีเมฆฝนลอยมาปลดทุกข์อยู่เหนือหัว โชคชะตาเล่นตลกอะไรกับผมครับ ผมไม่ได้น่ารักขนาดที่จะมาเล่นด้วยถี่ขนาดนี้นะ ผมยังคงยืนนิ่งมองหน้าจออยู่อย่างคนไร้ทางหนี


                  มันจะดีกว่านี้ถ้าพี่เขาไม่ใช่คนที่มาขอผมดมกลิ่น มันจะดีกว่านี้ถ้าพี่เขาไม่ใช่คนที่ทำให้ผมรู้สึกอับจนจนต้องหนีออกไปห้องน้ำ และมันจะดีกว่านี้ถ้าผม...


                  ดรอปทิ้งแม่งเลยดีมั้ยวะ?!

                  ไม่เรียนแล้ววิชานี้!


                  ....


                  ก็ไม่ได้ไงจองกุก ต้องเรียนครับ


                  เซลล์สมองด้านดีออกโรงขัดขวางความคิดอันตรายให้ออกไปไกลๆ ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะตัดสินใจกดตอบรับคำเชิญ


                  ก็แค่งานกลุ่ม ไม่มีอะไรต้องกลัวหรอก

                  ถ้าเกิดอะไรขึ้นก็แค่หนี...หนีให้รอดเหมือนทุกครั้ง


                  “...อยู่ห่างๆไว้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร...”


                  ผมพึมพำบอกตัวเองขณะหมุนตัวเดินเข้าไปในหอ สายตาก็มองดูรายชื่อคนในกลุ่มที่มีอยู่ 5 คนถ้วน ถ้าแค่นั่งใกล้กัน ทำงานร่วมกัน คุยกันบ้างตอนเจอหน้า ผมว่าก็น่าจะพอไหวอยู่นะ พี่เขาไม่น่าจะกล้าทำอะไรน่ากลัวๆใส่เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่น แต่ขอล่ะ ขออย่างเดียว อย่ามายุ่งกับผมให้มากไปกว่านี้เลย แค่วันนั้นกับวันนี้ก็เกินพอแล้วครับ


                  ....


                  ครืดๆ


                  ....


                  Taehyung : สวัสดีครับ :)


                  แล้วทำไมพี่ต้องทักแชทเดี่ยวมาหาผมด้วยครับเนี้ย?!

                  ฮืออออออ สวรรค์ไม่เมตตากุกเลย แม่งเอ๊ย! อยากเข้าส้วม!

     




    สัปดาห์ต่อมา


                  หนักเกินความจำเป็นจริงๆ


                  ผมมองหนังสือบัญชีเล่มหนาในมือก่อนจะถอนหายใจให้กับเช้าที่เริ่มต้นขึ้นอย่างไม่ค่อยดีนัก ไม่สิ มันไม่ดีตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว


                  เมื่อคืนคนที่อยู่ห้องข้างๆอาละวาดเสียงดัง ทั้งทำลายข้าวของแถมตะโกนด่าฟ้าด่าดินไปทั่ว ทำให้ผมซึ่งเรียนเหนื่อยมาทั้งวันได้แต่หลับๆตื่นๆอยู่ทั้งคืน ทุกอย่างเพิ่งมาสงบลงตอนประมาณตี 4 ซึ่งผมต้องตื่น 8 โมงเพื่อมาส่งงานและเข้าเรียนตอน 9 โมง


                  พอมาถึงมหาลัยและกำลังจะมุ่งไปซื้อข้าวกล่องมาประทังชีวิตให้อยู่รอดพ้นไปถึงตอนกลางวัน กระเป๋าสตางค์เจ้ากรรมก็ดันไม่อยู่ประจำที่ ผมเลยต้องอดทานข้าวเช้าไปตามระเบียบ


                  สรุปคือ ผมได้นอนเต็มอิ่มเพียงแค่ 4 ชั่วโมงและขณะนี้ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า


                  “ฮัลโหล”


                  ผมเปลี่ยนมาถือหนังสือด้วยมือข้างซ้ายและใช้มือข้างขวาล้วงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับ ผมหนักใจกับหนังสือบัญชีจริงๆนะครับ ถึงนี่จะเป็นแค่วิชาเบื้องต้นที่เทียบอะไรไม่ได้กับสิ่งที่เด็กสาขาบัญชีจะต้องเรียน แต่สำหรับผมที่หัวไม่ค่อยจะมาด้านนี้อยู่แล้วถือว่าสาหัส ยังไม่รู้เลยว่ามิดเทอมนี้จะเอาตัวรอดไปได้ยังไง


                  [ จองกุก มึงโอเคใช่มั้ยเรื่องเป็นหัวหน้ากลุ่ม ]


                  เสียงที่ยังดูงัวเงียยังไม่ตื่นดีของจีมินดังออกมาจากโทรศัพท์ ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความแปลกใจก่อนจะกระชับหนังสือและเดินเลี้ยวเข้าตัวตึกคณะ


                  “โอเคสิ แค่ต้องรวมเล่มเอง ถึงรวมเล่มมันจะต้องคอยแก้งานคนอื่นก็เถอะ แต่กูโอเคนะเพราะงานก็แบ่งกันไปแล้วว่าใครทำอะไร”

                  [ งั้นก็ดี กูแค่เป็นห่วงกลัวว่ามึงไม่อยากทำ ]


                  ผมหัวเราะน้อยๆให้กับคำพูดของจีมินพลางรีบเดินไปต่อแถวรอลิฟต์ที่ตอนนี้ยาวเป็นหางว่าว อาจจะเพราะใกล้เวลาเรียนแล้วมั้งทุกคนเลยแห่กันมาที่ลิฟต์จนแถวมันยาวออกมาจนเกือบถึงหน้าตึก


                  “แล้วนี่มึงอยู่ไหนแล้ว?”

                  [ จอดลูกรักที่ลานจอดแล้วครับ กำลังเดินไป มึงขึ้นไปรอก่อนเลย ]

                  “อย่าลืมไปส่งงานก่อนด้วยนะมึง”

                  [ รับทราบ...เฮ้อ ไม่อยากเรียนเลยว่ะ ]


                  เสียงพึมพำแสนท้อแท้ดังออกมาเบาๆราวกับกำลังบ่นลอยๆ พอได้ยินแบบนั้นผมก็ยิ่งห่อเหี่ยว สภาพร่างกายก็ไม่พร้อมจะมาเรียนอยู่แล้วและยังต้องเจอวิชานี้อีก ตายแน่ๆ


                  “วันศุกร์ก็ต้องเรียนอีก...”

                  [ โห ย้ำเตือนกูมาก กูอุตส่าห์พยายามปลอบใจตัวเองอยู่ ]

                  “ฮ่าๆ รีบมาแล้วกัน กูจะเข้าลิฟต์ละ ไว้เจอกัน”

                  [ บายยยย ]


                  ผมวางสายจากจีมินในจังหวะที่ต้องขยับไปด้านหน้าเพราะแถวหดสั้นลง ท่าทางตอนเข้าลิฟต์ต้องอัดกันแน่นแหงๆ ผมพ่นลมหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะกดแอพพลิเคชั่นนกสีฟ้าขึ้นมาเล่นระหว่างรอ


                  ผมขยับตามแถวไปเรื่อยๆจนสุดท้ายลิฟต์ที่เป็นของผมก็เปิดรับผู้โดยสาร


                  “ชั้น 10 ด้วยครับ ขอบคุณครับ”


                  ผมเอ่ยบอกคนที่ยืนอยู่ตรงมุมด้านหน้าก่อนจะเดินเข้าไปยืนด้านในสุดของลิฟต์ และก็เป็นอย่างที่ผมคาดการณ์ไว้ครับ คนพากันเบียดเข้ามาในลิฟต์จนผมต้องขยับไปอยู่ตรงมุม และข้อเสียของการยืนอยู่ด้านในคือ คุณจะถูกเบียดมากที่สุด


                  ผมยังคงใช้สายตาจับจ้องอ่านข่าวในทวิตเตอร์พลางทำตัวให้ลีบเล็กที่สุดเพื่อในคนเข้ามาได้เยอะๆ ลิฟต์มันก็มีแค่ 2 ตัวกับคนในคณะที่โคตรเยอะ ในชั่วโมงเร่งด่วนก็ต้องอัดๆกันไปแบบนี้ล่ะครับ


                  ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อประตูลิฟต์ปิดลงและคนที่อยู่ด้านหน้าขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ใกล้ขนาดที่ว่าโทรศัพท์ที่ถืออยู่จะแตะเข้ากับเสื้อของเขาแล้ว


                  แต่เดี๋ยว...

                  ทำไมเสื้อมีกระดุมด้านหลัง


                  ผมขมวดคิ้วยุ่งเมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสิ่งแปลกๆของคนที่อยู่ด้านหน้า เสื้ออะไรมีสาบกระดุมอยู่ด้านหลังวะ มันไม่ใช่ปะวะ ด้วยความสงสัยผมจึงละสายตาจากข่าวอาชญากรรมเลือดสาดขึ้นไปมองชัดๆ...


                  อ๋อ ไม่ใช่ด้านหลัง นี่มันด้านหน้าของเสื้อ


                  ....


                  หือ?! ทำไมเขายืนหันเข้าด้านในล่ะ?!


                  ติ๊ง!


                  “ไอ้แท เราเรียนชั้น 4 ปะวะ?”

                  “อืม ชั้นนี้แหละ แต่มึงไปก่อนเลย”


                  ดวงตาของผมเบิกกว้างเมื่อได้ยินเสียงทุ้มต่ำดังอยู่ในระยะที่ใกล้จนหน้าตกใจ ผมสัมผัสได้ว่าคนในลิฟต์พากันทยอยเดินออกไปเป็นจำนวนมากราวกับเกือบทั้งหมดเรียนที่ชั้นนี้


                  “กูขอไปทำธุระที่ชั้น 10 ก่อน”


                  !!!!!


                  เดี๋ยว!! พี่จะไปทำไมชั้น 10 ครับ?!


                  ผมยืนกำโทรศัพท์แน่นไปพร้อมๆกับสติที่แตกกระเจิงหายไปทางช่องลม ประตูลิฟต์ปิดลงแล้วแต่คนด้านหน้าก็ยังไม่ยอมเขยิบห่างออกไป ทั้งๆที่ตอนนี้ในลิฟต์ไม่มีคนอื่นแล้วแท้ๆ!!!


                  ผมหันไปมองผนังลิฟต์ด้านข้างที่ติดกระจกไว้ก่อนจะสบถชื่อสัตว์เลื่อยคลานตัวโตๆในใจ...


                  ทำไมต้องเจอด้วยวะเนี้ย!


                  ผมเผลอกัดริมฝีปากแน่นเมื่อมองไปในกระจกแล้วเห็นพี่เขาใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองผมพร้อมกับมุมปากที่ยกยิ้มขึ้น แต่ก่อนที่ผมจะรวบรวมความกล้าเอ่ยปากให้พี่เขาขยับออกห่าง จู่ๆเจ้าของร่างที่สูงกว่าผมหน่อยก็โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ศีรษะของผมมากกว่าเดิม และในตอนนั้นเองที่ผมชะงักค้างและกลายร่างเป็นตุ๊กตาอับเฉาที่ใช้ถ่วงเรือ


                  ลมหายใจร้อนๆถูกพ่นออกมาก่อนที่ผมจะสัมผัสได้ถึงการหายใจเข้าที่นานกว่าปกติ


                  โง่ขนาดไหนก็ต้องรู้ว่าอาการแบบนี้คือการสูดกลิ่น


                  เขากำลังสูดกลิ่นของผมอยู่


                  ใบหน้าที่ผมเห็นด้วยว่าหล่อเบี่ยงไปด้านขวาของผมเล็กน้อยและค่อยๆขยับต่ำลงมาเรื่อยๆ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้โดนตัวผมเลย แต่เพราะลมหายใจอุ่นๆที่กระทบผิวทำให้หัวใจของผมเต้นแรงขึ้น มือไม้ก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนนิ่งๆเบิกตาให้กว้างเท่าไข่ห่าน ลมอุ่นร้อนขยับไล่ไปตามกรอบหน้าของผม เหมือนเขาพยายามสูดกลิ่นเข้าปอดให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้


                  และดวงตาของผมก็แทบหลุดจากเบ้าเมื่อริมฝีปากสวยได้รูปมาหยุดอยู่ตรงใบหูและกระซิบถ้อยคำที่ทำเอาผมอยากสลายร่างกลายเป็นไอไป ณ ตอนนี้


                  ....


                  “ทำไมบล็อกไลน์พี่ล่ะครับ?”


                  ....


                  ทำไมเขารู้ล่ะ?!


                  ใช่ครับ หลังจากวันนั้นที่เขาทักไลน์ผมมา ผมที่สติแตกไม่รู้จะทำอย่างไรดีจึงแก้ปัญหาด้วยการกดบล็อกไปแบบมึนๆและคิดเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายคงไม่รู้


                  ไม่รู้ที่ไหนล่ะ!!! เขารู้โว้ยไอ้กุก!

                  แย่ชะมัด อยากหนีไปเข้าห้องน้ำ


                  ผมมองไหล่ของคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อยากจะร้องไห้ให้มันรู้แล้วรู้รอด ทำไมพี่ต้องอยากมายุ่งกับผมด้วยครับ ผมไม่เล่นด้วยนะ อยากดมก็ไปขอคนอื่นดมสิ หน้าหล่อๆอย่างพี่น่าจะมีคนยอมช่วยเหลืออยู่นะ ผมเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะต้องหดคอหนีเมื่อลมหายใจอุ่นๆเลื่อนต่ำลงมายังช่วงคอและเข้าใกล้มากขึ้นจนถึงระยะอันตราย


                  “ช-ช่วยถอยออกไป...”


                  ผมใส่หนังสือบัญชีเล่มใหญ่ที่ถือกอดไว้ดันอกพี่เขาให้ถอยห่างออกไปหนึ่งก้าว พอระยะห่างระหว่างเราเพิ่มมากขึ้น เขาก็เลือกที่จะสบตากับผมก่อนจะก้มลงไปมองหนังสือที่แตะอยู่ตรงอกแล้วหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ


                  “จะไม่แตะตัวกันเลยถูกมั้ย


                  น้ำเสียงร่าเริงเอ่ยถามพลางแย่งหนังสือไปถือหน้าตาเฉย ผมมองการกระทำของเขาด้วยสายตางุนงงก่อนจะยิ่งสับสนเมื่อนิ้วเรียวขยับเข้ามาดันแว่นของผมขึ้นเล็กน้อย...


                  “แล้วสรุปบล็อกเบอร์พี่ทำไมครับ?”

                  “ผมไม่ตอบได้มั้ยครับ”

                  “งั้นก็ดมต่อเนอะ”


                  หือ?!!!!!


                  ผมเบิกตากว้างและรีบใช้มือดันตัวอีกฝ่ายที่ทำท่าจะเข้ามาใกล้ไว้ เห็นมั้ย เขาดมกลิ่นผมจริงด้วย!!! ผมไม่ได้มโนไปเองนะ พี่เขาดมกลิ่นผมจริงๆ! ผมขมวดคิ้วยุ่งและเลื่อนสายตาขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาก็เป็นใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูอยากแกล้งผมนักหนา


                  “...โรคจิต”

                  “เป็นคำด่าที่น่ารักที่สุดเลยนะครับ”


                  โรคจิต!!!


                  ผมอยากจะรวบรวมพลังต่อปากต่อคำกลับไปอยู่หรอกนะ แต่เนื่องจากวันนี้ผมนอนไม่พอแถมยังหิวโคตรๆเลยได้แต่ใช้สายตาหงุดหงิดมองอีกฝ่ายผ่านเลนส์แว่น


                  “ไปทำอะไรที่ชั้น 10 เหรอ?”

                  “ส่งงาน”

                  “พูดไม่มีหางเสียงเลยนะปี 1

                  “ไปส่งงานครับ”


                  ผมพ่นลมหายใจออกไปอย่างโล่งอกเมื่อพี่เขาขยับตัวเปลี่ยนมายืนข้างๆผมแทน อย่างน้อยก็ไม่น่าอึดอัดเท่ากับยืนประจันหน้ากันล่ะนะ และก็น่าจะปลอดภัยจากวิธีการดมกลิ่นของพี่เขามากกว่า


                  “แล้ว...พี่ไปทำอะไรชั้น 10 เหรอครับ?”


                  ผมเอ่ยถามและขยับตัวเล็กน้อยให้ระยะห่างกับคนข้างๆอยู่ในระดับที่ปลอดภัย เขาถือวิสาสะเปิดหนังสือเรียนของผมดูก่อนจะเหลือบสายตาไปมองเลขลิฟต์ที่เคลื่อนมาหยุดที่ชั้น 10 พอดี...


                  “มาส่งเราไง”


                  !!!!


                  พูดจบก็ปิดหนังสือและใช้มือข้างที่ว่างเอื้อมมาคว้าข้อมือของผมไปจับเอาไว้แน่น ผมรีบก้มลงมองข้อมือตัวเองด้วยความตกใจก่อนที่จะต้องรีบก้าวขาตามแรงดึงออกไปจากลิฟต์


                  “ส่งงานของอาจารย์อะไร”

                  “เอ่อ...อาจารย์...”


                  ผมอ้ำๆอึ้งๆกับคำถามที่ได้รับมา คือผมจำชื่ออาจารย์ไม่ได้ไง รู้แค่ว่าจะมีตู้อยู่หน้าห้องสาขาการตลาด เดี๋ยวเห็นก็รู้เอง ผมหันซ้ายหันขวาเพราะก็ไม่เคยมาชั้นนี้มาก่อน


                  “เพื่อนบอกว่ามีตู้อยู่หน้าห้องการตลาด...”


                  ผมพึมพำตอบกลับไป ซึ่งในไม่กี่วิต่อมา ผมก็ต้องเดินเลี้ยวขวาไปตามแรงดึง ผมมองแผ่นหลังของคนตรงหน้าก่อนจะก้มลงมองข้อมือของตัวเองที่ถูกจับไว้อีกครั้ง


                  “พี่ครับ ปล่อยก่อนได้มั้ย?”

                  “ไม่ได้ เดี๋ยวหนีไปห้องน้ำอีก”

                  !!!!


                  ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆเมื่อคำตอบของเขาทำให้ผมนึกย้อนกลับไปเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ให้ตายสิ น่าอายชะมัด ลุกพรวดพราดไปห้องน้ำขนาดนั้นทำไมเขาจะดูไม่ออกว่าเราหนี เฮ้อ ผมถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะต้องหยุดเดินเมื่ออีกฝ่ายดึงให้ผมเดินไปตรงตู้ที่แต่ละช่องมีชื่ออาจารย์แปะอยู่


                  “เอ่อ...ผมไม่หนีแล้วครับ ปล่อยก่อนได้มั้ย ผมจะได้หยิบงานส่ง”


                  ผมหันไปบอกคนข้างๆ ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยมือออกแต่โดยดี ผมปลดสายสะพายออกจากไหล่และหยิบกระเป๋ามาวางไว้บนตู้ ผมหยิบใบงานที่ทำเสร็จตั้งแต่เมื่อเย็นวานออกมาแล้วก้มลงหาชื่ออาจารย์ตามที่ปรากฏอยู่ตรงด้านบนของกระดาษ


                  “อ่า...ขอบคุณครับ”


                  ผมชะงักเล็กน้อยเมื่อปลายนิ้วเรียวของคนข้างๆชี้ไปยังตู้ที่ผมต้องการ หลังจากที่ผมจัดการหย่อนใบงานส่งเรียบร้อย ผมก็ปิดกระเป๋าและหยิบมันมาสบายหลังเหมือนเดิม


                  หมับ!


                  ผมสะดุ้งทันทีที่มีมือมาจับข้อมือของผมไว้อีกครั้ง ถึงคราวนี้จะไม่แน่นอย่างเมื่อครู่แต่มันก็เลื่อนต่ำลงจนเกือบถึงฝ่ามือของผม พี่เขาดึงผมให้ออกเดินกลับไปยังบริเวณโถงลิฟต์


                  “นอนไม่พอเหรอ?”

                  “ค-ครับ?”

                  “หน้าดูง่วงๆ”


                  ดวงตาคมมองสำรวจไปตามใบหน้าของผมอย่างละเอียด ผมที่ไม่ค่อยโดนใครจ้องหน้าขนาดนี้จึงได้แต่ทำตัวไม่ถูกและเลื่อนสายตาหลบไปมองทางอื่น


                  “ก็...ก็นิดหน่อยครับ”

                  “แล้วทานข้าวเช้าหรือยัง?”

                  “ยังครับ”

                  “ทำไม”

                  “ผมลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ที่ห้อง”


                  ผมตอบตามจริงก่อนจะเอื้อมมือไปกดลิฟต์และหันไปมองหนังสือของตัวเองที่อีกฝ่ายยึดไปถือไว้ ...ผมอยากได้คืน ผมอยากถือเอง... ผมมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาด้วยความลังเลก่อนจะอ้าปากเอ่ยออกไป...


                  “ขอ...”

                  “แล้วเรียนชั้นไหน?”


                  หะ...ผมชะงักเมื่อดวงตาคมหันมามองผมอีกครั้งและเอ่ยถามแทรกขึ้นมา


                  “ชั้น 6 ครับ”

                  “กี่โมง”

                  9 โมงครับ”

                  “งั้นก็ยังมีเวลาอยู่”

                  “อ่า จะว่างั้นก็ได้ครับ”


                  ผมก้มลงมองนาฬิกาบนข้อมือที่บอกเวลา 8 โมงครึ่ง เราสองคนยืนรอเพียงไม่นานลิฟต์ก็เปิดออก พี่เขาเดินเข้าไปก่อนตามด้วยผมที่กึ่งๆโดนลากเข้าไป ผมเห็นว่าพี่เขากดชั้น 1 แทนที่จะเป็นชั้น 4 แต่ผมก็ไม่คิดจะสนใจอะไร ผมเอื้อมมือจะไปกดชั้น 6 แต่ก็ถูกหนังสือของตัวเองกั้นเอาไว้


                  “ลงไปชั้น 1 ด้วยกันก่อน”

                  “ไม่ไปครับ ผมมีเรียน”

                  “ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย”

                  “ผมอยากไปนั่งรอในห้อง”

                  “ให้พี่ไปนั่งดมตัวเราในห้องหรือลงไปชั้น 1 ด้วยกัน...เลือก”

                  !!!!


                  ผมรีบหันขวับไปมองหน้าของคนข้างๆซึ่งมันก็เต็มไปด้วยสีหน้าจริงจังราวกับกำลังจะบอกว่าที่พูดไปเมื่อกี้น่ะ ไม่ได้ล้อเล่น ผมลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ก่อนจะค่อยๆลดนิ้วที่หวังจะกดชั้นลง


                  สุดท้ายผมก็ต้องยอมลงมาที่ชั้นล่างสุดและเดินตามพี่โรคจิตต้อยๆ ขืนไม่ยอม พี่เขาก็ได้มานั่งกับผมในห้องจริงๆสิครับ อย่าว่าผมกลัวเกินเหตุเลย เขากล้าทำแน่ๆ ดูหน้าก็รู้แล้ว


                  ผมถอนหายใจและมองร้านขนมตรงหน้าที่โดนลากให้มาด้วย ที่แท้ก็หาเพื่อนลงมาซื้อขนม เป็นงงเลยมั้ยล่ะ ผมไม่ได้สนใจอะไรตรงหน้ามากนัก เพราะเดี๋ยวมองก็ยิ่งหิวกว่าเดิม ผมต้องอดทนไปให้ถึงตอนกลางวัน ผมวางแผนไว้แล้วว่าจะขอยืมตังค์จีมินใช้ซื้อข้าวกินไปก่อน


                  “แซนวิชไส้ทูน่าหรือแฮมชีส”

                  “ครับ?”


                  ผมหันไปมองคนข้างๆที่หันมาถามก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองแซนวิชที่วางเรียงรายอยู่...


                  “เอาที่พี่ชอบสิครับ”


                  ผมเอ่ยตอบไป จะมาถามทำไมวะ หรือพี่เขาชอบกินทั้งสองรสแต่ตัดสินใจไม่ได้? ผมยืนงงกลางดงขนมไปได้สักพัก คนที่ปล่อยข้อมือของผมไปจ่ายเงินก็หันกลับมาจับอีกครั้ง โดยที่ครั้งนี้เป็นการจับข้อมือของผมไว้หลวมๆแถมยังเลื่อนต่ำลงมายังฝ่ามือยิ่งกว่าเดิม


                  ผมรู้สึกอายเล็กน้อยที่โดนจับดึงให้เดินไปมาเหมือนเด็ก ผมโดนลากให้เดินเข้าลิฟต์ไปอีกครั้ง ซึ่งก่อนที่ผมจะได้เอ่ยปากบอก คนข้างๆก็จัดการกดเลข 6 ให้ผมเป็นที่เรียบร้อย ในลิฟต์ยังคงมีคนใช้บริการเยอะอยู่ แต่ก็ไม่เยอะเท่าตอนที่ผมขึ้นไปชั้น 10


                  “ไม่ออกเหรอครับ?”


                  ผมกระซิบถามเบาๆเมื่อลิฟต์จอดที่ชั้น 4 ซึ่งเป็นชั้นที่เขาต้องไปเรียน เจ้าของใบหน้าที่แสนสะดุดตาส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ ...อะไรวะ ไม่ไปเรียนหรือไงกัน... ผมพึมพำในใจแต่ก็เป็นอีกครั้งที่ไม่คิดจะพูดออกไป


                  ติ๊ง!


                  ในที่สุดประตูลิฟต์ก็เปิดออกที่ชั้น 6 เป็นสัญญาณบ่งบอกผมว่าอิสระใกล้มาถึงแล้วววว แต่ช้าก่อน ผมไม่ควรรีบดีใจเร็วเกินไป ผมเหลือบสายตาไปมองคนที่ยังคงจับข้อมือของผมลากไปลากมา เขาลากผมให้ออกมาจากลิฟต์ก่อนจะพาเดินตรงไปยังโถงตรงกลางชั้นที่มีทางแยกเดินไปตามห้องเรียนต่างๆ


                  “ครับ?”

                  “ให้”


                  ผมเลิกคิ้วสูงเมื่อจู่ๆถุงพลาสติกสีใสที่มีแซนวิชและขนมนมเนยพอประมาณถูกยัดใส่มือ ผมก้มลงมองของที่รับมาก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อเห็นสิ่งแปลกปลอมบางอย่างที่ไม่เข้าพวกอยู่ในนั้น


                  แบงก์พัน!!!!


                  พี่จะมาใส่แบงก์พันมาในถุงพลาสติกไม่ได้นะโว้ย!


                  ผมเตรียมจะยื่นถุงทั้งถุงคืนแต่ก็ถูกอีกฝ่ายหยุดการกระทำไว้ ผมใช้สายตามองเขาอย่างไม่เข้าใจและพยายามดันถุงให้เขารับคืน


                  “บอกว่าให้ไง”

                  “ไม่เป็นไรครับ ผมเกรงใจ”

                  “ยังไม่ได้กินอะไรไม่ใช่เหรอ?”

                  “ก็ใช่ครับ แต่ผมไม่อยากรับ เกรงใจ”


                  ผมพูดปฏิเสธรัวๆและเปลี่ยนมาพยายามยัดถุงกลับใส่มือให้พี่เขาถือ แต่ทำยังไงก็ไม่สำเร็จ


                  “เอาไปเถอะ เดี๋ยวเรียนไม่รู้เรื่อง”

                  “แต่ว่า...”

                  “จองกุก อย่าดื้อได้ปะวะ”


                  ผมชะงักเมื่อได้ยินชื่อตัวเองออกจากปากของคนตรงหน้าพร้อมกับประโยคที่ติดหงุดหงิดน้อยๆที่ต้องมาหลบการคืนถุงจากผม คิ้วของผมค่อยๆขมวดเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจว่าพี่เขาจะหงุดหงิดทำไม


                  “ดุทำไม ผมยังไม่ได้ทำอะไรผิดเลย”

                  “ก็เราขี้เกรงใจ”

                  “ผมไม่...”

                  “งั้นปลดบล็อกไลน์เป็นค่าตอบแทน”


                  ปมคิ้วค่อยๆคลายออกเมื่อได้ยินข้อเสนอที่พูดออกมาเพื่อให้ผมยอมรับถุงขนมไป ผมมองหน้าเขาและก้มลงมามองของในถุง...


                  จะว่าไป...โดยรวมพี่เขาก็ไม่ได้น่ากลัวเท่าไหร่ ดูเป็นคนปกติธรรมดาทั่วไปนี่แหละ จะแปลกก็ตรงที่มีพฤติกรรมชอบดมกลิ่น ดมกลิ่นของผม? ผมมีกลิ่นตัวชัดขนาดนั้นเลยเหรอวะ ผมค่อนข้างมั่นใจนะว่าตัวหอม เอ๊ะ หรือเพราะเราตัวหอม? เออสิ ใครมันจะไปอยากดมกลิ่นเหม็นวะ


                  อาจด้วยอาการนอนไม่พอกับการที่ยังไม่ได้ทานข้าวเช้า ทำให้สมองของผมรวนเล็กน้อย ผมมองแซนวิชที่น่าจะประทังความหิวของตัวเองได้ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่


                  นอกจากการดมกลิ่นที่แปลกโคตรๆแล้ว เขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีกับผมนะ ตอนดมก็ไม่ได้แตะตัวกันเลยด้วย แต่ผมเป็นพวกไม่ชินกับการใกล้ชิดขนาดนั้นล่ะมั้ง สติเลยแตกนิดหน่อย(?)


                  “ก็ได้ครับ แต่พี่ต้องเอาเงินคืนไป”


                  ผมหยิบแบงก์สีเทาออกจากถุงและส่งคืนให้ ขนมไม่กี่อย่างแลกกับการปลดบล็อกน่ะโอเค แต่จะให้เพิ่มหนึ่งพันบาทเข้าไปด้วยนี่คงจะไม่ไหว ดวงตาสีดำสนิทมองเงินในมือผมด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะส่ายหัวเป็นการปฏิเสธ


                  เฮ้ย ไม่เอาดิ ผมรับไว้ไม่ได้จริงๆ


                  แต่ก่อนที่ผมจะได้พูดโต้แย้งหรือออกแรงยัดเงินกลับใส่มือของเขา น้ำเสียงทุ้มต่ำก็เอ่ยประโยคที่เล่นเอาผมปวดหัวออกมา


                  “กลัวเงินหาย ฝากไว้ก่อนได้มั้ย?”


                  กลัวเงินหาย?! ข้ออ้างประเภทไหนวะ!


                  ผมถึงกับอ้าปากพะงาบๆทันทีที่ฟังจบ เงินมันจะหายได้ยังไงถ้าเอาใส่กระเป๋าสตางค์ไว้น่ะครับ พี่ก็ดูเป็นคนมีฐานะอยู่แล้ว ไม่น่าจะต้องกลัวเงินหายนะ


                  “ไม่เอางี้สิครับ”

                  “พี่บอกว่าอย่าดื้อไง”

                  “ไม่ได้ดื้อครับ แต่มันมากไป”

                  “ก็บอกว่าขอฝากไว้ก่อน ถ้าอยากได้คืนเดี๋ยวบอกเอง”

                  “....”

                  “เร็วๆ ต้องไปเรียนแล้ว”


                  จริงสิ พี่เขาก็ต้องไปเรียน ผมก้มลงมองนาฬิกาที่อยู่ตรงข้อมือก่อนจะถอนหายใจและยอมเก็บเงินหนึ่งพันบาทกลับใส่ถุง ถ้าผมยังคงเถียงต่อไป ชาตินี้ก็คงไม่ต้องเรียนกันแล้วล่ะ


                  “รีบอยากได้คืนเร็วๆนะครับ ผมไม่อยากรับฝากไว้นาน”


                  และนั่นคือประโยคที่ผมพอจะพูดออกไปได้ ผมโค้งหัวน้อยๆให้กับคนที่อายุมากกว่าและหมุนตัวเดินไปยังห้องเรียนที่รอผมอยู่ แต่ผมที่เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดเมื่อเสียงทุ้มต่ำที่เริ่มคุ้นเคยเรียกชื่อของผมขึ้นมาอีกครั้ง...


                  “จองกุก”

                  “?”

                  “ลืมหนังสือ”

                  !!!!


                  ฉิบหาย ผมอุทานในใจเสียงดังก้องร่างและรีบหมุนตัวกลับไปรับหนังสือบัญชีเจ้าปัญหาคืน พี่เขาคืนหนังสือให้ผมโดยดี แต่พอผมจะหมุนตัวกลับ ต้นแขนก็ถูกคว้าเอาไว้เสียก่อน ผมสบตากับอีกฝ่ายผ่านเลนส์แว่นหน้าเตอะของตัวเอง เขามองผมด้วยแววตาลังเลเล็กน้อยก่อนจะตัดสินใจอ้าปากพูด...


                  “พี่ชื่อคิมแทฮยอง

                  “....”

                  “เพราะฉะนั้น...ต่อไปก็เรียกชื่อของพี่ด้วยนะ”


                  อ่า...


                  ผมนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะขยับใบหน้าขึ้นลงเป็นการตกลง รอยยิ้มกว้างปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่แสนดูดีนั่น ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้หญิงหลายๆคนในคลาสเมื่อวันศุกร์จะหันมามองกันใหญ่


                  ขนาดผมเป็นผู้ชาย...ผมยังยอมรับเลยว่าดูดีมากจริงๆ


                  ในระหว่างที่ผมกำลังยืนซาบซึ้ง จู่ๆใบหน้าที่ว่าก็โน้มลงมาใกล้และหยุดอยู่ข้างๆใบหน้าของผม ระยะห่างมันใกล้เสียจนผมรู้สึกถึงลมหายใจของเขา...


                  ....


                  ดม


                  เขาดมกลิ่นผมอีกแล้ว


                  แถมดมเสร็จก็ยิ้มหน้าบานโบกไม้โบกมือลาผม ทำเอาสมองน้อยๆนึกย้อนกลับไปสมัยเด็กๆที่เคยเลี้ยงหมาอยู่ตัวหนึ่ง มันจะมีท่าทางแบบนี้แหละเวลาที่ผมให้ขนม


                  หรือพี่เขาเป็นหมาวะ?

                  ต้องใช่แน่ๆ

                  พี่แทต้องเป็นหมาแน่ๆ


                  ว่าแต่...พี่เขาชอบแซนวิชแฮมชีสเหรอ? ชอบเหมือนกันเลยแหะ

     


                  .

                  .

                  .

                  .


     

                น้องน่ารัก แถมยังหอม


                  ผมมองคนที่ดูยังไงก็เรียกว่าเด็กเนิร์ดเดินถือถุงพลาสติกหายเข้าไปในห้องเรียน


                  วันนี้น้องดูไม่สดชื่น...ผมเห็นตั้งแต่เดินอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้ามมอแล้ว


                  ผมขับรถจากคอนโดมาเรียนอย่างเช่นทุกวัน แต่ไม่เหมือนทุกวันตรงที่สายตาดันมองไปเห็นคนที่เดินอยู่ตรงฟุตบาท น้องเหม่อมาก เบลอถึงขั้นเกือบโดนรถที่ออกมาจากซอยชน พอมีโอกาสถามผมเลยเอ่ยถามและก็พบความจริงว่า นอกจากนอนไม่พอแล้วยังไม่ได้ทานข้าวเช้าอีก


                  มันน่าจับตีจริงๆ


                  สุดท้ายผมก็ซื้อของว่างที่พอรีบกินได้ก่อนเข้าเรียนให้ แต่ก็ดันติดปัญหาที่เจ้าตัวเป็นคนขี้เกรงใจ หลังจากที่ได้คุยกันทั้งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาและก็วันนี้ ผมสรุปได้ทันทีว่าน้องดื้อ ถ้าแย้งได้ก็จะแย้ง แต่ถ้าแย้งไม่ได้น้องก็จะดื้ออยู่เงียบๆภายในใจเป็นหมื่นแสนล้านคำ


                  ผมไม่ค่อยชอบคนที่มีนิสัยแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่พอนิสัยแบบนี้ไปอยู่บนตัวน้องแล้วก็ดูน่ารักดี


                  ...ไม่สิ โคตรน่ารักเลย...

                  ...ให้ตายสิ ผมเริ่มหลงแล้วว่ะ...


                  “ไอ้แท”


                  เสียงเรียกชื่อของผมดังขึ้นจากด้านหลังและพอผมหันไปมองตามต้นเสียงก็พบหน้าของคนที่ตั้งแต่ปิดเทอมไปก็ไม่ได้เจอกันเลย


                  “ว่าไงครับคุณคิมนัมจุนนนน ไม่เจอกันตั้งนาน”


                  ผมยิ้มทักทายคนที่อยู่ปีสูงกว่าแต่มีสถานะเป็นเพื่อนด้วยท่าทีเป็นกันเอง อย่างที่เคยบอกไปครับ ผมรู้จักกับนัมจุนก่อนที่จะซิ่วมาเรียนที่นี่อีก เพราะเขาเป็นเพื่อนของโฮซอกมาตั้งแต่มัธยม แถมตอนนี้ก็ยังเป็นรูมเมทกันอีก เวลาผมไปหาโฮซอกที่ห้องก็เลยได้เจอกันบ่อยๆจนสุดท้ายก็สนิทกันไปโดยปริยาย


                  “มาทำอะไรตรงนี้วะ?”

                  “ส่งน้อง”

                  “น้อง?”

                  “น้องที่เล่าให้ฟังไง”


                  ผมพูดไปยิ้มไป นัมจุนมองหน้าผมก่อนจะเลื่อนสายตามองผ่านไหล่ของผมไปยังห้องเรียน ผมคาดว่าเขาน่าจะทันเห็นผมกับน้องยืนคุยกันอยู่นั่นแหละแต่ไม่ได้เข้ามาหา


                  “มึงจำที่กูบอกได้มั้ยว่ามีน้องที่เหมือนน้องชายแท้ๆของกูเข้ามาเรียนสาขาเราปีนี้”

                  “อือ จำได้ๆ”


                  ผมงงเล็กน้อยที่จู่ๆนัมจุนก็เปลี่ยนเรื่องคุย แถมสีหน้ายังดูซีเรียสต่างไปจากปกติ เราสองคนมองหน้ากันครู่ใหญ่และก็เป็นนัมจุนนั่นแหละที่ทำลายความเงียบลง


                  “น้องที่มึงยืนคุยอยู่เมื่อกี้น่ะ”

                  “....”

                  น้องกู

     

     



    TALK ; ถ้านี่เป็นพี่แท จะจับน้องเข้ามุมแล้วฟัดแรงๆ แต่ไม่ได้ๆ ต้องคีพลุคก่อน ถ้ารุกแรงไปเดี๋ยวกระต่ายตื่นกันพอดีเนอะ ฮี่ๆๆๆๆๆๆ (อิไรท์ไม่น่าไว้วางใจ)

                  สวัสดีค่ะทุกคนนนนนน กริ๊บกริ๊วววววว เมื่อวานมีโมเม้นอะแกร๊!!! นี่เขินจองกุกเข้าไปจุ๊บกล้องโทรศัพท์มาก แต่ที่เขินกว่าคือมือที่ไปจับโทรศัพท์ด้วยอะทับนิ้วพี่แทอยู่ เป็นคนเขินกับอะไรจุ๊บจิ๊บแบบนี้แหละค่ะ แงงงงงงงง โฮกกกกกกๆๆๆ

                  โอเค ดึงสติกลับมาก่อนพี่น้อง5555555 หวังว่าฟิคเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ ปกติเราไม่ค่อยถนัดแนวน่ารักสดใสเท่าไหร่เลยออกจะเขินๆที่แต่งแนวนี้55555 ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้กันในตอนที่ผ่านมานะคะ ใครชอบก็คอมเม้นท์&จิ้มๆให้กำลังใจเค้าหน่อยน้าาา พรุ่งนี้มหาลัยเปิดเรียนแล้ว จิตใจห่อเหี่ยวมากแม่ จิร้องไห้55555

                  ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อ พี่แทที่เริ่มหลงความน่ารักจะหาวิธีดมตัวน้องกุกให้ใกล้กว่านี้อีกได้มั้ย แล้วคนที่เป็นเหมือนพี่ชายแท้ๆของน้องกุกอย่างพี่นัมจุนจะทำยังไง น้องกุกจะได้คืนเงินหนึ่งพันบาทกับพี่แทตอนไหน ต้องรอติดตามกันต่อไปน้าาา /พูดเหมือนพิธีกรการ์ตูนช่อง9เว่อร์555555

                  ขอบคุณทุกๆคนที่แวะมาอ่านตอนนี้นะคะ ขอบคุณค่าาาา รักกกกกกก


    Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ ( เหรอเขียนแบบนี้นะ ><)

    Twitter : @yumsyou


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×