คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Handsome Psycho (?)
Chapter 2 : Handsome Psycho (?)
“น้ำเปล่า 1 แก้วครับ”
ผมเอ่ยบอกคนขายด้วยท่าทีเก้ๆกังๆก่อนจะส่งเหรียญและรับน้ำเปล่าเย็นๆแก้วนั้นมาไว้ในมือ
ผมเดินถือแก้วน้ำไปนั่งลงที่พื้นข้างสนามพลางทอดสายตามองไปยังกลุ่มคนมากมายที่กำลังมีความสุขกับเสียงเพลง
ไม่ชอบเลย...รู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม
หลังจากยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หลายชั่วโมง
ผมก็สามารถขอปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนในสาขาได้
เป็นอย่างที่กังวลไว้จริงๆด้วยว่ากิจกรรมแบบนี้ไม่เหมาะกับผม
ยิ่งมาอยู่ท่ามกลางคนที่ยังไม่ค่อยสนิทแบบนี้ ผมยิ่งไม่รู้จะทำตัวยังไง
รู้สึกแย่ชะมัด อยากกลับห้องจัง
ผมถอนหายใจออกมาอย่างแรงก่อนจะขยับแว่นที่หล่นลงมาหยุดอยู่บริเวณปลายจมูกให้กลับไปในจุดที่เหมาะสม
ผมดื่มน้ำในแก้วไปเรื่อยๆในขณะที่ดวงตาก็เหม่อมองไปยังแสงที่เปลี่ยนไปมาบนเวที
ครืดๆ
เฮือก!
แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมสะดุ้งและนิ่งค้างไปอึดใจหนึ่ง
ผมพ่นลมหายใจออกมายาวๆอย่างโล่งอกว่าที่ตกใจน่ะเป็นแค่โทรศัพท์สั่น
ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวหรือแปลกประหลาดไปมากกว่านี้
คุณจีมิน : จองกุก มึงไปกินน้ำถึงกรุงลงกาหรือไง
ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนส่งไลน์มา
อ่า...จีมินนี่เอง เขาเป็นเพื่อนที่ตอนนี้มีทีท่าว่าจะสนิทกันมากที่สุด
เราได้นั่งข้างกันในวันปฐมนิเทศ จากนั้นก็ได้พูดคุยกันมาตลอด ผมเป็นคนประเภทที่ทำตัวไม่ค่อยถูกเวลาเจอคนใหม่ๆ
แต่จีมินเป็นคนเข้าหาคนอื่นเก่งมาก ผมเลยปรับตัวสนิทกับเขาได้ค่อนข้างเร็ว
จริงๆชื่อไลน์ของเขาไม่ใช่แบบนี้หรอกครับ
อันนี้ผมตั้งใหม่ด้วยเหตุที่ว่าเขาซิ่วมาจากคณะอื่น ซึ่งแสดงว่าเขาต้องอายุมากกว่าผมแน่ๆ
ถึงแม้ว่าจีมินจะบอกแกมบังคับให้ผมพูดกูมึงด้วยแล้วก็ตาม
แต่ผมก็ยังอยากเก็บความสุภาพไว้ให้เขาสักนิดนึงก็ยังดี
KooKookie
: เกินไป มาแค่ข้างสนามเอง
คุณจีมิน : หายไปนานโคตร
รีบกลับมาได้แล้ว วงสุดท้ายแล้วเนี่ย
KooKookie
: เคๆ จะรีบไป
ผมรีบปิดหน้าจอโทรศัพท์และนำแก้วน้ำที่เหลือแต่น้ำแข็งไปทิ้ง
ผมใช้สายตามองกลุ่มคนมากมายตรงหน้าผ่านเลนส์แว่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง
ผมแทรกตัวเบียดเสียดคนมากมายเพื่อกลับไปยังจุดที่กลุ่มเพื่อนในสาขาปักหลักอยู่
แต่เดินไปเดินมาก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองเดินมาถูกทิศถูกทางหรือเปล่า
เด๋อไม่รู้เวลาอีกแล้วจองกุก!
สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหยุดเดินและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปหาจีมิน
ซึ่งผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะเปิดอ่าน
ให้ตายสิ ผมมาทำอะไรตรงนี้วะเนี้ย
อยากจะร้องไห้!
ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ทุกอย่างในวันนี้มันดูยากไปหมด ทั้งการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่
ทั้งการนั่งทานข้าวกลางวันเป็นกลุ่ม ไหนจะการดูคอนเสิร์ตที่เพลงไม่คุ้นหู
และไหนจะตอนนี้ที่หลงจากทุกคนอีก
“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ”
ปึก!
เฮ้ย!
ในจังหวะที่ผมกำลังก้าวขาเดินต่อ
จู่ๆก็มีแรงกระแทกจากด้านหลังอย่างแรงจนทำให้ตัวของผมเซไปข้างหน้า โนๆๆๆ
อย่าล้มตรงนี้นะจองกุก วันนี้ชีวิตย้ำแย่มากพอแล้ว จะให้เกิดเรื่องน่าอับอายกลางฝูงชนแบบนี้อีกไม่ได้โว้ย!
หมับ!
หือ...
ผมกระพริบตาปริบๆเมื่อพบว่าตัวเองถูกดึงให้กลับไปยืนตรงเหมือนเดิม
มือที่มาคว้าแขนของผมเอาไว้กระชับแน่นเหมือนเจ้าตัวก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน
ผมรีบหันหน้ากลับไปมองคนที่เกือบทำผมหน้าคะมำก่อนจะต้องชะงักเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ...
...หล่อ...
...ทำไมหน้าตาดีจัง...
ผมกระพริบตาสองสามทีเพื่อเรียกสติหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายขยับปากพูดอะไรสักอย่างกับผม
แต่เนื่องจากเสียงจากเวทีและคนรอบข้างดังเกินไปทำให้ผมไม่ได้ยินอะไรเลย
“ครับ?”
ผมเอ่ยและเอียงหัวเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้ว่าผมไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด คนที่ดูท่าทางเหมือนรุ่นพี่มองไปรอบๆด้วยสายตาหงุดหงิดก่อนจะออกแรงดึงแขนของผมเข้าไปหาตัว ดวงตาของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายก็พลอยเสียหลักเซเข้าไปใกล้
และในตอนนั้นเองที่น้ำเสียงทุ้มต่ำดังอยู่ใกล้หูของผมอย่างชัดเจน
....
“ขอโทษนะครับ ผมขอดมกลิ่นคุณหน่อยได้มั้ย?”
....
หือ?!!!
เชี้ยไรเนี้ย?!
ผมรีบสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมและผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาเซก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะล้มลง ผมมองอีกฝ่ายผ่านกรอบแว่นก่อนที่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจะสั่งให้รีบหมุนตัววิ่งหนีออกมาอย่างไว
แม่งเอ๊ย! เมื่อกี้นี้มันคืออะไรวะ?!
ผมสับขาวิ่งแทรกตัวผ่านผู้คนมากมายจนสุดท้ายก็สามารถออกมาหยุดยืนอยู่ด้านนอกได้สำเร็จ ให้ตายเถอะ สาบานเลยว่าชาตินี้ไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ผมหันไปมองข้างหลังเพื่อให้มั่นใจว่าคนๆนั้นไม่ตามมาก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังแทรกตัวผ่านฝูงชนมาทางนี้
โอ๊ย! ไม่เอาแล้วนะ! ไม่มีแรงหนีแล้วโว้ยยยย ไปตายไหนก็ไปเลยไป!!!
“จองกุก! มึงวิ่งทำเหี้ยไรเนี้ย?!”
ผมชะงักไปชั่วขณะและถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคนที่โผล่ออกมาไม่ใช่คนที่คิดไว้ แต่กลับเป็นจีมินที่ยืนเท้าเอวมองผมด้วยแววตางุนงง
ให้ตาย ไม่เคยมีความสุขเพราะได้เจอหน้าใครขนาดนี้มาก่อน
โคตรพ่อโคตรแม่ดีใจเลย
“จีมิน...”
“ไรมึง”
“ฮึก!”
“เชี้ย มึง...”
“จีมิน ฮึก!”
“ไอ้กุก อย่าร้องไห้ตรงนี้โว้ยยยยย ฮึบไอ้สัตว์ ฮึบบบบบ”
ในที่สุดก็วันศุกร์
ผมลากสังขารอันแสนบอบช้ำจากการเรียนในสัปดาห์แรกเข้ามายังใต้ตึกศูนย์เรียนรวม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเรียนวิชาต่อไปของผม ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงโต๊ะมุมสุดของใต้ตึก
เพื่อนๆนั่งอยู่เต็มเลยแหะ
ผมมองภาพที่เพื่อนในสาขานั่งรวมๆกันอยู่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเหมือนจะสนิทกันเร็วกว่าที่ผมคาดไว้
...ทำไงดี จีมินที่กลับไปเอาของที่หอก็ยังไม่มา...
ผมเม้มริมฝีปากยืนนิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่และหมุนตัวเดินไปยังลิฟต์...
...เข้าไปก็คงไม่รู้จะคุยอะไรอยู่ดี...
ผมยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความบอกจีมินว่าจะขึ้นไปนั่งรอบนห้องก่อน โชคดีที่วิชาต่อไปเป็นวิชาบูรณาการที่ดูจากชื่อแล้วไม่น่ามีอะไรให้เครียดมากนัก ผิดกับวิชาแกนเมื่อเช้า ผมจะอ้วกแตกกับบัญชีการเงิน อาจารย์พูดภาษาไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นลางความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเลยครับ
ผมอยู่สาขาการจัดการนะ ทำไมต้องเรียนบัญชีด้วยก็ไม่รู้
เฮ้อ แต่เอาเถอะ เนื้อหามันอาจจะจำเป็น อย่าเพิ่งตัดสินอะไรเลย
ผมค่อยๆแง้มประตูห้องเรียนเปิดออก เนื่องจากผมมาก่อนเวลาพอสมควรจึงมีนักศึกษามานั่งจองที่ไว้บ้างเพียงประปราย ผมเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ พยายามไม่ให้เป็นจุดสนใจจนทุกคนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง
คลาสนี้เป็นคลาสใหญ่ ห้องเรียนจึงเป็นแบบสโลปขึ้นและมีทางเดินตรงกลาง ผมใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจนั่งที่ฝั่งซ้ายติดทางเดิน หลายห้องแล้วเหมือนกันที่ผมเลือกนั่งแบบนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากหรอกครับ มันอยู่ตรงกลางมากที่สุดนี่นา มองอะไรก็เห็นชัดดี แถมด้านข้างด้านหนึ่งก็เป็นทางเดิน ไม่ต้องอึดอัดกับใคร ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ที่นั่งที่ถูกใจก่อนจะเอากระเป๋าวางจองที่ข้างๆให้จีมิน
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์รอเวลาไปเรื่อยๆสลับกับฟุบหน้าลงพักสายตาบ้าง ผ่านไปสักพักคนก็เริ่มพากันทยอยเดินเข้ามาในห้องจนตอนนี้เกือบจะไม่มีที่ว่างแล้ว
“โทษทีมึง เพื่อนที่หอมันให้ช่วยไล่จิ้งจก”
คนที่หายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงโผล่เข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆอย่างรู้งาน จีมินส่งกระเป๋าที่ผมใช้จองที่คืนให้ก่อนจะเท้าคางหันหน้ามามองผม
“?”
“สรุปจะไม่เล่าจริงดิ”
“เรื่อง?”
“ที่ร้องไห้วันเปิดโลกไง ถ้าไม่ได้ร้องเพราะหากูไม่เจอแล้วมึงร้องเพราะเรื่องอะไรวะ”
“ไม่บอก”
“มึงนี่นะ ขี้แยแล้วยังปากแข็งอีก”
พูดจบก็เอามือมายีหัวของผมอย่างแรง โห มึงหมั่นไส้อะไรกูหรือเปล่าครับเนี้ย?! หัวจะหลุดแล้วโว้ยยยย ผมรีบยกมือปัดแขนจีมินออกก่อนที่มันจะลงมือทำร้ายหัวของผมไปมากกว่านี้
“เตี้ยแล้วยังไม่เจียม”
“ความสูงไม่มีผลในแนวราบโว้ย!”
“แน่จริงยืนมั้ยล่ะ?”
“สัตว์ พอสนิทแล้วเหิมเกริมนะมึง”
ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อจีมินเบะปากแรงเหมือนตัวร้ายในละคร หลังจากเหตุการณ์ที่ผมร้องไห้ในงานเปิดโลก ผมกับจีมินก็สนิทกันมากขึ้นไปโดยปริยาย เขาชวนผมออกไปกินข้าวกับซื้อของเข้าหอในช่วงก่อนเปิดเรียน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเปิดใจคุยกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น
สำหรับผมแล้ว การที่เราสามารถพูดคุยกับใครได้โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนานถือว่าเป็นสัญญาณของความสนิทที่เพิ่มมากขึ้น
ซึ่งผมก็เริ่มเป็นแบบนั้นกับจีมิน
“ขอโทษนะน้อง ตรงนั้นมีใครนั่งหรือเปล่า ถ้าไม่มีพี่ขอให้เขยิบที่เข้าไปหน่อยได้มั้ย?”
จู่ๆรุ่นพี่ที่มีท่าทางเหมือนเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ก็เดินเข้ามาพูดกับพวกผมและชี้ไปยังที่นั่งข้างๆจีมิน ผมหันหน้าไปมองเพื่อนตัวเองที่ก็ดูสับสนไปต่างกัน และสุดท้ายจีมินก็เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย
“ทำไมเหรอครับ?”
“คือคลาสนี้คนเรียนเยอะมาก เราขยับเข้าไปด้านในจะได้เหลือที่ริมสุดไว้ให้คนที่มาช้านั่งไง”
ตรรกะไหนวะเนี้ย คนมาช้าก็นั่งที่ด้านในได้หนิ ผมแอบบ่นในใจแต่เมื่อไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมพอจะแย้งกลับก็เลยหันไปเพยิดหน้าเชิงบอกกับจีมินว่าให้เขยิบไปเถอะ
“ให้ขยับทำไมวะ กูงง”
จีมินเอ่ยขึ้นหลังจากพี่ผู้ช่วยเดินห่างออกไปแล้ว
“ไม่รู้ดิ”
“อืม...คงง่ายกับการให้เขียนชื่อล็อคที่มั้ง คนมาช้าจะได้เขียนต่อเลย”
คำพูดของจีมินทำให้ผมหันไปมองแถวด้านหน้าที่เริ่มส่งกระดาษบางอย่างเขียนต่อกันไปเรื่อยๆ คงเป็นแบบที่จีมินว่าล่ะมั้ง แต่ผมก็แอบเสียดายที่ริมสุดจัง ผมมองที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวก่อนจะหันกลับมาหยิบเล่มกระดาษเอสี่สำหรับฉีกขึ้นมาพร้อมกับถุงดินสอรูปกล้วยสีเหลือง
“ตั้งแต่เกิดมาก็มีมึงนี่แหละตั้งใจเรียนที่สุดในชีวิตกูแล้ว”
จีมินพูดลอยๆพลางไล่สายตาคมๆมองอุปกรณ์การเรียนที่แสนครบครันของผม
“คนไม่เก่งก็ต้องพยายามปะวะ”
“พูดขนาดนี้ก็ด่ากูตรงๆเถอะ”
“ฮ่าๆ”
ผมหัวเราะพลางเบนสายตากลับมาสนใจอ่านการ์ตูนในโทรศัพท์ต่อ เพราะดูทรงแล้วอาจารย์น่าจะมาสายกว่าเวลาเริ่มเรียน ผมไล่สายตาอ่านการ์ตูนเงียบๆไปพักใหญ่ก่อนที่รอบตัวจะมีเสียงซุบซิบดังขึ้น และส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงของผู้หญิง
“แก พี่เขาเรียนคลาสนี้!”
“โอ๊ย ตัวจริงหล่อกว่ารูปที่เพจลงอีกอะ”
“ตายๆ แค่การแต่งตัวก็ดูดีแล้วแก ยิ่งหน้าหล่อด้วยคือแบบ ฉันขอตายลงตรงนี้”
“แม่ทานอะไรตอนท้องนะถึงได้เกิดมาหน้าพระเจ้าสร้างขนาดนี้”
“กูอยากได้เขาอะมึงงงงงง”
และด้านบนก็คือตัวอย่างเสียงซุบซิบที่ดังมาจากแถวหลัง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากการคาดเดาก็น่าจะมีคนหล่อๆมาเรียนในคลาสนี้ด้วยล่ะมั้ง ผมไม่ได้สนใจอะไรต่อและเลือกที่จะกลับมาตั้งใจอ่านการ์ตูนต่อ จีมินที่นั่งอยู่ข้างๆก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่นานแล้ว เพราะงั้นเขาก็คงไม่รู้เรื่องอะไร
“ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ”
ผมเอ่ยตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าหันไปมองคนที่มานั่งลงข้างๆ ผมเห็นทางหางตาว่าจีมินหันมามองทางนี้แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จะสนใจทำไมล่ะครับ ก็การ์ตูนกำลังถึงจุดพีคเนี้ย!!! โคตรจะลุ้น ถ้าจบตอนแล้วตัดฉับๆให้รอตอนต่อไปคือจะด่าเลยนะ ผมจะไม่ทน!
“จองกุก”
“ว่า?”
“คนข้างๆมึงโคตรหล่อเลยว่ะ”
“สนใจ? แลกที่มั้ยล่ะ”
“สัตว์ เขาหล่อจริงๆมึง ผู้หญิงกรี๊ดกันเต็มไปหมดแล้วเนี่ย”
หือ? ขนาดนั้นเชียว?
ผมละสายตาจากโทรศัพท์มองไปด้านหน้าและก็พบว่ามีผู้หญิงหลายๆคนกำลังมองมาทางนี้ บางคนก็หันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับเพื่อน ...ท่าทางจะเป็นคนดังของมหาวิทยาลัย... ผมคิดในใจพลางหันหน้าไปมองคนด้านข้างบ้าง...
....
ทันทีที่ผมเห็นใบหน้าด้านข้างของเขา โลกทั้งใบก็เหมือนหยุดหมุน เสียงรอบข้างที่ดังอยู่ก็เงียบลงฉับพลันเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นอย่างรู้งาน และในจังหวะที่ผมกำลังบอกตัวเองให้ตั้งสติอยู่นั้น เขาก็หันหน้ามาสบตากับผมเข้าอย่างจัง คราวนี้ไม่ใช่แค่โลกหยุดหมุนแล้วครับ โลกทั้งใบถล่มลงมาเลย ผมเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าชัดๆก่อนจะเผลอกลั้นหายใจไปหลายวินาที
....
เหี้ย
นี่มัน...
ไอ้โรคจิตขอดมกลิ่น!!!
ผมอ้าปากค้างก่อนที่สติจะกลับเข้าร่างและรีบหันกลับไปหาจีมินด้วยความไวแสง
แย่แล้ว แย่มากๆ แย่โคตรๆ แม่งเอ๊ยยยยยย
“มึง แลกที่กับกูนะ”
ผมรีบกระซิบบอกจีมิน
จีมินมองผมด้วยสายตาสงสัยก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์
ให้ตายเถอะ
อย่าบอกนะว่ากำลังเข้าใจอะไรผิดๆ
“อะไรกันครับจองกุก เขินเหรอ?”
“ไม่ใช่ มึงแลกที่กันเหอะ
เร็วๆ”
“แหมๆ
เขินก็บอกว่าเขินสิน้องกุก”
“เขินบ้านป้ามึงสิ! แลกที่เหอะ นะๆ”
“ไม่! มึงบอกช้าไป กูปักหลักแล้ว
เห็นรากที่งอกออกมาจากขากูมั้ย โห้วววว ยึดพื้นแน่นเลยมึงงงง
ท่าทางจะเป็นรากแก้วด้วยนะเนี้ยยยย”
รากแก้วพ่อมึงสิ! แม่ง!!!
ผมสบถด่าจีมินที่กลายเป็นเพื่อนชั่วขึ้นมากะทันหัน
มันส่งสายตาแซวผมจนต้องเบือนหน้าหนีกลับมามองไปข้างหน้า
ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อควบคุมไม่ให้ตัวเองสติแตกลุกขึ้นวิ่งหนีไปอยู่กับส้วมเพื่อนรักในห้องน้ำเสียก่อน
มันควรมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตของผมบ้างสิวะ
ผมพยายามนั่งนิ่งๆให้เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจำผมได้มั้ย แต่ที่แน่ๆผมจำหน้าเขาได้ขึ้นใจเลย
รวมถึงน้ำเสียงของเขาด้วย...
ขอโทษนะครับ ผมขอดมกลิ่นคุณหน่อยได้มั้ย?
โอ๊ยยยยยยย พอๆ
ห้ามไปคิดถึงมันอีก
ผมบอกตัวเองให้ตั้งสติดีๆ แต่ให้ตายเถอะ
ถ้าเขามานั่งแบบนี้แสดงว่าตลอดทั้งเทอมก็ต้องนั่งข้างกันน่ะสิ
แล้วทำไมวิชานี้ต้องล็อคที่ด้วยวะ!
ผมใช้หางตามองมือของคนข้างๆที่ใส่สร้อยข้อมือและแหวนวงบางหลายๆวงแบบพวกสายแฟชั่นก่อนจะถอนหายใจแล้วฟุบหัวลงกับโต๊ะ
เอาหัวโขกโต๊ะให้สลบไปเลยได้มั้ย
ฮืออออ แม่ฮะ
จองกุกอยากกลับบ้าน!
ผม...เรียนไม่รู้เรื่อง
เสียงของอาจารย์ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา
และผมก็ตั้งใจจดเนื้อหาที่อาจารย์สอนมาตลอดหนึ่งชั่วโมงเช่นกัน
แต่ถึงจะจดตามทุกจุด มันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนเลยแม้แต่น้อย
ความสนใจทั้งหมดของผมกลับไปกองอยู่ที่คนข้างๆ
ผมเหลือบสายตามองรุ่นพี่โรคจิตที่ตั้งแต่เข้ามาเรียนก็ไม่แม้แต่จะหยิบปากกาหรือดินสอขึ้นมาจดในสิ่งที่อาจารย์พูด
ตรงหน้าพี่เขามีแค่แท็บเล็ตบางๆหนึ่งเครื่องที่แสนอาภัพเพราะเจ้าของไม่เปิดใช้
ผมจะหงุดหงิดเวลาเห็นคนไม่ตั้งใจเรียน
“จองกุก”
“อือ”
ผมรับใบเซ็นชื่อที่จีมินส่งมาและบรรจงเขียนชื่อรวมทั้งรหัสนิสิตลงไป
เมื่อเขียนเสร็จก็เกิดความลังเลว่าจะส่งต่อยังไงดี ผมเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะดันกระดาษให้เลื่อนไปเหน็บกับตัวแท็บเล็ต...
“ขอโทษนะครับ”
เฮือก!
“ค-ครับ...”
ผมสะดุ้งโหยงและหันหน้าไปหาคนที่โน้มใบหน้าเข้ามากระซิบเบาๆ
ผมมองดวงตาคู่สวยนั่นก่อนจะกระพริบตาปริบๆอย่างทำอะไรไม่ถูก
พี่เขาชะงักไปเมื่อเห็นว่าผมตกใจก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆส่งมาให้...
“ขอยืมปากกาหน่อยได้มั้ย”
“อ่า...ได้ครับ”
ผมยื่นปากกาในมือส่งให้
ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มขอบคุณ
เขาใช้เวลาเขียนเพียงครู่เดียวก็ส่งกระดาษกับปากกาคืนให้ผมและหันกลับไปนั่งนิ่งๆเหมือนเดิม
คือพี่จะไม่จดอะไรจริงๆเหรอ?
มันขัดหูขัดตาผมชะมัด
ผมถอนหายใจและเลื่อนสายตากลับมามองใบเซ็นชื่อที่ต้องส่งคืนกลับไปอีกด้านเพราะมันสุดแถวฝั่งนี้แล้ว
หือ...
คิมแทฮยอง?
ผมเผลอหันกลับไปมองหน้าคนข้างๆก่อนจะต้องรีบหันกลับมาเมื่อเจอเข้ากับดวงตาสีดำที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว
โอ๊ย ประสาทจะแดก ทำไมคนหน้าตาดีๆต้องเป็นโรคจิตมาขอดมกลิ่นชาวบ้านเขาด้วยวะ ยิ่งได้มานั่งข้างกัน
ผมยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย
ผมส่งใบเซ็นชื่อกลับไปให้จีมินและดึงสมาธิกลับมาตั้งใจเรียน
แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่
ไม่ได้การ
ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปผมคงเรียนไม่รู้เรื่องตลอด 3 ชั่วโมงแน่
“เอ่อ...ไม่จดหน่อยเหรอครับ”
ผมกลั้นใจหันไปถามบุคคลที่ผมระแวงที่สุดในตอนนี้
ใบหน้าเรียบนิ่งหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวตอบกลับมา
“แบตหมดน่ะ”
โอ้ว...
ผมเลื่อนสายตาไปมองแท็บเล็ตแสนอาภัพ อ๋อ ที่แท้แกก็หมดแรงนี่เอง
ผมพยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจ
“เอากระดาษมั้ยครับ”
“หือ? คือไม่มีปากกา...”
“ผมให้ยืมได้ครับ”
ผมรีบตอบและสบตากับคุณพี่โรคจิตท่านนี้ตรงๆ
เขามองผมด้วยแววตาแปลกใจ พอเห็นว่าเขาไม่ตอบโต้อะไรกลับมา ผมจึงจัดการฉีกกระดาษหนึ่งแผ่นส่งให้และคุ้ยปากกาอีกหนึ่งแท่งยื่นไป
“ไม่กลัวผมเหรอครับ?”
กึก!
มือที่จับปากกาอยู่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
ริมฝีปากของผมเผยอออกเล็กน้อยเพราะอึ้งกับคำถามที่ถูกส่งมา
เขาขยับตัวเก็บแท็ปเล็ตใส่กระเป๋าก่อนจะหันมาเท้าคางมองผมด้วยท่าทีสบายๆ
ดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามาในตาของผมตรงๆ และเมื่อผ่านไปสักพักริมฝีปากได้รูปก็ยกยิ้มขึ้น...
“น่ารักดีนะครับ”
“...ค-ครับ?”
ผมเอ่ยออกไปในสภาพที่สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตอนนี้หน้าตัวเองต้องเอ๋อมากแน่ๆ
เจ้าของใบหน้าหล่อหลุดขำออกมาเล็กน้อย
เขาเอื้อมมือมาดันแว่นที่ตกลงไปที่ปลายจมูกของผมให้กลับขึ้นมาประจำตำแหน่ง
จากนั้นจึงหยิบปากกาจากมือของผมไปก่อนจะเอามันไปแตะไว้ตรงริมฝีปาก...
“พี่หมายถึงน้องน่ะครับ”
“....”
“น้องจองกุก...น่ารักดีนะครับ”
พูดจบก็ส่งรอยยิ้มกว้างให้และหันกลับไปมองหน้าห้องทั้งๆที่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
ทิ้งให้ผมนั่งอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที
ดวงตาคู่เดิมก็หันกลับมาหาผม
และตอนนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังคงนั่งเอ๋อมองเขาอยู่
“หืม? ไม่เรียนต่อล่ะ”
“....”
“เอาแต่มองหน้าพี่...เดี๋ยวจดไม่ทันนะครับน้องจองกุก”
!!!!!
....
“อ่าวเฮ้ย มึงจะไปไหนวะไอ้กุก?!”
ไม่อยู่แล้วโว้ย! ฮือออออ ผมจะไปส้วม...ส้วมเพื่อนรักช่วยกุกด้วย!!!
.
.
.
.
น้องน่ารัก
ผมมองเด็กผู้ชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าผมประมาณ
2 ปีเดินสับขาออกจากห้องไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะหันกลับมามองปากกาลายการ์ตูนที่อยู่ในมือ
ตอนแรกก็ว่าจะดรอปวิชานี้ทิ้งเพราะไม่มีเพื่อนเรียนด้วยอยู่หรอก
แต่พอเจอแบบนี้ก็คงต้องยกเลิกความคิดไป
เด็กอะไรน่าเอ็นดูชะมัด
แถม...กลิ่นยังหอม
แค่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาแตะจมูกแล้ว
ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อเผลอคิดถึงกลิ่นของน้อง
ให้ตายเถอะ ผมกำลังทำตัวเหมือนคนโรคจิตชัดๆ
และดูเหมือนน้องก็เข้าใจไปแล้วว่าผมเป็นโรคจิต ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ทำสีหน้ากลัวนักกลัวหนาใส่ผม
แต่ถึงจะกลัวก็ยังกล้าที่จะพูดด้วย
เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ
ผมวางปากกาในมือลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าห้องแชทที่บทสนทนาสุดท้ายจบลงเมื่อเย็นวานนี้...
> ไม่สนิทแต่พอคุยได้ (5) <
Taehyung : เจอน้อง
Hobi : หือออออออออ
Hobi : งี้ก็ไม่ดรอปแล้วสิ
แหนะๆๆๆ
NJoonie : น้อง? ที่เล่าให้ฟังอะนะ?
YG : เขาไม่แจ้งตำรวจจับมึงก็บุญแค่ไหนแล้ว
Taehyung : กลิ่นน้องโคตรหอม อยากดมใกล้กว่านี้
Hobi : อห...โคตรโรคจิต
อย่าบอกใครนะว่าเป็นเพื่อนกู
YG : ทำเขากลัวขนาดนั้นคงได้ดมอีกหรอก
Taehyung : โธ่เฮีย ให้กำลังใจกันหน่อยดิวะ
....
Taehyung : ได้กลิ่นครั้งแรกในรอบ10กว่าปีเลยนะโว้ย
TALK ; และน้องกุกก็วิ่งหายเข้าไปในห้องส้วม...
จ๋อมๆ 5555555555 โดนพี่แทเรียกน้องและตามด้วยชื่อ ใครไหวก็มาลากเราไปด้วยนะคะ
เราไม่ไหว จะหนีเข้าส้วมไปหาน้องกุกแล้วววว
สวัสดีค่ะทุกคนนนนน กริ๊บกริ๊วววววว หวังว่าฟิคตอนนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ ใครชอบก็คอมเม้นท์&จิ้มๆให้กำลังใจเค้าด้วยน้าาา เค้าจะได้มีแรงฮึบๆเขียนต่อไวๆ พิมพ์ กรี๊ดดดดดดดดด ยาวๆส่งมาก็ได้ค่ะ เรายินดีกรี๊ดไปกับคุณ555555 คุยเล่นกับเราได้นะ เราไม่กัด อิอิ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และกำลังใจในตอนที่ผ่านมานะคะ เจอกันตอนหน้าน้าาาา ปิ๊ดปิ๊วววววว รักทุกคนเลยยยยย ใช่ค่ะ คุณที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ไม่ต้องหันซ้ายขวาค่ะ เราบอกรักคุณนั่นแหละ <3
Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ
( ‘เหรอ’ แบบนี้นะ ><)
Twitter : @yumsyou
ความคิดเห็น