ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Excuse me, Can I sniff you ? — vkook °

    ลำดับตอนที่ #2 : Handsome Psycho (?)

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ค. 62



    Chapter 2 : Handsome Psycho (?)

     

    “น้ำเปล่า 1 แก้วครับ”


    ผมเอ่ยบอกคนขายด้วยท่าทีเก้ๆกังๆก่อนจะส่งเหรียญและรับน้ำเปล่าเย็นๆแก้วนั้นมาไว้ในมือ ผมเดินถือแก้วน้ำไปนั่งลงที่พื้นข้างสนามพลางทอดสายตามองไปยังกลุ่มคนมากมายที่กำลังมีความสุขกับเสียงเพลง


    ไม่ชอบเลย...รู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของผม


    หลังจากยืนทำตัวไม่ถูกอยู่หลายชั่วโมง ผมก็สามารถขอปลีกตัวออกมาจากกลุ่มเพื่อนในสาขาได้ เป็นอย่างที่กังวลไว้จริงๆด้วยว่ากิจกรรมแบบนี้ไม่เหมาะกับผม ยิ่งมาอยู่ท่ามกลางคนที่ยังไม่ค่อยสนิทแบบนี้ ผมยิ่งไม่รู้จะทำตัวยังไง


    รู้สึกแย่ชะมัด อยากกลับห้องจัง


    ผมถอนหายใจออกมาอย่างแรงก่อนจะขยับแว่นที่หล่นลงมาหยุดอยู่บริเวณปลายจมูกให้กลับไปในจุดที่เหมาะสม ผมดื่มน้ำในแก้วไปเรื่อยๆในขณะที่ดวงตาก็เหม่อมองไปยังแสงที่เปลี่ยนไปมาบนเวที


    ครืดๆ


    เฮือก!


    แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทำให้ผมสะดุ้งและนิ่งค้างไปอึดใจหนึ่ง ผมพ่นลมหายใจออกมายาวๆอย่างโล่งอกว่าที่ตกใจน่ะเป็นแค่โทรศัพท์สั่น ไม่ใช่อะไรที่น่ากลัวหรือแปลกประหลาดไปมากกว่านี้


    คุณจีมิน : จองกุก มึงไปกินน้ำถึงกรุงลงกาหรือไง


    ผมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนส่งไลน์มา อ่า...จีมินนี่เอง เขาเป็นเพื่อนที่ตอนนี้มีทีท่าว่าจะสนิทกันมากที่สุด เราได้นั่งข้างกันในวันปฐมนิเทศ จากนั้นก็ได้พูดคุยกันมาตลอด ผมเป็นคนประเภทที่ทำตัวไม่ค่อยถูกเวลาเจอคนใหม่ๆ แต่จีมินเป็นคนเข้าหาคนอื่นเก่งมาก ผมเลยปรับตัวสนิทกับเขาได้ค่อนข้างเร็ว


    จริงๆชื่อไลน์ของเขาไม่ใช่แบบนี้หรอกครับ อันนี้ผมตั้งใหม่ด้วยเหตุที่ว่าเขาซิ่วมาจากคณะอื่น ซึ่งแสดงว่าเขาต้องอายุมากกว่าผมแน่ๆ ถึงแม้ว่าจีมินจะบอกแกมบังคับให้ผมพูดกูมึงด้วยแล้วก็ตาม แต่ผมก็ยังอยากเก็บความสุภาพไว้ให้เขาสักนิดนึงก็ยังดี


    KooKookie : เกินไป มาแค่ข้างสนามเอง

    คุณจีมิน : หายไปนานโคตร รีบกลับมาได้แล้ว วงสุดท้ายแล้วเนี่ย

    KooKookie : เคๆ จะรีบไป


    ผมรีบปิดหน้าจอโทรศัพท์และนำแก้วน้ำที่เหลือแต่น้ำแข็งไปทิ้ง ผมใช้สายตามองกลุ่มคนมากมายตรงหน้าผ่านเลนส์แว่นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อเรียกกำลังใจให้ตัวเอง


    ผมแทรกตัวเบียดเสียดคนมากมายเพื่อกลับไปยังจุดที่กลุ่มเพื่อนในสาขาปักหลักอยู่ แต่เดินไปเดินมาก็ต้องขมวดคิ้วยุ่ง เมื่อเริ่มไม่มั่นใจว่าตัวเองเดินมาถูกทิศถูกทางหรือเปล่า


    เด๋อไม่รู้เวลาอีกแล้วจองกุก!


    สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหยุดเดินและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาพิมพ์ข้อความส่งไปหาจีมิน ซึ่งผ่านไปครู่ใหญ่ก็ไม่มีทีท่าว่าเขาจะเปิดอ่าน


    ให้ตายสิ ผมมาทำอะไรตรงนี้วะเนี้ย

    อยากจะร้องไห้!


    ผมรู้สึกหงุดหงิดที่ทุกอย่างในวันนี้มันดูยากไปหมด ทั้งการผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ ทั้งการนั่งทานข้าวกลางวันเป็นกลุ่ม ไหนจะการดูคอนเสิร์ตที่เพลงไม่คุ้นหู และไหนจะตอนนี้ที่หลงจากทุกคนอีก


    “ทำไมต้องเป็นแบบนี้ด้วยวะ”


    ปึก!

    เฮ้ย!


    ในจังหวะที่ผมกำลังก้าวขาเดินต่อ จู่ๆก็มีแรงกระแทกจากด้านหลังอย่างแรงจนทำให้ตัวของผมเซไปข้างหน้า โนๆๆๆ อย่าล้มตรงนี้นะจองกุก วันนี้ชีวิตย้ำแย่มากพอแล้ว จะให้เกิดเรื่องน่าอับอายกลางฝูงชนแบบนี้อีกไม่ได้โว้ย!


    หมับ!


    หือ...


    ผมกระพริบตาปริบๆเมื่อพบว่าตัวเองถูกดึงให้กลับไปยืนตรงเหมือนเดิม มือที่มาคว้าแขนของผมเอาไว้กระชับแน่นเหมือนเจ้าตัวก็ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน ผมรีบหันหน้ากลับไปมองคนที่เกือบทำผมหน้าคะมำก่อนจะต้องชะงักเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ...


    ...หล่อ...

    ...ทำไมหน้าตาดีจัง...


    ผมกระพริบตาสองสามทีเพื่อเรียกสติหลังจากเห็นว่าอีกฝ่ายขยับปากพูดอะไรสักอย่างกับผม แต่เนื่องจากเสียงจากเวทีและคนรอบข้างดังเกินไปทำให้ผมไม่ได้ยินอะไรเลย


    “ครับ?”


    ผมเอ่ยและเอียงหัวเล็กน้อยเพื่อให้เขารู้ว่าผมไม่ได้ยินในสิ่งที่เขาพูด คนที่ดูท่าทางเหมือนรุ่นพี่มองไปรอบๆด้วยสายตาหงุดหงิดก่อนจะออกแรงดึงแขนของผมเข้าไปหาตัว ดวงตาของผมเบิกกว้างด้วยความตกใจ ร่างกายก็พลอยเสียหลักเซเข้าไปใกล้


    และในตอนนั้นเองที่น้ำเสียงทุ้มต่ำดังอยู่ใกล้หูของผมอย่างชัดเจน


    ....


    ขอโทษนะครับ ผมขอดมกลิ่นคุณหน่อยได้มั้ย?”


    ....


    หือ?!!!

    เชี้ยไรเนี้ย?!


    ผมรีบสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมและผลักอีกฝ่ายออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาเซก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะล้มลง ผมมองอีกฝ่ายผ่านกรอบแว่นก่อนที่สัญชาตญาณการเอาตัวรอดจะสั่งให้รีบหมุนตัววิ่งหนีออกมาอย่างไว


    แม่งเอ๊ย! เมื่อกี้นี้มันคืออะไรวะ?!


    ผมสับขาวิ่งแทรกตัวผ่านผู้คนมากมายจนสุดท้ายก็สามารถออกมาหยุดยืนอยู่ด้านนอกได้สำเร็จ ให้ตายเถอะ สาบานเลยว่าชาตินี้ไม่เคยวิ่งเร็วขนาดนี้มาก่อน ผมหันไปมองข้างหลังเพื่อให้มั่นใจว่าคนๆนั้นไม่ตามมาก่อนที่ดวงตาจะเบิกกว้างเมื่อเห็นว่ามีคนกำลังแทรกตัวผ่านฝูงชนมาทางนี้


    โอ๊ย! ไม่เอาแล้วนะ! ไม่มีแรงหนีแล้วโว้ยยยย ไปตายไหนก็ไปเลยไป!!!


    “จองกุก! มึงวิ่งทำเหี้ยไรเนี้ย?!


    ผมชะงักไปชั่วขณะและถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อคนที่โผล่ออกมาไม่ใช่คนที่คิดไว้ แต่กลับเป็นจีมินที่ยืนเท้าเอวมองผมด้วยแววตางุนงง


    ให้ตาย ไม่เคยมีความสุขเพราะได้เจอหน้าใครขนาดนี้มาก่อน

    โคตรพ่อโคตรแม่ดีใจเลย


    “จีมิน...”

    “ไรมึง”

    “ฮึก!

    “เชี้ย มึง...”

    “จีมิน ฮึก!

    “ไอ้กุก อย่าร้องไห้ตรงนี้โว้ยยยยย ฮึบไอ้สัตว์ ฮึบบบบบ”





    ในที่สุดก็วันศุกร์


    ผมลากสังขารอันแสนบอบช้ำจากการเรียนในสัปดาห์แรกเข้ามายังใต้ตึกศูนย์เรียนรวม ซึ่งเป็นสถานที่สำหรับเรียนวิชาต่อไปของผม ผมกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงโต๊ะมุมสุดของใต้ตึก


    เพื่อนๆนั่งอยู่เต็มเลยแหะ


    ผมมองภาพที่เพื่อนในสาขานั่งรวมๆกันอยู่ พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนานและเหมือนจะสนิทกันเร็วกว่าที่ผมคาดไว้


    ...ทำไงดี จีมินที่กลับไปเอาของที่หอก็ยังไม่มา...


    ผมเม้มริมฝีปากยืนนิ่งคิดอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจกระชับกระเป๋าที่สะพายอยู่และหมุนตัวเดินไปยังลิฟต์...


    ...เข้าไปก็คงไม่รู้จะคุยอะไรอยู่ดี...


    ผมยืนถอนหายใจเฮือกใหญ่และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาส่งข้อความบอกจีมินว่าจะขึ้นไปนั่งรอบนห้องก่อน โชคดีที่วิชาต่อไปเป็นวิชาบูรณาการที่ดูจากชื่อแล้วไม่น่ามีอะไรให้เครียดมากนัก ผิดกับวิชาแกนเมื่อเช้า ผมจะอ้วกแตกกับบัญชีการเงิน อาจารย์พูดภาษาไทยหรือเปล่าก็ไม่รู้ เห็นลางความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้าเลยครับ


    ผมอยู่สาขาการจัดการนะ ทำไมต้องเรียนบัญชีด้วยก็ไม่รู้

    เฮ้อ แต่เอาเถอะ เนื้อหามันอาจจะจำเป็น อย่าเพิ่งตัดสินอะไรเลย


    ผมค่อยๆแง้มประตูห้องเรียนเปิดออก เนื่องจากผมมาก่อนเวลาพอสมควรจึงมีนักศึกษามานั่งจองที่ไว้บ้างเพียงประปราย ผมเดินเข้าไปอย่างเงียบเชียบ พยายามไม่ให้เป็นจุดสนใจจนทุกคนที่นั่งอยู่เงยหน้าขึ้นมามอง


    คลาสนี้เป็นคลาสใหญ่ ห้องเรียนจึงเป็นแบบสโลปขึ้นและมีทางเดินตรงกลาง ผมใช้เวลาไม่นานก็ตัดสินใจนั่งที่ฝั่งซ้ายติดทางเดิน หลายห้องแล้วเหมือนกันที่ผมเลือกนั่งแบบนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรมากหรอกครับ มันอยู่ตรงกลางมากที่สุดนี่นา มองอะไรก็เห็นชัดดี แถมด้านข้างด้านหนึ่งก็เป็นทางเดิน ไม่ต้องอึดอัดกับใคร ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ที่นั่งที่ถูกใจก่อนจะเอากระเป๋าวางจองที่ข้างๆให้จีมิน


    ผมนั่งเล่นโทรศัพท์รอเวลาไปเรื่อยๆสลับกับฟุบหน้าลงพักสายตาบ้าง ผ่านไปสักพักคนก็เริ่มพากันทยอยเดินเข้ามาในห้องจนตอนนี้เกือบจะไม่มีที่ว่างแล้ว


    “โทษทีมึง เพื่อนที่หอมันให้ช่วยไล่จิ้งจก”


    คนที่หายหน้าหายตาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงโผล่เข้ามาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆอย่างรู้งาน จีมินส่งกระเป๋าที่ผมใช้จองที่คืนให้ก่อนจะเท้าคางหันหน้ามามองผม


    “?”

    “สรุปจะไม่เล่าจริงดิ”

    “เรื่อง?”

    “ที่ร้องไห้วันเปิดโลกไง ถ้าไม่ได้ร้องเพราะหากูไม่เจอแล้วมึงร้องเพราะเรื่องอะไรวะ”

    “ไม่บอก”

    “มึงนี่นะ ขี้แยแล้วยังปากแข็งอีก”


    พูดจบก็เอามือมายีหัวของผมอย่างแรง โห มึงหมั่นไส้อะไรกูหรือเปล่าครับเนี้ย?! หัวจะหลุดแล้วโว้ยยยย ผมรีบยกมือปัดแขนจีมินออกก่อนที่มันจะลงมือทำร้ายหัวของผมไปมากกว่านี้


    “เตี้ยแล้วยังไม่เจียม”

    “ความสูงไม่มีผลในแนวราบโว้ย!

    “แน่จริงยืนมั้ยล่ะ?”

    “สัตว์ พอสนิทแล้วเหิมเกริมนะมึง”


    ผมหลุดหัวเราะออกมาเมื่อจีมินเบะปากแรงเหมือนตัวร้ายในละคร หลังจากเหตุการณ์ที่ผมร้องไห้ในงานเปิดโลก ผมกับจีมินก็สนิทกันมากขึ้นไปโดยปริยาย เขาชวนผมออกไปกินข้าวกับซื้อของเข้าหอในช่วงก่อนเปิดเรียน ซึ่งมันก็ทำให้ผมเปิดใจคุยกับเขาอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น


    สำหรับผมแล้ว การที่เราสามารถพูดคุยกับใครได้โดยไม่ต้องใช้เวลาคิดนานถือว่าเป็นสัญญาณของความสนิทที่เพิ่มมากขึ้น

    ซึ่งผมก็เริ่มเป็นแบบนั้นกับจีมิน


    “ขอโทษนะน้อง ตรงนั้นมีใครนั่งหรือเปล่า ถ้าไม่มีพี่ขอให้เขยิบที่เข้าไปหน่อยได้มั้ย?”


    จู่ๆรุ่นพี่ที่มีท่าทางเหมือนเป็นผู้ช่วยของอาจารย์ก็เดินเข้ามาพูดกับพวกผมและชี้ไปยังที่นั่งข้างๆจีมิน ผมหันหน้าไปมองเพื่อนตัวเองที่ก็ดูสับสนไปต่างกัน และสุดท้ายจีมินก็เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย


    “ทำไมเหรอครับ?”

    “คือคลาสนี้คนเรียนเยอะมาก เราขยับเข้าไปด้านในจะได้เหลือที่ริมสุดไว้ให้คนที่มาช้านั่งไง”


    ตรรกะไหนวะเนี้ย คนมาช้าก็นั่งที่ด้านในได้หนิ ผมแอบบ่นในใจแต่เมื่อไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมพอจะแย้งกลับก็เลยหันไปเพยิดหน้าเชิงบอกกับจีมินว่าให้เขยิบไปเถอะ


    “ให้ขยับทำไมวะ กูงง”


    จีมินเอ่ยขึ้นหลังจากพี่ผู้ช่วยเดินห่างออกไปแล้ว


    “ไม่รู้ดิ”

    “อืม...คงง่ายกับการให้เขียนชื่อล็อคที่มั้ง คนมาช้าจะได้เขียนต่อเลย”


    คำพูดของจีมินทำให้ผมหันไปมองแถวด้านหน้าที่เริ่มส่งกระดาษบางอย่างเขียนต่อกันไปเรื่อยๆ คงเป็นแบบที่จีมินว่าล่ะมั้ง แต่ผมก็แอบเสียดายที่ริมสุดจัง ผมมองที่นั่งว่างเปล่าข้างตัวก่อนจะหันกลับมาหยิบเล่มกระดาษเอสี่สำหรับฉีกขึ้นมาพร้อมกับถุงดินสอรูปกล้วยสีเหลือง


    “ตั้งแต่เกิดมาก็มีมึงนี่แหละตั้งใจเรียนที่สุดในชีวิตกูแล้ว”


    จีมินพูดลอยๆพลางไล่สายตาคมๆมองอุปกรณ์การเรียนที่แสนครบครันของผม


    “คนไม่เก่งก็ต้องพยายามปะวะ”

    “พูดขนาดนี้ก็ด่ากูตรงๆเถอะ”

    “ฮ่าๆ”


    ผมหัวเราะพลางเบนสายตากลับมาสนใจอ่านการ์ตูนในโทรศัพท์ต่อ เพราะดูทรงแล้วอาจารย์น่าจะมาสายกว่าเวลาเริ่มเรียน ผมไล่สายตาอ่านการ์ตูนเงียบๆไปพักใหญ่ก่อนที่รอบตัวจะมีเสียงซุบซิบดังขึ้น และส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงของผู้หญิง


    “แก พี่เขาเรียนคลาสนี้!

    “โอ๊ย ตัวจริงหล่อกว่ารูปที่เพจลงอีกอะ”

    “ตายๆ แค่การแต่งตัวก็ดูดีแล้วแก ยิ่งหน้าหล่อด้วยคือแบบ ฉันขอตายลงตรงนี้”

    “แม่ทานอะไรตอนท้องนะถึงได้เกิดมาหน้าพระเจ้าสร้างขนาดนี้”

    “กูอยากได้เขาอะมึงงงงงง”


    และด้านบนก็คือตัวอย่างเสียงซุบซิบที่ดังมาจากแถวหลัง ผมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่จากการคาดเดาก็น่าจะมีคนหล่อๆมาเรียนในคลาสนี้ด้วยล่ะมั้ง ผมไม่ได้สนใจอะไรต่อและเลือกที่จะกลับมาตั้งใจอ่านการ์ตูนต่อ จีมินที่นั่งอยู่ข้างๆก็หยิบหูฟังขึ้นมาใส่นานแล้ว เพราะงั้นเขาก็คงไม่รู้เรื่องอะไร


    “ขอโทษนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งหรือเปล่า”

    “ไม่มีครับ”


    ผมเอ่ยตอบโดยที่ไม่ได้เงยหน้าหันไปมองคนที่มานั่งลงข้างๆ ผมเห็นทางหางตาว่าจีมินหันมามองทางนี้แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร จะสนใจทำไมล่ะครับ ก็การ์ตูนกำลังถึงจุดพีคเนี้ย!!! โคตรจะลุ้น ถ้าจบตอนแล้วตัดฉับๆให้รอตอนต่อไปคือจะด่าเลยนะ ผมจะไม่ทน!


    “จองกุก”

    “ว่า?”

    “คนข้างๆมึงโคตรหล่อเลยว่ะ”

    “สนใจ? แลกที่มั้ยล่ะ”

    “สัตว์ เขาหล่อจริงๆมึง ผู้หญิงกรี๊ดกันเต็มไปหมดแล้วเนี่ย”


    หือ? ขนาดนั้นเชียว?


    ผมละสายตาจากโทรศัพท์มองไปด้านหน้าและก็พบว่ามีผู้หญิงหลายๆคนกำลังมองมาทางนี้ บางคนก็หันไปซุบซิบอะไรบางอย่างกับเพื่อน ...ท่าทางจะเป็นคนดังของมหาวิทยาลัย... ผมคิดในใจพลางหันหน้าไปมองคนด้านข้างบ้าง...


    ....


    ทันทีที่ผมเห็นใบหน้าด้านข้างของเขา โลกทั้งใบก็เหมือนหยุดหมุน เสียงรอบข้างที่ดังอยู่ก็เงียบลงฉับพลันเหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นอย่างรู้งาน และในจังหวะที่ผมกำลังบอกตัวเองให้ตั้งสติอยู่นั้น เขาก็หันหน้ามาสบตากับผมเข้าอย่างจัง คราวนี้ไม่ใช่แค่โลกหยุดหมุนแล้วครับ โลกทั้งใบถล่มลงมาเลย ผมเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นใบหน้าชัดๆก่อนจะเผลอกลั้นหายใจไปหลายวินาที


    ....


    เหี้ย


    นี่มัน...


    ไอ้โรคจิตขอดมกลิ่น!!!


    ผมอ้าปากค้างก่อนที่สติจะกลับเข้าร่างและรีบหันกลับไปหาจีมินด้วยความไวแสง


    แย่แล้ว แย่มากๆ แย่โคตรๆ แม่งเอ๊ยยยยยย


    “มึง แลกที่กับกูนะ”


    ผมรีบกระซิบบอกจีมิน จีมินมองผมด้วยสายตาสงสัยก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะยกยิ้มขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์


    ให้ตายเถอะ อย่าบอกนะว่ากำลังเข้าใจอะไรผิดๆ


    “อะไรกันครับจองกุก เขินเหรอ?”

    “ไม่ใช่ มึงแลกที่กันเหอะ เร็วๆ”

    “แหมๆ เขินก็บอกว่าเขินสิน้องกุก”

    “เขินบ้านป้ามึงสิ! แลกที่เหอะ นะๆ”

    “ไม่! มึงบอกช้าไป กูปักหลักแล้ว เห็นรากที่งอกออกมาจากขากูมั้ย โห้วววว ยึดพื้นแน่นเลยมึงงงง ท่าทางจะเป็นรากแก้วด้วยนะเนี้ยยยย”


    รากแก้วพ่อมึงสิ! แม่ง!!!


    ผมสบถด่าจีมินที่กลายเป็นเพื่อนชั่วขึ้นมากะทันหัน มันส่งสายตาแซวผมจนต้องเบือนหน้าหนีกลับมามองไปข้างหน้า ผมสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อควบคุมไม่ให้ตัวเองสติแตกลุกขึ้นวิ่งหนีไปอยู่กับส้วมเพื่อนรักในห้องน้ำเสียก่อน


    มันควรมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตของผมบ้างสิวะ


    ผมพยายามนั่งนิ่งๆให้เหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาจำผมได้มั้ย แต่ที่แน่ๆผมจำหน้าเขาได้ขึ้นใจเลย รวมถึงน้ำเสียงของเขาด้วย...


    ขอโทษนะครับ ผมขอดมกลิ่นคุณหน่อยได้มั้ย?


    โอ๊ยยยยยยย พอๆ ห้ามไปคิดถึงมันอีก


    ผมบอกตัวเองให้ตั้งสติดีๆ แต่ให้ตายเถอะ ถ้าเขามานั่งแบบนี้แสดงว่าตลอดทั้งเทอมก็ต้องนั่งข้างกันน่ะสิ แล้วทำไมวิชานี้ต้องล็อคที่ด้วยวะ! ผมใช้หางตามองมือของคนข้างๆที่ใส่สร้อยข้อมือและแหวนวงบางหลายๆวงแบบพวกสายแฟชั่นก่อนจะถอนหายใจแล้วฟุบหัวลงกับโต๊ะ


    เอาหัวโขกโต๊ะให้สลบไปเลยได้มั้ย

    ฮืออออ แม่ฮะ จองกุกอยากกลับบ้าน!

     


     


    ผม...เรียนไม่รู้เรื่อง


    เสียงของอาจารย์ยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องตลอดเกือบหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา และผมก็ตั้งใจจดเนื้อหาที่อาจารย์สอนมาตลอดหนึ่งชั่วโมงเช่นกัน แต่ถึงจะจดตามทุกจุด มันก็ไม่ได้ทำให้ผมมีสมาธิจดจ่อกับการเรียนเลยแม้แต่น้อย


    ความสนใจทั้งหมดของผมกลับไปกองอยู่ที่คนข้างๆ


    ผมเหลือบสายตามองรุ่นพี่โรคจิตที่ตั้งแต่เข้ามาเรียนก็ไม่แม้แต่จะหยิบปากกาหรือดินสอขึ้นมาจดในสิ่งที่อาจารย์พูด ตรงหน้าพี่เขามีแค่แท็บเล็ตบางๆหนึ่งเครื่องที่แสนอาภัพเพราะเจ้าของไม่เปิดใช้


    ผมจะหงุดหงิดเวลาเห็นคนไม่ตั้งใจเรียน


    “จองกุก”

    “อือ”


    ผมรับใบเซ็นชื่อที่จีมินส่งมาและบรรจงเขียนชื่อรวมทั้งรหัสนิสิตลงไป เมื่อเขียนเสร็จก็เกิดความลังเลว่าจะส่งต่อยังไงดี ผมเม้มริมฝีปากเล็กน้อยก่อนจะดันกระดาษให้เลื่อนไปเหน็บกับตัวแท็บเล็ต...


    “ขอโทษนะครับ”


    เฮือก!


    “ค-ครับ...”


    ผมสะดุ้งโหยงและหันหน้าไปหาคนที่โน้มใบหน้าเข้ามากระซิบเบาๆ ผมมองดวงตาคู่สวยนั่นก่อนจะกระพริบตาปริบๆอย่างทำอะไรไม่ถูก พี่เขาชะงักไปเมื่อเห็นว่าผมตกใจก่อนจะคลี่ยิ้มจางๆส่งมาให้...


    “ขอยืมปากกาหน่อยได้มั้ย”

    “อ่า...ได้ครับ”


    ผมยื่นปากกาในมือส่งให้ ซึ่งสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มขอบคุณ เขาใช้เวลาเขียนเพียงครู่เดียวก็ส่งกระดาษกับปากกาคืนให้ผมและหันกลับไปนั่งนิ่งๆเหมือนเดิม


    คือพี่จะไม่จดอะไรจริงๆเหรอ? มันขัดหูขัดตาผมชะมัด


    ผมถอนหายใจและเลื่อนสายตากลับมามองใบเซ็นชื่อที่ต้องส่งคืนกลับไปอีกด้านเพราะมันสุดแถวฝั่งนี้แล้ว


    หือ...

    คิมแทฮยอง?


    ผมเผลอหันกลับไปมองหน้าคนข้างๆก่อนจะต้องรีบหันกลับมาเมื่อเจอเข้ากับดวงตาสีดำที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว โอ๊ย ประสาทจะแดก ทำไมคนหน้าตาดีๆต้องเป็นโรคจิตมาขอดมกลิ่นชาวบ้านเขาด้วยวะ ยิ่งได้มานั่งข้างกัน ผมยิ่งรู้สึกไม่ปลอดภัย


    ผมส่งใบเซ็นชื่อกลับไปให้จีมินและดึงสมาธิกลับมาตั้งใจเรียน แต่ผ่านไปครู่ใหญ่ก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่


    ไม่ได้การ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปผมคงเรียนไม่รู้เรื่องตลอด 3 ชั่วโมงแน่


    “เอ่อ...ไม่จดหน่อยเหรอครับ”


    ผมกลั้นใจหันไปถามบุคคลที่ผมระแวงที่สุดในตอนนี้ ใบหน้าเรียบนิ่งหันมามองผมเล็กน้อยก่อนจะส่ายหัวตอบกลับมา


    “แบตหมดน่ะ”


    โอ้ว... ผมเลื่อนสายตาไปมองแท็บเล็ตแสนอาภัพ อ๋อ ที่แท้แกก็หมดแรงนี่เอง ผมพยักหน้ารับน้อยๆอย่างเข้าใจ


    “เอากระดาษมั้ยครับ”

    “หือ? คือไม่มีปากกา...”

    “ผมให้ยืมได้ครับ”


    ผมรีบตอบและสบตากับคุณพี่โรคจิตท่านนี้ตรงๆ เขามองผมด้วยแววตาแปลกใจ พอเห็นว่าเขาไม่ตอบโต้อะไรกลับมา ผมจึงจัดการฉีกกระดาษหนึ่งแผ่นส่งให้และคุ้ยปากกาอีกหนึ่งแท่งยื่นไป


    “ไม่กลัวผมเหรอครับ?”


    กึก!


    มือที่จับปากกาอยู่ชะงักค้างอยู่กลางอากาศ ริมฝีปากของผมเผยอออกเล็กน้อยเพราะอึ้งกับคำถามที่ถูกส่งมา เขาขยับตัวเก็บแท็ปเล็ตใส่กระเป๋าก่อนจะหันมาเท้าคางมองผมด้วยท่าทีสบายๆ ดวงตาคู่นั้นจ้องเข้ามาในตาของผมตรงๆ และเมื่อผ่านไปสักพักริมฝีปากได้รูปก็ยกยิ้มขึ้น...


    “น่ารักดีนะครับ”

    “...ค-ครับ?”


    ผมเอ่ยออกไปในสภาพที่สติแทบไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าตอนนี้หน้าตัวเองต้องเอ๋อมากแน่ๆ เจ้าของใบหน้าหล่อหลุดขำออกมาเล็กน้อย เขาเอื้อมมือมาดันแว่นที่ตกลงไปที่ปลายจมูกของผมให้กลับขึ้นมาประจำตำแหน่ง จากนั้นจึงหยิบปากกาจากมือของผมไปก่อนจะเอามันไปแตะไว้ตรงริมฝีปาก...


    “พี่หมายถึงน้องน่ะครับ”

    “....”

    น้องจองกุก...น่ารักดีนะครับ”


    พูดจบก็ส่งรอยยิ้มกว้างให้และหันกลับไปมองหน้าห้องทั้งๆที่ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ทิ้งให้ผมนั่งอ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่ แต่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาที ดวงตาคู่เดิมก็หันกลับมาหาผม และตอนนั้นแหละที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังคงนั่งเอ๋อมองเขาอยู่


    “หืม? ไม่เรียนต่อล่ะ”

    “....”

    “เอาแต่มองหน้าพี่...เดี๋ยวจดไม่ทันนะครับน้องจองกุก”


    !!!!!


    ....


    “อ่าวเฮ้ย มึงจะไปไหนวะไอ้กุก?!


    ไม่อยู่แล้วโว้ย! ฮือออออ ผมจะไปส้วม...ส้วมเพื่อนรักช่วยกุกด้วย!!!



    .

    .

    .

    .



    น้องน่ารัก


    ผมมองเด็กผู้ชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าผมประมาณ 2 ปีเดินสับขาออกจากห้องไปด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ผมหัวเราะเบาๆก่อนจะหันกลับมามองปากกาลายการ์ตูนที่อยู่ในมือ


    ตอนแรกก็ว่าจะดรอปวิชานี้ทิ้งเพราะไม่มีเพื่อนเรียนด้วยอยู่หรอก แต่พอเจอแบบนี้ก็คงต้องยกเลิกความคิดไป


    เด็กอะไรน่าเอ็นดูชะมัด

    แถม...กลิ่นยังหอม แค่นั่งอยู่ใกล้ๆก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยมาแตะจมูกแล้ว


    ผมแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อยเมื่อเผลอคิดถึงกลิ่นของน้อง ให้ตายเถอะ ผมกำลังทำตัวเหมือนคนโรคจิตชัดๆ และดูเหมือนน้องก็เข้าใจไปแล้วว่าผมเป็นโรคจิต ถ้าไม่อย่างนั้นคงไม่ทำสีหน้ากลัวนักกลัวหนาใส่ผม


    แต่ถึงจะกลัวก็ยังกล้าที่จะพูดด้วย

    เป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ


    ผมวางปากกาในมือลงก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดเข้าห้องแชทที่บทสนทนาสุดท้ายจบลงเมื่อเย็นวานนี้...


    > ไม่สนิทแต่พอคุยได้ (5) <

    Taehyung : เจอน้อง

    Hobi : หือออออออออ

    Hobi : งี้ก็ไม่ดรอปแล้วสิ แหนะๆๆๆ

    NJoonie : น้อง? ที่เล่าให้ฟังอะนะ?

    YG : เขาไม่แจ้งตำรวจจับมึงก็บุญแค่ไหนแล้ว

    Taehyung : กลิ่นน้องโคตรหอม อยากดมใกล้กว่านี้

    Hobi : อห...โคตรโรคจิต อย่าบอกใครนะว่าเป็นเพื่อนกู

    YG : ทำเขากลัวขนาดนั้นคงได้ดมอีกหรอก

    Taehyung : โธ่เฮีย ให้กำลังใจกันหน่อยดิวะ


    ....


    Taehyung : ได้กลิ่นครั้งแรกในรอบ10กว่าปีเลยนะโว้ย 





    TALK ; และน้องกุกก็วิ่งหายเข้าไปในห้องส้วม... จ๋อมๆ 5555555555 โดนพี่แทเรียกน้องและตามด้วยชื่อ ใครไหวก็มาลากเราไปด้วยนะคะ เราไม่ไหว จะหนีเข้าส้วมไปหาน้องกุกแล้วววว 

                  สวัสดีค่ะทุกคนนนนน กริ๊บกริ๊วววววว หวังว่าฟิคตอนนี้จะเป็นหนึ่งในสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นในวันนี้ของทุกคนนะคะ ใครชอบก็คอมเม้นท์&จิ้มๆให้กำลังใจเค้าด้วยน้าาา เค้าจะได้มีแรงฮึบๆเขียนต่อไวๆ พิมพ์ กรี๊ดดดดดดดดด ยาวๆส่งมาก็ได้ค่ะ เรายินดีกรี๊ดไปกับคุณ555555 คุยเล่นกับเราได้นะ เราไม่กัด อิอิ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์และกำลังใจในตอนที่ผ่านมานะคะ เจอกันตอนหน้าน้าาาา ปิ๊ดปิ๊วววววว รักทุกคนเลยยยยย ใช่ค่ะ คุณที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ ไม่ต้องหันซ้ายขวาค่ะ เราบอกรักคุณนั่นแหละ <3 

    Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ ( เหรอ’ แบบนี้นะ ><)

    Twitter : @yumsyou

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×