คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : His Scent
Chapter 1 : His Scent
ครืดๆ...ครืดๆ...ครืดๆ
เสียงจากแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์ตวางทิ้งไว้บนพื้นดังแทรกขึ้นในห้องนอนที่เงียบสงบมาตลอด
10 ชั่วโมงที่ผ่านมา
แต่จนแล้วจนรอดเสียงน่ารำคาญที่ว่าก็ไม่สามารถทำให้คนที่นอนกอดหมอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มขยับตัวแม้แต่น้อย
ไม่ใช่ยังไม่ตื่น แต่ขี้เกียจลุกไปรับสายต่างหาก
ผ่านไปสักพักเสียงน่ารำคาญก็หยุดไป อ่า...ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี
ผมคิดชมคนที่โทรมาในใจว่าดีแล้วที่หยุดโทรหาผม
ผมเตรียมตัวดิ่งเข้าสู่ความสงบอีกครั้งและคงจะหลับต่อหากเสียงสั่นไม่ดังขึ้นมาอีกรอบ
“อือ...”
ผมส่งเสียงแสดงความไม่พอใจในลำคอก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มและกอดหมอนให้แน่นยิ่งกว่าเดิม
หยุดโทรมาสักทีได้มั้ย รำคาญโว้ย! ผมตีอกชกลมในใจแต่สุดท้ายก็จำใจกระชับหมอนเน่าให้แนบอกและพลิกตัวกลิ้งให้ตกลงไปที่พื้นห้อง
ใจเย็นครับ ผมมีแค่ฟูกวางบนพื้น เพราะฉะนั้นร่างกายไม่บุบสลายอะไร
ผมพ่นลมหายใจบรรเทาอาการหงุดหงิดที่เกิดขึ้นก่อนจะหรี่ตาเพ่งมองไปยังโทรศัพท์ที่หน้าจอสว่างจ้า
ใครแม่งโทรมาวะ ถ้าไม่มีธุระสำคัญจะด่าให้ยับเลย ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวไถไปตามพื้นห้อง
และด้วยทักษะการขยับตัวบนพื้นอันดีเยี่ยมที่สั่งสมมาตั้งแต่คลอดออกจากท้องแม่
ในที่สุดผมก็สามารถใช้มือที่ยังคงมีคราบสีน้ำมันเลอะอยู่เอื้อมไปกดรับสายได้สำเร็จ
[เฮลโหลวววววววว]
...เฮ้อ...ให้ตาย ไม่น่ากดรับเลยกู
ผมก่นด่าตัวเองในใจก่อนจะทิ้งหัวซุกกอดหมอนที่หนีบติดตัวมาด้วย
[แหนะ รู้นะว่าตื่นแล้ว ไม่ต้องมาเงียบใส่กูครับไอ้ขี้เซา]
“อือ...มึง...”
[จ๋าาา]
“มึงจะโทรมาทำเหี้ยอะไรวะครับ”
[โทรมาปลุกมึงไงครับไอ้แท มึงมีนัดกับกูนะครับ!]
“นัดอะไรวะ”
ผมถามเสียงขุ่นก่อนจะเอื้อมไปกดเปิดลำโพงและยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพที่ยังไม่ตื่นดี
โทรมาขนาดนี้ผมก็ต้องตื่นแล้วมั้ยให้ตายเถอะ ปวดหัวชะมัด
ผมวางคางลงบนหมอนที่กอดไว้ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะยังไม่อยากขยับตัวไปไหนอีก
[นัดเที่ยวงานเปิดโลกไง นี่มึงลืมเหรอคิมแทฮยอง?!]
“ไม่ลืม แต่มันวันนี้เหรอวะ มึงจำผิดหรือเปล่า”
[ไอ้นี่...กูจองโฮซอกนะโว้ยยยยยย กูจะจำผิดได้ไง เด็กเต็มมอไปหมดแล้วเนี้ย]
“หือ? มึงไปมอแล้วเหรอ?”
[เออ! ตอนนี้มันบ่ายสามกว่าแล้วไอ้เวร
นี่มึงนอนกี่โมงกี่ยามวะถามจริง]
ผมขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยและเงยหน้าไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนไว้บนผนัง
เวรกรรม บ่ายสายกว่าแล้วจริงด้วย ผมถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะชูแขนบิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ
“เกือบตี 5...มั้ง”
[กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าเลิกได้แล้วนิสัยนอนเช้าเนี่ย
ไม่ต้องติดลมวาดรูปจนดึกดื่นขนาดนี้ก็ได้ ร่างกายพังหมด ถ้ามึงตายเร็วขึ้นมากูจะเดินหัวเราะรอบมอเลยไอ้เหี้ย]
“โห้ ดีใจว่ะ เพื่อนยอมเป็นคนบ้าเดินหัวเราะรอบมอเพื่อเราเลย ซึ้งใจ
จะร้องไห้”
[สัตว์ น้ำเสียงมึงตอแหลมาก เร็วๆรีบมา ให้เฮียรอนานเดี๋ยวก็โดนด่าหรอก]
“เฮียกิไปด้วยเหรอ? ...ฉิบหาย”
[เออ! รีบ...]
ติ๊ด!
ผมตื่นเต็มตาทันทีเมื่อได้รู้ว่านอกจากโฮซอกแล้วยังมีเฮียยุนกิอยู่ในนัดครั้งนี้อีกด้วย
แม่งเอ๊ย ทำไมไม่รีบบอกวะ คนนั้นปล่อยให้รอนานได้ที่ไหน ผมบ่นอุบอิบก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน
ผมโยนหมอนเน่ากลับไปไว้บนเตียงแล้วจึงรีบพุ่งตัวไปยังห้องน้ำ
โฮซอกนี่ก็ไม่รู้นึกบ้าอะไรขึ้นมาถึงชวนผมไปงานเปิดโลกของมหาวิทยาลัย
ทั้งๆที่ปีก่อนๆก็ไม่เคยคิดจะไปงานที่แม่งมีแต่เด็กปี 1 เป็นส่วนใหญ่เลยแท้ๆ อยากไปก็ไปเองสิวะ
ทำไมต้องมาชวนแกมบังคับให้ผมไปด้วยก็ไม่รู้ อีกหนึ่งอาทิตย์ก็เปิดเรียนแล้ว
ผมก็อยากอยู่บ้านวาดรูปมั้ย เฮ้อ ชีวิต
ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดผมสีน้ำตาลที่เพิ่งย้อมมาเมื่อเดือนก่อน
ไม่สิ จำใจย้อม และคนที่ย้อมให้ก็ไม่ใช่ช่างทำผมที่ไหนหรอกครับ
ไอ้คนที่โทรมาปลุกผมเมื่อครู่นั่นแหละครับคนย้อม
จู่ๆก็เป็นเหี้ยไรไม่รู้ ขับรถมาหาผมพร้อมกับแบกสีย้อมผมประมาณสิบกว่ากล่องมาด้วย
มันบอกว่าอยากย้อมผมให้ ไอ้เราก็ตกใจเลยถามมันไปว่าทำไม
และคนอย่างไอ้โฮซอกก็ตอบกลับมาว่า
อ๋อ กูดูยูทูปที่คนย้อมผมสีรุ้งแล้วอิน กูเลยอยากลองทำบ้าง
ห่า แล้วผมต้องยอมย้อมผมสีรุ้งเพื่อให้มันเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิตมั้ย?
ก็ไม่ไง! ใครจะไปยอมทำวะ!
สุดท้ายหลังจากตบตีกันอยู่นาน ผมก็จำใจยอมให้มันย้อมสีน้ำตาลให้ เฮ้อ
เจอกันครึ่งทางดีกว่าให้มันสร้างงานศิลปะจากสีย้อมสิบกว่ากล่องไว้บนผนังห้องผมล่ะนะ
มีเพื่อนแบบนี้ถือว่าเป็นการสร้างบุญหรือชดใช้กรรมวะ
หลังจากเช็ดและเป่าจนผมแห้งได้ที่
ผมก็เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีขาวกับกางเกงพอดีตัวมาใส่ก่อนจะตามด้วยข้อมือและแหวนสารพัด
ผมเป็นคนชอบแต่งตัวครับ ชอบมากกกกก อาจจะเพราะตอนเด็กๆโดนพ่อกับแม่ยัดเสื้อผ้าคูลๆใส่บ่อยก็เป็นได้
ครืดๆ
“กำลังจะออกแล้ว”
ผมรีบกดรับและตอบโฮซอกที่โทรมาอีกรอบอย่างรู้งาน
[เหมือนรู้อะว่ากูโทรมาเร่ง]
“ฉลาดไง”
[เออๆ เฮียกิออกจากถ้ำแล้ว มึงรีบมาเลย แต่ตอนนี้กูว่าหน้ามอน่าจะรถติดว่ะมึง]
“อืมๆ จะรีบไป”
[ไม่เจอมึงตั้งนาน คิดถึงว่ะ]
“แต่กูไม่คิดถึงมึงเลยว่ะ”
[เอ๊า! ไอ้...]
“เพราะมึงอยู่ในใจกูตลอด”
....
[มึงอย่าหยอดด้วยน้ำเสียงตายซากแบบนั้นอีกนะ สยองสัตว์]
“มึงก็อย่าหยอดมาก่อนดิวะ คิดว่าหยอดมึงไม่สยองเลยมั้งไอ้เหี้ย แหวะๆ”
ทันทีที่ผมพูดจบประโยคก็มีเสียงตะโกนด่ากลับมาชุดใหญ่ ผมจึงหัวเราะและกดตัดสาย
หึๆ บันเทิงดีชะมัด ผมจัดการของที่จำเป็นและเดินไปหยิบรองเท้าสวมสบายๆมาใส่
ถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะทันอยู่ ภาวนาอย่าให้รถติดมากเลย ผมคิดในใจพลางหยิบกุญแจรถคันโปรดของตัวเองเดินออกจากห้องไป
“ช้า!!!!”
และนั่นก็เป็นคำพูดแรกที่ผมโดนตะโกนอัดใส่หน้าแม้จะอยู่ห่างกับผู้พูดไม่ถึงเมตรก็ตาม
ผมมองโฮซอกที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงและถลึงตามองผมอย่างคาดโทษ
“รถติด ที่จอดก็ไม่มี”
“รถติดห่าอะไรชั่วโมงกว่า!”
“รถติดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่จอดรถโว้ยที่จอดรถ!”
“เฮ้อ พวกมึงช่วยหยุดตะโกนแข่งกันได้มั้ย กูอายคน”
น้ำเสียงหงุดหงิดที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ผมกับโฮซอกหยุดการถกเถียงไว้เพียงเท่านั้นและหันไปมองคนที่นั่งถือไม้เสียบลูกชิ้นกินอยู่ที่ฟุตบาท
เฮียยุนกิใช้สายตามองผมสลับกับโฮซอกก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน
“เฮียยย ผมรีบมาแล้วจริงๆนะ”
ผมรีบส่งเสียงอ้อนคนที่มีสีหน้าหงุดหงิดเนื่องจากต้องมารอในที่ที่อากาศร้อนขนาดนี้
เฮียยุนกิพยักหน้ารับพลางยกมือขึ้นมาจับหัวผมเบาๆ ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงโวยวายของโฮซอกได้เป็นอย่างดี
“ไรวะเฮีย! ทีผมนะด่าเอาๆ”
“กูเช็ดมือมั้ยล่ะ ก็มึงหาทิชชู่ให้กูไม่ได้”
“เฮ้ย!!!”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังสนั่นขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ผมรีบยกมือขึ้นจับหัวตัวเองด้วยความตกใจ
ไอ้เฮียเอ๊ยยยย แม่งเล่นกูละ ผมจับๆคลำหัวตัวเองอย่างร้อนใจแต่ก็พบว่ามันปลอดภัยดี
เฮ้อ แม่ง ผมส่งสายตาค้อนใส่เฮียยุนกิเล็กน้อยและหันไปด่าโฮซอกที่ขำไม่เลิก
“ขำเหี้ยไรมึง”
พอมันได้ยินมันก็ยิ่งขำหนักเข้าไปใหญ่ ให้ตายสิวะ ผมควรพาเพื่อนไปตรวจสมองหรือจับส่งสวนสัตว์เลยดีวะ
เป็นบ้าเป็นบอ ในจังหวะนั้นเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมตะโกนด่าอยู่ในใจมันเลยรีบก้าวเข้ามากอดคอดึงผมให้ก้าวเดินไปตามถนนที่ข้างทางมีร้านอาหารจุบจิบที่นิสิตแต่ละคณะมาเปิดขาย
“โอ๋ๆ ไม่หงุดหงิดนะเพื่อนรัก ไปๆ ไปเดินหาของแดกดีกว่า เฮียเลี้ยงนะ”
“ใครบอกว่ากูจะเลี้ยง”
“อ่าวเฮีย ก็...”
เสียงโวยวายสลับกับเสียงเรียบนิ่งพลัดกันดังไปมาระหว่างหัวของผม
ถึงจะแอบรำคาญแต่มันก็ทำให้ผมยิ้มได้เนื่องจากไม่ได้เจอพวกเขามานานพอสมควร
เฮียยุนกิเป็นรุ่นพี่และโฮซอกก็เป็นเพื่อนสนิทของผมสมัยที่ยังเรียนอยู่ในคณะศิลปกรรมศาสตร์
ก่อนที่จะตัดสินใจเริ่มต้นใหม่และย้ายมาเรียนที่คณะบริหารธุรกิจหลังจากจบปี 1 ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตอนนี้โฮซอกเรียนอยู่ปี 3
ส่วนผมเรียนอยู่ปี 2 และเฮียยุนกิก็เรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว
ถึงจะย้ายคณะมาอยู่ถึงอีกฝั่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย
แต่พวกเราก็ยังคงติดต่อและนัดทานข้าวด้วยกันเป็นครั้งคราว ผมดีใจนะที่ยังติดต่อกันอยู่
เพราะถึงเป้าหมายในชีวิตของผมจะเปลี่ยนไป
ผมก็ยังอยากจะมีพวกเขาเป็นเพื่อนอยู่ในชีวิตอยู่ดี
ถึงแม่งจะโคตรวุ่นวายเลยก็เถอะ
“แล้วนี่นัมจุนเป็นไงบ้างวะ กูไม่เห็นมันกลับห้องมาหลายวันแล้ว”
จู่ๆคนที่กอดคอผมอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับส่งขนมปังปิ้งที่เพิ่งซื้อเมื่อกี้ไปให้เฮียยุนกิ
“มึงเป็นรูมเมทมันไม่ใช่เหรอ มาถามกูทำไมล่ะครับ”
“แต่มึงอยู่คณะเดียวกับมันหนิครับ”
“แต่กูอยู่ปี 2 มั้ยล่ะครับ
มันอยู่ปี 3 ครับ กูจะไปรู้ได้ไงล่ะครับเพื่อน”
“ก็เห็นว่าช่วงนี้รับน้อง มึงน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้าง”
“กูทำกิจกรรมที่ไหนล่ะ”
ผมหยักไหล่ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจอะไรมากนักและหันไปแย่งขนมปังปิ้งจากเฮียกิ
นัมจุนเป็นเพื่อนสนิทของโฮซอกมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วครับ
พอผมรู้จักโฮซอกก็เลยพลอยทำให้รู้จักนัมจุนไปด้วย ยิ่งผมย้ายมาอยู่คณะบริหารแถมสาขาเดียวกับนัมจุนทำให้ยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่
เมื่อไฟนอลที่ผ่านมาผมก็เพิ่งไปขอชีทจากนัมจุนมาอ่านอยู่เลย
“เสียดายหน้าหล่อๆหมด”
“ก็ถ้าไม่มาขอ กูก็ไม่โผล่ไปทำกิจกรรมหรอก จะโชว์หน้ากูกับรุ่นน้องก็มาขอดิวะ”
“หมั่นไส้พวกหล่อแล้วหยิ่ง”
พวกเราเดินคุยกันไปเรื่อยๆจนฟ้าเริ่มมืดจึงค่อยพากันเดินเข้าไปยังสนามกีฬาที่ตอนนี้ถูกจัดให้เป็นเวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่
ผมมางานแบบนี้ครั้งสุดท้ายก็น่าจะตอนซิ่วมาปี 1 บริหาร เพราะต้องผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยคิดจะมาอีกเลย
เฮียยุนกิเดินตรงไปนั่งปักหลักอยู่ริมสนามตามสไตล์คนขี้เกียจยืน โฮซอกบอกว่ามันแค่อยากจะมาดูวงร็อควงหนึ่งแสดงก็เท่านั้น
พอวงนั้นแสดงจบก็คงกลับเลย ผมก็ว่าดีเหมือนกัน ผมจะได้รีบกลับไปนอนต่อ ปวดหัวโคตรๆ
นี่ยังงงเลยว่าโฮซอกมันใช้ไม้ไหนลากเฮียยุนกิออกจากถ้ำมาเดินเล่นผจญแสงแดด
แล้วไอ้วงร็อคที่ว่านี่มันแสดงตอนไหนวะ
แม่ง...ทำไมไม่บอกว่าแสดงเกือบวงสุดท้าย
ผมที่นั่งทำหน้าบูดมาหลายชั่วโมงมองไปยังโฮซอกที่กำลังยืนแหกปากร้องเพลงอยู่ท่ามกลางฝูงชนไม่ห่างจากจุดที่ผมนั่งอยู่มากนัก
คนบ้าอะไรพลังงานเหลือเยอะฉิบหาย ตัดภาพมาเฮียกู นอนหลับตายห่าไปแล้วมั้งเนี้ย
ผมถอนหายใจพลางหันกลับมามองคนที่นอนหลับพิงไหล่ผมอยู่
โอเค ยังมีลมหายใจ เฮียยังไม่ตาย เฮ้อ...
ผมนั่งเปื่อยต่อไปอีกไม่กี่นาทีก็เห็นโฮซอกวิ่งหน้าบานกลับมาหา
มึงนี่นะ เอาเพื่อนเอาพี่มาทรมาน
“เฮียตื่น มันมาแล้ว”
ผมบอกคนที่นอนหลับอยู่พลางขยับไหล่เบาๆเพื่อเป็นการปลุก เฮียยุนกิส่งเสียงรำคาญเล็กน้อยก่อนจะปรือตาขยับตัวไปนั่งดีๆ
พอเห็นว่าเฮียตื่นแล้วผมก็หันกลับไปมองโฮซอกที่วิ่งมาหยุดยืนตรงหน้าพอดี
“ไปๆ กลับกันนนน”
“เสร็จสักทีนะไอ้เหี้ย กูไม่น่ามากับมึงเลยจริงๆ”
เฮียยุนกิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นและยกขาฟาดใส่หน้าแข้งของโฮซอกอย่างแรง
ปึก!
“โอ๊ย! เฮีย! นี่มันเครื่องมือทำมาหากินผมนะโว้ย”
“รำหน้านาคไม่ได้ก็เรื่องของมึงละ แม่ง กูง่วง!!”
“เฮียยยยยยยยย”
“กลับเหอะ กูก็อยากนอน”
ผมรีบพูดตัดบทก่อนที่โฮซอกจะโวยวายอะไรไปมากกว่านี้ คือตอนนี้มันเกือบเที่ยงคืนแล้วไง
ผมเองก็อยากรีบกลับเพราะไม่ชอบขับรถตอนมืดๆ ผมอ้าปากหาวหนึ่งทีแล้วลุกขึ้นยืนเดินตามเฮียยุนกิที่เดินนำลิ่วไปก่อนแล้ว
“แม่ง แล้วเนี่ย กูต้องมาแหวกคนอีก”
เสียงบ่นดังออกมาไม่หยุดจากคนที่ผมเดินตามหลัง ซึ่งผมก็ยกยิ้มเล็กน้อยและหันไปมองโฮซอกที่เดินอยู่ข้างๆกัน
“เฮียบ่นงุ๊งงิ๊งจังวะ”
“ตลกดี”
“แท เปิดเทอมแล้วก็นัดพวกกูกินข้าวบ้างนะ”
“อืม ถ้าว่างจะทักไป”
“ดีใจนะที่มึงกลับมาวาดรูปอีก”
“กูก็ดีใจ”
ผมส่งยิ้มให้โฮซอกก่อนที่เราทั้งคู่จะรีบเร่งฝีเท้าตามเสียงบ่นของเฮียยุนกิไป
แต่การที่จะแหวกทางเดินผ่านคนที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่ก็เป็นเรื่องลำบากพอตัว ยิ่งสำหรับคนตัวเล็กๆอย่างเฮียแล้วด้วย
อย่าคิดเลยว่าจะแหวกไปได้ง่ายๆ สุดท้ายโฮซอกก็ต้องตะโกนบอกให้เฮียยุนกิหยุดและมาเดินตามหลังผมกับมันอยู่ดี
เฮียบ่นอุบอิบตามสไตล์แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
“ถ้ามึงไม่เอาเรื่องโปรเจคมาล่อ กูไม่มากับมึงหรอกไอ้โฮซอก”
“โธ่เฮีย ออกจากถ้ำบ้างดิ”
“ถ้ำเหี้ยไร นั่นห้องกู”
เสียงบนเวทีกลับมาดังอีกครั้งซึ่งนั่นก็ทำให้เฮียยุนกิกับโฮซอกต้องตะโกนคุยกันยิ่งกว่าเดิม
ผมหันไปมองตรงเวทีอย่างสนใจเพราะเหมือนว่าผู้คนรอบตัวจะตื่นเต้นมากกว่าเดิม คงจะเป็นวงที่ดังมากล่ะมั้ง
ผมฟังแต่เพลงสากลเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่
เราสามคนพากันเดินขอทางคนไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็เกือบหลุดจากจุดที่วุ่นวาย
....
...กลิ่น...
หื้อ?!!!!
ดวงตาของผมเบิกกว้างเป็นจังหวะเดียวกับที่ขาหยุดชะงักกะทันหันจนทำให้เฮียยุนกิที่เดินตามหลังอยู่ชนเข้าอย่างจัง
ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งก่อนจะรีบหันไปมองรอบๆด้วยความรวดเร็ว
“อะไรของมึงวะแท หยุดเดินทำไม”
เฮียยุนกิถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่พอเห็นท่าทางตื่นๆของผม เฮียก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นแปลกใจทันที
“มีไรวะมึง”
“กลิ่น...”
ผมพึมพำตอบโฮซอกที่หันมาจับไหล่ถาม ผมสูดลมหายใจเข้าส่งกลิ่นที่ว่าเข้าจมูกก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อกลิ่นมันเริ่มจางหายไป
เร็วกว่าความคิด ร่างกายของผมขยับหมุนตัวเดินย้อนกลับไปเพื่อหาต้นตอของกลิ่นว่ามาจากไหน
“เฮ้ยไอ้แท!!”
เสียงเรียกจากโฮซอกดังตามหลังมาแต่ก็ไม่สามารถทำให้ผมหยุดได้ในตอนนี้
ผมหันซ้ายหันขวาพลางสูดลมหายใจเร็วขึ้น
...อยู่ไหน...
...กลิ่นนั้นอยู่ไหน...
...กลิ่นที่คุ้นเคยแบบนี้...
ปึก!
“อ๊ะ ขอโทษครับ”
เท้าของผมหยุดชะงักเมื่อดันไปเดินชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
ผมรีบคว้าแขนของเขาไว้ก่อนที่เขาจะเซจนล้มลงที่พื้น และในจังหวะนั่นเองที่จมูกของผมได้กลิ่นชัดเจนขึ้นอย่างน่าประหลาด
ผมมองบุคคลที่ผมจับแขนเอาไว้ด้วยความสงสัยก่อนจะชะงักเมื่อเขาหันหน้ามามองผม
ดวงตากลมโตที่อยู่หลังแว่นมองผมด้วยแววตาไม่พอใจและเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อได้สบตากัน
ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจก่อนจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งออกไป
“ครับ?”
อีกฝ่ายเลิกคิ้วและเอียงหัวเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าผมไม่ได้ยินที่คุณพูด
ผมพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดกับเสียงรอบตัวที่ดังเกินไปก่อนจะตัดสินใจดึงแขนที่จับอยู่เข้ามาหาตัว
ร่างของคนที่สูงน้อยกว่าผมหน่อยเซเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ผมจึงก้มลงไปพูดสิ่งที่ต้องการข้างๆใบหูของเขา
และด้วยระยะห่างที่น้อยลงนั่นเอง ผมจึงมั่นใจว่ากลิ่นมาจากคนๆนี้อย่างแน่นอน
....
“ขอโทษนะครับ ผมขอดมกลิ่นคุณหน่อยได้มั้ย?”
TALK
อ่านจบแล้วอยากทำจมูกฟุดฟิดๆ 555555
ขอบคุณทุกคนที่ตัดสินใจกดเข้ามาอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ ฝากคอมเม้นท์&จิ้มๆให้กำลังใจเค้าด้วยน้าาา
เค้าจะได้มีกำลังใจเขียนต่อไปเรื่อยๆ อยากอ่านคอมเม้นท์ทุกคนเลย
ส่วนเรื่องราวของพี่แทกับน้องกุกจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอติดตามกันต่อไปปปป /เสียงเอคโค่
ปล. หากเจอคำผิดสามารถบอกได้นะคะ ช่วยๆกันพัฒนาฟิคเรื่องนี้เนอะ
รักกกกกก
Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ (เขียนเหรอให้ถูกนะ ><)
Twitter : @yumsyou
ความคิดเห็น