ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Excuse me, Can I sniff you ? — vkook °

    ลำดับตอนที่ #1 : His Scent

    • อัปเดตล่าสุด 7 ก.ค. 62



    Chapter 1 : His Scent

     

    ครืดๆ...ครืดๆ...ครืดๆ


    เสียงจากแรงสั่นสะเทือนของโทรศัพท์ที่เสียบสายชาร์ตวางทิ้งไว้บนพื้นดังแทรกขึ้นในห้องนอนที่เงียบสงบมาตลอด 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา แต่จนแล้วจนรอดเสียงน่ารำคาญที่ว่าก็ไม่สามารถทำให้คนที่นอนกอดหมอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มขยับตัวแม้แต่น้อย


    ไม่ใช่ยังไม่ตื่น แต่ขี้เกียจลุกไปรับสายต่างหาก


    ผ่านไปสักพักเสียงน่ารำคาญก็หยุดไป อ่า...ถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี ผมคิดชมคนที่โทรมาในใจว่าดีแล้วที่หยุดโทรหาผม ผมเตรียมตัวดิ่งเข้าสู่ความสงบอีกครั้งและคงจะหลับต่อหากเสียงสั่นไม่ดังขึ้นมาอีกรอบ


    “อือ...”


    ผมส่งเสียงแสดงความไม่พอใจในลำคอก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งมุดหัวเข้าไปในผ้าห่มและกอดหมอนให้แน่นยิ่งกว่าเดิม หยุดโทรมาสักทีได้มั้ย รำคาญโว้ย! ผมตีอกชกลมในใจแต่สุดท้ายก็จำใจกระชับหมอนเน่าให้แนบอกและพลิกตัวกลิ้งให้ตกลงไปที่พื้นห้อง


    ใจเย็นครับ ผมมีแค่ฟูกวางบนพื้น เพราะฉะนั้นร่างกายไม่บุบสลายอะไร


    ผมพ่นลมหายใจบรรเทาอาการหงุดหงิดที่เกิดขึ้นก่อนจะหรี่ตาเพ่งมองไปยังโทรศัพท์ที่หน้าจอสว่างจ้า ใครแม่งโทรมาวะ ถ้าไม่มีธุระสำคัญจะด่าให้ยับเลย ผมส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อยก่อนจะขยับตัวไถไปตามพื้นห้อง และด้วยทักษะการขยับตัวบนพื้นอันดีเยี่ยมที่สั่งสมมาตั้งแต่คลอดออกจากท้องแม่ ในที่สุดผมก็สามารถใช้มือที่ยังคงมีคราบสีน้ำมันเลอะอยู่เอื้อมไปกดรับสายได้สำเร็จ


    [เฮลโหลวววววววว]


    ...เฮ้อ...ให้ตาย ไม่น่ากดรับเลยกู

    ผมก่นด่าตัวเองในใจก่อนจะทิ้งหัวซุกกอดหมอนที่หนีบติดตัวมาด้วย


    [แหนะ รู้นะว่าตื่นแล้ว ไม่ต้องมาเงียบใส่กูครับไอ้ขี้เซา]

    “อือ...มึง...”

    [จ๋าาา]

    “มึงจะโทรมาทำเหี้ยอะไรวะครับ”

    [โทรมาปลุกมึงไงครับไอ้แท มึงมีนัดกับกูนะครับ!]

    “นัดอะไรวะ”


    ผมถามเสียงขุ่นก่อนจะเอื้อมไปกดเปิดลำโพงและยันตัวลุกขึ้นนั่งด้วยสภาพที่ยังไม่ตื่นดี โทรมาขนาดนี้ผมก็ต้องตื่นแล้วมั้ยให้ตายเถอะ ปวดหัวชะมัด ผมวางคางลงบนหมอนที่กอดไว้ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้งเพราะยังไม่อยากขยับตัวไปไหนอีก


    [นัดเที่ยวงานเปิดโลกไง นี่มึงลืมเหรอคิมแทฮยอง?!]

    “ไม่ลืม แต่มันวันนี้เหรอวะ มึงจำผิดหรือเปล่า”

    [ไอ้นี่...กูจองโฮซอกนะโว้ยยยยยย กูจะจำผิดได้ไง เด็กเต็มมอไปหมดแล้วเนี้ย]

    “หือ? มึงไปมอแล้วเหรอ?”

    [เออ! ตอนนี้มันบ่ายสามกว่าแล้วไอ้เวร นี่มึงนอนกี่โมงกี่ยามวะถามจริง]


    ผมขยี้ตาตัวเองเล็กน้อยและเงยหน้าไปมองนาฬิกาเรือนใหญ่ที่แขวนไว้บนผนัง เวรกรรม บ่ายสายกว่าแล้วจริงด้วย ผมถอนหายใจออกมาเสียงดังก่อนจะชูแขนบิดขี้เกียจจนได้ยินเสียงกระดูกดังกรอบแกรบ


    “เกือบตี 5...มั้ง”

    [กูบอกแล้วใช่มั้ยว่าเลิกได้แล้วนิสัยนอนเช้าเนี่ย ไม่ต้องติดลมวาดรูปจนดึกดื่นขนาดนี้ก็ได้ ร่างกายพังหมด ถ้ามึงตายเร็วขึ้นมากูจะเดินหัวเราะรอบมอเลยไอ้เหี้ย]

    “โห้ ดีใจว่ะ เพื่อนยอมเป็นคนบ้าเดินหัวเราะรอบมอเพื่อเราเลย ซึ้งใจ จะร้องไห้”

    [สัตว์ น้ำเสียงมึงตอแหลมาก เร็วๆรีบมา ให้เฮียรอนานเดี๋ยวก็โดนด่าหรอก]

    “เฮียกิไปด้วยเหรอ? ...ฉิบหาย”

    [เออ! รีบ...]


    ติ๊ด!


    ผมตื่นเต็มตาทันทีเมื่อได้รู้ว่านอกจากโฮซอกแล้วยังมีเฮียยุนกิอยู่ในนัดครั้งนี้อีกด้วย แม่งเอ๊ย ทำไมไม่รีบบอกวะ คนนั้นปล่อยให้รอนานได้ที่ไหน ผมบ่นอุบอิบก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน ผมโยนหมอนเน่ากลับไปไว้บนเตียงแล้วจึงรีบพุ่งตัวไปยังห้องน้ำ


    โฮซอกนี่ก็ไม่รู้นึกบ้าอะไรขึ้นมาถึงชวนผมไปงานเปิดโลกของมหาวิทยาลัย ทั้งๆที่ปีก่อนๆก็ไม่เคยคิดจะไปงานที่แม่งมีแต่เด็กปี 1 เป็นส่วนใหญ่เลยแท้ๆ อยากไปก็ไปเองสิวะ ทำไมต้องมาชวนแกมบังคับให้ผมไปด้วยก็ไม่รู้ อีกหนึ่งอาทิตย์ก็เปิดเรียนแล้ว ผมก็อยากอยู่บ้านวาดรูปมั้ย เฮ้อ ชีวิต


    ผมใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินออกมาจากห้องน้ำพร้อมกับเอาผ้าขนหนูเช็ดผมสีน้ำตาลที่เพิ่งย้อมมาเมื่อเดือนก่อน ไม่สิ จำใจย้อม และคนที่ย้อมให้ก็ไม่ใช่ช่างทำผมที่ไหนหรอกครับ


    ไอ้คนที่โทรมาปลุกผมเมื่อครู่นั่นแหละครับคนย้อม จู่ๆก็เป็นเหี้ยไรไม่รู้ ขับรถมาหาผมพร้อมกับแบกสีย้อมผมประมาณสิบกว่ากล่องมาด้วย มันบอกว่าอยากย้อมผมให้ ไอ้เราก็ตกใจเลยถามมันไปว่าทำไม และคนอย่างไอ้โฮซอกก็ตอบกลับมาว่า


    อ๋อ กูดูยูทูปที่คนย้อมผมสีรุ้งแล้วอิน กูเลยอยากลองทำบ้าง


    ห่า แล้วผมต้องยอมย้อมผมสีรุ้งเพื่อให้มันเปิดประสบการณ์ใหม่ในชีวิตมั้ย? ก็ไม่ไง! ใครจะไปยอมทำวะ! สุดท้ายหลังจากตบตีกันอยู่นาน ผมก็จำใจยอมให้มันย้อมสีน้ำตาลให้ เฮ้อ เจอกันครึ่งทางดีกว่าให้มันสร้างงานศิลปะจากสีย้อมสิบกว่ากล่องไว้บนผนังห้องผมล่ะนะ


    มีเพื่อนแบบนี้ถือว่าเป็นการสร้างบุญหรือชดใช้กรรมวะ


    หลังจากเช็ดและเป่าจนผมแห้งได้ที่ ผมก็เดินไปหยิบเสื้อเชิ้ตตัวใหญ่สีขาวกับกางเกงพอดีตัวมาใส่ก่อนจะตามด้วยข้อมือและแหวนสารพัด ผมเป็นคนชอบแต่งตัวครับ ชอบมากกกกก อาจจะเพราะตอนเด็กๆโดนพ่อกับแม่ยัดเสื้อผ้าคูลๆใส่บ่อยก็เป็นได้


    ครืดๆ


    “กำลังจะออกแล้ว”


    ผมรีบกดรับและตอบโฮซอกที่โทรมาอีกรอบอย่างรู้งาน


    [เหมือนรู้อะว่ากูโทรมาเร่ง]

    “ฉลาดไง”

    [เออๆ เฮียกิออกจากถ้ำแล้ว มึงรีบมาเลย แต่ตอนนี้กูว่าหน้ามอน่าจะรถติดว่ะมึง]

    “อืมๆ จะรีบไป”

    [ไม่เจอมึงตั้งนาน คิดถึงว่ะ]

    “แต่กูไม่คิดถึงมึงเลยว่ะ”

    [เอ๊า! ไอ้...]

    “เพราะมึงอยู่ในใจกูตลอด”

    ....

    [มึงอย่าหยอดด้วยน้ำเสียงตายซากแบบนั้นอีกนะ สยองสัตว์]

    “มึงก็อย่าหยอดมาก่อนดิวะ คิดว่าหยอดมึงไม่สยองเลยมั้งไอ้เหี้ย แหวะๆ”


    ทันทีที่ผมพูดจบประโยคก็มีเสียงตะโกนด่ากลับมาชุดใหญ่ ผมจึงหัวเราะและกดตัดสาย หึๆ บันเทิงดีชะมัด ผมจัดการของที่จำเป็นและเดินไปหยิบรองเท้าสวมสบายๆมาใส่ ถ้ารีบไปตอนนี้ก็น่าจะทันอยู่ ภาวนาอย่าให้รถติดมากเลย ผมคิดในใจพลางหยิบกุญแจรถคันโปรดของตัวเองเดินออกจากห้องไป

     


    “ช้า!!!!


    และนั่นก็เป็นคำพูดแรกที่ผมโดนตะโกนอัดใส่หน้าแม้จะอยู่ห่างกับผู้พูดไม่ถึงเมตรก็ตาม ผมมองโฮซอกที่ยืนทำหน้าบึ้งตึงและถลึงตามองผมอย่างคาดโทษ


    “รถติด ที่จอดก็ไม่มี”

    “รถติดห่าอะไรชั่วโมงกว่า!

    “รถติดน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ที่จอดรถโว้ยที่จอดรถ!

    “เฮ้อ พวกมึงช่วยหยุดตะโกนแข่งกันได้มั้ย กูอายคน”


    น้ำเสียงหงุดหงิดที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้ผมกับโฮซอกหยุดการถกเถียงไว้เพียงเท่านั้นและหันไปมองคนที่นั่งถือไม้เสียบลูกชิ้นกินอยู่ที่ฟุตบาท เฮียยุนกิใช้สายตามองผมสลับกับโฮซอกก่อนจะส่ายหัวเล็กน้อยและลุกขึ้นยืน


    “เฮียยย ผมรีบมาแล้วจริงๆนะ”


    ผมรีบส่งเสียงอ้อนคนที่มีสีหน้าหงุดหงิดเนื่องจากต้องมารอในที่ที่อากาศร้อนขนาดนี้ เฮียยุนกิพยักหน้ารับพลางยกมือขึ้นมาจับหัวผมเบาๆ ซึ่งนั่นก็เรียกเสียงโวยวายของโฮซอกได้เป็นอย่างดี


    “ไรวะเฮีย! ทีผมนะด่าเอาๆ”

    “กูเช็ดมือมั้ยล่ะ ก็มึงหาทิชชู่ให้กูไม่ได้”

    “เฮ้ย!!!

    “ฮ่าๆๆๆๆๆ”


    เสียงหัวเราะดังสนั่นขึ้นในจังหวะเดียวกับที่ผมรีบยกมือขึ้นจับหัวตัวเองด้วยความตกใจ ไอ้เฮียเอ๊ยยยย แม่งเล่นกูละ ผมจับๆคลำหัวตัวเองอย่างร้อนใจแต่ก็พบว่ามันปลอดภัยดี เฮ้อ แม่ง ผมส่งสายตาค้อนใส่เฮียยุนกิเล็กน้อยและหันไปด่าโฮซอกที่ขำไม่เลิก


    “ขำเหี้ยไรมึง”


    พอมันได้ยินมันก็ยิ่งขำหนักเข้าไปใหญ่ ให้ตายสิวะ ผมควรพาเพื่อนไปตรวจสมองหรือจับส่งสวนสัตว์เลยดีวะ เป็นบ้าเป็นบอ ในจังหวะนั้นเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ว่าผมตะโกนด่าอยู่ในใจมันเลยรีบก้าวเข้ามากอดคอดึงผมให้ก้าวเดินไปตามถนนที่ข้างทางมีร้านอาหารจุบจิบที่นิสิตแต่ละคณะมาเปิดขาย


    “โอ๋ๆ ไม่หงุดหงิดนะเพื่อนรัก ไปๆ ไปเดินหาของแดกดีกว่า เฮียเลี้ยงนะ”

    “ใครบอกว่ากูจะเลี้ยง”

    “อ่าวเฮีย ก็...”


    เสียงโวยวายสลับกับเสียงเรียบนิ่งพลัดกันดังไปมาระหว่างหัวของผม ถึงจะแอบรำคาญแต่มันก็ทำให้ผมยิ้มได้เนื่องจากไม่ได้เจอพวกเขามานานพอสมควร


    เฮียยุนกิเป็นรุ่นพี่และโฮซอกก็เป็นเพื่อนสนิทของผมสมัยที่ยังเรียนอยู่ในคณะศิลปกรรมศาสตร์ ก่อนที่จะตัดสินใจเริ่มต้นใหม่และย้ายมาเรียนที่คณะบริหารธุรกิจหลังจากจบปี 1 ด้วยเหตุนี้เองทำให้ตอนนี้โฮซอกเรียนอยู่ปี 3 ส่วนผมเรียนอยู่ปี 2 และเฮียยุนกิก็เรียนอยู่ปีสุดท้ายแล้ว


    ถึงจะย้ายคณะมาอยู่ถึงอีกฝั่งหนึ่งของมหาวิทยาลัย แต่พวกเราก็ยังคงติดต่อและนัดทานข้าวด้วยกันเป็นครั้งคราว ผมดีใจนะที่ยังติดต่อกันอยู่ เพราะถึงเป้าหมายในชีวิตของผมจะเปลี่ยนไป ผมก็ยังอยากจะมีพวกเขาเป็นเพื่อนอยู่ในชีวิตอยู่ดี


    ถึงแม่งจะโคตรวุ่นวายเลยก็เถอะ


    “แล้วนี่นัมจุนเป็นไงบ้างวะ กูไม่เห็นมันกลับห้องมาหลายวันแล้ว”


    จู่ๆคนที่กอดคอผมอยู่ก็เอ่ยถามขึ้นพร้อมกับส่งขนมปังปิ้งที่เพิ่งซื้อเมื่อกี้ไปให้เฮียยุนกิ


    “มึงเป็นรูมเมทมันไม่ใช่เหรอ มาถามกูทำไมล่ะครับ”

    “แต่มึงอยู่คณะเดียวกับมันหนิครับ”

    “แต่กูอยู่ปี 2 มั้ยล่ะครับ มันอยู่ปี 3 ครับ กูจะไปรู้ได้ไงล่ะครับเพื่อน”

    “ก็เห็นว่าช่วงนี้รับน้อง มึงน่าจะรู้เรื่องอะไรบ้าง”

    “กูทำกิจกรรมที่ไหนล่ะ”


    ผมหยักไหล่ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจอะไรมากนักและหันไปแย่งขนมปังปิ้งจากเฮียกิ นัมจุนเป็นเพื่อนสนิทของโฮซอกมาตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วครับ พอผมรู้จักโฮซอกก็เลยพลอยทำให้รู้จักนัมจุนไปด้วย ยิ่งผมย้ายมาอยู่คณะบริหารแถมสาขาเดียวกับนัมจุนทำให้ยิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่ เมื่อไฟนอลที่ผ่านมาผมก็เพิ่งไปขอชีทจากนัมจุนมาอ่านอยู่เลย


    “เสียดายหน้าหล่อๆหมด”

    “ก็ถ้าไม่มาขอ กูก็ไม่โผล่ไปทำกิจกรรมหรอก จะโชว์หน้ากูกับรุ่นน้องก็มาขอดิวะ”

    “หมั่นไส้พวกหล่อแล้วหยิ่ง”


    พวกเราเดินคุยกันไปเรื่อยๆจนฟ้าเริ่มมืดจึงค่อยพากันเดินเข้าไปยังสนามกีฬาที่ตอนนี้ถูกจัดให้เป็นเวทีคอนเสิร์ตขนาดใหญ่ ผมมางานแบบนี้ครั้งสุดท้ายก็น่าจะตอนซิ่วมาปี 1 บริหาร เพราะต้องผูกมิตรกับเพื่อนใหม่ หลังจากนั้นก็ไม่เคยคิดจะมาอีกเลย


    เฮียยุนกิเดินตรงไปนั่งปักหลักอยู่ริมสนามตามสไตล์คนขี้เกียจยืน โฮซอกบอกว่ามันแค่อยากจะมาดูวงร็อควงหนึ่งแสดงก็เท่านั้น พอวงนั้นแสดงจบก็คงกลับเลย ผมก็ว่าดีเหมือนกัน ผมจะได้รีบกลับไปนอนต่อ ปวดหัวโคตรๆ นี่ยังงงเลยว่าโฮซอกมันใช้ไม้ไหนลากเฮียยุนกิออกจากถ้ำมาเดินเล่นผจญแสงแดด


    แล้วไอ้วงร็อคที่ว่านี่มันแสดงตอนไหนวะ

     


    แม่ง...ทำไมไม่บอกว่าแสดงเกือบวงสุดท้าย


    ผมที่นั่งทำหน้าบูดมาหลายชั่วโมงมองไปยังโฮซอกที่กำลังยืนแหกปากร้องเพลงอยู่ท่ามกลางฝูงชนไม่ห่างจากจุดที่ผมนั่งอยู่มากนัก คนบ้าอะไรพลังงานเหลือเยอะฉิบหาย ตัดภาพมาเฮียกู นอนหลับตายห่าไปแล้วมั้งเนี้ย ผมถอนหายใจพลางหันกลับมามองคนที่นอนหลับพิงไหล่ผมอยู่


    โอเค ยังมีลมหายใจ เฮียยังไม่ตาย เฮ้อ...


    ผมนั่งเปื่อยต่อไปอีกไม่กี่นาทีก็เห็นโฮซอกวิ่งหน้าบานกลับมาหา มึงนี่นะ เอาเพื่อนเอาพี่มาทรมาน


    “เฮียตื่น มันมาแล้ว”


    ผมบอกคนที่นอนหลับอยู่พลางขยับไหล่เบาๆเพื่อเป็นการปลุก เฮียยุนกิส่งเสียงรำคาญเล็กน้อยก่อนจะปรือตาขยับตัวไปนั่งดีๆ พอเห็นว่าเฮียตื่นแล้วผมก็หันกลับไปมองโฮซอกที่วิ่งมาหยุดยืนตรงหน้าพอดี


    “ไปๆ กลับกันนนน”

    “เสร็จสักทีนะไอ้เหี้ย กูไม่น่ามากับมึงเลยจริงๆ”


    เฮียยุนกิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่โคตรจะหงุดหงิดก่อนจะลุกขึ้นและยกขาฟาดใส่หน้าแข้งของโฮซอกอย่างแรง


    ปึก!


    “โอ๊ย! เฮีย! นี่มันเครื่องมือทำมาหากินผมนะโว้ย”

    “รำหน้านาคไม่ได้ก็เรื่องของมึงละ แม่ง กูง่วง!!

    “เฮียยยยยยยยย”

    “กลับเหอะ กูก็อยากนอน”


    ผมรีบพูดตัดบทก่อนที่โฮซอกจะโวยวายอะไรไปมากกว่านี้ คือตอนนี้มันเกือบเที่ยงคืนแล้วไง ผมเองก็อยากรีบกลับเพราะไม่ชอบขับรถตอนมืดๆ ผมอ้าปากหาวหนึ่งทีแล้วลุกขึ้นยืนเดินตามเฮียยุนกิที่เดินนำลิ่วไปก่อนแล้ว


    “แม่ง แล้วเนี่ย กูต้องมาแหวกคนอีก”


    เสียงบ่นดังออกมาไม่หยุดจากคนที่ผมเดินตามหลัง ซึ่งผมก็ยกยิ้มเล็กน้อยและหันไปมองโฮซอกที่เดินอยู่ข้างๆกัน


    “เฮียบ่นงุ๊งงิ๊งจังวะ”

    “ตลกดี”

    “แท เปิดเทอมแล้วก็นัดพวกกูกินข้าวบ้างนะ”

    “อืม ถ้าว่างจะทักไป”

    “ดีใจนะที่มึงกลับมาวาดรูปอีก”

    “กูก็ดีใจ”


    ผมส่งยิ้มให้โฮซอกก่อนที่เราทั้งคู่จะรีบเร่งฝีเท้าตามเสียงบ่นของเฮียยุนกิไป แต่การที่จะแหวกทางเดินผ่านคนที่ยืนเบียดเสียดกันอยู่ก็เป็นเรื่องลำบากพอตัว ยิ่งสำหรับคนตัวเล็กๆอย่างเฮียแล้วด้วย อย่าคิดเลยว่าจะแหวกไปได้ง่ายๆ สุดท้ายโฮซอกก็ต้องตะโกนบอกให้เฮียยุนกิหยุดและมาเดินตามหลังผมกับมันอยู่ดี เฮียบ่นอุบอิบตามสไตล์แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร


    “ถ้ามึงไม่เอาเรื่องโปรเจคมาล่อ กูไม่มากับมึงหรอกไอ้โฮซอก”

    “โธ่เฮีย ออกจากถ้ำบ้างดิ”

    “ถ้ำเหี้ยไร นั่นห้องกู”


    เสียงบนเวทีกลับมาดังอีกครั้งซึ่งนั่นก็ทำให้เฮียยุนกิกับโฮซอกต้องตะโกนคุยกันยิ่งกว่าเดิม ผมหันไปมองตรงเวทีอย่างสนใจเพราะเหมือนว่าผู้คนรอบตัวจะตื่นเต้นมากกว่าเดิม คงจะเป็นวงที่ดังมากล่ะมั้ง ผมฟังแต่เพลงสากลเลยไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่


    เราสามคนพากันเดินขอทางคนไปเรื่อยๆจนในที่สุดก็เกือบหลุดจากจุดที่วุ่นวาย

    ....

    ...กลิ่น...


    หื้อ?!!!!


    ดวงตาของผมเบิกกว้างเป็นจังหวะเดียวกับที่ขาหยุดชะงักกะทันหันจนทำให้เฮียยุนกิที่เดินตามหลังอยู่ชนเข้าอย่างจัง ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งก่อนจะรีบหันไปมองรอบๆด้วยความรวดเร็ว


    “อะไรของมึงวะแท หยุดเดินทำไม”


    เฮียยุนกิถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดแต่พอเห็นท่าทางตื่นๆของผม เฮียก็เปลี่ยนสีหน้าเป็นแปลกใจทันที


    “มีไรวะมึง”

    “กลิ่น...”


    ผมพึมพำตอบโฮซอกที่หันมาจับไหล่ถาม ผมสูดลมหายใจเข้าส่งกลิ่นที่ว่าเข้าจมูกก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อกลิ่นมันเริ่มจางหายไป เร็วกว่าความคิด ร่างกายของผมขยับหมุนตัวเดินย้อนกลับไปเพื่อหาต้นตอของกลิ่นว่ามาจากไหน


    “เฮ้ยไอ้แท!!


    เสียงเรียกจากโฮซอกดังตามหลังมาแต่ก็ไม่สามารถทำให้ผมหยุดได้ในตอนนี้ ผมหันซ้ายหันขวาพลางสูดลมหายใจเร็วขึ้น


    ...อยู่ไหน...

    ...กลิ่นนั้นอยู่ไหน...

    ...กลิ่นที่คุ้นเคยแบบนี้...


    ปึก!


    “อ๊ะ ขอโทษครับ”


    เท้าของผมหยุดชะงักเมื่อดันไปเดินชนใครคนหนึ่งเข้าอย่างจัง ผมรีบคว้าแขนของเขาไว้ก่อนที่เขาจะเซจนล้มลงที่พื้น และในจังหวะนั่นเองที่จมูกของผมได้กลิ่นชัดเจนขึ้นอย่างน่าประหลาด


    ผมมองบุคคลที่ผมจับแขนเอาไว้ด้วยความสงสัยก่อนจะชะงักเมื่อเขาหันหน้ามามองผม ดวงตากลมโตที่อยู่หลังแว่นมองผมด้วยแววตาไม่พอใจและเปลี่ยนเป็นแปลกใจเมื่อได้สบตากัน ผมสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจก่อนจะเอ่ยปากพูดบางสิ่งออกไป


    “ครับ?”

    อีกฝ่ายเลิกคิ้วและเอียงหัวเล็กน้อยเหมือนจะบอกว่าผมไม่ได้ยินที่คุณพูด ผมพ่นลมหายใจด้วยความหงุดหงิดกับเสียงรอบตัวที่ดังเกินไปก่อนจะตัดสินใจดึงแขนที่จับอยู่เข้ามาหาตัว ร่างของคนที่สูงน้อยกว่าผมหน่อยเซเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ผมจึงก้มลงไปพูดสิ่งที่ต้องการข้างๆใบหูของเขา


    และด้วยระยะห่างที่น้อยลงนั่นเอง ผมจึงมั่นใจว่ากลิ่นมาจากคนๆนี้อย่างแน่นอน


    ....


    “ขอโทษนะครับ ผมขอดมกลิ่นคุณหน่อยได้มั้ย?”

     

     

     


    TALK

     

    อ่านจบแล้วอยากทำจมูกฟุดฟิดๆ 555555

    ขอบคุณทุกคนที่ตัดสินใจกดเข้ามาอ่านฟิคเรื่องนี้นะคะ ฝากคอมเม้นท์&จิ้มๆให้กำลังใจเค้าด้วยน้าาา เค้าจะได้มีกำลังใจเขียนต่อไปเรื่อยๆ อยากอ่านคอมเม้นท์ทุกคนเลย ส่วนเรื่องราวของพี่แทกับน้องกุกจะเป็นอย่างไรก็ต้องรอติดตามกันต่อไปปปป /เสียงเอคโค่

    ปล. หากเจอคำผิดสามารถบอกได้นะคะ ช่วยๆกันพัฒนาฟิคเรื่องนี้เนอะ รักกกกกก

     

    Hashtag : #พี่เป็นหมาเหรอครับ (เขียนเหรอให้ถูกนะ ><)

    Twitter : @yumsyou


     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×