ตอนที่ 15 : ตอนที่ 14 พิสูจน์รัก
ทางด้านท่านบดินทร์ตอนนี้กำลังเดือดร้อนหนักเมื่อตำรวจตามจับลูกน้องที่ส่งยาให้ลูกค้า ยิ่งลูกน้องคนสนิทอย่างสัตยาโดนจับคาของที่ส่ง อยากจะรู้นักว่าข่าวมันเล็ดลอดออกไปได้ยังไงกัน
“บัดซบที่สุด! พวกตำรวจมันรู้ได้ยังไงว่าเราจะส่งยาแต่ละล็อตวันไหนใครอธิบายให้ฉันฟังได้บ้างฮะ” ท่านบดินทร์มองหน้าลูกน้องแต่ละคนอย่างโกรธกรุ่น
“เอ่อ ท่านครับ ผมคิดว่าเราคงมีหนอนบ่อนไส้ครับ” ลูกน้องคนหนึ่งที่ยืนตัวสั่นอยู่ใกล้ๆพูดขึ้นมาเสียงเบาอย่างหวาดกลัว
เพี๊ยะ
“ไอ้โง่! มันก็ต้องมีหนอนบ่อนไส้อยู่แล้ว โดนจับเกือบทุกล็อตขนาดนี้” บดินทร์พูดอย่างโมโห เขาพยายามคิดว่าเขารับใครเข้ามาทำงานใหม่บ้าง
“ผมจะให้ลูกน้องไปตามจับมันมาให้ท่านให้ได้ครับ” ลูกน้องคนเดิมพูดเสียงสั่นๆเพราะหากเขายังอยากมีชีวตอยู่ล่ะก็... เขาต้องจับหน่อนตัวนั้นให้ได้โดยเร็ว
“ก็ไปสิ ยืนอยู่ทำไมหรืออยากโดนตบอีก” บดินทร์ยกมือขึ้น ลูกน้องโค้งหัวให้และรีบวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
ท่านบดินทร์มองลูกน้องแต่ละคนแล้วถอนหายใจแรงๆอย่างเบื่อหน่าย ใครกันนะที่มันกล้ามาลูบคมคนอย่างเขา ถ้าจับได้มันตายแน่
“พ่อครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” วรเวชเดินเข้ามาถามบิดา เขาได้ยินเสียงพ่อของเขาดุด่าลูกน้องดังลั่นไปทั่วบ้านจึงเดินเข้ามาไถ่ถาม
“ไม่มีอะไรหรอกต้น วันนี้เรียนหนักมั้ยลูก ไปนั่งคุยกับพ่อที่ห้องดูหนังดีกว่านะ” บดินทร์เปลี่ยนโหมดอารมณ์ทันทีที่เจอหน้าลูกชาย เขาไม่เคยให้ลูกชายรับรู้เรื่องงานที่เขาทำเลย ตอนนี้เขาชักกลัวลูกชายคนนี้จะไม่เหลือสมบัติอะไรหากเขาพลาดถูกจับได้ เมื่อคิดได้อย่างนั้น บดินทร์จึงพูดกับลูกชายสุดที่รักอย่างจริงจังและวางแผนในอนาคตให้ลูกชายคนเดียวของเขาได้มีสมบัติติดตัว
“ต้น พ่ออยากให้ต้นเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของแม่นะ”
“ทำไมล่ะครับพ่อ”
“ไม่ต้องถามหรอก รู้แค่ว่ามันจะดีสำหรับลูก พรุ่งนี้พ่อจะให้ทนายจัดการให้นะ”
“ก็ได้ครับ ผมไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะครับพ่อ” วรเวชเดินขึ้นไปบนห้องนอน ทำไมเขาจะไม่รู้ว่าพ่อของเขาทำงานอะไรแต่หากพูดออกไปพ่อก็ไม่มีวันหยุด อีกอย่างตอนนี้ตำรวจก็ไล่จี้พ่อของเขา ถ้าเขาเปลี่ยนนามสกุลก็ดีเหมือนกัน เงินที่เขาจะได้จากพ่อมันสามารถอ้างอิงได้และอาจไม่โดนยึด หากพ่อถูกจับอย่างน้อยเขาก็ดำเนินชีวิตอยู่ต่อไปได้ ไม่ใช่ไม่ห่วงพ่อแต่เพราะสายเกินไปแล้วต่างหาก เขาต้องหาทางอยู่รอดของตัวเอง ความฝันที่จะเป็นหมอไม่อาจทิ้งได้เขาอยากทำความฝันให้เป็นจริง
นรากรกับภาวิณีตั้งแต่ที่ตกลงพิสูจน์ความรักเพื่อให้คุณมณียอมรับ ทั้งสองได้ทำโครงการบ้านจัดสรร ออกแนวบ้านในฝันและอยู่กลางกรุง โครงการนี้คุณณรงค์ให้นรากรเป็นผู้บริหารงาน ทั้งสองสาวช่วยกันจัดการและโปรโมท ทำแผนโฆษณาต่างๆทำให้โครงการขายไปได้กว่าครึ่ง งานสังคมสงเคราะห์ทั้งสองสาวก็ออกด้วยกันบ่อยครั้ง โดยเฉพาะงานการกุศลที่เกี่ยวกับเด็กด้อยโอกาสและเด็กพิการตั้งแต่กำเนิด
“เหนื่อยมั้ยฝน คืนนี้เราต้องขึ้นไปร้องเพลงคู่กันอีกนะ”
“สบายอยู่แล้ว เพื่อเด็กๆฝนทำได้ค่ะ” ภาวิณีส่งยิ้มหวานให้คนรักได้อุ่นใจ
“เด็กๆกลุ่มนี้น่าสงสารนะ เราเกิดมาร่ำรวยมากขนาดนี้ แบ่งน้องๆบ้างคงไม่ทำให้เราจนลงหรอก จริงมั้ย” นรากรพูดให้คนรักคลายกังวล เธอดูจากสีหน้าก็รู้แล้วว่าคนรักกำลังประหม่ากับการร้องเพลงคู่ที่ใกล้จะถึงคิวของพวกเธอ
“จริงค่ะ เราไปเตรียมตัวหลังเวทีกันดีกว่านะคะ ได้กำลังใจแล้วล่ะ”
“ไปสิ” ทั้งสองสาวส่งยิ้มให้กัน จับมือกันเดินไปอย่างมีความสุข
นรากรร้องเพลงคู่กับภาวิณี บรรดาช่างภาพ นักข่าวต่างถ่ายรูปของทั้งสองเอาไว้เยอะแยะในฐานะนักธุรกิจใจบุญและความรักของทั้งสองสาวที่สื่อออกมาเด่นชัดทำให้ใครต่อใครยิ่งชื่นชมพวกเธอที่กล้าเปิดเผยสถานะอย่างชัดเจน คุณมณีและภานุวัจน์พี่ ชายของภาวิณีมาร่วมงานนี้ด้วย ชายหนุ่มได้แต่ยุยงให้ผู้เป็นแม่เกลียดน้องสาว เพราะไม่ว่าจะทำอะไรภาวิณีจะเก่งกว่าเขาไปหมดทุกด้าน ทั้งๆที่เขาเป็นพี่ชายแต่กลับถูกคนอื่นเปรียบเทียบกับน้องสาวมาโดยตลอด ความอิจฉาจึงก่อเกิดเป็นความเกลียดชัง
“แม่ครับดูนั่นสิ ไม่อายกันบ้างหรือไงควงกันอย่างนี้” ภานุวัจน์พูดดูถูกน้องสาวในไส้และเบ้ปากอย่างเหยียดหยาม
“ปล่อยพวกเขาไปเถอะลูก แม่ไม่อยากสนใจ ไปทางนู้นกันดีกว่า แม่จะไปทักทายคุณหญิงดารณีนุชสักหน่อย” คุณมณีทำเป็นไม่เห็นทั้งสองสาว ทั้งๆที่ในใจร่ำร้องอยากกอดลูกสาวคนเล็กอยู่ไม่น้อย
“ครับคุณแม่ ผมก็ไม่อยากอยู่ตรงนี้นานๆ อายคนเขาครับ” สองแม่ลูกเดินออกไปทางอื่น นรากรกับภาวิณีได้แต่มองตามหลังของทั้งสองคนเท่านั้น
“คุณแม่คงเกลียดฝนแล้วจริงๆ ดูท่าทางพี่น้ำจะยุคุณแม่ใหญ่เลยค่ะ” ภาวิณีมองหน้าคนรัก น้ำตาเธอกำลังจะไหลออกมาจากความน้อยใจ
“ไม่เป็นไรนะ ดิวจะอยู่ข้างๆฝน เราต้องผ่านมันไปให้ได้ค่ะ” นรากรยิ้มอ่อนโยนให้คนรักและลูบแขนบางเบาๆเป็นเชิงปลอบใจ แม้เธอจะเสียใจไม่น้อยกับการกระทำที่ดูเหยียดหยามของทั้งสองแต่เธอต้องอดทนเอาไว้เพื่อคนที่เธอรักหมดใจคนนี้
“ค่ะ แต่ตอนนี้เราคงต้องกลับกันก่อนแล้วล่ะค่ะ งานใกล้เลิกแล้วล่ะ”
“ป่ะ กลับบ้านเรากันนะ” นรากรโอบเอวคนรักเดินออกไป แม้จะมีสายตาของคุณมณีมองอยู่ก็ตามแต่ความรักของทั้งสองก็ไม่คิดปิดบังอะไรใครอยู่แล้ว
ห้องอาหารโรงแรมสุดหรู พีรยุทธพานริสราแฟนสาวมาทานอาหารมื้อค่ำกันสองต่อสอง นานๆจะมีโอกาสอยู่ด้วยกันแบบนี้สักที ทั้งสองไม่ค่อยได้มาสวีทหวานกันแบบนี้เท่าไหร่นั่นเพราะชายหนุ่มมีงานรัดตัวจนดิ้นไปไหนไม่ได้ พีรยุทธมองใบหน้าสวยของคนรักอย่างแสนรัก เขาตกหลุมรักผู้หญิงที่นั่งตรงนี้ได้ทุกวัน ทุกวัน ไม่รู้เพราะอะไรสิน่า รู้แต่ว่ารักมาก อยากทะนุถนอมเธอเอาไว้ในอ้อมกอดของเขาเพียงคนเดียว
“คุณแม่จะไปสู่ขอดรีมให้ผมแล้วนะครับ ดรีมไม่ว่าอะไรใช่มั้ยที่ผมตัดสินใจเร็วไปหน่อยแล้วไม่ปรึกษาดรีมก่อน” พีรยุทธยิ้มกริ่ม นริสราได้แต่ยิ้มเขินจนหน้าแดง
“ไม่ว่าค่ะ เราจะได้อยู่ด้วยกันสักทีนะคะ รู้มั้ยว่าเดือนๆหนึ่งเราเจอหน้ากันนับครั้งได้เลย” นริสราย่นจมูกใส่คนรักที่ทุ่มเทกับการทำงานมากจนเกินไป
“คนดีของผมอย่างอนเลยนะ ผมพยายามทำให้เราได้อยู่ด้วยกันอยู่นี่ไงครับ ผมก็คิดถึงดรีมจะแย่” พีรยุทธส่งยิ้มหวานเอาใจคนขี้งอน
“ขอบคุณนะคะ ขอบคุณที่พีซื่อสัตย์กับดรีมมาตลอด ขอบคุณที่ดูแลกันเป็นอย่างดีนะคะ” นริสราส่งยิ้มหวานกลับคืนให้คนรักอย่างขอบคุณ
“ผมยินดีครับ ผู้หญิงที่ผมอยากให้มาเป็นแม่ของลูกผมก็คือดรีมคนเดียว คนที่ผมอยากอยู่ด้วยตลอดชีวิตจนกว่าผมจะหมดลมหายใจมีเพียงดรีมนะครับ”
“ดรีมก็เหมือนกันค่ะ ดรีมรักพีนะคะ” นริสรายิ้มหวานให้คนรัก เธอซาบซึ้งใจที่คนตรงหน้ารักเธอมากมายเหลือเกิน
“ผมก็รักดรีมครับ รักตั้งแต่แรกที่เจอกันจนทุกวันนี้หัวใจของผมเป็นของดรีมเพียงคนเดียวนะครับ”
“ปากหวานจังเลยนะคะ แต่ดรีมชอบให้พีปากหวานกับดรีมค่ะ น่ารักดี”
“ชิมดูมั้ยที่รัก ยังหวานเหมือนเดิมที่เพิ่มเติมคือความรักนะครับ”
“แหวะ! มุกเสี่ยวมากค่ะ แต่ชอบ อิอิ”
ทั้งสองยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ชีวิตครอบครัวที่เคยใฝ่ฝันของหนุ่มสาวคู่นี้กำลังจะเป็นจริงในไม่ช้านี้ ความรักที่บ่มเพาะมานาน ความเข้าใจที่มีให้แก่กันแม้ในบางครั้งความคิดความอ่านอาจขัดกันบ้าง หากจูนเข้าหากันและปรับตัวเข้าหากัน ความรักไม่มีวันแตกหักไปได้ด้วยบุคคลอื่นที่ต้องการยุยงแย่งชิง
สองอาทิตย์ต่อมาพิมพิกาได้รับอนุญาตให้ไปพักฟื้นต่อที่บ้าน เนื่องจากบาดแผลที่อักเสบดีขึ้นมากแล้ว นรีกานต์จึงโทรให้คนขับรถที่บ้านมารับพวกเธอ
พอรถขับเคลื่อนเข้ามาในคฤหาสน์ นรีกานต์ก็เห็นนรากรและภาวิณียืนอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อรถจอดสนิทร่างบางรีบเดินไปช่วยพยุงร่างสูงออกมาจากรถ
“เป็นไงบ้างคะคุณพิม เจ็บแผลอยู่มั้ยคะ” นรากรเอ่ยถามพิมพิกาอย่างห่วงใย
“ไม่ค่อยเจ็บแล้วค่ะ แค่ต้องมั่นล้างแผลบ่อยๆ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงค่ะ” พิมพิกาส่งยิ้มให้นรากร ตั้งแต่เรื่องความรักของเธอเปิดเผยนรากรก็พยายามขัดขว้างมีเพียงภาวิณีเท่านั้นที่คอยช่วยเหลือ นริสราก็ยอมรับฐานะของเธอแล้วด้วย
“ดีแล้วล่ะ มาเหนื่อยๆไปพักก่อนเถอะ ดิวเข้าบ้านก่อนค่ะ” ภาวิณีควงแขนนรากรและกำลังจะหันหลังเข้าบ้าน นรีกานต์ก็เรียกเอาไว้ซะก่อน
“พี่ดิวคะ ให้พี่พิมนอนห้องเดียร์ได้มั้ยคะ เอ่อ...คือเดียร์ต้องคอยดูแลพี่พิมค่ะ” นรีกานต์มองใบหน้านรากรอย่างลุ้นๆแอบกลืนน้ำลายเล็กน้อย สีหน้าของนรากรไม่บอกอะไรเลยนอกจากเรียบนิ่ง
“ตามใจสิคะ แฟนน้องเดียร์นี่นา” นรากรพูดหน้าตายแล้วหันไปโอบเอวคนรัก ภาวิณีส่งยิ้มหวานให้คนรักที่ทำตัวน่ารักแบบนี้ นี่แสดงว่ายอมรับแล้วสิเนี่ย
“ขอบคุณนะคะที่เข้าใจเดียร์ พี่ดิวน่ารักที่สุดเลยรู้มั้ยคะ” นรีกานต์หอมแก้มพี่สาวฟอดใหญ่ รอยยิ้มของน้องสาวคนเล็กทำให้นรากรยิ้มตามได้ง่ายๆ แค่อีกคนมีความสุขพี่สาวคนนี้ก็มีความสุขแล้วล่ะ
“พี่ขอแค่ให้เดียร์มีความสุขก็พอค่ะ น้องรักของพี่”
“พี่ฝนคะ วันนี้เรามาทำอาหารกันมั้ยคะ เดี๋ยวเดียร์จะแสดงฝีมือเองนะ” นรีกานต์พูดอย่างอารมณ์ดีเพราะเธออยากโชว์ฝีมือให้คนรักได้ทานฝีมือของเธอ
“ก็ได้ค่ะ พี่ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้ว ดิวนั่งคุยกับพิมไปก่อนนะ น้องเดียร์ไปทำอาหารกันค่ะ” ภาวิณียิ้มกว้างยื่นมือไปดึงนรีกานต์เพื่อเข้าไปในครัว
“ค่ะ พี่พิมเดี๋ยวเดียร์มานะคะ” ร่างบางหอมแก้มคนรักก่อนเดินหายเข้าไปในครัวพร้อมภาวิณี นรากรมองอย่างขัดใจเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
“.........” นรากรมองหน้าพิมพิกาแต่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพราะเธอไม่รู้จะเริ่มพูดอะไรก่อน
“.........” พิมพิกาจ้องตากับนรากรคล้ายหยั่งเชิง เธอทำหน้านิ่งๆไม่ให้อีกคนรู้ว่าที่เธอนิ่งเพราะกำลังใจสั่นหวาดหวั่นจนเกร็งไปทั้งตัว
เกิดความเงียบระหว่างพิมพิกากับนรากร ไม่มีใครเอ่ยอะไรเลย ได้แต่นั่งมองหน้ากันไปมา พิมพิกาเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเมื่อทนความอึดอัดต่อไปไม่ไหว เธอไม่ใช่คนที่ทนอึดอัดกับสายตาที่มีคำถาม อยากรู้ถามตรงๆเลย เธอพร้อมจะตอบทุกคำถามอยู่แล้ว ชนิดไม่มีปิดบังเลยก็ว่าได้สำหรับเรื่องความรัก
“เอ่อ...คุณดรีมไม่อยู่บ้านเหรอคะ บ้านเงียบจังค่ะ” พิมพิกาพูดแล้วมองไปรอบๆบ้านแต่สายตานั้นแอบมองนรากรไปด้วย
“ดรีมไปกินข้าวกับแฟนน่ะ” นรากรตอบเสียงเรียบและหันไปหาของในกระเป๋า ไม่รู้จะพูดอะไรนี่นามันยังไม่ชินกับความรู้สึกนี้เท่าไหร่ เฮ้อ...ยังหวงน้องอยู่เลยอ่ะ
“.......” เกิดความเงียบอีกครั้งระหว่างสองคน นรากรมองหน้าพิมพิกาอีกครั้งและตัดสินใจถามในสิ่งที่เก็บไว้ในใจมานาน
“คุณพิมคะ” นรากรเรียกอีกคนเสียงเข้ม
“คะ” พิมพิกาช้อนตามองนรากร หัวใจยังเต้นแรงเพราะไม่ชินกับสถานการณ์นี้
“คุณรักน้องสาวฉันจริงๆใช่มั้ยคะ”
“ใช่ค่ะ ฉันรักเดียร์และรักมากเลยค่ะ ฉันขาดเดียร์ไม่ได้” พิมพิกาสบตากับนรากรขณะตอบ เธอต้องการแสดงให้อีกคนเห็นว่าเธอพูดจริงทุกคำ
“อย่าทำน้องสาวฉันเสียใจได้มั้ยคะ เดียร์ถูกตามใจมาตั้งแต่เด็กจึงมีนิสัยเด็กๆไปบ้างแต่ก็เป็นเฉพาะกับคนที่ใกล้ชิดเท่านั้นแหละค่ะ”
“ฉันทราบดีค่ะ คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ เดียร์เค้าน่ารัก ไม่ดื้อเหมือนแต่ก่อนแล้ว หากคุณสังเกตนะคะ เราสองคนทำข้อตกลงกันไว้ค่ะ แล้วฉันก็เปลี่ยนนิสัยของเดียร์ได้สำเร็จ” พิมพิกายิ้มให้นรากรเล็กน้อย เธอเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวของคนรักทุกคนก็ต้องเห็นบ้างแหละ เพราะชัดเจนมาก
“นั่นสินะ ฉันเพิ่งสังเกตว่าน้องสาวฉันโตขึ้นมากเลยตั้งแต่ที่คุณเข้ามาในชีวิตน้องเดียร์ ฉันคงวางใจได้แล้วสิ” นรากรส่งยิ้มให้พิมพิกาอย่างจริงใจ เธอหายข้องใจแล้วว่าทำไมช่วงนี้น้องสาวของเธอถึงไม่วีนเหมือนแต่ก่อนเพราะผู้หญิงหน้าหวานคนนี้นี่เองที่เปลี่ยนแปลงน้องรักของเธอ
“ฉันสัญญาจะดูแลเดียร์ให้ดีที่สุดค่ะ จะไม่ทำให้เสียใจเด็ดขาด”
“ขอบคุณนะคะ” ทั้งสองส่งยิ้มให้กันอย่างเป็นมิตรเหมือนดั่งเดิมแต่คนเป็นพี่ยังไงก็ต้องขอดูแลน้องอยู่ห่างๆ จะปล่อยไปเลยก็ไม่ได้
“คุยอะไรกันอยู่คะ ไปทานข้าวได้แล้วค่ะ เดียร์ทำสุดฝีมือเลยนะ” นรีกานต์ฉีกยิ้มกว้างอย่างกับเด็กตัวน้อยๆอยากจะอวดของเล่นใหม่
“งั้นจะรออะไรอยู่ล่ะ ไปค่ะคุณพิม นานๆได้ทานฝีมือน้องรักสักที ฝีมือเดียร์อร่อยมากเลยนะคะ” นรากรชมน้องสาวสุดที่รักทำให้ร่างบางยิ้มแก้มปริถูกใจ
“ไปค่ะพี่พิม” นรีกานต์จับมือคนรักให้เดินไปด้วยกัน พิมพิกาส่งยิ้มคืนให้คนรักไปอย่างอ่อนโยน ทุกภาพอยู่ในสายตาของนรากรก่อนจะอมยิ้มตามและเดินตามหลังทั้งสองสาวไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
นรีกานต์ตักอาหารให้พิมพิกาอย่างเอาใจ การเทคแคร์และการเอาใจใส่ทำให้นรากรอมยิ้มเมื่อเด็กน้อยที่เธอคอยปกป้องมาตั้งแต่เด็กๆได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากความรักทำให้คนเปลี่ยนแปลงไปได้จริงๆ น้องสาวตัวน้อยสามารถดูแลคนที่รักได้แล้วสินะ
เมื่อก่อนไม่ว่านรีกานต์จะทำอะไรพวกพี่ๆอย่างพวกเธอต้องคอยทำให้เสมอไม่ว่าน้องสาวจะงอนแค่ไหนเธอก็ตามง้ออย่างไม่รู้จักเบื่อ ตอนนี้น้องสาวเธอโตแล้ว เธอควรจะมอบหน้าที่ดูแลน้องสาวคนนี้ให้กับพิมพิกา นรากรเชื่อว่าอีกคนจะดูแลนรีกานต์ได้ดี กว่าใครๆ นรากรยิ้มให้ทั้งสองสาวที่ป้อนข้าวกันอย่างน่ารัก เลยหันไปเอาใจคนรักของเธอบ้าง ภาวิณีมองนรากรอยู่นานเธอส่งยิ้มหวานไปให้เมื่ออีกคนเลิกหวงน้องสาวและขัดขวางเพื่อนรักของเธอสักที
ตลอดทั้งวันนรีกานต์คอยตามติดพิมพิกาตลอด จนเวลาผ่านไปถึงช่วงค่ำ ทั้งสองสาวก็นอนคุยกันอยู่ที่ห้องของนรีกานต์
“พี่พิมยังเจ็บแผลอยู่หรือเปล่าคะ”
“ไม่เจ็บแล้วค่ะ แผลพี่แห้งแล้วล่ะ” พิมพิกามองใบหน้าคมด้วยสายตาหวานฉ่ำ
“ทำไมทำตาแปลกๆ พี่พิมคิดอะไรอยู่หรือเปล่าคะ” นรีกานต์ขยับตัวนอนตะแคงข้างหรี่ตามองคนรักอย่างไม่ไว้ใจ
“คิดว่า...คืนนี้เราจะได้สวีทกันหรือเปล่าไงคะ” พิมพิกากระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ ร่างบางหลุดขำออกมาทันที
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า พี่พิมก็หื่นเป็นด้วยเหรอคะ แต่เดียร์ว่าเดียร์รุกพี่ก่อนดีกว่านะ”
นรีกานต์เด้งตัวขึ้นไปทับบนตัวของพิมพิกา สาวหน้าหวานมองใบหน้าคมของคนที่อยู่บนตัวของเธออย่างหลงใหล นรีกานต์ขยับใบหน้าลงมาหาร่างสูงแล้วประกบจูบที่ริมฝีปากอวบอิ่มอย่างอ่อนโยน ทั้งสองสาวต่างพรมจูบกันและกันแล้วแลกลิ้นดูดดุนที่ริมฝีปากอย่างหยอกล้อ พิมพิกายกแขนโอบกอดร่างบางอย่างแสนรัก มือเรียวเริ่มปลดตะขอบราเซียออกแล้วถอดเสื้อนอนออกไปจากตัวร่างบาง
“อือ.. ถอดให้พี่บ้างสิคะที่รัก” พิมพิกาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้นรีกานต์พรมจูบที่ซอกคอได้ถนัด
“ได้สิคะ” ร่างบางเงยหน้าขึ้นจากซอกคอหอมกรุ่นและจัดการถอดอาภรณ์ออกให้พ้นทาง ร่างสูงลูบไล้ไปตามแผ่นหลังขาวเนียนของร่างบางแล้วพลิกตัวให้อีกคนไปอยู่ใต้ร่างของเธอบ้าง
พิมพิกาเริ่มสำรวจร่างกายบอบบางอย่างช้าๆ กลิ่นกายหอมกรุ่นที่เธอจำได้ไม่ลืมยิ่งเสียงร้องครางกระเส่าที่ร่างบางร้องออกมา เธออยากได้ยินมันทุกครั้งที่ได้สัมผัสกันปลายจมูกโด่งซุกไซ้ไปตามลำคอระหง พิมพิกาพรมจูบลงไปจนถึงอกอวบอิ่มสายตาที่จับจ้องอยู่จุดเดียวทำให้ร่างบางรู้สึกเขินอาย นรีกานต์จึงโอบรอบคอรั้งร่างสูงให้ลงมาจูบอย่างเร่าร้อน พิมพิกาผละออกมาจากกลีบปากสวยเธอค่อยๆเลื่อนตัวลงไปพรมจูบตามลำตัวและวกขึ้นมาหยอกเย้ายอดปทุมถันอย่างหิวกระหาย นรีกานต์บิดตัวเร้าเมื่อรู้สึกเสียวกระสัน หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อเล็กๆของพิมพิกาถูไถ่ไปกับกลีบกุหลาบสวยที่เริ่มชุ่มฉ่ำ เมื่อความชุ่มเย้ายวนให้อยากลิ้มลอง ร่างสูงจึงขยับตัวลงไปหาทันที
“อ๊ะ พี่พิมขา” นรีกานต์ขาสั่นเล็กน้อยเมื่อถูกจู่โจมที่จุดอ่อนไหว
พิมพิกาตวัดลิ้นระรัวเมื่อเจอสิ่งที่เธอต้องการ นรีกานต์แทบขาดใจเมื่อถูกกระตุ้นจากจุดอ่อนไหว เสียงซี๊ดปากดังระงมไปทั่วห้องนอน
“มะ ไม่ไหว พี่พิมขา” นรีกานต์น้ำตาเล็ดเพราะความเสียวซ่านแผ่ไปทั่วอณู
“พี่ก็ไม่ไหวเหมือนกันค่ะ”
พิมพิกาขยับตัวขึ้นไปนั่งบนตัวของร่างบางแล็วก็จัดท่าทางให้อยู่ในองศาที่เหมาะแก่การบำเรอรักให้แก่กัน ร่างสูงขยับตัวเนิบนาบเพื่อให้ร่างบางได้ขยับตาม เสียงร้องที่ออกมาจากปากของทั้งสองสาวประสานกันทำให้เลือดในกายสูบฉีดมากยิ่งขึ้น
“เดียร์จ๋า ขยับแรงๆอีกนิดนะที่รัก” พิมพิกาบอกคนรักเมื่อเธอกำลังไต่ระดับขึ้นสูงจนร่างบางตามแทบไม่ทัน
นรีกานต์ขยับสะโพกรับกับพิมพิกาอย่างแรง ทั้งสองสาวต่างโยกย้ายใส่กันอย่างไม่มีใครคิดจะยอมใคร ร่างกายที่ได้รับการตอบสนองกำลังมาถึงจุดสุดยอด แรงตอดที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองสาวโยกเร็วยิ่งขึ้น สุดท้ายปลายทางที่วาดหวังก็มาถึงอย่างสุขสม
“พี่พิมเอาแรงมาจากไหนคะ เดียร์แทบหมดแรงเลย” นรีกานต์พูดปนหอบเธอรู้สึกเหนื่อยกับบทรักที่พิมพิกามอบให้ในคืนนี้มาก
“ก็พี่คิดถึงเดียร์นี่คะ เราไม่ได้แสดงความรักต่อกันเกือบเดือนแล้วนะคะ”
“จริงด้วยสิคะ มีแต่เรื่องวุ่นวายทั้งนั้นเลยเนอะ แต่ตอนนี้น้องเดียร์อยากไปล้างตัวพี่พิมขาพาน้องเดียร์ไปหน่อยนะคะ” นรีกานต์พูดออดอ้อนพิมพิกาที่ส่งยิ้มหวานมาให้
“ได้สิคะที่รัก” พิมพิกาจัดการดึงมือคนขี้อ้อนหายเข้าไปในห้องน้ำเพื่อจะล้างตัว
พิมพิกาจัดการล้างเนื้อล้างตัวให้คนรักและพาออกมานอนที่เตียงนอน เธอจัดท่านอนให้คนรักแล้วล้มตัวลงนอนข้างกัน นรีกานต์จะงอแงทุกครั้งที่ง่วงนอน แต่เธอไม่ได้รู้สึกเบื่อเลยสักครั้ง กลับมองว่าน่ารักเสียด้วยซ้ำไป พอร่างบางหลับไปแล้วเธอจึงหลับ ตาลงด้วยอีกคนเพราะพรุ่งนี้เธอมีงานสำคัญต้องไปทำ
พิมพิกาเริ่มแผนแก้แค้นของเธอโดยการตามล่านายบดินทร์ ปีเตอร์ทำหน้าที่ได้ดีมากโดยการไล่ต้อนให้นายบดินทร์จนมุม ตอนนี้ไม่มีใครกล้าติดต่อซื้อขายอาวุธเถื่อนและยาเสพติดกับบดินทร์อีกแล้ว
สารวัตรวุฒินันท์ไล่จับพวกนายบดินทร์และส่งสายสืบไปสอดแนมจนได้หลักฐานที่สามารถเอาผิดกับนายบดินทร์ได้แล้ว หลักฐานอีกส่วนหนึ่งก็มาจากพ่อของนรีกานต์ที่แอบส่งให้ทางตำรวจซึ่งก็คือเพื่อนของเขานั่นเอง สารวัตรวุฒินันท์นำหมายจับไปจับ กุมนายบดินทร์ถึงที่บ้านในขณะที่นายบดินทร์ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
“ท่านครับตำรวจมา” ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งเข้ามาบอกนายของมันอย่างตกใจ
“เฮ้ย! มันมาเร็วกว่าที่กูคิดไว้ซะอีก เอาไงดีวะ” นายบดินทร์ยืนขึ้นอย่างตระหนกเพราะเขารู้ว่าถ้าตำรวจมาที่นี่นั่นแสดงว่ามีหลักฐานแน่นหนามากพอที่จะจับเขาได้
“หนีก่อนครับท่าน ทางนี้พวกผมจะจัดการเอง”
“จะหนีไปทางไหนล่ะไอ้โง่ ป่านนี้มันดักไว้ทุกทางแล้ว”
“แล้วเราจะทำไงดีครับ”
“ลุยสิวะ ตายเป็นตาย ยังไงกูก็ไม่ยอมไปนอนในคุกหรอก”
“ครับท่าน”
นายบดินทร์ต่อสู้กับตำรวจอย่างดุเดือด สุดท้ายตัวเองก็ถูกยิงตายคาบ้าน วรเวชลูกชายของนายบดินทร์ถูกนำตัวไปสอบสวน เมื่อไม่พบว่าชายหนุ่มรู้เห็นกับบิดาเขาจึงถูกปล่อยตัวออกมา
คดีของนายบดินทร์สิ้นสุดลงด้วยความร่วมมือของหลายๆฝ่าย คนที่มีความชอบมากกว่าใครคงเป็นพิมพิกาเพราะเธอให้ลูกน้องแฮกข้อมูลไปเอารายชื่อลูกค้าของนายบดินทร์มาครบทุกคนมีชื่อลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พิมพิกาส่งรายชื่อทั้งหมดให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจัดการเหล่าอาชญากรเหล่านี้ ส่วนตัวเธอก็ปิดทองหลังพระเหมือนเดิมในนาม...ไดม่อน
หลังจากที่เผาศพของบดินทร์เสร็จวรเวชก็บินหนีไปต่างประเทศทันที ทางตำรวจได้อายัดทรัพย์สินของนายบดินทร์แต่ยังมีเงินบางส่วนที่ไม่ถูกยึด วรเวชจึงมีเงินไว้เรียนต่อที่ต่างประเทศซึ่งเข้าแอบทำเรื่องไว้ตั้งนานแล้ว
ผ่านเรื่องราวร้ายๆไปแล้วสำหรับพิมพิกา การแก้แค้นที่ไม่ควรจดจำเท่าไหร่ทำให้เธอรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ เธอชวนนรีกานต์ไปทำบุญที่วัด เพื่อขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวรและอุทิศผลบุญให้นายบดินทร์
“สบายใจหรือยังคะพี่พิม” ร่างบางมองคนรักที่เงยหน้ามองพระพุทธรูปแต่สายตาที่มองคล้ายยังมีเรื่องกังวลใจ
“เราไปเดินเล่นริมแม่น้ำกันเถอะค่ะ พี่อยากเดินเล่นสักหน่อย”
“ซื้อขนมปังไปด้วยสิคะ ปลาที่วัดนี้เยอะมากเลยนะ”
“โอเคจ้ะ แล้วเรื่องความรักของคุณดิวกับฝนเป็นยังไงบ้าง บอกตามตรงพี่สงสารฝนมากๆเลยนะ สู้มาตั้งนานแต่คุณแม่ไม่ใจอ่อนเลย”
“สักวันคุณแม่ของพี่ฝนจะรับได้ค่ะ พวกเราทำได้แค่ให้กำลังพี่ๆเค้าเท่านั้นล่ะ” นรีกานต์หันมายิ้มให้คนรักและจับมือเอาไว้
“หวังว่าคุณแม่ของฝนจะใจอ่อนเร็วๆนะ”
“เดียร์ก็หวังอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ เราให้อาหารปลากันดีกว่านะคะ ดูสิปลามารอตั้งนานแล้วเนี่ย”
“หึหึหึ มีอย่างนี้ด้วย ปลาพวกนี้ไม่เห็นเข้าแถวเลยนะ”
“พี่พิมนี่ก็บ้า ปลามันจะเข้าแถวเป็นที่ไหนเล่า”
พิมพิกาหัวเราะคิกคักแล้วโยนขนมปังให้ปลา ในใจภาวนาให้เพื่อนรักมีความสุขสักที ชีวิตที่ต้องถูกกีดกันจากคนที่รักมันทรมานยิ่งกว่าอะไรซะอีก
ภานุวัจน์เริ่มติดการพนันเพราะถูกเสี่ยวันชัยชักชวนให้ไปเล่นที่บ่อน ตอนแรกเล่นเพื่อความสนุกและเงินที่ได้มาก็เยอะพอดู ยิ่งเล่นบ่อยเข้าชายหนุ่มยิ่งถลำตัวลึกผีพนันเข้าสิงอย่างเต็มตัว ชายหนุ่มเริ่มยักยอกเงินในบริษัทออกไปใช้โดยให้หัวหน้าฝ่ายบัญชีตบแต่งตัวเลขไปหลอกบุพการีทั้งสอง
“ทำไมช่วงนี้ไม่มีผลกำไรเลยล่ะคุณมณี ผมว่ามันแปลกๆอยู่นะ” คุณวิษณุนั่งมองตัวเลขในแฟ้มบัญชี พอสำรวจอย่างละเอียดกลับพบจุดขัดแย้งอยู่หลายจุด
“แปลกยังไงคะคุณ ฉันไม่เห็นมีอะไรแปลกตรงไหนเลย ตาน้ำดูแลบริษัทเราได้อยู่แล้วค่ะ ไว้ใจได้” คุณมณีเชื่อใจลูกชายเต็มร้อยเพราะเธอส่งไปเรียนไกลถึงเมืองนอก
“ผมว่าลูกเราดูแลไม่ได้หรอก ดูนี่สิคุณมณี” คุณวิษณุทำหน้าเครียดขึ้นมาทันที
“อะไรคะ“” คุณมณีเลิกคิ้วมองแฟ้มในมือสามีอย่างสงสัย
“ตรงจุดนี้ ถ้าดูดีๆยอดเงินตรงนี้มันหายไป แต่กลับใส่ยอดลงมาเพื่อจะให้ยอดมันตรงกันแบบไม่มีอะไรน่าสงสัยสักนิด เดี๋ยวผมขอตรวจให้ละเอียดอีกทีก่อนที่จะสรุปทุกอย่างนะ อย่าเพิ่งพูดอะไรออกไปนะคุณมณี”
“บอกลูกก็ไม่ได้เหรอคะ” คุณมณีขมวดคิ้วถามสามีอย่างไม่เข้าใจ
“บอกไม่ได้ครับ ถือว่าผมขอร้องนะ”
“ก็ได้ค่ะ” คุณมณีรับปากสามีเพราะเธอก็อยากรู้ความจริงเช่นกัน
วิษณุนำบัญชีทั้งหมดของบริษัทให้สำนักงานตรวจสอบด้านบัญชีที่รับตรวจสอบโดยตรงไปตรวจสอบรายรับรายจ่ายของเขาทั้งหมดและทุกอย่างต้องเป็นความลับ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ผลออกมาเป็นที่น่าตกใจมากเมื่อเงินของบริษัทหายไปกว่า10 ล้าน ยอดจริงๆในตอนนี้มีเหลือแค่ไม่กี่ล้านซึ่งหากผู้ถือหุ้นในบริษัทล่วงรู้เรื่องนี้คงได้มีการฟ้องร้องกันใหญ่โตแน่นอนและคงต้องเรียกเงินคืนอีกด้วย วิษณุจึงจ้างนักสืบให้ไปสืบเรื่องของลูกชายคนโตซึ่งเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุด เขาอยากรู้ว่าเงินสิบล้านที่หายไป ลูกชายเขาเอาไปใช้อะไร วิษณุขับรถออกไปเพื่อจะปรึกษาลูกสาวคนเล็ก เมื่อเขาขับรถมาจอดที่หน้าคฤหาสน์ก็รีบเข้าไปหาลูกสาวทันที
“สวัสดีค่ะคุณพ่อ ฝนดีใจจังที่คุณพ่อมาหาที่นี่ เอ่อ...มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฝน พ่ออยากให้ฝนไปดูแลงานที่บริษัทเหมือนเดิมได้มั้ยลูก”
“แต่ว่าคุณแม่...”
“เรื่องนั้นพ่อจะจัดการเอง พอดีมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น” สีหน้าของคุณวิษณุเครียดลงทันทีเพราะเขาไว้ใจคนผิดและเชื่อคำพูดของภรรยามากเกินไป
“เรื่องใหญ่อะไรเหรอคะ” ภาวิณีจ้องใบหน้าหมองเศร้าของบิดาอย่างสงสาร
“พี่ชายของลูกเอาเงินในส่วนของบริษัทไปใช้ตั้ง10 ล้าน ทำให้บริษัทเราเกิดความเสียหาย เงินทุนเหลืออยู่แค่ไม่กี่ล้านเองลูก”
“10 ล้าน! พี่น้ำเอาเงินไปทำอะไรเหรอคะ เงินตั้งมากมายขนาดนั้น” ภาวิณีตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน นี่เท่ากับว่าบริษัทเธออาจล้มละลายได้เลยทีเดียวหากไม่มีเงินหมุนเวียน
“พ่อให้คนไปสืบดูแล้วล่ะ น้ำเอาเงินไปเล่นที่บ่อนของเสี่ยวันชัย”
“นานแค่ไหนแล้วคะพ่อ ที่พี่น้ำไปเล่นพนันที่นั่น”
“2-3 เดือนแล้วล่ะ ตั้งแต่กลับมาเมืองไทยได้ไม่นาน”
“เราจะทำยังไงกันดีล่ะดิวเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆแล้วนะคะ ถ้าหากผู้ถือหุ้นที่บริษัทรู้เรื่องเงิน 10 ล้านมีหวังไม่ยอมแน่ๆ”
“คุณพ่อคะ ดิวขอเสนออะไรบางอย่างเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่อาจดูไม่ดีนักนะคะ” นรากรพูดเสียงเบาไม่ค่อยมั่นใจนักกับสิ่งที่เธอคิดจะทำ
“ว่ามาเลยลูก ตอนนี้พ่อไม่รู้จะทำยังไงแล้วเงินตั้ง10ล้าน” คุณวิษณุพูดอย่างอ่อนใจ ขอแค่มีทางแก้ไขยังไงเขาก็พร้อมรับฟัง
“ดิวจะเอาเงินเข้าไปแทนที่ให้นะคะ หากผู้ถือหุ้นรายอื่นๆรู้ว่าเงินหายพวกเขาต้องรีบถอนหุ้นออกไปแน่ แล้วคงมองเราไปในทางที่ไม่ดีนัก คุณพ่ออาจถูกดิสเครดิต” นรากรจ้องมองคุณวิษณุอย่างจริงจัง สายตาที่สื่อออกไปไม่ได้บ่งบอกว่าอวดดีสักนิดเดียวมีแต่ความเคารพนับถือและอยากช่วยเหลือบิดาของคนรัก คุณวิษณุประมวลผลดีและผลเสียที่อาจจะตามมาทีหลังอย่างรวดเร็ว
“แต่พ่อไม่อยากรบกวนดิวนะลูก แค่ปัญหาเรื่องลูกกับฝน มันก็....” คุณวิษณุมองหน้าลูกสาวทั้งสองที่เต็มใจจะช่วยเหลือเขา ทั้งที่ปัญหาเรื่องความรักยังไม่ได้แก้ไข
“เราไม่ได้โกรธใครหรอกนะคะ ยิ่งคุณแม่ด้วยแล้ว เราเข้าใจว่าท่านหวังดีต่อพวกเรา ไม่ต้องคิดมากนะคะ” ภาวิณีพูดให้วิษณุสบายใจขึ้น เธอปรารถนาที่จะช่วยบุพการีของเธอด้วยความเต็มใจ
“ไม่ต้องห่วงนะคะ ดิวจะจัดการเรื่องนี้เอง ส่วนฝนคงเข้าไปทำงานที่บริษัทคุณพ่อไม่ได้ค่ะ ต้องรบกวนคุณพ่อช่วยบริหารงานไปก่อนนะคะ ดิวจะรีบจัดการเรื่องต่างๆให้เร็วที่สุดค่ะ รับรองว่าทุกอย่างจะไม่มีปัญหาแน่นอน”
“ขอบใจนะดิว ลูกสาวพ่อดูคนไม่ผิดจริงๆ พ่อฝากเรื่องนี้ด้วยนะ”
“ไม่ต้องห่วงค่ะคุณพ่อ ดิวจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่ใครจะรู้เรื่องเงิน” นรากรพูดอย่างหนักแน่นทำให้คุณวิษณุยิ้มออก
“ฝากด้วยนะ งั้นพ่อไปก่อนนะลูก”
“ค่ะ สวัสดีค่ะ” นรากรยกมือไหว้คุณวิษณุอย่างนอบน้อม
“พ่อคะ หนูรักพ่อมากนะคะ อย่าเครียดไปเลย เราจะช่วยกันแก้ไขปัญหาทุกอย่างเองค่ะ” ภาวิณีเดินเข้าไปโอบกอดบิดาอย่างคิดถึงและปลอบใจท่าน
“จ้ะ ดูแลตัวเองด้วยนะฝน” ทั้งสองสาวยืนส่งคุณวิษณุจนรถออกไปจากบ้าน
“ดิวคะ เราจะทำยังไงกันต่อดีล่ะคะ” ภาวิณีหันไปมองหน้าคนรักอย่างทุกข์ใจ
“คงต้องให้คุณพิมช่วยแล้วล่ะเรื่องนี้”
“พิมน่ะเหรอ ทำไมต้องพิมคะ” ภาวิณีขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“คุณพิมมีลูกน้องเยอะคงจะกว้างขวางไม่น้อย ดิวคิดว่าคุณพิมนี่แหละ ที่จะช่วยพวกเราได้”
“งั้นก็ลองดูค่ะ ไปหาพิมกันดีกว่านะคะ ฝนร้อนใจ”
ภาวิณีและนรากรพากันเดินไปที่สระว่ายน้ำ พิมพิกานอนอ่านหนังสืออยู่ข้างสระส่วนนรีกานต์ว่ายน้ำเล่นอยู่คนเดียว
“พี่พิมขา ไม่ลงมาเล่นน้ำด้วยกันจริงๆเหรอคะ” ร่างบางทำเสียงออดอ้อน เธอพูดออดอ้อนมาตั้งนานแต่คนรักไม่ใจอ่อนสักที
“ไม่ล่ะตอนนี้อยากอ่านหนังสือมากกว่า เดียร์ว่ายน้ำเล่นไปก่อนนะคะ นะคะคนดีของพี่พิม” พิมพิกาส่งยิ้มหวานให้คนรักเพื่อให้อีกคนยอมตามใจเธอ
“ชิ! ไม่สนใจแล้ว” นรีกานต์ทำหน้างอและว่ายออกไปจากขอบสระ ร่างสูงกระตุกยิ้มก้มอ่านหนังสือต่อ
“คุณพิมคะ”
“อ้าว...คุณดิว ฝนมีอะไรเหรอคะ หน้าตาเครียดเชียว”
“ฝนมีเรื่องอยากให้พิมช่วยหน่อยน่ะ” ภาวิณีเข้าไปนั่งข้างๆพิมพิกา
“เรื่องอะไรเหรอฝน พิมยินดีช่วยนะถ้าพิมทำได้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก” พิมพิกาวางหนังสือจ้องมองหน้าเพื่อนสาว ภาวิณีหันหน้าไปมองคนรักอีกครั้งก่อนที่นรากรจะเป็นคนเอ่ยปากบอกพิมพิกา
“เรื่องของคุณน้ำพี่ชายของฝน เขายักยอกเงินบริษัทไปสิบล้านเพื่อเอาไปเล่นการพนันที่บ่อนของเสี่ยวันชัย”
“เสี่ยวันชัยเหรอ” พิมพิกาขมวดคิ้วตกใจกับสิ่งที่ได้ยิน
“พิมรู้จักเสี่ยวันชัยด้วยเหรอ” ภาวิณีถามเพื่อนสาวอย่างสงสัย
“รู้จักสิ คนนี้ทางตำรวจกำลังต้องการตัว นอกจากจะเปิดบ่อนมันยังค้าผู้หญิงอีก อาบ อบ นวดของเสี่ยก็เปิดบังหน้าซึ่งที่จริงข้างในเป็นซ่อง”
“เลวขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” นรากรนิ่งอึ้งเมื่อได้ยินความเลวของเสี่ยวันชัย
“แล้วพี่น้ำไปรู้จักคนแบบนั้นได้ยังไงกันนะ” ภาวิณีพูดอย่างอารมณ์เสีย ใจหนึ่งก็นึกห่วงพี่ชายที่ไปรู้จักใกล้ชิดกับคนเลวๆแบบนั้น ใจหนึ่งก็นึกโกรธพี่ชาย
“พิมพอจะช่วยพวกเราได้มั้ย เราอยากให้คุณน้ำเลิกเล่นการพนัน เลิกเด็ดขาดได้เลยยิ่งดี” นรากรบอกพิมพิกาเสียงเข้มตอนท้ายๆ
“โธ่! คุณดิวคะ คนมันจะเล่นอะนะถึงปิดบ่อนนี้ก็ต้องไปบ่อนอื่นอีก สู้ทำให้เข็ดไปเลยไม่ดีกว่าเหรอคะ” พิมพิกาอมยิ้มเจ้าเล่ห์เมื่อนึกอะไรสนุกๆออก
“ทำยังไงเหรอพิม” ภาวิณีเขย่าแขนเพื่อนรัก อยากรู้ว่าอีกคนจะทำยังไงต่อไป
“เดี๋ยวเราจัดการเรื่องที่บ่อนให้ แต่เรื่องที่บริษัทคงต้องให้ฝนจัดการเองแล้วล่ะ” พิมพิกาส่งยิ้มให้เพื่อนสาวอย่างเจ้าเล่ห์อีกครั้ง
“ฝนต้องทำยังไงล่ะพิม” ภาวิณีตั้งใจฟังพิมพิกาบอกอย่างลุ้นๆ
“แค่ไปกู้หน้าให้พี่ชายของฝนเอง พี่น้ำน่ะชอบดูถูกฝน พิมเห็นแล้วอย่างต่อยหน้าหงายชะมัด ฝนให้ผู้ถือหุ้นทุกคนรู้เรื่องที่พี่น้ำยักยอกเงินไปเลยนะ จากนั้นฝนก็เข้าไปกู้สถานการณ์ที่บริษัท คิดดูสิว่าคุณแม่ฝนจะต้องใจอ่อนส่วนเรื่องความรักของฝนก็จะได้เคลียร์ให้มันจบสักที” พิมพิกาอธิบายสิ่งที่เพื่อนรักต้องไปทำ แถมยังเคลียร์เรื่องความรักได้อีก ยิงนกนัดเดียวได้นกมาตั้งสองตัว เผลอๆอาจได้มาทั้งฝูงเลยก็เป็นได้
“พูดน่ะมันง่ายแต่ทำมันยากกว่านะพิม ฉันว่าจะเอาเงินเข้าไปให้ที่บริษัทฝนก่อน 10 ล้าน คุณว่าไง” นรากรเอ่ยปรึกษาเพราะเธอยังมองแผนนี้ไม่ออกเลยว่าต้องดำเนิน การต่อไปยังไง
“อย่าเพิ่งคะ ใจเย็นๆไว้ก่อน สถานการณ์มันสร้างวีรบุรุษได้เสมอ” พิมพิกาอมยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ สายตาแพรวพราวอย่างนึกสนุก
“พิมพูดให้ชัดๆหน่อยสิ เรางงนะ” ภาวิณีเริ่มโวยวายแต่ไม่จริงจังมากนัก
“แหมๆใจร้อนกันจัง คืออย่างนี้นะ เราจะให้ทุกอย่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ พอผู้ถือหุ้นเริ่มโวยวายจะเอาเงินคืนเมื่อไหร่ คุณดิวก็จัดการต่อทันทีเลยนะคะ รู้หรือยังว่าต้องทำยังไง” พิมพิกาหรี่ตามองนรากรที่ยิ้มกว้างถูกใจในแผนการ
“อ๋อ..เข้าใจแล้ว ทีนี้คุณแม่ของฝนก็จะเห็นว่าฉันสามารถช่วยเหลือครอบครัวและดูแลฝนได้ ท่านอาจใจอ่อนยอมรับความรักของเราใช่มั้ย”
“ถูกต้องนะครับ แหม...งานนี้ชักสนุกแฮะ” พิมพิกายังยิ้มกว้างถูกใจ แผนที่วางไว้ต้องสำเร็จแน่นอนเพราะเธอมีแผนอื่นอีกหนึ่งแผนสำหรับพี่น้ำตัวดี
“มันไม่ดูร้ายกาจไปหน่อยเหรอพิม” ภาวิณีไม่มั่นใจกับแผนการมากนักเพราะนั่นหมายถึงการเอาชื่อเสียงของบริษัทเข้ามาเดิมพันด้วย
“เล่นกับคุณมณีเราต้องทำแบบนี้แหละ เอาน่า..ตอนหลังเราก็เข้าไปกราบขอโทษท่านก็ได้หรือฝนไม่อยากให้คุณแม่ยอมรับความรักของฝนล่ะ”
“เฮ้อ! ฝนต้องยอมทำตามแผนการของพิมใช่มั้ย” ภาวิณีเริ่มทำหน้าเศร้ามองหน้าคนรัก เธอไม่ค่อยอยากทำแบบนี้เลยมันดูแรงเกินไป
“ทำตามที่พิมบอกเถอะฝน มันอาจแรงไปบ้างแต่ผลที่ได้มันคุ้มนะจะบอกให้” คนวางแผนส่งยิ้มยียวนให้ภาวิณี เธอคิดว่าแผนของเธอนั่นสมบูรณ์ที่สุดแล้ว
“ไม่เอาน่าฝน เราจะพิสูจน์ความรักของเราไม่ใช่เหรอ อาจต้องใช้แผนการบ้าง แต่มันคือโอกาสของเราสองคนนะคะ” นรากรกอดปลอบคนรัก เธอเองก็ไม่อยากทำหรอกแต่ในเมื่อมีโอกาส เธอก็อยากจะคว้าเอาไว้
“ค่ะ ฝนเข้าใจ ขอบใจนะพิมที่ยอมช่วยเหลือ เราฝากด้วยนะ”
“หึหึ ไม่ต้องห่วงหรอก มันต้องสำเร็จแน่นอน เชื่อเราเถอะนะฝน”
“พี่ดิว พี่ฝนมาเล่นน้ำคลายเครียดกันมั้ยคะ ทำหน้าเครียดเดี๋ยวหน้าแก่เร็วนะคะ” นรีกานต์ว่ายน้ำมาแตะขอบสระแล้วเอ่ยชวนพี่สาวทั้งสอง เธอได้ยินสิ่งที่ทั้งสามคุยกันเลยไม่อยากให้พี่สาวเครียดไปมากกว่านี้จึงหาทางดึงความสนใจไปเรื่องอื่น
“เอาสิ ฝนเล่นมั้ย คลายเครียดกันดีกว่านะ” นรากรยิ้มให้น้องสาวแล้วถามคนรัก
“เอาสิคะ รออะไรล่ะเอาลูกบอลลงไปด้วย” ภาวิณีนึกสนุกเธอจึงกระโดดลงน้ำไปเล่นกับนรีกานต์ ขอสนุกก่อนไปทำภารกิจแล้วกันนะ
พิมพิกานั่งมองทั้งสามสาวเล่นลูกบอลกันในน้ำ ในสมองคิดแผนการต่างๆเพื่อจะจับเสี่ยวันชัยให้ได้โดยเร็ว งานนี้เธอคงต้องออกแรงเองแล้วล่ะมั้ง
นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ
