ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cursed Fox จิ้งจอกต้องสาป[Ragnarok Fanfiction]

    ลำดับตอนที่ #9 : แผน?

    • อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 51


    บทที่9 แผน?

    เด็กสาวผมฟ้ายาวสลวยที่ทานมื้อเช้าจนอิ่มก็ปีนขึ้นยืนบนเก้าอี้ก่อนเอาโทรโข่งมาป้องปาก “ท่านผู้โดยสารโปรดทราบ!” เธอประกาศเหมือนเป็นกัปตันเรือ-เครื่องบินซะอย่างนั้น ทุกคนหันมามองซูเปอร์โนวิทน้อยนอกจาก... “หยุดกินแล้วฟังก่อนเด้!!!” นัทโวยเมื่อเห็นแอดดิคยังคงกินไม่หยุด เธอคว้าขนมปังฝรั่งเศสที่ขนาดและความแข็งสามารถเอาไปปาหัวสุนัขแตกได้มาปาหัวแอดดิคได้ตรงเผงซะยิ่งกว่าฮันเตอร์ที่เป็นเลิศในความแม่นยำ

    “ต่อไปนี้ฉันจะใช้นามสกุลเดียวกับพี่กาโม่ค่ะ!!” พูดจบนัทก็กระโดดลงไปกอดคอกาโม่

    *เพล้ง*

    ฮารูมิทำแก้วน้ำตกแตก เมื่อเธอรู้ตัวก็หน้าแดงแจ๋ “ข...ขอโทษค่ะ”

    “เธอเป็นอะไรรึเปล่า” เอคเซลหันไปถาม ก่อนลงนั่งช่วยเก็บเศษแก้ว

    “สงสัยเพราะเมื่อวานหมกในห้องสมุดนานไปหน่อยน่ะค่ะ” เธอหัวเราะ “นอนไม่พอหลายคืนด้วยเลยไม่ค่อยมีแรงมั้งคะ”

    “ฉันเก็บแก้วให้เอง.. ไปพักผ่อนซะ” เอลเซลออกปาก ก่อนจะยิ้มให้เชิงว่าให้เธอจัดการเอง

    “ขอบคุณค่ะ... ขอตัวนะคะ” พูดจบเธอก็โค้งขอโทษทุกคนแล้วเดินออกจากห้องอาหารไป

    “...” นัทมองตามอย่างติดใจ เธอกระตุกแขนเสื้อกาโม่ “พี่กาโม่จัดการบอกต่อทีนะ นัทขอตัวซักครู่”

    “อ..อืม” กาโม่พยักหน้ารับทั้งที่ยังสงสัย จากนั้นนัทก็ส่งยิ้มหวานให้เขาแล้ววิ่งตามฮารูมิไป

    ถ้าหากว่ามีซักครั้งได้เป็นส่วนหนึ่งของเธอ
    ก็คงเป็นเพียงแค่สายลม ผ่านเธอไปเท่านั้น
    เป็นเพียงแค่สิ่งเล็กน้อย เป็นคนไม่เคยสำคัญ
    เธอไม่มีวันจะรักกัน ฉันก็พอเข้าใจ

    “....” ฮารูมิที่เดินมาตามทางมองไปข้างหน้า ดวงตาสีมรกตกำลังถูกสะกดไม่ให้ทำนบน้ำตาแตกร้าว สาวผมน้ำตาลทำงานอย่างหนักที่จะสะกดอาการเอาไว้

    ...นี่ฉันชอบกาโม่ขนาดนั้นเลยหรอ?... เธอไม่เข้าใจตัวเอง ...ชอบตั้งแต่เมื่อไหร่นะ...

    “คุณฮารูมิคะ!” เสียงใสๆที่เป็นตัวต้นเหตุให้เธอตกในสภาพนี้เรียกชื่อเธอ ฮารูมิหันกลับไปมอง

    “อ้าว!” ฮารูมิยิ้มบางๆ ถึงจะเจ็บยังไงเธอก็ยังพูดอย่างเป็นมิตรเพราะเธอเป็นฝ่ายมาทีหลังเอง “คุณนัทมีอะไรหรอคะ?”

    “ไม่ต้องเรียกคงเรียกคุณหรอกค่ะ นัทเด็กกว่านะคะ อย่าลืมซิ” นัทหัวเราะแหะๆก่อนจะจ้องมองอย่างเป็นห่วง “ว่าแต่ฮาจังเป็นอะไรไปหรอคะ? เหนื่อยหรอคะ? หรือว่าอะไร.....”

    ...ยังจะถามอีก... วิสาร์จสาวยิ้ม “เหนื่อยน่ะค่ะ... ร่างกายไม่เคยทำงานหนักเลยเพลียๆน่ะ กะว่าจะไปนอนพักต่อก็เท่านั้นแหละค่ะ ทำไมหรอคะ?” ...แค่นี้ฉันยังเจ็บไม่พอหรอ?...

    “ห่วงน่ะซิคะ ถามได้” นัทยิ้มร่า ฮารูมิสะอึก ...นิสัยก็ดีกว่าฉันอีกนะ...

    “อิจฉากาโม่จังเลยน๊า~” ฮารูมิคุมน้ำเสียงให้ดูร่าเริงที่สุด สายตาเธอจ้องไปข้างหน้าเพื่อเลี่ยงการจ้องตา

    “...” นัทมองฮารูมิอย่างสะกิดใจก่อนจะถาม “อิจฉาอะไรหรอคะ?”

    ฮารูมิยิ้ม...แต่ไม่ตอบ “กาโม่เขาพูดมาก กวนประสาทบ้าง บางทีก็พูดจาไร้สาระ” เธอเปลี่ยนเรื่อง “แต่จริงๆแล้วก็มีข้อดีเหลือบ้างนะคะ”

    นัทพยักหน้า “ใจดี..อ่อนโยน..น่ารักมากๆนัทรู้ค่ะ” ฮารูมิหลุดสีหน้าเศร้าแม้จะยิ้มอยู่ นัทเห็นพอดีและเธออ่านออกจึงตัดสินใจถาม “ฮาจังชอบพี่กาโม่ใช่มั้ยคะ?”

    “..อ...อา...” ฮารูมิหน้าแดงฉ่าก่อนตัดสินใจพยักหน้าช้าๆ “น...นิดหน่อยน่ะค่ะ” นิดหน่อยน่ะ เขาไม่ทำแก้วหลุดมือหรอกนะ...

    “หรอคะ?” นัทก้มมองพื้นพรมแดงหรูหรา “ใครที่รู้จักพี่เขาดีก็จะอดชอบพี่เขาไม่ได้หรอกค่ะ”

    “แต่...” ฮารูมิตัดสินใจพูดบ้าง “คนมาทีหลังไม่มีสิทธิ์ซินะคะ...”

    “เอ๋!?” นัทเงยหน้าสบตากับตาสีมรกต ฮารูมิยิ้มเศร้าๆ “มาทีหลัง?”

    “ก...ก็...” ฮารูมิรีบถาม “ก็นัทกับกาโม่...แต่งงานกันไม่ใช่หรอคะ?” นัทเอ๋อไปทันที

    “พรืด... ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” นัทปล่อยก๊ากออกมาเป็นชุดใหญ่ทันทีที่ตั้งตัวได้แล้ว เล่นเอาฮารูมิยืนเอ๋อสานต่อจากนัทที่ตอนแรกงงๆ “บ้าหรอคะ!!นัทเนี่ยนะแต่งงาน!กับพี่กาโม่...ฮ่าๆๆๆๆๆๆ”

    “อ้าว!” ฮารูมิแย้ง “งั้นที่บอกว่าเปลี่ยนนามสกุลล่ะคะ?”

    “อ๋อ เราดื่มเลือดร่วมสาบานกันน่ะค่ะ จริงๆหยิบมีดแล้วนะ แต่นัทกลัวเจ็บเลยเปลี่ยนไปซื้อเรดมาดื่มคนละครึ่งขวดแทน แต่ไม่ได้แต่งงานค่ะ” นัทพยายามหยุดหัวเราะเพื่ออธิบาย “อย่าบอกนะว่าที่ทำแก้วแตกเพราะคิดว่านัทกับพี่กาโม่แต่งงานกันน่ะ” ฮารูมิที่ไม่กล้าตอบว่า ‘ใช่’ หัวเราะกลบเกลื่อน

    “ไม่ต้องห่วงค่ะ นัทขอเป็นน้องอย่างเดียว แฟนนัทยังไม่หาค่ะ ยังเด็กอยู่” นัทพูดอย่างแก่แดดแก่ลม

    “ตายจริง!” ฮารูมิหน้าแดง “งั้นฉันก็หน้าแตกดังเพล้งเลยซินะคะ ห้ามบอกใครนะ!”

    “รับทราบเจ้าค่ะ” นัทยิ้มก่อนชูนิ้วก้อย ฮารูมิยิ้มตอบแล้วเกี่ยวก้อยสัญญากัน ฮารูมิกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมแล้ว “แล้วฮารูมิไม่ได้คิดไว้หรอคะว่า... อายุอย่างนัทยังแต่งงานไม่ได้น่ะ...”

    “อ..... แบบ...ว่า.....” ฮารูมิเสมองไปทางอื่นอย่างเขินอาย

    “อ๋อ... ความรักมันบังตาซินะคะ”

    “นัท!!”


    “น้องหรอ..” แอดดิคทวนคำ “แค่นี้ก็บอกกันไม่ได้นะโมโม่”

    “ชื่อนั่นแกอย่าเรียกในที่สาธารณะซิฟะ” กาโม่กระซิบก่อนหัวเราะแห้งๆ “น้องบัญชามาอ่ะ ขืนขัดใจเดี๋ยวเด็กมันร้องไห้ ยิ่งกล่อมคนไม่เก่งอยู่ด้วย” ว่าแล้วเขาก็นึกถึงตอนกล่อมฮารูมิ ที่ยังไงเธอก็ไม่ยอมหยุดร้องซักทีจนกว่าจะได้ปล่อยโฮออกมาจนหมด

    “มีน้องน่ารักงี้พี่ชายคงจะกันท่าว่าที่น้องเขยแย่เลยซินะคะ” ไฮแอทแหย่ กาโม่ยิ้มแห้งๆ แอดดิคหัวเราะก่อนเหลือบไปเห็นคอนวี่ที่นั่งซึมอยู่คนเดียว ทำไมเขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนนะ

    “นี่...คอนวี่...” หนุ่มผมดำตัดสินใจเรียกชื่อเด็กสาว

    “คะ?” คอนวี่สวมหน้ากากอีกครั้ง ยิ้มแย้มแจ่มใส “เรียกทำไมคะลุง”

    “ก..ก็..” แอดดิคพูดไม่ออกกับอาการของเด็กสาว ใครจะไปเชื่อว่าเด็กในฝันเมื่อคืนกับคนตรงหน้าจะเป็นคนๆเดียวกันจริงๆ ....ทั้งๆที่เคยร้องไห้ปานฟ้าจะถล่มลงมาอย่างนั้น.. “ม... ไม่มีอะไร”

    “วันนี้ไปที่เดิมมั้ย” คอนวี่ยิ้มร่า “เมื่อวานดันหลับยาว อดชมท้องฟ้าเลย ฉันชอบนะเวลามองมันเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยน่ะ”

    ...ได้โปรด...
    ...อย่ายิ้มเหมือนไม่ทุกข์ไม่ร้อนได้มั้ย...

    “ฉันเคยนั่งมองมาก่อนแหละ มีบางวันหมอกลงจัดจนเป็นสีเทารอบตัวเลย”

    ...อย่าทำเข้มแข็ง...อย่าทำเหมือนเรื่องเหล่านั้นที่บาดลึกในใจไม่เคยเกิดขึ้น...
    ...ทั้งที่ใจจริงเธอนั้นบอบช้ำและอยากร้องไห้ตะโกนออกมา...

    “เท่าที่สังเกตนะ ก็...” เธอยกนิ้วนับ “สีฟ้า สีเทา สีม่วง สีขาว สีส้ม สีแดง.. แค่นี้แหละมั้ง ไม่นับตอนกลางคืนนะ”

    ...อย่าทำเหมือนรับทุกอย่างได้ทั้งที่ยังเศร้าอย่างนั้น...อย่าสวมหน้ากากแสร้งร่าเริงเพื่อปกปิดส่วนที่เธออ่อนแอเลย...
    ....มันทำให้ฉัน...

    แอดดิคคว้าเด็กสาวมากอด

    ...อยากกอดเธอขึ้นมา...

    “เฮ้ลุง ทำอะไรอ่ะ” คอนวี่หัวเราะพลางพยายามผละออกจากอ้อมอกชายหนุ่ม แต่เขาก็กอดเธอแน่น

    “อย่ายิ้มเลยถ้าใจจริงเธอไม่ได้ยิ้ม..” แอดดิคกระซิบข้างหู ถ้าเขาไม่ได้กอดเธอไว้คงจะเห็นว่าคอนวี่นั้นหน้าถอดสีแล้ว “ถ้าอยากร้องไห้ก็ร้องมาเถอะ.. ฉันจะปิดให้เอง..”

    “ทำไมคิดว่าฉันจะร้องไห้ล่ะ” เธอผละออกมาจ้องหน้าเขาแล้วยิ้ม ดวงตาสีเพลิงถูกปั้นให้ดูน่าเชื่อถือจนจับผิดไม่ได้

    แอดดิคเงียบไประยะนึงก่อนรวบรวมคำพูดเป็นประโยคได้.. “เพราะเธอ..อ่อนแอมาก...” สิ้นคำนั้น ก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว น้ำตาที่แห้งเหือดไป2ปีเต็มหลังจากแมทตายก็ไหลออกมาเองโดยที่เธอทำอะไรไม่ได้ มีเพียงอย่างเดียวที่เธอทำได้ตอนนี้คือซบอกชายหนุ่มอยู่ตรงนั้น ภาวนาให้ชายหนุ่มช่วยปิดคนอื่นได้ตามวาจาที่เขาลั่นไว้ ไม่ให้ใครสังเกตว่าเธอร้องไห้..

    ทั้งๆที่ปิดใจและพยายามไม่สุงสิงกับใครมา2ปีเต็ม ทั้งๆที่คุมอารมณ์ทุกอย่างให้ใครจับผิดไม่ได้ แต่คนๆนี้กลับรู้... คนๆนี้กลับมองออก... ทำไมต้องมาเปิดใจฉัน ทำไมต้องมาทำให้น้ำตาฉันหลั่งออกมาอีกครั้ง.. แม้จะดีใจที่มีคนมองทะลุหน้ากากจนเข้าใจตัวตนที่แท้จริงฉันได้ แต่ได้โปรด.. อย่าทำให้ฉันไว้ใจได้มั้ย...

    “แอดดิคคะ...” คอนวี่พูดเบาๆ ...ฉันไว้ใจลุงได้ใช่มั้ย?...

    “หืม?” แอดดิคลูบหัวเธอเบาๆ “อะไรครับ”

    “ไม่มีอะไรค่ะ แค่เรียกเฉยๆ”


    เวลาล่วงเลยไปเป็นตอนเย็น ลมพัดเบาๆ ให้พอชื่นฉ่ำหัวใจ ภาพดวงอาทิตย์ยามอัสดงดวงกลมโตสีแสดทอประกายส้มสาดส่องไปโดยรอบ ถึงจะงามสู้มองจากยอดภูผาไม่ได้ แต่ก็งดงามไม่น้อยหน้าที่ใดๆ มังค์สาวทอดสายตาที่เหม่อลอยไปกับความงามของทัศนียภาพที่สะกดใจเธอไว้

    เรือนผมสีเหลืองทองพลิ้วไหวตามแรงลมที่พัดเอื่อยๆ ดอกไม้ในสวนที่ได้รับการดูแลอย่างดีบานพองามทำให้ไม่แน่ใจว่า ภาพอาทิตย์ตกดินหรือสวนดอกไม้ในวังพร้อมสาวงามนั่งชื่นชมอาทิตย์ตกดิน ภาพไหนงดงามกว่ากันแน่

    หมวกโพริ่งถูกกำไว้แนบอก ส่วนมืออีกข้างยันไว้กับม้าหิน ความคิดไม่พ้นการหลอกหลอนของอดีตที่ตนได้ประสบมา แม้จะนานแสนนานเท่าใดก็ตรึงแน่นในจิต

    ...มีแค่เลือด...รอยข่วน...ไม่มีอะไรทั้งนั้น..
    ...ของพวกนั้นจะแปลว่าไม่มีอะไรได้ยังไงกัน!!...

    เธอส่ายหัวเล็กน้อยให้หลุดจากความคิดนั้นแต่พอมองสิ่งที่อยู่ในมือ ...หมวกโพริ่ง.. เครื่องที่ยืนยันถึงสิ่งที่เธอมองว่าเป็นตราบาป เครื่องยืนยันความอ่อนแอที่เธอเคยเป็น... หมวกที่สร้างออกมาเพื่อให้คนยิ้ม.. กลายเป็นสิ่งของที่เป็นศาสตราอันร้ายกาจ ทิ่มแทงจิตใจของใครบางคนจนบอบช้ำเสียยิ่งกว่าอาวุธในตำนานบางชนิด....

    เอคเซลถอนหายใจพลางมองท้องฟ้า... ทั้งที่เคยเฝ้าอ้อนวอนกับพระเจ้าหลายต่อหลายครั้ง ทุกคืนก่อนนอน หรือแม้ทุกครั้งที่เห็นดาวตก ทำไมสิ่งเหล่านั้นไม่เป็นแค่สิ่งที่เธอจิตนาการไปเอง เพียงฝันร้าย ทำไมต้องเกิดขึ้นจริง..

    ทำไมคนที่รอด... คือเธอ..

    ...พระเจ้าคะ...ทำไมท่านถึงเมินเฉยคำร้องขอของฉันคะ?...
    ...หรือว่ามือฉันนั้นแปดเปื้อนเลือดของคนที่รักมากเกินกว่าจะช่วยได้?....

    ดวงภานุภาสเริ่มล่ำลาจากนภา ก่อนที่อีกไม่นานดวงจันทร์สีนวลผ่อนจะขึ้นมาแทนที่ ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน..เหมือนวันนั้น ทุกๆอย่างมันเกิดขึ้นเร็วเกินไป... เอคเซลใส่หมวกเช่นเดิม และจะลุกไปจากมุมนั้น

    “หลบมาดูมุมสวยๆคนเดียวหรอ?” ซิกเน็ทเดินมาพอดี เธอนั่งเช่นเดิมก่อนจะยิ้มให้

    “เรียกเอคเซลก็ได้ค่ะ” เอคเซลสบตาซิกเน็ทก่อนจะยิ้มกวนๆ “ดูคนเดียวผิดหรอ?”

    “ข้าว่าผิดนะ...” ซิกเน็ทนั่งลงข้างๆเธอ ก่อนจะมองฟ้าที่มืดลงเรื่อยๆ “เพราะว่าที่นี่เป็นมุมที่สวยที่สุดที่มีไว้สำหรับข้า มุมลับๆของข้า... แต่เจ้าดันมาเจอและแย่งข้าชมวิว....”

    “ผิดหรอ” เอคเซลมองทิวทัศน์ต่อ นึกขำในใจ “มีอะไรถึงมาที่นี่ คงไม่ใช่ตามหาฉันหรอกนะ”

    “..........” ซิกเน็ทนิ่ง ไม่รู้จะตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ดี เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าแล้วพึมพำเบาๆ “แรม5ค่ำ...”

    เอคเซลมองเขาด้วยใบหน้างุนงง ซิกเน็ทปัดมือไปมา “ไม่มีอะไร ส่วนเรื่องเมื่อวาน ขอโทษด้วยนะ...”

    “เรื่อง..??” เธองงเข้าไปใหญ่

    “ก็ชวนไปกะจะสนุกแท้ๆ แต่น่าเบื่อน่ะซิ เจอแต่พวกบ้าก่อกวน” ซิกเน็ทอธิบายให้เข้าใจ

    “ไม่เป็นไร” เธอยิ้ม เอคเซลอดไม่ได้ที่จะมองคนข้างๆ ผมทองมอซอยประบ่า ตาเรียวดุจเหยี่ยวสีฟ้าใสดั่งน้ำแข็งนั่น ช่างยากเหลือเกินที่จะเดาอารมณ์ของเขา ใบหน้าที่หวานดุจสตรีแต่ก็เหลือความคมคายแบบบุรุษไว้เล็กน้อย จะเรียกว่าสวยก็ได้ แต่เรียกหล่อคงยาก ผิวขาวๆที่รับแสงนวลจากหมู่ดาวทำให้เขางดงาม บางทีอาจจะงามยิ่งกว่าผู้หญิงอย่างเธอเสียอีก มาดเย็นชาที่รักษาไว้ตลอดเวลาช่างไม่เข้ากับใบหน้านั้นเลย หรือว่าเข้านะ?

    “เจ้ามองอะไรน่ะ?” ซิกเน็ทที่พึ่งรู้ตัวว่าถูกต้องเอ่ยถาม เอคเซลส่ายหน้า “ข้าดูออกว่าโกหก”

    “ก็..” เอคเซลหลบตาชายหนุ่มไปจ้องพื้นหญ้าแทน เธอหน้าแดงและพยายามพูดอย่างไม่กลัวพัดกระดาษ “คิดเพลินๆว่าถ้าท่านยิ้ม แต่งหน้าหน่อย ใส่เครื่องแบบหญิง คงจะโดนหนุ่มจีบตรึม...แหะ” พูดจบซิกเน็ทก็เอาพัดฟาดหัวทันทีโดยไม่เห็นใจคนโดนฟาด

    “ผู้ชายนะ ไม่ใช่ของเล่น จับแต่งอะไรก็ได้” ซิกเน็ทดุ “ข้าเป็นผู้ชาย..”

    “ที่หน้าหวานดุจสตรี” เอคเซลต่อประโยค

    “ข้าว่าเจ้ายังไม่เข็ดนะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ฟาดพัดกระดาษประเคนใส่หัวเธออีกทีนึง

    ไม่รู้ว่ามืดขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งคู่กลับมานั่งมองฟ้าเงียบๆ หรือคนบางคนกลัวโดนฟาดอีกทีละมั้ง จู่ๆดาวก็ตก “จะไม่อธิษฐานหน่อยหรอ?” ซิกเน็ทถามอย่างอดไม่ได้

    “เพื่อ...อะไร..” เอคเซลมองตามดวงดาวนั้นด้วยสายตาที่ซึมลงอย่างเห็นได้ชัด

    “ก็เขาว่าหากขอสิ่งใดก็เป็นจริงนี่” ซิกเน็ทพูด พลางมองเธอด้วยความว้าวุ่นในใจ ถึงจะเย็นชาแต่ก็ใช่ว่าเขาจะใจดำ ในหัวพยายามคิดวิธีที่จะทำให้เธออาการดีขึ้น

    “แค่นิทานกล่อมเด็ก หลอกกันแค่นั้น” เอคเซลหน้าเรียบเฉยติดจะน่ากลัวจนซิกเน็ทยังแอบขยาด

    “ม..ไม่หรอกมั้ง” เขาพูดทั้งๆที่ตัวเองก็ยังหวาดๆ หญิงสาวข้างๆ

    “ถ้างั้นทำไมที่ฉันเฝ้าขอ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่เป็นจริง...” เธอกล่าวเงียบๆ ซิกเน็ทเองก็นิ่งอึ้ง เขาครุ่นคิด มือของเขาจับสร้อยกางเขนของเขาไว้แน่น

    ....ท่านแม่...ข้าขอยืมคำพูดท่านมาบอกต่อเธอนะครับ....

    “บางทีท่านอาจจะช่วยเรื่องนั้นไม่ได้ก็จริง แต่มีอยู่สามอย่างที่ท่านทำตลอดน่ะรู้มั้ย?” เอคเซลส่ายหน้า ซิกเน็ทสบตาเธอ “พระเจ้าทำอยู่3อย่าง หนึ่งให้กำเนิดโลกนี้ และมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ สองดูแลลูกๆของท่านที่อยู่บนโลกนี้...” ซิกเน็ทอธิบาย “ส่วนสามนั้นคือส่งสายลมมาให้เรา ฟังดูตลกใช่มั้ยล่ะ แต่ในโลกสวรรค์ที่อยู่ไกลแสนไกลเพราะจะลงมาหาทุกคนไม่ได้จึงใช้ลมหายใจสื่อผ่านความห่วงใย ย้ำเตือนให้รู้ทุกครั้งว่าท่านยังคอยดูแลอยู่เสมอ... สายลมที่ผ่านทะเลดาวมาหาแต่เธอเท่านั้น... ไม่สงสัยบ้างหรือไง ทำไมเวลาคนท้อแท้มักจะมีสายลมพัด หรือเวลาคนเศร้าแล้วฝนตกจะยิ่งคิดมากกว่าเดิม สายฝนที่กระหน่ำมาขวางกั้นสายลมที่สื่อผ่านความห่วงใย มีฝน แรงลมก็เท่ากับศูนย์ แล้วเมื่อนั้นทุกคนที่ไม่ได้สัมผัสความห่วงใยของพระเจ้าจึงเหมือนถูกทิ้งไงล่ะ ทั้งๆที่ท่านก็เฝ้าดูแท้ๆ แต่ก็สื่อไปไม่ถึง....”

    ...ไม่คิดว่าเขาต้องโกหก...นั่นคือตำนาน แต่ที่เกิดขึ้นจริงมันกลับกัน...แต่จำเป็นต้องโกหก....

    “....แต่” เอคเซลอยากจะเถียงจนขาดใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะแย้งยังไง ฟังดูยังไงก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องจริง

    “ไม่ว่าจะที่ไหน ไม่ว่าจะเมื่อไหร่... ท่านก็จะคอยเฝ้ามองดูแลอยู่ห่างๆ ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองเรียกหาพระเจ้าดูซิ...”

    “.......” เอคเซลที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งลังเล แต่พอเห็นสายตาที่แน่วแน่ของชายหนุ่มก็จำยอมตามน้ำ “พระเจ้า...”

    *ฟ้าววววววว*

    สายลมพัดวูบผ่านทั้งสองไป ทำให้รอยยิ้มบางๆ ที่บางจนเหมือนไม่ได้ยิ้มปรากฏบนใบหน้าของชายหนุ่ม

    “....ส...สุ...สุดยอด” ความรู้สึกตกใจ แปลกประหลาดใจ ดีใจและเสียใจ สื่อผ่านออกมาในคำสั้นๆ เธอยกมือขึ้นทาบหัวใจ

    “อบอุ่นใช่มั้ยล่ะ” ซิกเน็ทคลี่ยิ้มออกมามากขึ้น ตาเรียวยาวจับจ้องที่ฟ้า น่าเสียดายที่เอคเซลไม่เห็น “ท่านแม่เป็นคนพูดให้ข้าฟัง และทุกๆครั้งที่ข้าเรียกหาพระเจ้า จะมีสายลมตอบรับทุกครั้ง....”

    “อบอุ่นอยู่หรอกค่ะ” เอคเซลถอดหมวกมากำแนบอก “แต่ก็รู้สึกผิดหวังด้วย”

    “หืม?” ซิกเน็ทมองสาวน้อยอย่างไม่เข้าใจ ...คำพูดของท่านแม่ ไม่เคยมีครั้งใดที่ไม่ได้ผล....

    “ทั้งๆที่เคยเชื่อว่าพระเจ้าสามารถประทานปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้ หากเพียงเราเชื่อในตัวท่าน แต่ถ้าทำได้แค่สามสิ่งนั้นก็คงได้แต่ดูซินะคะ” เอคเซลถอนหายใจ ดวงตาสีรัตนชาติฉายแววเศร้า “เพราะอย่างนั้นที่อ้อนวอนสวดขอทุกค่ำคืน จะในโบสถ์ก็ด้วย หรือทุกครั้งที่ดาวตกก็ไร้ประโยชน์ซินะคะ ได้แค่รับฟังและเฝ้ามองเท่านั้นนี่นา..”

    “เอคเซล...” เขาขานชื่อเธอเบาๆ จริงอย่างที่หญิงสาวพูด เขาเถียงไม่ออก

    เอคเซลใส่หมวกอีกครั้ง “อดีตที่เจ็บปวดยังไงก็ต้องประทับลึกใจใจ ถึงจะขอให้เป็นแค่ฝัน...”

    “ใช่...” ซิกเน็ทเหม่อมองฟ้า “แม้จะผ่านไปนานเท่าไหร่ อดีตน่ะ...” ....ภาพเลือดและศพของหญิงคนหนึ่ง... ถุงยาที่ว่างเปล่า...และฝนที่กระหน่ำ.....ผุดมาในสมองเขาอีกครั้ง... “อดีตก็จะตามหลอกหลอนเสมอ” เขาสบตาเอคเซล “อยู่ที่ตัวเราเองและอยู่กับอนาคต ปาฏิหาริย์ อาจจะแก้ไขอดีตให้ไม่ได้ แต่ก็แก้อนาคตได้นี่นา การจะก้าวผ่านอดีตไม่ใช่เพื่อย้อนไปลบล้างมัน แต่คือสำนึกและใช้เป็นข้อเตือนใจและแก้ไขไม่ให้เกิดซ้ำอีก ดังนั้นนะ...”

    “ดังนั้น?” เมื่อเห็นซิกเน็ทเงียบไป เอคเซลจึงทวนคำอย่างฉงน

    “หากมีอะไรเกิดขึ้น จงดำรงความหวังไว้ ความหวังแม้จะน้อยนิดหรือเลือนรางแค่ไหน ถ้าไม่สิ้นหวังเสียก่อน ถ้าเพียงไม่สิ้นหวังลงง่ายๆ ปาฏิหาริย์ก็ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ ถึงจะแก้อดีตไม่ได้ ยังมีอนาคตรออยู่นะ...”

    “ค่ะ” เอคเซลพยักหน้าก่อนคลี่ยิ้มบ้างๆ “มืดแล้ว ขอตัวไปนอนก่อนนะคะ วันนี้ขอบคุณมากๆ” เธอโค้งให้เขาก่อนจะเดินจากไป ก็ถูกสอนซะเยอะเลยนี่นา

    “ราตรีสวัสดิ์....” ซิกเน็ทกล่าวตอบก่อนจะมองภาพตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายแล้วลุกจากไป

    ในห้องทำงานเอกสารกองสุมหลายกอง แม่ทัพฝ่ายมันสมองนั่งเซ็นเอกสารไม่วางมือ ตาของเขาไม่ละออกจากเอกสารแม้แต่น้อย เทียนไขที่ล่องลอยกลางอากาศนับร้อยเล่มด้วยมนต์บางอย่างทำให้ห้องนี้สว่างพอจะเขียนหนังสือได้ หรือบางทีอาจจะมากเกินพอ บรรยากาศก็งดงามเหลือเกิน ยังไม่พูดถึงลายทองสลักตามผนัง ซิกเน็ทเดินมาเคาะประตูอย่างหน่ายๆ

    “เป็นไง” สนอร์รี่ละสายตามาส่งยิ้มให้แขกเพียงไม่นานก็กลับไปทำงานต่อ “เธอลุกรี้ลุกรนมั้ย? หูโผล่หรือเปล่า?”

    “เอคเซลไม่ใช่มูนไลท์” ซิกเน็ทล้มตัวลงนอนแผ่กับโซฟาในห้องสนอร์รี่ “ไฮแอทกับเอคเซลไม่ใช่มูนไลท์....” สนอร์รี่ยิ้มอย่างพอใจกับคำตอบ ...ตัดไปได้อีกหนึ่ง...

    ซิกเน็ทเหม่อมองไปยังเทียนเหล่านั้น พลางครุ่นคิดบางอย่าง... นี่ที่คุยกับเอคเซล...ทุกอย่าง...แผนงั้นหรือ?....

    -จบบท-

    ฮารูมิ เดอ แซ็งมาร์ส [Harumi De Sangmarz]
    ตำแหน่ง : วิสาร์จ แม่มดคนหนึ่งที่ถูกเลือก
    ผม : น้ำตาลเข้มเหมือนสีของเปลือกไม้
    นัยน์ตา : เขียวมรกต
    ใบหน้า : ใสซื่อเสียยิ่งกว่าทุกสิ่ง
    อายุ : 17
    ของสำคัญ : พ่อแม่ พ่อแม่บุญธรรม และเหนือสิ่งอื่นใด พี่ชายที่หายไป...
    เครื่องประดับบริเวณศีรษะ : สวมหมวกซันเดย์
    อดีต : เกิดเหตุ พี่ชายพาเธอหนี ขณะที่เธอเป็นไข้เขาไปไหนไม่ทราบ ก่อนพ่อแม่บุญธรรมจะมาพบแล้วช่วยเธอไว้
    ความพิเศษ : ประยุกค์เวทย์แสงกับธาตุทั้งสี่ไว้ด้วยกันได้ เพราะร่ำเรียนวิชาจากวิสาร์จ(พ่อ) และพรีส(แม่)

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×