ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cursed Fox จิ้งจอกต้องสาป[Ragnarok Fanfiction]

    ลำดับตอนที่ #1 : สาสน์จากพระเจ้า

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 50


    บทที่1 สาสน์จากพระเจ้า

    พรอนเทร่า เมืองหลวงแห่งรูน มิดการ์ด ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนเช่นเดิม กลางเมืองมีพ่อค้าแม่ขายเชื้อเชิญคนที่ผ่านไปมาให้หลงมาเป็นลูกค้าให้จงได้ ฝีปากในการบรรยายก้อนกรวดเป็นเป็นเพชรนั้นถือว่าหาได้ทั่วไปจากเหล่านักขายพวกนี้ สิ่งยั่วยุจิตใจให้เดินดูของ และร้านอาหารอร่อยๆ หลายๆร้านที่คัดสรรอาหารรสเลิศเพื่อแย่งกันดึงลูกค้ายิ่งทำให้ดูราวกับว่าเมืองนี้มีแต่สีสันเสียจนหาที่สงบจิตใจไม่ได้

    เว้นแต่...

    ระเบียงของห้องนอนห้องหนึ่งในพระราชวัง มีคนนั่งอยู่โดยไม่เกรงว่าจะตกลงไป แม้ว่าจะอยู่ที่ชั้น2ก็ตาม ชายหนุ่มนั่งเหม่อลอยหลังจากลุยกับกองเอกสารที่ค้างไว้นาน เขาพึ่งได้กลับมาจากออกศึกเมื่อไม่นานมานี้ บัญชาจากองค์ราชาให้เขาไปชายแดนเพื่อปราบพวกกบฏ ทั้งที่ไปไม่นานแต่งานเอกสารก็ไม่เคยปราณี แต่ว่า..

    เรือนผมสีทองมอล้อแสงอาทิตย์ปลิวไปตามแรงลมธรรมชาติที่พัดผ่าน ชายหนุ่มยังคงเหม่อลอยไปเรื่อยๆ... ดวงตาสีฟ้าอ่อนๆ จนเหมือนสีของน้ำแข็งทอดไปยังก้อนเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าดังที่มันควรจะเป็น บางครั้ง งานหนักๆ ก็ดีต่อเขา การมีอดีตที่ขมขื่น หากไร้ซึ่งเวลาว่าให้หวนคิด ก็ไม่ต้องเจ็บปวดไม่ใช่หรือ

    แต่สุดท้าย ก็มีเวลาว่าจนได้ซินะ...

    เขาสวมชุดของ Lord of Light อาชีพที่ถือว่าเป็นขั้นสูงสุดของสายพระ แต่ก็น่าแปลก ทั้งๆที่น่าจะช่วยเหลือผู้คน แต่เขากลับเป็นแม่ทัพผู้เลืองนามในฐานะ ฝ่ายทำลายล้าง แต่เอาเถอะ ที่แปลกว่าคือการที่เด็กไร้อนาคตในอดีตตอนนั้น กลับกลายมาได้อยู่ที่ราชวัง ทำงานในตำแหน่งขั้นสูง แทบจะเรียกได้ว่ารองจากองค์ราชาและเทียบเท่าองค์ชายบุญธรรม ผู้เป็นแม่ทัพฝ่ายมันสมองก็เป็นได้

    ชายหนุ่มยังคงนั่งนิ่ง แต่สติได้กลับมาแล้ว เมื่อได้ยินเสียงเดินตรงมายังเขา แต่ก็เลือกที่จะไม่หัน “มีธุระอะไร ท่านแม่ทัพสนอร์รี่....”

    “ทำไมถึงรู้ว่าเป็นผมล่ะครับ?” ด้วยความที่ชายคนนั้นทายถูก เขาถึงถามกลับด้วยความแปลกใจ

    “เป็นถึงมันสมองของกองทัพ มือขวาขององค์ราชา แค่นี้คิดไม่ได้หรือไง?” เขายังคงนั่งในท่าเดิม ไม่สนจะหันไปแม้คนที่เข้ามาก็คือเจ้าชายบุญธรรม มันสมองของกองทัพ “ฐานะของข้าน่ะ รองจากราชาและเท่ากับท่านนะ ไอ้คนที่กล้าถือวิสาสะเข้ามาในห้องผมจะเป็นใครล่ะ องค์ราชาเรอะ? พื้นรองเท้าของพวกเรา Lord of Light ต่างจากรองเท้าพิเศษของท่านราชาอยู่นะ แล้วจะเหลือใครกันล่ะ? ว่าแต่ ฐานะขนาดนี้ แค่มรรยาทจะเคาะประตูก่อนเข้าห้องก็ไม่มีเลยหรอครับ?”

    “สามหาวๆ เคาะแล้ว เจ้าแหละเหม่อจนไม่ได้ยิน” เขาเถียงด้วยรอยยิ้ม ใช่แล้ว แม่ทัพฝ่ายมันสมองเอง ก็เป็น Lord of Light “ฐานะเท่ากัน... ช่วยไม่ได้ ผมไม่ใช่บุตรแท้ๆ จะให้นับถือฐานะเจ้าชายได้ยังไง” สนอร์รี่หัวเราะเบาๆ ก่อนที่จะมองไปยังคนที่เขามาพบ ผู้ซึ่งยังคง.. “ไม่คิดจะหันมาเลยหรือไง ซิกเน็ท?”

    “ถือเป็นบัญชาหรือเปล่าพะยะค่ะ” ชายหนุ่มยังคงนิ่งเหมือนเดิม สนอร์รี่จึงเดินเข้าไปยืนใกล้ๆแทน เครื่องแบบเดียวกันแท้ๆ แต่ผ้าคลุมที่ยาวเรียบร้อยของสนอร์รี่กลับต่างกับชายผ้าคลุมของซิกเน็ทโดยสิ้นเชิง คงเพราะมักจะออกศึกด้วยตัวเอง จนหน่ายที่จะซ่อมแซมเสื้อผ้า “ว่าแต่ หน้าที่ฐานะพระ หรือแม่ทัพกันล่ะ?”

    “หน้าที่ของหัวใจ...” สนอร์รี่ยิ้มอ่อนๆ คราวนี้ได้ผล ซิกเน็ทหันมาสบตาเขาในที่สุด หากแต่เป็นสายตาที่ใครเห็นล่ะก็ ขอบายดีกว่า หน้าสวยๆของซิกเน็ท พอทำหน้าดุๆละก็ ราวกับจะฆ่าคนด้วยสายตาได้ซะอย่างนั้น “ยอมหันมาแล้วหรอ?”

    “วาจากวนเหมือนเดิมนะ ดีใจเสียจริงที่ทำงานคนละด้าน ไม่งั้นละก็.... เฮ้อ...” ซิกเน็ทถอนหายใจ ก่อนจะสบตาสนอร์รี่ คราวนี้เป็นสายตาที่จริงจังกับการงาน สายตาที่ต้องการคำตอบที่แท้จริง แม้ว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตเขายิ่งไปกว่านี้ ชีวิตของแม่ทัพผู้สันโดษและเกลียดการอยู่กับกลุ่มคนที่วุ่นวาย

    “พระเจ้า... ต้องการพบพวกเราแน่ะ”


    สองหนุ่มในชุดบาทหลวงธรรมดาเร่งฝีเท้าเท่าที่ทำได้ตรงไปยังโบสถ์อันใกล้ เมื่อมาถึงหลังโบสถ์อันเรียงรายไปด้วยสุสาน สนอร์รี่ก็อดที่จะถามไม่ได้ระหว่างที่ล้วงหาของ “ซิกเน็ท ข้าถามจริงๆ หลุมศพสวยหรู แผ่นจารึกสลักอย่างดี แค่เจ้าเปรยๆออกมาก็ทำได้แล้วแท้ๆ ทำไมถึงไม่ทำ... จนทำให้ยากแก่การเยี่ยมหลุมศพแม่เจ้า...”

    “......หึ” ฝ่ายทำลายล้างทำหน้าฉุนเล็กน้อยที่โดนถามเรื่องนี้ แต่เหมือนวางที่เป็นฉุนเสียมากกว่า ใบหน้านิ่งเฉยกลับฉายแววอ่อนโยนอย่างที่พบได้ยากจากคนๆนี้ “แม่หลับอย่างสงบที่นั่นแล้ว เป็นหน้าที่ของลูกไม่ใช่หรือไง ที่ต้องไปหา ไม่ใช่ให้ท่านลำบากย้ายมาน่ะ...”

    “......” ตราสัญลักษณ์ความเป็นพระขั้นสูงถูกดึงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ก่อนจะทาบกับลายสลักบนกำแพงโบสถ์ ประตูมิติถูกเปิดออกช้าๆ ก่อนร่างทั้งสองจะเดินเข้าไป “พอเข้าใจที่คนอย่างเจ้ามาถึงขั้นนี้ได้แล้วล่ะ นึกว่าทำเป็นแต่ทำลายล้างให้เรียบซะอีก บ้าพลังแบบนี้ก็ยังแอบน่ารักแอบใจงดงามอยู่บ้างนี่นา”

    “จะชมหรือหาเรื่องกันแน่พะยะค่ะ?” ซิกเน็ทฉุนเล็กน้อย ตอนนี้พวกเขาทั้งสองมาถึงวิหารที่พระเจ้ารอพวกเขาอยู่.. ไม่ซิ เรียกว่า พระเจ้า แต่ใช่พระเจ้าแน่ๆหรือ?

    ที่นี่ มีโลกที่โคจรใกล้ๆกันอยู่3ใบ โลกแรกโลกมนุษย์ธรรมดา ผู้มีพลังเวทย์มนตร์สถิตอยู่เล็กน้อย แต่สรรหาสื่อพลังที่ดึงความสามารถช่วยได้ พลังกำลังปานกลาง ซึ่งเป็นโลกหลักของทั้งสามโลก อีกโลกหนึ่งงดงามราวกับสวรรค์ ลักษณะทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตในโลกนี้เป็นเหมือนมนุษย์ที่มีปีกสีขาวบริสุทธิ์ เชี่ยวชาญเรื่องเวทย์มนตร์ แต่ใฝ่หาความสบาย ส่วนโลกสุดท้าย เต็มไปด้วยหุบเหวและทางลาวา ภูเขาไฟที่พร้อมปะทุ ท้องฟ้าที่เป็นสีแดงฉาน และสิ่งมีชีวิตรูปร่างประหลาด ส่วนมากติดจะอัปลักษณ์ มีพลังเวทย์เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดา หากแต่ด้อยกว่าพวกมีปีกขาวอยู่พอควร แต่พละกำลังมหาศาล พวกชั้นสูง พลังแก่กล้าหน่อยก็มีร่างกาย2ร่าง ร่างประหลาดๆนั่น หรือร่างที่เหมือนมนุษย์ แต่ยากที่จะคงไว้ซึ่งภาพลักษณ์นี้

    มนุษย์นั้น ถูกฝ่ายที่ถูกขนานนามว่า ปิศาจ เข้าพบเจอก่อน ด้วยเหตุที่รูปลักษณ์น่ากลัวและอัปลักษณ์บ้าง จึงทำให้ผู้คนตื่นกลัว ขณะนั้นเอง เทพ ในสายตาทุกคนก็มาพบทางเชื่อมโลกมนุษย์เช่นกัน ด้วยความที่เห็นความแตกต่าง จะเข้าฆ่าทั้งมนุษย์และปิศาจ แต่เห็นปิศาจแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก จึงเข้าสู้ปิศาจก่อน สิ่งที่อ่อนแอ ไว้เก็บเมื่อไหร่ก็ได้

    ผู้มีปีกสีขาว ได้ล้มปิศาจตนนั้น แต่ก่อนมันจะสิ้นลม ก็มีพวกปิศาจด้วยกันมายังโลกนี้ และช่วยตนนั้นกลับไป ผู้มีปีกสีขาวเจ็บใจเล็กน้อย ที่ศึกที่ตื่นเต้นนี้จบแบบไม่ถูกใจเขาซักเท่าไหร่ ศาสตราที่อยู่ในมือ ถูกกำแน่นรอการปลิดชีพของเหยื่อ รายต่อไป ทว่า...

    มนุษย์ผู้ไม่รู้เดียงสา ได้โห่ร้องอย่างยินดี และสรรเสริญว่าเป็นสิ่งงดงาม สิ่งที่มาเพื่อปกป้องตน สิ่งที่น่านับถือและบูชา... เมื่อถูกมองจากภาพลักษณ์ภายนอกเช่นนั้น แม้จิตใจของสายพันธุ์ทั้งสามก็มีทั้งดีเลวปะปนกันไปแท้ๆ แต่นี่ก็เป็นเหตุให้ความเชื่อเปลี่ยนไป

    ผู้มีปีกสีขาวถูกมองว่าเป็นสิ่งงดงาม บริสุทธิ์ เป็นเครื่องหมายของความดี สีขาวจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของความดี มนุษย์ที่โง่งมบูชาเทิดทูนผู้มีปีกคนนั้น และได้ขนานนามว่าสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์ รูปร่างผิดแปลกเป็นดังปิศาจ ชั่วช้า ต่ำทราม เป็นเครื่องหมายของความชั่ว น่ารังเกียจ และต้องทำลาย

    เมื่อผู้มีปีกได้กลับไปยังมิติตน ก็ได้เล่าเรื่องของเหล่ามนุษย์โง่เขลานั่น ว่าบูชาโลกนี้เช่นไรบ้าง โดยไม่รอช้า กลุ่มคนมีปีกรีบยกพวกกลับมายังโลกมนุษย์ และสั่งให้เขียนตำรา ว่าเทพ คือสิ่งประเสริฐ ควรค่าแก่การบูชา เคารพ และนับถือ ปิศาจคือสิ่งชั่วช้าควรค่าแก่การทำลาย ประณาม และเกลียดชัง ให้ยกย่องตน และผู้มีปีกคนหนึ่งก็ได้เป็น พระเจ้าของเหล่ามนุษย์

    ฝ่ายปิศาจ เมื่อมาช้าไป มนุษย์ที่ถูกหลอมความเชื่อแบบผิดๆจนฝังใจจึงขับไล่ไสส่ง ไม่สนใจแม้ว่าปิศาจที่ชั่วร้ายบางตน จะมีจิตใจงดงามยิ่งกว่าเทพที่แสนดี ในไม่ช้า ปิศาจก็ทนไม่ไหว เข้าบุกโลกเพื่อจะหาจุดเชื่อมต่อไปยังโลกของผู้มีปีก

    เมื่อตระหนักถึงพลังอันแก่กล้าของปิศาจ เทพจึงรีบร่างสัญญาในทันที แล้วเข้าเสนอต่อปิศาจ ปิศาจและเทพได้ไปคุยกันในที่ๆ มนุษย์ไม่สามารถติดตามเข้าไปได้ เทพที่แสนดี ได้อ้างว่า มนุษย์ปักใจเชื่อแบบนั้นตั้งแต่แรก พวกตนไม่รู้ความอะไรเลย เมื่อมนุษย์ขอให้ช่วยเหลือ จึงลงมาช่วยเท่านั้น แต่เมื่อรู้ว่าเป้าหมายคือพวกตน จึงต้องการเจรจา

    ปิศาจได้เถียง ว่ามนุษย์อ้างถึงพระเจ้า ซึ่งเป็นผู้มีปีกสีขาวเช่นเทพ เหตุใดถึงกล่าวว่าไม่ได้ไปกรอกหูมนุษย์พวกนั้น คำแก้ตัวที่ถูกพูดออกมาคือ พวกมนุษย์น่ะไร้ซึ่งเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ พอมีแนวคิดเรื่องพระเจ้า เอะอะก็เป็นบัญชาพระเจ้าไปเสียหมด พวกตนไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น แต่ก็เอ็นดูในความอ่อนแอของมนุษย์เหมือนกัน แต่ถ้าทำให้ปิศาจต้องเข้าใจผิดแบบนี้ มาร่างสัญญาสงบศึก แล้วผูกโลกทั้ง3 ให้เชื่อมกัน อยู่อย่างสันติไม่ดีกว่าหรือ

    และแก้แค้นความงี่เง่าของมนุษย์...

    ปิศาจตอบตกลง แต่สุดท้าย ผู้ที่รอดในโลกมนุษย์ได้ ก็คือพวกที่จำแลงเป็นมนุษย์ได้เท่านั้น ส่วนการมาดังกล่าว เกิดไวรัสประหลาด ทำให้รูนมิดการ์ดเต็มไปด้วยสัตว์ประหลาดที่ไร้ซึ่งที่มา มีทั้งพวกสู้เมื่อถูกหาเรื่อง กับพวกเห็นมนุษย์ก็เข่นฆ่า

    พระเจ้า และพวกเทพที่แสนจะรักสบายจึงขอร้องฝ่ายปิศาจ ให้ช่วยส่งคนมาประจำตามจุดต่างๆ เพื่อกักมิให้สัตว์กลายพันธุ์เหล่านี้ทำร้ายมนุษย์ได้หรือไม่ ด้วยความใจดีของปิศาจจึงตกลงช่วยอย่างเต็มใจ กำเนิดMVP ที่พระเจ้าอีกแล้ว ไปกรอกหูมนุษย์ว่าปิศาจร้ายจะทำลายโลก...

    มีเพียงสนอร์รี่และซิกเน็ทเท่านั้น ที่ยิ่งลึกเข้าไปในศาสนจักรนี้เท่าไหร่ ยิ่งรู้ถึงความจริงมากเท่านั้น...

    พระเจ้า ที่บรรพบุรุษมันได้กรอกหูมนุษย์ ยืนยิ้มต้อนรับอยู่ ทั้งคู่ยิ้มตอบ สวมหน้ากากแกล้งโง่ จนกว่าจะทำให้ทุกคนฉลาดได้... ต้องทน “ท่านผู้สูงส่ง ไม่น่าลำบากออกมารับมนุษย์ต่ำต้อยอย่างพวกเราเลยนะครับ”

    “ไม่เป็นไร... มา มีเรื่องจะคุย ข้างในจะสะดวกกว่านะ...” พระเจ้าคนปัจจุบันเดินเข้าไป ก่อนจะหยิบเครื่องดื่มขึ้นจิบอย่างสบายอารมณ์ แล้วเดินไปนั่งที่บัญลังก์ สองมนุษย์นั่งลงคุกเข่า น่าเอ็นดูเหลือเกิน มนุษย์ที่โง่งมในสายตาพระเจ้า “เคยได้ยินเรื่องไวรัสร้อยปีมั้ย?”

    “ครับ...” สนอร์รี่ขานรับ

    “ผมเกรงว่าไม่ครับ...” ซิกเน็ทกล่าวก่อนเงยหน้าสบตา

    “เป็นไวรัสประหลาดน่ะ ทำให้มนุษย์ กำเนิดคนพิเศษได้ ผู้ที่มีพลังเวทย์สูงเช่นเทพอย่างพวกข้า และพลังกำลังมหาศาลอย่างปิศาจ แต่อยู่ในรูปลักษณ์ของมนุษย์.... และ... มีเหตุให้กลายร่างเป็นMVPได้ เจ้ารู้ใช่มั้ยหมายถึงอะไร...”

    “บ้าคลั่ง และสังหารไม่เลือกหน้า... ซินะครับ” ซิกเน็ทตอบ พระเจ้าพยักหน้าก่อนเอ่ยต่อ

    “ปิศาจเองก็มีการเคลื่อนไหว มีกลุ่มที่ต่อต้านสัญญา และก่อกบฏต่อปิศาจด้วยกัน... ถ้าตามหาผู้ถูกไวรัสนั่นแล้วจับเข้าฝ่ายเจ้าได้จะช่วยได้มาก ศึกนั้นจะมาในเร็ววัน ถ้ามีการเรียกตัว ขอให้จับคู่กันทำงานด้วยกันเถอะนะ... หน้าที่นี้พวกเราเทพเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ หวังว่าจะฝากความหวังกับพวกเจ้าได้นะ”

    “เข้าใจแล้วครับ จะรีบกลับไปเตรียมรับมือครับ ขอลา” สนอร์รี่ตัดบท ก่อนจะเดินนำออกไป ซิกเน็ทเดินตาม ก่อนจะหันกลับไปหาพระเจ้า

    “ท่านครับ ไวรัสร้อยปีคราวนี้... MVPตัวไหนหรอครับ?”

    “....” พระเจ้ายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบ “Moonlight Flower....”

    “เฮ้อ...” หลังจากเดินออกมาแล้ว ซิกเน็ทก็ถอนหายใจเสียยาว จนสนอร์รี่แปลกใจ เจ้าตัวกล่าวออกมาอย่างหน่ายๆ ระหว่างเดินกลับเข้าไปในวัง “หลงดีใจแท้ๆ ว่าที่ผ่านมาอยู่คนละส่วน ทำไมอยู่ๆซวยต้องมาทำงานคู่กันละเนี่ย....”

    “เกินไปๆ แต่นะ....” สนอร์รี่มองแม่ค้าที่ล่อลวง(??)ลูกค้าคนนึงอยู่ “วาทศิลป์ของพระเจ้านี่ พอๆกับพวกพ่อค้าแม่ค้าเลยแฮะ.... พูดให้น่าเชื่อน่าเห็นใจเสียจริง...”

    “คราวนี้พวกเราโดนหลอกอะไรอีกล่ะ ท่านสนอร์รี่” ซิกเน็ทรีบถามทันที ถึงเขาฉลาดพอจะมองออกว่าพระเจ้าน่ะหลอกลวง แต่ก็ยังตามเกมไม่ทันอยู่ดีเมื่อเข้าพบ เหตุนั้นเขาถึงต้องพบพระเจ้าพร้อมสนอร์รี่อยู่เสมอ จนพระเจ้าชินที่จะเรียกทั้งสองพร้อมกันไปแล้ว

    “ไอ้เรื่องให้พวกเราช่วยทำให้แทนน่ะ ก็ขี้เกียจเหมือนปกตินั่นแหละ นี่ต่างหากล่ะที่สำคัญ... หึ พูดซะสวยหรูเลยนะ ไวรัสร้อยปี....” สนอร์รี่ยิ้มแสดงความดูแคลนมันสมองของเหล่าพวกมีปีกนั่น พวกที่ใช้สมองแต่ในทางที่สบายตน “บังเอิญมีพวกมอนส์เตอร์กำเนิดในโลกมนุษย์ จากทฤษฎีไวรัสจากสงคราม เลยนำมาอ้างให้ตัวเองรอดพ้นน่ะซิ ช่างถนัดเสียจริงเลยนะ การแถไปเรื่อยของพระเจ้าเนี่ย....”

    “ชักไม่อยากฟังซะแล้วซิ” ซิกเน็ทหลับตาลง นี่เขาต้องทนรับกับเรื่องต่ำทรามแบบนี้ถึงเพียงไรกัน “ว่ามาซิ”

    “ไหนว่าไม่อยากฟังไงล่ะ” สนอร์รี่ถามกลับอย่างแปลกใจ ซิกเน็ททำหน้าไม่พอใจพลางส่งสายตาอาฆาต เขาถึงจะนึกออก ว่าคนตรงหน้ากลบเกลื่อนบางอย่าง ...ก็น่ารักดีนี่นา เจ้าตัวทำลายล้าง.... “ขอบใจนะ...”

    “ข... ขอบใจอะไรเล่า!” ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยเมื่อถูกรู้เข้าจนได้ ก็คนที่ทรมานที่สุด จะไม่ใช่มันสมองที่มองออกทุกอย่างหรือไงกัน แล้วยิ่งต้องเก็บเป็นความลับอีก... อย่างน้อยก็อยากเป็นคนที่ช่วยเป็นที่ระบายทุกข์ให้ได้

    “ไวรัสร้อยปีน่ะ หลอกลวงทั้งเพ มันไม่ได้เกิดขึ้นเองหรอกนะ... แต่เป็นสิ่งที่พวกนั้นทำให้เกิด....” ซิกเน็ทดวงตาเบิกกว้าง แม้จะไม่มีอาการผงะอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาตกใจ ไม่ว่าจะฟังมากี่เรื่องก็ไม่ชินเสียที ความชั่วช้าของผู้มีปีก “เมื่อครั้งที่ปิศาจบุกโลกมนุษย์เพื่อหาประตูเชื่อมไปยังโลกผู้มีปีก พวกนั้นคิดว่าเป็นการดี...ได้ระบายอารมณ์ แต่เมื่อรู้ว่าสู้ไม่ได้ ก็อ้างว่ามนุษย์ดึงตนเข้าสงคราม แล้วกำเนิดสัญญาระหว่างเทพกับปิศาจ...”

    “เหยื่อของสัญญานั่น ก็คือ ผู้ที่ถูกไวรัสร้อยปี.... อาจจะพูดได้ว่า นรกไม่รับ สวรรค์ก็รังเกียจ ทั้งๆที่มีเชื้อของพวกนั้น มีทั้งสามเชื้อ รูปลักษณ์จะอยู่ในแบบของมนุษย์ทั่วไป พลังเวทย์เท่าเทพ พละกำลังเท่าปิศาจ มันสมองแล้วแต่บางคน แต่อย่าคิดว่าไร้เทียมทาน..... เพราะบางครั้งพลังที่มากไปก็มีผลย้อนเป็นการทำให้ร่างกายอ่อนแอได้ แล้วยิ่งการตายน่ะ... โศกนาฎกรรมเลยล่ะ....”

    “ถึงขนาดนั้นเลยหรอ?” ซิกเน็ทถาม แต่ก็ยังไม่เห็นภาพว่าจะเป็นแบบนั้นเช่นไร สนอร์รี่ยิ้มให้

    “พวกนี้มักจะถูกฆ่าเมื่ออยู่ในร่างปิศาจ แล้วพอตายแล้ว จะกลับคืนสู่ร่างมนุษย์.... ลองคิดเอาจากที่เคยเกิดขึ้นนะซิกเน็ท ในบ้านของนาย ลูกน้อยของนายหายไป มีปิศาจแสนร้ายกาจอยู่ ไม่เหลือใครในบ้าน นายจะคิดว่าลูกหายไปเพราะใครล่ะ... แล้วก็ไล่ฆ่าปิศาจตนนั้น แม้มันจะไม่ตอบโต้ แล้วเมื่อมันตาย.... ก็กลับมาเป็นลูกน้อยของนายที่ไร้วิญญาณ....”

    ชายหนุ่มหยุดเดินในทันที เกินไปจริงๆ... เกินจะรับไว้จริงๆ... ร้ายเหลือเกิน.... ผู้มีปีก ความเห็นแก่ตัวของพวกท่านช่างน่าชังเสียยิ่งนัก.... รับไม่ได้......ปวดใจ....

    แปะ

    สนอร์รี่จับบ่าของเขาแล้วยิ้มให้ “เพราะการนี้ ผมถึงมีชีวิตอยู่ไงล่ะซิกเน็ท เพื่อไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง เพื่อจะช่วยปลดเปลื้องเพื่อนมนุษย์จากเกมของพวกนั้น... แต่คุณน่ะ ถ้าไม่ไหวก็ถอนตัวได้นะ ผมชินแล้วล่ะ... ผมเจออะไรมามาก ไม่ใช่องค์ชายที่แสนสุขสบาย.... ดังนั้น ต่อให้ผมต้องทำต่อไปคนเดียว ผมก็จะทำ”

    “ใครจะยอมให้มันสมองได้หน้าล่ะ ฝ่ายทำลายล้างยังไงก็ต้องเด่นกว่า...” ซิกเน็ทพูดเสียงเย็น แต่สนอร์รี่ยิ้มชอบใจ การแสดงออกของคนๆนี้ สำหรับเขาก็ไม่ต่างจากเด็กดื้อ ทำฟอร์มพูดดี เจ้าเด็กดื้อเหมือนนึกอะไรบางอย่างได้ “ทั้งๆที่เก่งเวทย์เช่นนั้น ใช้เวลาไม่นาน คงระบุตำแหน่งโลกปิศาจได้ แล้วทำลายให้สิ้นก็ได้ ทำไมถึงเลือกจะไม่ทำ"

    “ลืมอะไรไปหรือเปล่า... ถ้าไม่มีปิศาจ แล้วจะใช้อะไรอ้างว่าให้บูชาเพื่อตนจะได้ปกป้อง.....”

    “...ท่านไปรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกัน..... โดยเฉพาะไวรัสร้อยปี....”

    สนอร์รี่เงยหน้ามองหน้าวังของเขา บ้านหลังปัจจุบัน ก่อนจะยิ้มอ่อนๆ

    “เพื่อนปิศาจของผมให้ความช่วยเหลืออยู่บ้างน่ะครับ.... จะเรียกว่าสายสืบก็อาจจะได้”

    -จบบท-

    ซิกเน็ท สตราเวนเซีย [Cygnet Stravensia]
    ตำแหน่ง : มือซ้ายของราชา แม่ทัพฝ่ายทำลายล้าง
    ผม : ทองมอยาวซอยประบ่า
    นัยน์ตา : เรียวดุจเหยี่ยวสีฟ้าเหมือนน้ำแข็ง
    ใบหน้า : เรียกได้ว่า...อืม... หน้าหวานนะ แต่คิดว่าคงจะเกือบสวยแล้วล่ะ
    อายุ : 17
    ของสำคัญ : ต่างหู และสร้อยรูปกางเขนเงิน
    เครื่องประดับบริเวณศรีษะ : ไม่สวมใส่
    อดีต : แม่ตาย... (สั้นไปไหม?)
    ความพิเศษ : รับพลังจากเทพแห่งรุ่งอรุณ ออโรร่า จิตใจเทียบเท่าแม่พระที่หาได้ยากในหมู่ผู้มีปีก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×