คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : อ้อมกอด
บทที่7 อ้อมกอด
วิสสาวเดินลงเท้าจนเกิดเสียงดังตึงตังหวังให้ความโมโหของเธอได้ระบายออกไป ปากเรียวบางชวนหลงใหลขยับขมุบขมิบไม่หยุดเหตุที่เธอพึมพำไปมาว่า
ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม
ทำไมต้องเข้าข้างคนๆนั้นด้วยน่ะ! แอดดิคน่ะพอว่า ยังไงเพื่อนก็ต้องเข้าข้างเพื่อน พี่เขาสนิทกับคนๆนั้น แต่คุณซิกเน็ทนี่ซิ ทำไมกัน!! ทำไมคนนั้นต้องเข้าข้างคนๆนั้น ปกติก็เฉยๆแท้ๆ ทั้งที่เจ้านั่นยิ้มร่าเริงอย่างนั้นทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์แบบนั้น ไร้หัวใจนั่นแหละ ... ถึงจะเถียงเรื่องนั้นไม่ได้ก็เถอะนะ.....
...หากเขาไร้หัวใจจริงๆ จะทนยืนเงียบอยู่โดยไม่ปริปากบ่นหรือปริยิ้มได้อย่างไร....
ก็แค่... ไม่กล้าพูดละมั้ง... แต่ ยังไงก็แย่นั่นแหละ มองยังไงก็หาข้อดีไม่ได้!!!! แต่ว่า....
ความคิดสับสนหมุนเวียนเข้ามาเรื่อยๆ แต่แล้วก็ต้องหยุดเมื่อเห็นร่างของคนที่เธอบอกว่าไร้หัวใจยืนนิ่งอยู่ จะทำอะไรล่ะนั่น ด้วยความที่อยากเอาชนะ จึงทำให้เธอตัดสินใจหลบแถวๆนั้นเพื่อหาข้อยืนกรานว่า เจ้ากาโม่ มันไร้หัวใจดังที่เธอได้พูด...
แต่แล้วเธอก็ต้องตกใจ
“โธ่เว้ย!!!” ซามุไรหนุ่มโวยวายพลางชกทุกอย่างที่อยู่แถวนั้น “อะไรวะ!! ทำไมไม่รู้ก่อนวะ!! เวรเอ๊ย!! ทำไมต้องให้คนตายขนาดนี้ก่อนวะ!!!!!!!” เขาหยุดหอบอย่างเหนื่อยอ่อน แล้วทรุดลงกับพื้น ก่อนที่สองมือจะชกกับพื้นอย่างหัวเสีย “....ทำไม....... จะต้องเกิดขึ้นอีกกี่ครั้ง... คนต้องตายอีกกี่คน........”
..กาโม่...นายไม่ได้..... ฮารูมิตกใจกับภาพที่เธอได้เห็น
“ย๊าาาาา!!!!” กาโม่ชักดาบออกมาฟันของแถวนั้น ซากต่างๆ ที่ดูแย่อยู่แล้วก็แย่ลงไปอีก ปากก็สบถคำต่างๆ นานา แต่ทุกอย่างก็เกี่ยวกับการที่เขาสะเทือนใจกับบ่อเกิดของหลุมศพเหล่านั้น...
หลังจากทำลายทุกอย่างจนไม่เหลืออะไรให้ผลาญในรัศมีรอบตัว มือไม้ก็อ่อนจนดาบตกลงข้างตัว เขาพึมพำเบาๆ แต่เบาขนาดไหนก็เสียดแทงใจฮารูมิทั้งนั้น....
ทำไม...
ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม
คำที่บ่นออกมาเหมือนกัน ในความคิดที่ต่างกัน คิดเรื่องคนอื่น กับคิดเรื่องตัวเอง.... ฮารูมิสะอื้นเล็กน้อยเมื่อคิดเรื่องนี้ แต่ต้องสะอื้นมากเมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้ เธอมองไปทางชายหนุ่มอย่างตกใจ
ดวงตาสีทองคำเลอค่าเอ่อคลอไปด้วยน้ำตา ใบหน้าคมสันกำลังโศกเศร้าด้วยความทุกข์ใจแสนสาหัส...
...ว่ากันว่าชายชาตรีนั้น เสียน้ำตายากนักหนา... แต่คนๆนี้กลับร้องไห้ให้กับคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงได้อย่างนี้...ตัวฮารูมิเองนั้นแค่เศร้าจนยิ้มไม่ออก แต่คนๆนี้... ร้องไห้.... คำพูดของแอดดิคกลับมาอีกครั้ง เธอรับรู้แล้วว่าจริงๆนั้น คำพูดที่แอดดิคยังพูดไม่จบ..ทำใจพูดไม่ได้ คืออะไร... และเรื่องที่เธอไม่รู้......
...อ่อนแอ....
อ่อนไหวมากจนหัวใจแตกร้าว อ่อนแอมากแต่ก็ไม่อยากให้ใครรับรู้ถึงความอ่อนแอของตน... คำว่าผู้ชายไม่ร้องไห้เป็นสิ่งที่คอยบีบให้เขาต้องทำอย่างอื่น ละครตกตา.. รอยยิ้มที่เริงร่าคือหน้ากากแห่งการละครที่ต้องแสดงให้แนบเนียนที่สุดที่ฮารูมิได้เจอมาตั้งแต่เกิด... ส่วนเหตุผลที่คนอื่นดูออกก็เพราะเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนซินะ.. ที่เขาเดินออกมา หนีออกมาก็เพราะทำนบน้ำตากำลังจะล้นเอ่อออกมา ต้องหาเรื่องเดินออกมาแล้วระบายให้หมด... ทั้งที่เขาแสนจะอ่อนโยนขนาดนั้นแต่เธอกลับ....
ฮารูมิตัดสินใจเดินออกมาจากที่ๆ เธอซ่อนตัว กาโม่ที่ได้ยินเสียงคนเดินมาก็รีบเช็ดน้ำตา ก่อนจะหันมายิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ท่านนอรี่ส่งมาให้ช่วยหรอ?” เขายิ้มร่า สดใส “ไม่ต้องก็ได้ ทางนี้ฉันหาคนเดียวไหว สบายมาก เอิ๊ก~” มีการหัวเราะเล่นกลบเกลื่อนอีกยิ่งทำให้ฮารูมิทนต่อไปไม่ไหว
“ฮึก....” หยาดน้ำใสๆ ไหลออกจากดวงตาสีเขียวเหมือนหยาดน้ำค้างยามเช้าร่วงหล่นจากใบไม้ไหว น้ำตาค่อยๆหยุดลงมาอาบแก้มช้าๆ เธอก้มสะอื้น เสียงใจกับคำพูดที่กล่าวหาคนๆ นี้ทั้งๆที่เธอน่ะไม่รู้จักเขาดีพอ แต่กลับพูดคำๆนั้นออกไปเสียแล้ว... พูดว่าคนที่แสนดีคนนี้... เธอทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยอย่างยิ่ง....
“อ...เอ่อ....” กาโม่ตะลึงกับภาพตรงหน้า อยู่ๆ หญิงสาวก็เดินมาแล้วร้องไห้ เป็นใครจะตั้งตัวถูก โดยเฉพาะเขาที่ห่างไกลกับคำว่าผู้หญิงไปนาน “เฮ้ๆๆๆ ร้องไห้ทำไมล่ะเนี่ย ไม่เอาๆๆ” กาโม่ลุกรี้ลุกรนก่อนจะเอานิ้วชี้ทั้งสองมือจิ้มมุมปาก “ไม่เอาน๊า ร้องแล้วขี้เหร่ไม่สวยเลยนะ ยิ้มซินะๆ น่ารักกว่าเยอะเลยนะ หยุดร้องเถอะนะ...”
เมื่อเห็นกาโม่ปลอบเธอยิ่งเจ็บใจกับคำพูดที่พูดไป เด็กสาวจึงปล่อยโฮออกมาหนักกว่าเก่า “อ... เฮ้ย! ไหงร้องหนักกว่าเก่าล่ะเนี่ย” กาโม่ยิ้มอย่างลำบากใจ ไม่ถนัดซะด้วยซิ กับการปลอบใครซักคน จะใช้วิธีตบหัวแบบที่แกล้งแอดดิคประจำก็คงใช้กับผู้หญิงไม่ได้ ไอ้การพูดปลอบนี่มันไม่ถนัดเลยจริงๆ แต่ยังไงก็ต้องทำให้หยุดร้องให้ได้!!
“ข....ข.....ขอ....” ฮารูมิพยายามพูดบางอย่าง แต่ก็ถูกเสียงสะอื้นไห้กลืนคำพูดกลับเข้าไปทุกที ไม่ว่าจะเค้นออกมาเท่าไหร่ เสียงสะอื้นก็เอาชนะเข้ามาแทนคำพูดได้เสมอ ฮารูมิกัดริมฝีปากก่อนจะฝืนพูดอีกครั้ง แต่ก็ล้มเหลวเหมือนเดิม น้ำตาไหลเพิ่มเป็นเท่าทวี
“ใจเย็นๆก่อนนะ.. เลือกทำซักอย่าง... เป็นสาวเนี่ยอย่าหลายใจซิครับ จะร้องก็ร้อง จะพูดก็พูด เลือกหน่อยนะ” กาโม่ถอนหายใจก่อนจะยิ้ม ใบหน้ายิ้มนั้นแฝงความอ่อนโยน ฮารูมิรู้สึกเหมือนถูกเสียดแทงให้รู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจยิ่งขึ้นไปอีก เธอสวมกอดกาโม่แล้วหลับตาลง ซบแนบอกชายหนุ่มก่อนจะปล่อยโฮออกมา ราวกับอ้อมกอดของเธอเพื่อแลกกับคำขอโทษที่ยังมิอาจเอ่ยออกไปได้ ชายหนุ่มเมื่อเห็นว่าตนกล่อมให้เธอหยุดร้องไม่ได้ จึงปล่อยให้ร้องต่อไป และคอยลูบผมสีเปลือกไม้ของเธอเพื่อปลอบปะโลม เขากระซิบเบาๆ “ปล่อยออกมาให้สุดๆ... ร้องให้สะใจ แล้วลืมมันซะเถอะนะ” ฮารูมิพยักหน้าเบาๆ
....ทั้งๆที่ฉันพูดอย่างนั้น... ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน....
...ทั้งๆที่ทำให้เจ็บปวดด้วยคำพูดไร้สตินั่นแต่พอเห็นฉันเศร้า ทำไมถึงปลอบให้ฉันหายโศก....
....ถึงเธอไม่รู้ แต่การที่เธอทำตัวอ่อนโยนมีน้ำใจกับฉันแบบนี้....มันยิ่งทำให้ฉันสำนึกผิดที่กล่าวว่าเธอไว้นะ...
...ใช้ความอ่อนโยนมันช่างบาดลึกยิ่งเสียกว่าการด่าทอ...เหมือนตอกย้ำว่าฉันต่างหากที่เป็นคนไม่ดี....
...ได้โปรดเถอะ...ได้โปรด ตัวเราโปรดหยุดร้องเสียที...ทำไมถึงพูดออกไปไม่ได้นะ... หยุดสะอื้นทีเถอะ...
ฮารูมิผละออกมาพลางพยายามกลืนน้ำตา แต่ไม่วายก็ยังสะอื้นอยู่ กาโม่ส่ายหน้าช้าๆ ก่อนจะใช้มือช่วยเช็ดน้ำตาสวยน้อยเบาๆ เธอจับมือเขาให้หยุด ก็ความใจดีเขาอีกแล้วที่เค้นน้ำตาของเธอ เธอพยายามรวบรวมแรงพูดคำนั้นออกมาได้ในที่สุด “ขอโทษ.....”
“...หือ??” กาโม่แกล้งทำไขสือ หวังเรียกเสียงหัวเราะ หรือโวยวายจากหญิงสาว “ที่มากอดหรอ แหม ว่าไงดีล่ะ เกิดมาหล่อก็เสน่ห์แรงอย่างนี้แหละ แต่ก็ไม่เสียใจที่ถูกผู้หญิงจู่โจมหรอกนะ โอ๊ย ภูมิใจเหลือเกิน คราวหน้ากอดอีกหรือทำมากกว่านั้นไม่ต้องขอโทษก็ได้ คนหล่อคนนี้อนุญาตครับผม~”
“ตาบ้า!!” ได้ผล ฮารูมิหัวเราะออกมาทันที “ไม่ใช่เรื่องนั้นซักหน่อย พึ่งจะรู้นะเนี่ยนายหลงตัวเองแบบนี้เชียวหรอฮะ” เธอทำหน้ามุ่ย “ขอโทษที่ว่าไร้หัวใจต่างหากล่ะ ขอโทษนะคะที่พูดไปทั้งๆที่ยังไม่รู้จักกันดี”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไรหรอกครับ...” กาโม่ยิ้ม “ผมทำตัวให้คุณคิดอย่างนั้นเอง เราทุกคนมีสิทธิ์จะเข้าใจผิดทุกเวลานั่นแหละครับ” เขามองหาผ้าสะอาดๆ หวังจะให้เธอเช็ดน้ำตา แต่อยู่กลางซากแบบนี้จะเจอมั้ยเนี่ย “ไม่เห็นผ้าสะอาดเลยแฮะ เอาผ้าเช็ดหน้าตัวเองมาเช็ดเถอะ ร้องไห้จนขี้มูกกับเครื่องสำอางเละไปหมดแล้ว!”
“บ้า!!! ไม่ได้แต่งหน้าย่ะ สวยธรรมชาติ อีกอย่างน้ำมูกก็ไม่มี” เธอโวยวายเถียง
“จ้า คนสวยหน้าตาดี คนน่ารัก งามเลิศล้นในผืนแผ่นดินนี้” กาโม่พูด ซึ่งกำลังจะพูดต่อก็ถูกฮารูมิเขกหัว เชาหัวเราะอย่างไม่ถือสาก่อนจะเดินไปหยิบดาบมาใส่ในฝักดาบ ฮารูมิมองตามพลางยิ้มอ่อนๆ แต่ก่อนคงจะช็อกที่ไปกอดตานี่ แต่ตอนนี้เธอไม่เสียใจซักนิด ได้มีโอกาสกอดคนที่มีจิตใจดีขนาดนี้ก็ดีแล้วล่ะ “ว่าแต่มาหาไอนั่นต่อเถอะ เดี๋ยวจะถูกไล่ออกเอานะ อู้งานเนี่ย”
“เจ้าค่ะๆ ตามที่บัญชา” ฮารูมิหัวเราะ ก่อนจะลงมือช่วยชายหนุ่มหาอย่างแข็งขัน ทั้งสองคน อยู่ที่ฝั่งเหนือ
เอคเซลกับคอนวี่รื้อซากเวที โรงระบำ ไฮแอทกับนัทดูแลฝั่งตะวันออก แอดดิคกับสนอร์รี่ค้นฝั่งตะวันตก ส่วนซิกเน็ทเดินวนขึ้นไปบนภูเขาไฟกลางเมือง ส่วนทิศใต้มีแต่ทะเลกับหลุมศพ การค้นหา มิใช่แค่มองรอบๆ แต่ต้องปัดฝุ่น ขุดดิน ย้ายของไปมา สังเกตอย่างละเอียด แต่ไม่ว่าจะอยู่จนพลบค่ำ ก็ไม่พบสิ่งที่สนอร์รี่ต้องการ ทุกคนถูกเรียกกลับมาที่เต็นท์กลางเมือง สนอร์ริ่ยิ้มนิดๆที่มันกินเวลามาก เพราะการค้างคืนจะทำให้สังเกตง่ายขึ้นว่าในกลุ่มนี้ ใครเป็นมูนไลท์กัน ถ้ามีใคร.....
ผิดคาด คืนนั้นผู้หญิงทุกคนต่างแอบดอดจากเต็นท์ไปหมดจนไม่อาจคาดเดาได้ว่าใครคือมูนไลท์ หรืออยู่ในกลุ่มนี้หรือไม่ หากอยู่คงจะขดตัวอยู่ที่ไหนซักแห่ง....
รุ่งเช้าสาวๆ ย่องเข้าเต็นท์ก็ถูกสองแม่ทัพสัมภาษณ์เสียยกใหญ่ แตะได้ความว่าทุกคนแยกย้ายไปคนละทาง ซึ่งแปลว่าไร้พยานยืนยันนั่นเอง เอคเซลบอกว่าเธอแอบวาร์ปไปดันเจี้ยนอื่นเล่น นัทนั่งเล่นที่ทะเล ไฮแอทขึ้นไปชมวิวบนภูเขาไฟ ส่วนคอนวี่สำรวจดันเจี้ยน...
ใครจะเป็นมูนไลท์ล่ะ?
“ทำไม?” เอคเซลถาม
“กลัวจะเกิดอะไรขึ้นนะ” สนอร์รี่โกหกคำโตเมื่อเห็นว่าเสียแผน แล้วก็เร่งให้ไปหาประตูต่อ “วันนี้ทุกคนช่วยกันหาต่อนะ เอค..” เขาหยุดพูด
คอนวี่ดึงผ้าคลุมเขาไว้ ก่อนจะเสนอข่าวดีให้สนอร์รี่ฟัง “เมื่อคืนเจออะไรดีๆด้วยค่ะ ตามมาซิ” ทุกคนตามเธอไปยังดันเจี้ยนทิศเหนือ ภาพทุกอย่างที่ได้พบเห็นก็นอกเหนือความคาดหมายอีกครั้ง ในดันเจี้ยนเองก็มีสภาพพินาศพอๆกับเมืองโคโมโดเลย เกิดอะไรขึ้นกันแน่...
Ruwach!
Sight!
ลูกไฟสีฟ้าจากซิกเน็ท สนอร์รี่ และเอคเซล กับสีเพลิงของไฮแอท ฮารูมิ และแอดดิคส่องแสงให้ความสว่างต่อถ้ำที่มืดมิดแห่งนี้ คอนวี่ร่ายบอลพลังจิตเพราะไม่ใช่สายวาร์ป ทำให้เห็นสภาพข้างในได้ชัดเจนยิ่งขึ้น สนอร์รี่มองอย่างไม่สะทกสะท้านนักเหมือนพอจะรู้เรื่องอยู่แล้ว “ดูเหมือนพวกกบฏจะไม่ได้ยุอะไรพวกในนี้นะ...” ทุกคนหันไปจ้องเขา “ข้าเดาว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่ แต่ประตูที่เปิดง่ายสุดคงเป็นที่นี่ พอออกมาได้ก็อาละวาดจนพวกในนี้ต้องหนีออกไป แล้วก็.......”
“พวกกบฎล่ะ” ซิกเน็ทเปลี่ยนประเด็นทันที
“เปิดที่นี่ได้ก็คงตั้งหลังที่โลกปิศาจ แล้วส่งส่วนหนึ่งไปทางทะเล อ้อมไปเกาะเต่า....” ถึงไม่พูดต่อทุกคนก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“งั้นปิดที่นี่ได้ พวกมันก็จะลำบากขึ้นซินะคะ” ไฮแอทลองถาม สนอร์รี่พยักหน้ารับ “ถ่วงเวลาให้พวกมันวุ่นวายได้พอควรซินะคะ” เขาพยักหน้าอีกครั้ง ทุกคนที่เดินมาสังเกตเห็นคอนวี่หยุดเดิน เธอหันมาหาพวกเขา
“ถึงแล้ว” คอนวี่ควบคุมลูกบอลพลังจิตให้ค่อยๆลอยไปยังกำแพงผนัง ทุกคนส่องลูกไฟไปบ้างก็ต้องตกใจ ประตูบานใหญ่สีดำสนิทสะท้อนเงาเหมือนกระจกบานใหญ่ ประตูนั้นแง้มเล็กน้อย แต่อีกด้านของประตูก็มืดเกินกว่าจะมองเข้าไปได้ “อ่านตรงนี้ซิ” ลูกบอลไฟส่องไปที่เหนือบานประตู มีภาษาประหลาดสลักไว้ ภาษาของผู้มีปีก สนอร์รี่เข้าใจในทันทีที่เห็น
“สองเผ่าพันธุ์หากละเมิด
ชนใดเปิด อีกหนึ่งปิด
จะเปิดต้องใครพินิจ
ตามเวทย์ปิดตามอาคม..” ซิกเน็ทแปลให้ทุกคนฟังเป็นภาษาที่เข้าใจ
“ปิศาจเปิด มนุษย์ปิด ผนึกประตูต้องใช้เวทย์... จะเปิดต้องรู้เวทย์ที่ใช้ปิด... มันบอกอะไรบ้างล่ะ” สนอร์รี่หันไปหาผู้ถูกเลือก ลองเชิงซินะ
“เวทย์เดิมปิด ก็ถูกเปิดได้ง่าย...” แอดดิคออกความเห็น “แต่ถ้าคิดเวทย์ใหม่...”
“ถูกต้อง” สนอร์รี่หัวเราะเบาๆ พวกนี้ก็มีดีเหมือนกันซินะ เขามองไปรอบๆพื้นพลางใช้ความคิด “ผมมีความคิดดีๆแล้วล่ะ... ใครมีหินธาตุน้ำบ้างครับ จะเล็กจะใหญ่ขอหมดได้มั้ยครับ?” เขาล้วงกระเป๋าหยิบของตัวเอง กาโม่ที่มักจะพกหินมีพลังธาตุสถิตส่งให้ ส่วนคนอื่นไม่มี “ห้าก้อนเองหรอ” เขามองทั้งหมดก่อนจะถอนหายใจ “หวังว่าจะพอนะ...”
*Aqua Benedicta*
แสงสีทองศักดิ์สิทธิ์โอบล้อมหินทั้งห้าก้อน มันหมุนไปรอบๆตัวสนอร์รี่ เขาทรุดลงเพราะแหกกฎการร่ายมนต์ การเปลี่ยนน้ำธรรมดาเป็นน้ำมนต์ต้องใช้แค่น้ำหนึ่งขวด แต่นี้เป็นทั้งหินและจำนวนห้าก้อนอีกต่างหาก เขานั่งพักรอให้ค่าพลังเวทย์มนต์ฟื้น หินแห่งน้ำทั้งห้า จากCrystal Blue กับ Mistic Frozen เปลี่ยนเป็น Holy Crystal ไปเสียแล้ว หินชนิดใหม่.. “ผมคิดขึ้นเองน่ะครับ” สนอร์รี่ยิ้มมุมปาก
“สภาพอย่างนี้ยังจะปากดี” ซิกเน็ทพูดหน่ายๆ ก่อนจะMagnificate เพื่อเพิ่มอัตราการฟื้นตัวของพลัง
“แต๊งกิ้ว~” สนอร์รี่ที่เริ่มมีแรงทำหน้าทะเล้น เขาลุกขึ้น “อัญเชิญเทพแห่งวารี..” วงเวทย์ประหลายปรากฎขึ้น สนอร์รี่หลับตาลง “น้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จงผนักประตูนี้ซะ!!!” แสงสีทองทอประกายจนทุกคนต้องหลบสายตา พอแสงนั่นเริ่มจางหายไป กระตูก็ปิดลง และน้ำจากก้อนหินทั้งห้าก็ไหลออกมา “กลับกันเถอะ”
ทุกคนหยิบบีวิงออกมาสะบัด กลับวังหลวงทันที ส่วนข้าวของจะมีการส่งคนมาเก็บให้ทีหลัง วันนี้ทุกคนภารกิจลุล่วง ถึงเวลาพักกันแล้ว... เวลาได้ล่วงเลยมาถึงราตรีที่มืดมิด แรม 3 ค่ำ เมฆหมอกที่ลงหนาผิดปกติได้บดบังแสงนวลที่อบอุ่นจากดวงจันทร์และเหล่าดวงดาว ทำให้คืนนี้ช่างมืด..มืดเหลือเกิน ไม่ว่าจะมองไปทางใดก็ทาด้วยสีดำ
หากแต่หญิงคนหนึ่งก็แอบเดินออกนอกวังหลวงไปเรื่อย ตามเขตอาศัยของชาวบ้าน
ผู้รับใช้พระเจ้าทั้งสองยังไม่รามือ พวกเขายังคงตามรังควาญมูนไลท์ที่หนีหัวซุกหัวซุนจนพลันเห็นหน้าต่างเปิดอยู่ หนีทางอื่นไม่ได้จึงกระโจนเข้าไป สองหนุ่มที่มาถึง รอบกายก็เหลือแต่ต้นไม้ใบหญ้าในวังเท่านั้น คลาดกันเสียแล้ว มือถูกกำหมัดทุบอากาศอย่างเสียดาย ก่อนจะตัดสินใจหยุดแค่นี้ พวกเขาแยกย้ายไปนอน ไม่มีเวลาตามจับทั้งคืนหรอกนะ
กลางราตรีที่เงียบเหงา หญิงสาวผมม่วงเป็นลอนที่ปลายผมลุกขึ้นนั่งเกาหัวอย่างงัวเงีย เธอหาวหวอดๆ ส่วนมือทั้งสองข้างก็ยกมาขยี้ตาอย่างเหนื่อยล้า เธอลุกขึ้นไปจัดชุดนักปราชญ์ให้เข้าที่ ก็เครื่องแบบมันน้อยชิ้นนี่นา เมื่อเห็นสภาพตัวเองพอดูได้ก็เดินออกไป เป้าหมายคือห้องครัวในวัง
เหล่าทหารผู้น้อยต่างๆ ที่เข้าเวรยามกำลังเดินตรวจตราก็หน้าแดงไปตามๆกันด้วยเหตุที่พบดอกไม้งามมาเบ่งบานในวังยามดึกดื่นแบบนี้ ปกติก็มีแต่ผู้ชาย ผู้หญิงก็ชุดมิดชิดเป็นเกราะไปทั้งตัว แถมไฮแอทก็หน้าตาสวยหวานกระชากใจหนุ่มอยู่พอดูซะด้วย เธอคลี่ยิ้มอย่างสุภาพก่อนจะถามทุกคนถึงหนทางไปห้องครัว แม้จะถูกทักถามว่าทำไมไม่สั่งพวกทหารให้ทำการให้
ในสงครามนี้ เธอได้รับยศสูงส่งในทันที และยังเป็นแขกพิเศษของสนอร์รี่ ผู้ที่แสนสำคัญรองจากราชา แค่กระดิกนิ้วหน่อยก็เรียกทองได้เป็นกองพะเนินอย่าว่าแต่เรียกทหารมาใช้งานเลย ไฮแอทยิ้มแห้งๆและปฏิเสธทุกครั้ง เธอต้องการน้ำเปล่าเพื่อทานยา ไม่อยากให้คนอื่นเดือดร้อนเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ หากทหารเสนอตัวเดินนำไปเธอจะยิ้มและบอกว่าไม่เป็นไร ตรวจต่อเถอะ เธอไม่อยากให้ระบบรักษาความปลอดภัยรวนเพราะเธอ ทำให้พวกทหารชื่นชมความไม่ถือตัวและความน่ารักของเธอ ซึ่งหาได้ยากนักสำหรับสังคมในวัง
เพราะเมื่อมีอำนาจ ก็อาจจะเปลี่ยนคนให้บ้าไปกับมันได้ ชี้สั่งคนอื่นจนทหารเอือม ไม่มีแบบเสจสาวนี้เลย...
ส่วนยาที่เธอทาน... ไฮแอทร่างกายแข็งแรงปกติดี แค่เธอสนใจ มีความสามารถ และรักเสียงเพลง อดีตอย่างเดียวที่เธอพอจะนึกได้คือเธอชอบร้องเพลง ดังนั้นหากเธอมิได้ฝึกตน ก็มักจะนำหมวกไปวางแล้วร้องเพลงไปเรื่อยๆ รอให้คนหยอดเงินให้ตามชอบ แต่อุปสรรคที่ปิดกั้นความสุขของเธอ ก็คือเสียงของเธอเอง
เธอเป็นคนที่พูดเสียงดังไม่ได้ เสียงเพลงหากเพราะดั่งบรรเลงจากสรวงสวรรค์แต่ดังแค่กระซิบแผ่วจะมีอะไรดี? ยาที่เธอทานคือยาสมุนไพรขยายเสียงนั่นเอง เธอถึงพอจะมีเสียงได้ หากไม่ได้ทานยาทุกคืน หรือยาหมดฤทธิ์เพราะใช้งานหนัก เวลาพูดก็จะเหมือนไม่ได้พูด หากจำได้ตอนเธออยู่ทะเลทรายสู้กับแซนแมน นั่นเพราะเธอท่องคาถาจนเสียงหาย ยาหมดฤทธิ์ แต่จะแก้ให้หายขาดก็ต้องมาจากร่างกายของเธอเอง
ลา..ลา...ลา... ไฮแอทฮัมเพลงเบาๆ ก่อนจะรินน้ำใส่แก้วลายสลักหรู ซึ่งเธอหาอยู่นานกว่าสิบนาที ทำไมน่ะหรอ? แก้วในวังนั้นหรูหราจนเธอไม่กล้าใช้น่ะซิ นึกว่าใช้ตั้งโชว์อย่างเดียวจึงหาแก้วที่ดูธรรมดามากที่สุด แต่ที่เธอพบก็แค่นี้แหละที่ธรรมดาที่สุด เพราะแก้วน้ำเรียบๆ สำหรับคนที่ต่ำลงมาถูกพวกข้าหลวงช่วยกันปิดไว้เพราะเกรงใจเธอ แก้วที่ชาวบ้านที่สุดที่เธอหาได้เป็นแก้วใสจากคริสตัล ลายสลักเป็นรูปตราหลวง เป็นลายเดียวกับลายที่ปักหน้าชุดไนท์ และเพนท์ด้วยสีที่สกัดอย่างดี ตรงขอบมีสีทองบางๆ ซึ่งใครจะรู้บ้างว่าใช้ทองแท้ๆมาทำ
เมื่อทานยาเสร็จ เธอก็เดินไปล้างแก้วโดยไม่สนใจคำค้านของพวกข้าหลวงที่คอนห้าม เธอยิ้มและตอบไปว่าดื่มน้ำเปล่านิดเดียวเอง เธอทำยุ่งเองก็ต้องจัดการเอง เธอมีรอยยิ้มที่จริงใจเสมอในทุกครั้งที่พูดจนพวกข้าหลวงและเหล่าสาวใช้ยอมแพ้
เสจสาวเดินหาวตลอดทางเพราะความง่วง หลังจากเดินลากเท้าอยู่นานเธอก็มาถึงห้องนอนในที่สุด แต่แม้จะง่วงเพียงใดก็ไม่ลืมที่จะเดินไปห่มผ้าเห็นเพื่อนเธอ เด็กสาวมองผมสีเหลือและใบหูขนปุยชี้แหลมพลางยิ้ม ก่อนจะเดินโซเซไปล้มตัวลงนอนด้วยความง่วง...
ไฮแอทที่นอนนิ่งไปพักใหญ่สะดุ้งพรวด เธอลุกจากเตียงแล้วถลันไปหาเตียงเพื่อน จากนั้นก็เปิดผ้าห่มโดยเร็วที่สุดเท่าที่แขนของเธอจะอำนวย ก็ดันพึ่งฉุกคิดได้ว่า
เอคเซลมีหูขนปุยๆ เหมือนหูแมวหูหมาแบบนั้นซะที่ไหนกันเล่า!!!
มูนไลท์ที่นอนขดบนเตียงของเอคเซลลุกขึ้นตามสัญชาตญานป้องกันตัว ตาสีเพลิงวาวโรจน์ทอประกายหวาดกลัว ไฮแอทเองก็สะดุ้งจนทำอะไรไม่ถูก... นี่ชีวิตเราจะมาจบลงที่นี่หรอ?....
ไฮแอททรุดนั่งลง แม้จะพยายามลุกเพื่อวิ่งหนีไป แต่ขาของเธอก็อ่อนปวกเปียกไปหมด เธอหลบตาลง ...ช่วยด้วย...เอคเซล!!!.... ร่างกายที่อยู่ๆก็ไร้เรี่ยวแรงกลับสั่นเทิ้มในขณะที่นางจิ้งจองกางเล็บออกมา คมเล็บที่พร้อมจะฉีกเนื้อมนุษย์เป็นชิ้นๆทำให้ไฮแอทยิ่งไม่กล้าลืมตา ในเมื่อเธอทำอะไรไม่ได้ก็คงได้แต่รับชะตากรรม แต่ที่ก้นลึกของหัวใจ เธอร้องตะโกนหาเพื่อนคนดังกล่าวไม่หยุด...
.............เอคเซล!!!!!!!!.......
ความกลัวมนุษย์ฝังรากลึกลงไปในก้นบึ้งของหัวใจดวงน้อยทำให้มูนไลท์กระโจนออกไปนอกหน้าต่างแทน ไฮแอทที่ได้ยินเสียงจึงลืมตาขึ้น เห็นหางเธอไวๆที่หน้าต่างก็นั่งมองตามอย่างทำอะไรไม่ถูก ซ้ำยังไม่อยากเชื่อที่ตัวเองรอดในวินาทีเฉียดตายได้ ดวงตาสีม่วงเข้มจ้องหน้าต่างที่จิ้งจอกสาวใช้เป็นทางหนีเขม็ง มือข้างหนึ่งยกมาทาบหัวใจที่สั่นระรัวพลางหายใจลึกๆยาวๆ เพื่อบรรเทาอาการตื่นกลัว
เมื่อหายตื่นแล้วเธอก็ยิ้มนิดๆ ก่อนจะเดินไปนอนบนเตียง พลางนึกว่าเพื่อนของเธอหายไปไหน...
จากคืนเป็นวัน เสจสาวเดินยิ้มร่าเข้าห้องอาหารก่อนจะทักเพื่อนที่นั่งทานอยู่ก่อน “เมื่อคืนเอ็กซ์กี้มีหูแมวด้วยแหละ” ไฮแอทยิ้มกว้างพลางกล่าวทักทาย สาวผมซอยอุทานอย่างแปลกใจ เพื่อนเธอพูดถึงอะไร ขนมปังปิ้งในมือกับมีดทาเนยถึงกับร่วงลงจานไปเลย “ก็นะ....”
ไฮแอทเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฟัง สนอร์รี่ที่กำลังจิ้มออมเล็ต กับซิกเน็ทที่เขี่ยสลัดในจานหันควับฟังด้วยคนทันที “ตกใจนึกว่าเอ็กซ์กี้เป้นมูนไลท์ไปซะแล้ว” ไฮแอทสรุปเรื่องก่อนจะซักข้อสงสัย “ว่าแต่เมื่อคืนหายไปไหนมาหรอ? หรือว่าเป็นมูนไลท์จริงๆ”
“...บ้าไปแล้ว” เธอเอาขนมปังแผ่นดังกล่าวยัดปากเพื่อน ก่อนจะหันไปหยิบแผ่นใหม่มาทาเนย “ไปเดินเล่นน่ะ”
“แน่นะ” ไฮแอทซัก พลางกำจัดขนมปังแผ่นนั้นลงท้อง
“ว่าข้าโกหก?” เอลเซลทำตาขวางใส่ เสียงหัวเราะหลุดออกมาจากปากของเสจสาว ไฮแอทยอมตกลงเชื่อเพื่อนเธอ คนอื่นๆ ดูทาทางจะสนใจอาหารมากกว่าฟังสองคนนี้คุยกัน แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าสองคนปั้นหน้าเครียดอยู่
....ไฮแอทไม่ใช่มูนไลท์แน่...แต่เอคเซลล่ะ?.....
-จบบท-
ไฮแอท [Hyatt] ผู้สมัครมิได้ระบุนามสกุล
ตำแหน่ง : เสจคนหนึ่งที่ถูกเลือก
ผม : สีม่วงอ่อน เป็นลอนที่ปลายผม
นัยน์ตา : ม่วงเข้ม
ใบหน้า : ยิ้มแย้มแจ่มใส
อายุ : 17
ของสำคัญ : ไม่มีเพราะจำอะไรไม่ได้
เครื่องประดับบริเวณศรีษะ : ไม่ได้สวมใส่
อดีต : ความจำเสื่อม รู้ตัวอีกทีคือตอนที่เอคเซลช่วยไว้
ความพิเศษ : ไม่เก่งเรื่องการสู้ด้วยเวทย์ แต่เก่งการรู้แบบนักฆ่า
ความคิดเห็น