ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Cursed Fox จิ้งจอกต้องสาป[Ragnarok Fanfiction]

    ลำดับตอนที่ #6 : มูนไลท์ปรากฎ

    • อัปเดตล่าสุด 29 ธ.ค. 50


    บทที่6 มูนไลท์ปรากฏ

    วันนี้ มื้อเช้าในห้องเดิมแห่งนี้ออกจะครื้นเครงขึ้นมาหน่อย เมื่อสนอร์รี่แจ้งว่าไม่มีข่าวความเคลื่อนไหวของศัตรู ดังนั้นขอให้เก็บแรงให้เต็มที่ เตรียมรับเหตุฉุกเฉิน

    “คุณคอนวี่” ซิกเน็ทมานั่งข้างๆ โพล่งขึ้นมาจนเด็กสาวที่กำลังเหม่อสะดุ้งเฮือกจนเกือบตกเก้าอี้ เธอยิ้มแห้งๆ เพราะความอายกับอาการหลุดของตัวเอง

    “ค...คะ?” เธอตะกุกตะกัก

    “กลุ้มอะไรอยู่รึเปล่า?” ซิกเน็ทถาม

    “อา... คือว่าเรื่องส่วนตัวน่ะค่ะ” คอนวี่โบกมือพับๆอย่างร้อนใจ เกรงว่าจะถูกคาดคั้น แต่คำตอบของเธอก็พูดกันการซักไซ้ไปแล้ว

    “ปรึกษาพวกเราได้นะครับ” สนอร์รี่เดินเข้าไปสมทบ “ในสงครามจะให้มีอะไรคาใจไม่ได้นะครับ เดี๋ยวจะไม่มีสมาธิสู้ พวกเราเป็นถึงตัวแทนพระเจ้าโดยตรง มีอะไรก็เล่าได้จริงๆนะครับ” ว่าแล้วก็ยิ้มหวาน

    “อ...เอ่อ.....คือว่า....” คอนวี่เกิดอาการติดอ่าง ในหัวคิดหาทางเลี่ยงการตอบคำถาม แต่สมองกลับว่างเปล่าไปเพราะแรงกดดันอ่อนๆที่ผู้ถามทั้งสองส่งมา บวกกับสายตาของซิกเน็ทที่มองยังไงก็น่าสยอง กับรอยยิ้มของสนอร์รี่ที่ตอนนี้ดูไม่น่าไว้ใจแปลกๆ

    “ไงสาวน้อย” แอดดิคโผล่มาจากที่ไหนไม่รู้มาจับบ่าเธอ “ผมเลี้ยงเองนะ จะไปเที่ยวกับผมได้มั้ย ไปที่ไหนดี ตัดสินใจได้หรือยัง ผมรอนานแล้วนะครับ”

    “ห๊ะ!?” คอนวี่ทำหน้าบอกบุญไม่รับเพราะความงง

    แอดดิคหัวเราะ ก่อนจะหันไปหาต้นกำเนิดแรงกดดันทั้งสอง “ผมไม่เคยอยู่พรอนเทร่าด้วยซิ พวกท่านพอจะทราบที่เดทมั้ยครับ?”

    “...ร....เรื่องนี้เรอะ.....” ซิกเน็ทพูดอย่างเซ็งจิต แล้วผงกหัวเชิงขอโทษที่ถาม แล้วลากคอสนอร์รี่ที่ดูท่าทางจะไม่อยากวางมือเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ไปด้วย

    “สวยทุกที่แหละครับ คุณคอนวี่เองก็ตกลงไปกับเขาหน่อยนะครับ ไว้ยังไงให้ผมแนะนำให้ก็ได้ อ่อก!!” เจ้าชายเป็นลมไปเสียแล้ว.... ฝีมือฝ่ามือซิกเน็ทนั่นเอง

    “ขอบคุณที่บอกครับ~” แอดดิคโบกมือเล็กๆ ส่วนคอนวี่อึ้งกิมกี่ ก่อนจะส่งสายตาอาฆาตให้เขา “สองคนนั่นท่าทางไม่ปล่อยง่ายๆจริงๆเลยนะ... ถ้าไม่ทำแบบนั้นคงจะไม่เลิก”

    “ก... ก็ไม่จำเป็นต้องบอกว่า...ว่า...” ใบหน้าของเธอเริ่มเป็นสีชมพูระเรื่อ

    “คิดแผนอื่นไม่ทันนี่ครับ” แอดดิคเมื่อเห็นอีกฝ่ายหน้าแดง หน้าตัวเองก็แดงตาม สงสัยที่พูดไปนี่ไม่ได้คิดเลยว่าผลของการพูดจะเป็นเช่นไร “ถ..ถ้างั้นผมไปบอกสองคนนั่นก็ได้นะครับว่าผมโกหก”

    “มันก็ไม่พอใจนะ แต่ก็ดีใจที่มีคนช่วยไว้....” เธอดึงผ้าคลุมแอดดิคไว้แทบจะทันที ถึงโดนเข้าใจแบบนั้น แต่มาวิเคราะห์ดูแล้วก็ดีกว่าโดนคาดคั้นคำตอบแบบเมื่อกี้นั่นแหละ “แต่.. ไม่รู้จักกันดีแท้ๆ ทำไมถึงกล้าพูดอย่างนั้นล่ะ เดี๋ยวคนอื่นเข้าใจผิดแล้วจะหาแฟนไม่ได้นะคะ”

    “เรื่องรักๆใคร่ๆ ผมไม่ค่อยได้สนใจหรอกครับ... ไม่เคยมีแฟนและก็ไม่ได้ดิ้นรนหาแฟนด้วย ถ้าคนมันคู่กันแล้วก็ได้คู่กันเองแหละครับ...” แอดดิคยิ้มให้เธอ ก่อนที่จะพูดเบาๆด้วยสีหน้าเศร้าๆ “อีกอย่าง กิจของผม... ไม่สมควรมีคนรักหรอกครับ หากคิดจะล้างแค้นโดยแลกชีวิตตัวเอง....คงไม่เหมาะจะมีใครที่เรายังต้องดูแล......”

    “........อ... อืม” คอนวี่ยิ้มให้อย่างเห็นใจ เท่าที่ฟังก็เดาออก “แต่ว่าไม่มีเลยจริงๆหรอ...”

    “ถ้าที่น่าสนใจก็คอนวี่เนี่ยแหละครับ หน้าตาก็น่ารัก แถมยังเข้ามาช่วยผมไว้อีก แล้วตอนนี้ก็เป็นเพื่อนร่วมงาน อะไรมันจะใกล้ชิดได้ง่ายแบบนั้น” แอดดิคยิ้มกวนๆให้เธอ สนุกที่เห็นเธอตายเพราะคำถามของเธอเอง

    “ชั้นไม่สนคนแก่นะลุง!” คอนวี่โวยวาย ก่อนจะชี้หน้า “แล้วลุงน่ะก็ตอบไม่ตรงคำถามด้วย เห็นชั้นเป็นงี้ก็อาจจะไม่ใช่คนดีอะไรก็ได้นะ”

    “ก็ความรู้สึกมันบอกว่าคอนวี่ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่นา....”

    “จริงๆเลยนะ ลุง! ความรู้สึกแบบนี้มันฆ่าคนมากี่ครั้งแล้วมิทราบคะ!?” ว่าแล้วเธอก็ทำท่างอนตุ๊บป่องจนชายหนุ่มอึ้ง เขาจ้องเธอ ความคิดวูบหนึ่งแล่นผ่านสมอง ก่อนจะปล่อยก๊ากออกมายกใหญ่ คอนวี่หันไปมองหน้าแดงๆ ก่อนจะโวยวาย “ข... ขำอะไรของลุงน่ะ!!”

    “ขำเธอนั่นแหละ” แอดดิคกุมท้อง โอย... ทรมาน “ทีตอนแรกดูเงียบๆน่ากลัวเชียว จนแทบไม่อยากยุ่งด้วย กลัวจะถูกกัด คุยไปคุยมาก็เหมือนจะกวนๆ แล้วตอนนี้ก็บ๊องเกินขนาดนี่นา”

    คอนวี่ส่งสายตาอาฆาตใส่เขา แต่ท่าทางเขาหัวเราะจนไม่สนซะแล้ว “ฉันเก๊กขรึมแล้วผิดมั้ยล่ะ! ชอบแต่เก๊กไม่นานก็หลุดน่ะมันผิดม๊ายยยยยยย” สงสัย... เธอจะรั่วมากกว่าหลุดหรือเปล่าน่ะ

    “เอาน่าๆ ผมเองก็เหลวเรื่องเก๊กเหมือนกันแหละ...” แอดดิคพยายามปลอบ

    “ไม่ใช่เรื่องของลุง...” เธอมองตาขวาง แอดดิคทำท่าจะเถียง “ยังไงก็แก่กว่าฉันนี่นา ลุง!!” ว่าแล้วก็แลบลิ้นใส่แล้วชิ่งหนีออกไปนอกห้อง

    แอดดิคมองตามแล้วยิ้มให้กับตัวเอง “เดี๋ยวกลายเป็นรองเท้าแตะ เดี๋ยวกลายเป็นลุง จะมีอะไรอีกมั้ยเนี่ย...”


    ฝ่ายสองแม่ทัพที่ถูกลากออกมาที่ระเบียงทางเดิน ก็ทำหน้าเคร่งเครียดกันเหลือเกิน “คืนนี้แรม1ค่ำแล้ว 15วันที่มูนไลท์จะออกมา... ต้องหาให้ได้ว่าเป็นคนในกลุ่มหรือเปล่า หรือคนนอกที่ยังต้องหาต่อไป.... ตั้งแต่วันนี้ต้องจับตาดูผู้หญิงเป็นพิเศษ.....”

    “คอนวี่หรือเปล่า ข้าว่าแอดดิคพูดไม่จริงนะ....” ซิกเน็ทถาม สนอร์รี่ยิ้มให้ เพราะเขาไม่สามารถออกความเห็นได้

    “จับตาดูให้ดี..นั่นแหละ.....” เสียงของเขาเบาลง... “15วันนี้เท่านั้น....ต้องรีบหาให้พบ....ก่อนสงครามจะยิ่ง....”


    หลังจากผ่านพ้นวันที่แสนสนุก ต่างคนต่างไปทำกิจกรรมตามที่ต่างๆกระจายกันไป ก็ถึงราตรีที่มืดมิด แม้พระจันจะเกือบเต็มดวง แต่เมฆหมอกก็ลงหนาปิดแสงนวลจนมิด ในหอคอยมีสองหนุ่มยศสูงคอนนั่งเฝ้า เผื่อว่ามูนไลท์จะโผล่ออกมา

    “กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!!!!!”

    เสียงกรีดร้องของหญิงสาวชาวบ้านวัยกลางคนเรียกความสนใจของพวกเขาได้ กล้องถูกส่องไปยังต้นเสียงและได้เห็น จิ้งจอกขนสีเหลืองนวลเรืองแสงสีขวายืนตระหง่าอยู่ตรงนั้น ก่อนจะกระโจนหายไป แต่ที่น่าแปลกคือ เธอนั้นไร้ซึ่งกระดิ่งยักษ์ อาวุธคู่กายเธอ ทั้งสองมองหน้าอย่างรู้กันก่อนจะรีบเทเลพอตลงไป กว่าจะมาถึงที่นั่น ก็ไม่ทันเสียแล้ว... มันไม่อยู่แล้ว

    “เป็นอะไรมั้ยครับ?” ซิกเน็ทเข้าไปดูแลหญิงคนนั้นอย่างเป็นห่วง เหตุด้วยเห็นภาพซ้อนของแม่ตน ไม่อยากให้ใครต้องสูญเสียเหมือนตน....

    “ม...ไม่เป็นไรค่ะท่าน” เธอตอบตะกุกตะกัก

    “งั้นก็ดี” ซิกเน็ทผงกหัวก่อนจะเดินไปหาสนอร์รี่

    “...ที่นี่....” สนอร์รี่ครุ่นคิดเงียบๆ ก่อนจะหันไปยิ้มให้อีกคน “แค่รู้ว่าอยู่ที่นี่ ก็เป็นการเริ่มต้นที่ดีแล้วล่ะ....”


    “...............” แอดดิคค่อยๆลุกขึ้นนั่ง มือก็ลูบท้อง “ปวดอะไรตอนนี้เนี่ย...” ว่าแล้วก็มองไปทางเพื่อนเขา ซึ่งไม่ตื่นอย่างแน่นอน ...

    ....สว่างก่อนไม่ได้หรือไงนะ...

    เขาเดินไปใส่ผ้าคลุมก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำที่อยู่สุดห้องโถง หลังจากเข้าห้องน้ำ นิสัยที่ชอบเอาน้ำลูบหน้าทำให้ตื่นในทันที ไม่ต้องนอนต่อแล้วละมั้ง เขาเดินเล่นมองข้างหน้าต่าง เหม่อลอยออกไปกับป่ายามมืด... ถึงจะเช้าก็ยังมืดอยู่... ผมของเขาถูกลมพัดเอื่อยๆ ภาพที่อยู่ในหัวคือตัวเขาเองในวัยเด็กที่มีเงินมหาศาลเพราะการตายของพ่อแม่....

    ...เงินพวกนั้นจะแลกอะไรกับคำว่าครอบครัวได้.....

    ต้องขอบคุณกาโม่ ที่เป็นเพื่อนกันแต่เด็ก และยังไงก็ไม่ทิ้งเขา หากไม่มีกาโม่ เขาก็อาจจะไม่มีวันนี้.. หรือพูดให้ถูกคือ เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่เพราะอยากอยู่เอง แต่ถูกเจ้าเพื่อนรักบังคับให้อยู่ต่อไป....

    “!!!” เขาสะดุ้งเห็นอะไรบางอย่างกำลังวิ่งอยู่ข้างล่าง พุ่มไม้ที่สั่นไหวเกินกว่าจะเกิดด้วยแรงลมก็ช่วยยืนยันว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ข้างล่างแน่ๆ

    ....กบฏ?.....ปิศาจ?....นักลอบฆ่า?...... แอดดิคครุ่นคิดพลางวิ่งลงไปหาคำตอบทันที มือก็คว้าคทาไว้เตรียมใจสู้ แต่หาได้คิดว่าตัวเองจะสู้ได้ไหวหรือเปล่า... เมื่อมาถึงข้างล่างก็ต้องหยุดชะงัก เขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

    จิ้งจอกสาวขนสีเหลืองนวลเรืองแสงจางๆ มูนไลท์... ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้!!! ดวงตาสีแดงเพลิงของมันเหลือบมาเห็นเขาก็กระโจนหนีไปทางอื่นทันที แอดดิคเห็นก็รีบวิ่งตาม

    ...หายไปไหนแล้วนะ... เขาแทบไม่ได้ยินเสียงพุ่มไม้ถูกแหวกออกเพื่อเปิดทางวิ่ง แต่ตามที่เขาวิ่งก็ไม่ใช่ว่าจะเจอใคร จนกระทั่งออกมาจากพุ่มไม้ “โอ๊ย!”

    “เฮ้ย!” เสียงใสๆเจ้าของร่างที่เขาชนไปร้องขึ้น แอดดิครีบมองไปก็ใช่จริงๆ เด็กที่มักจะเห็นเขาเป็น... “ลุง!!!” เอาเถอะ อย่างน้อยก็ดีกว่าเป็นรองเท้า... “มาทำอะไรที่นี่น่ะ”

    “เลิกเรียกลุงซักทีได้มั้ย...” แอดดิคปัดใบไม้ออกจากตัว ก่อนจะทำเสียงเครียด “ผมเห็น...มูนไลท์น่ะ......” คอนวี่มองหน้าเขาเงียบๆ ก่อนเขาจะยิ้มออกมา “แล้วเราล่ะ มาหาผมซินะครับ โถ... บาปของคนหล่อ~”

    “บ้า!!” เธอรีบสวนในทันที “แก่แล้วไม่เจียมอีกนะลุง คิดว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่เห็นหรอคะ ขอโทษ....” น้ำเสียงเริ่มประชดประชัน สงสัยจะงอน

    “ป่านนี้คงไปไกลแล้วละมั้ง.... กลับกันเถอะ.....” แอดดิคหันมายิ้มให้ ก่อนจะเห็นว่าเจ้าตัวจ้ำๆนำไปแล้ว แหม อะไรจะงอนด้วยเรื่องแค่นี้ล่ะคร๊าบบบบบ!


    ในห้องอาหาร แอดดิคยังคงต้องตามง้อคอนวี่อยู่ ส่วนคนอื่นน่ะหรือ ตั้งหน้าตั้งตากินกันมากเหมือนถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น นี่จะเป็นมื้อสุดท้ายเสียแล้ว แอดดิคเกาะชายเสื้อคอนวี่ ก่อนก้มลงกระซิบใกล้ๆ

    “จะบอกสองคนนั่นมั้ย....” คอนวี่สบตาเขาก่อนจะมองไปทางสนอร์รี่กับซิกเน็ทเชิงถาม “นั่นแหละ”

    “อย่าดีกว่า อีกอย่าง พวกเราก็ปล่อยมันหลุดไปได้... จริงๆมันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้นะคะ จะทำให้สองคนนั่นเพิ่มงานเปล่าๆ ปกติพวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่แล้วด้วย....” คอนวี่ตอบ แอดดิคพยักหน้ารับก่อนจะขยี้หัวเธอเล่น

    “แล้วเธอก็เลิกงอนได้แล้ว” พูดจบก็เดินจากไป คอนวี่มองเขาด้วยรอยยิ้ม

    “ท่านสนอร์รี่คะ” ฮารูมิเดินไปหาเมื่อเธอทานเรียบร้อยแล้ว “วันนี้มีเรื่องให้ไปไหนมั้ยคะ?” เธอยิ้มอย่างเริงร่า

    “อ๋อ.....ก็.... ครับ.....” สนอร์รี่ยิ้มเศร้าๆ จนเธอตกใจ

    “ข..ขอโทษนะคะ” เธอลนลาน “ตั้งใจว่าจะไปหาท่านพ่อท่านแม่น่ะค่ะ แต่ถ้ามันทำให้คุณสนอร์รี่โกรธหรือไม่พอใจก็จะไม่ทำอีกแล้วค่ะ!!”

    “อ....เอ๋?” สนอร์รี่ตกใจ ทั้งงงกับที่ว่าทำให้เขาไม่พอใจ กับกำลังทำให้ผู้หญิงคนนี้ปั้นหน้าปานจะร้องไห้ “ผม??”

    “ก็ทำหน้าไม่เหมือนทุกทีนิคะ... เห็นทำหน้าเศร้าๆ ถึงจะยิ้มก็เถอะ....” ฮารูมิพูดหวาดๆ มือเธอกำผ้าคลุมของตนแน่นเพื่อยึดมันอะไรซักอย่างกระมัง สนอร์รี่ฟังแล้วรีบปฏิเสธ

    “เปล่าครับๆ ที่ผมเศร้าเพราะเรื่องโคโมโดน่ะครับ.... อ.. ขอตัวนะครับ” ยังไม่ทันจะพูดรู้เรื่องก็ตัดบทแล้วเดินไปซะงั้น เธอมองตามอย่างเอ๋อๆ ไม่รู้จะทำอะไรต่อ

    “เดี๋ยวอธิบายให้ฟัง” ซิกสะกิดฮารูมิ “คือว่า....”

    “แบ่งปันกันมั่งซิ” เอคเซลหันหน้ามากระตุกผ้าคลุมซิกเน็ท ในปากยังงับขนมปังอยู่เลย

    “กินต่อเถอะ” ซิกเน็ทดึงผ้าคลุมให้หลุดจากมือเอคเซล เธอยิ้มขำเขา “เราจะไปโคโมโดกัน ประตูสู่โลกปิศาจมีอยู่หลายที่ หากโคโมดีมีอยู่บานนึงก็คงปิดตายไปแล้วมากกว่า 500 ปี ท่านสนอร์รี่คิดว่าประตูบานนั้นอาจจะถูกเปิด โคโมโดถึงถูกทำลายเมืองแรก พวกสัตว์ในดันเจี้ยนถึงหลุดออกมา”

    “งานของพวกเรา คือหาประตูนั่นแล้วปิดตายอีกครั้งซินะคะ” ไฮแอทที่นั่งดื่มชาดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจอะไรออกความเห็นออกมา ทุกคนหันไปมองเธอด้วยความแปลกใจ

    “อืม...” ซิกเน็ทพยักหน้า สายตาจ้องไฮแอทอย่างระวัง “ทักษะการแอบฟังของเจ้าแนบเนียนมากเลยนะ ข้าเองก็ไม่นึกว่าถูกแอบฟังอยู่” เมื่อถูกชมก็ยิ้มหวานตอบกลับ

    “ความสามารถเฉพาะตัวน่ะค่ะ” เธอพูดก่อนจะซึมลงเล็กน้อย อดีตของเธอ....อะไรกันนะ...

    “ว่าแต่...” ฮารูมิมองซ้ายมองขวา ก่อนจะก้มลงกระซิบเบาๆ “แอดดิคกับคอนวี่เป็นแฟนกันแล้วหรอคะเนี่ย”

    “..........” เอคเซลเงียบชั่วครู่ก่อนหันไปทานต่อ “ไม่ชอบนินทา..”

    “เปล่านินทานะคะ” ฮารูมิเถียง

    “พูดเมื่อกี้แหละนินทา” ซิกเน็ทกับไฮแอทตอบกันเสียงประสานอย่างไม่ได้ตั้งใจ

    “......งั้นไม่ถามก็ได้ค่ะ” ฮารูมิยอมแพ้ในที่สุด สภาพของคอนวี่ที่เถียงกับแอดดิคแทบจะกัดกันตาย ไม่รู้ว่าเธอมองไปได้ยังไงว่าเป็นคู่รัก คู่กัดล่ะไม่ว่า

    “สุดยอดดดดดดดดดดดดดด” กาโม่ร้องเมื่อสำรวจแซนวิชที่เขาจับนั่นแปะด้วยนี่ ทาด้วยนู่นจนกระทั่งมีขนาดใหญ่และน่าทานแบบนี้ เขาจับให้เหมาะมือก่อนจะลงมือกัด ซึ่งการกัดครั้งนั้นกลับกัดได้แค่อากาศธาตุ “...อ้า... เฮ้ย!! แซนวิชล่ะ!!”

    เมื่อสำรวจรอบตัว ก็เห็นว่าถูกงาบแหว่งและอยู่ในมือของเด็กน้อย นัทกำลังกินอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะสบตากับกาโม่แล้วยิ้มทะเล้นๆใส่ “ขอบคุณที่ทำให้ทานนะคะ”

    “.................................................................................................” กาโม่อ้าปากค้าง นี่อาชีพซามุไรเขาต้องมาเสียฟอร์มให้กับซูเปอร์โนวิทตัวแค่นี้เนี่ยนะ! แต่สุดท้ายก็ทำใจแล้วทำใหม่โดยเร่งมือให้เสร็จก่อนนัททานอันเก่าหมด... อืม... สู้เขากาโม่

    “เตรียมถุงนอนกันด้วยล่ะ... คงจะนานหน่อย....” เมื่อซิกเน็ทประกาศก็เดินจากไป ทุกคนทานต่อจนอิ่มแล้วแยกย้ายกันไปเตรียมของ...


    สนอร์รี่ที่หลบไปเซฟวาร์ปมาก็ยืนเปิดวาร์ปให้ผู้ร่วมสงคราม

    ภาพที่เห็นเมื่อออกมาจากประตูมิตินั้นบาดตาเหลือเกิน ป้ายหลุมศพกับเนินดินที่มีร่างไร้วิญญาณเป็น100กว่าหลุมบอกให้เห็นถึงจำนวนผู้เสียชีวิต ถึงทางวังหลวงจะส่งคนมาดูแลเรื่องศพแต่ก็มิได้ยุ่งกับตึกราบ้านช่องต่างๆที่ตอนนี้มองไม่ออกว่าเป็นอะไร โต๊ะเก้าอี้ที่เคยมีไว้นั่งเล่นชมทะเลงามก็หักเป็นท่อนสองท่อนเห็นแล้วน่าอนาถใจ คาซิโนที่ปกติประดับประดาด้วยแสงสีทำให้ยามราตรีนั้นครื้นเครงกลายเป็นบ่อนร้าง กระจกแตกร้าวดูวังเวง นี่ขนาดมาตอนกลางวันนะยังน่ากลัวเลย ส่วนโรงระบำกลางเมืองนั้นอย่าให้บรรยายเชียว ยิ่งมองก็ยิ่งสลดใจ

    “วางของตรงนี้แหละ” สนอร์รี่พูดเบาๆพลางชี้ไปที่หน้าเวที ทุกคนวางตามที่เขาบอกก่อนจะเดินไปเคารพศพ

    “.....” ทุกคนยืนกันเงียบๆ ความรู้สึกเจ็บแปลบแผ่ซ่านไปท่วมท้นหัวใจ ขนลุกซู่ไปทั่วตัว เสียดายที่ไม่รู้เรื่องสงครามก่อนจึงต้องมาพบภาพนี้ทำให้ใจเศร้าหมอง เหล่าผู้ถูกเลือกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบอยู่อย่างนั้นกว่า10นาที ในที่สุดกาโม่ก็ขยับตัว เขาหันหลังเพราะเอือมกับภาพตรงหน้าเกินกว่าจะทนมองต่อได้

    “ท่านสนอร์รี่ครับ ต่อไปให้ทำอะไรล่ะครับ” กาโม่พูดขึ้นทำลายความเงียบ แต่คำพูดก็สงบเสงี่ยมกว่าปกติมากอยู่

    “กาโม่ดูฝั่งเหนือละกันนะครับ” สนอร์รี่อธิบายงานอย่างไม่ชักช้า “อักษรโบราณทุกอย่างที่อ่านไม่ออก ถ้าเจอก็แจ้งผ่านต่างหูนะครับ”

    “ครับ..” กาโม่คลี่ยิ้มดูร่าเริงก่อนจะเช็คดาบให้แน่ใจว่าอยู่ที่เอวแล้วก้าวเท้าออกไป ไปยังที่ๆตนถูกมอบหมายงาน

    “กาโม่...เรา...” แอดดิคก้าวเท้าตามไป แต่ก็ต้องชะงัก

    กาโม่ยกมือเป็นสัญญาณให้หยุด “โตแล้วน่า ไปเองก็ได้ แกจะอยู่นี่ต่อก็ได้ ไม่ว่ากันหรอกนะ....” ได้ฟังดังนั้น แอดดิคก็พยักหน้าช้าๆอย่างเข้าใจ กาโม่ถึงจะหันหลังก็รู้ได้ว่าเพื่อนซี้รู้สึกเช่นไร เขายิ้มเล็กน้อยก่อนจะก้าวเดินต่อ

    “ไร้หัวใจ...” ฮารูมิที่ฟังอยู่นานทนเงียบต่อไปไม่ไหว กาโม่หยุดนิ่งทันทีก่อนตัดสินใจเดินต่อ ฮารูมิเห็นดังนั้นก็ยิ่งโมโห “ภาพตรงหน้าเป็นอย่างนี้ยังมีหน้ามายิ้มอีก ยังร่าเริงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นายยังมีความรู้สึกอยู่มั้ย! ความเป็นคนน่ะ....หัวใจนายน่ะ... ทำด้วยอะไรกัน!!!”

    สิ้นเสียงฮารูมิ กาโม่ก็เดินจากไปไกลแล้ว เธอทรุดนั่งลงกับพื้นแล้วทุบดินแรงๆ ระบายซึ่งความเจ็บใจเพื่อนร่วมกลุ่มที่เป็นเช่นนี้ ซิกเน็ทเดินไปยืนอยู่เยื้องหลังเธอก่อนจะวางมือบนบ่าที่สั่นระริกของเธอ “ข้าเข้าใจเจ้า...” ซิกเน็ทพูดเบาๆ ไหล่ที่เขาวางมือลงไปทวีความสั่น เขาถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ “แต่ข้าไม่คิดว่ากาโม่ไร้หัวใจ...”

    “แต่ท่านก็เห็นนิคะ!” ฮารูมิหันมาเถียงในทันที “ท่านก็เห็นว่าคนๆนั้นกระทำตัวเยี่ยงไร ยิ้มแบบนั้น พูดแบบนั้น ต่อหน้าหลุมศพนับร้อยขนาดนี้ ไม่ให้เรียกว่าไร้หัวใจแล้วเรียกว่าอะไรกัน!!!”

    “เป็นคนที่อารมณ์อ่อนไหวน่ะซิ!!!” แอดดิคทนฟังหญิงสาวตัดพ้อต่อว่าเพื่อนต่อไปไม่ได้ ทั้งๆที่ยังไม่รู้จักดีแท้ๆ แต่ทำไมถึงมาพูดถึงเพียงนี้ “กาโม่มันอ่อนไหวมากจนเกือบเรียกได้ว่ามัน.... มันน่ะ......” เขาพูดตต่อไม่ออก ฮารูมิอ้าปากจะเถียง

    “หากเขาไร้หัวใจจริงๆ จะทนยืนเงียบๆโดยไม่ปริปากบ่นหรือปริยิ้มได้อย่างไร.....” ซิกเน็ทพูดทำให้เธอสะอึก “หากไม่เชื่อ หรือยังไม่รู้คำที่แอดดิคจะพูด... ก็ไปหาคำตอบซะ...” ฮารูมิมองคนพูดที่ชี้ทางที่กาโม่พึ่งจะเดินออกไป เธอไม่เข้าใจทำไมเขาต้องเข้าข้างคนๆนั้น เธอลุกออกไปอย่างฉุนๆ แล้วไปตามคำที่คิดว่าเป็นคำท้าทาย

    “ปล่อยไปอย่างนั้นจะดีหรอคะ?” คอนวี่มองตามฮารูมิอย่างเป็นห่วง

    “ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอกน่า...” ซิกเน็ทเอาพัดกระดาษเคาะหัวเธอเล่น คอนวี่เหลือบมองอย่างกลั้นขำ

    “แอดดิค....คะ...” เอคเซลเรียกชื่อชายหนุ่มอย่างลังเล เพราะไม่แน่ใจความอาวุโส

    “หน้าก็ฟ้องแล้วว่าแก่กว่าพ่อ เรียกลุงไปเลย ลุงยอม~” เธอพูดก่อนจะหัวเราะอย่างสะใจ คงจะรู้ซินะว่าจะใครซะอีกที่เรียกแอดดิคว่าลุงน่ะ

    “บอกว่าอย่าเรียกลุง!!”

    “เคารพสถานที่บ้าง!” แอดดิคกับซิกเน็ทโวยกับดุพร้อมกัน ก่อนจะประเคนไปคนละที เขกหัวกลางกระหม่อมกับเอาพัดเคาะหัวแรงขึ้น เด็กสาวยอมเงียบปากไปในทันที

    “ว่าแต่.... เรียกผมมีอะไรหรอครับ?”

    “....คือ...” เอคเซลยืนกอดอกพลางมองไปยังภาพตรงหน้า “ฉันว่า...ฉันเข้าใจคุณกาโม่ค่ะ... ความรู้สึกนั้น....”

    “ฉันก็เข้าใจค่ะ....” ไฮแอทพูดเสริม ก่อนจะหันไปหาคนอื่นๆ “คนอื่นละคะ..”

    นัท สนอร์รี่ กับซิกเน็ทพยักหน้า คอนวี่หรี่ตาลง “มองง่ายออก ทำไมเราดูออกนอกจากคุณฮารูมิกันนะ...”

    “คงเพราะว่า เธอไม่เคยเจอบางอย่างแบบพวกเราน่ะครับ ดูเธอยังไร้เดียงสา ใสซื่อ และยังคงมองโลกนี้ว่าเป็นโลกที่ขาวสะอาดน่าปกป้องเหลือเกิน... แต่ที่เราปกป้องน่ะ...เพราะมันไม่ได้ขาวสะอาดต่างหาก........”

    “ทั้งๆที่นัทเด็กกว่า แต่ก็ไร้เดียงสาสู้พี่เขาไม่ได้ด้วยแหละค่ะ....” นัทยิ้มเศร้าๆ

    “ฉันว่า เราแยกกันหาดีกว่านะคะ อย่าพูดเรื่องนี้เลย” ไฮแอทฝืนยิ้มแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “ก่อนที่ภาพนี้จะเกิดขึ้นกับเมืองอื่นๆนะคะ”

    “นั่นซินะ....” เอคเซลยิ้มนิดๆ ไม่นาน ทุกคนก็แยกย้ายตามที่สนอร์รี่สั่งการ

    -จบบท-

    โซนาต้า เอคเซล [Zeaunata Excel]
    ตำแหน่ง : มังค์ที่ได้รับเลือกจากเวทย์
    ผม : เหลืองทองซอยสั้นประบ่า
    นัยน์ตา : แดง
    ใบหน้า : มักจะแสดงสีหน้าออกมาอย่างชัดเจน เพราะไม่ค่อยแสดงออกทางคำพูด
    อายุ : 17
    ของสำคัญ : หมวก ชีวิตคนที่ยังช่วยได้
    เครื่องประดับบริเวณศรีษะ : หมวกโพริ่ง
    อดีต : เพื่อนรักตายต่อหน้าโดยช่วยอะไรไม่ได้
    ความพิเศษ : มีความอดทนสูง และถ้าเป็นเรื่องความเป็นความตายจะทุ่มเทช่วยจนน่าตกใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×