ลำดับตอนที่ #12
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 12 สิ้นสุดของเรื่องเล่า
คริสกับโวลเดอร์จ้องหน้ากันอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของยูคิ แล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากันอย่างไม่คิดชีวิต
“ไม่!!!!!” ยูคิตะโกนแล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน ไม่มีใครคิดจะให้มันเกิดขึ้น
“ฉึก~!!!” คริสกับโวลเดอร์ตะลึงเมื่อได้สติ คนทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะว่าดาบของทั้งคู่ได้แทงยูคิจนเจ็บสาหัสเข้าที่ท้องน้อย
“ยูคิ!!!!!!!” คริสกับโวลเดอร์ตะโกนมาพร้อมกัน แล้วคริสก็ต้องตะลึงอีกเมื่อเห็นกิริยาของทั้ง 2 คน โวลเดอร์ประคองยูคิไว้ในอ้อมอก น้ำตาลูกผู้ชายได้หลั่งรินอีกครั้ง
“เจ้ามาขวางพวกข้าทำไม” โวลเดอร์ตะโกน ยูคิยิ้มแล้วมองหน้าทั้งสองคน
“ข้าอยากจะปกป้องเจ้า อย่างที่ข้าไม่เคยได้ทำตอนที่เจ้ามีชีวิตตอนนั้น และข้าก็ไม่อยากให้ท่านพี่คริสตาย ”
“แต่ว่าทำไมเจ้าต้อง . ข้าไม่น่าจะ..”
“เพราะว่า ..ข้ารักเจ้า เจ้าเปี๊ยกโวลเดอร์ ”
“ข้า ข้าก็รักเจ้า..ยูน่า ไม่สิ ยูคิ ดังนั้นอย่าเป็นอะไรนะ”
ยูคิยิ้มอย่างน่ารักที่สุดด้วยความปิติ ก่อนที่จะหมดลม นั่นทำให้โวลเดอร์และคริสตะลึงมาก
“ไม่~!!!!!!!!!!!!” ทั้งสองแผดเสียง แต่ว่าก็ไม่มีทางทำให้ยูคิฟื้นได้จึงนิ่งไป
“มันจบแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบแล้ว ” โวลเดอร์พูดพลางวางร่างไร้ลมหายใจของยูคิไว้อย่างทนุถนอมก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบดาบโยนให้คริส
“เจ้า ..กับยูคิ” คริสไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เพราะตนเองก็มีส่วนในการฆ่าคนที่ตนรัก
“เจ้าช่วยดูแลยูคิตอนเดินทางซินะ ฆ่าข้าที” โวลเดอร์พูดออกมาทำให้คริสไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ท .ทำไม ” คริสสงสัยแต่เมื่อเห็นกิริยาของโวลเดอร์ก็พูดไม่ออก
คริสแค่หยิบดาบมาตั้งไว้แต่ไม่กล้าทำอะไรโวลเดอร์ ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แล้วโวลเดอร์ก็ตรงเข้าไปยังคริสแล้วใช้มือเปล่าจับปลายดาบที่แหลมคมจ่อที่หัวใจตนเอง
“จ เจ้าจะทำอะไร” คริสที่ได้สติตะโกนใส่โวลเดอร์ที่พยายามจะฆ่าตัวเอง
“หึ.. อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าไม่น่าจะตะโกนนะ” โวลเดอร์พูดโดยไร้ความรู้สึกที่เย็นชาดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้มือที่เขาจับดาบไว้นั้นได้มีเลือดไหลมากก็ตาม
“จ..เจ้า..” “ข้าทรมาน โปรดปลดปล่อยข้าไปที ..” คริสตะลึงกับคำพูด แต่นั่นก็ทำให้เขากล้าที่จะทำในสิ่งที่โวลเดอร์ต้องการ
“ฉึก!!!” คริสแทงเข้าที่หัวใจของโวลเดอร์ แล้วสิ่งต่าง ความทรงจำต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาจนทำให้ตัวคริสหลั่งน้ำตา
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าชาย ย ” แล้วโวลเดอร์ก็ลงไปนอนใกล้ๆ ยูคิจับมือเธอแล้วพูดเบาๆ
“หวังว่าข้าจะได้ขึ้นสวรรค์ตามเจ้าไปเร็วๆ นะ ” แล้วเขาก็สิ้นใจไป คริสตะลึงกับสิ่งที่ตนตัดสินใจทำแล้วก็ยืนนิ่งจนสว่าง
การอาละวาดของ Doppleganger ในครั้งนี้ มีแค่ 2 ศพเท่านั้น ทุกคนแค่เจ็บบาดแผลแล้วสลบไป ไม่มีใครเสียชีวิตทั้งนั้นนอกจากยูคิและโวลเดอร์
“ท่านคริสขอรับ จะให้พวกเราทำยังไงขอรับ” พลาติน่าเอ่ย
“ทำพิธีให้แก่สองคนนี้แล้วฝังอย่างสง่าไว้ที่หลังโบสถ์” คริสกล่าวพลางเดินจากไป
ร่างของยูคิได้อยู่ในชุดสีขาวที่เมลานี่ได้เย็บเอาไว้แล้วยังไม่ได้ให้เสียทีตอนเธอมีชีวิต ส่วนไม้กางเขนนั้นไม่รู้ว่าเมจังเอาไปไว้ที่ไหน ศพทั้งคู่ได้รับการทำพิธีเยี่ยงเชื้อพระวงศ์ แล้วคริสก็กลับเข้าวัง
“คริสโตเฟอร์ พ่อขอบใจมากที่ช่วยปราบDop.คราวนี้เจ้าก็ทำพิธีอภิเษกแล้วรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์รับช่วงต่อจากข้า..” พระราชากล่าวอย่างดีใจ
“ข้าเกรงว่าจะไม่ได้ขอรับท่านพ่อ” คริสกล่าวพลางเดินจากไป
“จ เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปบวชเป็นนักบวช เพื่อชดใช้ให้แก่จุดจบของคนรักข้า ข้าปกป้องเธอไม่ได้แถมยังเป็นคนฆ่าเธอด้วยมือตนเอง ข้าต้องการชำระบาป”
แล้วคริสก็รีบไปทำพิธีบวชก่อนพระราชาจะสั่งทหารให้ไปห้ามได้ทัน แล้วเขาก็อุทิศให้แก่ชีวิตนักบวชตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
“และนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเป็นสาเหตุที่ข้าสละราชสมบัติ” คริสจบการเล่าแล้วพบว่า ไคต์นั้นนั่งกินขนมแล้วนั่งอึ้ง ส่วนมาริรีนก็กำไม้กางเขน
“งั้น .. ก็เป็นโศกนาถกรรมซิคะ” มาริรีนพูดเสียงสั่นๆ คริสพยักหน้า
“เอาล่ะ ใครต้องการกลับบ้านบ้างล่ะ นี่ก็บ่าย 4 แล้ว” กอร์ริกเอ่ยออกมา
“ว้า มานี่ทั้งทียังไม่ได้อะไรกลับเป็นที่ระลึกเลยอ่ะครับ” ไคต์แย้ง
“งั้นไปหาของดูก็ได้นะ แต่ถ้าเป็นที่โคโมโดน่ะ ข้ารู้ว่ามีร้านขายของที่ระลึกตรงไหน” คริสเอ่ยกับเด็กๆ
“หนูรู้มาว่าที่นี่มีไม้เท้าให้เลือกหลายชนิดแล้วหนูก็อยากเป็นนักบวชค่ะ กะว่าจะใช้ทั้งคทาและไม้เท้า” มาริรีนพูดขึ้น
“มาริรีน ไม้เท้าที่นี่น่ะ อันที่ดีๆ เป็นหมื่นเลยนะ” กอร์ริกกระซิบแต่คริสก็ได้ยิน
“เดี๋ยวข้าซื้อให้เป็นของขวัญแล้วกันนะ” คริสเอ่ย มาริรีนหูผึ่งแต่ว่าก็เกรงใจมิใช่น้อย “ไม่เป็นไร เงินทองเป็นของนอกกายน่า”
“ขอบคุณมากๆนะคะ” มาริรีนยิ้มแฉ่ง
“คุณคริสครับ แล้วผมล่ะ ผมก็อยากได้ของนะ นะๆๆๆ” ไคต์อ้อน ทางด้านอาจารย์หนุ่มนั้นชักเกิดอารมณ์อยากตบกะโหลกลูกศิษฐ์ซักทีแต่ก็ไม่ทำ
“งั้นที่ร้านเดียวกันมีหนวดปลอมขาย เอาไว้ใช้ปลอบตัวเป็นตาแก่แล้วกัน” คริสเสนอ
“ถ้าคุณคริสจ่ายตัง ไม่ว่าอะไรผมก็เอาครับ” ไคต์พูดออกมาหน้าตาเฉยทำให้กอร์ริกอายมาก
“ฮะฮะ ข้าไม่ติเจ้าหรอกกอร์ริก เด็กคนนี้มีอารมณ์ขันดีนะ” คริสเอ่ยพลางพาทุกคนไปดูของ
ดูท่าว่าไคต์จะชอบหนวดมากๆ ใส่เดินไปมาจนพวกพ่อค้าหัวเราะกันใหญ่ ส่วนมาริรีนก็นำ Arc wand อันใหม่มาทำท่าร่ายเวทย์อย่างสนุกสนาน
“แล้วคุณครูไม่สนอะไรบ้างหรือครับ” คริสถามตรงใจกอร์ริกเหลือเกิน
“แหะๆ คือว่าผมไม่ค่อยมีเงินน่ะครับ” กอร์ริกตอบพลางเหงื่อตก
“ข้าจ่ายเอง” “อ๋า~~ไม่ครับ ผมไม่อยากรบกวน” “ข้าจะจ่ายมันเรื่องของข้า หรือเจ้าอยากจะหัวหลุดจากบ่า” “หย๋า เป็นบาทหลวงที่โหดจัง”
เด็กๆที่ฟังการสนทนาหัวเราะกันลั่นเป็นการทวีคูณความอายของกอร์ริกเข้าไปใหญ่ กอร์ริกนั้นออกไปที่ตลาดแล้วก็ได้อาวุธโบราณจนไม่รู้ว่าคืออะไรมาหนึ่งชิ้น แต่เท่าที่ดูก็สามารถรับรู้ได้ว่าผ่านการตีเพิ่มมาเกิน7ครั้ง เขาตั้งใจเอามาเก็บไว้ในโรงเรียนเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้ศึกษา
“ไคต์ อาจารย์กอร์ริกนี่ดีจังเนอะ คิดถึงเด็กๆ ก่อนตัวเองเสมอเลย” มาริรีนกล่าวกับไคต์เบาๆ
“มันก็จริงนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนดีๆ อย่างจานน่ะ ถึงหาแฟนไม่ได้ซักที” ไคต์พูดออกมาทำให้มาริรีนฉุน
“นี่เจ้าไม่รู้เลยหรอว่ามีหญิงมาอ่อยอาจารย์หลายคนเลยนะ แต่ว่าอาจารย์เขากลัวไม่มีเวลาให้นักเรียนถึงไม่มีแฟน” มาริรีนกล่าวจนไคต์อึ้ง
“เหอๆ เรื่องนั้นมันก็ถูกครึ่งผิดครึ่งครับ อาจารย์หนุ่มกล่าวขึ้นมา “ผมมีแฟนแล้วครับ ลูกสาวของคุณเมลานี่ไงครับ”
“โห งั้นเพราะอย่างนี้ถึงรู้จักกับคุณคริสใช่มั้ยครับ” ไคต์กล่าวแล้วนั่นก็ทำให้กอร์ริกพยักหน้าอย่างร่าเริง
“แล้ววิสาดหนุ่มนั่นก็เป็นลูกคนเล็กของคุณเมลานี่ครับ” กอร์ริกกล่าวก่อนจะเสริมให้ไคต์นึกออก “คนที่ส่งเราสองคนขึ้นมาไงครับ”
“หา อยากตั้นหน้าน้องเขยอาจารย์จังเลยครับ” ไคต์กล่าวฉุนๆ
“เอ๋ งั้นไม้กางเขนนี่ก็อาจจะเป็นของคุณยูคิก็ได้นะคะ อ๊ะ” มาริรีนหมุนไม้กางเขนไปมาจนพบตัวหนังสือจางๆ “ยูน่า สาวน้อยนามเกล็ดหิมะ”
“ฮะฮะ ที่แท้เมจังก็เก็บไว้ซินะ” คริสเอ่ย “แล้วมาริรีนจะเก็บไว้มั้ยล่ะ” มาริรีนมองไม้การเขนอย่างเสียดายเพราะสายของมันสวยต้องใจเธอมากแต่เธอก็เลือกที่จะส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่าค่ะ เรากลับไปเยี่ยมหลุมศพของสองคนนั่นดีกว่านะคะ แล้วหนูจะเอานี่ไปคืนด้วย” มาริรีนกล่าวพลางมองไม้กางเขน
“โห นี่มันของสำคัญในประวัติศาสตร์เลยนะเนี่ย” ไคต์กล่าวออกมาอย่างเสียดายแต่ก็เข้าใจเพื่อนพลางนึกอะไรออก
“แล้วทำไมตอนที่ไปกีฟเฟ่นทำไมไม่ใช้วาปอ่ะครับ” นั่นทำให้คริสหัวเราะ
“มีเหตุผลอยู่สองประการ 1.ยูคิไม่เคยไปที่นั่นแล้ว memo เอาไว้ 2.สมัยนั้นบลูเจมยังเป็นแร่ที่หายากและราคาแพง แต่ตอนนี้มีคนพบแหล่งอยู่มากมาย นักบวชสมัยนี้จึงนิยมขายวาปกันแล้ว”
“เอาหล่ะ เรากลับกันเถอะ” กอร์ริกกล่าวออกมาซึ่งเด็กๆ ก็เห็นด้วยแล้วเพราะว่าถ้าช้ากว่านี้อาจไม่ได้ออกมากับอาจารย์กอร์ริกอีกเลย
“งั้นก็ ” จากนั้นคริสก็เปิดวาปด้วยท่าที่สง่างามแล้วทุกคนก็ไปที่พรอนเทร่ากัน
ไม่นานหลังจากที่หาอะไรทานเด็กๆก็เข้าไปในโบสถ์ดูห้องที่คริสพบกับยูคิ แล้วไปสวดมนต์จากนั้นก็ออกมาที่หลุมศพ
หลุมศพของทั้งคู่มีแท่นประดับหลุมศพที่ได้รับการแกะสลักมาอย่างดี ลวดลายนั้นวิจิตรงดงามมาก หากแต่ว่าลวดลายที่โวลเดอร์แกะสลักไม้กางเขนให้ยูคินั้นงามกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
“คิดเช่นเดียวกับข้ามั้ยมาริรีน แท่นประดับหลุมศพเนี่ยได้รับการแกะมาจากช่างที่มีฝีมือสูงสุดในวัง แต่ฝีมือของโวลเดอร์นั้นยังมีความงดงามกว่า” คริสเอ่ย
“นอกจากเป็นนักดาบที่เก่งยังเป็นนักแกะสลักที่เยี่ยมอีกนะครับ” ไคต์กล่าวอย่างอวดรู้
“สงสัยทำให้คนรักเลยทำสุดฝีมือมั้งคะ” มาริรีนพูดบ้างจากนั้นทุกคนก็หัวเราะ
ก่อนกลับมาริรีนก็ได้ฝังไม้กางเขนไว้ที่หลุมศพของยูคิ ยามนั้นตะวันที่กำลังตกดินนั้นทอประกายแสงสีส้มโองอาจ แท่งประดับหลุมนั้นได้รับแสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์เป็นภาพที่ประทับใจเด็กน้อยทั้งสองมาก และเมื่อเด็กๆพร้อมที่จะจากคริสไปยังที่อาศัยเพื่อพักผ่อนจากการทัศนาจร ในครานั้นได้มีสายลมอ่อนๆโชยมาให้ความสดชื่นแก่ทุกคน ในสายลมที่พัดผ่านมานั้นทุกคนได้ยินเสียงบางอย่างพัดมาด้วย แต่ว่าเมื่อฟังแล้วทั้งขนลุกและปลื้มใจ เสียงที่พัดมานั้นไม่ได้มีอะไรมาก เป็นเสียงของหญิงสาวที่ฟังแล้วรู้ว่าต้นเสียงนั้นงามมาก
จากนั้นเด็กๆกับอาจารย์หนุ่มก็หันหลังกลับบ้านของตนเองอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า
ส่วนเสียงที่ได้ยินนั้นน่ะหรอ ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เสียงที่ทุกคนได้ยินก็คือ
“ขอบใจ .มาก ..จ๊ะ ”
~The End~
ขอบพระคุณสำหรับผู้ที่หลงผิดมาอ่านทุกท่านค่าาาาา อิอิ โค้งงามๆหลายๆรอบ
“ไม่!!!!!” ยูคิตะโกนแล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน ไม่มีใครคิดจะให้มันเกิดขึ้น
“ฉึก~!!!” คริสกับโวลเดอร์ตะลึงเมื่อได้สติ คนทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะว่าดาบของทั้งคู่ได้แทงยูคิจนเจ็บสาหัสเข้าที่ท้องน้อย
“ยูคิ!!!!!!!” คริสกับโวลเดอร์ตะโกนมาพร้อมกัน แล้วคริสก็ต้องตะลึงอีกเมื่อเห็นกิริยาของทั้ง 2 คน โวลเดอร์ประคองยูคิไว้ในอ้อมอก น้ำตาลูกผู้ชายได้หลั่งรินอีกครั้ง
“เจ้ามาขวางพวกข้าทำไม” โวลเดอร์ตะโกน ยูคิยิ้มแล้วมองหน้าทั้งสองคน
“ข้าอยากจะปกป้องเจ้า อย่างที่ข้าไม่เคยได้ทำตอนที่เจ้ามีชีวิตตอนนั้น และข้าก็ไม่อยากให้ท่านพี่คริสตาย ”
“แต่ว่าทำไมเจ้าต้อง . ข้าไม่น่าจะ..”
“เพราะว่า ..ข้ารักเจ้า เจ้าเปี๊ยกโวลเดอร์ ”
“ข้า ข้าก็รักเจ้า..ยูน่า ไม่สิ ยูคิ ดังนั้นอย่าเป็นอะไรนะ”
ยูคิยิ้มอย่างน่ารักที่สุดด้วยความปิติ ก่อนที่จะหมดลม นั่นทำให้โวลเดอร์และคริสตะลึงมาก
“ไม่~!!!!!!!!!!!!” ทั้งสองแผดเสียง แต่ว่าก็ไม่มีทางทำให้ยูคิฟื้นได้จึงนิ่งไป
“มันจบแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบแล้ว ” โวลเดอร์พูดพลางวางร่างไร้ลมหายใจของยูคิไว้อย่างทนุถนอมก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบดาบโยนให้คริส
“เจ้า ..กับยูคิ” คริสไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เพราะตนเองก็มีส่วนในการฆ่าคนที่ตนรัก
“เจ้าช่วยดูแลยูคิตอนเดินทางซินะ ฆ่าข้าที” โวลเดอร์พูดออกมาทำให้คริสไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“ท .ทำไม ” คริสสงสัยแต่เมื่อเห็นกิริยาของโวลเดอร์ก็พูดไม่ออก
คริสแค่หยิบดาบมาตั้งไว้แต่ไม่กล้าทำอะไรโวลเดอร์ ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
แล้วโวลเดอร์ก็ตรงเข้าไปยังคริสแล้วใช้มือเปล่าจับปลายดาบที่แหลมคมจ่อที่หัวใจตนเอง
“จ เจ้าจะทำอะไร” คริสที่ได้สติตะโกนใส่โวลเดอร์ที่พยายามจะฆ่าตัวเอง
“หึ.. อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าไม่น่าจะตะโกนนะ” โวลเดอร์พูดโดยไร้ความรู้สึกที่เย็นชาดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้มือที่เขาจับดาบไว้นั้นได้มีเลือดไหลมากก็ตาม
“จ..เจ้า..” “ข้าทรมาน โปรดปลดปล่อยข้าไปที ..” คริสตะลึงกับคำพูด แต่นั่นก็ทำให้เขากล้าที่จะทำในสิ่งที่โวลเดอร์ต้องการ
“ฉึก!!!” คริสแทงเข้าที่หัวใจของโวลเดอร์ แล้วสิ่งต่าง ความทรงจำต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาจนทำให้ตัวคริสหลั่งน้ำตา
“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าชาย ย ” แล้วโวลเดอร์ก็ลงไปนอนใกล้ๆ ยูคิจับมือเธอแล้วพูดเบาๆ
“หวังว่าข้าจะได้ขึ้นสวรรค์ตามเจ้าไปเร็วๆ นะ ” แล้วเขาก็สิ้นใจไป คริสตะลึงกับสิ่งที่ตนตัดสินใจทำแล้วก็ยืนนิ่งจนสว่าง
การอาละวาดของ Doppleganger ในครั้งนี้ มีแค่ 2 ศพเท่านั้น ทุกคนแค่เจ็บบาดแผลแล้วสลบไป ไม่มีใครเสียชีวิตทั้งนั้นนอกจากยูคิและโวลเดอร์
“ท่านคริสขอรับ จะให้พวกเราทำยังไงขอรับ” พลาติน่าเอ่ย
“ทำพิธีให้แก่สองคนนี้แล้วฝังอย่างสง่าไว้ที่หลังโบสถ์” คริสกล่าวพลางเดินจากไป
ร่างของยูคิได้อยู่ในชุดสีขาวที่เมลานี่ได้เย็บเอาไว้แล้วยังไม่ได้ให้เสียทีตอนเธอมีชีวิต ส่วนไม้กางเขนนั้นไม่รู้ว่าเมจังเอาไปไว้ที่ไหน ศพทั้งคู่ได้รับการทำพิธีเยี่ยงเชื้อพระวงศ์ แล้วคริสก็กลับเข้าวัง
“คริสโตเฟอร์ พ่อขอบใจมากที่ช่วยปราบDop.คราวนี้เจ้าก็ทำพิธีอภิเษกแล้วรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์รับช่วงต่อจากข้า..” พระราชากล่าวอย่างดีใจ
“ข้าเกรงว่าจะไม่ได้ขอรับท่านพ่อ” คริสกล่าวพลางเดินจากไป
“จ เจ้าจะไปไหน”
“ข้าจะไปบวชเป็นนักบวช เพื่อชดใช้ให้แก่จุดจบของคนรักข้า ข้าปกป้องเธอไม่ได้แถมยังเป็นคนฆ่าเธอด้วยมือตนเอง ข้าต้องการชำระบาป”
แล้วคริสก็รีบไปทำพิธีบวชก่อนพระราชาจะสั่งทหารให้ไปห้ามได้ทัน แล้วเขาก็อุทิศให้แก่ชีวิตนักบวชตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
“และนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเป็นสาเหตุที่ข้าสละราชสมบัติ” คริสจบการเล่าแล้วพบว่า ไคต์นั้นนั่งกินขนมแล้วนั่งอึ้ง ส่วนมาริรีนก็กำไม้กางเขน
“งั้น .. ก็เป็นโศกนาถกรรมซิคะ” มาริรีนพูดเสียงสั่นๆ คริสพยักหน้า
“เอาล่ะ ใครต้องการกลับบ้านบ้างล่ะ นี่ก็บ่าย 4 แล้ว” กอร์ริกเอ่ยออกมา
“ว้า มานี่ทั้งทียังไม่ได้อะไรกลับเป็นที่ระลึกเลยอ่ะครับ” ไคต์แย้ง
“งั้นไปหาของดูก็ได้นะ แต่ถ้าเป็นที่โคโมโดน่ะ ข้ารู้ว่ามีร้านขายของที่ระลึกตรงไหน” คริสเอ่ยกับเด็กๆ
“หนูรู้มาว่าที่นี่มีไม้เท้าให้เลือกหลายชนิดแล้วหนูก็อยากเป็นนักบวชค่ะ กะว่าจะใช้ทั้งคทาและไม้เท้า” มาริรีนพูดขึ้น
“มาริรีน ไม้เท้าที่นี่น่ะ อันที่ดีๆ เป็นหมื่นเลยนะ” กอร์ริกกระซิบแต่คริสก็ได้ยิน
“เดี๋ยวข้าซื้อให้เป็นของขวัญแล้วกันนะ” คริสเอ่ย มาริรีนหูผึ่งแต่ว่าก็เกรงใจมิใช่น้อย “ไม่เป็นไร เงินทองเป็นของนอกกายน่า”
“ขอบคุณมากๆนะคะ” มาริรีนยิ้มแฉ่ง
“คุณคริสครับ แล้วผมล่ะ ผมก็อยากได้ของนะ นะๆๆๆ” ไคต์อ้อน ทางด้านอาจารย์หนุ่มนั้นชักเกิดอารมณ์อยากตบกะโหลกลูกศิษฐ์ซักทีแต่ก็ไม่ทำ
“งั้นที่ร้านเดียวกันมีหนวดปลอมขาย เอาไว้ใช้ปลอบตัวเป็นตาแก่แล้วกัน” คริสเสนอ
“ถ้าคุณคริสจ่ายตัง ไม่ว่าอะไรผมก็เอาครับ” ไคต์พูดออกมาหน้าตาเฉยทำให้กอร์ริกอายมาก
“ฮะฮะ ข้าไม่ติเจ้าหรอกกอร์ริก เด็กคนนี้มีอารมณ์ขันดีนะ” คริสเอ่ยพลางพาทุกคนไปดูของ
ดูท่าว่าไคต์จะชอบหนวดมากๆ ใส่เดินไปมาจนพวกพ่อค้าหัวเราะกันใหญ่ ส่วนมาริรีนก็นำ Arc wand อันใหม่มาทำท่าร่ายเวทย์อย่างสนุกสนาน
“แล้วคุณครูไม่สนอะไรบ้างหรือครับ” คริสถามตรงใจกอร์ริกเหลือเกิน
“แหะๆ คือว่าผมไม่ค่อยมีเงินน่ะครับ” กอร์ริกตอบพลางเหงื่อตก
“ข้าจ่ายเอง” “อ๋า~~ไม่ครับ ผมไม่อยากรบกวน” “ข้าจะจ่ายมันเรื่องของข้า หรือเจ้าอยากจะหัวหลุดจากบ่า” “หย๋า เป็นบาทหลวงที่โหดจัง”
เด็กๆที่ฟังการสนทนาหัวเราะกันลั่นเป็นการทวีคูณความอายของกอร์ริกเข้าไปใหญ่ กอร์ริกนั้นออกไปที่ตลาดแล้วก็ได้อาวุธโบราณจนไม่รู้ว่าคืออะไรมาหนึ่งชิ้น แต่เท่าที่ดูก็สามารถรับรู้ได้ว่าผ่านการตีเพิ่มมาเกิน7ครั้ง เขาตั้งใจเอามาเก็บไว้ในโรงเรียนเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้ศึกษา
“ไคต์ อาจารย์กอร์ริกนี่ดีจังเนอะ คิดถึงเด็กๆ ก่อนตัวเองเสมอเลย” มาริรีนกล่าวกับไคต์เบาๆ
“มันก็จริงนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนดีๆ อย่างจานน่ะ ถึงหาแฟนไม่ได้ซักที” ไคต์พูดออกมาทำให้มาริรีนฉุน
“นี่เจ้าไม่รู้เลยหรอว่ามีหญิงมาอ่อยอาจารย์หลายคนเลยนะ แต่ว่าอาจารย์เขากลัวไม่มีเวลาให้นักเรียนถึงไม่มีแฟน” มาริรีนกล่าวจนไคต์อึ้ง
“เหอๆ เรื่องนั้นมันก็ถูกครึ่งผิดครึ่งครับ อาจารย์หนุ่มกล่าวขึ้นมา “ผมมีแฟนแล้วครับ ลูกสาวของคุณเมลานี่ไงครับ”
“โห งั้นเพราะอย่างนี้ถึงรู้จักกับคุณคริสใช่มั้ยครับ” ไคต์กล่าวแล้วนั่นก็ทำให้กอร์ริกพยักหน้าอย่างร่าเริง
“แล้ววิสาดหนุ่มนั่นก็เป็นลูกคนเล็กของคุณเมลานี่ครับ” กอร์ริกกล่าวก่อนจะเสริมให้ไคต์นึกออก “คนที่ส่งเราสองคนขึ้นมาไงครับ”
“หา อยากตั้นหน้าน้องเขยอาจารย์จังเลยครับ” ไคต์กล่าวฉุนๆ
“เอ๋ งั้นไม้กางเขนนี่ก็อาจจะเป็นของคุณยูคิก็ได้นะคะ อ๊ะ” มาริรีนหมุนไม้กางเขนไปมาจนพบตัวหนังสือจางๆ “ยูน่า สาวน้อยนามเกล็ดหิมะ”
“ฮะฮะ ที่แท้เมจังก็เก็บไว้ซินะ” คริสเอ่ย “แล้วมาริรีนจะเก็บไว้มั้ยล่ะ” มาริรีนมองไม้การเขนอย่างเสียดายเพราะสายของมันสวยต้องใจเธอมากแต่เธอก็เลือกที่จะส่ายหน้า
“ไม่ดีกว่าค่ะ เรากลับไปเยี่ยมหลุมศพของสองคนนั่นดีกว่านะคะ แล้วหนูจะเอานี่ไปคืนด้วย” มาริรีนกล่าวพลางมองไม้กางเขน
“โห นี่มันของสำคัญในประวัติศาสตร์เลยนะเนี่ย” ไคต์กล่าวออกมาอย่างเสียดายแต่ก็เข้าใจเพื่อนพลางนึกอะไรออก
“แล้วทำไมตอนที่ไปกีฟเฟ่นทำไมไม่ใช้วาปอ่ะครับ” นั่นทำให้คริสหัวเราะ
“มีเหตุผลอยู่สองประการ 1.ยูคิไม่เคยไปที่นั่นแล้ว memo เอาไว้ 2.สมัยนั้นบลูเจมยังเป็นแร่ที่หายากและราคาแพง แต่ตอนนี้มีคนพบแหล่งอยู่มากมาย นักบวชสมัยนี้จึงนิยมขายวาปกันแล้ว”
“เอาหล่ะ เรากลับกันเถอะ” กอร์ริกกล่าวออกมาซึ่งเด็กๆ ก็เห็นด้วยแล้วเพราะว่าถ้าช้ากว่านี้อาจไม่ได้ออกมากับอาจารย์กอร์ริกอีกเลย
“งั้นก็ ” จากนั้นคริสก็เปิดวาปด้วยท่าที่สง่างามแล้วทุกคนก็ไปที่พรอนเทร่ากัน
ไม่นานหลังจากที่หาอะไรทานเด็กๆก็เข้าไปในโบสถ์ดูห้องที่คริสพบกับยูคิ แล้วไปสวดมนต์จากนั้นก็ออกมาที่หลุมศพ
หลุมศพของทั้งคู่มีแท่นประดับหลุมศพที่ได้รับการแกะสลักมาอย่างดี ลวดลายนั้นวิจิตรงดงามมาก หากแต่ว่าลวดลายที่โวลเดอร์แกะสลักไม้กางเขนให้ยูคินั้นงามกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ
“คิดเช่นเดียวกับข้ามั้ยมาริรีน แท่นประดับหลุมศพเนี่ยได้รับการแกะมาจากช่างที่มีฝีมือสูงสุดในวัง แต่ฝีมือของโวลเดอร์นั้นยังมีความงดงามกว่า” คริสเอ่ย
“นอกจากเป็นนักดาบที่เก่งยังเป็นนักแกะสลักที่เยี่ยมอีกนะครับ” ไคต์กล่าวอย่างอวดรู้
“สงสัยทำให้คนรักเลยทำสุดฝีมือมั้งคะ” มาริรีนพูดบ้างจากนั้นทุกคนก็หัวเราะ
ก่อนกลับมาริรีนก็ได้ฝังไม้กางเขนไว้ที่หลุมศพของยูคิ ยามนั้นตะวันที่กำลังตกดินนั้นทอประกายแสงสีส้มโองอาจ แท่งประดับหลุมนั้นได้รับแสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์เป็นภาพที่ประทับใจเด็กน้อยทั้งสองมาก และเมื่อเด็กๆพร้อมที่จะจากคริสไปยังที่อาศัยเพื่อพักผ่อนจากการทัศนาจร ในครานั้นได้มีสายลมอ่อนๆโชยมาให้ความสดชื่นแก่ทุกคน ในสายลมที่พัดผ่านมานั้นทุกคนได้ยินเสียงบางอย่างพัดมาด้วย แต่ว่าเมื่อฟังแล้วทั้งขนลุกและปลื้มใจ เสียงที่พัดมานั้นไม่ได้มีอะไรมาก เป็นเสียงของหญิงสาวที่ฟังแล้วรู้ว่าต้นเสียงนั้นงามมาก
จากนั้นเด็กๆกับอาจารย์หนุ่มก็หันหลังกลับบ้านของตนเองอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า
ส่วนเสียงที่ได้ยินนั้นน่ะหรอ ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เสียงที่ทุกคนได้ยินก็คือ
“ขอบใจ .มาก ..จ๊ะ ”
~The End~
ขอบพระคุณสำหรับผู้ที่หลงผิดมาอ่านทุกท่านค่าาาาา อิอิ โค้งงามๆหลายๆรอบ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น