ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~:Long time ago story:~ นิยายเรื่องแรกฝากตัวด้วยนะคะ

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 12 สิ้นสุดของเรื่องเล่า

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 46


    คริสกับโวลเดอร์จ้องหน้ากันอย่างไม่ใส่ใจกับคำพูดของยูคิ แล้วทั้งคู่ก็พุ่งเข้าหากันอย่างไม่คิดชีวิต



    “ไม่!!!!!” ยูคิตะโกนแล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่ไม่มีใครคาดฝัน ไม่มีใครคิดจะให้มันเกิดขึ้น



    “ฉึก~!!!” คริสกับโวลเดอร์ตะลึงเมื่อได้สติ คนทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเพราะว่าดาบของทั้งคู่ได้แทงยูคิจนเจ็บสาหัสเข้าที่ท้องน้อย



    “ยูคิ!!!!!!!” คริสกับโวลเดอร์ตะโกนมาพร้อมกัน แล้วคริสก็ต้องตะลึงอีกเมื่อเห็นกิริยาของทั้ง 2 คน โวลเดอร์ประคองยูคิไว้ในอ้อมอก น้ำตาลูกผู้ชายได้หลั่งรินอีกครั้ง



    “เจ้ามาขวางพวกข้าทำไม” โวลเดอร์ตะโกน ยูคิยิ้มแล้วมองหน้าทั้งสองคน



    “ข้าอยากจะปกป้องเจ้า อย่างที่ข้าไม่เคยได้ทำตอนที่เจ้ามีชีวิตตอนนั้น และข้าก็ไม่อยากให้ท่านพี่คริสตาย…”



    “แต่ว่าทำไมเจ้าต้อง…. ข้าไม่น่าจะ..”



    “เพราะว่า…..ข้ารักเจ้า เจ้าเปี๊ยกโวลเดอร์…”



    “ข้า…ข้าก็รักเจ้า..ยูน่า…ไม่สิ ยูคิ ดังนั้นอย่าเป็นอะไรนะ”



    ยูคิยิ้มอย่างน่ารักที่สุดด้วยความปิติ ก่อนที่จะหมดลม นั่นทำให้โวลเดอร์และคริสตะลึงมาก



    “ไม่~!!!!!!!!!!!!” ทั้งสองแผดเสียง… แต่ว่าก็ไม่มีทางทำให้ยูคิฟื้นได้จึงนิ่งไป



    “มันจบแล้ว…ทุกสิ่งทุกอย่างมันจบแล้ว…” โวลเดอร์พูดพลางวางร่างไร้ลมหายใจของยูคิไว้อย่างทนุถนอมก่อนจะลุกขึ้นแล้วหยิบดาบโยนให้คริส



    “เจ้า…..กับยูคิ” คริสไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร เพราะตนเองก็มีส่วนในการฆ่าคนที่ตนรัก



    “เจ้าช่วยดูแลยูคิตอนเดินทางซินะ ฆ่าข้าที” โวลเดอร์พูดออกมาทำให้คริสไม่อยากเชื่อหูตัวเอง



    “ท….ทำไม……” คริสสงสัยแต่เมื่อเห็นกิริยาของโวลเดอร์ก็พูดไม่ออก



    คริสแค่หยิบดาบมาตั้งไว้แต่ไม่กล้าทำอะไรโวลเดอร์ ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น



    แล้วโวลเดอร์ก็ตรงเข้าไปยังคริสแล้วใช้มือเปล่าจับปลายดาบที่แหลมคมจ่อที่หัวใจตนเอง



    “จ…เจ้าจะทำอะไร” คริสที่ได้สติตะโกนใส่โวลเดอร์ที่พยายามจะฆ่าตัวเอง



    “หึ.. อยู่ใกล้แค่นี้เจ้าไม่น่าจะตะโกนนะ” โวลเดอร์พูดโดยไร้ความรู้สึกที่เย็นชาดั่งไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้มือที่เขาจับดาบไว้นั้นได้มีเลือดไหลมากก็ตาม



    “จ..เจ้า..” “ข้าทรมาน โปรดปลดปล่อยข้าไปที…..” คริสตะลึงกับคำพูด แต่นั่นก็ทำให้เขากล้าที่จะทำในสิ่งที่โวลเดอร์ต้องการ



    “ฉึก!!!” คริสแทงเข้าที่หัวใจของโวลเดอร์ แล้วสิ่งต่าง ความทรงจำต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาจนทำให้ตัวคริสหลั่งน้ำตา



    “ขอบใจเจ้ามาก เจ้าชาย…ย……” แล้วโวลเดอร์ก็ลงไปนอนใกล้ๆ ยูคิจับมือเธอแล้วพูดเบาๆ



    “หวังว่าข้าจะได้ขึ้นสวรรค์ตามเจ้าไปเร็วๆ นะ…” แล้วเขาก็สิ้นใจไป คริสตะลึงกับสิ่งที่ตนตัดสินใจทำแล้วก็ยืนนิ่งจนสว่าง…



    การอาละวาดของ Doppleganger ในครั้งนี้ มีแค่ 2 ศพเท่านั้น ทุกคนแค่เจ็บบาดแผลแล้วสลบไป ไม่มีใครเสียชีวิตทั้งนั้นนอกจากยูคิและโวลเดอร์



    “ท่านคริสขอรับ จะให้พวกเราทำยังไงขอรับ” พลาติน่าเอ่ย



    “ทำพิธีให้แก่สองคนนี้แล้วฝังอย่างสง่าไว้ที่หลังโบสถ์” คริสกล่าวพลางเดินจากไป



    ร่างของยูคิได้อยู่ในชุดสีขาวที่เมลานี่ได้เย็บเอาไว้แล้วยังไม่ได้ให้เสียทีตอนเธอมีชีวิต ส่วนไม้กางเขนนั้นไม่รู้ว่าเมจังเอาไปไว้ที่ไหน ศพทั้งคู่ได้รับการทำพิธีเยี่ยงเชื้อพระวงศ์ แล้วคริสก็กลับเข้าวัง



    “คริสโตเฟอร์ พ่อขอบใจมากที่ช่วยปราบDop.คราวนี้เจ้าก็ทำพิธีอภิเษกแล้วรับการแต่งตั้งเป็นกษัตริย์รับช่วงต่อจากข้า..” พระราชากล่าวอย่างดีใจ



    “ข้าเกรงว่าจะไม่ได้ขอรับท่านพ่อ” คริสกล่าวพลางเดินจากไป



    “จ…เจ้าจะไปไหน”



    “ข้าจะไปบวชเป็นนักบวช เพื่อชดใช้ให้แก่จุดจบของคนรักข้า ข้าปกป้องเธอไม่ได้แถมยังเป็นคนฆ่าเธอด้วยมือตนเอง ข้าต้องการชำระบาป”



    แล้วคริสก็รีบไปทำพิธีบวชก่อนพระราชาจะสั่งทหารให้ไปห้ามได้ทัน แล้วเขาก็อุทิศให้แก่ชีวิตนักบวชตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา…



    “และนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด และเป็นสาเหตุที่ข้าสละราชสมบัติ” คริสจบการเล่าแล้วพบว่า ไคต์นั้นนั่งกินขนมแล้วนั่งอึ้ง ส่วนมาริรีนก็กำไม้กางเขน



    “งั้น….. ก็เป็นโศกนาถกรรมซิคะ” มาริรีนพูดเสียงสั่นๆ คริสพยักหน้า



    “เอาล่ะ ใครต้องการกลับบ้านบ้างล่ะ นี่ก็บ่าย 4 แล้ว” กอร์ริกเอ่ยออกมา



    “ว้า… มานี่ทั้งทียังไม่ได้อะไรกลับเป็นที่ระลึกเลยอ่ะครับ” ไคต์แย้ง



    “งั้นไปหาของดูก็ได้นะ แต่ถ้าเป็นที่โคโมโดน่ะ ข้ารู้ว่ามีร้านขายของที่ระลึกตรงไหน” คริสเอ่ยกับเด็กๆ



    “หนูรู้มาว่าที่นี่มีไม้เท้าให้เลือกหลายชนิดแล้วหนูก็อยากเป็นนักบวชค่ะ กะว่าจะใช้ทั้งคทาและไม้เท้า” มาริรีนพูดขึ้น



    “มาริรีน ไม้เท้าที่นี่น่ะ อันที่ดีๆ เป็นหมื่นเลยนะ” กอร์ริกกระซิบแต่คริสก็ได้ยิน



    “เดี๋ยวข้าซื้อให้เป็นของขวัญแล้วกันนะ” คริสเอ่ย มาริรีนหูผึ่งแต่ว่าก็เกรงใจมิใช่น้อย “ไม่เป็นไร เงินทองเป็นของนอกกายน่า”



    “ขอบคุณมากๆนะคะ” มาริรีนยิ้มแฉ่ง



    “คุณคริสครับ แล้วผมล่ะ ผมก็อยากได้ของนะ นะๆๆๆ” ไคต์อ้อน ทางด้านอาจารย์หนุ่มนั้นชักเกิดอารมณ์อยากตบกะโหลกลูกศิษฐ์ซักทีแต่ก็ไม่ทำ



    “งั้นที่ร้านเดียวกันมีหนวดปลอมขาย เอาไว้ใช้ปลอบตัวเป็นตาแก่แล้วกัน” คริสเสนอ



    “ถ้าคุณคริสจ่ายตัง ไม่ว่าอะไรผมก็เอาครับ” ไคต์พูดออกมาหน้าตาเฉยทำให้กอร์ริกอายมาก



    “ฮะฮะ ข้าไม่ติเจ้าหรอกกอร์ริก เด็กคนนี้มีอารมณ์ขันดีนะ” คริสเอ่ยพลางพาทุกคนไปดูของ



    ดูท่าว่าไคต์จะชอบหนวดมากๆ ใส่เดินไปมาจนพวกพ่อค้าหัวเราะกันใหญ่ ส่วนมาริรีนก็นำ Arc wand อันใหม่มาทำท่าร่ายเวทย์อย่างสนุกสนาน



    “แล้วคุณครูไม่สนอะไรบ้างหรือครับ” คริสถามตรงใจกอร์ริกเหลือเกิน



    “แหะๆ คือว่าผมไม่ค่อยมีเงินน่ะครับ” กอร์ริกตอบพลางเหงื่อตก



    “ข้าจ่ายเอง” “อ๋า~~ไม่ครับ ผมไม่อยากรบกวน” “ข้าจะจ่ายมันเรื่องของข้า หรือเจ้าอยากจะหัวหลุดจากบ่า” “หย๋า เป็นบาทหลวงที่โหดจัง”



    เด็กๆที่ฟังการสนทนาหัวเราะกันลั่นเป็นการทวีคูณความอายของกอร์ริกเข้าไปใหญ่ กอร์ริกนั้นออกไปที่ตลาดแล้วก็ได้อาวุธโบราณจนไม่รู้ว่าคืออะไรมาหนึ่งชิ้น แต่เท่าที่ดูก็สามารถรับรู้ได้ว่าผ่านการตีเพิ่มมาเกิน7ครั้ง เขาตั้งใจเอามาเก็บไว้ในโรงเรียนเพื่อให้เด็กรุ่นใหม่ได้ศึกษา



    “ไคต์ อาจารย์กอร์ริกนี่ดีจังเนอะ คิดถึงเด็กๆ ก่อนตัวเองเสมอเลย” มาริรีนกล่าวกับไคต์เบาๆ



    “มันก็จริงนะ แต่ไม่รู้ว่าทำไมคนดีๆ อย่างจานน่ะ ถึงหาแฟนไม่ได้ซักที” ไคต์พูดออกมาทำให้มาริรีนฉุน



    “นี่เจ้าไม่รู้เลยหรอว่ามีหญิงมาอ่อยอาจารย์หลายคนเลยนะ แต่ว่าอาจารย์เขากลัวไม่มีเวลาให้นักเรียนถึงไม่มีแฟน” มาริรีนกล่าวจนไคต์อึ้ง



    “เหอๆ เรื่องนั้นมันก็ถูกครึ่งผิดครึ่งครับ อาจารย์หนุ่มกล่าวขึ้นมา “ผมมีแฟนแล้วครับ ลูกสาวของคุณเมลานี่ไงครับ”



    “โห งั้นเพราะอย่างนี้ถึงรู้จักกับคุณคริสใช่มั้ยครับ” ไคต์กล่าวแล้วนั่นก็ทำให้กอร์ริกพยักหน้าอย่างร่าเริง



    “แล้ววิสาดหนุ่มนั่นก็เป็นลูกคนเล็กของคุณเมลานี่ครับ” กอร์ริกกล่าวก่อนจะเสริมให้ไคต์นึกออก “คนที่ส่งเราสองคนขึ้นมาไงครับ”



    “หา อยากตั้นหน้าน้องเขยอาจารย์จังเลยครับ” ไคต์กล่าวฉุนๆ



    “เอ๋ งั้นไม้กางเขนนี่ก็อาจจะเป็นของคุณยูคิก็ได้นะคะ อ๊ะ” มาริรีนหมุนไม้กางเขนไปมาจนพบตัวหนังสือจางๆ “ยูน่า สาวน้อยนามเกล็ดหิมะ”



    “ฮะฮะ ที่แท้เมจังก็เก็บไว้ซินะ” คริสเอ่ย “แล้วมาริรีนจะเก็บไว้มั้ยล่ะ” มาริรีนมองไม้การเขนอย่างเสียดายเพราะสายของมันสวยต้องใจเธอมากแต่เธอก็เลือกที่จะส่ายหน้า



    “ไม่ดีกว่าค่ะ เรากลับไปเยี่ยมหลุมศพของสองคนนั่นดีกว่านะคะ แล้วหนูจะเอานี่ไปคืนด้วย” มาริรีนกล่าวพลางมองไม้กางเขน



    “โห นี่มันของสำคัญในประวัติศาสตร์เลยนะเนี่ย” ไคต์กล่าวออกมาอย่างเสียดายแต่ก็เข้าใจเพื่อนพลางนึกอะไรออก



    “แล้วทำไมตอนที่ไปกีฟเฟ่นทำไมไม่ใช้วาปอ่ะครับ” นั่นทำให้คริสหัวเราะ



    “มีเหตุผลอยู่สองประการ 1.ยูคิไม่เคยไปที่นั่นแล้ว memo เอาไว้ 2.สมัยนั้นบลูเจมยังเป็นแร่ที่หายากและราคาแพง แต่ตอนนี้มีคนพบแหล่งอยู่มากมาย นักบวชสมัยนี้จึงนิยมขายวาปกันแล้ว”



    “เอาหล่ะ เรากลับกันเถอะ” กอร์ริกกล่าวออกมาซึ่งเด็กๆ ก็เห็นด้วยแล้วเพราะว่าถ้าช้ากว่านี้อาจไม่ได้ออกมากับอาจารย์กอร์ริกอีกเลย



    “งั้นก็…” จากนั้นคริสก็เปิดวาปด้วยท่าที่สง่างามแล้วทุกคนก็ไปที่พรอนเทร่ากัน



    ไม่นานหลังจากที่หาอะไรทานเด็กๆก็เข้าไปในโบสถ์ดูห้องที่คริสพบกับยูคิ แล้วไปสวดมนต์จากนั้นก็ออกมาที่หลุมศพ



    หลุมศพของทั้งคู่มีแท่นประดับหลุมศพที่ได้รับการแกะสลักมาอย่างดี ลวดลายนั้นวิจิตรงดงามมาก หากแต่ว่าลวดลายที่โวลเดอร์แกะสลักไม้กางเขนให้ยูคินั้นงามกว่าอย่างไม่น่าเชื่อ



    “คิดเช่นเดียวกับข้ามั้ยมาริรีน แท่นประดับหลุมศพเนี่ยได้รับการแกะมาจากช่างที่มีฝีมือสูงสุดในวัง แต่ฝีมือของโวลเดอร์นั้นยังมีความงดงามกว่า” คริสเอ่ย



    “นอกจากเป็นนักดาบที่เก่งยังเป็นนักแกะสลักที่เยี่ยมอีกนะครับ” ไคต์กล่าวอย่างอวดรู้



    “สงสัยทำให้คนรักเลยทำสุดฝีมือมั้งคะ” มาริรีนพูดบ้างจากนั้นทุกคนก็หัวเราะ



    ก่อนกลับมาริรีนก็ได้ฝังไม้กางเขนไว้ที่หลุมศพของยูคิ ยามนั้นตะวันที่กำลังตกดินนั้นทอประกายแสงสีส้มโองอาจ แท่งประดับหลุมนั้นได้รับแสงอ่อนๆ จากดวงอาทิตย์เป็นภาพที่ประทับใจเด็กน้อยทั้งสองมาก และเมื่อเด็กๆพร้อมที่จะจากคริสไปยังที่อาศัยเพื่อพักผ่อนจากการทัศนาจร ในครานั้นได้มีสายลมอ่อนๆโชยมาให้ความสดชื่นแก่ทุกคน ในสายลมที่พัดผ่านมานั้นทุกคนได้ยินเสียงบางอย่างพัดมาด้วย แต่ว่าเมื่อฟังแล้วทั้งขนลุกและปลื้มใจ เสียงที่พัดมานั้นไม่ได้มีอะไรมาก เป็นเสียงของหญิงสาวที่ฟังแล้วรู้ว่าต้นเสียงนั้นงามมาก



    จากนั้นเด็กๆกับอาจารย์หนุ่มก็หันหลังกลับบ้านของตนเองอย่างมีความสุขกันถ้วนหน้า



    ส่วนเสียงที่ได้ยินนั้นน่ะหรอ ก็ไม่มีอะไรมากนักหรอก เสียงที่ทุกคนได้ยินก็คือ…



    “ขอบใจ….มาก……..จ๊ะ………”



    ~The End~



    ขอบพระคุณสำหรับผู้ที่หลงผิดมาอ่านทุกท่านค่าาาาา อิอิ โค้งงามๆหลายๆรอบ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×