ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ~:Long time ago story:~ นิยายเรื่องแรกฝากตัวด้วยนะคะ

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 11 ความจริงอันน่าเศร้า

    • อัปเดตล่าสุด 13 ธ.ค. 46


    “ไม่ได้พบกันมานานเลยนะ ยูคิ” Dop.ยิ้มอย่างอ่อนโยนที่สุดระหว่างที่เก็บดาบเข้าฝัก ตอนนี้ยูคิมองเห็นหน้ามันได้อย่างชัดเจนแล้ว…



    ใบหน้าและดวงตาสีโกเมนที่เหมือนเก่า หากแต่ว่าสีผมได้เปลี่ยนเป็นสีเทาที่น่าเกรงขามและมีเสน่ห์ คนๆนี้…



    “โวลเดอร์โมติส” ยูคิพูดชื่อเต็มของคนที่เธอรักออกไป “ไม่จริงน่า ก็ชื่อของโวลเดอร์อยู่ในรายชื่อผู้สาปสูญแต่….ต….”



    “ยูคิ” โวลเดอร์มองยูคิอย่างเศร้าๆ “ข้าคิดถึงเจ้ามาก” แล้วโวลเดอร์ก็โอบกอดยูคิที่ยังตะลึงอยู่อย่างสุภาพ “คือว่า….”



    -----7 ปีก่อน-----



    “ท่านพ่อคะๆ” ยูน่าวัย 7 ปีตะโกนอย่างร่าเริง “เจ้าเปี๊ยกไก่แจ้โวลเดอร์ คือใครหรอคะ”



    “ยูน่า!!” เจ้าเมืองพาย่อนผู้เป็นพ่อตะโกนดุลูก “ทำไมไปเรียกเขาว่าอย่างนั้น”



    “ก็ลูกเห็นคนอื่นเขาเรียนกันนีคะ” ยูน่าทำหน้าบึ้ง “งั้นลูกไปหาเขานะคะ”



    “อ่ะ ยูน่าาาา~!!!!” เจ้าเมืองตะโกนเรียกลูกสาวแต่ทว่าไม่ทันซะแล้ว



    ***ป่าหน้าเมืองพาย่อน***



    “คนไหนน้าา…. เจ้าเปี๊ยกไก่แจ้อ่ะ” ยูน่าบ่นเบาๆ “อ๊ะ” เธอถูกคนสะกิดจากข้างหลัง เป็นเด็กที่อายุใกล้เคียงกับเธอ แก่กว่าเธอไม่กี่เดือน เด็กคนนี้หน้าตาจิงจังเอาเรื่อง จ้องเขม่งที่ยูน่าด้วยดวงตาสีโกเมน ผมสีแดงเพลิงที่ถูกลมพัดให้พริ้วไหวทอประกายแสงงามอย่างยิ่ง



    “ชั้นเองที่ถูกเรียกว่าเจ้าเปี๊ยกไก่แจ้โวลเดอร์ แต่ชื่อจริงๆ ข้าออกจะเท่” เขากล่าวอย่างเคืองๆแก่ยูน่า



    “แหม ก็เจ้าหัวแดงนี่นา แต่ผมสีสวยมากนะ แล้วเจ้าไก่แจ้ชื่อจริงๆ ว่าอะไรล่ะ” ยูน่าถามพลางโงหัวไปข้างหน้าโวลเดอร์ นั่นทำให้เขาตกใจแล้วหน้าแดงมาก



    “ว…โวลเดอร์โมติส แต่เรียกสั้นๆ ว่าโวลเดอร์ก็ได้” โวลเดอร์เบืองหน้าหนียูน่า ทำให้ยูน่าหัวเราะร่า



    “ข้าชื่อยูน่า เราเป็นเพื่อนกันนะ” ยูน่ายืนมือไป โวลเดอร์มองด้วยอาการเขินเล็กน้อยก่อนจะจับมือยูน่าเพื่อแสดงว่าเขาตกลง



    “เพิ่งย้ายมาใหม่หรอ.??” “อืมใช่” “งั้นเจ้าจะอยู่นี่อีกนานมั้ย” “นานนะ” “งั้นเราจะเล่นกันที่นี่ตลอดไป….” “ข้าก็หวังเช่นนั้น…..”



    -------ฤดูหนาวปีเดียวกัน------



    “ยูน่า!” โวล์เดอร์ตะโกนเรียกชื่อเด็กสาว



    “ง่าา เจ้าเปี๊ยกอ่ะ ข้ากำลังรอหิมะตกอยู่นะ อย่าเรียกซิ” ยูน่าหัวมาแลบลิ้นใส่เพื่อนสนิทก่อนจะหันกลับไปแหงนมองฟ้า



    “ที่ท่านผู้เฒ่าบอกว่าจะตกวันนี้หรอ” โวลเดอร์ถามเด็กสาวพยักหน้ารับพลางมองบนฟ้าอย่างเหม่อลอย “ชอบหิมะมากเลยหรอ”



    “อื้ม” ยูน่าหันมายิ้ม “ถึงแม้บางครั้งมันอาจถล่มมาทับคนหลายร้อยชีวิต แต่ว่าเวลามันตกลงมานะจะสวยมากๆ เลยหล่ะ แล้วเราก็จะได้ใส่เสื้อกันหนาวสวยๆ ได้เล่นปาหิมะไม่ก็ปั้นตุ๊กตาหิมะ หรือทำเทพธิดาหิมะก็ได้ เอ่อข้าไม่แน่ใจว่าเรียกอะไรนะ”



    “แล้วอะไรอีกล่ะ” โวลเดอร์ถามอย่างรู้ใจยูน่า



    “เกล็ดหิมะจ๊ะ” ยูน่าเน้นคำนี้มากๆ “เคยมีคนนำภาพเกร็ดหิมะแบบต่างๆ มีมอบให้ท่านพ่อ แต่ละแบบสวยมากๆ”



    “ยูน่า..อืม…..” โวลเดอร์ก้มหน้าก้มตาคิดบางอย่าง “ต่อไปนี้ข้าจะเรียกเจ้าว่ายูคินะ ถึงมันจะแปลว่าหิมะ แต่สำหรับข้า มันคือเกล็ดหิมะ”



    “ยูคิ…เกล็ดหิมะ” ยูน่าทวนคำ “น่ารักจัง งั้นต่อไปนี้ข้าจะใช้ชื่อยูคินะ”



    “สาวน้อยนามเกล็ดหิมะ.. ยูคิ” โวลเดอร์ทวนคำจากนั้นไม่นาน คนทั้งเมืองพาย่อนก็เรียกยูน่าว่ายูคินั่นเอง….



    หลังจากนั้นไม่นาน โวลเดอร์ก็นำไม้การเขนมาให้กับยูคิ…



    -----------5ปีต่อมา เมื่อยูคิอายุ 12 โวลเดอร์อายุ 13-----------



    “เจ้าเปี๊ยก!!” ยูคิตะโกนอย่างร่าเริงก่อนที่จะวิ่งตรงไปหาคนที่ตนเรียก



    “ข้าก็ตัวโตกว่าเจ้าแล้วนะ ทำไมไม่เลิกเรียกข้าแบบนั้นซักทีล่ะ” โวลเดอร์พูดอย่างฉุนๆ



    “แหมๆ ก็ข้าเรียกจนติดแล้วนี่นา” ยูคิหัวเราะแก้เขิน “ว่าแต่ที่เรียกข้ามาเนี่ยเรียกมาทำไมหรอจ๊ะ??”



    “ข้าจะไปยื่นเรื่องขอเป็นนักดาบน่ะแล้วให้พ่อเจ้าช่วยให้ได้มาประจำที่พาย่อนนี่” โวลเดอร์อธิบายพลางฝึกดาบที่ได้มาใหม่



    “ข้าเลยจะมาถามว่าเจ้าจะเดินทางไปด้วยกันมั้ย ถ้าอยากเป็นนักบวชก็ดีนะ จะได้คอยรักษาข้าไง”



    “อืม…ฟังดูน่าสนุกนะ แต่ว่าข้าคงไปไม่ได้หรอก” ยูคิบ่นอย่างเสียดายสุดซึ้ง “ท่านพ่อไม่ปล่อยข้าไปหรอก ข้ารู้ งั้นข้าจะรอฟังข่าวดีนะ”



    “อืม แล้วข้าจะรีบกลับล่ะ” โวลเดอร์รับคำ



    “อา…แล้วไปเมื่อไหร่ล่ะ” ยูคิถาม



    “เย็นนี้ข้าจะให้ท่านผู้เฒ่าวาปไปส่งน่ะ” โวลเดอร์ยิ้ม “จากนั้นถ้าไม่มีคนขายวาปมาพาย่อนข้าคงต้องเดินเท้ามา ไม่ก็ขอมาเร็วมาตัวนึง”



    “เจ้าไปตามสบายนะ แต่ว่าเจอสาวๆ ก็อย่าจีบเพลินล่ะ” ยูคิดุ



    “เจ้าหึงหรอ??” โวลเดอร์หยอก แต่ตอนนั้นยูคิก็มิได้คิดอะไร



    “ใช่ข้าหึง” ยูคิหัวเราะ “แล้วหึงเนี่ยแปลว่าอะไรหรอ..???”



    “อ่าว” โวลเดอร์เหงื่อตก “มันก็แปลว่า….แปลว่า…..อ่า…....เวลาที่เจ้าชอบใครแล้วคนๆ นั้นไปยุ่งกับคนอื่น หรือไม่ก็กลัวว่าเขาไม่รักมั้ง”



    “หรอ… งั้นข้าก็ไม่หึงเจ้าหรอก” ยูคิหัวเราะร่า “แล้วรีบกลับมานะ”



    “อืม” โวลเดอร์ยิ้มอย่างอ่อนโยน หนุ่มผมสีแดงเพลิงช่างสวยงามนักกับเด็กสาวผมทองยาว ทั้งคู่หัวเราะร่าในเมืองพาย่อน…ส่วนหนึ่งของมิดการ์ด



    -----------เมื่อยูคิอายุ14----------



    “โวลเดอร์!!” ยูคิตะโกนเรียกเพื่อนเสียงใส “เจ้าตามข้าให้ทันซิ” ว่าแล้วสาวน้อยก็วิ่งดั่งใส่TeeN หมา จนนักดาบมือใหม่แต่ฝีมือไม่ใช่เล่นหอบแฮ่กๆ



    “โอย~…” โวลเดอร์ครวญ “เจ้าเห็นใจข้าหน่อยซิยูคิ ข้าใส่เครื่องแบบแล้วมันหนักมากนะ”



    “แบร่!” ยูคิแลบลิ้นใส่ “แค่นี้ก็ตามไม่ได้ อ๊ะ!”



    “ท่านยูคิขอรับ ท่านเจ้าเมืองเรียกพบขอรับ” ทหารรับใช้ผู้หนึ่งเดินมาเรียก



    “จ๊ะ ขอบใจมาก” ยูคิยิ้มแล้ววิ่งไป โวลเดอร์มองตามจนลับตาก่อนจะหยิบดาบเล่มใหม่มาเช็ด



    “ท่านพ่อเรียกมามีเรื่องอะไรหรอคะ??” เด็กสาวถามอย่างนอบน้อม



    “เจ้าเป็นคู่หมั้นของเจ้าชายคริสโตเฟอร์นะ” เจ้าเมืองกล่าวอย่างไม่สนใจบุตรสาว



    “เอ๋! ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน…” ยูคิงง “ทำไมหนูไม่รู้เรื่องมาก่อนเลยคะ”



    “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้” เจ้าเมืองตวาดยูคิในแบบที่ไม่เคยมาก่อน “แล้วเจ้าต้องไปให้ท่านคริสดูตัวฤดูหนาวนี้ พิธีอภิเษกฤดูร้อนหน้า”



    ยูคิตกใจมาก “แต่ลูกเพิ่งอายุ14…”



    “นั่นไม่สำคัญ!!!”



    “แล้วความรักล่ะ ลูก..”



    “นั่นก็ไม่สำคัญ!!”



    “แต่ว่า…”



    “เงียบ!!! เจ้าเป็นลูกข้า เจ้าต้องทำตามคำสั่งข้า!!!”



    แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ยูคิรู้ความรู้สึกของตนแล้ว “ลูก…..ลูกมีคนที่ลูกรักอยู่แล้ว!!”



    “อ่อ เจ้าเปี๊ยกนั่นหรอ ไม่มีทาง ยังไงๆ แกก็ต้องแต่งงานกับท่านคริสโตเฟอร์”



    “ท่านพ่อเรียกลูกว่า ‘แก’ …” ยูคิอึ้งมาก เจ้าเมืองเองก็ตกใจ “ท่านพ่อไม่ให้เกียรลูก ลูกก็จะไม่ไว้หน้าท่านพ่อเช่นกัน” แล้วยูคิก็วิ่งออกไป



    “แกจะไปไหน !!!” เจ้าเมืองโวยวาย แต่ไม่มีคำตอบจากสาวน้อย



    เธอไม่เคยถูกเรียกด้วยคำที่พ่อเธอไว้เรียกคนที่ต่ำกว่าทาส หรือคนที่พ่อเธอเกลียดเธอ จึงทำให้เธอรับไม่ได้ ความรู้สึกของสาวน้อย ตอนนี้ก็ปวดใจที่บอกเหตุผลอะไรไป ก็ไม่ฟังเลยแม้แต่น้อย และแน่นอน ว่าคนที่เธอวิ่งไปหาคือ…



    “โวลเดอร์!!” เด็กสาวตะโกนเรียกชื่อของเพื่อนแสนดี



    “ย..ยูคิ??” โวลเดอร์ตกใจกับ น้ำตา ของเด็กสาว “นี่ใครรังแกมาล่ะ อุ๊บ..!!” ยูคิโผกอดโวลเดอร์ไว้



    “ข้า…ข้าขออยู่อย่างนี้ซักพัก แล้วข้าจะเล่าให้ฟัง…” ยูคิสะอื้น



    “อืม..” โวลเดอร์กอดตอบพลางลูบหัวยูคิ “ไม่เป็นไรแล้วนะ ไม่เป็นไรๆ…ๆ…..ไม่เป็นไร…….”



    “คือว่า……”



    --------------------------------------



    “เอ๋!” โวลเดอร์ตกใจมาก



    “ข้าไม่อยากจะอยู่ที่นี่ ข้าไม่อยากแต่งงานกับคนที่ข้าไม่รู้จักและไม่ได้รัก แม้คนๆนั้นเป็นองค์รัชทายาทแบบท่านคริสโตเฟอร์ก็เถอะ” ยูคิครวญ



    “แต่ว่า…” โวลเดอร์เห็นใจเพื่อนตนแต่มันก็ไม่ถูกนัก



    “เจ้ายื่นเรื่องขอย้ายไปประจำที่เมืองกีฟเฟ่นได้มั้ย แล้วพาข้าไปด้วย” ยูคิสะอื้น “ระหว่างทางก็แวะพรอนเทร่าให้ข้าบวชเป็นนักบวช แล้วหนีไปไกลๆจากท่านพ่อ”



    “แต่ว่าข้า…” โวลเดอร์ตัดสินใจไม่ถูก



    “ข้ามีคนที่ข้ารักอยู่แล้ว!!!” ยูคิแผดเสียง แต่เพราะทำแบบนี้โวลเดอร์จึงเข้าใจและยอมทำตามที่ยูคิบอก



    “ข้าตกลง” โวลเดอร์กล่าว



    “แล้วพอไปถึงที่นั่น ข้ามีเรื่องจะบอก รอฟังด้วยนะ สัญญามั้ย” ยูคิพูดอย่างร่าเริงขึ้นเล็กน้อย



    “อื้ม” โวลเดอร์สัญญา



    แต่ทว่าวันนั้น วันที่ทั้งคู่ตกลงจะเดินทาง ยูคิได้ป่วยหนักด้วยโรคร้ายโรคหนึ่ง เธอจึงขอให้โวลเดอร์นำไปก่อนเพื่อไปประจำที่เมืองกีฟเฟ่น พอเธออาการดีขึ้นก็หนีออกมา…แต่ว่าแล้วทางโวลเดอร์ล่ะ โดนอะไรไปบ้าง…



    หลังจากเดินทางมาถึงกีฟเฟ่น โวลเดอร์ก็ตรงไปยังหอคอยกลางเมืองเพื่อหาหัวหน้าคนใหม่ที่เป็นไนท์แล้วเขาก็เขอกับ….



    “เจ้าเป็นนักดาบใหม่ที่มาประจำกองข้าใช่มั้ย”



    “ข..ขอรับ” โวลเดอร์รับคำอย่างเกร็งๆ



    “ฮะๆๆ เจ้าไม่ต้องเกร็งหรอก อยู่กองของท่านราฟคนนี้ไม่ต้องกลัว” ราฟหัวเราะ



    “อ๊ะ… อาา…” โวลเดอร์ก็คงยังเกรงอยู่ถ้าราฟไม่ทำตัวเหมือนเด็กวัยรุ่นจนโวลเดอร์เหงื่อตก “ค.… ครับ”



    ด้วยความที่โวลเดอร์มีความตั้งใจสูงและหัวไวพอตัวจึงเป็นที่รักใคร่ของราฟ……



    แต่ก็อย่างที่โบราณว่าไว้ มีที่รัก มักที่ชัง….. เพราะความเก่งกาจแล้วความไวในการเรียนรู้ทำให้เป็นที่อิจฉาของคนที่มีความคิดไม่ได้สูงเท่าไหร่



    แล้วเมื่อโวลเดอร์ไม่ได้อยู่กับราฟก็มักจะโดนเสียดสี และถูกกลั่นแกล้ง



    “อ้าว นั่นมันไอไก่แจ้คนโปรดของท่านราฟนี่นา” เรฟ นักดาบที่ประจำมานานเอ่ยพลางหยิบแก้วน้ำมาปล่อยลงพื้น “อ๊ะหก เก็บหน่อยซิ”



    “ค..ครับ” โวลเดอร์นั้นไม่ได้โง่แต่เขาไม่อยากมีเรื่องจึงก้มเก็บให้แต่โดยดี



    “นอกจากมันจะเป็นไก่แจ้ มันยังเป็นไก่อ่อนอีกนะเนี่ย” แล้วเรฟก็เหยียบมือของโวลเดอร์



    “โอ๊ย!!” โวลเดอร์ร้องแล้วชักมือกลับ



    “อุ๊ย! โทษที มองไม่เห็น” เรฟพูดแล้วมองโวลเดอร์ด้วยหางตา



    โวลเดอร์ก็ใช้มืออีกข้างหยิบพลางรีบส่งให้แล้วก็เดินจากไปโดยมันกับเพื่อนอีก2 คนหัวเราะ



    โวลเดอร์โดนแกล้งยังไงเขาก็ยังอดทน ราฟเองก็ยังไม่รู้เรื่อง



    จนกระทั่งวันหนึ่ง เป็นวันที่แต่ละเมืองจะส่งนักดาบไปเมืองละหนึ่งเพื่อเปลี่ยนเป็นไนท์หรือครูเสดเดอร์ ราฟต้องตัดสินใจระหว่างโวลเดอร์ที่เพิ่งเข้ามาประจำไม่ถึงปี กับเรฟ เจ้าคนที่ชอบแกล้งโวลเดอร์ แต่ราฟเห็นว่าโวลเดอร์มีความสามารถสูงกว่าจึงจะพาเดินทางไปยังพรอนเทร่า นั่นทำให้เรฟไม่พอใจอย่างมาก…..



    “นี่เจ้าไก่แจ้” เรฟเดินเข้ามาหาโวลเดอร์ในห้องพักของนักดาบ “ท่านราฟให้มาตามแกไปแน่ะ”



    “ค..ครับ” โวลเดอร์แคลงใจเล็กน้อยแต่ก็ตามไปแต่โดยดี แต่ทว่า…



    ~ณ ชั้นใต้ดินของหอคอยกลางเมืองกีฟเฟ่น~



    “ทำไมถึงนัดมาในที่แบบนี้ล่ะขอรับ?” โวลเดอร์เอ่ยปากถาม



    “ข้าจะรู้ได้ไงล่ะไอเปี๊ยก ข้าไม่ใช่คนที่นัดเจ้ามา” เรฟพูดอย่างไม่แล โวลเดอร์ก็เงียบตลอดทางจนกระทั่ง….พวกเขามาถึงชั้น 4 แล้วสิ่งที่โวลเดอร์พบก็คือ…



    แอสซาซินใบหน้าโหด ห+เอี้ยม 3 คนได้รออยู่นะที่นั้น



    “ท…ทำไมถึง” โวลเดอร์ตะลึงแต่ก็โดนรวบตัวซะแล้ว



    “หึ หึ” เรฟหัวเราะอย่างน่ารังเกียจ “ไอเปี๊ยกรู้ตัวตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ ถ้าไม่มีแก ข้าก็จะได้เลื่อนยศ แล้วข้าขอเป็นครูเสดเดอร์ที่สง่างาม”



    นั่นทำให้โวลเดอร์ไม่พอใจจนทนไม่ไหว ยังไงเขาคงไม่รอดงั้นก็ขอทิ้งท้ายซะเลย



    “คนที่ได้ยศอันสูงส่งนั่นด้วยวิธีต่ำๆ ไม่มีทางจะยืนหยัดในสังคมได้อย่างสง่างามหรอก”



    “ไอนี่นิ!!!” แล้วเรฟก็ชกหน้าโวลเดอร์ก่อนจะชักดาบมาแล้วแทงเข้าที่ท้องน้อยของโวลเดอร์



    “เสี้ยนหนามอยากแกต้องตายอย่างทรมานที่สุด เจอกันในนรกนะ….” เรฟหัวเราะ “เอ้านี่ 60k ตามที่ตกลงไว้ จัดการศพให้ดีล่ะพี่ๆ แอส อย่าให้มีใครมาเจอ”



    แอสซาซินทั้งสามพยักหน้าก่อนจะฝังโวลเดอร์ไว้ทั้งๆ ที่โวลเดอร์ยังไม่ตายดี แล้วทั้งหมดก็จากไป โวลเดอร์ที่ยังไม่หมดลมแต่ไม่สามารถขยับตัวไปไหนได้ก็หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายออกมาพลางนึกถึงคนๆนึง…. ”ยูคิ…”



    แต่เพราะเหตุใดมิทราบเรื่องไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้น… เสียงของบางสิ่งก็เกิดขึ้น



    “เจ้าอยากฟื้นมาแก้แค้นหรือไม่” เสียงลึกลับกล่าว



    “ข…ข้า..ไม่อยาก….แก้….แค้น ค….ใ..ค…ร.” โวลเดอร์พูดออกมาอย่างลำบากเพราะบาดแผล



    “เจ้าจะเลือกที่จะรับใช้พลังด้านมืดแล้วมีชีวิตอยู่ด้วยความสามารถที่เต็มเปี่ยม หรือเลือกหนทางที่จะตาย….”



    “ข้า…” โวลเดอร์พูดไม่ออก เขาเองไม่อยากยุ่งกับใครแต่ก็อยากอยู่ต่อเพื่อจะได้พบกับใครซักคน….



    “ฮะ ฮะ เจ้าไม่มีแรงจะพูด งั้นข้าจะมอบพลัง 1ในล้านที่จะมอบให้เจ้าเมื่อเจ้าตกลงจะรับข้อเสนอข้า” เมื่อเสียงนั้นหยุดพูด โวลเดอร์ก็รับรู้ว่าได้รับพลังบางอย่างจนทำให้มีแรงพูดได้อย่างไม่ขาดเสียง



    “เจ้าแค่ฆ่าพวกนั้นกลับแล้วช่วยข้าแก้แค้นไม่กี่ศพ แล้วข้าก็จะปล่อยให้นายเป็นอิสระ นายจะไปทำอะไรก็ได้ เจ้าจะได้รับพลังที่องรักษ์ที่เก่งกาจที่สุดของพระราชามิอาจเทียบได้” เสียงลึกลับกล่าวต่อโดยไม่สนใจว่าโวลเดอร์รู้สึกอย่างไร



    โวลเดอร์หลับตาแล้วกัดฟันพูด “ข…..ข้าตกลง แต่ไม่ใช่เพราะพลังนั่น แต่เพราะข้าต้องการจะอยู่พบกับคนๆนึง”



    “หึๆ” แล้วทันใดนั้นผมสีแดงเพลิงก็ได้เปลี่ยนเป็นสีเทาอย่างช้าๆ แล้วบาดแผลก็ได้หายไปอย่างน่าอัศจรรย์



    “ก่อนอื่นข้าอยากให้เจ้าออกอาละวาดสัปดาห์ละ1เป้าหมายก็ได้”



    “งั้นคนแรกขอเป็น ……..เรฟ…” โวลเดอร์แค้นมาก เพราะมันทำให้เขาต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ “แต่ข้าจะไม่ทำร้ายสตรีและเด็กนะ”



    “ว่าไงก็ว่างั้น หึ หึ”



    “แล้วจะให้ข้าอาละวาดในนามของอะไร” โวลเดอร์ถามอย่างรู้ใจ



    “หึ หึ ………..Doppleganger….”



    แล้วนับจากนั้นมา โวลเดอร์ก็ออกอาละวาดในนามของ Doppleganger แต่ว่าในตอนกลางวันเขาก็ออกมาข้างนอกแล้วเดินสืบหาเรื่องของยูคิ จนกระทั่งแก้แค้นศพสุดท้ายที่เสียงลึกลับขอไว้ แล้วก็มาพบกับ ยูคิ



    “เรื่องทั้งหมดก็เป็นแบบนี้…เพราะข้าอยากพบเจ้า และอยากบอกลา” โวลเดอร์กล่าวกับยูคิที่ใบหน้าเต็มไปด้วยน้ำตา



    -------ย้อนหลังไป 5 นาทีระหว่างที่โวลเดอร์เล่า-------



    คริส รัชทายาทผู้สูงศักดิ์ได้สติฟื้นขึ้นมา แล้วมองไปรอบๆก็นึกขึ้นได้เมื่อหา Dop. ไม่เจอ



    “แย่แล้ว ยูคิกำลังแย่” แล้วคริสก็หยิบดาบคู่กายแล้ววิ่งอย่างทุลักทุเลไปยังยอดหอคอย



    --------กลับมาทางยูคิกับโวลเดอร์---------



    “ไม่มีทาง โวลเดอร์ที่ข้าสนิทไม่ใช่คนที่จะทำแบบนี้!!” ยูคิค้านเมื่อฟังเรื่องทั้งหมด “โวลเดอร์ที่รักความถูกต้องและความดีกว่าใครน่ะ ไปยินยอมเข้ากับพลังความมืดนั่นได้ยังไง มันเป็นเรื่องที่โง่ที่สุดเลย!!!”



    “ยูคิ…” โวลเดอร์เอ่ย



    “ทุ่มเทกับชีวิตแบบนั้นไปมันได้อะไรขึ้นมาเล่า!!” ยูคิยังคงตะโกน ทันใดนั้นโวลเดอร์ก็กอดยูคิแน่นขึ้น…



    “ลืมไปแล้วหรอ….? ไหนบอกว่าพอมาถึงกีฟเฟ่นมีเรื่องจะบอกไม่ใช่หรอ??” โวลเดอร์พูดทำให้ยูคิได้สติ “ข้าสัญญาแล้วไง ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้รักษาสัญญาไงล่ะ…”



    “ข้ารู้ดีว่าทำแบบนั้นมันผิดอย่างมาก แต่ว่าถ้าได้รักษาสัญญาที่ให้กับเจ้า ได้พบเจ้า ไม่ว่าอะไรก็ยอม”



    “งั้นเจ้าอยู่ในสภาพอย่างนี้ อย่างทรมานหรอ ทำไมกัน” ยูคิกล่าวหลังจากหายอาการสะอื้น “ข้าเป็นต้นเหตุหรือ??”



    “แม้นจะต้องทรมานและทำเรื่องเลวร้ายที่สุด หรือเสียศักดิ์ศรีแค่ไหน ต้องทิ้งความดีงามทุกอย่างก็ตาม แต่ข้าก็อยากพบเจ้าและต้องการมาลา….”



    “ข้า….ข้าคงจะอยู่ไม่ได้…. ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย” ยูคิหลบสายตาโวลเดอร์



    “เจ้ารู้มั้ยว่าจุดประสงค์ที่ประกาศว่าจะฆ่าเจ้าเพื่ออะไร” โวลเดอร์ถอยห่างออกมาจากยูคิ



    “ข้า…ไม่รู้” ยูคิงงงวยกับความสิ่งที่โวลเดอร์ต้องการ



    “ข้าอยากให้เจ้าหรือเพื่อนเจ้าปลดปล่อยข้าจากความทรมานนี้…”



    “ยูคิระวัง!!!!” คริสตะโกนและหอบจากการเหนื่อยที่วิ่งมาหาคนที่ตนรักอย่างไม่คิดชีวิต



    แล้วคริสก็ยกปลายดาบไปชี้หน้าของโวลเดอร์ “แกถอยไปห่างๆ จากยูคิเดี๋ยวนี้นะ”



    “หึ” โวลเดอร์ถอยออกมาแล้วชักดาบ



    “ท่านพี่คริส มันไม่ใช่อย่างที่พี่คิด…..”



    -----จบตอนที่ 11 ------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×