ยามเมื่อคืนพระจันทร์เสี้ยว:Crescent - ยามเมื่อคืนพระจันทร์เสี้ยว:Crescent นิยาย ยามเมื่อคืนพระจันทร์เสี้ยว:Crescent : Dek-D.com - Writer

    ยามเมื่อคืนพระจันทร์เสี้ยว:Crescent

    ผู้เข้าชมรวม

    465

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    1

    ผู้เข้าชมรวม


    465

    ความคิดเห็น


    5

    คนติดตาม


    2
    หมวด :  รักดราม่า
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  9 ก.ค. 49 / 21:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      "จำเอาไว้นะลูก     ห้ามมองพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญเด็ดขาด     ไม่ . . . แม้เพียงที่จะคิด    จงจำไว้ให้ดี . . ."   สิ้นคำสั่งเสียสุดท้าย   ชายชราที่กำลังนอนพริ้ม    โดยมีเด็กน้อยนั่งอยู่ไม่ห่าง   มือที่จากเดิมเคยลูบเรือนผมสีทองไสวของเด็กน้อยผู้เป็นลูกของเขา   บัดนี้ได้ทิ้งตัวลงขนาบข้างลำตัวแนบนิ่งเช่นคนหลับใหลมิได้สติ   ดวงตาสีเทาที่เมื่อครู่พยายามมองมาที่ใบหน้าของเด็กน้อยข้างกาย   บัดนี้ปิดสนิทเสมือนหนึ่งจะไม่รับรู้เหตุการณ์ใดๆต่อจากนี้อีกแล้ว

      เด็กน้อยข้างกายเขาได้เพียงแต่มองมาที่ร่างกายอันแน่นิ่งด้วยดวงตาว่างเปล่า    พร้อมกับหยาดน้ำสุกใสที่ไหลรินจากดวงตาอันบอบบางทั้งสองข้าง   ร่างของเธอสั่นระริกไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย    ด้วยการสะอื้นไห้จากความเศร้าโศกจนตัวโยน 

       ======================================================                                                

      "อลัน . . . เดี๋ยวแกช่วยไปตัดฟืนในป่ามาให้ที   วันนี้ฉันกะว่าจะอบขนมปังสูตรลับเฉพาะประจำตระกูลซะหน่อย"   ชายหนุ่มร่างบึกบึน    เนื้อตัวเปียกปอนไปด้วยเหงื่อไคลเป็นมันปลาบ   สั่งลูกชายของเขาที่กำลังง่วนอยู่กับการตักน้ำอยู่ลานหน้าบ้าน   ด้วยน้ำเสียงดังก้องไปทั่วลานบ้านและละแวกใกล้เคียง

      "ครับ . . . ครับ . . ."   ชายหนุ่มร่างผอมสูง   นัยน์ตาสีน้ำตาลจางๆเฉียบคมดูเข้ากับกับผมสีน้ำตาลแดงแบบไม้มะฮอกกานีที่ถูกหวีจัดทรงอย่างเรียบง่าย   รับคำผู้เป็นพ่ออย่างเสียมิได้   พร้อมกับเดินไปหยิบอุปกรณ์ในการตัดฟืนมาเสียครบครัน

      " . . . ใช้งานหนักจริงๆเล้ย . . ."    เขาบ่นอุบอิบกับตัวเองอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก   แต่ก็ต้องยอมเข้าป่าไปตัดฟืนตามคำสั่งของพ่อแต่โดยดี

      อลันเดินเข้าไปในป่าที่อยู่ไม่ไกลจากตัวหมู่บ้านที่เขาอยู่มากนัก   ในที่สุดเขาก็เดินมาเจอกับแหล่งไม้ฟืนคุณภาพเยี่ยมตามที่พ่อของเขาพร่ำสอนตั้งแต่เด็กๆ   นั่นก็คือ
      1. ไม้ต้องแห้ง
      2. มีขนาดเหมาะมือ   และ
      3. มีน้ำหนักค่อนข้างเบา

      อลันเริ่มใช้ขวานขนาดย่อมที่ถูกลับไว้เสียคมกริบจามเข้าไปยังต้นไม้แห้งๆที่ดูเหมือนจะตายเพราะขาดน้ำมานานต้นหนึ่ง   เขาใช้ขวานที่ดูเหมือนจะมีน้ำหนักมากอยู่พอควรอย่างคล่องแคล่ว   ซึ่งขัดกับรูปร่างที่ดูจะผอมกะหร่องไปหน่อยของเขาอย่างไม่น่าเชื่อ

      ไม่นานนักอลันก็สามารถรวบรวมไม้ฟืนได้มากพอ   ตอนนี้ตัวเขาชักจะเริ่มรู้สึกเหมือนพ่อผู้เอาแต่หมกตัวอยู่แต่ในห้องครัวอันร้อนเร่า    มีเหงื่อชุ่มโชกทั้งตัวเข้าไปเสียทุกทีแล้ว

      ไม่ได้การล่ะ . . .

      ชายหนุ่มได้หอบเอาฟืนกองโตที่เขาจัดการตัดเอาไว้เมื่อครู่ติดตัวไปอย่างทะมัดทะแมง    แล้วจึงเดินอาดๆมาถึงธารน้ำใสแห่งหนึ่ง   เขาวักน้ำขึ้นล้างเนื้อล้างตัวเพื่อล้างคราบเหงื่ออย่างไม่รอช้า   พลันสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของลำธารนี้เข้าอย่างไม่ตั้งใจ

      เธอสวย . . . สวยสะดุดตาเขามากเหลือเกิน

      อลันก้าวเท้าเดินฝ่าลำธารตื้นๆแห่งนี้เพื่อเข้าไปหาเธออย่างช้าๆ   แต่หญิงสาวที่อยู่อีกฟากหนึ่งของลำธารก็เห็นเขาเข้าแล้วเช่นกัน   และดูท่าว่าเธอจะกลัวเขามากทีเดียวจึงหันหลังเดินหนีเขาไปอย่างร้อนรน   ซึ่งอลันเองก็รีบเร่งฝีเท้าเพื่อที่จะได้วิ่งให้ทันเธอเช่นกัน

       "นี่เธอ . . . เดี๋ยว . . . รอฉันก่อน . . ."   อลันตะโกนไล่หลังเธอไปอย่างเหนื่อยอ่อน    แต่สาวน้อยคนนั้นยังคงวิ่งหนีเขาต่อไปโดยไม่ยอมแม้เพียงจะหันหน้ามามอง

      "นี่เธอ . . . ฉันมาดีนะ   หยุดก่อนสิ . . . โธ่ . . . "   อลันตะโกนออกมาอีกครั้งด้วยแรงเฮือกสุดท้าย   ก่อนที่จะหยุดฝีเท้าลงอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะรู้ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางตามเธอคนนั้นทันเสียแล้ว

      อลันได้แต่เดินคอตก   หอบฟืนกองโตกลับไปให้พ่อของเขา   หลังจากที่กลับมาจากการไปตัดฟืนครั้งนั้น   เขาก็เอาแต่คิดถึงใบหน้าของสาวน้อยคนนั้นที่เขาพบเธอที่ลำธารใส ถึงแม้จะเห็นหน้าไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก   เพราะอยู่ไกลเกินไปหน่อย   แต่เขาก็มั่นใจว่าถ้าเขาพบเธออีกเขาต้องจำเธอได้แน่นอน   และจะต้องพยายามหาทางพูดคุยกับเธอให้ได้   ถึงจะแค่คำเดียวก็ยังดี

      คืนนี้พระจันทร์สวยมากทีเดียว   เพราะเป็นคืนพระจันทร์วันเพ็ญ   ชายหนุ่มมองขึ้นไปบนฟ้าอย่างฝันใฝ่ว่าพรุ่งนี้เขาจะต้องได้เจอเธอคนนั้นอีก    พร้อมกับเอนกายลงนอนหลับตาพริ้มอย่างเปี่ยมความสุข

      พระจันทร์เต็มดวงลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า . . .  
      ไร้ซึ่งเมฆใดๆขวางกั้น   รัศมีนวลผ่องของดวงจันทร์กลมโตดวงนี้ได้ส่องลำแสงนวลอร่ามเฉิดฉายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า    และสาดส่องไปต้องตัวของหญิงสาวผู้กำลังนอนอยู่อย่างทุรนทุราย   ก่อนที่เสื้อผ้าซึ่งห่อหุ้มร่างของเธอจะขาดกระจุยไม่มีชิ้นดี    ด้วยขนาดร่างกายของเธอที่เริ่มเปลี่ยนไปทีละน้อย

      ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น    ผิวขาวนวลนั้นก็เริ่มมีขนสีน้ำตาลหยาบกระด้างงอกปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง    เธอกรีดร้องอย่างทรมานที่สุดในชีวิต    ก่อนที่สติสัมปชัญญะสุดท้ายที่เหลืออยู่จะขาดสะบั้นลง

      เธอกลายร่างจากหญิงสาวร่างบางเป็นมนุษย์หมาป่าดุร้ายผู้หิวโหย ไร้ซึ่งจิตสำนึกของความเป็นคน    เธอย่างเท้าหลังทั้งสองเดินเหมือนเช่นมนุษย์ไม่ผิดเพี้ยน   แต่ผิดตรงที่ตอนนี้ร่างของเธอไม่ใช่คนอีกต่อไป    ร่างกายกำยำใหญ่โตของเธอมีพละกำลังมากพอที่จะฉีกกระชากคนนับสิบให้ล้มตายลงได้อย่างง่ายดาย    หญิงสาวร่างบางในคราบมนุษย์หมาป่าเยื้องกรายออกมาจากตัวบ้านเก่าผุพังทีละน้อย   ดวงตากลมโตดุดันพยายามสาดส่ายหาเหยื่อของเธออยู่   แต่แล้ว . . .

      เธอกลับกรีดร้องด้วยเสียงสูงอันสยดสยอง    เหมือนร่างถูกกรีดด้วยใบมีดที่มองไม่เห็น    ความเจ็บแปลบที่เกิดจากการต่อสู้ของจิตสำนึกของคนกับสัญชาตญาณดิบของสัตว์ร้ายช่างหนักหนานัก    จนร่างของสาวน้อยแสนสวยไม่สามารถขยับไปไหนได้อีก  

      สาวน้อยในคราบมนุษย์หมาป่ากรีดร้องอีกครั้งอย่างโหยหวน    ดวงตาเบิกโพลง    แต่นัยน์ตาของเธอกลับว่างเปล่า    ร่างกายใหญ่โตของเธอล้มตึงลงไป    พร้อมกับสติสุดท้ายที่หลุดลอยไปจากร่างของเธอ


      พระอาทิตย์สาดส่องลำแสงอันอบอุ่นในยามเช้าอีกครั้ง    หลังจากที่ปล่อยให้ดวงจันทร์ทำหน้าที่ส่องแสงสว่างอำไพแทนนานถึงหนึ่งคืน

      "อลัน . . . ตื่นรึยัง?    ลงมาช่วยฉันทำงานหน่อยสิ"    ชายหนุ่มร่างชุ่มโชกเหงื่อไหลย้อยเป็นทางออกปากเรียกลูกชายที่กำลังนอนหลับตาพริ้มอยู่บนเตียงเป็นคำรบที่สอง    ชายหนุ่มลุกขึ้นตื่นอย่างงัวเงีย    พลางเอามือขยี้ขี้ตาไปมาให้หายง่วง    เขาลุกลงจากเตียงอย่างเซๆเล็กน้อยเพื่อเดินไปตามเสียงเรียกของผู้เป็นพ่ออย่างว่าง่าย


      ณ ด้านหนึ่งของป่าโปร่งที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านมากนัก

      หญิงสาวค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นมาอย่างช้าๆ    เธอรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวเสียเหลือเกิน พอขยับกายหมายจะลุกขึ้น    ลมเย็นวูบพัดเข้ามาต้องตัวอย่างแผ่วเบา    ลมเย็นวูบนี้ทำให้เธอสะท้านไปทั้งร่าง    เธอตระหนักได้ในทันทีว่าตอนนี้ร่างของเธอกำลังเปลือยเปล่าไร้สิ่งห่อหุ้มอยู่

      "ตายแล้ว . . . "   เธออุทานด้วยความตกใจอย่างสุดขีด   พลางรีบวิ่งกระหืดกระหอบกลับเข้าบ้านไปอย่างรีบเร่ง    เธอรีบสำรวจดูในทันทีว่าตามเนื้อตามตัวของเธอมีคราบเลือดติดอยู่บ้างหรือไม่?

      และแล้วเธอก็ถอนใจอย่างโล่งอก . . .

      นี่เธอยังไม่ได้ลงมือทำร้ายใครไปใช่มั้ย?


      สาวน้อยแสนหวานในเสื้อขาวกระโปรงสีน้ำตาลดูงามตา   แต่ที่งามกว่าชุดเห็นจะไม่พ้นใบหน้าแสนอ่อนหวานของเธอกับเรือนร่างเล็กบางดูสมส่วน    คริสตินเดินอย่างเริงร่าท่ามกลางตลาดสดที่มีผู้คนมากมาย

      ตลาดสดยามเช้าไม่ว่าที่ไหนต่างก็คึกคักกันทั้งสิ้น   ไม่เว้นแม้แต่ที่นี่   ไม่ว่าจะเป็นของกิน   ของใช้ต่างๆนานา   ที่นี่ล้วนมีให้เลือกอย่างมากมาย   ตามแต่ต้องการ

      สาวน้อยสุดสวยเดินเลือกซื้ออาหารสดและของใช้อีกเล็กน้อยอย่างเพลิดเพลิน   ระหว่างที่เธอกำลังเลือกดูของอยู่นั้นเอง   พลันมือมือหนึ่งก็ยื่นมาจับสินค้าที่เธอกำลังหยิบดูอยู่เช่นกัน    หญิงสาวไล่มองไปตามมือที่ยื่นมาเรื่อยขึ้นไปหมายจะดูหน้าเสียหน่อย    ก็ปรากฏเป็นหนุ่มหน้าหวานร่างผอมกะหร่องคนที่เธอพบริมลำธารเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง

      "เอ่อ . . . พบกันอีกแล้วนะครับ . . . คุณคนสวย"   ชายหนุ่มร่างผอมบางกล่าวอย่างอายๆ   พลางหดมือที่จับอยู่ขึ้นมาเกาหัวแก้เขิน

      "อ้าว . . . นาย . . ."   เธอกล่าวเสียงหวานเป็นเชิงว่าจำเขาได้

      "ฉันไม่ได้ชื่อคนสวยนะ    และก็ไม่ได้สวยอย่างที่นายชมสักหน่อย    ฉันชื่อคริสตินต่างหาก"    เธอยังคงกล่าวต่อไปด้วยเสียงหวานหยดย้อยเช่นเดิม    แต่คราวนี้มีแถมสายตาดุๆมาให้ด้วย    แต่อีกฝ่ายดูท่าจะไม่รับรู้อะไรเลย    นอกเสียจากมองคนตรงหน้าที่เขาชมว่าสวยนักสวยหนาโดยไม่ละสายตาไปจากใบหน้าของเธอเลย

      "ครับ . . . คุณคริสตินคนสวย . . ."    เขาตอบรับอย่างไม่ได้สติ    สายตายังไม่ยอมละจากใบหน้าของสาวงามผู้อยู่เบื้องหน้าแม้แต่น้อย

      "คริสติน   วูล์ฟแรมจ้ะ   ไม่ใช่คริสตินคนสวย"   เธอแย้งออกไปด้วยรอยยิ้มอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับหัวเราะคิกคิกอย่างขบขันอยู่ในที   

      ใครนะที่เป็นคนกล่าวว่าความรักทำให้คนตาบอด   ไม่เห็นจะจริงเลย   ก็ในเมื่อตอนนี้ ณ   เบื้องหน้าของเขาก็คือ . . .ความรัก. . . ที่เขาเฝ้ารอมาตลอด   แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นรอยยิ้มอันแสนหวานของ . . .ความรัก. . . ที่อยู่เบื้องหน้าของเขาได้อยู่เลยแท้ๆ

      เวลาผ่านไปหลายนาที    ในที่สุดชายหนุ่มร่างผอมบางที่ดูสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวคนเมื่อครู่จะได้สติกลับคืนมาเสียทีจากเสียงหัวเราะคิกคักของคริสตินคนสวย

      "เอ่อ . . . คุณคริสตินครับ    ถ้าว่าง . . . คือผมอยากจะ . . ."    ชายหนุ่มอ้ำอึ้ง   ไม่ยอมพูดจนจบใจความที่ต้องการจะสื่อออกไปเสียที   จนอีกฝ่ายต้องเร่งเร้าด้วยการพูดถามออกไปบ้าง

      "ว่างจ้ะ   จะชวนไปไหนเหรอจ๊ะ?"   หญิงสาวเปล่งเสียงถามออกไปอย่างเร่งเร้าหมายที่จะได้รู้ใจความที่อีกฝ่ายต้องการจะพูดโดยเร็ว

      "คือ . . . ผมอยากชวนคุณไปเที่ยวที่บ้านของผมนะครับ"   ชายหนุ่มพูดออกไปในที่สุด    แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่ได้มีท่าทางสนใจในคำเชิญชวนเลยแม้แต่น้อย

      "เอ่อ . . . ที่บ้านของผมเป็นร้านขนมปังนะครับ   ที่นั่นน่ะมีขนมปังอร่อยๆอยู่มากเลยละครับ"    เขาพูดอธิบายต่อเองเสียเสร็จสรรพ   อีกฝ่ายหนึ่งที่ได้ยินจึงยิ้มกริ่มอยู่ในทีอย่างพอใจ

      "ไม่ต้องเอาขนมมาล่อก็ได้   ยังไงก็จะไปอยู่แล้วล่ะ"   เธอสวนออกมาอย่างอารมณ์ดี รอยยิ้มบางๆยังคงฉายอยู่บนใบหน้าแสนหวาน    แต่อีกฝ่ายกลับรู้สึกเขินเล็กน้อยกับการพูดหว่านล้อมโดยเอาขนมมาล่อของตัวเอง


      ทั้งคู่ต่างพากันเดินลัดเลาะออกมาจากตลาด     เดินเรื่อยมาจนพ้นตัวเมืองอันแสนคึกคัก    จนในที่สุดก็มาถึงบ้านหลังหนึ่งที่ถึงแม้จะดูไม่กว้างขวางนักแต่ก็ดูสงบน่าอยู่อย่าบอกใคร    ชายหนุ่มหันมาบอกแก่หญิงสาวคนข้างๆให้รออยู่ที่หน้าบ้านสักครู่    พลันเขาก็ผลุบหายเข้าไปในตัวบ้าน  

      ไม่นานนัก . . .  ชายหนุ่มก็พาหนุ่มใหญ่ร่างบึกบึนเหงื่อซึมไหลย้อยเป็นทาง   ซึ่งไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าทั้งคู่มีความเกี่ยวข้องอะไรกันโดยดูจากสีผมและโครงหน้าที่เหมือนกันราวกับโขกออกมาจากพิมพ์เดียวกัน   จะยกเว้นก็แต่รูปร่างของทางฝ่ายพ่อจะออกท้วมไปสักนิด   ผิดกับเจ้าลูกชายที่ตัวผอมกะหร่อง   มีแต่หนังหุ้มกระดูก

      คริสตินเอ่ยทักชายร่างใหญ่แปลกหน้า    ซึ่งเป็นบิดาของอลันในทันทีอย่างนอบน้อม เธอยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากอย่างน่ารัก    พลางเอ่ยแนะนำตัวเองอย่างเรียบง่าย

      "สวัสดีค่ะ   หนูชื่อคริสติน . . . คริสติน    วูล์ฟแรมค่ะ"    หญิงสาวเอ่ย

      "เอ้อ . . . สวัสดีจ้ะ    ยินดีที่ได้รู้จัก   ฉันชื่อ   อเล็กซันเดร แอล. ชไนเดอร์   เรียกฉันว่าลุงอเล็กซ์ก็ได้นะ"    ชายหนุ่มร่างใหญ่ตอบรับคำทักทายของอีกฝ่ายในทันที    ท่าทีและคำพูดของเขาช่างดูมีอัธยาศัยดีผิดกับรูปร่างและหน้าตาของเขายามไม่ยิ้มโดยสิ้นเชิง

      "เอ้อ . . . เดี๋ยวคุยกันไปก่อนนะ    เผอิญลุงอบขนมปังอยู่ต้องเข้าไปดูเสียหน่อย"   เขากล่าวพลางเดินหายเข้าไปในบ้านในทันที    ทิ้งไว้แต่พ่อลูกชายสุดหล่อ นายอลันนั่งอยู่เป็นเพื่อนคุยกับคริสตินเพียงสองต่อสอง


      ทั้งสองคุยกันจนดวงอาทิตย์เริ่มคล้อย   ก็ได้เวลาที่คริสตินต้องขอตัวกลับบ้านเสียที สองพ่อลูกต่างก็เสียดายเล็กน้อย    แต่ก็ยอมให้คริสตินกลับบ้านแต่โดยดี   โดยไม่ลืมที่จะแถมขนมปังหอมกรุ่นที่อบเสร็จใหม่ๆ  ให้แก่สาวสวยไปชิมที่บ้าน   แถมเจ้าลูกชายก็ยังขันอาสาจะตามไปส่งสาวน้อยให้ถึงที่ด้วย   เพื่อความปลอดภัย    ถึงแม้คริสตินจะอิดออดไม่ยอมให้ชายหนุ่มตามไปส่งเล็กน้อยด้วยความเกรงใจ    แต่สุดท้ายเธอก็ทนลูกตื๊อของชายหนุ่มไม่ไหวต้องยอมให้เขาตามไปส่งแต่โดยดี


      "ส่งแค่นี้ก็พอแล้วน่า . . ."     หญิงสาวเอ่ยออกไปอย่างไม่ใคร่พอใจนัก

      "ไม่ได้นะครับ   มาทั้งทีก็ต้องส่งให้ถึงที่สิครับ"   หากแต่ขายหนุ่มกลับกล่าวยืนยันออกไปด้วยสายตามุ่งมั่นเอาจริงเอาจัง    จนหญิงสาวก็ได้แต่ถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความจนปัญญา

      "เอาล่ะ    ถึงบ้านของฉันแล้ว    พอใจรึยังล่ะพ่อคนหัวแข็ง?"   คริสตินเอ่ยเป็นเชิงตัดพ้ออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ แต่ในใจก็อดที่จะนึกชมในความเป็นสุภาพบุรุษของชายผู้นี้ไม่ได้   พลันแก้มนวลใสก็แดงระเรื่อขึ้นจนคนข้างๆสังเกตเห็นได้ถนัดตา

      "ครับผม . . ."   อลันเอ่ยเสียงค่อยด้วยรอยยิ้มแสนหวาน   จนสาวน้อยหน้ายิ่งแดงเข้าไปใหญ่

      "เดี๋ยว . . ."    หญิงสาวร้องเรียกชายหนุ่มผู้ซึ่งกำลังหันหลังเดินจากไป   อลันหยุดเท้ากึก    พร้อมกับหันกลับมาทางต้นเสียงอย่างสงสัย

      เขาเอียงคอเล็กน้อยเป็นเชิงถามว่า    มีอะไร?

      "ตอนนี้ดูท่าจะมืดจนมองไม่เห็นทางแล้วล่ะ    ถ้าไม่รังเกียจ   ยังไงอยู่ค้างที่นี่สักคืนก่อนก็แล้วกัน"   คริสตินเอ่ยด้วยเสียงแผ่วลงกว่าเดิม    พลางก้มหน้าต่ำลงเพื่อหลบสายตาอีกฝ่าย

      ชายหนุ่มมีแววตาลิงโลดด้วยความยินดี   พร้อมกับรีบเดินตามเจ้าของบ้านคนสวย   เข้าบ้านไปอย่างว่าง่าย


      "คืนนี้ทนนอนที่พื้นนี่ก่อนก็แล้วกันนะ"   เธอกล่าวเสียงเรียบ    หลังจากที่จัดการเอาที่นอน    หมอน    มุ้ง    มากางเป็นที่นอนให้แก่แขกในวันนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

      "คริสตินอยู่ที่บ้านหลังนี้คนเดียวเหรอ?"    อลันเอ่ยถามออกไปหลังจากที่เข้ามาในตัวบ้านสักพักนึง   แต่เขากลับไม่พบใครที่นี่เลย   นอกจากคริสตินที่พาเขาเข้ามา

      "อืม . . . หลังจากที่พ่อของฉันตาย   ฉันก็อยู่คนเดียวมาตลอดเลยล่ะ"    เธอกล่าวเสียงแผ่ว   น้ำเสียงแฝงความเศร้าเอาไว้เต็มประดา   จนอีกฝ่ายที่ได้รับรู้ถึงกับเริ่มซึมตามไปด้วย

      "อ๊ะ!    คืนนี้มันคืนพระจันทร์เสี้ยวนี่นา"   คริสตินอุทานกับตนเองอย่างเพิ่งนึกได้   ฉับพลันเธอก็รีบวิ่งออกไปดูพระจันทร์ที่เฉลียงหน้าบ้านของเธอ

      อลันเองก็เดินตามคริสตินออกมาข้างนอกด้วยความงุนงง    ภาพที่เขาเห็นก็คือ   หญิงสาวผู้ซึ่งกำลังแหงนหน้ามองฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ    ดวงตากลมโตเบิกจ้องไม่กระพริบ    ตอนนี้ท้องฟ้ายามค่ำถูกประดับด้วยดารางามนับล้าน    นับพันดวง    และพระจันทร์เสี้ยวซึ่งลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้าดูสวยงามไปอีกแบบ

      เธอมองท้องฟ้าอย่างตาไม่กระพริบ   จนอลันเองก็ชักสงสัยในท่าทีของคนตรงหน้า   จึงอดไม่ได้ที่จะขัดจังหวะอันอภิรมย์ของหญิงสาวเข้าจนได้

      "นี่ . . ."   ชายหนุ่มเอ่ยเสียงแผ่วเพื่อเรียกร้องความสนใจจากอีกฝ่าย    หญิงสาวหันกลับมามองทางต้นเสียงเพียงเล็กน้อย   แต่แล้วเธอก็กลับไปแหงนหน้ามองท้องฟ้าเช่นเดิม

      "มองอะไรอยู่เหรอครับ    เห็นมองอยู่ได้ตั้งนานสองนาน"    อลันเปล่งเสียงถามออกมา   อีกฝ่ายเพียงเหลือบตามามองแวบหนึ่ง   พร้อมกับเอ่ยตอบไปโดยไม่ต้องคิด

      "สวยดีออก"    เธอกล่าว    ชายหนุ่มจึงเริ่มมองขึ้นไปบนฟ้าบ้างด้วยความสงสัย    ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเธอมองตรงไหน   ถึงบอกว่าสวย  แต่พอมองไปเรื่อยๆ   เขาเองก็ชักเริ่มรู้สึกว่าท้องฟ้ายามราตรีก็สวยไม่เบาเหมือนกัน

      "มีเรื่องอะไรที่ผมยังไม่รู้อีกบ้างนะ? . . ."    อลันเปรยกับตนเอง   แต่สายตาก็ยังคงไม่ละจากท้องฟ้า   เช่นเดียวกับสาวที่อยู่ข้างๆ

      "ฉันเองก็ยังมีความลับเรื่องนึงที่ไม่กล้าบอกใครเหมือนกัน . . . "    คริสตินเอ่ยเสียงแผ่ว  พลันใบหน้าสวยหวานเริ่มเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด   แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่รู้ถึงอากัปกิริยาของเธอเลยแม้แต่น้อย    เขายังคงมองขึ้นไปบนฟ้าด้วยเพราะคิดว่าคนข้างๆก็กำลังมองอยู่เช่นเดียวกับตน


      "ไม่ต้องไปส่งหรอกครับ   ผมกลับเองได้   แค่นี้เอง"   ชายหนุ่มกล่าว

      "ฮื่อ . . .ตามใจ"    หญิงสาวมีทีท่าฮึดฮัดด้วยความขัดใจอยู่บ้าง   แต่สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้อลันเดินกลับบ้านเองคนเดียว   เพราะเขาทั้งคู่ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ตั้งหลายสิบนาทีแล้ว

      พออลันกลับมาถึงบ้าน   ก็ถูกต้อนรับด้วยคำสบถต่างๆมากมาย   ที่ผู้เป็นบิดาของเขาจะสามารถคิดออกมาได้ในขณะนั้น    โทษฐานที่ทำให้เป็นห่วงทั้งคืน

      "โธ่!   พ่อ   ก็คริสตินเขาอุตส่าห์ชวนให้ค้างนี่นา   แล้วผมจะปฏิเสธความหวังดีของเธอได้ยังไงกันล่ะ?"   เด็กหนุ่มพยายามอธิบาย    นั่นก็พอช่วยให้พ่อของเขาคลายความโมโหลงได้บ้าง    แต่ . . .

      "อ๋อ . . . เข้าใจละ    ไปถึงขั้นไหนกันแล้วล่ะ?"    พอหายโมโห   ผู้เป็นพ่อก็เริ่มเค้นถามความจริงกับเจ้าลูกชายด้วยสีหน้ากึ่งเล่นกึ่งเอาจริง    เล่นเอาอีกฝ่ายถึงกับหน้าแดงระเรื่ออย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเลยทีเดียว

      "โธ่!   พ่อก็ . . .    ผมกับคริสตินยังเด็กอยู่เลยนะ"   ชายหนุ่มพยายามเปลี่ยนมุมมองความคิดของบิดา   ตอนนี้เขาเริ่มอายจนไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับพ่อเลยทีเดียว

      "เออน่า . . . เดี๋ยวก็ไปถึงขั้นนั้นกันเองแหละ"   ผู้เป็นพ่อยังคงกระเซ้าไม่เลิก   จนอีกฝ่ายทนไม่ไหว   ต้องรีบเดินหนีผู้เป็นพ่อเสียยกใหญ่


      กาลเวลาผ่านพ้นไปจากเด็กสาวรุ่นอรชรก็กลายเป็นสาวเต็มตัวมากขึ้น   เช่นเดียวกันกับความสัมพันธ์ของเธอกับชายหนุ่มลูกเจ้าของร้านขนมปังที่พัฒนาไปมากขึ้น

      มากพอที่จะ . . .


      ชายหนุ่มร่างผอมเมื่อสองปีก่อน    ตอนนี้กลับเปลี่ยนแปลงไปเสียจนจำแทบไม่ได้    ร่างกายที่เคยผอมแห้งเมื่อสมัยก่อน    ถูกเติมเต็มด้วยกล้ามเนื้อหนั่นแน่นงดงาม    ดวงหน้าที่ดูละม้ายคล้ายผู้หญิงในบางที    ตอนนี้กลับดูกร้าวขึ้นอย่างมีเสน่ห์    แต่สิ่งที่เขาไม่เคยเปลี่ยนเลยนั่นก็คือนัยน์ตาสีชากับผมสีน้ำตาลแดงเป็นประกายที่ดูเข้ากันอย่างไม่มีที่ติ

      เขาเดินก้าวเข้าไปในบ้านไม้หลังเล็กที่ถูกสร้างมานานแล้วอย่างคุ้นเคย    เขาเดินเอามือทั้งสองไพล่หลังราวกับปิดบังอะไรไว้    แต่อีกฝ่ายหนึ่งกลับยิ้มต้อนรับเขาอย่างดีใจ

      "อ้าวอลัน . . ."    หญิงสาวร้องทักอย่างคุ้นเคย

      "ออกไปนั่งเล่นข้างนอกกันดีกว่า    วันนี้พระจันทร์สวยนะ"   หญิงสาวกล่าวชวน   อีกฝ่ายยิ้มน้อยๆเป็นเชิงตอบรับ    ทั้งคู่เดินออกมานั่งเล่นกันยังเฉลียงหน้าบ้าน    ที่พื้นถูกปูด้วยไม้แผ่นเรียบเหมาะแก่การนั่งเล่นเป็นที่สุด

      คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เสี้ยว    ท้องฟ้าพร่างพราวไปด้วยแสงจันทราสีเหลืองนวลประดับกับแสงพราวพรายของดวงดาวนับร้อยนับพันที่ส่องแสงวิบวับอย่างน่ามอง

      หญิงสาวนั่งมองพระจันทร์เสี้ยวอย่างตาไม่กระพริบ    ราวกับจะจดจำทุกช่วงเวลาของภาพที่ได้เห็นเอาไว้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

      "ชอบดวงจันทร์ขนาดนั้นเลยเหรอ?"    ชายหนุ่มที่นั่งอยู่เคียงข้างเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา หญิงสาวเพียงหันกลับมายิ้มเล็กน้อยพร้อมกับหันกลับไปมองดวงจันทร์บนท้องฟ้าต่ออย่างไม่ละสายตา

      "ชอบ . . . ชอบมากเลย    ฉันชอบพระจันทร์เสี้ยวมากที่สุดเลยล่ะ"   หญิงสาวเอ่ยออกมาเหมือนบ่นให้ตัวเองได้ยินเพียงคนเดียวเสียมากกว่า    แต่อีกฝ่ายหนึ่งที่ได้ยินกลับเลิกคิ้วข้างหนึ่งอย่างสงสัย

      "แปลกคน . . ."   เขาอุทานออกมาเสียงค่อย    แต่ไม่ว่ายังไงอีกฝ่ายก็ได้ยินอยู่ดี

      "คนอื่นเขากลับนิยมชมชอบการมองพระจันทร์เต็มดวงกันแต่เธอกลับชอบมองพระจันทร์เสี้ยว    ถ้าไม่เรียกแปลกคนแล้วจะให้เรียกอะไรล่ะ"    ชายหนุ่มพูดพลางหัวเราะ  หึ   หึเพื่อเย้าอีกฝ่ายเล่น    แต่อีกฝ่ายกลับนึกฉุน    ทุบอกอีกฝ่ายตุบตับเสียเต็มเหนี่ยว   แต่ชายหนุ่มผู้ถูกประทุษร้ายกลับไม่ตอบโต้   เขาเพียงยื่นมือโอบอีกฝ่ายให้ใกล้ชิดกับตัวเขายิ่งขึ้น   เท่านั้นเองหญิงสาวก็เริ่มหน้าระเรื่อแดงเอาดื้อๆ   มือที่ทุบตีอีกฝ่ายก็ร่วงลงคล้ายหมดแรง

      อลันคลายมือออก   อีกฝ่ายได้ทีจึงผลักอกเขาออกในทันที   แต่มือข้างหนึ่งของเธอกลับถูกมือหนาของอีกฝ่ายรั้งเอาไว้อย่างง่ายดาย   

      หญิงสาวไม่ได้ขัดขืนอะไรอีก   ชายหนุ่มยื่นมือขวาที่ซุกไว้ข้างหลังตลอด    และตอนนี้ยังคงกำแน่นคล้ายกำบางสิ่งไว้   มือนั้นค่อยๆคลายออกช้าๆ   ลงบนมือของอีกฝ่าย

      มือเล็กๆ   สัมผัสได้ถึงความอุ่นจากวัตถุแข็งที่ถูกกำเอาไว้แน่นเป็นเวลานาน    หญิงสาวมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัย    แต่คำตอบที่ได้กลับเป็นรอยยิ้มแสนอ่อนโยน   ชายหนุ่มเลื่อนมือออกเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในมืออีกฝ่ายอย่างชัดเจน  

      ฉับพลันมือน้อยๆ   ก็สะดุ้งขึ้นทำให้วัตถุในมือตกพื้นลง   เสียงดังกริ๊งยามเมื่อมันกระทบพื้นกังวานไปทั่วบริเวณ      ยังความตกใจให้แก่ทั้งสองเป็นอย่างมาก

      เงินบริสุทธิ์!

      คริสตินตกใจจนหน้าถอดสี    อลันที่ตกใจไม่แพ้กัน   ยอบกายลงมองหน้างามๆของหญิงสาวตรงหน้า   สลับกับมองแหวนเงินแท้ที่บัดนี้ลงไปนอนนิ่งอยู่กับพื้นอย่างสงสัย    เขาหยิบแหวนวงนั้นขึ้นมาอย่างทะนุถนอมพร้อมหยัดกายลุกขึ้นยืน   ใบหน้าเขาเริ่มฉายแววผิดหวังอย่างเห็นได้ชัด

       "ผมขอโทษ . . . ฐานะอย่างผมมีปัญญาให้คุณได้แค่แหวนเงินวงเล็กๆ   วงนี้เท่านั้น   ถ้าคุณรังเกียจขนาดนั้น . . ."   อลันเอ่ยด้วยถ้อยเสียงอันผิดหวังอย่างที่สุด    แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดจบ   มือนิ่มๆของอีกฝ่ายก็ยื่นมาประกบปากชายหนุ่มทันที

      "ขอโทษ . . . ฉันตกใจมากเลยล่ะ    และที่สำคัญ . . . ดีใจมากที่สุดด้วยเช่นกัน"   เธอกล่าวพลางยื่นมือมารับแหวนจากมืออีกฝ่าย    แต่หยาดเหงื่อยังคงผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าขาวซีดของเธออยู่ไม่ขาด

      "แต่งงานกับผมนะ . . . คริสติน"    เขาเริ่มพูดด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเองนัก แต่อีกฝ่ายก็ยิ้มตอบรับอย่างอ่อนหวาน    ถึงแม้ใบหน้าของเธอจะยิ่งซีดเผือดขึ้นก็ตาม     ชายหนุ่มบรรจงสวมแหวนเงินวงบางให้แก่นิ้วนางข้างซ้ายของอีกฝ่ายอย่างเบามือ    เมื่อสวมเสร็จ    เขาก็จุมพิตลงบนเรียวปากอิ่มสวยของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา    เพื่อสาบานว่าเขาจะรักเธอตลอดไป

      "รอผมก่อนนะ   อีกไม่นานเราค่อยย้ายไปอยู่บ้าน . . . บ้านซึ่งเป็นของเราทั้งสองคน"     ชายหนุ่มพูดอย่างมาดมั่น

      มือที่สวมแหวนให้แก่หญิงสาว   บัดนี้กุมมือนิ่มของเธอแน่นขึ้นอย่างไม่ยอมปล่อย   ราวกลับกลัวว่าจะโดนพรากจากกันด้วยสายลมหากปล่อยมือนั้น    หญิงสาวยิ้มพร้อมกับหยาดน้ำสุกใสที่ไหลจากดวงตาคู่งามทั้งสองด้วยความปิติยินดีอย่างที่สุด   ทั้งคู่นั่งลงเงยหน้ามองดูพระจันทร์เสี้ยวที่ยังคงสาดแสงต่อไปอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

      พระจันทร์ที่เหลือเพียงเสี้ยว    หากมองดูอีกทีก็อาจเสมือนดวงจันทร์ดวงนั้นกำลังยิ้มให้กับหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วยความปิติยินดีอยู่ก็ได้


      จนกระทั่งรุ่งสางของอีกวันก็มาถึง . . .

      อลันเดินจากไปเพื่อกลับบ้านของเขาเองด้วยใบหน้าอิ่มเอมอย่างที่สุด     หญิงสาวสวยภายใต้ชุดผ้าฝ้ายสีขาวโปร่งเพียงออกมายืนส่งที่หน้าบ้านของเธอเท่านั้นด้วยใบหน้าระเรื่อสี    ดวงตาสีฟ้าคู่สวยหลุบต่ำ     แต่สายตายังคงลอบมองมาทางชายหนุ่มผู้หันหลังเดินจากไปจนลับตา

      นับจากวันนั้นอลันก็ไม่ค่อยได้มีโอกาสไปหาคริสตินบ่อยเหมือนอย่างที่เคย    เขาเอาแต่โหมทำงานทั้งวันทั้งคืน   หมายมั่นว่าจะเก็บเงินไว้สำหรับเป็นค่าสร้างเรือนหอของเขาและคริสติน   ถึงแม้ในยามนี้อาจจะยังไม่มากพอเท่าไรนัก   แต่เขาก็จะตั้งหน้าตั้งตาทำงานเพื่อเก็บเงินต่อไป

      คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงเสียด้วย   ชายหนุ่มเงยหน้ามองพระจันทร์พลางยิ้มให้อย่างมีความสุข  
       

      "แย่แล้วๆ    มนุษย์หมาป่าออกอาละวาดแล้ว . . ."   เสียงโหวกเหวกโวยวายดั่งไปทั่วทั้งหมู่บ้าน    ทุกคนต่างออกมาดูว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น    และต่างก็ตระหนกตกใจอย่างที่สุด    เมื่อได้ทราบข่าวว่ามีมนุษย์หมาป่าออกอาละวาดที่หมู่บ้านนี้

      "โอ้พระเจ้า . . . นี่มันเรื่องจริงรึเนี่ย?"   หญิงชราร่างท้วมคนหนึ่งอุทานออกมาอย่างตกใจ    "หน้าตามันเป็นยังไงเหรอ?"    เด็กน้อยร้องถามด้วยความอยากรู่อยากเห็น    "เจ้ารอดมาได้ยังไงน่ะ?"   หญิงวัยกลางคนถามออกมาบ้างอย่างอยากรู้   เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่ว   พวกชาวบ้านต่างก็มารุมล้อม   ชัคกี้   เด็กหนุ่มที่อ้างว่าตนได้พบเจอกับมนุษย์หมาป่ามากับตัวเองจะจะเมื่อคืนวานนี้เอง

      ไม่นานนัก   ข่าวลือก็แพร่สะพัดไปทั่วทั้งหมู่บ้าน    ชาวบ้านทุกคนต่างระมัดระวังตัวเองกันมากขึ้น   ชายหนุ่มต่างต้องพกปืนกันคนละกระบอก   และโดยเฉพาะหากใครจะออกไปไหนมาไหนยามค่ำคืนต่างต้องพกทั้งปืนไรเฟิลลำกล้องยาว    พร้อมกับลูกกระสุนเงินแท้ที่โบราณเล่าขานกันมานานว่า    ภูติผีปีศาจกลัวกันนักหนาเอาไว้อย่างน้อยหนึ่งลูก


      เมื่อคืนวันเพ็ญที่ชาวบ้านต่างหวาดกลัวได้เวียนมาถึงอีกครั้ง. . .    

      อลันเตรียมข้าวของให้พร้อมเพื่อที่จะไปหาคริสตินถึงที่บ้าน   โดยที่ไม่ลืมจะหิ้วกล่องสี่เหลี่ยมใบย่อมไปด้วย

      "อลัน . . . ฉันว่าแกไปวันอื่นดีกว่าน่า . . ."    ผู้เป็นพ่อกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเจือความห่วงใย

      "ผมไปไม่นานหรอกครับพ่อ . . . แล้วอีกอย่างถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้น    ผมก็มีปืนนี่อยู่กับตัวด้วย . . ."    ชายหนุ่มผู้เป็นลูกกล่าว

      "แต่ . . ."

      "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ    ผมเองก็จะถือโอกาสนี้ไปดูด้วยว่าที่บ้านของคริสตินปลอดภัยดีรึเปล่า"   เขายังคงเอ่ยต่อไปด้วยท่าทีเรียบสงบตามปกติ   แต่ถึงแม้อีกฝ่ายจะพยายามห้ามเท่าใดก็ดูท่าจะไร้ผล   จึงได้แต่ปล่อยให้ลูกชายเดินออกไป   ส่วนตนเองได้แต่คอยเป็นห่วงอยู่ที่บ้าน

      ชายหนุ่มเดินอย่างช้าๆไม่เร่งรีบด้วยความระมัดระวัง   พลางยกปืนขึ้นสาดลำกล้องไปมาเพื่อเตรียมพร้อมหากเจอสัตว์ร้ายที่ออกหากินในยามวิกาล

      พระจันทร์ลอยเด่นเหนือหัว    หญิงสาวรู้ได้ในทันทีว่าถึงเวลาที่เธอจะต้องแปลงกายจากมนุษย์เป็นหมาป่าผู้หิวโหยอีกครั้ง

      ถึงแม้จะทรมานเพียงไร    เธอก็จะอดทน    จะเอาชีวิตรอดจากการผิดมนุษย์มนานี้ให้ได้    ร่างกายบอบบางขยายใหญ่ขึ้น    พร้อมๆกับที่มีเส้นขนหยาบแข็งงอกออกมาปกคลุมไปทั่วร่าง    เธอกรีดร้องเสียงเย็นวาบ    เผยให้เห็นถึงเขี้ยวขาวยาวน่ากลัว    เสื้อผ้าขาดกระจุยไม่มีชิ้นดี

      ทันทีที่อลันได้ยินเสียงโหยหวนอันชวนสยองของมนุษย์หมาป่าสาว    เขาก็เร่งรุดมายังบ้านของหญิงคนรักในทันทีด้วยกลัวว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นกับตัวของเธอ

      คริสติน!

      เขาพร่ำเรียกชื่อของเธอในใจ    พลางภาวนาขออย่าให้มีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับเธอเลย   พร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกเพื่อให้ถึงที่หมายโดยเร็ว

      ณ    บ้านของคริสติน

      ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้มือไม้ของเขาอ่อนระทวย    กล่องสี่เหลี่ยมที่เขาเฝ้าถืออย่างทะนุถนอม   ตกลงกับพื้นในทันที      ตัวกล่องกระทบพื้นจนเปิดออกเผยให้เห็นถึงสิ่งของรูปประหลาดที่บรรจุอยู่ภายใน     เป็นขนมครัวซองต์    ซึ่งถูกประดิษฐ์เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว    ที่เขาตั้งใจนำมาให้เป็นของขวัญแก่คริสตินในคืนนี้นั่นเอง     

      แต่สิ่งที่เขาได้พบเห็นมิใช่หญิงคนรักอย่างที่ปรารถนาจะได้พบแต่อย่างใด    หากเป็นสิ่งที่ชาวบ้านต่างหวาดกลัวและเรียกขานมันว่า    มนุษย์หมาป่า   และที่น่าตกใจไปกว่านั้นก็คือสภาพเสื้อผ้าของหญิงสาวที่ขาดกระจุยอยู่บนพื้นห้องและติดอยู่บนตัวของเจ้ามนุษย์หมาป่าที่ดูโหดร้ายตัวนั้นนั่นเอง


      ทันที่ที่ชายหนุ่มได้สบประสานสายตาของเขากับมนุษย์หมาป่าตนนั้น    เขาก็เข้าใจในทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น    เขาตะโกนก้องอย่างบ้าคลั่ง    พร้อมกับยกปืนขึ้นสาดลำกล้องยิงไปทั่วตัวของมนุษย์หมาป่า

      "แก . . . แกฆ่าคริสติน    แกฆ่าคนที่ฉันรักที่สุดทำไม?    แก . . ."    เขาตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเคืองแค้น   หยาดน้ำตาลามไหลอาบแก้มด้วยความเศร้าโศกระคนแค้น   แต่กระสุนเหล่านั้นแทบไม่ระคายผิวของอสุรกายตนนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว    มันยังคงส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน    พร้อมกันนั้นมันก็กระโจนเข้าหาชายหนุ่มหมายจะโจมตี    แต่เมื่อร่างของมันคร่อมอยู่เหนือร่างชายหนุ่มผู้กำลังร้องไห้อย่างโศกเศร้า    มันก็ชะงักลงในทันใด

      ชายหนุ่มได้ที    ใช้โอกาสที่เจ้าอสุรกายตัวร้ายที่คร่าชีวิตคนรักของเขา    ยัดลูกกระสุนเงินที่พกติดตัวตลอดเวลาเพียงลูกเดียวเข้าไปในปืนยาว    พลางยกลำกล้องขึ้นเล็งไปยังขั้วหัวใจของข้ามนุษย์หมาป่าตนนั้น

      ปัง!

      ลูกกระสุนวิ่งแหวกอากาศเข้าฝังตรงหน้าอกข้างซ้ายของอีกฝ่าย    แต่พลาดเป้าไปเพียงนิดที่ไม่โดนหัวใจของมัน   อสุรกายร่างใหญ่ล้มลงกับพื้นนอนแน่นิ่ง    มีเพียงหน้าอกขยับหายใจขึ้นลงอย่างแผ่วเบาเท่านั้น    ชายหนุ่มก้าวเท้าไปหาศัตรูของเขาอย่างช้าๆ พร้อมกับยกปืนขึ้นหมายจะยิงปลิดชีวิตของอสุรกายที่ทำร้ายคริสติน   แต่ยังไม่ทันที่เขาจะยิง    ร่างนั้นก็ค่อยๆหดเล็กลงกลายเป็นร่างเล็กบอบบางที่เขาคุ้นเคย    ขนหยาบกระด้างสีน้ำตาลหดหายเผยให้เห็นเรือนร่างได้อย่างชัดเจนขึ้น

      "คริสติน!?"    ชายหนุ่มร้องเรียกชื่อหญิงสาวคนรักอย่างไม่เชื่อตาตนเอง    เป็นไปได้อย่างไรกันที่   คริสติน    สาวสวยแสนหวานนิสัยอ่อนโยนจะกลายเป็นมนุษย์หมาป่าที่ชาวบ้านพากันหวาดกลัว  

      หญิงสาวในร่างเปลือยเปล่ายังคงหายใจระทวย    เลือดสีเข้มไหลรินออกมาจากปากแผลที่ถูกยิงโดยฝีมือชายที่เธอรักหมดใจอย่างช้าๆ    ดวงตาคู่สวยพยายามลืมขึ้นเพื่อมองหน้าชายคนรักของเธอเป็นครั้งสุดท้าย

      "อลัน . . . ฉัน . . . ขอ . . . โทษ"    หญิงสาวพยายามรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่เหลืออยู่เปล่งเสียงเพื่อกล่าวคำขอโทษ    แต่ในยามนี้มันช่างยากเย็นเหลือเกินในการเปล่งเสียงออกไปแต่ละคำ   

      ชายหนุ่มที่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์เมื่อครู่    ได้วางปืนลงข้างลำตัว     พร้อมกับย่อกายลงนั่งคุกเข่าข้างๆ   ร่างที่กำลังนอนนิ่ง    รอความตายที่กำลังจะคืบคลานมาหาเธออย่างช้าๆ

      "คริสติน . . ."    อลันเอ่ยเรียกร่างตรงหน้าอย่างแผ่วเบา    พลางเอามือลูบใบหน้านวลใสอีกฝ่ายอย่างเบามือ     พลันหยาดน้ำสุกใสก็ไหลรินอาบแก้มทั้งสองของเขาอีกครั้ง หญิงสาวพยายามยืดแขนหมายจะลูบเช็ดน้ำตาให้กับชายหนุ่มเบื้องหน้า     หากแต่ชายหนุ่มก็รีบคว้ามือของเธอมาแนบกับแก้มของเขาในทันที    หญิงสาวยิ้มหวานให้เขาพร้อมกับพยายามเปล่งเสียงพูดออกมาอีกครั้ง แต่ชายหนุ่มกลับยื่นมือมาปิดปากเธอเอาไว้ก่อน

      "ไม่ . . . อย่าพูดคริสติน    ถ้าคุณพูดคุณอาจจะจากผมไปเร็วขึ้น . . ."    เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ    น้ำตายังคงไหลรินตกแหมะลงสู่ร่างบอบบางไม่ขาดสาย

      "ไม่สิ . . . คุณต้องไม่ตาย . . . ตอนนี้อาจจะทัน    ผมจะพาคุณไปหาหมอ . . . ไปรักษาบาดแผลนี่ . . . ใช่ . . . หมอต้องรักษาได้    คุณจะหาย    คุณจะหาย"    เขาพร่ำพูดเหมือนคนไม่ได้สติ    พร้อมกับพยายามอุ้มร่างบอบบางเพื่อพาไปหาหมอ

      "ไม่หายหรอก . . . หากมนุษย์หมาป่าตนใดต้องอาวุธที่ทำด้วยเงินบริสุทธิ์จนบาดเจ็บ จะไม่มีทางรักษาได้    มันจะค่อยๆตายอย่างช้าๆ   ด้วยความทรมาน . . ."    คริสตินพยายามพูด    ในขณะที่เธอถูกชายหนุ่มอุ้มอยู่    ลมหายใจของเธอเริ่มเลือนหายทีละนิด ทีละนิด    อย่างไม่รู้ตัว

      "ไม่ . . . คุณต้องหาย    ไม่ว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือป่วยเป็นโรคอะไร    หมอก็สามารถรักษาได้ทั้งนั้นแหละ    แผลนี่ก็เหมือนกัน    ลูกกระสุนยังไม่โดนขั้วหัวใจของคุณ    คุณต้องหายแน่ๆ    เชื่อผมสิ"    เขายังคงพูดต่อไปพร้อมกับโอบอุ้มร่างบางให้กระชับแน่นขึ้น    ขณะที่เขาเริ่มเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเพื่อไปให้ทันก่อนที่ร้านหมอจะปิด

      "อลัน . . . ฉันรักคุณนะ . . . รักที่สุด . . ."    หญิงสาวรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายที่มีอยู่     เปล่งคำหวานสุดท้ายแก่ชายหนุ่มที่เธอรักที่สุดในชีวิตของเธอ    ชายหนุ่มก้มลงมองร่างที่ตนโอบอุ้มอยู่อีกครั้ง    รอยยิ้มจางๆฉายอยู่บนใบหน้าของหญิงสาว    แต่ลมหายใจอ่อนระรินที่เคยมีอยู่หายไปแล้ว

      อลันค่อยๆย่อตัวลงวางร่างบางในอ้อมแขนลงกับพื้นอย่างช้าๆ    เขาพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่เห็นหน้าอกของหญิงสาวขยับขึ้น-ลงเหมือนเช่นเคย    เขาจึงลองยื่นนิ้วไปวางใต้จมูกของเธอ . . .

      เรียบเฉย . . .     ไม่มีแม้แต่สัมผัสใดๆ   ที่สามารถบอกเขาได้เลยว่า    เธอยังมีชีวิตอยู่     ชายหนุ่มเริ่มเอาหูแนบเข้ากับหน้าอกข้างซ้ายของหญิงสาวอย่างร้อนรน    แต่เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย     มีแต่เพียงสัมผัสอุ่นๆจากร่างบางตรงหน้าเท่านั้นที่ส่งมาให้เขา

      อลันโงหัวขึ้นมองมาทางร่างบางอย่างตื่นตระหนก    ก่อนที่เขาจะตะโกนลั่นร้องเรียกชื่อของเธอเหมือนคนเสียสติด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง

      "คริสติน! คริสติน! คริสติน . . ."   เขาเฝ้าตะโกนเรียกชื่อของร่างไร้วิญญาณตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง    พร้อมกับซบหน้าลงไปกับร่างที่ยังนิ่มอุ่นของเธอ    น้ำตาลามไหลลงมาอีกครั้ง    รดร่างบางในอ้อมกอดของเขา

      "คริสติน . . . ฮือ . . ."

      หลังจากเหตุการณ์นั้นเพียงไม่นาน    ชายหนุ่มที่เริ่มทำใจยอมรับความจริงได้ จึงจัดการฝังศพของคริสตินอย่างเรียบง่าย   พร้อมกับประดับหลุมศพของเธอด้วยดอกไม้นานาชนิดที่ประกอบกันเป็นพวงสวยงาม    โดยมีก้อนขนมรูปพระจันทร์เสี้ยววางตรงกลางพวงดอกไม้นั้น    อย่างพอเหมาะพอเจาะ

      "คริสตินครับ . . . นี่คือขนมครัวซองท์    ผมตั้งใจฝึกทำมันอยู่ตั้งนาน    เพื่อรอมอบให้คุณในวันแต่งงานของเรา . . ."

      "ถึงมันจะออกมาไม่สวยเหมือนพระจันทร์เสี้ยวที่คุณชอบสักเท่าไร    แต่ผมก็ตั้งใจทำมันเพื่อคุณนะ"    เขาเอ่ยต่อ

      "ต่อไปนี้ . . .คุณจะได้มองพระจันทร์เสี้ยวตลอดเวลาอย่างที่คุณชอบไงครับ    ลองดูสิครับ    ลองมองดูสิครับ . . ."    อลันพร่ำพูดอยู่คนเดียวต่อหน้าหลุมศพของคริสติน    น้ำตาพาลไหลรินออกมาโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมมันได้เลย   ชายหนุ่มยกแขนขึ้นปาดน้ำตาตัวเอง    พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับหลุมศพของคริสตินเป็นครั้งสุดท้าย   ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปด้วยสายตารวดร้าว    พร้อมกับน้ำตาหยาดสุดท้ายที่จะไหลรินอาบแก้มของเขา

      ยามเมื่อราตรีนี้พระจันทร์เสี้ยว               ช่างเปล่าเปลี่ยวอยู่เอกาว้าเหว่หวิว
      ขอเพียงวอนฝากลมให้ช่วยปลิว            เรื่อยเฉื่อยฉิวผะแผ่วพลิ้วว่ารักเธอ
      แม้ดาราดารดาษอยู่เต็มฟ้า                    หรือจันทราโสภาหาใดเสมอ
      ต่อให้มีอัญมณีสิ่งเลิศเลอ                      หากขาดเธอฉันนั้นจะอยู่อย่างไร
      ฉันเหม่อมองดูบุหลันจนเลื่อนลับ           หากเธอนั้นหากลับมาหาฉันไม่
      ยิ่งมองดูยิ่งคิดถึงยิ่งปวดใจ                    เธอนั้นได้จากฉันไปตลอดกาล

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×