ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Hormones] NonThee/PhuThee : Can you feel the love?

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 5: “ออกไปจากชีวิตกูเหอะภู” [THEE's PART]

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 57


    **สำหรับในตอนนี้เนื้อหาบางส่วนมีความล่อแหลมซึ่งผู้เขียนได้ลงความเห็นแล้วว่าไม่เหมาะสมที่จะลงเอาไว้ในเว็บเด็กดีจึงทำให้ตัดทอนเนื้อหาในส่วนนั้นๆ สามารถติดตามฉบับเต็มได้ที่ >> http://yuhankung.wordpress.com/2014/09/07/203/

    หมายเหตุ: เนื่องจากเนื้อหาที่ได้ถูกทำการตัดทอนออกไปนั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับฉากอย่างว่าสำหรับผู้ที่ไม่มีความประสงค์จะเสพสื่อเช่นนั้นสามารถอ่านเนื้อหาด้านล่างได้ตามปกติโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปที่ลิ้งค์นะคะ :)



    ตอนที่
    5: ออกไปจากชีวิตกูเหอะภู

     

     

     

    อย่าให้ความหวัง

    ถ้าความหวังนั้นมันไม่เคยมีอยู่จริงเลยนะภู

     

     








     

    ความจริงแล้วผมมีบางอย่างอยากจะถามนนท์ ก็ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงไม่ถามมันออกไปว่า จริงๆเมื่อตอนเย็นมึงไม่ได้อยากไปกินไอติมจริงๆหรอกใช่ไหม แต่กลับเลือกที่จะบอกออกไปว่า เรื่องเมื่อเย็น...ขอบใจนะ

     

    ผมเลือกที่จะขอบคุณแทนที่จะซักถาม  เพราะสายตาจริงจังของมันทำให้ผมพูดไม่ออก มันเหมือนกับผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในนั้นและมือที่กุมอยู่ก็ทำให้ผมรู้สึกอบอุ่น

     

    ...มันอาจจะยังไม่รู้ตัว..ว่าสายตาแบบนั้นมันเหมือนกับเวลาที่ผมมองไอ้ภูขนาดไหน..

     

     

     

     

    ครืดดดดดดดด....เสียงจากโทรศัพท์มือถือที่ผมเปิดเอาไว้เป็นแบบระบบสั่นดังขึ้นทำให้เราสองคนเหลือบหน้าไปมองที่หน้าจอนั้นโดยอัตโนมัติ และทั้งที่ผมควรจะหยิบมันขึ้นมารับสายอย่างปกติแต่ในครั้งนี้ผมกลับรู้สึกลังเล

     

    “พี่...รับเถอะ....เดี๋ยวผมกลับละ” นนท์ตัดสินใจแทนผมซึ่งดูเหมือนจะลังเลอยู่ จริงๆแล้วผมก็ค่อยอยากจะรับสายนักหรอก กลัวว่าถ้าเกิดมันพูดอะไรออกมาแล้วความตั้งใจที่จะกลับไปเป็นแค่เพื่อนธรรมดาระหว่างเรามันจะพัง แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่ามันอาจจะกำลังมีปัญหาอะไรอยู่รึเปล่าเพราะตั้งแต่พวกเราเลิกกันมันก็แทบจะไม่ได้โทรมาอีกเลยนอกจากมีธุระ

     

    ผมตัดสินใจกดรับในที่สุดก่อนจะใช้สายตามองส่งนนท์ที่กำลังเดินออกไปแล้วหันมาโบกมือบ๊ายบายให้

     

    “ฮัลโหล....ว่าไงมีธุระอะไร” ผมเปิดบทสนทนาอย่างตรงประเด็นที่สุดทันทีที่กดรับสาย ทว่าเสียงจากปลายสายที่ส่งกลับมาทำให้ผมต้องขมวดคิ้ว

     

    “นั่นน้องเป็นเพื่อนน้องภูใช่ไหมคะ? พอดีว่าน้องเค้าเมามากพี่ไม่รู้จะโทรหาใครดี เนี่ยเดี๋ยวพี่ก็จะปิดร้านแล้วด้วย.....”

     

    “ถ้าอย่างนั้นของที่อยู่ร้านด้วยครับ เดี๋ยวผมไปรับมันเอง” ผมตอบรับออกไปทันทีอย่างรีบร้อนแล้วหยิบกระเป๋าสตางค์กับกุญแจมาล็อกห้องก่อนจะลงมาโบกแท็กซี่คันหนึ่งซึ่งผ่านมาพอดี

     

    “พี่ครับ ไปที่ร้าน..................”

     

    ..

    ..

    ..

     

     

     

    ///////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    สุดท้ายแล้วผมก็ต้องลากมันกลับมาที่ห้องของตัวเองจนได้ สภาพเมาเละแบบนั้นจะให้พากลับไปบ้านมันคงได้มีเรื่องคุยกับที่บ้านแบบยาวๆแน่

     

    ...........ปกติมึงไม่ใช่คนกินเหล้าแท้ๆ......

    ..........เกิดอะไรขึ้นกับมึงวะภู.......

    กว่าที่จะแบกมันเดินขึ้นบันไดมาถึงนี่ได้เล่นเอาเหนื่อยไม่ใช่เล่นผมจึงได้แต่นั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างๆเตียงนอนของตัวเองซึ่งยกให้มันนอนแผ่อย่างสบายใจไปแล้ว

     

    ก็แค่ไปรับเพื่อนที่เมา แค่ช่วยตอนที่มันกำลังลำบากเท่านั้น

     

    ผมสูดหายใจลึกๆพยามปรับความคิดที่ฟุ้งซ่านให้กลับมาเป็นปกติ ไม่ว่ามันจะไปเจออะไรมาผมก็พร้อมจะรับฟังปัญหาในฐานะเพื่อนอย่างที่มันต้องการ

     

     

    คำว่าเพื่อนที่ผมอดหัวเราะตัวเองอย่างสมเพชไม่ได้

    เพื่อนประเภทไหนกันที่แอบมาร้องไห้แทบขาดใจเวลาที่เห็นเพื่อนมีความสุขอยู่กับแฟน

    เพื่อนประเภทไหนกันคอยแต่แอบมองแล้วก็มาเจ็บปวดเอง

    เพื่อนประเภทไหนกันที่พอรู้ว่าอีกคนกำลังแย่...........ก็รีบไปหาทันทีโดยไม่คิดอะไร

     

     

    มึงขอให้กูกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่กูทำไม่ได้จริงๆว่ะภู

    กูมองมึงเป็นเพื่อนไม่ได้จริงๆ แต่ก็ยังอยากอยู่ใกล้ๆมึง

    กูนี่มันขี้โกงจังเลยเนอะ...

     

    ร่างที่อยู่บนเตียงพลิกไปมาอย่างกระสับกระส่ายพลางส่งเสียงงึมงำทำให้ผมเข้าใจว่ามันคงจะไม่สบายตัวนักจึงได้ลุกขึ้นไปหยิบผ้าขนหนูชุบหน้าหมาดๆมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้กับมัน แล้วเขย่าเรียกเบาๆ

     

    “ภู...ภูตื่นเหอะ ไปอาบน้ำอาบท่าก่อนแล้วค่อยมานอน”

     

    ไม่มีเสียงใดๆตอบรับกลับมานอกจากคิ้วได้รูปที่ขมวดอย่างไม่พอใจติดจะรำคาญผมเลยได้แต่เลยตามเลย โดยค่อยๆเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้คนขี้เกียจอย่างมันแทนที่จะพยามปลุกมันให้ไปอาบน้ำให้เรียบร้อย สีหน้าที่ผ่อนคลายขึ้นทำให้ผมยิ้มออกมาบางๆ

     

    ...เหมือนกับเด็กๆไม่มีผิด..

     

    ผมไม่เคยบอกมันหรอกว่าสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดก็คือสีหน้าของมันตอนกำลังหลับนี่ล่ะ ไม่ต้องมีรอยยิ้มทะเล้น ไม่ต้องมีดวงตาที่สะกดใครต่อใครให้หลงรัก แต่มันเป็นความสวยงามที่ราบเรียบ เหมือนเป็นช่วงเวลาที่ราวกับว่ามันเป็นของผมคนเดียว

     

    ..ต่อให้มึงยิ้มให้ใครต่อใครไปทั่ว สบตา พูดเล่นหัว หัวเราะ หรือกอดกับใคร...

    ...แต่ใบหน้านี้ก็จะมีแค่กูคนเดียวเท่านั้นที่เห็น...

     

    ภาพในอดีตทยอยผุดขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ เวลาดีๆช่วงที่เราเคยอยู่ด้วยกัน ความขี้เล่น ความช่างเอาใจ อ้อมกอดที่อบอุ่นของมัน และริมฝีปาก

     

     

    ..ริมฝีปาก?...

    สติของผมถูกฉุดกลับมาในช่วงเวลาที่ล่อแหลมมากที่สุด ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงสิบเซนติเมตรใกล้มากเสียจนแทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุนเฉียวที่ระเหยออกมาทำลายความยับยั้งชั่งใจของผมมากขึ้นทุกที

     

    “ธีร์....” เสียงเรียกเบาๆอย่างไม่แน่ใจทำให้ผมชะงัก หัวใจเต้นรัวอย่างคนกำลังทำความผิดแล้วบังเอิญถูกจับได้ ผมสบตากับมันในระยะประชิดก่อนจะมันกระชากลงไป

     

    “มึงไม่ผิดธีร์...........กูมันเหี้ยเอง”

     //////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

     

    ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงพูดคุยโทรศัพท์ ชื่อที่หลุดออกจากปลายสายหลายครั้งทำให้ผมรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

     

    เต้ย

     

    สายตาของผมจับจ้องไปยังเพื่อนรักและอดีตคนรักที่กำลังแต่งตัวอย่างว่างเปล่าก่อนพยามเดินไปอาบน้ำอย่างยากลำบากพอดีกันกับที่มันวางสาย บรรยากาศหนักๆกลับมาอีกครั้งเมื่อเราทั้งคู่ต่างกระอักกระอ่วนกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น

     

    “เอ่อ งั้นเดี๋ยวกูกลับบ้านก่อนนะ...เมื่อวานขอบใจมึงมากที่ช่วยพากูกลับ” มันพูดรัวเร็วโดยที่ไม่ยอมสบตา

     

    ...มึงจะหนีอีกแล้วเหรอภู...

    “อย่างเพิ่งกลับนะภู.....กูมีเรื่องอยากคุยกับมึง”

     

    ..แต่ขอโทษที..กูจะไม่หนีอีกแล้ว..

     

     

     

     

     

     

    ผมใช้เวลาจัดการกับตัวเองไม่นานนักก่อนจะกลับออกมาเห็นภูกำลังยืนมองโต๊ะหนังสือของผมอยู่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

     

    “ รูปที่เราเคยถ่ายด้วยกันไม่อยู่แล้วเหรอธีร์”

     

    ท่าทางหงอยๆของมันเกือบจะทำให้ผมเปลี่ยนใจ ผมพยามหายใจลึกๆแล้วกำมือแน่นเพื่อไม่ให้มันสั่น พยามใจแข็งและเพิกเฉยแต่เสียงกรีดร้องในหัวและอาการเจ็บแปลบที่เกิดจากสิ่งที่ผมกำลังคิดจะทำ

     

    ...ปล่อยมือกูเถอะภู...

     

    “กูว่ามึงออกไปจากชีวิตกูเถอะภู” ผมพูดช้าๆพยามคุมน้ำเสียงไม่ให้สั่นและอธิบายเหตุผลต่ออย่างใจเย็น “กูพยามแล้ว...กูพยามที่จะเป็นเพื่อนมึง พยามลืมความรู้สึกที่มีต่อมึง......แต่กู...” ผมเงยหน้าขึ้นพยามที่จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมา “กูทำไม่ได้ว่ะภู เพราะงั้นถือว่ากูขอร้องไปจากกูซะที”

     

    “ไม่กุจะไม่ไปจากมึง” ผมคงจะยืนอยู่ไม่ไหวถ้าไม่มีโต๊ะหนังสือที่ใช้เพื่อคอยพยุงตัวอยู่ มือของผมกำขอบโต๊ะแน่นเมื่อสบกับสายตาตัดพ้อของมัน “ธีร์ เรื่องเมื่อคืนกูขอโทษ กูเมามาก กู...ไม่ได้ตั้งใจ......กูรู้มึงกำลังโกรธ ที่จริงแล้วกูผิดเอง มันเพราะ ....”

     

    ผมขัดจังหวะคำพูดที่กำลังละล่ำละลักอย่างตกใจของมัน

     

    “กูไม่ได้โกรธมึงเลยสักนิดภู ไม่ว่าจะเรื่องเมื่อคืนหรือเรื่องที่มึงทิ้งกูไปหาเต้ย ............แต่อย่ายื้อกูไว้อีกเลย”

     

    มันเงียบไปสักพักก็ที่จะเริ่มหัวเราะเบาๆทั้งที่กำลังก้มหน้าอยู่

     

    “เพราะไอ้นนสินะ!!! กูเข้าใจแล้ว จริงๆมึงไม่ต้องเสียเวลาเล่นละครแบบนี้ก็ได้นะธีร์ ถ้ามึงแค่อยากไปให้กูไปพ้นๆเพื่อให้จะได้อยู่กับผัวใหม่ได้อย่างสะดวกใจก็น่าจะบอกกันตรงๆ มันดีกว่ากูมากเหรอ เอากับมันแล้วรึยังล่ะ” รอยยิ้มที่เย็นชากับสายตาดูถูกนั้นทำให้ผมขาดสติและปล่อยหมัดเข้าที่สันกรามบนหน้าหล่อๆของมันอย่างแรง

     

    “กูไม่เคยเอากะมัน!!” ผมตะคอกใส่อย่างเหลืออด มันไม่ใช่แค่ดูถูกผม แต่มันยังดูถูกนนด้วย

     

    “หึ....” ภูแค่นเสียงก่อนจะยกแขนเสื้อเช็ดเลือดที่มุมปาก “ก็แค่ตอนนี้ยัง....คนอย่างมึงพอมีผู้ชายคนไหนมาทำดีด้วยเดี๋ยวมึงก็ง่ายให้เขา ............ เหมือนกับที่มึงง่ายให้กูนั่นแหละ”

     

     

    ผมได้แต่มองมันอย่างไม่เชื่อสายตา คำพูดของมันทำร้ายผมเสียจนตัวแข็งทื่อ

    แล้วก็เอาแต่ยืนอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งมันกลับออกไป

     

    ...ไม่ใช่ผู้ชายคนไหนก็ได้หรอกนะ...กูไม่ได้ชอบผู้ชายแต่กูชอบมึง....

     

     

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

     

    ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแต่ประตูห้องของผมก็เปิดขึ้นอีกครั้งในตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว และคนที่เดินกลับมาก็คือนน

     

    “มานั่งอะไรมืดๆอยู่คนเดียวล่ะพี่”

     

    ไฟห้องสว่างจ้าขึ้นในทันทีที่สวิตช์ถูกกด

    ....แสบตา....

     

    “ได้ทานอะไรบ้างหรือยัง ผมซื้อข้าวมันไก่มาฝาก เดี๋ยวมากินด้วยกันนะ” รอยยิ้มของมันสดใสเหมือนทุกที มือที่ฉุดผมซึ่งลงไปนั่งกองอยู่ที่พื้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้มานั่งที่โต๊ะกินข้าวก็อุ่นเหลือเกิน

     

    “พี่ภูเหรอพี่” สายตาของผมในคงจะสื่อความหมายในเชิงว่าทำไมเพราะคำพูดต่อมาของมันคือ “ผมรู้นานแล้วพี่”

     

    นนหัวเราะและคลี่ยิ้มบางๆให้ผมก่อนดึงผมไปซบที่อกด้านซ้าย เสียงหัวใจที่เต้นเป็นจังหวะทำให้ผมรู้สึกสงบ

    แค่พิงกันอยู่อย่างนั้น...ไม่ต้องมีอ้อมกอดหรือการสัมผัสอื่นๆที่เกินเลย

     

    “เค้าว่ากันว่าการฟังเสียงหัวใจเต้นจะคลายความเศร้าได้นะพี่ มันจะทำให้พี่รู้สึกถึงการมีชีวิตประมาณว่าหัวใจของเรายังเต้นอยู่นะไรงี้....”

     

    ไม่รู้ว่าตอนนั้นมันพูดอะไรต่อมิอะไรอีกเสียยืดยาวแต่ผมกลับรู้สึกสงบและปลอดภัย

     

     

     

     

    สิบ หรือ สิบห้านาทีที่เรานั่งกันเงียบๆอยู่อย่างนั้นก่อนที่ผมจะผละออกมา

     

    “รีบกินเหอะเดี๋ยวเย็นหมด” ผมบอกก่อนจะเริ่มลงมือกับอาหารเย็นตรงหน้าด้วยความหิวเพราะไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยตั้งแต่เช้า

     

    “แหม ไม่ต้องเขินผมหรอกน่า” นนท์หัวเราะเบาๆก่อนเริ่มทานของตัวเองบ้าง “เออ แต่ห้องพี่นี่ก็กว้างเนอะ อยู่คนเดียวแบบนี้แสดงว่าบ้านรวยอ่ะดิ”

     

    “หือ ก็ไม่เชิง แต่อยู่คนเดียวมันสะดวกกว่าน่ะ” ผมตอบยิ้มๆให้กับมันที่ส่งเสียงอ๋อเบาๆโดยไม่ได้บอกความจริงไป

     

     

    เพราะว่าเป็นคนเก็บตัวเข้ากับคนยากเลยทำให้ไม่ค่อยมีเพื่อน

    เพื่อนกลุ่มที่คบกันอยู่ในปัจจุบันก็ล้วนแต่เป็นเพื่อนในกลุ่มเดิมของภูทั้งสิ้น

    รูมเมทนี่ก็เคยมีอยู่หรอก แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ชอบที่จะอยู่คนเดียวมากกว่าอยู่ดี

    ทำให้สุดท้ายแล้วก็เลยย้ายจากห้องคู่มาอยู่เป็นห้องเดี่ยวแบบนี้แทน

     

     

     

    “แล้วเพื่อนที่ห้องมึงเป็นไงมั่งอ่ะ” ผมเอ่ยถามกลับมันบ้าง

     

    “ก็ดีนะพี่ มันเป็นนักดนตรีอ่ะ ซ้อมดีดกีร์ต้าทั้งคืนแต่นิสัยดีมาก ไม่ค่อยเรื่องมากเท่าไหร่แบบนี้อยู่กันได้ยาว ..... เฮ้ย พี่กำเดาเลือดไหล”

     

    ผมรีบเงยหน้าขึ้นก่อนรีบเดินไปนอนพักที่เตียงโดยมีไอ้นนเดินตามมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง “เฮ้ย กูไม่เป็นไร แค่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้พักก็เท่านั้น ฝากมึงเก็บข้าวให้หน่อยได้มั๊ย เดี๋ยวกูค่อยพาไปเลี้ยงหนมนะ”

     

    กลิ่นเลือดที่กำลังไหลย้อนกลับชวนให้รู้สึกวิงเวียนแต่ผมก็ยังพยามจะยิ้มส่งมันให้ในตอนที่มันเก็บของเสร็จแล้วเดินมาบอกให้ผมพักผ่อนก่อนจะกลับห้อง อาการปวดหัวที่เหมือนขมับถูกบีบซึ่งห่างหายไปนานกำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง

     

     

    ...มันน่าจะหายแล้วนี่นา...

     

     

    TBC.

    ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////

    Talks: กลับมาต่อแล้วค่ะแบบยาวเฟ้ยกันเลย (หัวเราะ) เอพล่าสุดของฮอร์โมนเป็นอะไรที่ทำร้ายจิตใจกันมาก นึกโกรธตัวเองว่าไม่น่าดูจนจบเลยน่าจะรีบหลับด้วยความฟินตั้งกะฉากติวหนังสือของนนธีร์ไปเสียก่อนที่จะมานั่งร้องไห้ไม่หยุดเกือบชั่วโมงในโมเม้นท์ของหมอกและพ่อ

    ตอนนี้เปิดให้คอมเม้นท์ฟิคได้แล้วนะคะ สารภาพว่าไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าปิดไว้จนกระทั่งมีคนมาถามในทวิตเนี่ยแหละ ยังนึกอยู่ว่าธรรมชาติของที่นี่อาจจะอ่านแล้วไม่ค่อยเม้นกัน

    แอบแถมโมเม้นตั้วมาร์ชให้นิดหน่อยจากโมเม้นท์ของงานเจแปนเอ็กซ์โปร (อนาคตอาจจะมีเป็นเรื่องสั้นรอว่างก่อนเนอะ)
    341
    25

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×